9
ทำโทษ
นิธิศพาวิพารันต์กลับมาถึงห้องในสภาพที่ตาบวมแดงเนื่องจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่อยากจะคิดไม่อยากจะคิดเลยจริงๆว่าเมื่อก่อนเจ้าตัวอยู่กับสภาพที่โหดร้ายแบบนี้มาได้ยังไง จะต้องใช้ความอดทน จะต้องผ่านความเสียใจมามากขนาดไหนกัน...
“รันได้เวลานอนแล้วนะ”
ร่างบางเดินตามนิธิศเข้าไปในห้องหลังจากที่อาบน้ำและกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ในใจยังรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของคนเป็นแม่อยู่ไม่น้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นร้องไห้ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะร้องอีกแล้ว ไม่อยากร้อง แต่ความเจ็บปวดที่สะสมมานานมันคงถึงที่สิ้นสุด เก็บไม่ไหวอีกแล้ว เก็บไม่ไหว จนต้องปล่อยให้มันออกมา
“ไม่เอา ไม่ขยี้ตาแล้วนะรัน”
ว่าแล้วก็จับข้อมือเล็กของวิพารันต์เอาไว้ไม่ให้ยกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองอีก กลัวจะขยี้จนเจ็บ เพราะแค่ตอนนี้ ตาสวยๆของเจ้าตัวก็แดงช้ำจากการร้องไห้มาเยอะมากพอแล้ว
จัดแจงให้คนตัวเล็กนอนลงบนเตียงแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อย ปิดไฟในห้อง บรรยากาศทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบพร้อมที่จะให้เจ้าของห้องทั้งสองเข้าสู่นิทรา หากแต่ว่าตาของนิธิศเองก็ยังหลับไม่ลงเพราะรู้ดีว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆก็ยังไม่พร้อมที่จะนอนเช่นกัน
ความรู้สึกที่สัมผัสได้แม้ไม่ได้ยินเสียง วิพารันต์นอนหันหลังให้เขาต่างกับทุกวัน แผ่นหลังบางสั่นเบาๆตามแรงสะอื้น คงไม่อยากให้เห็น คงไม่อยากให้รู้ว่าตัวเองยังร้องไห้อยู่ ไม่อยากให้เป็นห่วง
ขยับเข้าไปใกล้แล้วกอดร่างบอบบางนั้นเอาไว้จากด้านหลัง คนถูกกอดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวหันหน้ามาเผชิญหน้ากับนิธิศ น้ำตาที่เอ่อคลออยู่บนดวงตากลมโตรื้นลงมาให้เห็น
มือใหญ่ไล้ใบตามโครงหน้าสวยก่อนจะเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากพวงแก้มนุ่มเบาๆ
“รันเป็นเด็กดี เป็นเด็กน่ารักสำหรับพี่นะ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องใส่ใจ ฟังแค่พี่...แค่พี่คนเดียวก็พอ เข้าใจไหม”
พยักหน้าตอบกลับไปทั้งน้ำตา
คนที่คอยอยู่ข้างๆ คนที่คอยปลอบใจ คนที่คอยจับมือ คนที่คอยให้กำลังใจ ต่อไปนี้ จะฟังคนเดียว จะเชื่อแค่คนเดียว จะไม่ฟังใครอีกแล้วนอกจากคนคนนี้
“พี่รู้...ว่ารันเจ็บ...เจ็บปวดกับคำพูดของแม่...แต่จะเป็นไปได้ไหม ถ้าพี่อยากให้รันร้องไห้ให้กับเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย...”
เหมือนใจมันจะขาดตามไปด้วยเมื่อเห็นอีกคนร้องไห้หนักขึ้น ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบแนบอก แรงสะอื้นทำให้ต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบหลังเบาๆเป็นการช่วยปลอบ
ปล่อยให้ร้อง ร้องออกมาให้พอ ร้องออกมาให้หมด เพื่อว่าในวันพรุ่งนี้...เจ้าตัวจะได้เข้มแข็งขึ้น
ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงวันนี้ ก่อตัว จนกลายเป็นคำที่มากกว่าความผูกพัน...ทั้งๆที่ผ่านมา กับใครหลายคน รู้สึกได้ว่าเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย คบ แล้วก็เลิกกันไปในที่สุดไม่ได้ลึกซึ้ง ไม่ได้จริงจัง จนคิดไปว่า ตัวเองคงจะไม่สามารถรักใครได้จริงๆ
ทว่าตั้งแต่ที่ได้เจอกับวิพารันต์ ได้อยู่ด้วยกัน ได้ใช้ชีวิตโดยมีใครอีกคนอยู่ข้างๆ ความคิดที่มีมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่เคยคิดว่าจะเป็นห่วงความรู้สึกของอีกคนได้ขนาดนี้ อยากปกป้อง อยากดูแล อยากคอยจับมือ อยากอยู่ข้างๆ อยากคอยให้กำลังใจในเวลาที่อีกฝ่ายรู้สึกทุกข์ใจ ไม่อยากให้ร้องไห้ไม่อยากให้เสียใจ และที่สำคัญ...ไม่อยากให้คิดว่าไม่มีใครรัก
เพราะอย่างน้อยตอนนี้...ก็มีเขาคนหนึ่งล่ะ ที่เผลอรักเจ้าตัวเข้าให้แล้ว...
.......................
........................................
วิพารันต์ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่แน่นขึ้นของอีกฝ่าย ใบหน้าของนิธิศอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้ผลักออกไปเหมือนในตอนแรกๆแต่นอนจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น เหมือนเรื่องเมื่อวานเป็นแค่ฝัน ฝันร้าย ที่พอตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่าไม่มีอยู่จริงเพราะคนคนนี้
“จ้องหน้าพี่นานๆคิดเงินนะ”
นิธิศที่เพิ่งตื่นแกล้งเอ่ยหยอกวิพารันต์ทำเอาเจ้าตัวที่โดนทักอย่างนั้นรีบหลุบตาต่ำลงทันที
ยิ้มให้กับภาพที่เห็นก่อนจะคลายอ้อมกอดของตัวเองให้อีกคนได้ลุกออกไปทำธุระส่วนตัว
วันนี้เป็นวันหยุดซึ่งโดยปกติแล้วมาริสาจะไม่มารับวิพารันต์ไปอยู่ที่บ้านด้วย เขาเลยตั้งใจจะพาเจ้าตัวออกไปข้างนอก พาไปทำบุญ พาไปเข้าวัด เผื่อจะช่วยให้สบายใจขึ้นมาบ้าง
ร่างสูงแวะซื้ออาหารสำหรับถวายเพลและเครื่องสังฆทานก่อนที่จะมาถึงวัด โดยไม่ได้ซื้อเป็นชุดเหมือนคนอื่นแต่เลือกซื้อเฉพาะบางอย่างที่จำเป็นอย่างเช่น ยาสามัญ และเครื่องอุปโภคบริโภคตามสมควรที่พระภิกษุต้องใช้เท่านั้น
บรรยากาศที่เงียบสงบ สายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ต้นไม้ที่ถูกปลูกไว้บริเวณรอบๆดูร่มรื่นสบายตา ไม่ใช่วัดที่อยู่ในตัวเมืองเพราะเขาตั้งใจจะพาวิพารันต์มาที่ที่ไกลกว่านั้น ออกมาจากความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ หาสถานที่สงบเงียบพักกายและพักใจ
นิธิศพาวิพารันต์เข้ามาภายในโบสถ์ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ ดวงตากลมโตกวาดมองภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตไปรอบๆด้วยความสนใจ
“มากราบพระกันก่อนนะรัน”
เรียกให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เดินสำรวจไปทั่วบริเวณรอบโบสถ์เดินมานั่งข้างตัวเอง พนมมือขึ้นก่อนจะนำอีกฝ่ายก้มลงกราบองค์พระข้างหน้า
เมื่อสมัยตอนเด็กๆแม่เคยพามาหลายครั้งเลยทำให้รู้จัก รู้สึกชอบ เพราะด้วยความเงียบ ความสงบ ความร่มรื่น ความไม่วุ่นวายของที่นี่ ถึงแม้จะอยู่ไกลออกมาจากเมืองหน่อยแต่ก็ทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มาเลยหวังว่าวันนี้ ที่นี่ จะทำให้วิพารันต์รู้สึกได้แบบเดียวกัน
สิบโมงกว่าแล้ว นิธิศพาวิพารันต์ออกจากโบสถ์เพื่อไปจัดการเรื่องการถวายเพลและสังฆทานให้ทันสิบเอ็ดโมง เพราะไม่สามารถเปล่งเสียงขณะท่องบทถวายสังฆทานได้เหมือนนิธิศ ร่างบางเลยได้แต่พนมมือไว้แล้วพยายามขยับปากอ่านตามแผ่นกระดาษที่ทางวัดจัดไว้ให้สำหรับผู้ที่ท่องไม่ได้
ทั้งสองคนช่วยกันประเคนอาหารและเครื่องสังฆทานให้พระภิกษุก่อนจะลงมานั่งกรวดน้ำรับพร โดยที่นิธิศเป็นคนกรวดแล้วบอกให้วิพารันต์คอยเกาะชายเสื้อตัวเองเอาไว้
การทำบุญร่วมกันครั้งแรกระหว่างเขาและนิธิศ...
“ไม่เห็นหน้าเห็นตากันนานเลยนะโยม”
หลวงตาเอ่ยปากทักนิธิศหลังจากฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ครับหลวงตา หลวงตาสบายดีนะครับ”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากมา แต่ปัญหาและหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามารุมเร้าหลังจากที่พ่อและแม่ของเขาเสียทำให้นิธิศยังไม่มีโอกาสได้มาที่นี่อีกเลยจนถึงตอนนี้
“เด็กคนนั้น คนที่โยมพามาด้วย เป็นเด็กดีแล้วก็น่าสงสารมากนะ แต่ที่ต้องเกิดมาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะผลกรรมของชาติที่แล้ว...”
หลวงตาเอ่ยขึ้นหลังจากคุยเรื่องทั่วไปกับนิธิศไปได้สักพัก ร่างสูงมองตามออกไปข้างนอก ที่ที่วิพารันต์กำลังนั่งเล่นลูกสุนัขอยู่กับเด็กวัดอีกสองสามคน
“ครับ ผมเข้าใจ”
เรื่องของผลแห่งการกระทำหรือกรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเขา ก็เชื่อเช่นนั้น
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ช่วยประคับประคองเขาให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ล่ะ เพราะหลังจากนี้ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น”
นิธิศรู้ดีว่าหลวงตาสามารถเห็นและรู้อะไรได้หลายๆอย่างโดยที่ไม่ต้องมีใครบอกเล่า แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น เพราะรู้ดี ว่าเรื่องบางเรื่อง ก็เป็นสิ่งที่หลวงตาไม่สามารถจะบอกให้เขารู้อะไรได้ไปมากกว่านี้
“ขอบพระคุณมากครับหลวงตา”
ก้มลงกราบลาก่อนจะขอตัวออกมาตรงนั้นเพื่อให้หลวงตาได้กลับไปพักผ่อนที่กุฏิ แต่ก่อนที่จะลงมาจากศาลานั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือของวิพารันต์ที่ตัวเองเป็นคนซื้อให้ตกอยู่ตรงบันได ดูท่าเจ้าตัวคงจะไม่รู้ตัวสินะว่าเผลอทำตกเอาไว้ตรงนี้
ก้มลงเก็บสร้อยข้อมือเส้นนั้นขึ้นมาใส่กระเป๋าเสื้อไว้ก่อนจะเดินลงจากศาลาไปหาคนตัวเล็กที่ยังนั่งเล่นลูกสุนัขอยู่ที่เดิม
“บายครับพี่ แล้วมาเล่นด้วยกันใหม่นะ”
เหล่าบรรดาเด็กวัดที่ลงมาเล่นกับวิพารันต์โบกไม่โบกมือลา พร้อมกับลูกสุนัขตัวเล็กๆที่พากันวิ่งกรูกันมาส่งถึงรถทำให้เจ้าตัวรู้สึกยังไม่อยากกลับเสียเท่าไหร่นัก
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นหรอก ไว้วันหลังพี่จะพามาอีก”
เอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะขับรถออกไปจากตรงนั้น ตั้งใจจะกลับคอนโดเลยถ้าไม่ติดว่ามาริสาโทรเข้ามาบอกเสียก่อนว่าขากลับให้พาวิพารันต์แวะเข้าไปหาที่บ้านด้วย
“ไอ้สา มีธุระอะไรสำคัญมากขนาดที่ต้องให้ฉันแวะมาเนี่ย”
“สำคัญสิ สำคัญม๊ากมาก แต่เป็นธุระของฉันกับกับน้องรัน ไม่เกี่ยวกับแก ถอยไปเลยไอ้ไนท์ น้องรัน น้องรันตามพี่สามานี่ เมื่อเช้าพี่เดินไปเจอชุดน่ารักชุดนึงเลยซื้อกลับมาให้ อยากให้รันมาใส่ให้ดูมากว่าจะน่ารักขนาดไหน ไปกับพี่เร็ว”
พูดจบมาริสาก็คว้าตัววิพารันต์เข้าไปจับแต่งตัวให้เหมือนอย่างเคย ทิ้งให้นิธิศต้องทำหน้าที่นั่งเฝ้าหน้าร้านแทนเจ้าตัวเสียอย่างนั้น แค่ลองชุดเนี่ยนะเรียกว่าธุระสำคัญของมัน ความจริงรอให้ถึงวันจันทร์ก่อนเสื้อผ้ามันก็คงไม่เปื่อยหรอก ให้ตายสิ...เขาล่ะไม่เคยจะเข้าใจความคิดแปลกๆของเพื่อนคนนี้เลยจริงๆ
“อ้าวตาไนท์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูกแล้วนี่ยัยสาหายไปไหนแล้วล่ะ แม่บอกให้นั่งเฝ้าหน้าร้านไว้”
แม่ของมาริสาเอ่ยปากทักเมื่อกลับมาจากซื้อของแล้วเห็นนิธิศมานั่งเฝ้าหน้าร้านอยู่คนเดียว โดยที่ลูกสาวตัวดีของตัวเองไม่อยู่
“อ๋อ สามันพารันเข้าไปลองชุดใหม่ข้างในอะครับ”
“ตายจริง เอาอีกแล้วเหรอลูกคนนี้ น่าสงสารน้อง โดนยัยสาจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาแทบทุกวัน ไนท์รอ แป๊ปนึงนะลูกเดี๋ยวแม่เข้าไปดูรันให้”
ส่ายหน้าอย่างนึกระอาในพฤติกรรมของลูกสาวตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของข้างในแล้วกลับออกมานั่งคุยเป็นเพื่อนนิธิศที่ต้องนั่งรอวิพารันต์ หัวข้อสนทนาของทั้งสองคนเริ่มขึ้นเมื่อคนเป็นแม่เอ่ยปากถามเรื่องอาการตาบวมของวิพารันต์ที่แม้ตอนนี้จะไม่มากแล้วเพราะเมื่อเช้าก่อนออกมานิธิศให้เจ้าตัวใช้น้ำแข็งประคบไว้ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนช่างสังเกตอย่างเธอมองออก
ซึ่งจากการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อวานนี้ของนิธิศก็ทำให้เธอรู้สะเทือนใจอยู่ไม่น้อยในฐานะของคนที่เป็นแม่เหมือนกัน เพราะไม่อยากเชื่อว่าจะมีแม่คนไหนที่สามารถทำพฤติกรรมแบบนี้กับลูกของตัวเองได้ลงคอ
จนเมื่อมาริสาจับวิพารันต์แต่งตัวจนเป็นที่พอใจแล้วเจ้าตัวถึงได้จูงร่างบางออกมาส่งคืนให้เพื่อนที่นั่งรออยู่ เสื้อยืดสีฟ้าตัวเล็กกับกางเกงขาสั้นที่วันนี้ดูเหมือนจะสั้นกว่าทุกวันเผยให้เห็นขาขาวๆของวิพารันต์จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมายังต้องหันมามอง ทำเอานิธิศนึกอยากจะเดินไปเขกหัวเพื่อนตัวแสบของตัวเองสักสองสามทีก่อนที่จะกลับบ้านโทษฐานที่ช่างสรรหาชุดแบบนี้มาให้วิพารันต์ใส่
มาริสาเองที่พอเริ่มจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างแล้วจากการแอบสังเกตอาการของเพื่อนมานาน พอถูกนิธิศจ้องเข้าให้ก็ส่งยิ้มกลับไปให้เหมือนไม่สะทกสะท้าน
กำแพงบางๆที่เคยกั้นคำว่าความรักกับความผูกพันของทั้งสองคนเอาไว้ ดูเหมือนว่าตอนนี้ เพื่อนของเธอ จะก้าวข้ามมันมาได้แล้วสินะ...
............................
....................................
หาย หายไปไหนแล้ว วิพารันต์เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าสร้อยข้อมือของขวัญชิ้นสำคัญของตัวเองหายไปก็เมื่อตอนกลับมาถึงคอนโด เดินหาในห้องเป็นอันดับแรก คิดในแง่ดีว่าตัวเองอาจจะเผลอทำตกเอาไว้เมื่อเช้าก่อนออกไป
ไม่เจอ...รู้สึกเหมือนใจหายวูบ แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหน
ทั้งๆที่หวงมากขนาดนั้น ทั้งๆที่คิดว่าจะดูแลรักษาอย่างดีแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังเผลอทำหายจนได้ ทำไงดี จะทำยังไงต่อไปดี ของสำคัญขนาดนั้น ทำหายไปแล้ว
“รัน เป็นอะไรหรือเปล่า”
นิธิศเอ่ยถามเมื่อเห็นวิพารันต์ยืนทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้อยู่ในห้องครัว เดินเข้าไปใกล้ แต่อีกฝ่ายก็กลับถอยหลังหนี เอามือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ ไม่อยากให้เห็น ไม่อยากให้รู้ กลัวนิธิศจะโกรธ กลัวนิธิศจะเสียใจที่ตัวเองทำของขวัญที่ให้หายไปแล้ว
“รัน เป็นอะไรไปหือ บอกพี่ได้ไหม”
วิพารันต์ส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบแล้วเบี่ยงตัวหลบทำท่าจะเดินหนีแต่นิธิศก็คว้าตัวไว้ได้ทันเสียก่อน กอดเอวบางเอาไว้แน่น ไม่ให้เดินไปไหนได้อีก
“ถ้าไม่บอก วันนี้พี่ไม่ปล่อยนะ”
เหมือนทำอะไรต่อไปไม่ถูก ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนนิธิศต้องพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน
“บอกพี่หน่อยนะครับว่าเป็นอะไร”
เอื้อมมือไปหยิบอุปกรณ์สื่อสารบนโต๊ะส่งให้ แต่วิพารันต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมืออกมารับ มือทั้งสองข้างยังคงถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังเหมือนเดิม
เริ่มพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัวเมื่อพิจารณาท่าทางที่เห็นประกอบกับสิ่งที่ยังถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ยิ้มที่มุมปากให้กับความคิดเด็กๆ น่ารัก...แต่ก่อนที่ก็คิดว่าน่ารักแล้ว แต่ตอนนี้ ตอนที่ได้รู้ใจตัวเอง มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ไม่กล้าบอกล่ะสิว่าทำหาย แล้วคิดว่าซ่อนมือไว้ข้างหลังแบบนั้นแล้วจะไม่รู้หรือยังไงกัน...
ใช้มือทั้งสองข้างกอดเอววิพารันต์ไว้แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่
ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้ เลยตกใจจนเผลอใช้แขนโอบรอบคอนิธิศไว้เพราะกลัวตก
“ทำของขวัญที่พี่ให้หายแล้วไม่ยอมบอกพี่แบบนี้ รู้ไหมว่าต้องถูกทำโทษ...”
ก้มลงไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูก่อนจะเลื่อนปลายจมูกไปกดลงบนแก้มนิ่ม สูดกลิ่นหอมอ่อนๆของผิวเนื้อก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนไปประกบกับริมฝีปากบางนิ่ม
สัมผัสบางเบาที่ละเลียดชิมกลีบปากบาง ก่อนจะค่อยๆรุกล้ำเข้าไปภายใน อ่อนหวาน และนุ่มนวล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกผิดหรือตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกันแน่ วิพารันต์ถึงได้ยอมอยู่นิ่งๆให้นิธิศลงโทษอย่างนี้
เป็นนาน กว่าที่ร่างสูงจะยอมผละออกมาจากริมฝีปากนุ่มนิ่ม ความหวานที่ได้สัมผัสยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น วิพารันต์หลุบตาลงมองพื้นเมื่อบทลงโทษที่แสนหวานจบลง แต่สัมผัสเย็นๆของสร้อยโลหะเงินที่คุ้นเคยบนข้อมือก็ทำให้ต้องเผลอเงยหน้าขึ้นมาสบตาของใครอีกคน
“ถ้าคราวหน้าทำหายอีก จะโดนทำโทษมากกว่านี้นะเด็กน้อย” TBC.
Rewrite
หายไปครบอาทิตย์พอดี ไม่ไหวจะเคลียร์ 555 คงจะเป็นเพราะงานค่อนข้างเยอะบวกกับนอนไม่พอสมองเลยไม่แล่นเขียนอะไรไม่ออกด้วยล่ะมั้งถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ จนใจกับตัวเองจริงๆ ยิ่งเขียนเหมือนจะยิ่งสับสน เขียนไปลบไปกว่าจะออกมาได้ แหะๆ มาริสาออกมาบ่อยหน่อยนะช่วงนี้เพราะยังไงสองคนนี้ก็ยังต้องพึ่งเจ้าแม่มาริสาของเราอยู่เรื่อยๆ 555 ให้อยู่กันเองท่าทางจะไม่ค่อยคืบหน้าต้องหาตัวกระตุ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้พี่ไนท์รู้ตัวแล้วววว แล้วน้องรันล่ะว่าไง (นั่นสิ) ถ้ายังไม่รู้ก็จงโดนพี่ไนท์หลอกแต๊ะอั๋งไปเรื่อยๆแล้วกัน 555
ป.ล.อาทิตย์นี้ยังมองไม่เห็นชะตาชีวิตตัวเองเพราะอาทิตย์หน้าสอบไฟนอล อาจจะได้มาต่อหรือไม่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ แต่ยังไงก็จะเร่งให้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่า