แถม...เนื่องในวันเกิด
Rafael Pictures Present : Cinderella ฉบับ รักนี้ไม่ต้องมี ‘เสียง’
เขียนและกำกับบทโดย : Rafael
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ณ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งบนหุบเขาอันไกลแสนไกล ยังมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนามว่าวิพารันต์อาศัยอยู่กับแม่ใจร้ายในกระท่อมหลังน้อยที่ห่างไกลจากตัวเมืองและผู้คน
ด้วยความอาภัพที่เกิดมาเป็นใบ้ไม่ปกติเหมือนอย่างเด็กคนอื่นทั่วไปทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกอับอายยิ่งนักที่ตัวเองให้กำเนิดเด็กแบบนี้ออกมา...จะให้มีใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด...คิดได้เช่นนั้นเธอจึงไม่เคยที่จะอนุญาตให้วิพารันต์ได้ออกไปไหนไกลเกินเขตรั้วบ้านเลยสักครั้ง
แต่แล้วในวันหนึ่ง ทางราชวังก็ส่งทหารมาส่งการ์ดเชิญให้บรรดาหนุ่มสาวทุกคนในเมืองไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดคนเขียน เอ๊ย วันเกิดของเจ้าชายอย่างนิธิศที่จะถูกจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้
ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องให้วิพารันต์ไป เพราะนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งเจ้าตัวทำไปทำให้เธอขายหน้าเปล่าๆ...วิชุดามองแผ่นกระดาษในมือแล้วขยำทิ้งลงในขยะทันทีที่อ่านข้อความเสร็จ...งานที่เชิญแต่คนหนุ่มสาว...อีกนัยหนึ่งนอกจากการเฉลิมฉลองแล้วทุกคนในเมืองก็ย่อมรู้ดีว่างานนี้ก็จะเป็นเหมือนการเปิดโอกาสให้เจ้าชายได้เลือกคู่ครองของตัวเองด้วย
ทว่าความลับก็ไม่เคยมีในโลก...การทำความสะอาดบ้านทั้งหลังที่เป็นกิจวัตรประจำวันของวิพารันต์ก็ทำให้คนตัวเล็กสังเกตเห็นกระดาษลวดลายสวยงามที่เกินกว่าจะกลายเป็นขยะถูกขยำเป็นก้อนอยู่ในถัง...ทั้งๆที่จะไม่สนใจก็ได้ แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้มือเล็กก็เลือกที่จะหยิบก้อนกระดาษนั้นออกมาคลี่ดู
...การ์ดเชิญไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าชาย...
ร่างบอบบางในชุดผ้ากันเปื้อนสีเข้มที่เห็นแบบนั้นจึงรีบนำกระดาษแผ่นนั้นวิ่งเข้าไปหาคนเป็นแม่ในห้องนอนทันที...เพราะบางที...เขาอาจจะมีโอกาสได้ออกจากบ้านบ้าง...
“เอามาให้ฉันทำไม...แกคิดว่าแกจะได้ไปหรือไงหา!”
เสียงตวาดที่ดังขึ้นทำเอาวิพารันต์ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาวิชุดา
“เลิกเพ้อฝันแล้วก็กลับไปทำงานต่อ...เด็กอย่างแกน่ะไม่มีสิทธิ์แม้แต่คิดที่จะไปงานแบบนี้หรอกนะ...จำใส่สมองไว้ซะด้วย”
แรงผลักที่ศีรษะจนเกือบจะทำให้ล้มได้...ร่างบางรีบเดินถอยออกมาให้ห่างจากตรงนั้นด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์ร้ายของคนเป็นแม่...ความรัก...ความอบอุ่น...สิ่งที่ไม่เคยรู้จัก...สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ...เพราะแม้กระทั่งคนที่เป็นแม่แท้ๆของตัวเองก็ยังไม่เคยมีให้...
...อยากจะรู้...ว่าบนโลกนี้...จะมีไหม...คนที่จะสามารถสอนให้เขารู้จักกับความรู้สึกเหล่านี้...อยากจะรู้จริงๆ...ว่าคนคนนั้นสำหรับเขา...ใครคนนั้นคนที่เขาเฝ้าฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืน...จะมีอยู่จริงไหม...
ทางด้านฝั่งของภายในพระราชวังที่ตอนนี้ทั้งขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็กำลังวุ่นวายไปกับการเตรียมงานเฉลิมฉลองวันประสูติให้กับเจ้าชายกันอย่างขมักเขม้นด้วยหวังอย่างยิ่งว่างานในครั้งนี้จะทำให้พระองค์หาคู่ครองที่เหมาะสมอย่างจริงๆจังๆได้เสียที
แต่ทว่าตัวเจ้าชายเองกลับไม่ได้มีความรู้สึกปลื้มปิติยินดีกับงานที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด...สายตาที่ทอดมองออกไปไกลแสนไกลยังภูเขา...ภูเขาที่พระองค์ชอบที่จะมองออกไปเสมอโดยหาสาเหตุไม่ได้...หัวใจที่ยังว่างเปล่าแม้ว่ารายรอบตัวจะมีหญิงงามมากมายเข้ามาให้เลือก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยมีผู้ใดที่ทำให้เจ้าชายรู้สึกดีๆด้วยเลยสักคน...หัวใจที่ยังรอการพบเจอกับใครบางคน...ใครคนนั้นที่พระองค์ยังเชื่อว่ามีอยู่จริง...ใครคนนั้นที่อยู่ในความฝันมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
...คล้ายๆว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่คนทั้งสองคนที่อยู่ห่างไกลกันทั้งด้วยระยะทางและฐานะจะมีความฝันที่เหมือนกัน...แต่ใครจะเชื่อล่ะ...ว่าเรื่องบังเอิญแบบนี้มันจะมีอยู่จริง…
..................
................................
เมื่อดวงจันทร์บอกลาราตรีที่แสนยาวนานไปก็ได้เวลาการมาเยือนของพระอาทิตย์...แสงแรกในรุ่งเช้าของวันเฉลิมฉลองเกิดขึ้นพร้อมกับการประดับประดาเมืองไปด้วยป้ายธงต่างๆ
วิพารันต์ยืนมองสิ่งเหล่านั้นอยู่จากบนของภูเขาที่ที่ซึ่งบ้านของเขาตั้งอยู่...บ้านเรือนหลายหลังดูเล็กจนเหมือนของเล่นเด็กเมื่อมองจากมุมสูงแบบนี้ ซึ่งจะมีก็เพียงแต่ตัวของพระราชวังเท่านั้นที่มีขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัดกว่าที่อื่น...สถานที่ที่ได้แต่มองมาตลอด...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองไปดูสักครั้ง...
“รัน! เข้ามาทำอาหารเช้าได้แล้ว!”
เสียงตะโกนเรียกที่ดังมาจากข้างในบ้านเตือนให้ร่างเล็กหลุดจากภวังค์ของความคิดแล้วรีบเดินเข้าไปทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองตามคำสั่งของคนเป็นแม่ต่อ...คนอย่างเขาก็คงจะทำได้แค่นี้เท่านั้น
งานบ้านที่ยุ่งเหยิงตลอดเช้าจรดเย็นจนไม่มีเวลาหยุดพักพอจะช่วยให้วิพารันต์ลืมความคิดที่อยากจะไปงานเลี้ยงในคืนนี้ได้บ้างชั่วคราว แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะเมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงหัวค่ำที่วิชุดาเข้านอนไปแล้วเจ้าตัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะออกมานั่งมองแสงไฟในตัวเมืองที่ดูเหมือนจะสว่างไสวมากกว่าทุกวัน
ร่างบอบบางนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นหญ้านุ่ม...หยาดน้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอดวงตาคู่สวยด้วยความน้อยใจในโชคชะตาชีวิตก่อนจะซุกใบหน้าหวานลงกับแขนของตัวเองแล้วสะอื้นไห้เงียบๆอยู่เพียงลำพังท่ามกลางแสงนวลๆของพระจันทร์และดวงดาวน้อยใหญ่
“โถ...น้องรันคนดี...อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยนะ”
สัมผัสเบาๆที่ศีรษะพร้อมกับเสียงแหลมๆของใครอีกคนทำให้วิพารันต์ต้องเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ใกล้ๆด้วยความแปลกใจ
“...ไม่ต้องสงสัยไปหรอกค่ะ พี่ชื่อมาริสา เป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวของน้องรันเอง”
นางฟ้ามาริสาที่มักจะไม่ค่อยทำตัวให้เหมือนนางฟ้าเสียเท่าไหร่เอ่ยขึ้นเมื่ออ่านแววตาที่เป็นคำถามของคนตรงหน้าออก และถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อนักแต่คนตัวเล็กก็ต้องยอมพยักหน้าหงึกหงักเมื่อเล็งเห็นแล้วว่าไม้คฑาวิเศษที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่ในมือของอีกฝ่ายส่องแสงเรืองๆระยิบระยับได้เอง...
...ก็หวังว่านางคงจะไม่ได้ใช้ถ่านหรอกนะ...
“...น้องรันอยากไปงานเลี้ยงใช่ไหม”
ใบหน้าหวานขยับขึ้นลงช้าๆเรียกรอยยิ้มให้คนมองอยู่ได้ไม่ยาก
“โอเค...เราจะได้ไปกัน...แต่ก่อนอื่นพี่ว่า...เราคงต้องจัดการอะไรกันนิดหน่อยนะ”
ว่าพลางก็มองสำรวจร่างตรงหน้าอย่างคิดวิเคราะห์ก่อนจะแกว่งไม้คฑาไปมาแล้วเริ่มท่องภาษาอะไรแปลกๆที่วิพารันต์ฟังไม่เข้าใจ...
ชุดเอี๊ยมกระโปรงสีชมพูอ่อนน่ารักยาวประมาณเข่าปรากฏขึ้นบนตัวร่างบางแทนที่เสื้อผ้าชุดเก่า...กลุ่มผมนุ่มที่เริ่มยาวมาเคลียกับไหล่ถูกมัดด้วยโบว์เป็นจุกเล็กๆด้านบนแล้วปล่อยปอยผมส่วนหนึ่งลงมาคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าหวานเล็กน้อย...
เพียงแค่พริบตากับการเปลี่ยนแปลง...วิพารันต์ก้มมองร่างกายของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองมาริสาอย่างต้องการจะประท้วงเล็กๆที่ชุดของเขากลายเป็นกระโปรงแบบนี้ แต่มีเหรอที่นางฟ้าอยางมาริสาจะยอมเปลี่ยนให้...ก็เจ้าตัวเล็กในชุดแบบนี้มันน่ารักสุดๆไปเลยนี่นา
“เรียบร้อย...ทีนี้เราก็พร้อมจะไปกันแล้ว...ไอ้นัท ไอ้นนท์ หายหัวไปไหนกันวะ ออกมาทำหน้าที่สารถีให้น้องรันหน่อยสิโว้ย”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งอันไพเราะ(?)ของนางฟ้า รถเก๋งคันหรูก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของวิพารันต์ทันทีก่อนที่นัทนทีในชุดสูทเต็มยศจะเป็นคนเดินลงมาเปิดประตูให้ร่างบอบบางขึ้นไปนั่ง
“เชิญครับน้องรัน”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วโค้งตัวให้วิพารันต์ที่ยังดูเหมือนจะงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
“รีบขึ้นไปสิคะน้องรัน เดี๋ยวก็ไปไม่ทันงานเลี้ยงหรอก”
มาริสาดันคนตัวเล็กให้ขึ้นไปนั่งภายในรถก่อนจะตามขึ้นไปนั่งข้างๆ ส่วนนัทนทีเองพอปิดประตูรถให้ทั้งสองคนเสร็จก็เดินมานั่งประจำที่นั่งข้างคนขับที่วันนี้มีวีรนนท์เป็นคนทำหน้าที่
รถคันหรูวิ่งลงจากทางบนภูเขาเข้าสู่ตัวเมืองที่ตอนนี้กำลังคึกคักไปด้วยผู้คนที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านเพื่อไปงานเลี้ยงในวัง...แสงสีของหลอดไฟที่ติดประดับอยู่ตามบ้านเรือนทำให้คนตัวเล็กในรถอดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้...ครั้งแรกที่ได้ออกมานอกเขตรั้วบ้านแบบนี้...
“เอาล่ะ นี่ก็ใกล้จะถึงในตัววังเต็มทีแล้ว...น้องรันตั้งใจฟังพี่ดีๆนะเพราะสิ่งที่พี่จะบอกต่อไปนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องสำคัญ...ทุกสิ่งที่พี่เสกขึ้นมาด้วยเวทมนตร์นี้จะอยู่ได้ถึงแค่เวลาเที่ยงคืนนะ ซึ่งถ้าหากเลยจากนั้นแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ ยังไงพี่ก็ขอให้น้องรันออกมาจากงานก่อนเวลาด้วยล่ะ”
วิพารันต์พยักหน้าเป็นคำตอบในขณะที่วีรนนท์รถขับมาจอดเทียบที่หน้างานพอดี
“...อ้อๆ...ก่อนจะลง...พี่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้บอก...คือตอนนี้พี่ใช้เวทมนตร์ทำให้น้องรันพูดได้เหมือนคนปกติ
แล้วนะ...โชคดีนะคะแล้วอย่าลืมเวลาอย่างที่พี่บอกล่ะ พวกพี่จะมารอรับที่นี่ก่อนเที่ยงคืนนะ”
มาริสาพูดรัวอย่างรวดเร็วเพื่อแข่งกับเวลาก่อนจะรีบดันตัววิพารันต์ให้ออกไปจากรถที่มีทหารเดินมาเปิดประตูให้รออยู่แล้ว
ร่างบอบบางเดินลงมาจากรถด้วยท่าทีที่ยังงงๆ...สมองพยายามประมวลผลสิ่งที่มาริสาพูดให้ฟังเมื่อกี๊...พูดได้งั้นเหรอ...วันนี้เขาจะพูดได้เหมือนกับคนอื่นจริงๆ...งั้นเหรอ…
...................
...............................
ภายในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หนุ่มสาวลูกหลานของตระกูลเศรษฐีในเมืองต่างแข่งกันแต่งตัวมาประชันความงามในงานนี้เพื่อหวังให้เป็นที่สะดุดตาเจ้าชายกันสุดฤทธิ์ ทว่าถึงหลายคนจะคิดกันเช่นนั้นแต่คนที่เป็นเจ้าชายเองอย่างนิธิศกลับมองดูคนพวกนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า หรือถ้าจะมีก็เป็นเพียงแค่รอยยิ้มที่ส่งกลับไปให้ตามมารยาทเท่านั้น
อาการเบื่อที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆของนิธิศทำให้เขาตัดสินใจเดินเลี่ยงจากผู้คนมากมายในงานออกไปที่ระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืน...
“อ๊ะ...ขอโทษ”
เสียงหวานใสที่อุทานขึ้นอย่างลืมตัวพร้อมกับแรงปะทะที่ไม่มากนักแต่เจ้าตัวเล็กที่เป็นคนเดินมาชนกลับเป็นฝ่ายเซไปเองทำให้นิธิศต้องรีบคว้าเอวบางเอาไว้ก่อนที่วิพารันต์จะล้มลงไปกองกับพื้น
“ระวังหน่อยสิ...”
“ขะ...ขอโทษ...ไม่ได้ตั้งใจ”
คนตัวเล็กตอบแล้วพยายามพยุงตัวเองให้ทรงตัวได้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวเองเป็นคนเดินชน
สองสายตาที่สบประสานกันเข้าพอดี...ความรู้สึกที่คุ้นเคยกันอย่างประหลาดเกิดขึ้นทั้งๆที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกเท่านั้น...เหมือนได้ของรักที่สูญหายไปกลับคืนมา...คนแปลกหน้าที่หัวใจบอกว่าคนคนนี้เป็นได้มากกว่านั้น...คนที่เพียงแต่สบตากันก็รู้ได้ว่าเป็นคนที่ตามหามาตลอดทั้งชีวิต...คนที่ได้แค่พบเจออยู่ในความฝันแสนหวานยามค่ำคืนตลอดเวลาที่ผ่านมา...คนในฝันที่ในที่สุดก็ได้พบเจอ
“ไม่เป็นไรใช่ไหม...”
คนที่หลุดออกมาจากโลกของความคิดได้ก่อนเอ่ยปากถามแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวบาง
“อะ...อื้อ...มะ...ไมเป็นไร...ขอบคุณนะ”
หัวใจที่เต้นแรง...ใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ทั้งๆที่ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น...ความตื่นเต้นที่เจ้าตัวรู้สึกได้...ตื่นเต้นมากเสียจนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะมากกว่าการที่รู้ว่าวันนี้ตัวเองจะพูดได้เหมือนคนปกติอีก
“ไม่ทราบว่ารันจะให้เกียรติเต้นรำกับพี่สักเพลงได้ไหมครับ...”
การนั่งพูดคุยกันที่นานพอสมควรทำให้การใช้สรรพนามการเรียกแทนตัวเปลี่ยนไปดูใกล้ชิดกันมากขึ้น...นิธิศยื่นมือไปให้ร่างบอบบางตรงหน้าก่อนจะโค้งให้หนึ่งที ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากของวิพารันต์นอกจากการตอบตกลงโดยการยื่นมือเล็กเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้แล้วลุกเดินตามเข้าไปกลางฟลอร์
“ขอบคุณครับ”
คนเป็นเจ้าชายว่าแล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะค่อยๆรั้งเอวบางเข้ามาให้แนบชิดกันมากขึ้น...เสียงของดนตรีบรรเลงดังขึ้นเป็นจังหวะเนิบๆพอให้ทั้งสองคนได้ปรับตัวเข้าหากัน...สายตาหลายคู่ที่มองมาด้วยความริษยาปนสงสัยเนื่องด้วยไม่เคยมีใครเห็นและรู้ว่าวิพารันต์เป็นใครแต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยอะไรขึ้นมา
สายตาที่มองสบกันอยู่ตลอดเวลาเหมือนต้องมนต์สะกดของกันและกันจนถึงท่อนสุดท้ายของบทเพลงท่วงทำนองหวาน...นิธิศค่อยๆโน้มใบหน้าลงไปหาอีกฝ่ายจนริมฝีปากแตะกันเบาๆก่อนจะละเลียดชิมความหอมหวานของกลีบปากนุ่ม
เต๊ง...เต๊ง...ช่วงเวลาของความสุขที่เขาว่ากันว่าแสนสั้นนั่นคงจะเป็นเรื่องจริง...เข็มนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาใกล้เที่ยงคืนเต็มทีทำให้วิพารันต์สะดุ้งน้อยๆ นึกถึงคำที่มาริสาบอกเอาไว้ก่อนจะลงมาจากรถ
‘...ทุกสิ่งที่พี่เสกขึ้นมาด้วยเวทมนตร์จะอยู่ได้ถึงแค่เวลาเที่ยงคืนนะ’“ขอโทษนะ...แต่รันต้องไปแล้ว...”
ร่างบางลนลานรีบผละตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของนิธิศแล้ววิ่งฝ่าฝูงคนออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ฟังเสียงตะโกนเรียกของอีกฝ่ายเลย...
ความวุ่นวายของการหายตัวไปอย่างปริศนาของวิพารันต์ทำให้เจ้าชายอย่างนิธิศรู้สึกร้อนรนยิ่งนัก...ทั้งๆที่หาเจอแล้ว...ทั้งๆที่มั่นใจแล้วเชียวว่าคนคนนี้ก็คือคนที่จะมาเป็นคู่ครอง...แต่ทำไมนะ...ทำไมเขาถึงปล่อยให้คนคนนั้นหายไปได้ง่ายๆ
ทหารทุกคนช่วยกันออกตามหาวิพารันต์ตั้งแต่ตอนนั้นโดยไม่ต้องรอให้นิธิศสั่ง แต่ทว่าสิ่งที่จะใช้เป็นหลักฐานในการตามหาเจ้าตัวนั้นกลับมีเพียงแค่ภาพใบหน้าและเสียงหวานใสที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาเท่านั้นซึ่งนั่นคงจะเป็นการยากที่ใครคนอื่นจะหาเจอ
...หรือบางทีงานนี้...เจ้าชายอย่างเขาคงต้องออกตามหาเจ้าสาวด้วยตัวเองเสียแล้วล่ะ...
......................
.........................................
วิพารันต์ตื่นขึ้นมาตอนเช้าในห้องนอนของตัวเองแล้วลุกขึ้นไปทำงานบ้านตามปกติ...เหมือนเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ฝันไป...แต่หากจะมีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องจริงได้แล้วก็คงจะเป็น ‘เสียง’ ...เสียงของเขา...เสียงที่ยังอยู่...เสียงที่ไม่ได้หายไปพร้อมกับเวทมนตร์อย่างอื่น...
มือเรียวเล็กยกขึ้นแตะที่ริมฝีบางตัวเองเบาๆเมื่อนึกถึงจูบแสนหวานที่เกิดขึ้น...สัมผัสบางเบาและอ่อนโยนยังรู้สึกได้ชัดเจนแม้เหตุการณ์นั้นจะล่วงเลยผ่านไปแล้วก็ตาม...จะได้เจอกันอีกไหมนะ...
“ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าชายกำลังตามหาหรอกเพคะ พระองค์ทรงกลับไปเสียเถอะ อย่ามาเสียเวลากับที่นี่เลย”
เสียงของคนเป็นแม่ที่ดังขึ้นบริเวณหน้าบ้านทำให้คนตัวเล็กนึกสงสัยจนต้องเดินออกไปแอบดู ...ทหารหลายนายที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับใครอีกคนที่เขาจำได้ดี...คนที่เขาคิดว่าได้มอบหัวใจดวงนี้ให้ไปแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน...
“รัน...แกมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้...เข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้!”
วิชุดาที่หันมาเห็นวิพารันต์พอดีรีบไล่ให้เจ้าตัวเข้าไปในบ้านทันทีแต่ก็ดูเหมือนว่าสายตาของนิธิศจะไวกว่าจึงเอ่ยปากเรียกคนตัวเล็กเอาไว้ได้เสียก่อน
“...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...รัน...นั่นรันใช่ไหม”
ปากว่าไปพลางตัวก็รีบเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็กที่กำลังยืนลังเลไม่รู้จะทำตามคำสั่งของใครดี
“...เจ้าชาย...นี่พระองค์ทรงรู้จักเด็กคนนี้ด้วยเหรอเพคะ”
“ใช่...เราเจอกันที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้...”
เจ้าชาย...งั้นเหรอ...การสนทนาของผู้เป็นแม่กับอีกคนทำให้วิพารันต์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม เพราะ การพบเจอกันที่งานเลี้ยงนั้น...การที่พูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป...การที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับฐานะของตัวเองทำให้เขาไม่รู้เลยจริงๆว่าคนตรงหน้านี้เป็นเจ้าชาย
“พระองค์คงจะจำคนผิดแล้วมั้งเพคะ...เด็กคนนี้ไม่มีทางออกไปไหนได้... ไปรัน เข้าบ้านไปได้แล้ว!”
“เดี๋ยวก่อนสิ...อย่างน้อยก็ขอให้เราคุยกันก่อนไม่ได้เหรอ”
“...คุยกับคนใบ้เนี่ยเหรอเพคะ...หึ...หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าพระองค์จะคุยกับมันให้ได้อะไรขึ้นมา...เชิญกลับไปเถอะเพคะ...ส่วนแก เข้าบ้านมากับฉันเดี๋ยวนี้วิพารันต์!”
“อ๊ะ...แม่ รันเจ็บ...”
แรงกระชากที่แขนอย่างแรงทำให้ร่างบอบบางเผลอหลุดปากส่งเสียงร้องออกมา วิชุดาหยุดชะงักการกระทำทั้งหมดแล้วหันมามองหน้าคนเป็นลูกด้วยความไม่เข้าใจนัก...
“มะ...เมื่อกี๊...แก...พูด”
“ตอนนี้รันพูดได้แล้วนะแม่...รัน...พูดได้แล้ว...”
เรื่องราวที่ดูเหลือเชื่อแต่นั่นก็คือความจริง...วิพารันต์ถูกรับตัวจากบ้านเข้าไปอยู่ในวังพร้อมกับนิธิศซึ่งในตอนแรกวิชุดาจะไม่ยอมถึงแม้ว่าเธอจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอับอายขายขี้หน้าแต่อย่างใดแล้วก็ตามเพราะการที่ยอมปล่อยวิพารันต์ไปนั่นหมายถึงว่าจะทำให้เธอต้องขาดคนทำงานบ้านทั้งหมด แต่เมื่อเจ้าชายบอกว่าจะส่งคนมาทำงานให้ทุกวันแทนเธอจึงได้ยินยอมพร้อมใจรีบขับไล่ไสส่งให้ร่างบางย้ายออกไปโดยทันที
งานอภิเษกสมรสที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางและชาวเมืองทุกคนต่างมาร่วมกันแสดงความยินดีกับเจ้าชายและเจ้าหญิง(?)องค์ใหม่กันอย่างล้มหลาม ติณภพซึ่งเป็นพระราชาของเมืองทำหน้าที่เป็นผู้พาร่างบอบบางในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาตามพรมสีแดงภายในโบสถ์ ก่อนจะจับมือเล็กของวิพารันต์ส่งให้นิธิศไปจับไว้แทน
“วิพารันต์ ท่านจะรับเจ้าชาย เป็นสามี ไม่ว่าจะยามสุข หรือยามทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย และสัญญาว่าจะรัก เคารพ เชิดชูดูแลกันและกัน จนกว่าทั้งคู่จะตายจากกันไปหรือไม่”
คนตัวเล็กหันหน้าไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างแล้วส่งยิ้มให้กันก่อนจะตอบตกลง
“เจ้าชาย ท่านจะรับวิพารันต์ เป็นภรรยา ไม่ว่าจะยามสุข หรือยามทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย และสัญญาว่าจะรัก เคารพ เชิดชูดูแลกันและกัน จนกว่าทั้งคู่จะตายจากกันไปหรือไม่”
“รับครับ”
“ด้วยอนุภาพแห่งความรัก และ คำมั่นสัญญา ข้าพเจ้าขอประกาศให้คนทั้งสองเป็นสามีและภรรยากัน...”
บาทหลวงกล่าวขึ้นเมื่อพิธีการที่ดำเนินดำเนินมาจนถึงขั้นตอนสุดท้าย...ใบหน้าทั้งสองคนที่หันมายิ้มให้กันด้วยความสุขก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆเคลื่อนมาบรรจบกันเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง...จูบที่แทนทุกคำพูด...จูบที่แทนทุกความห่วงใย...และจูบ...ที่แทนคำมั่นสัญญาว่าจะทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป…
“รักนะครับ...เจ้าหญิงของพี่...”.
.
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา...ทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข...
...................................
..................
[Happy Ending

]
ฮ่าๆๆ อาจจะดูเป็นซินเดอเรลล่ารูปแบบที่พิลึกๆไปหน่อยนะคะ แต่ก็เอาเถอะ อ่านกันไปขำๆอย่าได้หาสาระจากมัน 555
วันนี้วันเกิด เลยเกิดอยากจะเขียนอะไรแปลกๆมาให้อ่านกันบ้างอะไรบ้าง(รู้สึกช่วงนี้จะออกนอกเรื่องบ่อย//โดนตบ)
สัญญาๆตอนหน้าจะกลับเข้าเรื่องอย่างจริงจังอีกครั้ง และยาวๆ จะไม่วอกแวกออกนอกลู่นอกทางอีกแล้ว จริงๆน้า เชื่อกันหน่อยสิ อิอิ
ป.ล.นางฟ้ามาริสาเวอร์ชั่นนี้ดูเป็นเด็กแนวดีเน๊อะ 5555
ป.ล.2 ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ ช่วงก่อนปิดสงกรานต์บอร์ดช่างเงียบเหงาคนอ่านก็ห่างหาย TT
รีบๆกลับมาอ่านให้กำลังใจกันหน่อยยเร้ววว 5555555 เจอกันตอนที่ 16 แน่ๆละ