16
สัญญา
ท่ามกลางแสงสีของสถานบันเทิงยามค่ำคืน เสียงเพลงที่เปิดดังจนคุยกันแทบจะไม่รู้เรื่อง หนุ่มน้อยสาวน้อยที่เต้นนัวเนียกันวุ่นวายอยู่กลางฟลอร์ ร้านประจำที่เคยมากับกลุ่มเพื่อนสนิทบ่อยๆ...เกือบจะเป็นปีแล้วที่นิธิศไม่ได้มาเหยียบสถานที่แบบนี้
ร่างสูงเดินขึ้นไปชั้นบนของร้านที่ค่อนข้างจะสงบกว่าข้างล่างเล็กน้อย วีรนนท์ที่มานั่งจองโต๊ะเอาไว้อยู่ก่อนแล้วพร้อมกับมาริสาและนัทนทีลุกขึ้นมาโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเดินตรงเข้าไปหา
“แหม กว่าจะมาได้นะ พวกเรานึกว่าแกจะขับรถหลงทางไปบ้านคุณติณภพแล้ว”
“เออ ก็เกือบไปแล้วเหมือนกันว่ะ”
นัทนทีเอ่ยปากแซวนิธิศทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ลืมที่จะรับมุกของเพื่อนสนิทเช่นกัน
เมื่อเช้านี้นิธิศขับรถพาวิพารันต์ไปส่งที่บ้านของติณภพตามข้อตกลงหนึ่งวันในหนึ่งอาทิตย์ของอีกฝ่าย ก่อนจะขอตัวกลับออกมานั่งๆนอนๆอยู่ที่คอนโดคนเดียว ถึงแม้จะรู้สึกยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้เขาก็คงต้องค่อยๆปรับตัวกับช่วงวันหยุดที่ต้องแบ่งเวลาของเขากับเจ้าตัวเล็กไปให้ติณภพครึ่งหนึ่ง เพื่อให้พ่อลูกได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันบ้าง
“เฮ้อ คิดแล้วมันก็ตลกดีนะ อยู่ดีๆน้องรันก็กลายไปเป็นลูกของคุณติณภพซะอย่างนั้น ตอนฉันเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ครั้งแรกนี่แทบจะไม่อยากเชื่อ”
มาริสาว่าพลางใช้หลอดเขี่ยน้ำหวานในแก้วเล่น
เรื่องราวของวิพารันต์ที่ตกเป็นข่าวดังอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงสองสามวันก่อนถูกนำมาเป็นประเด็นการพูดคุยกันในวงสนทนาอีกครั้งในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
“อย่าว่าแต่แกเลยสา พวกฉันเองก็ยังแทบจะไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เออไอ้ไนท์ แล้วนี่ที่ข่าวก็ออกมาครึกโครมเสียขนาดนี้ทางฝั่งญาติๆของคุณติณภพเขามีท่าทีต่อต้านอะไรกันบ้างไหมวะ”
นัทนทีหันมาถามถึงเรื่องราวที่ตัวเองคิดว่าน่าเกิดขึ้น เพราะเรื่องสำคัญแบบนี้ ตัวของญาติๆฝั่งนั้นเองก็คงจะมีหลายคนที่ไม่ยังไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆ
“อืม...มันก็ต้องมีบ้างนิดหน่อยแหละ แต่ก็ทำได้แค่เขม่นๆใส่เท่านั้นล่ะนะ เพราะหลักฐานมันก็ชัดขนาดนั้นแล้ว อีกอย่างคุณติณภพเองก็ออกโรงยื่นคำขาดไปแล้วด้วยว่าถ้าใครไม่พอใจ จะเลิกนับญาติกันไปเลยก็ได้ แล้วแบบนี้ใครจะกล้า”
“โห นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าลูกข้าใครอย่าแตะ ฮ่าๆๆ หลงลูกชายเอามากเหมือนกันนะเนี่ยคุณติณภพน่ะ”
“โอ๊ย ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งหวงยิ่งกว่าไข่ในหินอีกล่ะรายนั้น ฉันนี่เห็นมากับตาแล้วเมื่อวันก่อนตอนที่เขามาหาน้องรันที่ร้านฉันน่ะ”
มาริสารีบเสริม
“คนเป็นพ่อน่ะจะทั้งรักทั้งหลงลูกขนาดนั้นก็คงไม่แปลกหรอก ก็ดูขนาดเพื่อนพวกเราดิ ขนาดไม่ใช่พ่อยังเห็นอาการหนักไม่แพ้กัน นี่ถ้าตอนนี้ไม่มีวันที่น้องรันต้องกลับบ้านไปอยู่กับคุณพ่อล่ะก็ วันนี้คงไม่ได้เห็นหน้ามันหรอก”
วีรนนท์ที่นั่งเงียบอยู่นานเมื่อได้โอกาสก็ไม่พลาดที่จะขอร่วมวงแซวเพื่อนกับเขาบ้าง ทำเอาเจ้าตัวอย่างนิธิศเองได้แต่นั่งเงียบเพราะเถียงไม่ออกไปพักหนึ่ง
...เรื่องกัดจิกเขาล่ะก็ต้องยกให้พวกนี้เลยจริงๆสิน่า
ทั้งสี่คนนั่งดื่มและพูดคุยสังสรรค์กันอยู่แบบนั้นเป็นนาน จนเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาใกล้จะเที่ยงคืนเต็มทีถึงได้แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง
แสงไฟสีส้มที่เปิดอยู่ตามรายทาง ท้องถนนในเวลาค่อนคืนแบบนี้ที่มีรถไม่ค่อยมากนัก นิธิศดับเครื่องปรับอากาศในรถแล้วลดกระจกหน้าต่างลงจนสุด สายลมเย็นๆที่ปะทะเข้ามาที่หน้าช่วยให้อาการมึนศีรษะจากสิ่งที่เพิ่งดื่มเข้าไปดีขึ้นเล็กน้อย ดึกป่านนี้เจ้าตัวเล็กของเขาคงจะหลับไปแล้ว
กว่านิธิศจะกลับมาถึงห้องได้ก็เวลาตีหนึ่งพอดี ร่างสูงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนให้เรียบร้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม
คืนแรกในรอบเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ต้องนอนคนเดียว มือใหญ่เอื้อมไปดึงหมอนของวิพารันต์ที่วางอยู่ใกล้ๆเข้ามากอดไว้แนบอกแล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่ติดอยู่ของใครอีกคนที่คุ้นเคย
คืนนี้ไม่ได้นอนกอดคน...แต่อย่างน้อย ขอกอดหมอนหน่อยก็ยังดีล่ะนะ...
............................
..............................................
“คุณหนูคะ คุณท่านคะ คุณนิธิศมาแล้วค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาบอกติณภพที่กำลังใช้เวลาพักผ่อนนั่งเล่นกับวิพารันต์ลูกชายสุดที่รักอยู่ในห้องรับแขก ก่อนที่ร่างสูงจะเป็นฝ่ายเดินตามเข้ามาทีหลัง
“มารับแต่เช้าเลยนะ ถ้ายังไงก็นั่งคุยกันก่อนสิ”
“ครับ ขอบคุณครับท่าน”
ปากก็ขานรับติณภพไป แต่ทว่าสายตาของนิธิศกลับจับจ้องอยู่ที่ใครอีกคน ซึ่งก็เอาแต่ชะเง้อรออีกฝ่ายมารับกลับบ้านตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วไม่ต่างกัน
“ฮึ่ม...”
ติณภพกระแอมขึ้นเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นส่วนเกินของทั้งสองคน ก่อนที่เขาจะเริ่มเข้าเรื่องสำคัญที่เมื่อวานเขาพาวิพารันต์ไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเรื่องของกล่องเสียงมาตามคำแนะนำของเพื่อน
และจากการที่คนเป็นพ่อได้ไปคุยกับทางแพทย์มาโดยตรง ก็ทำให้ได้ข้อสรุปคร่าวๆว่า อาการพูดไมได้แบบนี้ของเจ้าตัวเล็กเกิดมาจากความผิดปกติของกล่องเสียงที่เจ้าตัวมีมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจากคำวินิจฉัยแล้ว สาเหตุในเรื่องนี้น่าจะเกิดจากการที่ร่างบางได้รับผลกระทบอะไรบางอย่างระหว่างที่อยู่ในครรภ์ของมารดา
“บางทีเรื่องนี้ก็คงจะเป็นความผิดของผมด้วย”
ท่านประธานอธิบายให้นิธิศฟังมาถึงตรงนี้แล้วก็อดที่จะโทษตัวเองอีกครั้งไม่ได้ ความเครียดของวิชุดาที่หาทางออกไม่ได้ในตอนนั้นอาจจะทำให้เธอเผลอทำอะไรที่ส่งผลกระทบถึงวิพารันต์ในท้องก็เป็นได้
“แต่ก็นะ เรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้วก็คงไม่มีใครกลับไปแก้ไขได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ผมก็เลยคิดว่าผมสมควรจะทำสิ่งที่สามารถทำได้ชดเชยให้ลูกแทน...หมอบอกว่าตัวเล็กอาจจะกลับมาพูดได้เหมือนคนปกติถ้าลองได้รับการผ่าตัดกล่องเสียงดูสักครั้ง...”
“ผ่าตัดกล่องเสียง...อย่างนั้นเหรอครับ?”
นิธิศเอ่ยถามกลับไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ความเคยชินที่อีกฝ่ายสื่อสารกับเขาผ่านทางภาษากายและตัวหนังสือกลายเป็นเรื่องธรรมดา จนทำให้ตัวเขาเองลืมที่จะคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ครับ ผมจะให้รันเข้ารับการผ่าตัด ผมอยากให้ตัวเล็กสามารถพูดออกเสียงได้เหมือนคนปกติ รันจะได้ไปเรียนหนังสือ ไปทำกิจกรรมอย่างที่เด็กคนอื่นเขาทำกันได้โดยไม่คิดว่าตัวเองมีปมด้อย ซึ่งในฐานะที่คุณเองก็เป็นคนที่ดูแลรันมาก่อนผม ผมเลยอยากจะถามคุณสักหน่อย ว่าคุณมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
“ไม่ครับ เรื่องการผ่าตัดผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณโทรบอกคุณมาริสาให้ผมด้วยนะว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมารับรันไปอยู่ที่ร้าน เพราะผมจะมารับรันไปทำพาสสปอร์ตตั้งแต่เช้า...”
“ทำพาสสปอร์ต? ท่านไม่ได้จะให้รันรักษาที่นี่เหรอครับ”
“อืม...ก็ประมาณนั้นแหละนะ พอดีช่วงเดือนหน้าผมต้องบินไปดูงานบริษัทที่อเมริกาพอดีน่ะ ก็เลยคิดว่าจะพาเจ้าตัวเล็กไปทำการผ่าตัดที่นั่นด้วยเลย เพราะผมเองก็สั่งให้คนติดต่อหมอกับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของทางนั้นเอาไว้แล้วด้วยเหมือนกัน”
ติณภพพูดพลางยื่นมือไปลูบศีรษะวิพารันต์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“ส่วนเรื่องกำหนดการไปหรืออะไรยังไง ถ้าแน่นอนแล้วผมจะบอกอีกทีแล้วกันนะ คุณจะได้เตรียมตัวลางานได้ถูก เพราะผมแน่ใจว่าตัวเล็กคงอยากให้คุณไปด้วยแน่ๆ”
“ครับท่าน”
นิธิศรับคำอีกฝ่ายก่อนที่บทสนทนาในเรื่องนี้จะจบลงแล้วถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทน และกว่าที่คนเป็นพ่อจะปล่อยให้วิพารันต์กลับคอนโดไปกับเขาได้ก็กินเวลาไปนานกว่าครึ่งวัน ซึ่งตัวนิธิศเองก็ทำอะไรไปไม่ได้นอกจากนั่งเฉยๆมองวิธีโกงเวลาการอยู่กับลูกชายได้มากขึ้นของคุณพ่อตา ที่สามารถวางแผนการตลาดซื้อใจลูกชายได้ดีสมกับเป็นนักธุรกิจชื่อดังจริงๆ
ถ้าเป็นแบบนี้นะบางที คราวหน้า...ก่อนที่จะมาส่งวิพารันต์ที่นี่ ตัวเขาเองก็คงต้องลองวางแผนการตลาดมาใช้ทวงเวลาของเขากับเจ้าตัวเล็กคืนบ้างแล้วล่ะ...
............................
..........................................
ติณภพมารับวิพารันต์ถึงที่ห้องตั้งแต่เช้าตามที่บอกกับนิธิศไว้เมื่อวาน แต่ดูเหมือนว่าคำว่าเช้าของเขาจะ‘เช้า’ เกินไปเสียหน่อยเลยทำให้คนเป็นพ่อมีโอกาสได้เห็นลูกชายสุดที่รักเดินออกมาเปิดประตูให้พร้อมกับคนที่เขายังไม่อยากจะเรียกอย่างเต็มปากเต็มคำว่าลูกเขยทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดนอนกันทั้งคู่
“ลูกผมยังเด็ก เวลาคุณจะทำรอยอะไรไว้ก็ควรจะให้มันมิดชิดกว่านี้หน่อย เพราะถ้าใครเห็นเข้าคงจะมองตัวเล็กไม่ดี”
ความหวงลูกชายที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และนั่นก็คือสิ่งที่ท่านประธานพูดกับนิธิศในเช้าวันนั้นหลังจากที่เจ้าตัวสังเกตเห็นรอยจูบบนต้นคอขาวของลูกชายที่เขาเผลอทำทิ้งเอาไว้ เพราะถึงแม้ความสัมพันธ์พวกของเขาทั้งสองคนจะยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นมีอะไรกันลึกซึ้ง เพราะนิธิศยังอยากรอให้วิพารันต์พร้อมมากกว่านี้ก่อน แต่บางทีการกอดจูบกันธรรมดามันก็ทำให้ร่างสูงอดใจไม่ได้ที่จะต้องฝากรอยอะไรเล็กๆน้อยๆเป็นการตรีตราจองเอาไว้บนผิวขาวๆบ้าง
วันเวลาที่เดินเร็วเสียจนเหมือนโกหก ตั๋วเที่ยวบินที่ถูกซื้อไว้ระบุวันและเวลาออกเดินทางคือตอนบ่ายโมงตรงของวันพรุ่งนี้ ซึ่งการทำหนังสือเดินทางของวิพารันต์ในวันนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แต่ทว่าสิ่งที่มีปัญหากลับเป็นเรื่องการลางานของนิธิศเอง เนื่องจากโปรเจ็คงานขนาดย่อมที่เขาเป็นฝ่ายรับผิดชอบอยู่นั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี และทางเจ้านายของเขาเองก็มีข้อแม้ว่าจะอนุมัติการลาพักร้อนยาวครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเคลียร์งานนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
‘พี่ไนท์จะไม่ไปพร้อมกันจริงๆเหรอ...’วิพารันต์ยกกระดานไวท์บอร์ดอันเล็กน่ารักให้คนที่นั่งซ้อนหลังช่วยเขาจัดข้าวของที่เหลือใส่กระเป๋าเดินทางอยู่อ่าน
“พี่ต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนถึงจะตามไปได้นะครับ”
‘แต่รันอยากให้พี่ไนท์ไปพร้อมกันเลย...’ไม่เคยอยากเป็นแบบนี้ ไม่เคยอยากให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ แต่เฉพาะกับเรื่องนี้เท่านั้นที่ห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ อยากเอาแต่ใจ เพราะเพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ห่างกัน เพียงแค่คิดว่าจะไม่มีคนคนนี้อยู่ข้างๆตัวแม้จะเป็นแค่ในช่วงระยะหนึ่งเขาก็รู้สึกได้ถึงความเหงาแล้ว
“พี่ก็อยากทำแบบนั้นนะครับ แต่คนเราทุกคนก็ต้องมีหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบนะรู้ไหม รันเป็นเด็กดีอย่างอแงนะ”
นิธิศอธิบายแล้วหันหน้าไปหอมแก้มนุ่มนิ่มเข้าให้ฟอดใหญ่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปพร้อมกับเจ้าตัว ไม่ใช่ว่าไม่ห่วง ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ที่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกร้อนใจมากนักก็เพราะอย่างน้อยตอนนี้วิพารันต์ก็มีติณภพดูแลอยู่ในระดับหนึ่งแล้วไม่เหมือนกับเมื่อก่อนซึ่งเจ้าตัวมีแต่เขาเพียงคนเดียว
‘งั้นพี่ไนท์สัญญาได้ไหม...สัญญาว่าจะรีบตามไปให้ทันก่อนที่รันจะเข้ารับการผ่าตัด’นิ้วก้อยเล็กๆถูกยื่นออกมาตรงหน้าก่อนจะหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งกอดเอวตัวเองอยู่
กลัว...กลัวจริงๆว่าอีกคนจะตามไปไม่ทันช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิต
“ครับ พี่สัญญา...”
ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปเกี่ยวกับนิ้วเล็กของอีกฝ่ายแทนคำสัญญา ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองคนจะเคลื่อนมาแตะสัมผัสถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้กันและกันแผ่วเบา
สัญญาที่ต้องทำ สัญญาที่ต้องรักษาให้ได้แม้ว่านิธิศเองจะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็ตาม เพราะจากการอ่านรายละเอียดกำหนดการคร่าวๆที่ติณภพแฟ็กซ์มาให้ก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เขาทราบว่ากำหนดการการผ่าตัดของวิพารันต์นั้นจะเริ่มขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวไปถึงที่นั่นแล้วสองอาทิตย์
สองสัปดาห์ สิบสี่วัน สามร้อยสามสิบหกชั่วโมง หรือสองหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบนาทีที่เขามีสำหรับการเร่งสะสางงานนี้ให้เสร็จ ต่อให้ไม่ได้นอน ก็คงต้องยอมแล้วล่ะนะ...........................
...........................................
เวลาสิบเอ็ดโมงของอีกวัน
ภายในสนามบินที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินกันให้ขวักไขว่ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ปะทะเข้ากับผิวเนื้อยามเมื่อเดินพ้นประตูเข้ามาให้ความรู้สึกแตกต่างจากอุณหภูมิที่ร้อนจัดของภายนอกโดยสิ้นเชิง นิธิศช่วยวิพารันต์ลากกระเป๋าเดินทางขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กสองใบเข้ามาหาติณภพที่มายืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับบอดี้การ์ดและสาวใช้ที่จะต้องไปด้วยอีกสองสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นพอเห็นเขาลากกระเป๋าของคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นคุณหนูของบ้านมาก็รีบเข้ามาช่วยรับไปทันที
“ตัวเล็ก ใส่เสื้อแค่นี้มันบางไปไหมลูก ที่นั่นอากาศมันเย็นกว่าที่นี่มากเลยนะ”
ติณภพว่าพลางมองสำรวจลูกชายที่ตอนนี้อยู่ในชุดกางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อยืดสีชมพูอ่อนที่มีเพียงเสื้อกั๊กตัวเล็กใส่ทับอยู่อีกที พร้อมกับกระเป๋าสะพายติดตัวอีกใบที่นิธิศใส่ของที่จำเป็นอย่างยาแก้เมาและหมากฝรั่งเอาไว้ให้
วิพารันต์เองพอได้ยินคนเป็นพ่อถามแบบนั้นก็รีบบุ้ยปากไปยังร่างสูงทางด้านหลังที่บนแขนมีเสื้อคลุมขนหนานุ่มพาดอยู่ให้เห็น...เสื้อกันหนาวของเขาที่นิธิศเป็นคนพาไปซื้อมาเมื่อวันก่อน
“ผมเตรียมมาให้แล้วครับ แต่เผอิญตอนนี้เห็นอากาศมันยังร้อนอยู่ ผมเลยถือเอาไว้ให้ก่อน”
นิธิศเป็นคนเอ่ยปากตอบติณภพแทนเจ้าของเสื้อ
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ อืม...ก่อนจะขึ้นเครื่องยังมีเวลาอีกสักสองชั่วโมงเราไปหาร้านนั่งดื่มกาแฟกันสักหน่อยน่าจะดี”
ท่านประธานเอ่ยปากขึ้นชวนแล้วจูงมือเล็กของวิพารันต์เดินนำทุกคนไปยังร้านเบเกอรี่ยี่ห้อดังร้านหนึ่งที่เปิดให้บริการอยู่ภายในสนามบิน
เค้กวานิลลาสีขาวพร้อมกับเครื่องดื่มช็อกโกแลตเย็นที่คนเป็นพ่อสั่งมาให้ลูกชายโดยเฉพาะถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะให้เจ้าตัวได้นั่งกินไปพลางๆ ในขณะที่ของเขาและนิธิศมีเพียงแค่กาแฟร้อนคนละแก้วเท่านั้น
การนั่งพูดคุยกันภายในร้านดำเนินไปจนใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องเต็มที บรรดากระเป๋าที่ต้องโหลดลงใต้เครื่อง และเอกสารการเดินทางของทุกคนถูกนำขึ้นมาตรวจเช็คความเรียบร้อยเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ส่วนมาริสาเองที่ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่สามารถออกจากร้านมาส่งวิพารันต์ขึ้นเครื่องได้ เนื่องจากไม่มีใครอยู่เฝ้าร้าน แต่เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์โทรเข้าเครื่องนิธิศมาขออวยพรให้ร่างบางแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงักกับโทรศัพท์คนเดียวโดยที่เธอไม่เห็นก็ตาม
“เดี๋ยวตอนขึ้นเครื่องไปแล้วรันอย่าลืมทานยาแก้เมาที่พี่ใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยนะครับ แล้วถ้าเกิดหูอื้อก็หยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวนะ หรือถ้ารู้สึกไม่ดียังไงก็ให้รีบบอกคุณพ่อเลยนะครับ”
วิพารันต์พยักหน้ารับคำของนิธิศก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หากแต่รู้ได้เพียงแค่ว่ายิ่งใกล้เวลาเดินทางเข้ามามากเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ยิ่งรู้สึกโหวงเหวงในอกมากเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงนะคนเก่ง งานเสร็จเมื่อไหร่พี่จะรีบบินตามไปทันทีเลย”
ร่างสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอดไว้พร้อมกับจูบเบาๆที่กลุ่มผมนิ่มอย่างเข้าใจความรู้สึก ซึ่งวิพารันต์เองก็ซุกหน้าลงกับอกอุ่นแล้วกอดนิธิศเอาไว้แน่นเช่นกันเหมือนต้องการจะเก็บช่วงเวลานี้เอาไว้ให้นานที่สุด
...เก็บเอาไว้ใช้ เก็บเอาไว้ให้รู้สึก เก็บเอาไว้ให้อุ่นหัวใจในช่วงระยะเวลาอีกหลายวันข้างหน้าที่จะไม่ได้เจอกัน...
“ไม่ร้องแล้วนะเด็กน้อย รีบใส่เสื้อคลุมก่อนนะครับ ใกล้จะได้เวลาแล้วเดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน”
เสียงประกาศจากทางสนามบินถึงเที่ยวบินที่จะต้องขึ้น ทำให้นิธิศต้องจำใจคลายอ้อมกอดจากวิพารันต์แล้วหันไปหยิบเสื้อคลุมที่เตรียมไว้มาใส่ให้เจ้าตัวเล็กที่ยืนปาดน้ำตาอยู่ป้อยๆ
“เป็นเด็กดีอย่าดื้อกับคุณพ่อนะ ไปถึงที่นั่นแล้วถ้าหนาวมากก็อย่าลืมหยิบผ้าพันคอขึ้นมาพันด้วยเดี๋ยวจะไม่สบาย แล้วก่อนนอนก็อย่าลืมห่มผ้าหนาๆด้วยล่ะ...พี่เป็นห่วงนะครับคนดี”
พูดพลางก็ใช้มือช่วยเช็ดหยาดน้ำตาออกจากพวงแก้มนวลเบาๆ ก่อนที่จะจูงมือพาคนตัวเล็กเดินไปหาติณภพที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
“ยังไงถ้างานเสร็จแล้วก็รีบตามไปล่ะคุณนิธิศ...”
คนเป็นพ่อตาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะโอบไหล่ลูกชายเดินผ่านประตูเข้าไปรอขึ้นเครื่องทางด้านในพร้อมกับคนติดตามอีกสองสามคน
‘รีบตามมาเร็วๆนะพี่ไนท์...’ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาหลังจากที่เขาเดินพ้นออกมาจากสนามบินได้ไม่นาน นิธิศยิ้มให้กับข้อความนั้นก่อนที่จะตั้งใจพิมพ์ข้อความส่งตอบกลับไปให้อีกฝ่าย
‘แน่นอนครับ...ก็เราเกี่ยวก้อยสัญญากันไปแล้วนี่นา’TBC.
Rewrite
มาแล้วนิยายรายอาทิตย์!? 555 งงกันไหมตอนนี้ หมู่นี้เขียนแล้วกลัวคนอ่านงงกัน 555 ช่วงนี้ถ้าผิดพลาดหรือเขียนไม่ถูกใจประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ เพราะคนเขียนเองยังเขียนไปแล้วรู้สึกเขียนไม่ค่อยได้ดั่งใจตัวเองยังไงไม่รู้ (ก็ไม่ได้ดั่งใจมันซะทุกตอนล่ะนะ55)
อากาศร้อนทำให้ความสามารถในการเขียนลดลงจริงๆ ร้อนจนไมเกรนขึ้นไปสองวัน TT
เท่าที่ลองวางๆพล็อตไว้รู้สึกเรื่องมันใกล้จะจบ แหะๆ แต่ยังไม่รู้ว่าอีกกี่ตอน
มีอะไรอยากจะจะแนะนำก็บอกมาได้นะคะ คนเขียนยังอ่อนด้อยยิ่งนัก
ป.ล.ขอบคุณทุกการติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และคำแนะนำค่ะ