17
ผ่าตัด
การเริ่มต้นทำโปรเจ็คงานในความรับผิดชอบของนิธิศเริ่มขึ้นทันทีที่เขากลับมาหลังจากไปส่งวิพารันต์ที่สนามบินแล้ว
วันเวลาไม่เคยรอใคร เขาต้องทำงานแข่งกับมันด้วยปัจจัยที่มีจำกัดเช่นนี้…
ผู้ร่วมงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชิ้นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะทำงานนี้ให้ออกมาเสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด การทำงานล่วงเวลาที่เกิดขึ้นในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งถึงแม้จะมีบางคนที่บ่นกระปอดกระแปดไปบ้าง เพราะนั่นหมายความว่าในช่วงนี้วันหยุดงานที่เคยมีจะหายวับไปกับตา แต่ทว่าคนส่วนใหญ่ก็เต็มใจที่จะสละเวลาพักผ่อนของตัวเองมาช่วยนิธิศ หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลจำเป็นของคนเป็นผู้จัดการแล้ว
“พัดว่าคุณไนท์น่าจะพักสักหน่อยนะคะ”
พัดชาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะตลอดสองสามวันที่ผ่านมานี้เจ้านายของเธอแทบจะใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในบริษัทครบยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้ว
“ผมไม่เป็นไรครับคุณพัดชา ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
ร่างสูงว่าในขณะที่สายก็ยังจับจ้องอยู่ที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของตัวเอง โดยที่ไม่แม้แต่จะยอมเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย
เวลาในการทำงานของเขาเหลือน้อยลงทุกวินาที...
“แต่พัดว่า...”
“อืม...ผมรบกวนคุณพัดชาช่วยเอาแผนการตลาดนี้ไปให้คุณรุจิราแก้ไขให้หน่อยได้ไหมครับ แล้วบอกเธอด้วยว่าถ้าไม่เข้าใจตรงไหนให้รีบเข้ามาถามผมทันที”
“ได้ค่ะ...แต่คุณไนท์...”
“ขอกาแฟให้ผมสักถ้วยก็พอครับ...”
เลขาสาวยื่นมือมาหยิบแฟ้มเอกสารที่นิธิศสั่งก่อนจะต้องถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกไปจากห้องเพราะดูท่าแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะไม่อยากให้เธอเซ้าซี้อะไรไปมากกว่านี้
..........................
........................................
หนึ่งอาทิตย์กว่าแล้วสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยของวิพารันต์ เวลาที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับประเทศไทยทำให้เจ้าตัวต้องปรับตัวเป็นอย่างมากในวันแรกที่มาถึง ซึ่งกว่าที่วิพารันต์จะทำตัวให้ชินกับเวลาใหม่ของที่นี่ได้ก็เพิ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง
บ้านพักต่างอากาศที่คนตัวเล็กกำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นบ้านของติณภพที่เจ้าตัวซื้อทิ้งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับพักอาศัยเวลาที่ต้องเดินทางมาดูงานที่นี่ในช่วงที่ธุรกิจของเขาเริ่มขยายตลาดออกมาลงทุนร่วมกับบริษัทในประเทศนี้ใหม่ๆ
“ตัวเล็ก พ่อกลับมาแล้วลูก...”
ติณภพที่เพิ่งกลับเข้ามาส่งเสียงเรียกลูกชายสุดที่รักซึ่งเขาไม่สามารถพาออกไปทำงานด้วยได้ จึงต้องให้เจ้าตัวนั่งเล่นอยู่ภายในบ้านคนเดียวโดยถ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษก็ให้บอกกับสาวใช้อีกสองคนที่พามาด้วย
“เพลง พลอย คุณหนูไปไหน”
คนเป็นพ่อเอ่ยถามสาวใช้ในบ้านเมื่อไม่เห็นวี่แววของวิพารันต์ที่ปกติจะนั่งเล่นอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
“วันนี้ทั้งวันคุณหนูเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องนอนทั้งวันไม่ยอมออกมาข้างนอกเลยค่ะ”
หนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนตอบ
“แล้วได้ทานอะไรบ้างหรือยัง”
“ตอนกลางวันคุณหนูไม่ยอมทานข้าว เพลงเลยเอานมเข้าไปให้ดื่มแทนค่ะ”
“อืม...งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปดูเอง ทั้งสองคนไปจัดโต๊ะอาหารรอเลยแล้วกัน”
สายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง อากาศในช่วงฤดูใบไม่ผลิที่ไม่หนาวจัดจนเกินไปแต่ก็เย็นพอที่จะทำให้คนที่คุ้นเคยแต่กับอากาศของประเทศในเขตร้อนต้องสวมเสื้อคลุมทับสักชั้นเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ่งคนตัวเล็กเองก็ยังยืนยันที่จะใส่แต่เสื้อกันหนาวตัวเดิมโดยไม่ยอมเปลี่ยน แม้ว่าจะผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วก็ตาม...เสื้อกันหนาวตัวเดิมกับวันแรกที่ใส่มา
เสื้อกันหนาว...ตัวที่นิธิศเป็นคนใส่ให้เขาเองกับมือตอนอยู่ที่สนามบิน...“ตัวเล็ก...เป็นอะไรไปลูก”
ประตูห้องนอนที่ไม่ได้ล็อคเอาไว้ ติณภพเดินเข้าไปหาลูกชายแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ
วิพารันต์หันกลับมามองคนเป็นพ่อแล้วขยับตัวเข้ามากอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้แน่น กอด...กอดที่เหมือนกันแต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อุ่น...ความรู้สึกที่สัมผัสได้เพียงแค่ร่างกาย ทว่าเข้าไปไม่ถึงจิตใจ...
ไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมา เหงา...ความรู้สึกที่เคยคิดว่าเข้าใจดี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้เลยว่าที่ผ่านมานั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
...เหงาจนอยากจะร้องไห้...“สองคนนั้นบอกว่าตอนกลางวันลูกไม่ได้ทานข้าว ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าหืม”
ติณภพถามพลางยกมือขึ้นมาอังที่หน้าผากเล็กอย่างนึกเป็นห่วง แต่เจ้าตัวเองก็ส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรก็ต้องทานข้าวนะลูก ปะ...ไปทานข้าวกับพ่อนะ”
พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามคนเป็นพ่อออกไปจากห้อง ไม่ได้หิว ไม่ได้อยากกิน แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้
อาหารมื้อเย็นที่ดำเนินผ่านไปอย่างเรียบง่ายอีกหนึ่งวัน ช่วงนี้นิธิศคงจะกำลังยุ่งมากกับการสะสางงาน
เข็มนาฬิกาที่ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆชี้บอกเวลาสองทุ่ม เวลาที่ไม่ตรงกัน เวลาที่ห่างกันถึงสิบสองชั่วโมงด้วยระยะทางที่ห่างกันคนละซีกโลก...ตอนนี้ที่ประเทศไทยก็คงจะประมาณแปดโมงเช้าพอดี
เดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งเมื่อทำธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มบนเตียงขนาดใหญ่ ขนาดที่ดูยังไงก็ใหญ่เกินไปสำหรับการนอนคนเดียว...
ขดตัวเองเข้ากับผ้าห่มผืนหนา มือเล็กกอดกระชับเสื้อคลุม‘ตัวเดิม’ให้เข้ามาแนบกับผิวเนื้อมากขึ้น สิ่งเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของใครอีกคนที่คุ้นเคย กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของนิธิศที่ยังติดอยู่บนเสื้อแม้ว่าตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาจะทำให้มันเริ่มจางไปบ้างแล้วก็ตาม ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น แต่อย่างน้อย...นั่นก็ทำให้เจ้าตัวผ่านค่ำคืนเหงาๆแบบนี้ไปได้อีกคืนล่ะนะ...
ทางด้านอีกฟากฝั่งของซีกโลก การทำงานต่อเนื่องโดยที่ไม่มีวันหยุดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
นิธิศละสายตาของตัวเองขึ้นมาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วใช้มือนวดขมับเบาๆ เขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่สี่วันเท่านั้นก่อนที่วิพารันต์จะต้องเข้ารับการผ่าตัดตามกำหนดการ ความกังวลที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ เขารับปากกับเจ้าตัวเล็กไปแล้วและเขาจะผิดคำสัญญาไม่ได้
อาการปวดหัวตุบๆที่รุมเร้าอยู่ในช่วงสองสามวันนี้ดูเหมือนจะเป็นหนักขึ้นเนื่องจากร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนน้อย มือใหญ่เอื้อมไปกดเครื่องอินเตอร์คอมที่วางอยู่บนโต๊ะบอกให้เลาขาสาวนำน้ำเปล่ากับยาแก้ปวดเข้ามาให้เขาสักสองเม็ด
“พัดบอกให้พักก็ไม่ฟังกันบ้างเลย ทำแบบนี้เดี๋ยวตอนงานเสร็จจะได้ลาป่วยแทนลากิจเอานะคะ...”
พัดชาว่าพลางวางถาดยาพร้อมกับแก้วน้ำสะอาดไว้บนโต๊ะทำงานของนิธิศ
“คุณพัดชาก็พูดเกินไป ผมรู้ตัวเองดี เรื่องอดนอนนิดๆหน่อยๆแค่นี้ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
หลายคนคงไม่รู้ว่านิธิศเป็นพวกประเภทดื้อเงียบ เนื่องจากเจ้าตัวจะไม่ได้มีอาการอย่างนี้ให้ใครเห็นบ่อยมากนักนอกจากคนเป็นแม่ที่เสียไปแล้วกับเพื่อนสนิทสามคนที่คบกันมานาน แต่ถ้าหากเกิดเจ้าตัวเป็นแบบนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ใครก็อย่าคิดห้ามเสียให้ยากเลยทีเดียวเพราะนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการเหนื่อยเปล่า
“ค่ะๆ รู้ตัวเองก็ดีแล้วค่ะ งั้นถ้าคุณไนท์ต้องการอะไรอีกก็เรียกพัดได้นะคะ”
พัดชาพูดอย่างอ่อนใจก่อนจะยื่นมือไปรับถาดกับแก้วเปล่าที่อีกฝ่ายส่งให้แล้วเดินออกไปจากห้อง
สองนาทีสำหรับการพักหลับตาในห้องทำงานสี่เหลี่ยมหลังจากทานยาแก้ปวดเข้าไปแล้ว นิธิศสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอยู่สองสามทีเพื่อไล่อาการง่วงก่อนจะเริ่มกลับมาทำงานต่ออีกครั้ง
ลงทุนทำขนาดนี้แล้ว...ถ้างานมันจะไม่เสร็จก็ให้มันรู้ไปสิ
...........................
..........................................
งานที่ยากก็จะยากอยู่อย่างนั้นหากเราไม่ลงมือทำ เพราะในความเป็นจริงแล้วหากเพียงแค่เราลองลงมือทำก่อนสิ่งที่เราคิดว่ายากที่สุดอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป...
ความจริงในข้อนี้นิธิศเป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นแล้วเมื่อเขาเร่งทำงานอย่างหนักต่อเนื่องกันเกือบสองสัปดาห์ จนในที่สุดโปรเจ็คงานนี้ของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ทันวันเวลาที่จองตั๋วเครื่องบินเอาไว้อย่างฉิวเฉียด ซึ่งตัวนิธิศเองก็เลือกสายการบินที่บินตรงจากไทยไปถึงที่นั่นเลยโดยไม่พักเครื่องที่ประเทศไหนก่อนเพราะนั่นจะทำให้เขาเสียเวลารอเปลี่ยนเครื่องอีกสามถึงสี่ชั่วโมง
แต่ถึงจะคิดคำนวณเวลาเอาไว้แบบนั้นแล้วก็ยังมีอันต้องเสียเวลาไปอีกจนได้เมื่อสายการบินที่เขาเลือกเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เครื่องต้องดีเลย์อีกเกือบสองชั่วโมง ซึ่งพอบวกกับชั่วโมงบินปกติที่ต้องใช้ระยะเวลาถึงสิบกว่าชั่วโมงแล้วก็ทำให้นิธิศมาถึงที่นี่ในเวลาเก้าโมงเช้าของวันที่วิพารันต์จะต้องเข้ารับการผ่าตัดพอดี
ร่างสูงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่ถูกเปลี่ยนระบบให้โทรได้ในต่างประเทศเรียบร้อยแล้วขึ้นมากดโทรหาติณภพทันทีที่ลงจากเครื่องได้เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขามาถึงแล้ว
ขายาวก้าวเร็วๆออกมาจากสนามบินแล้วอาศัยโดยสารรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาลตามที่ติณภพบอกมาตามสาย ตอนนี้เขามีเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นสำหรับการเดินทางไปเจอเจ้าตัวเล็กตามคำสัญญา...
หลายวันที่ผ่านมานี้วิพารันต์ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเพื่อตรวจร่างกาย จนเพิ่งจะเมื่อวานนี้เองที่ทางแพทย์สั่งให้ร่างบางอยู่นอนค้างที่นี่เลยเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการผ่าตัดที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ภายในห้องพักของผู้ป่วย ดวงตากลมโตของร่างบอบบางในชุดปลอดเชื้อสีเขียวกำลังจ้องมองอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ให้ดู ท่าทางภายนอกของเจ้าตัวที่ดูเหมือนสนอกสนใจกับบทสนทนาภาษาที่ไม่คุ้นเคยในนั้น หากแต่ความจริงแล้วในตอนนี้จิตใจของเจ้าตัวกำลังจดจ่ออยู่กับการรอคอยการมาถึงของใครอีกคน
เสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้น...
รีบหันไปมองตามเสียงนั้นเผื่อว่าจะเป็นใครที่รออยู่...แต่ก็ไม่ใช่
“เมื่อกี้พี่ไนท์ของลูกโทรมาบอกพ่อว่าลงจากเครื่องแล้ว แต่พ่อไม่แน่ใจว่าจะมาทันตอนลูกเข้าไปไหม เพราะระยะทางกว่าจะมาถึงที่นี่มันก็ไกลพอสมควร...”
ติณภพเอ่ยขึ้นพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงข้างๆลูกชาย วิพารันต์หลุบตาลงมองพื้นพลางสองมือเล็กก็เลื่อนมากุมกันไว้หลวมๆ ก็เกี่ยวก้อยสัญญากันเอาไว้แล้ว ก็ต้องทันสิ นิธิศจะต้องมาทัน
...เขาเชื่อแบบนั้น
สายตาที่มองออกไปภายนอกรถสลับกับก้มมองนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ดูเหมือนว่าวันนี้เวลาจะเดินเร็วผิดปกติ แต่ทุกอย่างก็กลับดูเคลื่อนไหวช้าลงชวนให้รู้สึกหงุดหงิด
รถแท็กซี่ขับมาจอดเทียบประตูหน้าโรงพยาบาล...เลยเวลาผ่าตัดมาแล้วเกือบยี่สิบนาที
ร่างสูงมองแผงมิเตอร์ด้านหน้าคอนโซลรถแล้วยื่นเงินพร้อมกับทิปตามธรรมเนียมให้คนขับก่อนจะรีบก้าวยาวๆไปที่แผนกหูคอจมูกตามที่ติณบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้
ทันที...ขอให้ทันทีเถอะ...
“รัน คุณหมอเข้าไปรอยี่สิบนาทีแล้วนะครับ พ่อรู้ว่าหนูอยากจะรอพี่ไนท์ก่อน แต่เดี๋ยวยังไงตอนออกมาก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว หนูเข้าไปก่อนดีไหมลูกเดี๋ยวคุณหมอจะดุเอา”
ติณภพเอ่ยปากกล่อมลูกชายสุดที่รักที่ตอนนี้นั่งอยู่บนรถเข็นคนป่วย โดยมีมีพยาบาลสาวชาวต่างชาติยืนรออยู่ข้างๆเตรียมที่จะพาเจ้าตัวเข้าห้องผ่าตัดได้ทันทีที่เจ้าตัวพร้อม
มือเล็กเอื้อมไปจับมือคนเป็นพ่อเอาไว้แน่นอย่างต้องการจะอ้อน อยากจะรอ อยากจะขออยู่ตรงนี้ให้นานอีกหน่อย เพราะอยากจะเจอ อยากเจอนิธิศ...ก่อนที่เขาจะต้องเข้าไปในห้องที่ดูน่ากลัวแบบนั้น
“โอเคๆ อีกสามนาทีนะครับ พ่อให้เวลาหนูรออีกสามนาทีเท่านั้นนะ ถ้าคราวนี้ถึงพี่ไนท์ของลูกยังไม่มา ลูกก็ต้องเข้าไปแล้วนะ”
และติณภพก็ยังต้องใจอ่อนกับลูกอ้อนของลูกชายเป็นทุกครั้งไป วิพารันต์พยักหน้าตอบตกลงกับข้อแม้ที่ได้รับ นิธิศกำลังจะมา เพราะมั่นใจ เพราะเชื่อใจ เพราะคิดแบบนั้น แม้ว่าจะเป็นเวลาอีกเพียงแค่สามนาที ถึงจะมีเวลาแค่นั้น ก็เลยยังอยากที่จะลองรอดู
ประตูลิฟต์ที่เปิดออก...เสียงของรองเท้าหนังที่เสียดสีกับพื้นดังขึ้นเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าของคนตัวเล็กซึ่งกำลังนั่งหลับตา โดยมือทั้งสองข้างประสานกันอยู่ที่อกภาวนาให้คนที่รออยู่มาให้ทัน
นิธิศหันไปมองหน้าติณภพเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าให้เบาๆแล้วหันไปพูดอะไรสักอย่างกับพยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะพากันเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นเพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยอะไรกันก่อนนิดหน่อย
“พี่มาตามคำสัญญาแล้วนะครับเด็กดี ขอโทษ...ที่ต้องทำให้ต้องรอนานนะ”
ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับคนที่ยังนั่งหลับตาอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างใบหูนิ่ม
การรอคอยที่สิ้นสุดลง...
เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่อยากได้ยินมาตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา วิพารันต์รีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีด้วยความคิดถึง
มาแล้ว มาจริงๆ พี่ไนท์ของเขา...มาแล้วจริงๆ
“คิดถึง พี่คิดถึงรันมากที่สุดเลยรู้ไหม”
นิธิศว่าพลางกอดตอบร่างบางด้วยความรู้สึกที่มากมายไม่แพ้กัน
อุ่น อ้อมกอดที่ทำให้อุ่นได้มากกว่าร่างกาย อ้อมกอดที่ทำให้อุ่นไปถึงหัวใจ อ้อมกอดที่ทำให้อุ่นได้มากกว่าใคร อ้อมกอดที่มีเพียงคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้
“พี่กับคุณพ่อจะนั่งคอยอยู่ข้างนอกนี่นะครับ เดี๋ยวรันเข้าไปแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็ออกมาเจอกันแล้ว ไม่ต้องกลัวนะคนเก่ง”
ร่างสูงว่าแล้วผละออกมากดจูบลงไปที่หน้าผากมนทีหนึ่ง เมื่อเห็นติณภพส่งสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาที่เขาจะต้องปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเข้าไปภายในห้องผ่าตัดแล้ว ซึ่งวิพารันต์เองพอได้เจอกับนิธิศอย่างที่ต้องการแล้วก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะยอมให้พยาบาลสาวเข็นตัวเองเข้าไปภายใน
ประตูที่ปิดลงพร้อมกับร่างของวิพารันต์ที่หายลับเข้าไป แสงไฟสีแดงหน้าห้องสว่างขึ้นบ่งบอกว่าการผ่าตัดได้เริ่มขึ้นแล้ว
นิธิศกับติณภพนั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ เข็มนาฬิกาที่เมื่อหลายนาทีก่อนยังคิดว่าเดินเร็วไปดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเช่นเดียวกับอัตราการเต้นของหัวใจ
“ผมคิดว่าคุณจะมาไม่ทันเสียแล้ว...”
ติณภพเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเมื่อบริเวณนั้นเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
“ก็ไม่รู้จะเรียกว่าทันได้หรือเปล่านะครับ เพราะจริงๆแล้วถ้ารันไม่รอผม ผมเอง...ก็คงจะมาไม่ทันเหมือนกัน”
“ตัวเล็กเชื่อใจคุณมาก แกบอกผมว่าคุณสัญญากับแกเอาไว้แล้ว แล้วคุณก็ไม่เคยผิดสัญญา เพราะเป็นแบบนั้น...แกถึงได้รอ”
นิธิศไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก สายตาของเขาหยุดจ้องมองอยู่ที่ประตูห้องเบื้องหน้าก่อนจะระบายยิ้มบางๆออกมาเมื่อนึกถึงคนที่อยู่ในห้องนั้น...วิพารันต์เชื่อใจเขาเสมอ
“เดินทางมาแบบนี้คงจะเหนื่อยมาก คุณจะไปพักสักหน่อยก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะอยู่เฝ้าลูกเองเพราะยังไงตอนออกมาก็คงอีกหลายชั่วโมงกว่าตัวเล็กจะรู้สึกตัว”
ติณภพว่า
“ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่า ผมบอกรันไว้แล้วว่าผมจะนั่งรออยู่ตรงนี้ ถึงรันจะไม่รู้ตัว แต่ผมก็ยังอยากจะอยู่รอจนกว่าจะเห็นเขาออกมาอย่างปลอดภัยก่อน”
ร่างกายที่เหนื่อยสะสมมาจากการทำงานที่มีเวลาพักเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน บวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่ยาวนานพอสมควรทำให้ตัวนิธิศเองก็รู้สึกอยากจะพักอยู่เหมือนกัน...แต่ทว่าต้องไม่ใช่ตอนนี้
สามชั่วโมงของการผ่าตัดที่สิ้นสุดลง...สามชั่วโมงที่อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่งไปได้อย่างสิ้นเชิง ไฟสีแดงที่หน้าห้องผ่าตัดถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนที่แพทย์สองสามคนจะทยอยกันเดินออกมา
ติณภพรีบลุกขึ้นไปสอบถามผลของการผ่าตัดทันที ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ และทางแพทย์เองก็ได้อธิบายเพิ่มมาว่าการผ่าตัดในครั้งนี้เป็นเพียงการผ่าตัดเอากล่องเสียงบางส่วนของวิพารันต์ที่เป็นปัญหาออกเท่านั้น และหลังจากระยะการพักฟื้นที่ต้องงดใช้เสียงประมาณสองถึงสามสัปดาห์แล้ว คนไข้ก็จะสามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้เหมือนกับคนปกติ แต่อาจจะต้องได้รับการฝึกฝนการพูดจากนักแก้ไขการพูดอีกสักหน่อยเพื่อการออกเสียงที่ชัดเจนมากขึ้น
ร่างบอบบางของวิพารันต์ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยฤทธิ์ของยาสลบที่ยังไม่หมดดีถูกเข็นเข้ามาพักอยู่ในห้องพิเศษหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
หลังมือข้างซ้ายของเจ้าตัวถูกเจาะโยงสายน้ำเกลือเอาไว้ อีกทั้งยังมีท่อรับอาหารเหลวที่ต้องใส่ผ่านจมูกลงไปยังกระเพาะอาหาร เนื่องจากหลังจากนี้ไปอีกประมาณสองสัปดาห์วิพารันต์จะไม่สามารถทานอาหารทางปากได้
ร่างสูงยืนรอจนพยาบาลสาวจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและเดินออกไปจากห้องแล้ว จึงค่อยๆลากเก้าอี้มาชิดกับเตียงคนไข้ สัมผัสอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านจากมือหนึ่งสู่อีกมือ นิธิศเอื้อมมือไปจับมือเล็กของอีกฝ่ายเข้ามากุมไว้หลวมๆก่อนจะลูบไปมาเบาๆอย่างนึกโล่งอกที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
เหมือนภารกิจสิ้นสุดลง...ร่างกายที่อ่อนเพลียเต็มทีของนิธิศเริ่มแสดงอาการให้เจ้าของรับรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องให้มันพักผ่อนบ้างแล้ว เปลือกตาที่ค่อยๆปิดลงช้าๆ ความเงียบที่เกิดขึ้น เงียบ...จนได้ยินเสียงลมหายใจของคนสองคนที่ดังเข้าออกสม่ำเสมอ
...ภาพหนึ่งคนป่วยกับอีกหนึ่งคนเฝ้าที่หลับไปพร้อมๆกันด้วยความเหนื่อยอ่อน ภาพที่แม้แต่คนเป็นพ่ออย่างติณภพเองเห็นแล้วยังไม่อยากที่จะเข้าไปรบกวน...
...ภาพที่นิธิศนั่งจับมือของวิพารันต์เอาไว้แล้วฟุบหน้าหลับลงไปทั้งแบบนั้น... TBC.
Rewrite
ฮือ ช่วงนี้คนเขียนป่วยค่ะ เป็นหวัดหน้าร้อน น้องรันใกล้จะหายแต่ตอนนี้คนเขียนไม่มีเสียงแทนแล้วค่ะ ฮาา
ตอนหน้าถ้าไม่มีการผิดพลาดประการใดก็น่าจะจบแล้วนะคะ อิอิ
ใกล้ประกาศผลแอดมิชชั่นเต็มที ใกล้วันรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว กรี๊ดดด (ไม่เห็นเกี่ยวกับนิยาย ฮาา)ป.ล. ยังมีบางคนสงสัยเรื่องตอนพิเศษที่แต่งไว้ก่อนหน้านี้ อย่าได้เอาไปคิดรวมกันเด็ดขาด
ตอนพิเศษจับมันแยกชิ้นส่วนออกจากเนื้อเรื่องหลักไปได้เลยค่ะ เพราะบนหัวก็เขียนเอาไว้แล้วว่ามีแค่บางส่วนเท่านั้น
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหลัก ส่วนอื่นๆเป็นฉากสมมติค่ะ เพราะถ้าเขียนล่วงหน้ายาวขนาดนั้นกลัวคนอ่านไม่ได้ลุ้น // 55ขอบคุณทุกความเห็น ขอบคุณทุกการติดตาม เจอกันตอนหน้าค่ะ