18
(ตอนจบ)
ขอบคุณ
สองสัปดาห์หลังการผ่าตัด...
สายน้ำเกลือและท่อให้อาหารเหลวของวิพารันต์ถูกอนุญาตให้ถอดออกได้ เมื่อทางแพทย์เล็งเห็นแล้วว่าอาการของเจ้าตัวไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นและคนไข้สามารถที่จะรับประทานอาหารทางปากได้ตามปกติแล้ว
การฝึกออกเสียงเรื่องการพูดของวิพารันต์ ถูกเริ่มขึ้นในสัปดาห์ที่สามโดยนักแก้ไขการพูดชาวไทยที่ติณภพติดต่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ร่างกายของเจ้าตัวเล็กแข็งแรงมากขึ้นแล้ว ซึ่งในระหว่างช่วงนั้นทั้งนิธิศและคนเป็นพ่ออย่างติณภพเอง ก็อดไม่ได้ที่จะพากันแอบนั่งรอลุ้นอยู่อย่างเงียบๆว่า คำพูดคำแรกที่เจ้าตัวเล็กจะพูดกับพวกเขาคืออะไร...
...แต่ทว่าทั้งสองคนอาจจะลืมไปว่า ความตื่นเต้นของคนที่เพิ่งจะหัดพูดมันก็ย่อมมีมากกว่าคนรอฟัง…
“รัน รัน...ปวดฉี่”เสียงหวานที่ยังคงแหบน้อยๆเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ทำเอานิธิศกับคนเป็นพ่อนั่งกลั้นยิ้มกันแทบไม่อยู่ เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าว่าประโยคแรกที่ออกมาจากปากเจ้าตัวเล็กของพวกเขา จะออกมาเป็นประโยคที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจนอยากจะจับเจ้าตัวมาฟัดให้หายหมันเขี้ยวแบบนี้
วิพารันต์ได้รับอนุญาตจากทางแพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลได้หลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งติณภพเองก็ให้เจ้าตัวกลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านก่อนโดยที่ยังไม่เดินทางกลับประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะยังอยากให้ร่างกายของลูกชายสุดที่รักแข็งแรงและพร้อมขึ้นอีกหน่อยสำหรับการเดินทาง
ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในค่ำคืนที่ค่อนข้างเงียบสงบ นิธิศปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านอยู่แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง
“ว่าไงครับ มาหาพี่ดึกป่านนี้มีอะไรหรือเปล่าหือ”
ร่างสูงเอ่ยปากถามขึ้น เมื่อเห็นร่างบอบบางที่คุ้นตาในชุดนอนยืนกอดหมอนใบใหญ่ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวหอบออกมาจากห้องของตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“นอนด้วย ขอรันนอนด้วยคนนะ”
คนตัวเล็กตอบก่อนจะพาตัวเองเดินมุดเข้าไปภายในห้องทันทีโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาต ทำเอานิธิศต้องรีบปิดประตูห้องแล้วเดินตามเจ้าตัวเล็กที่จัดการเอาหมอนของตัวเองไปวางแหมะอยู่บนเตียง พร้อมกับปีนขึ้นไปนอนห่มผ้าอยู่บนนั้นเรียบร้อยเข้าไป
“สัญญากับคุณพ่อแล้วแอบหนีมานอนห้องพี่แบบนี้ เดี๋ยวคุณพ่อรู้ขึ้นมานี่พี่ก็โดนดุตายเลยสิ”
ร่างสูงเอ่ยขึ้นยิ้มๆเมื่อนึกไปถึงท่าทางของคนหวงลูกชายอย่างติณภพในตอนเช้า ถ้าหากรู้ว่าตอนกลางคืนเจ้าตัวเล็กแอบหอบหมอนหนีมานอนกับเขาแบบนี้ ทั้งๆที่ตอนก่อนเข้านอนก็คงจะคิดไปแล้วว่าตัวเองสามารถเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายที่น่ารักยอมแยกห้องนอนกับเขาระหว่างที่ยังอยู่ที่นี่ได้สำเร็จแล้ว
“ก็รันอยากมานอนกับพี่ไนท์นี่ แต่ถ้าขอคุณพ่อ คุณพ่อก็คงไม่ให้มา...”
คนตัวเล็กตอบพลางซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มเป็นเชิงบอกว่าถึงอีกฝ่ายจะไล่ยังไง เขาก็จะไม่ยอมกลับไปนอนคนเดียวในห้องของตัวเองอีกเป็นแน่
บทสนทนาที่จบลง นิธิศได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆให้กับท่าทางน่าเอ็นดูที่เห็น แล้วเดินอ้อมไปล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งเอวบางของคนรักที่นอนหันหลังให้เขาอยู่เข้ามากอดไว้
คืนแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ได้นอนกอดกันแบบนี้ วิพารันต์ขยับตัวเองให้หันหน้ากลับไปหาคนที่นอนกอดอยู่แล้วซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นที่คุ้นเคย และเพียงไม่นานเจ้าตัวผล็อยหลับไป หลับไป...พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ระบายอยู่ริมฝีปากอิ่ม จนคนมองเองอดไม่ได้ที่จะขอก้มลงไปประทับจูบราตรีสวัสดิ์บนกลีบปากนุ่มทีหนึ่ง
“ฝันดีนะครับ...”
.............................
..............................................
การเดินทางกลับประเทศไทยที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์...
วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายในแต่ละวันที่เริ่มขึ้นอีกครั้ง นิธิศกลับไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ส่วนวิพารันต์เองก็ยังคงไปอยู่ช่วยงานมาริสาที่ร้านเบเกอรี่เหมือนเดิม
ในขณะที่คนเป็นพ่ออย่างติณภพเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการสรรหาระบบการเรียนการสอนแบบโฮมสคูลที่ดีที่สุดมาให้เจ้าตัวเล็ก เพราะจากการที่ลองปรึกษาดูกับหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้เรียนในระบบนี้มากกว่าระบบในโรงเรียน เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหายิบย่อยตามมาทีหลัง เพราะตัววิพารันต์เองก็เลยวัยที่จะกลับไปเรียนมัธยมปลายเหมือนเด็กคนอื่นๆแล้วหลายปี
“รัน ตื่นได้แล้วครับ เช้าแล้วนะ”
แรงเขย่าเบาๆที่แขนพร้อมกับเสียงคุ้นเคยของคนปลุกที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเช้ากว่าปกติ ทำให้คนตัวเล็กที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่มต้องปรือตาขึ้นมามองอย่างช่วยไม่ได้
“สุขสันต์วันเกิดนะครับเด็กน้อย ลุกขึ้นเร็วเข้า เช้านี้เราจะไปใส่บาตรกันนะ”
วิพารันต์ขมวดคิ้วน้อยๆทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนที่สมองจะประมวลผลได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา
วันเกิด...ที่ไม่เคยมีใครจำได้ วันเกิด...ที่แม้กระทั่งตัวเองก็ยังลืมไปแล้ว ทว่าคนคนนี้ กลับจำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาได้ทุกอย่าง
“มัวแต่ทำหน้างงอะไรอยู่หือ ปะ...รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วคนเก่ง เดี๋ยวสายแล้วจะไม่ทันได้ใส่เอานะ”
นิธิศว่าขำๆแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า ร่างบางที่เห็นแบบนั้นก็อมยิ้มเป็นอันรู้กัน ก่อนจะยื่นมือของตัวเองออกไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งสองข้างเช่นกัน
“เอ้า...ฮึบ”
มือที่ใหญ่กว่ากระชับฝ่ามือนิ่ม แล้วออกแรงดึงเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เจ้าตัวเล็กที่นอนหัวเราะคิกคักอยู่บนเตียงเปลี่ยนมาเป็นท่านั่งได้อย่างง่ายดาย ระยะห่างที่ลดลงจากเดิม...อาศัยช่วงจังหวะนั้นก้มลงไปหอมแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างก่อนจะปล่อยให้เจ้าตัวลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
อากาศที่กำลังเย็นสบายไม่ร้อนจัดเหมือนช่วงกลางวัน การตื่นเช้าที่ใครหลายคนบอกว่าเป็นกำไรของชีวิตนั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริง เพราะนอกจากจะได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าแบบนี้แล้วยังทำให้เรามีเวลาเหลือมากพอที่จะทำอะไรหลายๆอย่างได้โดยไม่ต้องรีบร้อน
การอาบน้ำแต่งตัวของวิพารันต์ที่ใช้เวลาเพียงไม่นาน ทำให้ตอนนี้ทั้งสองคนมาถึงตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดนัก ซึ่งเหตุผลที่นิธิศเลือกที่จะพาเจ้าตัวมาที่นี่ก็เพราะนอกจากบริเวณนี้จะมีพระออกมาเดินบิณฑบาตเยอะแล้ว ยังมีอาหารและขนมมากมายให้คนที่ไม่มีเวลาตื่นมาทำอาหารแต่เช้าได้เลือกซื้อไปใส่บาตรพระอีกด้วย
ข้าวสวยร้อนๆพร้อมกับกับข้าวหลากหลายที่นิธิศเดินไปซื้อ และนำมาจัดไว้เป็นชุดอย่างเรียบร้อยเก้าชุดถูกทยอยส่งให้เจ้าของวันเกิดได้หยิบใส่บาตรพระทีละชุดจนครบเก้าองค์ และก่อนจะกลับนั้นร่างสูงก็ไม่ลืมที่จะพาเจ้าของวันเกิดแวะนั่งดื่มโอวัลตินกับปาท่องโก๋เจ้าอร่อยที่หน้าตลาดนั้นเป็นอาหารเช้าเสียก่อน
ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ในห้องด้วยกันในตอนเช้าอีกนิดหน่อย ก่อนที่นิธิศจะต้องออกไปทำงานในเวลาแปดโมง ส่วนตัววิพารันต์เองก็อยู่ในห้องทำความอะไรสะอาดเล็กๆน้อยๆได้ถึงประมาณสิบโมง มาริสาที่ต้องออกไปซื้อส่วนผสมสำหรับทำขนมเวลานี้ทุกวันอยู่แล้วก็จะแวะมารับไปอยู่ที่ร้านด้วยกันตามปกติ
แล้ววันเกิดของลูกชายสุดที่รักแบบนี้มีหรือที่คนเป็นพ่อจะพลาดได้...
ติณภพขับรถมารับวิพารันต์ถึงที่ร้านของมาริสาในตอนเที่ยงตรง เพื่อพาไปทานข้าวกลางวันและฉลองวันเกิดด้วยกันตามภาษาพ่อลูก โดยโทรบอกนิธิศเอาไว้เลยว่าในตอนเย็นไม่ต้องไปรับเจ้าตัวที่ร้านของมาริสาแล้ว เพราะเขาจะเป็นคนพาไปส่งที่คอนโดให้เองตอนช่วงหัวค่ำ
หนึ่งทุ่มสิบห้านาที...ติณภพเดินจูงมือวิพารันต์มาส่งถึงที่ห้อง โดยมีบอดี้การ์ดในชุดสูทอีกสามคนเดินหอบหิ้วกล่องของขวัญวันเกิดกว่ายี่สิบชิ้นของเจ้าตัวตามหลังมาติดๆ
ก็ไม่ใช่ได้มาจากหลายคนอย่างที่คิด แต่ที่ดูเยอะแบบนี้ก็เพราะเพียงแค่ของขวัญจากคนคนเป็นพ่อคนเดียวก็ปาเข้าไปยี่สิบชิ้นแล้ว โดยที่ยังไม่ได้รวมของมาริสา นัทนทีและวีรนนท์
...ของขวัญวันเกิดย้อนหลังสิบเก้าปีที่คนเป็นพ่ออย่างเขาไม่มีโอกาสได้ให้...“สุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะตัวเล็ก มีความสุขมากๆนะลูก”
ติณภพพูดพลางคว้าตัวลูกชายมากอดมาหอมอีกหลายครั้งก่อนจะขอตัวกลับ ซึ่งนิธิศเองก็อาสาเดินลงไปส่งที่รถเหมือนย่างเคย และบอกให้วิพารันต์เข้าไปอาบน้ำก่อนได้เลย
“มานั่งมองอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้หือ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหลัง พร้อมกับสัมผัสของมืออุ่นที่วางลงบนศีรษะทำให้คนตัวเล็กที่ออกมานั่งรับลมเย็นๆยามค่ำคืนอยู่ที่นอกระเบียงห้องต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะส่งยิ้มบางๆกลับไปให้
“ท้องฟ้าตอนกลางคืนสวย รันชอบ”
วิพารันต์ตอบเสียงใสพลางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิท ถึงจะมืด...ถึงจะไม่สดใสเท่าตอนกลางวัน แต่ในความมืดที่เวิ้งว้างนั้นก็ยังมีแสงสว่างจุดเล็กๆของดวงดาวนับล้านดวงที่เรียงตัวกันให้เห็นอยู่เสมอ...
...แสงสว่างจุดเล็กๆที่ยิ่งมืดมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเปล่งประกายสวยงามมากขึ้นเท่านั้น...
“วันนี้ของเมื่อยี่สิบปีก่อน...เป็นวันที่เด็กน้อยของพี่ลืมตาขึ้นมาดูโลกวันแรกสินะ...”
น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนริมฝีปาก สายลมเอื่อยๆที่พัดผ่านมาปะทะกับผิวเนื้อ แสงไฟจากถนนและตึกรามบ้านช่องที่มองเห็นในตอนนี้ให้บรรยากาศเหมือนวันที่เขาสารภาพรักกับวิพารันต์ครั้งแรกไม่มีผิด
“แล้วนอกจากวันนี้จะเป็นวันเกิดของรัน รันยังจำได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไรอีก...”
หันหน้าไปถามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เคียงข้าง พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่พอประมาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้มาส่งให้ร่างบางที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเสียเท่าไหร่นักรับไว้
“ถ้ารันจำไม่ได้...ลองเปิดมันดูนะครับ...”
สิ้นเสียงของอีกฝ่าย...มือเล็กบรรจงยกกล่องนั้นมาวางไว้บนตัก ก่อนจะค่อยๆเปิดฝากล่องที่บุด้วยผ้าอย่างดีขึ้นมา ซึ่งสิ่งแรกและสิ่งเดียวที่วิพารันต์เห็นก็คือสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่หน้าปกไม่มีข้อความใดๆบ่งบอกให้รู้ถึงเนื้อหาในเล่มนอกจากสีพื้นเรียบๆเท่านั้น
ไม่มีบทสนทนาและคำถาม ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมาสบตากับนิธิศเพียงชั่ววินาทีก่อนที่มือเรียวจะเริ่มเปิดพลิกสมุดไปทีละหน้า...
...เด็กน้อยของพี่ยังจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้ไหม...กดเพลงฟังประกอบ
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนั้นเป็นวันที่พี่เคยคิดว่าตัวเองซวยที่สุดในรอบปี วันที่ฝนตก รถติดมาก แล้วป้าอรก็มาหา เอาเด็กคนหนึ่งซึ่งหน้าตามอมแมมมาฝากไว้ให้เลี้ยง หงุดหงิดมาก ไม่อยากจะรับเอาไว้ เลยเผลอตะคอกใส่ไป แต่ก็ต้องรู้สึกผิดทีหลังเมื่อรู้ว่าเด็กคนนั้นพูดไม่ได้...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
ไม่รู้ว่าเวลาคนทำดีด้วยต้องทำตัวยังไง...น้ำตาและข้อความที่ได้เห็นในวันนี้ทำให้พี่รู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็คงเป็นเพราะประโยคนี้ด้วยแหละมั้งที่ทำให้พี่ตัดสินใจรับรันไว้ให้อยู่ด้วยกัน...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้รันไม่ยอมส่งข้อความมาบอกพี่ว่ากินข้าวกลางวันแล้ว กลับมาถึงห้องพี่เลยต้องดุไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องใจอ่อนอยู่ดีเพราะรันใช้วิธียื่นนิ้วก้อยออกมาขอเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะไม่ลืมอีกเป็นครั้งที่สอง...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
รันดูเหมือนจะตื่นเต้นมากกับการได้ออกไปเดินเที่ยวครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ โรคภูมิคุ้มกันเรื่องคนทำดีด้วยแล้วร้องไห้ก็ยังรักษาไม่หายเสียที...พี่อยากจะเห็นรันยิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนอย่างคนอื่นบ้างจัง...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้กลับบ้านดึก...แต่ไม่คิดว่ากลับมาแล้วจะเห็นใครบางคนนั่งหลับรออยู่ที่โซฟาทั้งๆที่ส่งข้อความมาบอกไว้ก่อนแล้ว...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
เพราะเมื่อวานพี่ตามใจยอมให้รันให้เล่นน้ำมากเกินไปหน่อย พอตอนเช้าตื่นมารันเลยป่วย ไม่กล้าทิ้งเอาไว้ในห้องคนเดียวเลยต้องขอลางานมานั่งเฝ้า แล้วอยู่ดีๆรันก็ร้องไห้งอแงเสียยกใหญ่บอกว่าตัวเองเป็นภาระจนพี่ต้องกอดปลอบอยู่นานกว่าจะหยุดร้องและหลับไปได้...รันไม่เคยเป็นภาระของพี่เลยนะ...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้พี่พารันมาเที่ยวที่หัวหินพร้อมกับเพื่อน พี่รู้นะว่ารันดีใจมากอยู่เหมือนกัน...แต่ก็ยังไม่เห็นยิ้มเสียที...ป.ล.ไม่เชื่อก็ดูรูปสิ...
...รูปที่ตัวเองยืนอยู่ริมระเบียงในห้องพักวันนั้น...มือบางไล้มือเบาๆไปบนรูปถ่ายที่ถูกแปะเอาไว้ด้านล่างของข้อความอย่างรู้สึกคิดถึงก่อนจะเปิดไปที่หน้าถัดไป...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
คืนก่อนวันปีใหม่ พี่นั่งเคาท์ดาวน์อยู่กับรันสองคนในห้องพักเงียบๆ คำอวยพรกับสร้อยข้อมือที่ให้เป็นของขวัญ...และรอยยิ้มทั้งน้ำตาของรันที่พี่ได้เห็นเป็นครั้งแรก...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
เรายังอยู่กันที่หัวหิน ตอนขี่ม้าในวันนั้นถึงจะเป็นอุบัติเหตุแต่ก็ต้องยอมรับว่าพี่รู้สึกใจเต้นกับริมฝีปากนุ่มนิ่มของรันยามที่แตะสัมผัสกัน ส่วนเรื่องในห้องน้ำ...พี่ก็แค่ตกใจไปหน่อย แล้วก็ไม่คิดเลยว่าเข้าไปแล้วจะเจอรันในสภาพแบบนั้น รู้ไหม...หัวใจพี่เกือบวายแน่ะ...พออ่านมาถึงตรงนี้ใบหน้าหวานก็อดที่จะร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงมาดูรูปภาพที่อีกฝ่ายแปะเอาไว้แล้วอมยิ้มน้อยๆ
ป.ล.รูปนี้พี่แอบถ่ายได้มาตอนนอนหลับ รอยยิ้มแรกที่เป็นธรรมชาติของรัน ตอนนั้นพี่คิดว่าถ้าตื่นมาแล้วยิ้มได้แบบนี้บ่อยๆก็คงจะดี...แต่ตอนนี้คนเก่งของพี่ยิ้มได้สวยกว่าตอนนั้นอีก...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้เจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แม่ของรัน...พี่รู้ว่ารันคงจะเสียใจมาก แต่สุดท้ายแล้วตัวพี่เองก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าจับมือรันให้แน่นขึ้นแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
นี่เป็นการจูบกันครั้งแรกหลังจากที่พี่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองว่าคิดกับรันยังไง ส่วนเรื่องที่บอกว่าเป็นการทำโทษเรื่องสร้อยข้อมือหายน่ะ...พี่อยากจะบอกว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้เป็นวันเกิดพี่ แล้วก็เป็นวันที่พี่ได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองกับรัน วันที่รันเขียนคำว่ารักลงบนฝ่ามือของพี่ ถึงจะดูเศร้าไปหน่อยเพราะเรื่องของแม่...แต่พี่ก็รู้สึกดีมากๆ รู้สึกดี...ที่มีรันคอยอยู่เคียงข้างพี่ขอบคุณนะครับ...ป.ล.ยังจำได้ไหม...ภาพนี้พี่แอบถ่ายไว้ตอนที่รันกำลังอธิษฐานก่อนจะเป่าเค้ก...ก็ไม่รู้อธิษฐานว่าอะไร...เพราะถามแล้วรันไม่ยอมบอก...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
อีกหนึ่งเรื่องที่พี่ตกใจที่สุดก็คือรันเป็นลูกชายของคุณติณภพ และพี่ก็เชื่อว่ารันเองก็คงจะตกใจไม่แพ้กัน ทว่าถึงเรื่องราวทั้งหมดจะค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนไปบ้าง...แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้เป็นวันแรกที่รันบินไปอเมริกาเพื่อรับการผ่าตัดกล่องเสียงกับคุณพ่อ ความจริงพี่ก็อยากจะตามไปพร้อมกันเลยแต่ก็ติดที่ว่าต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อน...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
พี่ดีใจมากที่มาทันก่อนที่รันจะเข้ารับการผ่าตัดตามที่สัญญากันเอาไว้ ขอบคุณที่รอพี่นะครับ...สองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่คิดถึงรันมากจนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงแล้ว...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้เป็นวันที่รันพูดได้เป็นครั้งแรก...พี่นั่งลุ้นกับคุณพ่ออยู่ตั้งนานว่ารันจะพูดอะไร แต่สุดท้ายแล้วประโยคแรกของรันก็ทำเอาพี่กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่...น่ารักจริงๆแฟนใครก็ไม่รู้...
วันที่ xx เดือน xx พ.ศ.25xx
วันนี้เป็นวันเกิดรัน...แต่ดูเหมือนว่าเมื่อตอนเช้ารันจะดูงงๆเหมือนจำวันเกิดของตัวเองไม่ได้ แล้วพี่ก็เชื่อว่ารันก็คงจะจำวันนี้ของปีที่แล้วไม่ได้เหมือนกันใช่ไหม...
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยังครับ พี่ให้เวลาคิดสามวินาที แต่ถ้ายังนึกไม่ออก...ลองย้อนกลับไปดูวันที่ในเหตุการณ์ที่เราเจอกันครั้งแรกดูนะเด็กน้อย...สมุดบันทึกที่ถูกปิดลง...ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่นั่งอ่านบันทึกเล่มนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยาดน้ำตาใสๆเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม
...จำไม่ได้เลยจริงๆ จำไม่ได้เลยว่าวันนั้น ในวันที่เขาได้เจอกับนิธิศครั้งแรก จะตรงกับวันเกิดของเขาพอดี...
“พี่ไนท์...”
ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายที่นั่งมองทุกการกระทำของตัวเองมาตลอดไม่เคยคิดเลยจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าคนคนนี้...จะจดจำเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันได้มากมายขนาดนี้
“หนึ่งปีแล้วนะครับคนดี...หนึ่งปีแล้วที่เราได้มาเจอกัน...”
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมอบให้ พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมไปเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของวิพารันต์เบาๆ
ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรที่มากกว่านั้น แต่เพียงแค่นี้...เพียงแค่สัมผัสกัน ทั้งสองคนก็เข้าใจได้ถึงความรู้สึกและความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อให้ตัวเองรับรู้ได้ดี
ใบหน้าที่เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ...วิพารันต์หลับตาลงรับสัมผัสอ่อนหวานที่คุ้นเคย ริมฝีปากที่แตะกันแผ่วเบาในตอนแรกค่อยๆบดเบียดเข้าหากันทีละน้อยอย่างต้องการจะยืดช่วงเวลาหวานนี้ให้ทอดยาวออกไปอีกหน่อย
ความรักความผูกพันของทั้งสองคนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้พบเจอกัน สายสัมพันธ์เส้นบางๆที่ร่วมกันถักทอเรียงร้อยด้วยประสบการณ์และเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา จนกลายเป็นสายใยที่แข็งแรงพอที่จะยึดเหนี่ยวหัวใจของทั้งสองคนเข้าเอาไว้ด้วยกัน
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ขอบคุณที่เกิดมาอยู่เคียงข้างพี่...สุขสันต์วันเกิดนะครับรัน”
เสียงกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับสัมผัสเย็นๆของโลหะเงินที่นิ้วนางข้างซ้าย ทำเอาหยาดน้ำตาที่เพิ่งแห้งไปค่อยๆไหลรินลงมาจากดวงตาคู่สวยอีกครั้ง
น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความสุข น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความดีใจ...
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หากแต่เพียงจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้แล้วบรรจงใช้นิ้วเรียวของตัวเองขีดเขียนลงไปบนนั้นเพื่อบอกแทนทุกคำพูด ก่อนที่ริมฝีปากแดงอิ่มจะก้มลงไปจูบที่ฝ่ามือนั้นเบาๆแทนคำขอบคุณ ...ขอบคุณที่คอยเอาใจใส่ ขอบคุณที่ดูแลมาตลอด และขอบคุณ กับความรักที่มีให้กันเสมอมา...
“พี่ก็เหมือนกันครับ...”
นิธิศเอ่ยบอกยิ้มๆก่อนที่จะรั้งร่างบอบบางเข้ามากอดไว้แนบอก
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยแสงของหมู่ดาว สายลมเอื่อยๆที่พัดผ่านมาราวกับเสียงกระซิบ ตัวอักษรบนฝ่ามือของนิธิศที่ไม่มีใครเห็น ตัวอักษรที่ไม่มีใครรู้ ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจให้รับรู้กันได้เพียงเฉพาะคนที่เขียนกับคนที่รับเท่านั้น...
ความรักของทั้งสองคนที่เริ่มต้นจากสิ่งนี้...ความรักที่เริ่มต้นมาจากการเขียน...
ความรักที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเกิดขึ้นได้จริง...
ความรัก...ที่ไม่ต้องมี ‘เสียง’จบบริบูรณ์.Rewrite
อ่า จบซะแล้ว แอบเสียดายอยู่หน่อยๆเหมือนกัน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลาค่ะ
ตอนนี้อาจจะไม่ซึ้งเท่าที่คิดไว้เพราะกำลังลุ้นกับผลแอด ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
วันนี้ลงตอนจบทั้งทีวันนี้ขอคุยกับคนอ่านยาวหน่อยละกัน ฮาาา
หลายคนยังไม่อยากให้จบ แต่ก็นะคะ วางโครงเรื่องมาไว้แค่ประมาณนี้ กลัวเขียนต่อแล้วจบไม่ลง
อีกอย่างผลแอดจะประกาศวันนี้แล้วค่ะ 555 (ลุ้นไปเขียนนิยายไป)
พอประกาศแล้วช่วงหลังจากนี้จะวุ่นวายมากและไม่มีเวลาเขียน ก็เลยต้องขออนุญาตจบไปตามพล็อตเลยนะคะ
ส่วนตอนพิเศษน่าจะมีค่ะ แต่คงหลังจากนี้นานหน่อย อาจจะเป็นช่วงที่ถูกย้ายห้องไปเป็นนิยายจบแล้ว
เอ็นซีที่ทุกคนรอคอย ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะคะ แต่อารมณ์เรื่องหลักมันไม่ค่อยให้กับบทนี้
รอตอนพิเศษละกันนะคะ (ไปเรื่อย)
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบพื้นที่บอร์ด และคุณนักอ่านทุกท่าน ที่ทำให้คนเขียนแสนธรรมดาและเรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนจบได้ค่ะ
ขอขอบคุณจากใจจริงเพราะถ้าไม่มีทุกคน ก็คงไม่มี รักนี้ไม่ต้องมีเสียง ในวันนี้ 
ป.ล.เจอกันตอนพิเศษ และผลงานเรื่องต่อไป (ถ้ามีนะคะ ฮาา) คิดถึงกันเข้าไปทักทายได้ในแฟนเพจค่ะ 