ตอนพิเศษ(1)
หึง
วันเวลาที่ยังคงเดินต่อไป อากาศของประเทศไทยที่เอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ได้ เมฆสีเทาที่จับกลุ่มกันลอยอยู่บนท้องฟ้าดูหนักอึ้งจนต้องกลั่นตัวเป็นหยดน้ำตกลงมาสู่พื้นดินพอให้ได้คลายร้อนกันได้บ้าง หลังจากที่อากาศร้อนจัดสะสมมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์เต็ม
เสียงเปาะแปะของน้ำฝนที่สาดเข้ามากระทบกับกระจกตรงระเบียงยังคงดังต่อเนื่องในเหมือนเพลงขับกล่อมเช้าของวันหยุด อากาศที่เย็นขึ้นจากเดิมเล็กน้อยทำให้ร่างบอบางของวิพารันต์ที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาอยู่แล้วต้องขยับตัวเข้ามาซุกหาไออุ่นจากอกของนิธิศเพิ่มเติม
“หนาวเหรอครับ ให้พี่ลุกไปปิดแอร์ให้ไหม”
ก้มลงกระซิบถามที่ข้างใบหูนิ่มก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปแนบลงบนแก้มเย็นของคนที่กำลังนอนหลับสบาย
“...ไม่หนาว...แต่ขอกอดหน่อย”
เสียงหวานเอ่ยตอบทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาก่อนจะมุดตัวเองให้เข้าไปอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายให้ร่างกายแนบชิดกันมากยิ่งขึ้นเรียกรอยยิ้มเล็กๆจากมุมปากของนิธิศได้เป็นอย่างดี...ขี้อ้อน...ตั้งแต่ที่พูดได้มาเนี่ยรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กจะทำตัวน่ารักแถมขี้อ้อนขึ้นเยอะจนช่วงนี้เขาเองแทบไม่อยากจะปล่อยให้เจ้าตัวอยู่ห่างสายตาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
“ขี้อ้อนใหญ่แล้วนะเราอะ”
นิธิศว่าด้วยความหมันเขี้ยวพลางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบีบจมูกอีกฝ่ายเล่น ทำเอาคนตัวเล็กต้องย่นจมูกหนี เกิดเป็นการหยอกล้อทักทายกันยามเช้าที่เรียกเสียงหัวเราะคิกคักได้เป็นอย่างดี
“หื้อ พี่ไนท์พอแล้ว คิกคิก อะ...อื้อ จั๊กจี๋”
วิพารันต์ส่งเสียงประท้วงพลางมือเล็กทั้งสองข้างก็ออกแรงดันใบหน้าของคนตัวโตกว่าที่ยังแกล้งไล่พรมจูบไปตามโครงหน้าหวานของตนและเริ่มลามลงมาจนถึงลำคอ
“อืม...อยากให้พอต้องทำไงครับ”
นิธิศว่าแล้วท้าวแขนคร่อมตัวเองลงกับที่นอนโดยที่มีร่างบอบบางนอนหอบหายใจน้อยๆจากการเล่นกันเมื่อครู่อยู่ด้านล่าง ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านั้น วิพารันต์อมยิ้มน้อยๆอย่างเข้าใจก่อนที่วงแขนเรียวจะเอื้อมไปโอบรั้งคอของคนตัวโตกว่าให้โน้มลงมาใกล้
สัมผัสนุ่มนิ่มที่รู้สึกได้ยามที่ริมฝีปากของทั้งสองแตะกัน นิ่งค้างเพียงชั่วครู่นิธิศจึงเริ่มขยับแระเล็มไปรอบๆสลับงับกลีบปากบางเบาๆเป็นเชิงหยอกเอินให้คนตัวเล็กเปิดปากรับลิ้นร้อนของเขาให้เข้าไปสำรวจภายใน...
“...พี่ไนท์...อือ...”
เสียงหวานที่ครางเครือในลำคอ นิธิศผละออกให้เจ้าตัวมีโอกาสหายใจได้บ้างก่อนจะกดย้ำลงไปอีกครั้งแล้วผละออกมาอย่างนึกเสียดาย
“เช้านี้อาบน้ำด้วยกันเลยนะครับ เดี๋ยวสายแล้วคุณพ่อจะรอนาน”
เอ่ยบอกชิดริมฝีปากของอีกฝ่าย ไม่รอคำตอบ รีบลุกขึ้นยืนฉวยโอกาสตอนที่วิพารันต์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอุ้มช้อนร่างบอบบางมาไว้แนบอกแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งแบบนั้น
ทั้งๆที่ก็อยากจะให้เร็วขึ้นแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าการที่เข้าไปอาบน้ำพร้อมกันสองคนแบบนี้จะยิ่งทำให้เสียเวลาไปมากกว่าเดิม เพราะกว่าทั้งสองคนจะอาบกันเสร็จก็กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงซึ่งมันคงจะไม่นานขนาดนี้ถ้าหากคนชวนเองไม่มัวแต่อ้อยอิ่งหลอกหากำไรจากคนตัวเล็กจนเกือบจะได้ทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนการอาบน้ำ
บรรยากาศการจราจรในเช้าวันหยุดที่มีฝนโปรยปรายเล็กน้อยแบบนี้ค่อนข้างที่จะปลอดโปร่งมากกว่าวันทำงานอยู่มากจึงทำให้นิธิศใช้เวลาในการขับรถไม่นานก็มาถึงบ้านของติณภพ
“คุณท่านคะ คุณหนูมาถึงแล้วค่ะ”
เพียงแค่สาวใช้เดินเข้าไปบอกว่าวิพารันต์มาถึงแล้วเท่านั้น คนเป็นพ่อที่ตื่นมานั่งรอการมาถึงของลูกชายสุดที่รักอยู่ในห้องนั่งเล่นตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้าดีก็รีบวางหนังสือพิมพ์ที่ยังอ่านค้างอยู่ในมือแล้วลุกเดินออกมาจากห้องทันที
“สวัสดีครับท่าน”
นิธิศกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ทันทีที่เห็นซึ่งคนเป็นพ่อตาเองก็พยักหน้าให้น้อยๆเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่จะหันไปสนใจเจ้าตัวเล็กที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างๆ
“ตัวเล็ก มา มาให้พ่อกอดหน่อยเร็ว”
ติณภพพูดพลางอ้าแขนออก ซึ่งคนเป็นลูกเองก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหาแล้วกอดตอบกลับอย่างอ้อนๆทำเอาทุกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่อดที่ยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“เก้าโมงกว่าแล้ว กินอะไรกันมาหรือยังลูก หิวไหม พ่อสั่งให้คนทำข้าวต้มกุ้งไว้ให้แล้ว เดี๋ยวไปกินกันเลยดีกว่าเน๊อะ ไนท์ก็ด้วยนะ อยู่กินอาหารด้วยกันก่อนแล้วจะกลับก็ค่อยกลับ...”
“ครับ...”
คำเรียกชื่อที่เปลี่ยนมาเป็นกันเองมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ของติณภพ...คำเรียกที่นิธิศยังรู้สึกไม่คุ้นชินมากนัก แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกว่าตอนนี้คุณว่าที่พ่อตาเริ่มที่จะยอมรับในตัวเขาให้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านมากขึ้นกว่าเดิมอีกขั้นแล้ว
“ช่วงนี้งานที่บริษัทเป็นไงบ้างล่ะ ได้ข่าวว่าหนักอยู่เหมือนกันนี่นะ”
“ครับ ก็อย่างที่ท่านรู้มานั่นแหละครับ ช่วงนี้ทางบริษัทกำลังจะทำเรื่องเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ก็เลยค่อนข้างจะยุ่งกันหน่อย แต่หลังจากอาทิตย์นี้ก็คงจะน้อยลงแล้วล่ะครับ”
บทสนนาของทั้งสองคนเริ่มขึ้นและดำเนินต่อไประหว่างมื้ออาหารเช้าโดยมีวิพารันต์ที่นั่งกินข้าวต้มฟังอยู่เงียบๆ เพราะถึงพอจะได้ยินเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยๆแล้วแต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องธุรกิจหรืองานอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่ รู้แต่เพียงแค่ว่าช่วงนี้นิธิศค่อนข้างจะงานยุ่งจนไม่ค่อยจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเสียเท่าไหร่นัก
“เออ จริงสิตัวเล็ก เย็นนี้พ่อต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนพ่อน่ะ ตัวเล็กไปกับพ่อนะลูก”
ติณภพเอ่ยปากพูดกับลูกชายในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ในห้องนั่งเล่นหลังจากที่นิธิศขอตัวกลับไปสะสางงานที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อย และจะกลับมารับวิพารันต์ใหม่ในเช้าวันพรุ่งนี้
“อ่า อีกแล้วคุณพ่อ งานนี้รันไม่ไปไม่ได้เหรอ”
พูดพลางคนตัวเล็กที่นั่งกอดหมอนอิงอยู่ก็ทำแก้มป่องหันไปมองหน้าคนเป็นพ่อด้วยสายตาอ้อนๆ
“ทำไมล่ะลูก”
“ก็รันไม่ค่อยชอบออกงานแบบนี้อะ อีกอย่างช่วงนี้รันก็ไปกับคุณพ่อหลายงานแล้วนะ”
“แน่ะๆ อย่าเพิ่งงอแงสิลูก ฟังเหตุผลพ่อก่อนนะลูก ที่พ่ออยากให้ลูกไปด้วยก็เพราะหนูเป็นลูกของพ่อแล้วอีกหน่อยหนูก็ต้องออก
งานบ่อยๆ พ่ออยากให้หนูชินกับงานเลี้ยงพวกนี้เอาไว้นะรู้ไหมหือ”
ขยับเข้าไปใกล้ร่างบอบบางก่อนจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของลูกชายเบาๆด้วยความเอ็นดู
“...นะ ไปเป็นเพื่อนพ่อนะคนเก่ง”
วิพารันต์ทำปากยู่แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมพยักหน้าตอบตกลงกลับไป ก็นะ ถึงใจจะไม่อยากไปแค่ไหนแต่เล่นเจอคำขอร้องแบบนี้ของคนเป็นพ่อเข้าไปลูกคนไหนจะกล้ายืนกรานปฏิเสธได้ล่ะ
................................
...............................................
รถยุโรปคันหรูขับเข้ามาจอดเทียบหน้าตัวบ้านหลังใหญ่ที่วันนี้เจ้าของของมันใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของตัวเอง หนึ่งในบอดี้การ์ดของติณภพที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับรีบเปิดประตูลงจากรถมาเปิดประตูให้คนเป็นเจ้านายที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกับคุณหนูของบ้าน
แขกในงานที่มีไม่มากนักเพราะดูเหมือนว่าเจ้าของงานจะชวนเฉพาะคนที่สนิทจริงๆเท่านั้นจึงทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงในวันนี้ดูเป็นกันเองเสียมากกว่าเป็นทางการเหมือนงานอื่นๆ
“สุขสันต์วันเกิดไอ้จักร แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ ฮ่าๆ”
ทันทีที่เจอหน้าเพื่อนผู้เป็นเจ้าของงานติณภพก็รีบเดินตรงเข้าไปทักทายตามภาษาเพื่อนเก่าที่สนิทและคบกันมานานมากกว่ายี่สิบปี
“อ้าว มาแต่เมื่อไหร่ล่ะวะเนี่ย กำลังนึกถึงอยู่เลย คิดว่าท่านประธานจะยุ่งจนมาไม่ได้ซะแล้ว”
หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้วสองเพื่อนสนิทก็ยืนพูดคุยลำลึกความหลังครั้งเก่ากันอีกนิดหน่อยก่อนที่คนเป็นพ่อจะหันมาแนะนำลูกชายสุดของตัวเองให้เพื่อนรู้จักอย่างเป็นทางการ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้มีโอกาสพามาให้ได้เห็นหน้าคร่าตากันจริงๆเสียที
“ตัวเล็ก นี่ลุงจักรนะ เป็นเพื่อนพ่อเอง”
“สวัสดีครับลุงจักร”
วิพารันต์กล่าวพร้อมประนมมือขึ้นขึ้นไหว้ เรียกรอยยิ้มและความเอ็นดูจากจักรกฤษณ์ได้เป็นอย่างดี
“สวัสดีลูก แต่วันหลังเรียกอาว่าอาก็พอนะลูก ลุงมันแก่ไป เพราะความจริงแล้วอายุอาก็ไม่ได้มากกว่าพ่อหนูซะเท่าไหร่หรอก ฮ่าๆ”
คนรับไหว้ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“ครับคุณอา...”
“ฮ่าๆ ไอ้ติณ ลูกแกนี่มันน่ารักจริงๆอย่างที่เค้าว่ากันเลยว่ะ นี่ถ้ายังว่างนะฉันคงขอจองตัวมาให้เจ้าลูกชายฉันละ...ว่าไงลูก สนใจเปลี่ยนใจจากคุณนิธิศมาสมัครเป็นลูกสะใภ้อามั้ย ลูกชายอายังว่างอยู่นะ”
“เหรอ ลูกชายแกว่างอยู่จริงเหรอไอ้จักร อย่ามาโม้หน่อยเลย ฉันได้ข่าวว่าลูกชายแกควงหนุ่มควงสาวอาทิตย์นึงไม่ซ้ำหน้า เรียกได้ว่าเปลี่ยนเป็นว่าเล่น ขนาดเรียนยังไม่จบนะนั่น”
“ฮ่าๆ ก็แค่ควงไง ยังไม่เจอใครถูกใจจริงๆเสียหน่อย ฉันเองก็ไม่อยากจะห้ามอะไรมันมาก ขอแค่มันไม่ไปทำให้ใครเค้าเดือดร้อนก็พอ...อะนั่น พูดไม่ทันขาดคำก็มาละ”
จักรกฤษณ์พูดพลางพยักพเยิดไปทางด้านหลังที่ลูกชายตัวแสบของตัวเองกำลังเดินมา ทำเอาทั้งติณภพและวิพารันต์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตาม
“สวัสดีครับอาติณ”
ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ยกมือขึ้นไหว้ติณภพด้วยท่าทางสุภาพ
“ตายยากจริงนะ อากับพ่อแกกำลังนินทาอยู่ก็โผล่มาได้จังหวะพอดี”
“อ้าวเหรอครับอา ฮ่าๆ แล้วไม่ทราบว่าพอจะบอกผมได้มั้ยว่านินทาผมเรื่องอะไร...กันอยู่”
เสียงของธานินทร์แผ่วลงเล็กน้อยในท้ายประโยคเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดอยู่ที่ร่างบอบบางของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆติณภพ...น่ารัก
“อะ...ฮึ่ม จ้องลูกอาตาไม่กระพริบเลยนะเจ้าเอ็ม เดี๋ยวก็คิดค่ามองเสียเลยดีไหม”
“หา เอ่อ...คือ...ลูกคุณอา...คนนี้...น้องรัน?”
ธานินทร์หันกลับมามองหน้าติณภพสลับกับวิพารันต์อย่างกำลังเรียบเรียงความคิด เพราะเมื่อช่วงก่อนตอนที่เรื่องของติณภพกับวิพารันต์กำลังเป็นข่าวดังเขาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรมากนักเนื่องจากไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจ จะมีก็เพียงแต่คำบอกเล่าของจักรกฤษณ์ซึ่งเป็นพ่อเท่านั้นที่พอจะทำให้เขารู้เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้คร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พอวันนี้ ตอนนี้ได้มาเจอ ได้มาเห็นตัวเป็นๆเท่านั้นแหละไอความเสียดายที่ไม่ได้นึกสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่แรกก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที...แหม...ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าลูกชายของเพื่อนพ่อจะหน้าตาน่ารักได้มากขนาดนี้
“เอ้างง งงเลยสิเอ็ง ฮ่าๆ มาๆเดี๋ยวพ่อจะแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ...รัน นี่พี่เอ็มนะ ก็อย่างที่บอกพี่เอ็มเป็นลูกชายของอาเอง ส่วนเอ็ม นี่น้องรัน ลูกชายของอาติณอย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วแกไม่ค่อยสนใจฟังอะ”
คนเป็นพ่อที่พอจะจับอาการของลูกตัวเองได้ว่ารู้สึกอย่างไร จึงไม่วายที่จะขอตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกเสียดายเข้าไปอีกเสียหน่อย
“โถ่ พ่อก็ เรื่องมันแล้วไปแล้วก็อย่าเอามาตอกย้ำกันสิครับ...อ่า...สวัสดีครับน้องรัน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
หันไปบ่นกระปอดกระแปดกับพ่อนิดหน่อยก่อนที่จะหันกลับมาฉีกยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า ส่วนตัววิพารันต์เองพอเห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะยื่นมือของตัวเองออกไปจับอีกฝ่ายบ้าง
“ยินดีที่รู้จักเหมือนกันนะพี่เอ็ม”
เสียงหวานตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มหวานทำเอาคนมองหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ปล่อยมือน้องได้แล้วมั้งอาว่า จับนานไปแล้วนะ”
เมื่อเห็นว่าลูกชายของเพื่อนเริ่มมีพฤติกรรมที่ส่อแววว่าติดใจในความน่ารักของเจ้าตัวเล็กเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมา อาการหวงลูกที่พักนี้ไม่ค่อยได้แสดงออกมาก็กลับมากำเริบอีกครั้ง
“อะ ฮ่าๆ ขอโทษทีครับ”
ธานินทร์พูดกลั้วหัวเราะก่อนจะยอมปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ
งานเลี้ยงที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ติณภพพาวิพารันต์เดินไปทักทายและนำตัวให้บรรดาเพื่อนฝูงที่สนิทกันหลายคนรู้จัก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มจึงได้ลาเพื่อนและขอตัวกลับออกจากงานกันมาก่อนเพราะดูจากสภาพตาปรือๆกับการอ้าปากหาวซ้ำๆของเจ้าตัวเล็กแล้วคงจะอยากกลับบ้านไปนอนเต็มที
“ลูกชายพ่อนี่เสน่ห์แรงจังนะ ดูสิพาไปงานไหนก็มีแต่หนุ่มมาคอยเดินตามตลอด”
พอขึ้นรถมาได้คนเป็นพ่อเองก็อดที่จะหันไปแซวลูกชายของตัวเองไม่ได้ เพราะเท่าที่ลองสังเกตดูแล้วทุกครั้งที่เขาพาเจ้าตัวไปออกงานด้วยก็มักจะมีหนุ่มหน้าตาดีๆลูกหลานผู้บริหารมาคอยเดินตามชวนคุยหรือไม่ก็บริการนั่นนี่ให้ได้อยู่ตลอด รวมไปถึงงานนี้ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากธานินทร์ที่คอยเดินตามเทคแคร์หยิบน้ำหยิบขนมให้คนตัวเล็กอยู่เป็นระยะๆจนชนิดที่ว่าหากคนตัวเล็กต้องการอะไรแล้วบอกเจ้าตัวก็ยินดีที่จะบริการด้วยความเต็มใจอย่างที่สุด
“หื้อ คุณพ่ออะ เสน่ห์แรงอะไรกัน มั่วแล้ว”
ตอบคนเป็นพ่อกลับไปทั้งๆที่ดวงตากลมโตเริ่มจะปรือจนยากที่จะฝืนให้ลืมขึ้นมาได้อีก
“มั่วอะไรกัน พ่อว่าพ่อดูออกนะว่าพี่เอ็มเค้าสนใจลูกอะ เฮ้อ...มีลูกน่ารักแบบนี้พ่อก็หนักใจเหมือนกันนะเนี่ย เอ...แต่จะว่าไปแล้วนอกจากพ่อแล้วพ่อว่าก็ยังมีอีกคนที่น่าจะรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าล่ะมั้งคราวนี้...อะอ้าว หลับไปซะแล้วตัวเล็ก”
ติณภพยิ้มบางๆให้กับภาพของลูกชายที่นั่งคอพับคออ่อนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว มือหนาที่เริ่มมีริ้วรอยไปตามกาลเวลาเอื้อมไปลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาพลางนึกไปถึงอีกคนที่น่าจะต้องหนักใจอีกคนที่ป่านนี้คงนอนหลับสนิทไปแล้วไม่ต่างกับคนตัวเล็กตรงนี้...มีแฟนน่ารักก็ต้องทำใจหน่อยล่ะนะพ่อว่าที่ลูกเขย
.................................
...............................................