สุดขีด 14ผมลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เดิมแล้วถอนหายใจกับเหล่าคนเจ้าเล่ห์หน้าเป็นและหน้าตายพวกนี้ เอาเถอะ ผมจะถือว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน ไม่นานหลังจากนั้นรายการอาหารที่พวกเราสั่งก็ทยอยกันมาเสิร์ฟเรียงรายเต็มโต๊ะ ผมดูแลพวกเด็กๆ ให้กินพิซซ่ากันเรียบร้อย โชคดีหน่อยที่ทั้งสองทำตัวน่ารักว่าง่าย แหงล่ะ ลองไม่ทำตัวน่ารักว่าง่ายดูสิ พ่อจะริบพิซซ่าคืน หึๆ! หลังจากจัดการพวกเด็กๆ ได้ผมก็ลงมือหยิบให้ตัวเองบ้างแต่ก็ชะงักเพราะพลังงานรุนแรงบางอย่าง ผมเงยหน้าเหลือบไปมองอีกฝั่ง พี่เฮดีสนั่งกอดอกจ้องผมเขม็ง ผมเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่กินเหรอครับ?” ผมเอ่ยถาม เขาก็นั่งเงียบเป็นเป่าสาก ต้องการอะไรจากสังคมกันแน่ครับพี่? ผมก้มลงหั่นชิ้นในจานของตัวเองแล้วทานไปสักพัก คนนั่งเงียบอยู่ก็ออกอาการพาล อารมณ์จากดีๆ ดิ่งลงเหวไปแบบที่ผมงุนงงเป็นที่สุด จะเอาอะไรก็ไม่บอก เป็นอะไรก็ไม่กล่าว ผมจะไปรู้ไหมเนี่ย?
“อ้าม~~!” ไมนอสผู้ไม่กลัวตายหั่นพิซซ่าเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ส้อมจิ้มยกไปทางพี่เฮดีสด้วยความกระตือรือร้น แต่ถูกแด๊ดดี้ผู้กลายร่างเป็นภูเขาไฟน้ำแข็งปฏิเสธด้วยสายตาน่ากลัว และแน่นอนไมนอสผู้ไม่กลัวตายมีรึจะรู้สึกรู้สากับการปฏิเสธเล็กๆ นี้ได้ ไม่มีทาง จัดการกินพิซซ่าชิ้นนั้นอย่างไม่แคร์
เจ้าเด็กน้อยแก้มป่องเปื้อนซอสมะเขือเทศผู้นั่งข้างๆ ผมเงยหน้ามองผมด้วยสายตาดูซื่อๆ แต่ผมเรียนรู้แล้วว่าเจ้าเด็กมันร้ายกว่าพี่มัน! แมนทีสบุ้ยปากให้ผมเช็ดแก้มเปื้อนๆ ของตัวเองด้วยกิริยาน่ารักน่าชัง โอ๊ย ถึงจะร้ายแต่ก็น่ารักเกินห้ามใจจริงๆ! ให้ตาย พี่ไนซ์เลี้ยงลูกมายังไงกันนะ? ผมหยิบทิชชู่สองสามแผ่นมาเช็ดแก้มเนียมนุ่มของแมนทีส และไม่รู้เพราะอะไรสายตาของพี่เฮดีสที่ยังคงเพียรจ้องเขม็งอยู่นั้นแลดูอัพความน่ากลัวมากขึ้น เหลือบมองเจ้าเด็กน้อยแมนทีสด้วยท่าทางน่ากลัว
“มัม ไม่ดูแลแด๊ดเยย” หนูน้อยแมนทีสที่กลับมาหล่อเหลาก็เปิดปากทำหน้าที่เรียกร้องความยุติธรรมให้กับแด๊ดดี้
“เอ๋?” ผมทำหน้างงแล้วหันไปมองพี่เฮดีสที่ยังไม่ลงมืออะไรสักอย่าง อย่าบอกนะว่าผมต้องจัดแจงให้เขาเหมือนเด็กๆ ด้วยนะ? ให้ตายเถอะ โตแล้วนะครับพี่ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดีได้แต่ถอนหายใจยาวเฮือก ตกลงวันนี้ผมถอนหายใจไปกี่รอบแล้ววะ? อายุหดลงทุกชั่วโมงเลยเถอะ
ผมถูกเหล่าปีศาจรุ่นเล็กบีบบังคับด้วยอาการร่ำร้องจึงตัดสินใจลุกขึ้นมา จัดพิซซ่าให้แก่เด็กที่อายุเยอะที่สุด เอ้า! หั่นให้ด้วยเลย ผมวางมีดและปักส้อมบนพิซซ่าแต่ก่อนที่จะปล่อยมือ พี่เฮดีสจะฉวยโอกาสจับมือของผมไว้แล้วบังคับให้ผมยกส้อมขึ้น เขาขยับตัวอ้าปากงับพิซซ่าเข้าไปในปาก ท่าทางเหมือนฝืนใจกินเข้าไป ผมมัวแต่ตกใจจนลืมปล่อยมือปล่อยให้เขากุมอยู่ตั้งนาน จนกระทั่งได้สติเพราะเสียงเด็กๆ พูดขึ้น
“ป้อน! ป้อนไมด้วย!”
“โอเคๆ เงียบๆ ได้แล้ว” ผมพยายามที่จะควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่มันเต้นตูมตามอยู่ในอก และภาวนาไม่ให้หน้าของตัวเองแดงเกินไปนัก ผมรีบดึงมือออกจากมือของเขา แต่อีกฝ่ายอ้อยอิ่งไม่ยอมไปสักที นี่จะแกล้งกันถึงไหนเนี่ย? ผมลนลานดึงมือตัวเองออกแล้วไปนั่งที่เดิม ก้มหน้าก้มตาหั่นชิ้นพิซซ่าป้อนปิดปากเด็กทั้งสองที่แก่แดดแซวอย่างไม่เจตนา
“มัมหน้าแดง! หน้าแดงเหมือนก้นลิง!” ไมนอสหัวเราะชอบใจ ผมรีบยัดพิซซ่าใส่ปากเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนแรก กินซะแล้วก็เงียบไปเลย! ส่วนคนเป็นต้นเหตุก็ทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ ทำตัวเสมือนคนนอกเหตุการณ์ก็มิปาน
ทำไมผมรู้สึกว่าวันนี้พี่เฮดีสตั้งอกตั้งใจกลั้นแกล้งผมโดยเฉพาะกันนะ? หรือว่าเพราะโมโหที่ผมปิดบังเรื่องไปโรงพยาบาลงั้นเหรอ? มิน่าปกติน่าจะออกอาการโกรธเกรี้ยวดั่งยักษ์ร้าย แต่ครั้งนี้กลับมาอย่างนิ่งๆ และเชือดอย่างนิ่มๆ กำลังของผมเหลือแค่ก้นหม้อ ไอ้ท่าทางแบบเดิมก็รับมือยากอยู่แล้วยังมาแนวนี้ยังรับมือยากกว่าเดิมอีกแน่ะ อันตรายทั้งกายทั้งใจเลย ไอ้เนรัญเอ๊ย แกล้งตายไปเลยจะดีกว่าไหม?
ผมต้องคอยดูแลทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่รู้สึกเหนื่อยกับการมากินพิซซ่าในครั้งนี้มากเป็นพิเศษ สามเดือนต่อจากไปนี้ผมจะไม่มากินพิซซ่าอีกเลย ขอลืมเหตุการณ์บ้าๆ บอๆ ในวันนี้ให้ได้ก่อนล่ะกัน เจ้ามือในครั้งนี้คือ พี่เฮดีส สตางค์ในกระเป๋าของผมก็เลยยังมีน้ำหนักเท่าเดิม โครงการอิ่มจังตังค์ยังครบมันดีแบบนี้แหละครับ
หลังจากพวกเราออกมาจากร้านพิซซ่าก็ตรงดิ่งไปทานไอศกรีมต่อ พนักงานร้านนี้สวยเป็นพิเศษ แน่นอนว่ามีความกระตือรือร้นที่จะบริการให้กับกลุ่มของพวกเรามากถึงขั้นสูงสุด และเป็นเรื่องที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งคือ ผมต้องเป็นคนคุยกับพนักงานเหมือนเดิม ให้ตายเถอะ พี่เฮดีสยังถือคติที่ว่าจะไม่คุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่เจ้าตัวไม่ต้องการจะคุยนั่นเอง พวกเราใช้เวลานานกว่าจะจัดการกับไอติมของตัวเองเสร็จ และแน่นอนว่าตั้งแต่ร้านพิซซ่ายันร้านไอติมพี่เฮดีสไม่ลืมที่จะพกเนเน่มาแชะสักรูปสองรูป นี่พกมาด้วยงั้นเหรอเนี่ย? ผมมองด้วยสายตากึ่งอึ้งและทึ้ง ผู้ชายคนนี้มาเหนือตลอด!
และนึกว่าพวกเราจะกลับกันเลย แต่พี่เฮดีสกลับเดินนำลิ่วเข้าไปไม่บอกกล่าวกันก่อน ผมรีบพาเด็กๆ วิ่งตาม พยายามเดินเข้าไปถาม
“พี่จะไปไหนน่ะ?”
“ซื้อชุด”
“อ้อ” ผมพยักหน้ารับแล้วถอยฉากออกมา
ที่แท้ก็มาซื้อเสื้อผ้านี่เอง ก็ไหนตอนนั้นบอกว่าเสื้อผ้าจะสั่งตัดยังไงล่ะ ผมเดินตามหลังพี่เฮดีสเข้าร้านฮิวโก้บอส ห๊ะ!? ฮิวโก้บอสงั้นเหรอ!? ผมถอยหลังออกมาดูเล็กน้อย ถึงผมจะเป็นคนไม่ใส่ใจแฟชั่นแต่อย่าลืมว่าครอบครัวของผมทำงานทางนี้ ดังนั้นผมจึงรู้เรื่องแบรนด์เนมมาไม่น้อย ผมมองพี่เฮดีสที่เดินฉับๆ เข้าไปด้วยมาดของนายท่าน เหล่าพนักงานในร้านแต่งตัวดูดีก็รีบกระพือปีกเข้าใส่นายท่านประดุจขั้วแม่เหล็กขนาดใหญ่ ผมเดินตามเข้ามาเนือยๆ พี่เฮดีสคุยอะไรสักอย่าง ได้ยินพูดว่าผู้จัดการร้านด้วย!? ผู้ชายคนนี้เส้นใหญ่ชะมัด!
ผู้จัดการพยักหน้ารับอย่างนอบน้อมแล้วหันไปบอกพนักงานคนข้างๆ ที่คอยบริการอยู่แล้ว จากนั้นใช้เวลาไม่นานพี่เฮดีสก็ได้ชุดมาลองเป็นทิวแถว และแน่นอนว่าทุกตัวเป็นสีดำ คนๆ นี้คงไม่มีวันหยุดคลั่งไคล้สีดำแน่ๆ พี่เฮดีสถือเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในห้องลองเสื้อ ไม่นานก็เดินออก ผมหันไปมองแล้วต้องถอนหายใจอย่างชื่นชมเหมือนเหล่าผู้จัดการร้านและพนักงานหนุ่มสาว ให้ตาย มันดูเท่ชะมัดยาก อย่างกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นหรือไม่ก็บนแคทวอร์ทอย่างไรอย่างนั้นเลย
“นี่คือคอลเล็กชั่นฮิวโก้ล่าสุดครับ”
“อืม” พี่เฮดีสพยักหน้ารับ หันซ้ายขวาสำรวจดูชุดที่ตัวเองใส่ ใบหน้านิ่งเรียบนั้นหรี่ตาด้วยอัปกิริยาที่ผมเดาว่าเขากำลังพอใจอยู่ ไม่ให้พอใจได้ยังไงกันเล่า ไอ้ทั้งชุดที่ใส่อยู่น่ะ มันกี่ตังค์เข้าไปแล้ว พี่เฮดีสจัดการกวาดคอลเล็กชั่นแบล็กมาทั้งหมดทำเอาผู้จัดการร้านยิ้มแก้มปริ หลังจากเหมาฮิวโก้บอสเขาก็ลากพวกเรามาที่คริสเตียนดิออร์ต่อ ฮือ เลือกแต่แบรนด์แพงๆ ทั้งนั้น!
คราวนี้ไม่ได้ซื้อให้ตัวเองแต่ซื้อให้เจ้าเด็กสองตัวที่กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อแด๊ดดี้ใจดีซื้อเสื้อผ้าให้ หนู! ชุดพวกนั้นมีค่าพอๆ กับค่าอาหารหลายเดือนเลยนะ แต่พอเห็นไอ้ท่าทางดีอกดีใจอันแสนบริสุทธิ์ของเด็กน้อยก็ทำเอาผมคัดค้านไม่ออก พอฝาแฝดใส่แล้วมันดูดีมากๆ เลยล่ะ สมแล้วที่เป็นดิออร์ น้ำตาของผมแทบจะหลั่งไหลเพราะความฟุ้งเฟือนในครั้งนี้ ผมขยับตัวเข้ามากระซิบกระซาบกับพี่เฮดีส
“พี่ ไม่ต้องซื้อของแพงๆ แบบนี้ก็ได้มั้ง”
พี่เฮดีสหันมามองผมด้วยสายเฉยชาแล้วตอบกลับมาตามสไตล์ของเขา
“หรือจะให้เด็กพวกนี้นุ่งกางเกงพ่อของนาย?”
กางเกงพ่อของผมไม่ดีตรงไหนมิทราบ? ผมเกือบจะสะบัดหน้าค้อนขวับให้ โอเค ผมลืมคิดนึกเรื่องเสื้อผ้าของเด็กๆ ไป แปลกใจนิดหน่อยที่พี่เฮดีสคิดเรื่องนี้ได้ แต่ยังไงก็ตามพรุ่งนี้ค่อยไปเอาที่โรงพยาบาลก็ได้นี่น่า หรือไม่ก็ซื้อที่ตลาดหรือร้านค้าเล็กๆ ก็ได้ แค่ชุดใส่ค้างชั่วคราวไม่ต้องเล่นแบรนด์ขนาดนี้เลย
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันมีเงินซื้อ” ผมกำลังอ้าปากแย้งแต่โดนพี่เฮดีสพูดตัดบทสนทนาแล้วเดินฉับๆ ออกไปเลย ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ครับ พี่มีเงินซื้อ! เอาล่ะ มันเป็นเงินของคนอื่นผมจะไปเดือดร้อนให้ทำไมกัน ฮึ! ผมขยับปากพึมพำตามหลังเขาไป นึกหมั่นไส้พ่อเศรษฐีเงินถุงเงินถัง เชอะ ไม่จนบ้างให้มันรู้ไป!
พ่อเศรษฐียังพาพวกผมช็อปปิ้งกระจาย ผมจะพูดอะไรได้ล่ะ เขามีเงินปล่อยให้เขาซื้อไปสิ เชอะ เด็กๆ ได้ของเล่นหอบกลับเยอะแยะแทบจะไม่ต้องพูดอะไรมาก เชื่องกับพี่เฮดีสปานลูกข่างที่จะจับหมุนไปทางไหนก็ได้ ที่สุดท้ายพี่เฮดีสเดินเข้าร้านขายซีดี วีดีโอ ผมแปลกใจมากที่เห็นเขาดูหนัง ดูละครเหมือนคนปกติทั่วไปด้วย เด็กๆ รีบถลาไปหามุมการ์ตูนทันที ส่วนผมน่ะเหรอ? แฮะๆ ก็ต้องมาดูการ์ตูนตามเด็กๆ อยู่แล้ว ของมันแน่ ผมชอบดูจะตาย!
พวกเรากองๆ ที่เคาน์เตอร์คนจ่ายย่อมไม่ใช่ผมแน่นอน ผมกับเด็กๆ ไปรอที่หน้าร้านอย่างว่าง่ายเป็นที่สุด และแล้วพี่เฮดีสก็เดินออกมาพร้อมกับถุงในมือพะรุงพะรัง ผมเดินเข้าไปช่วยถือคนละไม้คนละมือพร้อมกับจูงมือเด็กๆ ไปด้วย ภาพนี้มันเหมือนกับครอบครัวแสนสุขเลยแฮะ นี่ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่วะ!? ผมถอนหายใจแล้วเดินตามหลังคนที่เดินกอดอกนำหน้าลิ่วๆ
ครั้งนี้พวกเรากลับกันจริงๆ แล้ว และผมมีความสุขเป็นพิเศษเพราะอาทิตย์นี้ไม่ต้องไปอยู่ถ้ำสีดำนั้นอีก ผมกับพี่เฮดีสตกลงแบบเด็ดขาดแล้วว่าจะสลับค้างคนละอาทิตย์ที่บ้านของผมกับที่คอนโดของพี่เฮดีส กว่าจะเถียงชนะได้เล่นเอาผมเปลืองตัวถูกแทะเหลือแค่ขานู้นแหละ พอมาถึงบ้านผมก็กระโดดออกมาจากรถอย่างกระตือรือร้น หอบเหล่าเด็กๆ เข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงสายยตาทิ่มแทงจากด้านหลัง ผมรีบวางเด็กๆ แล้วแล่นมาช่วยขนถุงเสื้อผ้า ของเล่น ของจิปาถะทั้งหลาย ส่งสายตาขอโทษขอโพย
“ที่นี้คือที่ไหนเหยอฮะ?”
“บ้านของพี่เองครับ”
“บ้านของมัมเหยอ?”
“เอ่อ ใช่ๆ” ผมพยักหน้าตามน้ำไป สองพี่น้องฝาแฝดก็วิ่งไปโน้นไปนี้ สีหน้าตื่นเต้นกับบ้านหลังนี้สุดๆ ผมมองแล้วยิ้มกว้าง ตลกกับท่าทางโอเวอร์ของเจ้าเด็กสองคนนี่ พี่เฮดีสวางของในมือแล้วทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาก่อนจะขมวดคิ้วหน่อยๆ ผมหันมาเห็นเข้าก็เลิกคิ้วสงสัย
“เป็นอะไรเหรอครับ?”
“ร้อน”
“อ้อ เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้” ผมรีบเดินไปเปิดแอร์ให้กับคุณชายที่เอนตัวครอบครองโซฟาตัวใหญ่คนเดียว ไม่เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้ใครเลยสักคน จากนั้นผมก็พาเด็กๆ ไปอาบน้ำที่ห้องของผงเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
เฮ้อ เพิ่งจะรู้วันนี้แหละว่าการอาบน้ำให้เด็กมันเหนื่อยขนาดไหน ทั้งวิ่งวุ่นทั้งอยากรู้อยากเห็นจนบางครั้งผมก็ขี้เกียจ ถามซ้ำอยู่นั้นแหละ ผมอาบน้ำแปะแป้งให้กับเด็กๆ เรียบร้อยแล้วได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากข้างนอก ผมโผล่หน้าออกไปแล้วเห็นพี่เฮดีสยืนทำหน้านิ่งมองเหล่าคนที่หามโซฟาและเตียงของผมออกจากบ้าน แถมโซฟาที่วางแทนที่นั้นก็หรูหราและไฮโซกว่าเดิมอย่างที่เทียบไม่ติด เอ๊ะ ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ พวกนั้นมันเฟอร์นิเจอร์ที่พี่เฮดีสไปยืนดูตั้งนานสองนานแล้วชี้นิ้วสั่งให้จัดส่งถึงที่ นึกว่าส่งไปคอนโดแต่ปรากฎว่ามันส่งมาที่บ้านของผมเองนี่หว่า! ผมรีบเดินย้ำเท้ามาหาพี่เฮดีสแล้วถามเสียงเครียด
“นี่มันอะไรกันครับ?”
“ตาบอดหรือไง? โซฟากับเตียงนอนไง” เขาตอบกลับมาอย่างชวนโมโห ผมไม่ได้ตาบอดครับ แต่ผมถามว่าทำไมของพวกนี้ถึงได้ได้มาอยู่ที่นี้ต่างหากล่ะ แล้วนั้นจะขนโซฟากับเตียงบ้านผมไปไหนล่ะนั้น! ผมขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งกับการเฉไฉไม่ตรงประเด็นของเขา พี่เฮดีสไม่สนใจผมสักนิด เขาหันไปเว็นอะไรบางอย่างให้กับพนักงานที่ขนของมาให้ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ทำตัวประดุจเจ้าของบ้านเสียจนเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ!
“พี่จะมาเปลี่ยนของที่บ้านผมเองแบบนี้ไม่ได้นะ!” เรื่องนี้ผมไม่ยอมง่ายๆ หรอก ยังไงนี่ก็บ้านผมนะ เขาจะมาทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้! ผมทำหน้าจริงจังเข้าไปเปิดประเด็นก่อน พี่เฮดีสไม่เปิดปากพูดกลับทำแค่เอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหันหลังให้กับผม ผมมองเขาอย่างหงุดหงิด ได้แต่กลอกตาขึ้นฟ้า ทำอะไรไม่ได้เพราะคู่กรณีนอนหันหลังเหมือนขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับผม ผมหมดความอดทนเรียกเขาเสียงดัง
“พี่เฮดีส!”
“ทำไม? เก่าก็ต้องเปลี่ยน มันก็เท่านั้น” พี่เฮดีสหันขวับมาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนแกมรำคาญหน่อยๆ ผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงยืนยันสิทธิของเจ้าของบ้านเอาไว้ ผมเชิดหน้าถามกลับไป
“แล้วทำไมไม่ปรึกษาผมก่อนล่ะ? ที่นี้มันบ้านผมนะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตผมก่อน”
“เฮอะ ฉันเลือกไม่ดีหรือไง มันเข้ากับห้องนี้ออก ถึงห้องมันจะเล็กไปหน่อยก็เถอะ” เขาเหล่มองผมด้วยสายตาประเภทที่เอาไว้ดูถูกดูแคลนชาวบ้าน ก่อนจะทำเสียงขึ้นจมูกเหยียดหยาม แล้วชี้นิ้วที่โซฟาใต้ร่างของเขา สีหน้าเรียบนิ่งและน้ำเสียงที่เสียดสีจนผมต้องเซถอยหลัง ผมมองโซฟาแล้วเคืองเล็กน้อย มันเข้ากับบ้านหลังนี้จริงๆ นั้นแหละ แต่ว่า...
ทำไมต้องเป็นสีดำด้วยล่ะ!?
“แต่ผมไม่มีเงินใช้คืนพี่หรอกนะ เพราะฉะนั้นมันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ตัวเดิมก็ดีอยู่แล้ว”
“ฉันพอใจจะซื้อ ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้”
“จะให้พี่ซื้อให้ฟรีๆ แบบนี้ได้ยังไงกันเล่า” ผมทำหน้าจนใจแล้วเอ่ยอย่างยอมจำนน พี่เฮดีสหันมามองผมแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ผมยืดตัวตั้งท่ารับอย่างรู้ล่วงหน้า ถ้าเขาทำท่าทางมีเลศนัยแบบนี้ทีไรเป็นต้องมีเรื่องให้ผมต้องเหนื่อยใจทุกที พี่เฮดีสเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“งั้นนายมานั่งให้ฉันนวดให้เป็นค่าตอบแทนสิ”
หะ? นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่าวะ? ไม่ใช่ให้ไปนวดให้แต่ผมไปนั่งให้เขานวดเนี่ยนะ? นี่มันค่าตอบแทนประเภทไหนกันเนี่ย!? ผมทำหน้าเหลอเหลามองมือที่หงายแล้วกระดิกเข้าหาตัว
“พี่จะนวดให้ผม?” ผมถามเสียงสูงอย่างเหลือเชื่อ พี่เฮดีสพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
“ใช่”
พี่เฮดีสลุกขึ้นนั่งขยับที่ว่างให้ ผมเดินมานั่งโซฟาอย่างงุนงง ไม่กระจ่างแก่ใจสักเท่าไร มันต้องให้ผมนวดให้สิ แต่นี่อะไรสลับกันหรือเปล่าวะ?
“นวดๆ ไมนวดด้วย!” ไมนอสกับแมนทีสเข้ามาส่งเสียงอย่างร่าเริง มือจับขยุ้มอากาศ ตาเปล่งประกาย พี่เฮดีสโบกมือไล่พวกเด็กๆ ออกไปแล้วหันไปหยิบถุงของเล่นส่งไปให้กับทั้งสอง
“ไปเล่นในห้องนู้นไป่”
“ฮะ~~~”
แค่นี้ก็เอาอยู่หมัด! ผมมองสองพี่น้องที่หัวเราะคิกคักเดินจากไปด้วยความรู้สึกหวั่นเล็กๆ เริ่มจะคิดว่าที่เขาซื้อของเล่นเยอะแยะขนาดนั้นก็เพราะเอามาหลอกล้อเด็กๆ หรือเปล่า? เมื่อเด็กสองคนนั้นหายเข้าไปในห้องของผม พี่เฮดีสก็เดินตามไปล็อกประตูทันที เฮ้ยๆ! นี่มันอะไรกันเนี่ย!? ผมเริ่มระแวงกับใบหน้าแสยะยิ้มชวนขนลุกนั้นแล้วสิ! คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ!? พี่เฮดีสก้าวย่างสามขุมเข้ามา ผมที่กำลังจะลุกก็ถูกจับไหล่ดันให้นั่งลงเหมือนเดิม เขาก้มหน้าตามลงมาแทบจะชิด ผมรีบเอนตัวออกห่างเพราะไม่อย่างนั้นมีอันต้องมีเหตุการณ์เม้าท์ทูเม้าท์แน่ๆ
“เอาล่ะ มาเข้าคอร์สนวดพิเศษกันเถอะ”
“ไม่ดีมั้งครับ ผะ...ผมนวดให้พี่ดีกว่า”
“ฉันนวดน่ะดีแล้ว นอนลง!”
“เอ๊ะ? ทำไมต้องนอนด้วยล่ะ?” ผมเงยหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ พี่เฮดีสทำหน้าขู่เอ่ยลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงโทนต่ำและเย็นยะเยือก
“เงียบ ห้ามถาม! ทำตามที่ฉันสั่ง นอนลง!”
เผด็จการโคตร! นี่ผมกำลังใช้บริการนวดแผนฟาสซิสต์อยู่หรือไงวะ? ผมเอนตัวนอนทอดตัวยาวบนโซฟาตัวใหม่ที่ทั้งหอมทั้งนุ่ม อ่า สบายกว่าโซฟาตัวเดิมตั้งเยอะเลย! ผมนอนคว่ำถูไถหน้ากับความนุ่มนิ่มของโซฟาตัวใหม่ กำลังเคลิ้มๆ กับความนิ่มสบายผมก็สะดุ้งวาบกับสัมผัสมือร้อนผ่าวบริเวณเอว หัวใจเริ่มกระดอนออกมาทางปากแน่ะ!
“เอ่อ...” ผมใจคอไม่ดี พยายามจะลุกขึ้นแต่ถูกกดไว้ด้วยมือข้างเดียว แม้ผมจะพยายามแทบตายก็ไม่สู้แรงมือข้างเดียวของเขาได้ โธ่เอ๊ย ศักดิ์ศรีลูกป่าไม้อย่างผมถูกทำลายย่อยยับ! ผมกัดฟันข่มความอับอายเอาไว้ลึกสุดใจ ท่องในใจว่าเดี๋ยวก็เสร็จ อีกหน่อยมันก็จบแล้ว!
ว่าแต่ทำไมการนวดมันถึงได้เนิบนาบช้ายิ่งกว่านวดหอยทากขนาดนี้กันเนี่ย? ผมพยายามเหลือบไปมองพี่เฮดีสที่ยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ตินิ่งไร้อารมณ์ ขนตายาวหลุบมองต่ำทำให้เห็นได้ชัดเจน มันงอนหนาดำเป็นแพเลย อ่า น้ำหนักมือกำลังแรงพอดิบพอดี ผมหลับตาผ่อนคลายกับเซอร์วิสอันคาดไม่ถึง เมื่อหลับตาลงก็รับรู้ถึงมือขนาดใหญ่อันเรียวยาวสวยที่กำลังนวดเฟ้นตามเนื้อตัวของผม จากต้นคอเรื่อยไปตามลาดไหล่ เคล้าคลึงตามแผ่นหลัง เลื่อนต่ำลงไปยังเอว นิ้วของเขาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วอย่าให้แซดเลย ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในพริบตา ว้าว! นวดแผนฟาสซิสต์มันยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวมากครับ
“พลิกตัว”
ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็ทำตามคำสั่งที่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเย็นแต่ไม่ได้รู้สึกน่าหวาดกลัวอะไรนัก มันกลับนุ่มนวลอย่างคาดไม่ถึง ผมพลิกตัวแล้วหลับตาพริ้มรอบริการจากหัตถ์มหาเทพ ผมพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับแรงที่นวดเฟ้นขา คลายความเหนื่อยล้าอ่อนแรงของกล้ามเนื้อของผมได้มากโข นี่พี่เฮดีสไปเรียนนวดจากวัดโพธิ์มาหรือไงนะ? อย่างเทพ! มือที่นวดเฟ้นนวดต้นขาทั้งสองข้างของผมนานเสียจนผมต้องลืมตาขึ้นมาดู เขาก็ขยับมานวดแขนผมแทน หือ? ผมคิดไปเองล่ะมั้ง ผมหลับตาเคลิ้มอีกครั้ง โอย มันดีจริงๆ นะ! ผมนอนหลับตาพริ้มเพลิดเพลินกับการบริการอันยอดเยี่ยมของพี่เฮดีส เกือบผล็อยหลับไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ ก็มีน้ำหนักขนาดใหญ่นั่งทับผมไว้ ผมลืมตาขึ้นมาเห็นพี่เฮดีสที่กำลังก้มลงมองผมด้วยสายตาอันลึกลับ คาดเดาไม่ได้
“เอ๊ะ เฮ้ย เดี๋ยวนะ!” ผมหันมองซ้าย มองขวา ขยับแขนของตัวเองที่ถูกเขาจับรวบเอาไว้บนศีรษะ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด ผมทำหน้าตกตื่น ช้อนตามองคนที่คุกเข่านั่งกลางตัวของผมอย่างงุนงง มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันน่ะ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกตัวเลย!
“พี่จะทำอะไรนะ!?” ผมอุทานอย่างตกใจเมื่อเขาโน้มตัวลงมาใกล้ ผมดิ้นรนด้วยแรงเฮือกสุดท้าย บ้าเอ๊ย! เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดเนี่ย!? อย่าบอกนะว่าไอ้นวดเมื่อกี้มันพรากเอาพละกำลังของผมไปหมดน่ะ? ไม่จริงนะ! พี่เฮดีสเอียงหน้าใช้หางตามองมาอย่างไม่ใส่ใจกับการเอาตัวรอดจะเป็นจะตายของผม
“พี่เฮดีส! ปล่อยผมนะ! คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ถามได้ดี ฉันก็กำลังลงโทษเด็กนิสัยไม่ดีที่พูดโกหกยังไงล่ะ”
“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย” ทำปากแข็งเอ่ยแย้งไป พร้อมกับหลบสายตาที่จ้องเขม็งอยู่ใกล้แค่คืบ โธ่เอ๊ย ถอยห่างๆ หน่อยได้ไหมครับ? ใกล้แบบนี้ผมไม่มีสมาธิ!
“งั้นก็ต้องใช้เวลาสักหน่อยกับผู้ร้ายปากแข็ง” เขาเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ นุ่มนวลไพเราะ ไม่ใส่ใจกับท่าทีการปฏิเสธแม้แต่น้อย เสียงของเขามันทุ้มต่ำน่าฟัง ซึ่งผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินน้ำเสียงที่ชวนให้อยากยอมจำนนโดยดุษฎีแบบนี้เหมือนกัน แค่เสียงที่ชวนหวาบหวามนั้นก็ทำผมย่ำแย่อยู่แล้ว ยังมีริมฝีปากที่คลอเคลียใบหูอ่อนนิ่ม นิ้วเรียวยาวที่ลูบไล้เคล้าคลึงตามลำคอ ผมแทบตาเหลือก หน้ามืด ตาลาย หายใจแรง อาการคล้ายหัวใจจะวาย
ไม่ไหวแล้ว! ผมกำลังจะตาย!
“ขอโทษครับ! ต่อไปผมจะไม่ปิดบังอะไรพี่อีกแล้ว!” ผมตะโกนสาบานต่อฟ้าโดยเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน ไม่ไหว ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ล่ะก็ผมได้หัวใจวายหน้ามือสลบสไลไปอย่างแน่นอน ผมน้ำตาคลอ กลัวจะตายอยู่แล้ว! ปล่อยผมไปเถอะ! พี่เฮดีสปล่อยมือจากผมแล้วกระโดดขึ้นยืนตัวตรงอย่างรวดเร็ว ผมรีบลุกขึ้นหายใจเอาอากาศเข้าปอดเร็วจนสำลักอากาศ ไอแค่กๆ ออกมาจนหน้าแดงก่ำ จากที่แดงอยู่แล้วมันก็แดงขึ้นไปอีกแทบจะแดงไปทั้งตัวอยู่แล้ว!
“ไปอาบน้ำดีกว่า” คนต้นเหตุทำหน้ามึนไม่รับรู้สภาพอเนจอนาจของผมเลยสักนิด เขาเหลือบมองผมหน่อยๆ แล้วสะบัดตูดเดินไปห้องของตัวเองอย่างไร้ความรับผิดชอบเป็นที่สุด! ไอ้อาการร่าเริงจากการได้แกล้งของเขามันกระเด็นเข้าตาผมจนเคืองสายตา ผมส่งค้อนตามหลังไปให้ในทันที
เมื่อได้อยู่คนเดียวผมก็รู้สึกโล่งอกเป็นล้นพ้นที่ผ่านวิกฤตอันตรายไปได้ ผมถอนหายใจเฮือก ยกมือที่สั่นระริกของตัวเองมาดู เผลอเป็นไม่ได้ต้องเข้ามาทำให้หวั่นไหวทุกทีเลย ผมเม้มปากแน่น กำมือแน่น ผู้ชายคนนี้อันตรายจริงๆ อันตรายต่อหัวใจเกินไปแล้ว!
อะไรนะ? ไม่เชื่อสายตาล่ะสิ ไม่ต้องขยี้ตาหรอก มาจริงๆ
มาเร็วเกินไปงั้นเหรอ!? โอเค ครั้งนี้มาช้าๆ เหมือนเดิมล่ะกัน 555
เฮดีสน่ะนะเป็นมากกว่าท่อนไม้แข็งทื่อน่ะเธอ
ไม่ได้มีแค่หล่อเท่านั้นนะ คุณท่านมีมากกว่านั้น ไม่งั้นสาวๆ จะติดตรึมฤา!
ปล. คำผิดอาจจะเยอะสักหน่อย เดี๋ยวมาแก้ให้น่า 