หือ?
ผมกำลังปั่นจักรยานอย่างขะมักเขม้น คนซ้อนท้ายข้างหลังที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจิ้มลูกชิ้นปิ้งเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก ไม่รักษาภาพพจน์ของผู้หญิงเลยสักนิด สาวทอมบอยที่ถูกแม่บังคับขู่เข็ญให้ไว้ผมยาวให้สมกับเป็นผู้หญิงและยัดเหยียดให้ผมไว้ตามนั้นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ยัยนี้ชื่อส้มหวาน ซึ่งไม่หวานเหมือนชื่อมันเลย พวกเราขี่จักรยานไปกลับโรงเรียนเป็นประจำ ก็ไม่ไกลมากเท่าไรครับ ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว
“จอดๆ! จอดสิโว้ยไอ้รัญ!”
“ก็กำลังจอดอยู่นี่ไง แกคิดว่าบอกปุ๊บจะจอดได้ปั๊บเหมือนใช้ยางมิชลินเรอะ?”
“เดี๋ยวนี้นิสัยเสียนะโว้ย ย้อนผู้หลักผู้ใหญ่!”
“แก่ตายล่ะแกน่ะ”
“ที่แน่ๆ แก่กว่าเอ็งสองเดือนล่ะกัน”
สองเดือนมันก็นับ! ผมถอนหายใจ คร้านจะเถียงคำกับเพื่อนสาว(หรือไม่สาววะ?) เถียงทีไรต่อยืดยาวไปเป็นเมตรๆ ไม่เคยจบสิ้นกันสักที ส้มหวานหยุดรถเพราะมันตั้งใจจะไปเดินเลาะตลาดหาสาวแซวให้ชื่นใจก่อนกลับบ้าน มันเคยชวนผมหลายรอบแต่ผมปฏิเสธทุกที ว่างจัดหรือไม่มีอะไรทำหรือไง ถึงได้ไปแซวแม่ค้าในตลาด
ผมโบกมือลามันแล้วปั่นจักรยานสีแดงเลาะไปตามถนน เลือกซอกซอยเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีรถราผ่าน ขี้เกียจวุ่นวายกับเรื่องมารยาทการขับรถไม่ค่อยดีของเหล่าคนมีเงินซื้อรถขับ ผมขี่ผ่านร้านเสริมสวยมองทะลุเข้าไปข้างใน จะว่าไปแล้วก็ชักจะคันหนังหัวอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวแวะเข้าร้านสระผมใกล้ๆ บ้านดีกว่า เฮ้อ ผมล่ะเกลียดนักไอ้การไว้ผมยาวเนี่ย ดูแลผมยาวๆ มันลำบากต้องทำนู้นทำนี้เยอะแยะ ไม่อย่างนั้นนกจะเข้าใจว่าเป็นรังของมันแล้วมาวางไข่ก็แย่สิครับ
ผมแวะสระผมที่ร้านเจ้าประจำ ที่พอเห็นผมก็รู้ในทันทีว่ามาทำอะไร จริงๆ แล้วใจผมอยากจะตัดสั้นให้มันเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปแต่ไอ้ส้มหวานขู่ว่าถ้าผมตัดสั้นมิตรภาพระหว่างมันกับผมก็ขาดสะบั้นเหมือนกัน ผมก็เลยจำใจไว้มันมาตลอดตั้งแต่ขึ้นมอต้นแล้ว ตอนนี้ผ่านไปสี่ปีมันยาวแตะก้นเลยแน่ะ แต่การดูแลผมไม่เหนื่อยเท่ากับการถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้ตายเถอะ! ถูกสาวที่แอบปิ๊งปฏิเสธด้วยเหตุผลแสนไม่ยุติธรรม อุตส่าห์รอจนแฟนเลิกร้างเขาถึงทำใจกล้าไปสารภาพรักแต่เธอคนนั้นกลับบอกว่าเกลียดเขาซะได้ เหตุผลก็คือแฟนเก่าของเธอบอกว่าชอบเขามากกว่าก็เลยขอเลิกไป เหตุผลซั่วๆ!
หลังจากแปลงผมจนสลวยสวยเก๋ผมก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน เก็บรถไว้ข้างบ้านที่เดิม ผมล้วงกุญแจในกระเป๋ามาไขประตูหน้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงอะไรแซ่กๆ คล้ายพุ่มไม้สั่นไหว หน้าบ้านของมันถูกตกแต่งด้วยดอกไม้พุ่มชนิดต่างๆ ซึ่งผมดูแลใส่ใจมันอยู่ตลอดถึงได้ผลิดอกออกใบสวยขนาดนี้ ผมจ้องไปที่พุ่มไม้สูงเลยเข่าเล็กน้อยนิ่ง ก่อนจะผละความสนใจมาเปิดประตูบ้าน ผมเดินเข้าไปในบ้านวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะกระจกหน้าทีวี
ปัง!ผมสะดุ้งเฮือก หันไปมองประตูบ้านที่เปิดไว้ ตอนนี้มันกลับปิดสนิททำให้บ้านมืดตึ๊ดตื๋อมองอะไรไม่ชัด ผมขมวดคิ้วงุนงง ลมพัดแรงจนประตูมันปิดเองหรือไงกันนะ? ผมเดินคลำทางไปสัมผัสสวิชต์ กำลังจะกดเปิดผมกลับตกใจร้องลั่นแต่เสียงกลับอุดอู้เมื่อถูกตะปบปิดปากด้วยมือขนาดใหญ่ ผมดิ้นต่อสู้ความกลัวแล่นเข้าสู่ใจอย่างรวดเร็ว สัญชาติญาณสั่งให้ต่อสู้สุดกำลัง
“อื้อ! อื้อ!”
ร่างทะมึนใหญ่ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลจับผมันเข้ากำแพงบ้านแล้วรวบมือของผมไปด้านหลังไม่สะดุ้งสะเทือนกับแรงอันด้อยนิดของผม ผมหายใจหายช่วง ตัวสั่นด้วยความกลัว เสียงทุ้มต่ำอันเย็นเยียบกระซิบขู่ไม่ให้ผมส่งเสียงดัง ผมพยักหน้ารับพยายามที่จะไม่ขัดขืน นิ่งเอาไว้เพื่อให้คนร้ายไม่เกิดโทสะลงมือทำรุนแรงกับผม ผมกลืนน้ำลายลงคอภาวนาขอให้คนร้ายเอาแต่เงินหรือทรัพย์สินไปล่ะกัน! ผมเหลือบมองมือใหญ่ที่กดเปิดสวิชต์ไฟจนบ้านสว่าง ผมรู้สึกกดดันจนสมองปวดจี๊ดๆ ฟังจากเสียงกับมือขนาดใหญ่ เรี่ยวแรงเยอะแบบนี้ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน
“นี่ใช่บ้านยูหรือเปล่า?”
ห๊ะ? คนร้ายถามว่าอะไรนะ!? ผมมัวแต่คิดวิธีหลบหนีจนไม่ทันได้ฟังว่าเขาถามถึงอะไร คนร้ายกดตัวลงกับกำแพงแล้วเอ่ยถามเสียงเย็นจนหนาวไปถึงกระดูกเลยล่ะครับ ผมตัวสั่นเทาด้วยความกลัว พี่ยูคือพี่ชายข้างบ้านของผมเองครับ คนๆ นี้ถามหาพี่ยูไปทำไมกัน? คิดจะไปทำร้ายพี่ยูหรือเปล่า? พี่ยูไปทำอะไรไว้กันล่ะเนี่ย? ผมคิดจนหัวหมุน
“ตอบ!” เมื่อยังไม่ได้คำตอบ คนๆ นั้นก็ทำเสียงเข้มคาดคั้นเอาคำตอบจากผม เขาจับแขนของผมแล้วลงแรงนิดเดียวก็ทำให้ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!? คราวเคราะห์ของผมงั้นเหรอ? ผมเม้มปากแน่นเพราะอาการเจ็บแปลบๆ ที่หัวไหล
“ไม่ใช่ครับ”
“แล้วบ้านมันอยู่ไหน?”
เขาถามผมต่อ ชัดเลย คนๆ นี้ไม่ใช่เพื่อนของพี่ยูแน่ๆ เพื่อนที่ไหนจะรู้จักบ้านของเพื่อนกันล่ะ ถึงไม่รู้จริงๆ ก็โทรถามกันก็ได้แต่นี่อะไร มาข่มขู่เอาคำตอบจากคนอื่นแบบนี้ ต้องเป็นพวกไม่คิดดีแน่ๆ ผมหลับตาแล้วตอบเสียงดัง
“ผมไม่รู้”
“โกหก” เจ้านั้นกระซิบกลับทันที หัวเราะฮึในลำคอครั้งหนึ่ง เหมือนกำลังดูแคลนทักษะโกหกของผม โธ่เอ๊ย!
“แกรู้ บอกมา”
ไม่ว่าเปล่า เจ้านั้นใช้มือไล้ตามใบหน้าและลำคอของผมอย่างช้าๆ ผมอยากจะขยับตัวหนีเป็นบ้าแต่จนปัญญาจะสู้แรงได้ ผมเงียบไม่ตอบทำให้อีกฝ่ายไม่สบอารมณ์คว้าปลายคางของผมบีบอย่างแรง ผมขมวดคิ้วเม้มปากเมื่อด้านหลังถูกเบียดชิดด้วยร่างกายอันอุ่นจนร้อนซ่าน ผมหดตัวให้ลีบเท่าที่จะทำได้ มันถามหาบ้านของพี่ยูอีกครั้งแต่ก็เหมือนเดิม ผมไม่ยอมตอบ
“อยากถูกข่มขืนไหม?”
ได้ยินผมก็ตัวสั่นด้วยความกลัว แข้งขาพาลอ่อนปวกเปียก มันกระซิบขู่ผมและเร่งให้ผมบอกที่อยู่ของพี่ยูมา ไม่อย่างนั้นมันบอกว่าผมจะต้องเสียใจแน่ ผมเม้มปากหนักใจ ตัวเองก็ห่วง พี่ก็ห่วง! ผมสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเปิดปากตอบไป
“ผมบอกก็ได้แต่ช่วยปล่อยผมก่อนได้ไหม?”
“รีบบอก! อย่าตุกติก”
ผมถอนหายใจเมื่อมันไม่ยอมหลงกล เชอะ ไอ้โจรฉลาดเอ๊ย
“อย่าคิดจะโกหกล่ะ ไม่งั้นแกเจอดีแน่”
ผมใจหายวาบ เมื่อกำลังจะตอบมั่วๆ ไป จะบอกก็ไม่ได้ แต่ไม่บอกผมก็ถูกข่มขืน! ผมตัวสั่นไม่หยุด กลัวจนคิดอะไรไม่ออก ผมกลั้นหายใจเมื่อมือขนาดใหญ่ล้วงเข้าไปลูบไล้ ลมหายใจร้อนผ่าวรดต้นคอ ริมฝีปากอุ่นปัดเฉียดผิวกาย ผมตัวแข็งทื่อหลับตาปี๊ด เอาเถอะ! รีบๆ ทำ รีบๆ จบ ผมกัดริมฝีปากปกปิดความหวาดหวั่นในใจ
แต่แล้วคนร้ายก็ผละออกผมแล้วหัวเราะเสียงดัง ผมยืนนิ่งงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมหันไปมองคนร้ายที่นั่งลงไปกับพื้นแล้วหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผมขมวดคิ้วนิ่วหน้า มองคนร้ายที่เงยหน้าขึ้นมามองผม เขายิ้มที่มุมปากนิดๆ ทำเอาหัวใจผมเต้นตึกๆ เร็วขึ้นมาอย่างไม่รู้ที่มา ผมตกใจนิดหน่อยกับรูปลักษณ์ที่ผิดคาดจากที่คิดไว้ เขาโคตรจะดูดีเลยล่ะครับ ไม่ดูเหมือนโจรโรคจิตสักนิด
เป็นคนร้ายที่หล่อที่สุดเลยด้วย!ใบหน้าหล่อเหลาที่เปรอะเปื้อนเลือดแดงฉาดชวนขนลุกขนพอง แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าเขาดูไม่น่ากลัวเลยสักนิดออกจะดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด แต่ว่าต้องระวังตัวเอาไว้อยู่ดีผมถอยเว้นระยะจากเขาทันที การเคลื่อนไหวของผมทำให้เขาหรี่ตามองมาด้วยสายตาเย็นดั่งน้ำแข็งมาให้
“ฉันไม่มีรสนิยมชอบข่มขืนหรอก ชอบแบบสมยอมมากกว่า”
ผมมองเขาอย่างระแวงอยู่ดี ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนนี่ครับ! จู่ๆ ก็เข้ามาข่มขู่กันแบบนี้ไม่ระแวงก็บ้าแล้ว ผมสำรวจคนตรงหน้า เลือดเต็มไปหมด ขนาดใส่ชุดสีดำจึงรู้เลยว่าเนื้อตัวมีแต่เลือด ผมกลืนน้ำลายลงคอ เลือดคนอื่นหรือเลือดของเขากัน? ผมข่มความหวากกลัวแล้วถามออกไป
“คุณบาดเจ็บเหรอ?”
“ใช่ มีมือถือไหม? ยืมหน่อย” เขาพยักหน้ารับอย่างง่ายๆ แล้วถามถึงมือถือ ผมกะพริบตาปริบๆ มองเขาแล้วขยับตัวไปหยิบกระเป๋าล้วงเอามือถือส่งไปให้ ผมถอยห่างออกมามองเขา ไม่รู้ทำไมถึงเขาจะทำท่าทางไม่เป็นมิตรแต่ผมก็ไม่ยักจะกลัวเท่าตอนแรก ผมมองเขาอยู่ไม่นานก็วิ่งไปหาของบางอย่าง สักพักก็เดินออกมา เขาเงยหน้ามองผมอย่างแปลกใจ ผมเม้มปากก้มหน้านิดๆ
“ผมรักษาแผลให้ไหมครับ?”
“...ก็ดี” เขานิ่งไปนานก่อนจะพยักหน้ารับเรียบๆ ผมยิ้มนิดๆ ให้แล้วรีบเดินเข้าไปจัดการแผลให้กับเขา
อะไรกันเนี่ย มีแผลที่เหมือนโดนมีดบาดด้วย แถมแผลยังลึกชะมัด มิน่าเลือดถึงมากขนาดนั้น แถมยังเยอะซะจนผมยังรู้สึกเจ็บแทน แต่ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว สะดุ้งสะเทือนอะไรมันสักอย่างทำเหมือนมันไม่เจ็บเลย บาดแผลมันเยอะจนผมอดที่จะถามออกไปไม่ได้
“ผมว่าไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมครับ?”
“ไม่” เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ปิดประตูไม่ให้ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น
ผมก็เลยเงียบไป ไม่กล้าเอ่ยถามว่าเขาไปโดนอะไรมา ทำเพียงก้มหน้าเช็ดคราบเลือดให้กับเขาแล้วทำแผลให้ ใช้เวลานานพอสมควรในการทำแผลที่มีอยู่ทั่วทั้งตัว ผมมองกะละมังจากน้ำเปล่ากลายเป็นน้ำแดงสีเข้ม ผมลุกขึ้นเก็บของข้าวแล้วค้นหาเสื้อผ้าเก่าๆ ของพ่อมาให้เขาใส่ไปก่อน
“ผมจะซักเสื้อผ้าให้ คุณใส่ชุดนี้ไปก่อนล่ะกัน นี่รีโมตทีวีถ้าเบื่อก็เปิดดูได้ เดี๋ยวผมไปซักผ้าก่อน เอ้อ คุณหิวหรือเปล่า? ถ้าหิวผมจะทำไข่เจียวกินรองท้องไปก่อน” ผมวางชุดให้เขาแล้วหยิบรีโมตทีวีให้ด้วย ก่อนที่หมุนตัวเดินออกไปก็คิดได้ว่าตอนนี้ก็เย็นมากแล้วเขาอาจจะหิวอยู่ก็ได้ จึงหันกลับไปถามเขา คนๆ นั้นมองผมนิ่ง สายตาที่มองมานั้นทั้งประหลาดใจและงุนงง เขาหลบสายตาไปเมื่อเห็นผมจ้องตอบกลับ
“ไม่กลัวฉันขโมยอะไรหรือไง?”
“คุณใส่แบรนด์แสดงว่าฐานะของคุณต้องดี คงไม่มาขโมยอะไรพื้นๆ ที่บ้านผมหรอก”
และอีกอย่างที่ผมบอกไม่ได้คือ ผมรู้สึกว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายผมแน่นอน ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ความรู้สึกนี้มันรุนแรงมากเสียจนผมยังแปลกใจ ผมยิ้มเมื่อเขาเงียบและหันไปมองทางอื่น ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเขาก็เอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียทุ้มต่ำแม้จะเย็นชาเหมือนเดิมแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่นดี
“ฉันชื่อเฮดีส”
“ส่วนผมชื่อเนรัญ เรียกรัญก็ได้ครับ สั้นดี”
“ขอบใจเนรัญ”
คำพูดสั้นๆ และเหมือนคนพูดไม่ค่อยยินดีที่จะเอ่ย แต่มันกลับทำให้หัวใจของผมฟู่ฟองคับอก ผมยิ้มกว้างพยักหน้ารับแล้วตอบว่าไม่เป็นไร จากนั้นผมก็หมุนตัวเดินต่อเพื่อไปซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดเหม็นคาวและทำกับข้าวง่ายๆ ให้เขาทานรองท้อง
หลังจากทานข้าวง่ายๆ เสร็จ ผมถามว่าเขาติดต่อคนรู้จักได้หรือยัง เขากลับบอกว่าติดต่อไม่ได้เพราะเขาลืมไปว่าไม่ได้จำเบอร์ใครไว้สักคน แล้วเขาก็ถามผมเรื่องบ้านของพี่ยู คราวนี้ผมยอมตอบเขาว่าบ้านพี่ยูอยู่ข้างๆ บ้านของผมแต่ตอนนี้พี่ยูไม่อยู่เพราะเดินทางไปเที่ยวภูเก็ตเมื่อวันก่อน อีกสามวันถึงจะกลับมา เขาถึงกับกุมขมับกลุ้มไปเลย แล้วผมก็บอกให้เขาค้างกับผมจนกว่าพี่ยูจะกลับมา เขามองผมแล้วคิดอยู่นานสุดท้ายเขาก็ตอบตกลง
ที่แท้เขาเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของพี่ยูนี่เอง บังเอิญเกิดเรื่องขึ้นแถวๆ นี้และจำได้ว่าบ้านพี่ยูอยู่ที่นี้ก็เลยถ่อสังขารมาหา แต่ดันมาจำไม่ได้ว่าบ้านหลังไหน มาเจอผมพอดีก็เลยกะจะถามทางไปบ้านของพี่ยูหน่อย ผมอยากบอกว่าการถามทางของเขามันน่ากลัวโคตร! อยู่ด้วยกันหลายวันทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่น่ากลัวสักนิด ก็แค่เป็นคนเงียบมากและก็ปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นเอง!
ผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผม พอผมกลับมาจากโรงเรียนเขาก็ไม่อยู่แล้ว แสดงว่าพี่ยูกลับมามาจากภูเก็ตแล้วเขาก็คงจะติดต่อกับครอบครัวได้แล้ว ผมวางกระเป๋าไว้ที่เดิม บอกตามตรงผมรู้สึกใจหายนิดๆ หลายวันมานี้อุตส่าห์รู้สึกว่าพวกเราสนิทกันแล้วเชียว ไม่นึกว่าเขาจะไปโดยไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ ผมนั่งถอนหายใจจึงไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรู้สึกแบบนี้
ผ่านไปเกือบเดือนผมก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย แต่ผมดันเป็นเอามาก พอกลับมาบ้านทีไรก็รู้สึกคิดถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาทุกที ผมกลับมาจากโรงเรียนตามปกติ และมองไปที่บ้านของพี่ยูทุกครั้งที่เห็นรถมาจอดที่หน้าบ้านของพี่ยู ลึกๆ ผมคาดหวังจะเห็นใครบางคนที่เป็นเพื่อนกับพี่ยู แต่ผ่านไปหนึ่งเดือนผมต้องผิดหวังทุกครั้ง ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกันแต่ว่าผมก็ยังดันทุรังมองหาอยู่ดี ไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมถึงได้ยึดติดกับคนแปลกตาที่รู้จักแค่สามสี่วันคนนั้นด้วย
“โอ๊ะ”
ผมอุทานเสียงเบากับตัวเอง เมื่อเห็นร่างสูงกับชุดสีดำทั้งตัวยืนอยู่หน้าบ้านของพี่ยู หัวใจของผมเต้นรัวขึ้นอย่างคาดหวัง และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หันมามองผมด้วยดวงตาคู่สวยที่มีกะไอเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็ง ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ ในใจปลาบปลื้มยินดี เหล่าแฟรี่น้อยทั้งหลายดึงสายรุ้งฉลองกันใหญ่ ในที่สุดเขาก็มา!
“พี่เฮดีส!” ผมเรียกเขาเสียงดังแล้วสาวเท้าเดินไปริมรั้วซึ่งกั้นระหว่างบ้านของผมกับบ้านของพี่ยู พี่เฮดีไม่ขยับตอบเขาทำแค่มองมานิ่งๆ ผมที่ยิ้มเบิกบานเริ่มค่อยๆ ยิ้มห่อเหี่ยว หรือว่าเขาจะจำผมไม่ได้กัน ผ่านไปแค่ไม่กี่สัปดาห์เขาก็ลืมผมไปแล้วงั้นเหรอ? ผมมองละห้อย กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกหัวใจมันโหวงเหวงชอบกลเมื่อคิดว่าเขาจำผมไม่ได้
แต่แล้วเขาก็เดินตรงมาที่ผม หัวใจของผมเต้นตึกตักชักเจนในอก ใบหน้าพาลร้อนผ่าวอย่างกับมีของร้อนแนบหน้า เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมก็แทบจะกลั้นหายใจ พี่เฮดีสยื่นถุงในมือมาให้กับผมด้วยใบหน้าเย็นชา
“เอาไป”
“ครับ? นี่อะไรครับ?” ผมมองถุงในมือของเขาอย่างงุนงง พี่เฮดีสชำเหลืองมองผมรวดเร็ว มีแววขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ภูเขาฟูจิล่ะมั้ง!”
“เอ่อ... ขอบคุณครับ” ผมรับมาแล้วเปิดในถุงดูเป็นขนมเค้กและเบเกอรี่หน้าตาสีสันน่ารับประทานกลิ่นหอมเหมือนเพิ่งออกมาจากเตาอบใหม่ๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า สงสัยนิดหน่อยว่าของพวกนี้เขาตั้งใจเอามาให้ผมงั้นเหรอ?
“ไอ้ยูมันไม่อยู่นายก็เอาไปกินล่ะกัน” พี่เฮดีสเอ่ยตัดความหวังอันเรืองรองของผมซะกระจุย ผมพยักหน้ารับแล้วชวนเขาเข้าบ้านเพื่อไปกินขนมกับชานมที่ผมทำเอาไว้เมื่อวาน พวกเราได้คุยกันและผมก็รู้ว่าที่เขาหายไปเป็นเดือนเพราะที่บ้านเป็นห่วงให้นอนพักรักษาตัวจนกว่าแผลจะหายดี ผมก็เลยเบิกบานขึ้นมาอีกนิด
ผมกับพี่เฮดีสได้เจอกันบ่อยๆ เพราะถึงวันหยุดพี่เฮดีสก็มาหาพี่ยู แต่แปลกๆ ตรงที่ว่าเขาชอบมาหาพี่ยูตอนที่พี่ยูไม่อยู่แทบทุกครั้ง ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่าเขามาหาผมและเอาพี่ยูมาเป็นข้ออ้าง! ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่มันทะแม่งๆ เมื่อตอนที่ผมอุตส่าห์หวังดีจะเรียกพี่ยูให้ เขาก็หงุดหงิดใส่พาลไม่คุยกับผมเลย ก็ไหนบอกว่ามาหาพี่ยูไงผมก็อุตส่าห์จะเรียกให้ ยิ่งเห็นเขาทำปึงปังใส่แบบเงียบๆ ผมก็ยิ้มกว้าง อ่า เขามาหาผมจริงๆ นั้นแหละแล้วทำไมไม่ชอบพูดตรงๆ เอานู้นเอานี้มาอ้างตลอดเลย!
ผมนั่งทำการบ้านไปเงียบๆ พี่เฮดีสเองก็ไม่ได้ทำอะไร เขางีบหลับอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ ผมเหลือบมองแล้วยิ้มที่เห็นใบหน้าหล่อเหลานอนหลับปุ๋ย สงสัยจะเหนื่อยเพราะช่วยผมปลูกผักในสวนล่ะมั้งถึงเขาจะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็เถอะ ผมก้มหน้าทำการบ้านต่อ นานกว่าจะทำเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา ผมกะพริบตามองพี่เฮดีสที่นอนตะแคงจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“เนเน่”พี่เฮดีสจะเรียกผมแบบนั้นล่ะครับ ผมเคยถามเหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกให้มันดูน่ารักแอ๊บแบ๊วซะขนาดนั้นด้วย เขาบอกว่ามันไม่เหมือนคนอื่นดี และยังบอกว่าก็มันน่ารักสมตัวนั้นแหละถึงได้เรียก จำได้ว่าตอนนั้นผมงี้อายจนแดงแปร๊ดไปทั้งตัว
“ครับ?” ผมตอบรับเสียงแผ่วเบาแล้วทำไมผมต้องตื่นเต้นด้วยเนี่ย เขาก็แค่เรียกเท่านั้นเอง!
ผมยิ้มให้กับเขาบางๆ พี่เฮดีสลุกขึ้นมานั่งเขาขยับมากุมมือของผมเอาไว้ บรรยากาศลมพัดสบายยามเย็น ทุกอย่างรอบข้างเงียบสงบเสียจนได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นรัวสะท้อนในอก ผมมองหน้าของเขาแล้วต้องรีบหลบหนีไป นี่มันอะไรกัน ไอ้สายตาจริงจังชวนเขินอายแบบนี้น่ะ!? มือที่ถูกกุมร้อนชื้นขึ้นตามความรู้สึกที่ถูกสีหน้าเอาจริงเอาจังของเขากระตุ้น
“เป็นแฟนพี่นะ?”ผมเบิกตากว้างตกใจกับคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของพี่เฮดีส ใจของผมชักกระตุกอย่างรุนแรง เมื่อกี้นี้เขาพูดอะไรนะ!? ผมได้ยินถูกหรือเปล่า? น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เจือด้วยความอ่อนโยนอบอุ่นทำให้คิดอะไรไม่ออก ทำตัวไม่ถูกเลย ดวงตาของเขาก็วาววับอ่อนหวานเหมือนมีดาวแห่งความหวังอยู่ในนั้น
“รังเกียจพี่เหรอ?”แม้หลายครั้งที่เขาแทนตัวว่า ‘พี่’ ผมก็รู้สึกเฉยๆ แต่ทำไมครั้งนี้ผมกลับเขินชะมัดยาก! โอ๊ย จะอ้อนไปไหนครับ? แค่นี้ผมก็เขินจนจะระเบิดอยู่รอมร่อ ผมไม่กล้าจะมองพี่เฮดีสตอนนี้เลย ให้ตายสิ ก็คนมันเขินนี่น่า! จู่ๆ มาพูดอะไรแบบนี้ผมก็ตั้งตัวรับไม่ทันน่ะสิ ผมยังคงเงียบและก้มหน้า ตอนนี้ผมต้องหน้าแดงเป็นตูดลิงอยู่แน่ๆ เลย!
“ตอบสิ รังเกียจหรือเปล่า?” เสียงทุ้มต่ำที่เคยเย็นเยียบแต่ตอนนี้มันกลับฟังเหมือนเด็กรั้นกำลังออดอ้อนเอาแต่ใจตัวเอง ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่กล้าส่งเสียงไปแต่กลัวเสียงของตัวเองตอนนี้จะสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ เหมือนโล่งอกดังอยู่เหนือร่างของผม ผมเกร็งตัวเมื่อถูกรวบตัวเข้าไปกอดแน่น
“งั้นก็เป็นอันตกลงว่านายเป็นแฟนพี่แล้วนะ”
“เปล่า ผมยังไม่ได้พูดเลย” ผมบ่นอุบอิบออกไปเมื่อเขาสรุปรวบรัดเข้าข้างตัวเอง พี่เฮดีสทำเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วดันปลายคางผมให้เงยหน้าขึ้น ผมหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นระรัวตกอยู่ในมนตราแสนหวานละมุนละไม
“งั้นจะจูบจนกว่าตอบตกลงล่ะกัน”
ผมทำตาโตเมื่อเขาขยับเข้ามาจู่โจมแบบไม่แทบจะทันทีที่พูดจบ ผมนึกว่าเขาจะพูดหยอกไปอย่างนั้นแต่ดันเอาจริงซะนี่ ผมมึนงงสำลักความตื่นเต้นที่ถูกเขาบดเบียดริมฝีปาก ไอร้อนจากร่างกายของเขาทำให้ตัวของผมรู้สึกวูมวาบ ผมค่อยๆ ผ่อนแรงขัดขืนแล้วหลับตาพริ้มจูบตอบแบบเก้ๆ กังๆ ตามระดับฝีมือสมัครเล่น ลมหายใจที่แทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน จูบที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนผนวกกับเรียกร้องอันแรงกล้า ผมตัวอ่อนปวกเปียกพ่ายต่อความร้อนแรงจากเขา ร่างของผมนอนราบกับพื้นอย่างนุ่นนวลตามด้วยร่างแสนจะร้อนเร่าที่แนบทับลงมา ฝ่ามืออุ่นซ่านเคลื่อนลูบไล้ตามเนื้อตัว ผมเอ่ยเรียกเขาเสียงแผ่วเบา
“พี่เฮดีส...”
“เฮ้ย!!!”ผมสะดุ้งเฮือก ลืมตาพรึบขึ้นมา
“ปิดนาฬิกาปลุกที มันหนวกหู! คนจะหลับจะนอน!!!”
แลซ้ายแลขวาไม่เข้าใจในสถานการณ์ เสียงตะโกนดังอย่างไม่พอใจทำให้ผมตื่นขึ้นมา ผมค่อยๆ ลุกขึ้นสะลึมสะลือ มองไปเห็นพี่เฮดีสที่ทำหน้ายักษ์ทะมึนตึงกับนาฬิกาปลุกในมือ ผมรับนาฬิกามาปิดเสียงรวดเร็ว เมื่อเสียงปลุกถูกปิดไปผมก็เงยหน้ามองพี่เฮดีสนิ่ง
“มองอะไร?”
ผมหน้าแดงด้วยความอับอายเมื่อเขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดขั้วโลก มองผมตาขวางอย่างไม่พอใจ ผมรีบส่ายหน้าแล้วถอยห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว พี่เฮดีสหัวเราะดูแคลนแล้วล้มตัวนอนหันหลังให้ ไม่สนใจผมอีก
ผมเม้มปาก ตัวยังร้อนผ่าวไม่หาย หัวใจยังเต้นรัวทั่วร่างไม่ผ่อนลงเลย ผมเอามือทาบอกที่เต้นกระแทกอกแล้วยกมือแนบแก้มที่ร้อนฉ่าแม้อากาศในห้องจะเย็นชุ่มไปด้วยแอร์ก็ตาม แล้วจากนั้นก็ถอนหายใจกลุ้ม เมื่อกี้มันฝันอะไรกัน? ทำไมฝันมันเป็นฉากๆ แบบนั้นได้ล่ะเนี่ย แถมยังบ้าบอคอแตกที่สุด! ผมผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติแล้วเหลือบมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ไม่ไกล
คิดทบทวนความฝันที่เหมือนจริงมากเสียจนจำมันได้ทุกอณูภาพ ท่าทางอ่อนโยน น้ำเสียงอบอุ่น สายตาที่อ่อนหวานของใครบางคนยังลอยวนเวียนจนเผลอเคลิ้ม ผมสะดุ้งเฮือกแล้วหน้าแดงอีกรอบ อะไรดลใจให้ผมฝันลามกแบบนั้นกัน!? ผมชำเหลืองมองพี่เฮดีสแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ส่ายหน้าไปมา เมื่อคิดได้ว่ายังไงตัวจริงก็ไม่มีทางเป็นแบบในความฝันได้หรอก!
เอาจริงๆ ตัวผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับความฝันที่ตัวเองพร่ำด่าอยู่นี้มากแค่ไหน และยิ่งเศร้าใจเมื่อรู้ว่าความจริงกับความฝันมันแตกต่างกันมากแค่ไหน เฮ้อ ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วจับผมของตัวเองก่อนจะหยุดมือที่ต้นคอ ทำไมในความฝันของผมถึงได้ย้อนกลับไปตอนมอสี่นู้นล่ะ? ทั้งๆ ที่ผมน่าจะฝันถึงตัวเองตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? ปกติผมจำความฝันไม่ได้แม่นตั้งแต่ต้นจนจบขนาดนี้ด้วย นี่มันอย่างกับฉายภาพอดีตซ้ำเลย ผมถอนหายใจกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แต่แล้วไอ้ภาพสาวสวยปานเทพธิดาสีซีดๆ ก็แวบเข้ามาในหัว ลินเช่ย์แตะหน้าผากตัวผมก็หนาววาบไปทั้งตัวแล้วยังไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทิ้งท้ายนั้นด้วย
มันจะเกี่ยวอะไรกันหรือเปล่า? ตอนนี้ยาวจนเกือบเป็นสองตอนเลยทีเดียว ถือว่าชดเชยให้แล้วนะจ้ะ! 555
ปล. ถ้าหายไปนานก็ทวงนิยายได้ค่ะ ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นแรงดันอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้ปอยพยายามกระเสือกกระสนมาแต่งนิยายต่อ ไม่ปล่อยร้างไปนาน
แต่อย่าทำตัวใหญ่เป็นพอ ปอยตกใจ 555