ยิ่งคิดสมองยิ่งอ่อนล้าหมดแรง เงยหน้ามองอีกคนที่ยืนนิ่งกลายเป็นตอไม้ ผมตัวแข็งทื่อตาเบิกโพล่งจ้องร่างหญิงสาวผมสีขาวในชุดสีขาว ทะ...ทำไมกัน! กลางวันแสกๆ แบบนี้ผมกลับเห็นผีตัวเป็นๆ ลอยอยู่ตรงหน้า สวดแผ่บทเมตตาตอนนี้ยังทันอยู่ไหม!? สมองน้อยๆ หยุดชะงักไปชั่วคราว ผมกลืนๆ น้ำลายแล้วทำเหมือนมองไม่เห็นสิ่งนั้น ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองดูคนรอบข้าง ทะเลาะกันขนาดนี้น่าจะกลายเป็นแหล่งไทมุงชั้นดีแน่ๆ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้ผมอยากเช็กสายตาหรือไม่ก็สมองมันซะตอนนี้เลย!
ผมสายตาไม่ดีหรือเพี้ยนไปแล้ววะ!?
ปากของผมค่อยๆ อ้าจนเหวอค้างไปหลายวินาที รอบข้างตัวของผมนอกจากพี่เฮดีสแล้วทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนถูกกดปุ่มสต็อปค้างไว้ สรรพเสียงเงียบงันเหมือนเมืองร้างทั้งๆ ที่มีคนอยู่เต็มโรงพยาบาล เจ้าฝาแฝดสองตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ของผมก็นั่งหน้าบึ้งไม่ขยับไหวติ่ง กระทั่งตาก็ยังไม่กะพริบเลย สังเกตดีๆ เข็มของนาฬิกาเรือนยักษ์นั้นก็ไม่กระติกสักนิด! ผมกวาดสายตามองไปทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง หรือว่า...ที่เป็นแบบนี้เพราะพี่เฮดีส? คำถามที่เคลือบแคลงผุดขึ้นมามากมาย ผมคิดอะไรไม่ออกสมองมันตันไปหมด
นี่มันอะไรกันเนี่ยยยย!? “กลับ!” พี่เฮดีสผลักตัวผมเกือบจะหงายหลังล้มไปกับโต๊ะ เขาหมุนตัวหันกลับหลังตวาดเสียงดังสะบัดแขนพรึบ! อย่างกับจอมยุทธ์ของหนังจีนแน่ะ ผมสะดุ้งตกใจ เหมือนมีใครบางคนกดปุ่มเพลย์อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกเสียงระเบิดตูมในครั้งเดียว ผมยกมือปิดหูหลับตาปี๊ด
“มัมเป็นอะไรน่ะ?”
“เอ๋?” ผมค่อยๆ ลืมตา เห็นสองฝาแฝดนั่งมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
ผมยิ้มเก้อๆ รู้สึกอายยังไงไม่รู้ ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาจากโต๊ะอย่างช้าๆ มองไปรอบๆ มีคนมองมาที่ผมอย่างสงสัย สายตาของพวกเขาที่มองมาเหมือนกับคู่แฝดนี่เปี๊ยบ ผมก้มหน้ากุด อับอายขายขี้หน้าเพิ่มเป็นสองเท่า ให้ตายเถอะ ไปนอนแผ่หลาบนโต๊ะแบบนั้นคนเขาจะมองผมว่าไม่บ้าก็ไม่เต็มนั้นแหละ!
“เฮ้ย!”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมาพี่เฮดีสกระดิกนิ้วเรียก เสียงที่ใช้ฟังเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร ผมถอนหายใจ สงสัยเขาจะเคืองยัยแม่มดนั้น เอ๊ย แม่ของตัวเองอยู่ล่ะมั้ง ว่าแต่เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น?
ผมรู้สึกงุนงงสับสนเมื่อกี้นี้มันความจริงหรือจินตนาการเพ้อเจ้อของผมกันนะ? ผมมองพี่เฮดีสอยากจะถามเหลือใจแต่สภาพอากาศมันไม่เป็นใจเอาซะเลย ดูสิครับ หน้านิ่งก็จริงแต่อารมณ์ยังคุกรุ่นเป็นภูเขาไฟรอเวลาระเบิดตัว ผมสัมผัสถึงรังสีการทำลายล้างรอบๆ ตัวของเขาได้เลย!
สองฝาแฝดพอเห็นพี่เฮดีสก็เฮโลเข้ามามะรุมมะตุม ส่งเสียงร้องแย่งชิงความสนใจของคนที่จ้องเขม็งมาที่ผม
“ป่อ!”
“แด๊ด!”
ไอ้สองตัวนี้มันยังแยกพ่อกับอาของตัวเองไม่ออกอีกเหรอ!? ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ก็เพิ่งเข้าไปเยี่ยมพ่อที่นอนหน้าซีดบนเตียงอยู่เลย ไหงคราวนี้ยังเรียกพี่เฮดีสว่าพ่ออยู่อีก ไม่เอะใจบ้างหรือไงว่าทำไมเดี๋ยวพ่อก็ยิ้มทำตัวบ้าบอเดี๋ยวก็เงียบกริบอย่างกับป่าช้า! ผมถอนหายใจกับความซื่อบื้ออย่างไม่น่าเชื่อของไมนอสกับแมนทีส ทีเรื่องอื่นฉลาดรู้เยอะกันจัง!
ผมรีบก้าวเท้าเดินไปหาพี่เฮดีสแต่ไม่กล้าเข้าใกล้มาก เกรงใจลินเช่ย์ที่ล่องลอยหมุนเวียนรอบๆ ตัวพี่เฮดีส!
“ว่าแต่คนๆ นั้นหายไปไหนแล้ว?” ไมนอสมองหาใครบางคนด้วยสีหน้าระแวงนิดๆ ผมคิดว่าเขาต้องมองหาคุณย่าของตัวเองอยู่แน่ๆ ผมเหลือบมองพี่เฮดีส เขาไม่พูดอะไรสักคำเดินนำหน้าไปเหมือนอย่างเคย ผมเองก็คิดว่าไม่พูดจะดีกว่า ไอ้ประสบการณ์เสี่ยงตายสุดพิลึกพิลั่นแบบนั้นพูดไปใครมันจะมาเชื่อผมกัน! โชคดีที่ไมนอสยังเด็กนัก พอไม่เห็นคุณย่าใจร้ายคนนั้นก็สบายใจหันมายิ้มและจับมือผมดึงให้ออกเดิน
“รีบๆ เดินเถอะฮะมัม ป่อไปไกลแย้วนะ!”
“เร็วๆ สิฮะ!” แมนทีสก็ช่วยพี่ชายดึงมืออีกข้างของผมให้ออกเดินเร็วๆ เพื่อจะให้ทันคนที่เดินนำลิ่วไปไกลนู้น! ผมยิ้มนิดๆ ดึงเด็กน้อยเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“รีบๆ มากเดี๋ยวหกล้มนะครับ ค่อยๆ เดินไปนี่แหละ”
อันที่จริงผมไม่อยากบอกเลยว่า...เดินอยู่ไกลๆ แบบนี้น่ะดีแล้ว! ขืนไปเดินอยู่ใกล้ๆ สาวซีดจางบอบบางจนแทบมองทะลุตนนั้นมีหวังผมต้องกลัวจนหัวโกร๋นจับไข้น่ะสิ! แค่พูดถึงก็พาลทำให้ขนลุกแล้ว บรื๋อ! ผมพยายามยิ้มให้เด็กๆ คล้อยตาม ไมนอสเบ้ปากอย่างไม่ยินดีแต่เลิกดึงแขนของผมแล้ว ส่วนแมนทีสจ้องผมเขม็งด้วยสายตาแปลกๆ ผมก้มมองเขากลับแล้วถามขึ้น
“มีอะไรครับ?”
“เมื่อกี้ทำไมมัมต้องโกหกด้วย?” เด็กน้อยถามด้วยสีหน้าจริงจังจนผมยังแปลกใจ ไมนอสหันมามองผมกับน้องชายที่เล่นจ้องตาวัดใจกัน โกหกงั้นเหรอ? ทำไมผมต้องมาถูกเด็กสองขวบตราหน้าว่าโกหกด้วยเนี่ย!? ผมค่อยๆ ตอบกลับพร้อมกับยิ้มนิดๆ
“ไม่ได้โกหกครับ กลัวจะล้มจริงๆ”
“โกหก!” แมนทีสตะโกนเสียงดังทำหน้าโมโหใส่ผมที่ได้แต่ยืนงุนงงอยู่กับที่ เจ้าหัวทองสะบัดหน้าหนีแล้ววิ่งบึ่งหน้างอไปหาพี่เฮดีส ผมมองตามร่างเล็กๆ นั้นอย่างไม่เข้าใจอาการโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไมนอสมองผมสลับกับน้องชายไปมาแล้วถอนหายใจ ผมก้มมองฝาแฝดคนพี่แล้วเลิกคิ้ว ไมนอสยื่นปากน้อยๆ ของตัวเองบอกเล่าด้วยความเสียงไม่พอใจปนอิจฉา
“ถ้าป๋มโกหกเจ้านั้นจะจับได้ทุกครั้งเลยฮะ ป่อบอกว่าแมนเป็นเครื่องจับโกหกที่ดีที่สุด”
หะ? พี่ไนซ์ให้ลูกกินเครื่องจับเท็จตั้งแต่เกิดเลยหรือไง!? ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ใส่ใจกับคำพูดของเด็กๆ สงสัยอยากจะไปหาพี่เฮดีสเร็วๆ แล้วทำเป็นงอนผมวิ่งออกไปก่อน ผมจับมือไมนอสแล้วเดินทอดน่องเนือยๆ ไปหาสองคนนั้น พยายามจะรักษาระยะความปลอดภัยเอาไว้ แต่ไม่วายสบตาเข้ากับลินเช่ย์อย่างจัง
เหวอ!!! ผมผงะถอยหลัง อยากจะวิ่งหนีใจจะขาด ผมทำเนียนเฉตาไปมองทางอื่นแต่ทางนั้นไม่ยอมปล่อยเลยไป เล่นลอยพุ่งตรงมาที่ผมซะนี่! ผมหยุดเท้ากึกตัวแข็งทื่อ เหงื่อเริ่มผุด ไมนอสเงยหน้ามองผมส่งสายตาเป็นคำถาม ผมไม่สนใจจะตอบแล้วล่ะ เพราะตอนนี้สติของผมมันแตกโพละไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าหล่อนเล่นมายิ้มใส่หน้าในระยะประชิดแทบจะเข้ามาสิงร่างผมอยู่แล้ว! ผมทำหน้าอยากร้องไห้ส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากใครบางคนที่ทำหน้าทะมึนอยู่ไกลๆ หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นเมื่อร่างขาวซีดเข้ามากอดคอคลอเคลียแบบชิดใกล้ ผมอยากจะเป็นลมมันซะตอนนี้เลย!
“พอได้แล้ว มานี่!” พี่เฮดีสเดินฉับๆ ย้อนกลับมาคว้าคอของผมแทบจะลากให้เดินออกไป จ้องตาเขม็งกัดฟันไล่ลินเช่ย์ให้ออกห่างไป สายตาแลน่าสะพรึงยิ่งกว่าตอนปะทะกับยัยแม่มดแก้วตาอีก ผมรีบคว้าตัวของพี่เฮดีสไว้เป็นไม้กันผี มองลินเช่ย์ที่ทำหน้าหง่อยๆ อย่างหวาดหวั่น อย่า! อย่ามองอย่างกับว่าผมเป็นคนใจร้ายแบบนั้นได้ไหม!? โอ๊ย ผีตัดพ้อคนก็เป็นด้วย!
“มัมขี้โกง! กอดป่อคนเดียวแล้วไมล่ะ!?” ไมนอสร้องโวยวายไม่พอใจกระโดดดึ๋งๆ กระทืบเท้าปึงๆ
ผมชะงักมองตัวเองที่กอดตัวพี่เฮดีสไว้ซะแน่น วะ...โว้ย! ไม่ใช่นะ! แค่เอามากันผีไว้เฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามหรือคิดอะไรอกุศลแบบนั้นเลย พี่เฮดีสพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาครั้งหนึ่งเหมือนไม่เต็มใจแต่ทำไม่ได้อะไรทำนองนั้น ผมรีบสะบัดตัวออกจากเขาทันที เฮอะ! ถ้ารังเกียจกันนักทำไมไม่บอกให้ปล่อยเล่า ทางนี้ก็ไม่ได้อยากกอดขนาดนั้นสักหน่อย!
“รีบเดินได้แล้ว เสียเวลา” พี่เฮดีสหันมาสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม
พวกเราจึงยกพลเข้ามาอยู่ในรถคันสวยของพี่เฮดีส ผมจำได้ว่าเป็นคนละคันกับตอนเช้า สงสัยจะเปลี่ยนรถตอนไปทำธุระ (เปลี่ยนรถเป็นว่าเล่น อะไรจะรวยขนาดนั้น!) ส่วนเจ้าเวฟป้าเพื่อนยากของผม พี่เฮดีสบอกว่าให้คนจัดการส่งไปที่บ้านของพี่ยูเรียบร้อยแล้วแต่ผมก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ ผมมีแค่มันคันเดียวนี่ครับ ไม่ได้มีสำรองไว้แบบพี่เฮดีสที่อยากเปลี่ยนอารมณ์ขับคันไหนก็เปลี่ยนได้ทุกเมื่ออย่างนั้น
รถแล่นไปเรื่อยๆ ผมกับคู่แฝดหลับๆ ตื่นๆ ไปหลายยก พวกเราสะดุ้งตื่นเมื่อรถเหวี่ยงตัวเลี้ยวเข้าประตูรั้วเหล็กสีขาว ผมยืดตัวตรงมองไปที่พี่เฮดีสอย่างสงสัย เมื่อกี้ตั้งใจหรือเปล่าวะ? เล่นหักเลี้ยวยิ่งกว่าแข่งดริฟรถ!
ผมหันไปมองนอกรถเมื่อเด็กน้อยสองตัวออกอาการตื่นเต้นร้องอุทานเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผมมองสวนที่ตกแต่งด้วยพรรณไม้ต่างๆ ดูร่มรื่นน่าอยู่แถมยังตกแต่งซะสวยงาม รถแล่นผ่านสวนวนอ้อมสระน้ำพุขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นดอกไม้ที่พ่นน้ำเป็นสายเล็กๆ ผมเอนตัวเงยมองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านข้างหน้า ตกตะลึงอึ้งทึ่งกับความใหญ่โตมโหฬารและความงดงามอลังการตามแบบโบราณของมัน ผมอ้าปาก เบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองคนขับรถ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
ที่นี้คือที่ไหน? แล้วทำไมเขาถึงพาพวกเรามาที่นี้?
พี่เฮดีสหยุดรถที่หน้าประตูทางเข้าของคฤหาสน์ เขาหันมามองผมก่อนจะเปิดประตูรถออกไป พวกเด็กๆ ก็รีบลงรถกันท่าทางกระตือรือร้นกันสุดๆ ผมรีบเปิดประตูออกไปยืนมองคฤหาสน์หลังยักษ์ ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นความสวยงามของมันชัดเจน นี่บ้านคนหรือพระราชวังกันแน่! แล้วอย่าบอกนะว่าบริเวณบ้านหลังนี้มันตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาประตูแรกนู้นแน่ะ โอ แม่เจ้า พื้นที่มันกว้างขนาดนี้ได้ยังไงกัน!? นี่ผมยังยืนอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยอยู่หรือเปล่า!? ผมตะลึงงันอยู่กับที่ พี่เฮดีสเดินผ่านหน้าผมจึงได้สติรีบเดินตามไปกระซิบถามอย่างกังวล
“พี่พาพวกเรามาที่นี้กันทำไมครับ? แล้วที่นี้มันที่ไหน?”
พี่เฮดีสเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วหันกลับมามองผมที่ทำหน้าแตกตื่น เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“นายอยากรู้เรื่องของตระกูลฉันไม่ใช่เรอะ?”
“เอ๊ะ แต่พี่บอกว่ามัน...” ผมพยักหน้ารู้สึกตื่นเต้นที่เขาจะเล่าให้ผมฟัง แต่เดี๋ยวก่อนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการมาที่นี้ อีกอย่างไหนเคยบอกว่ามันเป็นเรื่องของตระกูลบอกอะไรไม่ได้ยังไงล่ะ ผมกำลังเอ่ยแย้ง เขาก็ตัดบทซะเรียบเตียน
“ฉันมีวิธี”
“วิธี? วิธีอะไรงั้นเหรอครับ?”
“นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ฉันพูดอะไรนายก็แค่เออออตามก็พอ” พี่เฮดีสจ้องกลับด้วยสายตาเย็นชาจนเย็นยะเยือก ผมถึงได้รูดซิปปิดปากอย่างรวดเร็ว
อ่า วิธีอะไรของเขากันนะ? แล้วที่นี้มันที่ไหน? เกี่ยวอะไรกับตระกูลของพี่เฮดีสกัน? เอ๊ะ? ว่าแต่...ผมชะงักตัวแล้วแหงนหน้ามองรอบๆ ตัว เริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง อย่าบอกนะว่า... ที่นี้คือบ้านของพี่เฮดีส!!? ผมทำตาโตตกใจเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ ไม่จริงน่ะ! ก็รู้อยู่หรอกว่าเขารวยแต่นี่มันยิ่งกว่าอภิมหาเศรษฐีแล้ว!
“เข้าใจที่พูดไหม?”
“เอ๋ อ้อ ครับๆ” ผมพยักหน้ารับอย่างเอ๋อๆ เมื่อพี่เฮดีสถามแทรกเข้ามาระหว่างที่ผมกำลังทึ่งจัดกับที่อยู่อาศัยอันโอ่อ่าหรูหราโอเว่อร์ที่สุดในสามโลก จริงดิ? ที่นี้มันบ้านของพี่เฮดีสจริงๆ งั้นเหรอ!? พี่เฮดีสพยักหน้ารับแล้วหันกลับไปเดินต่อ พวกเด็กๆ ส่งเสียงเฮวิ่งตามหลังของเขาไป แทบจะวิ่งสำรวจทุกเส้นทางไม่ยอมเหนื่อยกันเลย
พอเข้ามาในบ้าน มีชายวัยกลางคนสูงผอมยืนรอท่าต้อนรับพวกเรา เขาโคงตัวทำความเคารพพี่เฮดีสด้วยใบหน้าจริงจัง ผมสำรวจเครื่องแต่งกายของเขาแล้ววิเคราะห์ได้ว่าคนๆ นี้จะต้องเป็นพ่อบ้านอะไรนั้นแน่ๆ คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้มันต้องมีแหละน่า พี่เฮดีสพยักหน้ารับพูดอะไรเล็กน้อยแล้วเดินต่อไป ชายใส่สูทดำแบบพ่อบ้านเซบาสเตียนพยักหน้ารับคำสั่ง เมื่อผมเดินผ่านเขาก็ยิ้มแบบคนขรึมโค้งตัวให้ ผมก็รีบโค้งตอบกลับทันที
พวกเรานั่งรวมตัวกันที่ห้องรับแขกซึ่งกว้างกว่าบ้านของผมทั้งหลัง ผมหันซ้ายมองขวาอยู่ไม่นิ่งรู้สึกกระวนกระวาย คนรับใช้ที่แต่งตัวด้วยเครื่องแบบเรียบร้อยเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาเสิร์ฟขนมเต็มโต๊ะ พวกเขาถอยกลับมาเงียบๆ ไม่ลืมโค้งตัวอย่างมีมารยาท บรรยากาศเหมือนผมหลุดเข้ามาอยู่ในพระราชวังอย่างไรอย่างนั้น แย่ล่ะสิ ผมชักเกร็งๆ ซะแล้ว!
ผมเหลือบมองพี่เฮดีสกับเด็กๆ ที่เอ็นจอยกับน้ำและขนม ไม่มีวี่แววที่ใครจะรับรู้ความเครียดของผมเลยสักนิด คุณพ่อบ้านเดินเข้ามาพร้อมกับหีบขนาดพอดีวางไว้บนโต๊ะ แล้วเขาก็ถอยออกไปยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเราเหมือนยืนรอรับคำสั่งของเจ้านาย
พี่เฮดีสวางแก้วน้ำชาลงยื่นมือไปเปิดหีบสีทองนั้น เขาเลือกอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นตลับสีเงินแวววาวลวดลายสวยงาม ท่าทางจะแพงมากแน่ๆ พี่เฮดีสหันมามองผมแล้วใช้สายตาจิกเรียก ร่างกายของผมขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ โดยอัตโนมัติ ขนาดตัวเองยังงงเลยว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาบอกให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ
“เงยคอ”
ผมทำตามอย่างงงๆ แล้วพี่เฮดีสก็เปิดตลับในมือใช้นิ้วแตะครีมสีนวลๆ ขึ้นมาลูบไล้ไปตามลำคอของผม ผมตัวแข็งทื่อ จะกลืนน้ำลายก็ไม่กล้า จะขยับหนีก็ไม่กล้าอีก ได้แต่นั่งทื่อๆ ปล่อยให้เขาดูแลไปเงียบๆ ที่แท้ตลับนั้นคงจะเป็นยาอะไรสักอย่างแหละ ผมตื่นเต้นจนลืมไปว่าตัวเองเพิ่งถูกบีบคอมายังแสบร้อนอยู่เลย ผมหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นสายตาของเหล่าคนรับใช้ที่ยืนมองมาที่เรา แม้พวกเขาจะทำหน้านิ่งประดุจว่าไม่รับรู้อะไรใดๆ แต่สายตาของพวกเขาส่อแววประหลาดใจกันสุดๆ พี่เฮดีสเงยหน้าไปมองทำให้พวกเขาหันหน้าหนีไปทันที จากนั้นเขาก็กลับมาตั้งอกตั้งใจไล้นิ้วมือไปตามคอที่ถูกประทุษร้ายของผมอย่างช้าๆ อาการแสบร้อนบรรเทาลงไปบ้างแต่ทำไมผมกลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
“พี่ ผมทาเองก็ได้นะครับ”
“เฉยๆ เถอะ”
ความหวังของผมถูกฟันกระจายด้วยประโยคสั้นๆ เหมือนถูกสั่ง พี่เฮดีสหันตัวของผมให้เอนนอนไปกับพนักอันนุ่มนิ่ม เขาเอนตัวเข้าหา ใบหน้าก้มแทบจะชิดลำคอของผม โอ๊ย! หัวใจของผมเต้นรัวอย่างกับตีกลองเพลงร็อกกระชากวิญญาณ นี่มันทายาประเภทไหนกัน!? มันจะใกล้กันเกินไปแล้ว!!
พอทีเถอะ ผมจะต้านความรู้สึกแปลกๆ นี่ไม่ไหวแล้วนะ! ผมเม้มปากพยายามต่อต้านความหวั่นไหวที่เข้ามาจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ปลายจมูกที่ปัดผ่านเล่นเอาผมขนลุกเกรียว ไอ้แบบนี้มันไม่ใช่ทายาแล้ว! ผมดันไหล่ของเขาไว้ นี่ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองเขากำลังลวนลามผมท่ามกลางคนนับสิบ ทำไมจู่ๆ เกิดกลัดมันกับผมได้ล่ะเนี่ย!? พี่เฮดีสจับข้อมือที่ผมใช้ดันตัวเขาออกไปแล้วเงยหน้าจ้องผมนิ่ง โอย... ใครจะได้ช่วยมาบีบคอผมที ตอนนี้เลยนะ! ผมกำลังพ่ายแพ้ต่อสายตาผู้ชายคนนี้! เราสบตากันนิ่งเงียบ ผมแทบจะกลั้นหายใจเมื่อเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้
“อ๊ะ ฝนตก!!!” ไมนอสร้องตะโกนดังลั่นทำลายบรรยากาศคลุมเครือระหว่างผมกับพี่เฮดีสลงในพริบตา
ผมสะดุ้งตกใจผลักพี่เฮดีสออกไปจากตัว พี่เฮดีสเกือบหงายหลังหล่นไปกองพื้น ดีที่คว้าพนักโซฟาไว้ได้ทันก่อน ด้วยความขัดเขินเกินทนไม่รู้จะมองหน้าคนข้างๆ ด้วยสีหน้าท่าทางยังไง ผมก็เลยตัดปัญหาหันไปมองหน้าต่าง ฝนตกจริงๆ ด้วย ข้างนอกมีสายฝนโปรยปราย มีเสียงท้องฟ้าคำรามและแสงวูบวาบจากสายฟ้า ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่มีวี่แววเค้าของพายุฝนเลยสักนิด ผมมองสภาพอากาศข้างนอกอย่างแปลกใจ พี่เฮดีสหันไปมองนอกหน้าต่างแล้วพ่นลมหายใจเหมือนไม่พอใจ เขาบ่นน้ำเสียงเอือมระอา
“ฮึ น่ารำคาญ มาพร้อมกันทีไรเป็นแบบนี้ทุกที”TBC.
เอาล่ะนะ ตอนนี้แฟนตาซีมากเลยล่ะ ตอนหน้าแฟนตาซีกว่า!
ตอนต่อไปสามมหาเทพมาอยู่พร้อมหน้ากันแล้วจ้า
รู้จักพี่ซูสกันไปแล้ว มารู้จักพี่โพไซดอนกันบ้างล่ะ
แน่นอนว่าถึงเวลาเปิดเผยปริศนาของตระกูลนี้แล้ว!