สุดขั้ว 17ใครมางั้นเหรอ?ผมได้ยินคำบ่นของพี่เฮดีสแล้วเกิดคำถามในใจ มันเกี่ยวอะไรกับฝนและสายฟ้าพวกนี้หรือเปล่า? พี่เฮดีสหันกลับมายืดตัวนั่งตัวตรงยกแขนพาดบนพนัก ผมมองเขาที่วางท่านั่งเต็มที่อย่างงุนงง ผมมองไปรอบๆ ห้องโถงที่ประดับประดาด้วยของชั้นเลิศ มองไปทางไหนก็ระยิบระยับแยงตาแทบจะบอด จะว่าไปแล้วทำไมพี่เฮดีสถึงได้ไปอยู่ที่คอนโดนั้นแทนที่จะอยู่ที่นี้ล่ะ? บ้านก็ออกจะกว้างใหญ่มโหฬารขนาดนี้ ยังจะไปอยู่คอนโดนั้นคนเดียวอีก แปลกจังแฮะ
“อ๊า!!! คุณลุงงง~~ ซูสสส~~!!!” เสียงกรีดร้องตื่นเต้นยินดีของคู่ฝาแฝดตัวน้อยดึงความสนใจของผมให้หันไปมอง หน้าห้องโถงมีแขกคนใหม่เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้าหล่อเหลาที่ใสวิ๊งเหมือนเทพบุตร คงจะเรียกว่าแขกไม่ได้หรอกครับ เขาน่าจะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่า
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทานวลย่องตัวนั่งลงอ้าแขนรับตัวไมนอสกับแมนทีสที่วิ่งพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วและแรงชนิดกะจะทำทัชดาวน์คู่ ผมมองทั้งสามคนทักทายกันอย่างแปลกใจ เฮ้ย ไปสนิทสนมกันได้ยังไงน่ะ? ฝาแฝดยังกระดี๊กระด๊าทำตัวสนิทสนมกับพี่ซูสออกหน้าออกตาเหมือนรู้จักกันมานานแรมปี
“เป็นยังไงบ้างเด็กๆ โตขึ้นหรือเปล่าเนี่ย?”
“ฮะ! พวกเราสูงขึ้นนิดหนึ่ง!”
“ดีมาก! กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ เหมือนลุงกับคุณพ่อไง”
“คร้าบบบ!”
อาการของเด็กน้อยสองตัวนี่ยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักข้อขึ้น ดูสิครับ ทำตาโตเปล่งประกายระยิบระยับอย่างกับแฟนคลับเจอไอดอลในใจอย่างนั้นเลย แถมยังทำตัวบ๊องแบ๊วออดอ้อนสมวัยกันสุดชีวิต ไอ้ตอนที่อยู่กับผมน่ะทำตัวแซบทรวงไม่ได้แอ๊บแบ๊วน่ารักคิขุกันแบบนี้เลย เจ้าเด็กสองตัวนี่น่ากลัวชะมัด!
“เฮ้ย รายการซูสพบประชาชนเอาไว้ก่อนได้ไหม? ช่วยๆ หลีกทางและลดเสียงให้ที ปวดหัวโว้ย!” แขกคนใหม่เดินเข้ามาส่งเสียงเตือนอย่างขุ่นเคือง ผมมองไปก็ต้องตกใจกับรูปร่างอันสูงใหญ่ของเขา เรียกได้ว่าสูงและใหญ่กว่าพี่ซูสกับพี่เฮดีสซะอีก แถมผมเผ้ายาวยุ่งเหยิงไว้หนวดไว้เครารกรุงรังปิดหน้าปิดตายิ่งกว่ามหาโจรเสียอีก! เขาใช้เท้ายันหลังพี่ซูสเบาๆ ทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ
ไมนอสกับแมนทีสเงยมองแขกคนใหม่แล้วร้องโวยวายกอดคุณลุงไว้แน่น คุณลุงขมวดคิ้วอุ้มเด็กๆ ขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับหมี ฝาแฝดแหกปากลั่น
“แว๊กกก! คุณลุง หมีบุกกก!”
“หมีบ้านพ่อแกเหรอ จะหล่อขนาดนี้ ไอ้เด็กเวรนี่!” คนที่ถูกว่าเป็นหมีคิ้วกระตุก กัดฟันกรอดแล้วตวาดกลับเสียงดัง ทำท่าจะเข้ามาจับตัวคนกล่าวหาที่พร้อมใจกันแหกปากร้องขอความช่วยเหลือจากคุณลุงที่ทำหน้าบิดเบี้ยวไม่พอใจกับสภาพแขกตรงหน้า พี่ซูสเอ่ยเตือนน้ำเสียงเข้ม
“โพซ อย่าพูดหยาบคายต่อหน้าเด็ก”
“หยาบตรงไหนเฮี้ย~ แล้วผมก็หล่อจริงๆ นะ!”
เฮียคนนั้นก็มั่นใจในตัวเองสุดๆ! ผมมองหน้าคนที่ประกาศดังก้องว่าตัวเองหล่อแล้วขำพรืด ไม่รู้ว่าหล่อจริงหรือเปล่า เพราะผมยาวๆ และหนวดเคราพวกนั้นมันบังซะมิดชิด ไมนอสกับแมนทีสเมื่อมีคุณลุงคอยหนุนหลังก็หันไปแย้ง
“ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเยย! คุณลุงซูสหล่อกว่าตั้งหลายเท่า”
“หมีจะหล่อได้ยังไง!”
“หนอยยย! ไอ้เด็กตาต่ำ!” คุณหมีคำรามเสียงดังกระโจนเข้าใส่อย่างหัวเสีย แต่สองฝาแฝดถูกคุณลุงซูสอุ้มเดินหนีไปก่อน ทั้งสองหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาหยอกล้อหมีป่าตัวโตอย่างเป็นต่อ ทำให้พ่อหมีตัวโตหน้าเหี้ยมเพิ่มดีกรีความน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเป็นสิบเท่า เขาก้าวย่างสามขุมแล้ววิ่งไล่เกือบจะถึงตัวฝาแฝด สถานการณ์ปั่นป่วนเล็กๆ หมีเกิดออกอาการคลุ้มคลั่งไล่จับเด็กๆ ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“จะหนีไปไหน หา!”
“ว๊ากกก! ช่วยด้วยจ้า หมีจะกินเด็กแล้วววว!”
สองฝาแฝดกระโดดจากพี่ซูสร้องกรี๊ดกร๊าดทำเหมือนกลัวกันเสียเต็มประดา แต่หน้าเนี่ยฉีกยิ้มถึงใบหูแน่ะ ไมนอสแมนทีสวิ่งหนีหมีกันชุลมุนวุ่นวาย เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสนุกสนานกันใหญ่
ตอนแรกผมจะเข้าไปช่วยพวกเด็กๆ แล้วล่ะแต่พี่เฮดีสดึงเอาไว้ก่อน พอนั่งมองดูต่อไปก็เห็นได้ว่าคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหมี ไม่ได้จริงจังเลยเหมือนกำลังหยอกเล่นซะด้วยซ้ำ พี่เฮดีสยกถ้วยชามาจิบไม่สนใจละครลิงตรงหน้า พี่ซูสเดินมานั่งตรงกันข้ามกับพวกเรา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยก็เข้ามารินน้ำชาให้
“สวัสดีครับเนรัญ มานานแล้วเหรอครับ?”
“สวัสดีครับ ไม่นานหรอกครับ เพิ่งมาถึงก่อนหน้าพี่นิดหน่อยครับ” ผมละสายตาจากละครหมีโหดโหมดคลั่งมาตอบพี่ซูสซึ่งเอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน เขาเอนตัวพิงพนักด้านหลังนั่งไขว้ห้างด้วยท่าทางสบายเป็นกันเอง ผมยิ้มอย่างขัดเขินเล็กน้อย
ผมลอบมองพี่ซูสที่กำลังก้มหน้าจิบน้ำชา อ่า เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสสังเกตใกล้ขนาดนี้ จะว่าไปแล้วพี่ซูสเหมือนพี่เฮดีสไม่น้อย ผมสีดำที่ตัดสั้นเป็นทรงสุภาพ ตาสีน้ำตาลทอง ผิวขาว หน้าตาแนวตะวันตกชัดเจนกว่าพี่เฮดีส ที่เคยสงสัยว่าพี่เฮดีสต้องเป็นลูกครึ่งคงจะไม่ผิดซะแล้วล่ะครับ ก็พี่ชายของเขาหน้าฝรั่งจ๋าขนาดนี้นี่น่า
พี่ซูสเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชาแล้วยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก แม้ภายนอกจะคล้ายกันแต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างจากน้องชายอย่างชัดเจน พี่ซูสเหมือนเจ้าชายในนิทาน พูดจาสุภาพอ่อนโยน เป็นมิตร เข้าถึงได้ง่ายแต่ก็เย่อหยิ่งทะนงตน ถ้าพี่เฮดีสเปรียบเป็นราชาแห่งความมืด พี่ซูสก็ต้องเป็นราชาแห่งสรวงสวรรค์!
“บอกไว้ก่อน ถ้าจะคุยอะไรล่ะก็ให้คุยหลังฉันได้นอนแล้ว”
ผมผงะตกใจกับการโผล่เข้ามากะทันหันของหมีหน้าเถื่อน เขาจับเด็กๆ โยนไปนั่งข้างพี่ซูสแม่นยำอย่างกับจับวาง แถมคู่แฝดไม่ร้องโอดโอยสักแอะ ซ้ำยังหัวเราะคิกคักชอบใจ เสียงเข้มพูดรัวเร็วตัดบทคนอื่นๆ พลางเดินอ้อมมานั่งลงข้างพี่เฮดีส เขาเอนตัวไปด้านหลัง แขนยกขึ้นพาดบนพนัก ขาตวัดไขว้ห้าง เชิดหน้าอย่างโอหัง
เอ๊ะ เดจาวู!!? ผมยกคิ้วขึ้น รู้สึกเหมือนเคยเห็นใครสักคนทำท่าแบบนี้ แน่ล่ะ มันเหมือนท่าวางมาดของพี่เฮดีสก่อนหน้านี้เปี๊ยบเลย! ถึงคนหลังเนี่ยออกจะดิบเถื่อนกว่าหลายเท่าก็เถอะ แล้วไอ้รังสีอันตรายรอบตัวแบบนั้นก็ช่างเหมือนพี่เฮดีสเหลือเกิน! หน้าเยี่ยงมหาโจรไม่พอยังมีท่าทางดุดันทำเอาผมไม่กล้าแอบมองเขาเลย คนรับใช้ยังตัวสั่นหน้าซีดกลัวอย่างเห็นได้ชัด รีบวางถ้วยไว้ตรงหน้าของเขาแล้วถอยหนีแบบไม่คิดชีวิต
พี่ซูสเปรยตามองงคนๆ นั้นอย่างเร็วๆ เหมือนไม่ชอบใจเท่าไรแต่ก็ไม่ว่าอะไร เขาหันมาเอ่ยกับผมอย่างเกรงใจ
“ต้องขอโทษแทนน้องชายด้วยนะเนรัญ เจ้านี่เหนื่อยนิดหน่อยเลยหงุดหงิดน่ะ”
“นิดหน่อย? เฮอะ ต้องปุเลงๆ ขับรถกลับมาตั้งกี่ร้อยกิโลคงจะแค่เหนื่อยนิดหน่อยหรอก!” เจ้าตัวที่ถูกขอโทษแทนทำเสียงขึ้นจมูก เอ่ยน้ำเสียงประชดประชันสุดชีวิต
“โพซ แกเงียบก่อนได้ไหม?” พี่ซูสเหลืออดกับคำบ่นงึมงำของพ่อหมีป่าหันไปเตือนด้วยสายตาเย็นเฉียบ แต่คนที่เขาเรียกว่าน้องชายกลับยักไหล่ไม่สะเทือนสะท้านแถมไม่สนใจพี่ซูส
ดวงตาสีครามคู่สวยซึ่งมันแดงก่ำเหมือนคนอดหลับอดนอนหันขวับมามองพี่เฮดีสแล้วแยกเขี้ยวขู่เสียงต่ำ แค่นั้นยังไม่พอ การกระทำของเขาทำเอาผมสะดุ้งโหยง ก็เขาเล่นวางมือบนหัวพี่เฮดีสแล้วกดต่ำลงเลยน่ะสิ! แย่แล้ว คนๆ นี้หาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ!
“ไอ้เสือ ถ้าธุระของเอ็งไม่สำคัญล่ะก็พ่อจะเตะให้ช้ำในตาย!”
“พี่กล้า?” พี่เฮดีสหันไปสบตาแล้วเอ่ยตอบกลับนิ่งๆ ผมใจเต้นตึกตักกลัวจะมีการวางมวยเกิดขึ้นกลางห้องรับแขกนี้ หมีหน้าโหดหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอแล้วตบหัวของพี่เฮดีสดังปึง เขาเอ่ยทับน้ำเสียงหมั่นไส้
“เออ ยิ่งกว่ากล้าอีกโว้ย! อยากลองไหม?”
ผมใจหายวาบ คนๆ นี้เป็นใครกันเนี่ย!? กล้าตบหัวของพี่เฮดีสได้หน้าตาเฉยเลย โอ๊ยยย!
“ไม่คิดว่าน้องจะคิดถึงบ้างเหรอ?” พี่เฮดีสที่ถูกตบหัวไม่โต้ตอบอะไรกลับไปใดๆ เขาเอ่ยถามกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ไอ้ประโยคที่ว่านั้นทำเอาพี่ซูสสำลักน้ำชาไอแค่กๆ จนหน้าแดง ผมเหวอแดก และพี่หมีทำหน้าบิดเบี้ยวยิ่งดูเหี้ยมกว่าเดิม เขาหันไปถมน้ำลายขยับตัวออกห่างจากพี่เฮดีสด้วยความไวแสงเหมือนกลัวจะติดเชื้อโรค
“ถุย! ขนตูดแม่งลุก ห่าเอ๊ย พูดมาได้นะเอ็ง” เขาสบถเสียงดัง แจกลูกถีบอย่างแรงแถมฟรีให้อีกดอก
พี่เฮดีสล้มถลามาทางผม ผมก็กะจะรับตัวเขาเอาไว้แต่มันพุ่งมาเร็วมาก เฮ้ยๆ! อีแบบนี้คงได้ไปนอนกองกับพื้นทั้งสองคนแน่ ผมหลับตาปี๋ กลั้นหายใจรับการกระแทกลงพื้น แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกแค่ถูกกอดรัดแน่นเท่านั้น เอ๋? เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ผมลืมตาขึ้นมาสบตากับดวงตาสีดำเข้มของพี่เฮดีสพอดี อ๊ะ มันอะไรกันเนี่ย? ผมงุนงงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
“เฮ้ย เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าเงี่ยนให้ไปทำในห้องมิดชิด อย่าประเจิดประเจ้อ” เสียงเตือนเรียบๆ ดังมาจากหมีเถื่อนทำเอาผมหน้าแดงระเรื่อรีบผลักพี่เฮดีสออกเร็วแบบเสี้ยววินาที ทั้งอายทั้งโมโห อยู่ดีๆ ก็มากอดกันหน้าตาเฉย แถมไอ้คำพูดนั้นก็ชวนให้เข้าใจผิดสิ้นดี ใครอยากจะไปทำอะไรในห้องก็ไปคนเดียวเถอะ!
พี่ซูสกระแอมเบาๆ ใช้สายตานิ่งๆ เตือนมา ผมก้มหน้าหนีอาย ไม่กล้าจะมองหน้าพี่ซูสตอนนี้เลย ไม่รู้เขาจะคิดยังไงเมื่อเห็นน้องชายมากอดฟัดกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ ให้ตายเถอะ แถมยังไม่ใช่แค่พี่ซูสคนเดียวด้วย แม้ห้องจะเงียบเหมือนร้างคนแต่อย่าลืมสิครับว่าคนรับใช้ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา พวกนั้นยืนมองชนิดจดจ่อเลยล่ะ!
พี่เฮดีสกลับมานั่งทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในแบบของเขา ส่วนหมีในร่างคนไม่สนใจใครหน้าไหนเอนตัวนอนจะหลับมิหลับเหล่อยู่แล้ว! พี่ซูสราชาแห่งสวรรค์แทบจะดับยิ้มออร่าสว่างไสวเมื่อเห็นสภาพนั้น คิ้วเรียวชักกระตุก มุมปากกดลึกเหมือนกำลังข่มอารมณ์ขุ่นมัวในใจ เขากัดฟันตวาดเสียงแข็ง
“โพไซดอน! ลุกขึ้นมานั่งดีๆ!”
“ดีที่สุดแล้ว” คนถูกตวาดพึมพำตอบกลับรวดเร็ว ไม่แม้จะลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ พี่ซูสถึงกับต้องกำหมัดข่มโทสะ เขาถอนหายใจเอือมระอาพลางยกมือปิดหน้าอย่างกลุ้มใจ แล้วหันมามองผมด้วยสายตาขอโทษอย่างแรงกับพฤติกรรมสุดเพี้ยนของน้องชาย ผมยิ้มรับแห้งๆ มองหมีที่นอนขึ้นอืดด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
คุณพระช่วย! หมีเถื่อนตัวนี้ก็คือ...
พี่โพไซดอน นั่นเอง!!!“ขอโทษแทนน้องชายจริงๆ นะเนรัญ อ้อ เธอคงยังไม่รู้จักเจ้านี้สินะ น้องชายของพี่เอง ชื่อไพไซดอน มันเพิ่งเดินทางมาจากการดูงานต่างจังหวัดก็เลยเหนื่อยอย่างที่เห็นแหละ”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มรับอย่างเข้าใจ แม้ในใจจะอึ้งแค่ไหนก็ตามเถอะ นี่พี่โพไซดอนจริงๆ งั้นเหรอ? โอ๊ยยยย ต่างจากจินตนาการของผมลิบลับเลย! ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบผู้เคร่งขรึม แต่นี่ดันเป็นไอ้หนุ่มร่างหมีทั้งเนื้อทั้งตัวดิบเถื่อนหาความเป็นสุภาพชนแบบพี่ซูสไม่เจอเลยสักนิด! แถมหน้าตายังไม่หล่อเหลางดงามเหมือนพี่ซูสกับพี่เฮดีส ผ่าเหล่าผ่ากอสุดโต่ง!
“ดีสจะเอายังไงต่อ?”
“ไว้คุยหลังพี่โพซตื่นก็ได้” พี่เฮดีสมองพี่ชายคนรองที่เริ่มกรนครอกๆ ในลำคอ หันมาตอบพร้อมกับยักไหล่นิดๆ เหมือนจะบอกว่าคุยตอนนี้ไปก็ไร้ประโยชน์เพราะท่าทางจะปลุกตื่นได้ยาก พี่ซูสพยักหน้าเข้าใจ พอหันไปมองน้องชายตัวใหญ่แล้วกุมขมับกลุ้ม สีหน้าเริ่มอนาถากับท่านอนสุดพิลึก
“เอาเถอะ ก็แล้วแต่นายล่ะกัน งั้นไว้คุยกันหลังมื้อเย็นล่ะกัน ตอนนั้นเจ้านี่น่าจะตื่นแล้วล่ะ” พี่ซูสพูดราบเรียบตกลงกับพี่เฮดีส เมื่อทั้งสองฝ่ายโอเคเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกไปพี่ซูสก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เขาหันมาหาผมแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“คงจะไม่ช้าไป ถ้าจะพูดว่า
‘ยินดีต้อนรับสู่บ้านก็อดไลค์เนส’ ครับเนรัญ”
ก็อดไลค์เนสงั้นเหรอ?“รบกวนด้วยนะครับ” ผมลุกขึ้นแล้วผงกศีรษะรับ พี่ซูสยิ้มนิดๆ แล้วเดินไปสั่งพ่อบ้านให้มาจัดเก็บ เอ๊ย จัดการพาหมีที่นอนกรนครอกๆ ไปนอนให้เรียบร้อย พี่เฮดีสมองพี่ชายตัวใหญ่แล้วส่ายหน้าไปมา แล้วบ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่ผมคิดว่ามันฟังเหมือนเป็นห่วงมากกว่า
“พอออกไปทำงานคนเดียวทีไรกลับมาสภาพนี้ทุกที”
“มึงหัดดูแลตัวเองบ้างสิวะ แบบนี้มันลำบากพี่ลำบากน้องโว้ย” พี่ซูสขมวดคิ้วกอดอกแล้วบ่นสมทบอย่างอารมณ์เสีย ท่าทางสุภาพชนหายแวบ แถมยังยกเท้าเตะตัวน้องชายที่สะลึมสะลือขึ้นมาตอบ แม้จะง่วงแทบตายก็ไม่วายกวนโอยเหมือนเดิม
“หัดทำไม มีเฮี้ยกับไอ้ดีสก็เอาอยู่แล้ว”
“เอาอยู่พ่องงงงมึงสิ! กูก็มีลูกมีเมียให้ดูแล ไอ้ดีสก็เหมือนกัน ถ้าไม่ดูแลเองมึงควรจะหาเมียเป็นตัวเป็นตนมาดูแลได้แล้ว อายุมึงก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย” สบถลั่นทิ้งระเบิดลูกหนึ่งลงกลางกบาลของคนง่วงนอนอย่างรวดเร็ว ตามด้วยรายการบ่นไปเตะไปแต่คนนอนก็หาได้สนใจไม่ มองพี่ซูสตอนนี้แล้วอย่างกับตาแก่ที่กำลังบ่นลูกหลานเลยแฮะ
“เฮี้ย! ผมก็อยากได้อยู่นะ ไอ้ครั้งจะเลือกมันยากว่ะ แบบว่าเอก็สวย บีก็น่ารัก ซีก็เซ็กซี่ ดีก็เอาใจเก่ง ปัญหามันเยอะ เฮี้ยไม่เข้าใจคนเสน่ห์แรงหรอก ใช่ไหมวะดีส เอ็งก็พอๆ กับข้านี่แต่ข้าเยอะกว่าหน่อย อุ๊บบบบ!!!” พี่โพไซดอนแทบสำลักเมื่อพี่เฮดีสเล่นยัดขนมกำใหญ่เข้าปากระหว่างที่เขากำลังพูด เยอะกว่าอะไรนี่แหละครับ ผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจแต่เห็นพี่เฮดีสเหล่มองมาที่ผมนิดหนึ่งเท่านั้นเอง พี่ซูสหัวเราะชอบใจยกนิ้วให้กับพี่เฮดีส พี่โพไซดอนส่งสายตาเขียวปั๊ดมาให้น้องชาย
“พี่ง่วงไม่ใช่เหรอ รีบไปนอนไม่ดีกว่าหรือไง?” พี่เฮดีสออกตัวก่อนอย่างรวดเร็ว พี่โพไซดอนทำเสียงในลำคอ ไม่ว่าอะไรทำแค่เคี้ยวขนมในปากตุ้ยๆ พี่ซูสหันไปกระชับคุณลุงพ่อบ้านอีกครั้ง
“ลุงช่วยโกนหนวดตัดผมให้มันดูเป็นผู้เป็นคนด้วยนะครับ เห็นแล้วรำคาญสายตา”
ฝาแฝดตัวน้อยเมื่อเห็นพี่ซูสจะเดินออกไปก็กระวีกระวายเข้ามาขออนุญาตกับผม ผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองชั่วคราว
“มัมมมมจ๋า~ ให้เค้าไปกับคุณลุงซูสนะ น่า~”
“ไม่ได้ครับ รบกวนคุณลุงทำงานซะเปล่าๆ”
ผมอายนิดหน่อยที่พวกเด็กๆ เรียกผมซะติดปากแบบนั้น เฮ้อ เอาไว้ว่างๆ ค่อยอธิบายให้พวกนี้เข้าใจซะแล้ว ต้องแก้คำเรียกนั้นให้ได้ก่อนที่ใครๆ จะพาเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ผมเงยหน้ามองพี่ซูสอย่างลำบากใจ ไม่อยากรบกวนครับ กลัวพวกเด็กๆ จะไปกวนเวลาทำงานทำการของพี่ซูส
พี่ซูสมองพวกเด็กๆ ที่ส่งสายตาเว้าวอนน่าเห็นใจโอเว่อร์เสียจนผมหมั่นไส้ตะหงิดๆ เขาหัวเราะขำ
“ไม่เป็นไรหรอกครับเนรัญ ให้พวกเด็กๆ มาเถอะ ตอนบ่ายนี้ผมยกเลิกงานแล้วครับ”
“เย้~~!!! รักคุณลุงซูสที่สุดเยยยยย!” ไมนอสกับแมนทีสกรี๊ดกร๊าดกระโดดเหยงๆ เข้าหาคุณลุง หน้าตาดีใจกันสุดฤทธิ์ ชักจะสงสัยแล้วสิว่าพวกเขาไปสนิทกันตอนไหน? ท่าทางพวกเด็กๆ จะชอบพี่ซูสจริงอะไรจริง ถึงขนาดทิ้งร้างคุณแด๊ดดี๊ที่นั่งทำตัวเป็นคนนอกแบบนี้ ปกติเห็นติดแด๊ดจะตาย พูดคำสองคำก็แด๊ดๆ ไปซะหมดแบบนั้น พอมีลุงรูปหล่อใจดีเข้ามาหน่อยทิ้งแด๊ดหน้าตายไปเลยทีเดียว
ผมมองตามพี่ซูสกับเด็กๆ เดินออกไปจากห้องเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอย่างเป็นห่วง เกรงใจจังเลยครับ พี่ซูสจะต้องปวดหัวกับความซุกซนของฝาแฝดจอมแสบนั้นแน่ๆ แต่อย่างว่าแหละเจ้าสองตัวนั้นอาจจะทำตัวเรียบร้อยเมื่ออยู่กับพี่ซูสก็ได้ พอเด็กน้อยทั้งสองไม่อยู่บรรยากาศก็เงียบตามไปด้วย ผมหันมามองพี่เฮดีสซึ่งกำลังช่วยพยุงร่างหมีๆ ของพี่ชาย แหม ก็ตัวใหญ่เกิ๊น คนหิ้วปาไปตั้งสี่คนแน่ะครับ ไม่งั้นหิ้วกันไม่ไหว!
แต่เมื่อกี้นี้ผมประหลาดใจเอามากๆ เลยนะ ไม่คิดว่าพี่น้องจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากขนาดนี้ นึกเอาไว้ว่าพี่น้องจะเขม็งกันเองหรือพี่เฮดีสจะต้องเย็นชากับพี่ชาย ชอบอยู่โดดเดี่ยวเป็นราชาอยู่บนยอดเขาอะไรอย่างนี้แต่เท่าที่เห็น... ผมเม้มปากพยายามจะไม่หัวเราะ ...เขาหงอกับพี่ชายสุดๆ เลย! โดยเฉพาะพี่ชายคนรอง ท่าทางจะสนิทสนมกันมากซะด้วยสิ อารมณ์ของผมปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นมุมคาดไม่ถึงของพี่เฮดีส นึกว่าจะมีดราม่าพี่น้อง ผิดจากที่คิดไว้ลิบลับเลย!
พอส่งพี่โพไซดอนไปนอนเรียบร้อยพี่เฮดีสก็ย้อนกลับมาหาผมที่ห้องรับแขก เขานั่งลงที่เดิมแล้วเงียบไม่พูดอะไรสักคำ เอ๊ะ นี่เหลือพวกเราสองคนอยู่ที่นี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย? ผมมองหาพวกพ่อบ้านและเด็กๆ ในเครื่องแบบแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว หายไปไหนกันหมดนะ? ผมก้มพิจารณาขนมบนโต๊ะแก้ขัดบรรยากาศที่ไม่รู้ทำไมถึงได้แปลกๆ ไปจากเดิม มันชวนให้ประหม่าทำอะไรไม่ถูกทั้งๆ ที่พี่เฮดีสแค่นั่งนิ่งๆ เหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ทำไมผมถึงใจเต้นตูมตามเหมือนทั้งตัวมีกลองชุดตีรัวเป็นจังหวะเร็วและแรงแบบนี้วะ หรือผมกำลังตื่นเต้นที่จะได้รู้ปริศนาเบื้องหลังอันสำคัญของตระกูลนี้งั้นเหรอ? คงจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เลยครับ
“...จะพาไปดูห้อง”
“เอ๊ะ? อ้อ ครับ!” ได้ยินเสียงของพี่เฮดีสพูดดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิด ผมทำหน้าเอ๋อนิดหน่อยเพราะเมื่อกี้มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จนไม่ได้ยินคำแรกๆ แต่พอจะเดาจากท่อนท้ายๆ ของประโยคได้
เขาบอกว่าจะพาไปดูห้อง? หรือว่าผมจะได้ค้างที่นี้ในคืนนี้งั้นเหรอ? คุณพระ! เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสพักในสถานที่หรูหราโอ่อ่าอลังการแบบนี้ ผมเดาว่าห้องมันต้องดูดีกว่าโรงแรมห้าดาวแน่ๆ ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เป็นการดีทีเดียวที่ได้หลุดพ้นจากบรรยากาศชวนให้หวิวๆ หัวใจไปเปิดหูเปิดตากับคฤหาสน์หลังโตอันสวยงามแห่งนี้แทน
พี่เฮดีสลุกขึ้นเดินนำออกไปเหมือนกับทุกที ผมก็ลุกเดินตามไปติดๆ เขาพาผมเดินมาทางเดียวกันกับที่ลาก เอ๊ย ที่พาพี่ไพไซดอนไปเข้านอน เดินขึ้นบันไดหินอ่อนที่กว้างขวางมากไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุการชนกันที่บันไดตรงนี้ เดินขึ้นมานิดหน่อยจะเป็นชั้นพักของบันไดซึ่งจะมีบันไดแยกไปสามทางด้วยกัน
ที่บนผนังชั้นพักมีภาพวาดขนาดใหญ่เป็นรูปวาดหญิงสาวผมทอง นัยน์ตาสีฟ้าใส เธอมีรอยยิ้มอ่อนหวานมีเมตตา มือของเธอวางอยู่บนศีรษะของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งคุกเข่าบนพื้น ข้างๆ หญิงสาวผมทองนั้นมีหญิงสาวอีกคนซึ่งยืนหันหลังทำให้ไม่เห็นด้านหน้าเห็นเพียงด้านหลังและผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยของเธอ ภาพวาดนี้แขวนประดับไว้โดดเด่นไร้คู่ต่อสู้ที่จะมาเทียบรัศมีได้ สีที่พลิ้วไหวและละเอียดกลมกลืนทำให้ภาพวาดนี้ดูงดงามจริงๆ!
“นี่ภาพวาดใครเหรอครับ? มันสวยมากเลย” ผมหยุดยืนมองภาพวาดนั้นอย่างสนใจ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมชอบภาพวาดนี้มากเลย รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้ยืนอยู่ตรงหน้าภาพวาดนี้ เหมือนมีไออุ่นจากหญิงสาวผมทองผู้งดงามดุจเทพธิดาคนนั้นแผ่เข้ามาโอบอุ้มจิตใจและร่างกายเอาไว้ มันอ่อนโยนเหมือนถูกแม่ขับกล่อมไว้แนบอก ผมหลับตาซึมซับความรู้สึกแสนวิเศษนี้เอาไว้ให้มากที่สุด
“ภาพนี้ชื่อว่า
‘เทพีเฮร่าประทานพร’ หญิงสาวผมทองที่เห็นในภาพคือเทพีเฮร่า” เสียงของพี่เฮดีสดังอยู่ด้านหลังของผมไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ผมจ้องเทพีเฮร่า อ่า เทพีเฮร่างดงามมากจริงๆ ดูอ่อนหวานมีเมตตาต่างจากที่ผมเคยได้อ่านหรือจินตนาการไว้ ซึ่งส่วนมากผู้คนจะคิดว่าเทพีเฮร่าเป็นหญิงสาวผู้หึงหวงสามีเท่านั้น แต่ภาพนี้กลับวาดออกมาได้สง่างาม มีเมตตา สมเป็นพระมารดาแห่งสรวงสวรรค์จริงๆ แล้ว...ผู้หญิงผมสีน้ำตาลกับชายหญิงที่นั่งคุกเข่านั้นล่ะ?
ผมหันไปมองพี่เฮดีส สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขายืนอยู่ด้านหลังผมใกล้เสียจนตัวชิดกัน ทำไมผมถึงไม่รู้ตัวเลยว่าเขายืนอยู่ใกล้ขนาดนี้? และราวกับได้ยินเสียงถามในใจของผม เขายกมือวางลงบนไหล่ทั้งสองข้างของผมแผ่วเบาก้มหน้าลงมาตอบ
“ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เทพีเฮร่าก็คือ... เทพีเพอร์ซีโฟเน่ พระชายาอันเป็นที่รักหนึ่งเดียวของจ้าวแห่งนรกฮาเดส” ดวงตาสีดำเข้มคู่สวยประกายระยิบระยิบอ่อนโยน จ้องลงมาที่ผม ตรึงสายตาให้สบตาเขานิ่ง สมองของผมเหมือนถูกลบล้างมันว่างเปล่าไปทันทีที่สบตากับเขา ความคิดความอ่านใดๆ หายไปหมด เหลือเพียงแค่รู้สึกถึงเขาที่อยู่ตรงหน้า น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นก็นุ่มนวลชวนเคลิ้มฝัน หัวใจของผมกระตุกสั่นสะท้านหวั่นไหว ยากจะขัดขืนแรงปรารถนาที่ลุกลามแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
แม้ก่อนหน้านั้นผมจะพยายามทำเหมือนไม่สนหรือไม่ใส่ใจมันแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่ยอมรับมันไม่ได้แล้วเพราะว่าหัวใจและร่างกายของผมมันดำดิ่งตกลงไปในหลุมแห่งรัก มันลึกมาก ลึกเกินกว่าผมจะตะเกียกตะกายพาตัวเองกลับขึ้นมา
เหมือนมีแรงดึงดูดอันแรงกล้าระหว่างเราสองคน มันค่อยๆ ชักจูงผลักดันผมและเขามาใกล้กัน ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ ผมเผยอริมฝีปาก ปิดตา ปล่อยจิตใจนำพาร่างกายไปตามความต้องการ รับรู้ถึงริมฝีปากที่แตะต้องกันอย่างนุ่มนวลละมุนละไมหวานซ่านไปทั้งตัว ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของผมมันสั่นไหวราวกับว่ากำลังกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นยินดีกับการยอมรับความรู้สึกของตัวเองในครั้งนี้
หัวใจของผมพองโตและหวานล้ำเหมือนสายไหมก้อนยักษ์ พอถูกแรงบดเบียนที่หนักหน่วงขึ้นก็ละลายง่ายๆ กลายเป็นน้ำเชื่อมไปเสียแล้ว มันเนินนานจนลมหายใจของผมติดขัดและเรียนรู้ที่จะหายใจทางปากแทน พี่เฮดีสเคล้าริมฝีปากไม่ยอมห่างเฝ้าคลอเคลียจูบแล้วจูบเล่าอีกกี่ครั้งก็ยังไม่พอ
มันเร่งเร้าเว้าวอนเหมือนกับจะบอกผมว่า...
อยากได้มากกว่านี้!ร่างกายของผมตอบกลับการเรียกร้องไร้เสียงนั้นทันที เนื้อตัวร้อนวูบวาบ สติของผมเตลิบไปไกลแบบกู่ไม่กลับ แม้พี่เฮดีสจะยุติการจูบมาราธอนจับมือผมจูงมาส่งห้องพัก หรือแม้กระทั่งเขาพูดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินจากไป ผมก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
ร่างไร้สติสตางค์ของผมนั่งตาลอยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศหลังฝนหยุดตกมีไอร้อนจากพื้นดินที่ระเหยขึ้นมาทำให้ร้อนอบอ้าว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รับรู้ถึงมันสักนิด เฝ้าย้อนคิดถึงจูบแสนหวานและร้อนแรงนั้นซ้ำๆ ผมเอื้อมมือแตะริมฝีปาก แน่ใจว่ามันคงจะบวมเป่งเพราะถูกขบถูกดูดนับครั้งไม่ถ้วน ผมเม้มปากหน้าร้อนผ่าว
เฮ้อ ผมชักอาการหนักซะแล้วล่ะครับ
“มัมมมมม!!! ทางนี้!!!” เสียงเรียกแหลมปรี๊ดผ่าห้วงสีหวานฉ่ำของผมกระจุยกระจายแตกโพละเหมือนฟองสบู่ ผมกะพริบตาปริบๆ สติที่ตีตั๋วทัวร์รอบโลกเดินทางกลับเข้ามาอยู่ที่มันอีกครั้ง ผมก้มลงไปมองข้างล่าง เห็นไมนอสกับแมนทีสพยายามโบกมือหย่อยๆ และตะโกนเรียกผมจากด้านล่าง ผมยกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เอ๋? ผมเห็นสองคนนั้นกำลังขี่ม้า ใช่หรือเปล่า?
“ขี่ม้ากันไหมฮะ!!?”
โอ้ ซ่าร่า มันยอดจริงๆ! ที่นี้มีม้าไว้ขี่ด้วยงั้นเหรอ? พระราชวังหรือยังไงกัน!? ผมหลุดอุทานด้วยความมหัศจรรย์ใจ สองฝาแฝดนั่งบนหลังม้าโดยมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนพี่ซูสนั้นผมไม่เห็นนะ แม้ผมไม่อยากขี่ม้าเท่าไรนักแต่ด้วยความเอาแต่ใจอย่างร้ายแรงของเด็กสองคนก็ทำให้ผมยอมพยักหน้าตกลงร่วมกิจกรรมขี่ม้าทัวร์รอบคฤหาสน์ด้วยกันกับคู่แฝด
กว่าผมจะลงมาหาพวกเด็กๆ ได้ เล่นเอาเสียเหงื่อไปมากพอตัว ก็คฤหาสน์มันกว้างขนาดนั้นนี่น่า! ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินหลงทางวนเวียนกลับไปกลับมา มาหาทางออกไม่เจอ ถ้าตอนเดินมามีสติล่ะก็คงจะไม่ต้องรบกวนเด็กๆ ที่กำลังทำงานปัดกวาดแถวๆ นั้นให้นำทางมาแบบนี้แน่ๆ หว่า ขายขี้หน้าชะมัดยากเลยอะ!
“เอาล่ะ ตามกัปตันไมนอสมาได้เลย!”
ครับ เมื่อผมมาถึงโครงการดื่มฟรี กินฟรี ขี่ม้าทัวร์ไปกับกัปตันไมนอสก็เริ่มต้นขึ้น ผมที่ไม่เคยขี่ม้ามาก่อนได้นั่งคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย โชคดีที่มีคนดูแลช่วยจูงม้าอีกแรง ผมชักจะเห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน เพราะไอ้คฤหาสน์หลังนี้มันกว้างใหญ่มากๆ กว่าจะขี่ม้าชมทั่วก็นู้นแหละครับ เย็นนู้นเลย! พวกเขาต้องเดินจูงม้าไปกี่ชั่วโมงกัน ผมยังได้นั่งบนหลังม้าสบายกว่าหน่อย เอ๊ะ หรือว่าเดินมันจะสบายกว่านั่งโยกไปโยกมาบนหลังม้ากันนะ?
“เด็กๆ แล้วคุณลุงซูสไปไหนเหรอครับ?”
“มีงานสำคัญเข้ามาด่วนฮะ คุณลุงบอกว่าให้พวกเรามาขี่ม้ากันก่อนแล้วตอนเย็นๆ ค่อยว่ายน้ำด้วยกัน” ไมนอสเป็นคนตอบคำถามของผม ส่วนแมนทีสน่ะเหรอ? รายนั้นไม่รู้เป็นอะไรไม่ยอมพูดกับผมเลย งอนอยู่ได้ไม่หายโกรธกันสักที เฮ้อ นี่ผมจะต้องง้อเด็กนี่หรือเปล่าเนี่ย? ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดเนี่ยน่ะ?
เกิดเป็นไอ้เนรัญมันต้องอดทนจริงๆ!
TBC.
ต้องรอพี่โพไซดอนตื่นก่อนถึงจะเฉลยปริศนาได้!
แต่บอกที่มาของตระกูลนี้ไปแล้วเต็มๆ เลยนะ
คงพอจะเดากันออกหรือว่าไม่? 555
และแล้วก็เข้าใจว่าการหาภาพอิมเมจที่ตรงกับจินตนาการนั้นมันยากแค่ไหน!
"สามพี่น้องมหาเทพ"
ปล. พี่โพไซดอนเป็นแบบที่คนอ่านคิดไว้หรือเปล่า?