สุดขั้ว 19“คุณป๋าได้รู้จักกับสองสาวที่เป็นพี่น้องกัน คนพี่ชื่อ ‘แก้วตา’ คนน้องชื่อ ‘ดวงใจ’ ใช่แล้วล่ะ สองสาวเป็นตัวเลือกที่คุณป๋าเล็งเอาไว้ คนในครอบครัวนั้นก็รู้นะว่าคุณป๋ามีเป้าหมายอะไรแต่ก็ไม่คัดค้าน แหงล่ะ คุณป๋าหน้าตาดี รวย ตระกูลดี ใครจะไม่อยากดองด้วยเล่า สรุปทางนั้นก็สนับสนุนล่ะนะ ส่วนเจ้าตัวก็รู้โดยเฉพาะคนพี่ แถมยังหลงคุณป๋าหัวปักหัวป๋ำ หล่อนมีพลังในตัวสูงมากด้วย คุณป๋าก็สนใจอยู่เหมือนกัน ถ้าได้พรสวรรค์นั้นมาเสริมลูกที่เกิดมาต้องต้านคำสาปของตระกูลได้แน่ ส่วนคนน้องดันมีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เกิดก็เลยทำให้คุณป๋ามองข้ามไป แต่ทุกอย่างก็พลิกล็อกคุณป๋าดันไปเลือกคนน้องซะอย่างนั้น ทำให้ใครบางคนผิดหวังอย่างรุนแรง และมันก็เป็นต้นเหตุของเรื่องราวยุ่งๆ ทั้งหลาย...”
ผมฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างตั้งใจ พยายามคิดตามสิ่งที่พี่โพไซดอนเล่ามาเพื่อทำความเข้าใจ คุณพ่อกับสองสาวพี่น้องแก้วตาดวงใจ... คุณพ่อเลือกคนน้องนั้นก็คือ
‘ดวงใจ’ ไม่เลือกคนพี่
‘แก้วตา’ งั้นแสดงว่าแม่ของพี่เฮดีสกับพี่ไนซ์ก็คือคนที่ชื่อ ‘ดวงใจ’ อย่างนั้นสินะ อ้าว? แล้วพี่ไนซ์ไปอยู่กับคุณแก้วตาได้ยังไงล่ะ แถมยังบอกว่าเป็นแม่ของตัวเองอีก แล้วไอ้มอตโตมันเกี่ยวอะไรกับตระกูลนี้หรือเปล่า? ทำไมถึงได้มีนามสกุลเหมือนกันได้? ไอ้บ้านั้นมันก็หุบปากเงียบตลอดไม่เคยจะปริปากพูดเรื่องตัวเองซะด้วยสิ โอ๊ย สงสัยโว้ย! ผมขมวดคิ้วเงยหน้ามองพี่โพไซดอนที่ยิ้มมุมปากอยู่ก่อนแล้ว เขาเอ่ยต่อเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“หลังจากที่คุณป๋าแต่งงานกับคุณน้าดวงใจ อ่า ต่อไปฉันจะเรียกแม่ของดีสว่าคุณน้าล่ะกันเพราะเธออายุมากกว่าเฮียซูสแค่ไม่กี่ปีเอง คุณป๋าแต่งงานกับภรรยายังสาวที่อายุห่างกันเกือบ 15 ปีแน่ะ ทำไปได้!” พี่โพไซดอนชะงักแล้วเหลือบมาอธิบายด้วยใบหน้าเหมือนกินยาขม ท่าทางจะไม่ค่อยชอบเรื่องอายุที่ห่างกันมากของคุณพ่อและคุณแม่คนใหม่ ถ้าแม่ใหม่อายุไม่ค่อยต่างจากเราเท่าไร ถ้าเป็นผมก็คงจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันล่ะมั้ง โล่งอกหน่อยที่ผมไม่ต้องเจอกับประสบการณ์คุณแม่ยังสาวเพราะพ่อของผมเข้าทางธรรมไปแล้ว!
“เล่าต่อล่ะกัน แก้วตาอะไรนั้นน่ะหลังจากงานแต่งเจ้าหล่อนก็หายตัวเข้ากลีบเมฆเงียบหายไปเลย คุณป๋าก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งเรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่คุณน้าดวงใจคลอดลูกนี่แหละ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เลยไม่มีใครระวังตัว ไอ้หนูแกน่าจะเดาได้นะว่าเกิดอะไรขึ้น ยัยแก้วตานั้นขโมยเด็กไปคนหนึ่งน่ะสิ”
ขโมยเด็ก!? หรือว่าเด็กที่ถูกขโมยไปจะเป็น... พี่ไนซ์!? ผมทำหน้าตกใจแทบช็อก ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรพลิกหงายขนาดนี้ สรุปแล้วยัยคุณแก้วตาอะไรนั้นขโมยลูกของน้องสาวไปแล้วอ้างตัวว่าเป็นแม่อย่างนั้นเหรอ!? อะไรเนี่ย แถมตอนอยู่โรงพยาบาลนั้นยังทวงความเป็นแม่กับพี่เฮดีสซะอีก ท่าทางเธอคนนี้จะคิดว่าตัวเองเป็นแม่ของพวกพี่เฮดีสจริงจังอย่างสุดๆ
“จริงๆ แล้วเกือบเอาไปได้ทั้งสองล่ะนะ แต่คุณป๋าเอะใจซะก่อนก็เลยไปทันช่วยไว้ได้แค่คนเดียว คุณป๋าโมโหสุดๆ แต่ยังไม่ทันได้ตามยัยแก้วตาไป คุณน้าดวงใจดันอาการทรุดหนักหลังคลอด เดิมร่างกายอ่อนแออยู่แล้วยิ่งมาคลอดฝาแฝดก็เลยทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงไปอีก คุณป๋าลังเลว่าจะทำยังไง ระหว่างช่วยลูกหรือรีบกลับมาดูอาการภรรยาสาวที่เจียดจะสิ้นลม ยัยแก้วตาจึงสบโอกาสหนีไปพร้อมกับเด็กได้สำเร็จ คุณป๋าปิดเรื่องนี้เอาไว้และบอกทุกคนว่าหนึ่งในฝาแฝดตายระหว่างคลอด ด้วยเหตุนี้เลยทำให้เราทุกคนไม่รู้เรื่องฝาแฝดอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งอีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นนี่แหละ” พี่โพไซดอนถอนหายใจกับความยุ่งยากนิดๆ นี่ก่อนจะยักไหล่ตบท้าย
“ทำไมคุณพ่อต้องโกหกอย่างนั้นด้วยล่ะครับ เขาไม่ตามหาลูกอีกคนที่ถูกลักพาตัวไปเลยเหรอ!?” ผมรู้สึกข้องใจกับเรื่องนี้มาก ทำไมเขาถึงได้บอกว่าพี่ไนซ์ตายไปแล้วแทนที่จะบอกว่าถูกลักพาตัวแล้วให้ทุกคนช่วยกันตามหา แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าพี่ไนซ์ถูกทอดทิ้งแบบไม่รู้เรื่องเลยน่ะสิ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ! คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกลับกลายเป็นพี่ไนซ์ที่เชื่อมั่นว่าน้องชายเป็นคนถูกแม่ทอดทิ้ง แต่นี่กลายเป็นว่าพี่ไนซ์ต่างหากที่ถูกพ่อแท้ๆ ทอดทิ้ง!
“ถ้าให้เดาก็คงเพราะสุขภาพของคุณน้าดวงใจแย่มาก จนคุณป๋าไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจล่ะมั้ง อีกอย่างคุณน้าดวงใจคงไม่มีทางเชื่อเรื่องที่พี่สาวแท้ๆ ขโมยลูกของเธอหรอก พวกซื่อก็อย่างนี่แหละ น่ารำคาญ” พี่โพไซดอนเอ่ยคาดเดาพร้อมกับพึมพำเบาๆ และเหล่หางตามามองผมด้วยแววตาอ่านไม่ออก เอ่อ... แล้วทำไมต้องเหลือบมามองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะครับ?
“สรุปว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ฉันเชื่อว่าคุณป๋ามีเหตุผลมากพอที่จะตัดสินใจทำแบบนั้น” เขาสรุปแบบเสียไม่ได้
“โดยทอดทิ้งลูกแท้ๆ ที่ไม่รู้จะเป็นหรือตายนี่น่ะครับ?” ผมย้อนกลับอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกโมโหและเจ็บใจแทนพี่ไนซ์ เมื่อคิดถึงคนที่เอาแต่ยิ้มบ้าบอเหมือนไม่ซีเรียสแม้ว่าตัวเองจะป่วยหนักขนาดนั้นก็ตาม หนำซ้ำยังมีหน้าไปเป็นห่วงน้องชายฝาแฝดซะอีก โดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วตัวเองต่างหากที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ผมลืมตัวเผลอแทรกอารมณ์ตำหนิไปในน้ำเสียงแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอรอยยิ้มเย็นเยือกของคนตรงหน้า
“ในสายตาของคนอื่นๆ คุณป๋าอาจจะเหี้ยมาก แต่สำหรับฉันแล้วเขาเป็น ‘พ่อ’ ที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบที่สุด อย่ามาใช้มาตรฐานของแกมาตัดสินคนอื่นจะดีกว่า ลับหลังจะด่าคุณป๋ายังไงก็ได้แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าฉันอย่าได้ทำ เพราะมันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่แกจะได้ทำ เข้าใจไหมไอ้หนู?” น้ำเสียงของเขาฟังราบเรียบธรรมดาๆ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกกดดันและเย็นวูบไปทั้งตัว ผมพยักหน้ารับแล้วก้มหน้ามองพื้น อ่า ผมลืมไปว่าคนๆ นี้ก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน ต่อให้พ่อนิสัยยังไงลูกก็ต้องรักพ่อรักแม่ของตัวเองอยู่แล้ว ผมโมโหจนลืมไปเสียสนิท
“ขอโทษครับ ผมโมโหไปหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นเอ่ยขอโทษออกไปด้วยความเสียใจ ลองมองกลับกัน ถ้ามีใครมาว่าพ่อผมเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน พี่โพไซดอนเหลือบสายตามามองแล้วยักไหล่ด้วยท่าทางปกติ ไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ผมเลยคลายความกังวลใจได้นิดหน่อย
“ก็พอเข้าใจว่าทำไมไอ้น้องเวรมันถึงชอบแกล่ะนะ เฮ้อ น่าเบื่อฉิบ ไม่ว่าฮาเดสรุ่นไหนมันก็มีสเป็กแบบนี้กันทุกคนเลย!”
“เอ่อ...คือ...แฮะๆ”
ผมพูดอะไรไม่ออก หน้าแดงก้มหน้าหัวเราะแห้งๆ กับตัวเองกับสิ่งที่พี่โพไซดอนบ่นออกมา โอ๊ยยยย!!! พี่คนนี้พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาหน้าตาเฉย! ผมพยายามที่จะไม่ใส่ใจและขอบคุณพี่โพไซดอนที่ไม่แซวเรื่องหน้าเปลี่ยนสีได้ของผม ไม่รู้เพราะขี้เกียจแซวหรือว่าไม่ใส่ใจก็ตามแต่ขอบคุณมากที่ไม่ทำให้อายไปมากกว่านี้ พอผมหายจากอาการหัวใจปั่นป่วน (แค่เอ่ยถึงยังเป็นขนาดนี้แล้วเจอตัวจริงผมจะเป็นยังไงวะ คิดแล้วอยากกระโดดลงคลองจริงๆ!) พี่โพไซดอนก็กลับเข้าเรื่องเดิม
“คุณป๋าเองก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะทิ้งลูกชายของตัวเองอย่างที่แกเข้าใจหรอกนะไอ้หนู แต่มันเป็นตามหาไม่ได้ไม่ใช่ไม่ตามหา ที่ผ่านมาคุณป๋าเองก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหานานเป็นสิบๆ ปีแค่เพียงเขาไม่เคยบอกใครเท่านั้น เฮอะ ขนาดเจอแล้วยังไม่บอกเลย หึๆ ช่างเป็นคุณป๋าที่แสนจะขัดใจซะเหลือเกิน” พี่โพไซดอนหัวเราะในลำคอเหมือนแอบเคืองพ่อบังเกิดเกล้าอยู่หน่อยๆ ด้วย
“ทำไมถึงตามหาไม่ได้ล่ะครับ?” ผมถามประเด็นที่คาใจ ทั้งๆ ที่ออกจะรวยขนาดนี้แต่บอกว่าตามหาไม่ได้เนี่ยนะ ถึงโลกมันจะกว้างอยู่บ้างแต่ถ้าคนระดับนี้ไอ้เรื่องสืบหาใครสักคนน่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมมีพลังเทพเจ้าไม่ใช่เหรอ? หรือว่าไม่มีใครสักคนในตระกูลจะช่วยตามหาได้?
“เรื่องนั้นก็เพราะยัยแก้วตานั้นแหละ อย่างที่เคยพูดไว้ตั้งแต่แรก หล่อนมีพลังสูงสุดในตระกูลแทบจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้ พลังคาถาว่าสุดยอดแล้วนะแถมยังบังคับใช้พวกผีเร่ร่อนได้อย่างชำนาญอีก หล่อนคงจะทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้ใครตามหาตัวเจออย่างใช้ผีบริวารบังไว้อะไรงี้ อย่าว่าแต่ตอนนั้นเลยแม้กระทั่งตอนนี้กลิ่นของหล่อนพวกเราก็ยังหาไม่เจอเลย เฮอะ พูดตามตรงฉันเองก็ไม่อยากเจอนักหรอก”
คุณแก้วตาคนนั้นเก่งมากเลยเหรอ!? ก็คงจะเก่งอยู่นั้นแหละ ขนาดอำพรางตัวไม่ให้ใครหาเจอตั้งยี่สิบกว่าปีขนาดนั้น! ผมกลืนน้ำลายคิดย้อนไปเมื่อวานที่ถูกเธอใช้อะไรบางอย่างจับขึงไว้ หรือว่ามันจะเป็น...ผีบริวาร? แว๊กกกก! รู้สึกขอบคุณพี่เฮดีสอีกครั้งที่ไปช่วยเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นผมคงถูกผีบีบคอตายไปแล้วแน่ๆ! ตายเพราะผีเนี่ยผมไม่เอาด้วยหรอกนะ! พูดถึงผีแล้วแม่งขนลุกขึ้นมาเลยอะ บรื๋อส์! ขอให้ไม่ได้พบไม่ได้เจอกันอีกเลยนะ ขอล่ะ ขนาดพี่โพไซดอนยังไม่อยากจะเจอเลยนี่น่า ผมคนธรรมดาจะเอาอะไรไปสู้กับยัยป้าแม่มดนั้นกันเล่า!? ถ้าได้เจอกันอีกผมคงไม่รอดแง่ม
“เฮ้อ กว่าจะฆ่าได้คงต้องเหนื่อยแหงๆ คิดแล้วก็ไม่อยากเจอเลยว่ะ ขี้เกียจ”
ห๊ะ? ผมเงยหน้ามองคนที่ส่ายหน้าพึมพำเบาๆ ด้วยท่าทางของคนเกียจคร้านตัวเป็นขน อาร้ายยยย! ที่ไม่อยากเจอเพราะขี้เกียจ ไม่ใช่ว่ากลัวอย่างนั้นเหรอ!? โอ๊ยหนอ! ผมแทบจะส่งค้อนให้กับคนที่เริ่มเอนตัวนอนสบายๆ เป็นหมีจอมเฉื่อย ผมเลิกสนใจพี่โพไซดอนแล้วกลับมาครุ่นคิดเรื่องพี่ไนซ์ต่อ
แล้วนี่พวกเขาไม่คิดจะเล่าความจริงให้พี่ไนซ์ฟังบ้างเลยเหรอ? ปล่อยให้พี่ไนซ์เข้าใจผิดๆ แบบนั้นอยู่ได้ แต่ว่าถ้าพี่ไนซ์รู้เรื่องนี้เขาจะมีปฏิกิริยายังไงกันนะ? เสียใจ? โมโห? หรือว่าแค้น? ผมถอนหายใจพยายามที่จะไม่คิดแง่ร้าย ที่แน่ๆ ผมคิดว่าพี่ไนซ์คงไม่เชื่อเรื่องนี้แน่ๆ คิดดูสิครับ จู่ๆ ไปบอกว่าคนที่เลี้ยงดูตัวเองมาตั้งยี่สิบกว่าปีไม่ใช่แม่แท้ๆ แบบนี้ใครจะไปเชื่อกันเล่า ถ้าลองได้เชื่ออะไรบางอย่างมาตลอดทั้งชีวิต จู่ๆ มันก็ไม่ใช่ขึ้นมาคงจะทำใจยอมรับยากอยู่ ความเชื่อมันเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆ ล่ะนะ ถ้าบอกไปแล้วเชื่อกันง่ายๆ โลกนี้คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายชวนปวดตับหรอก แล้วยังเรื่องชื่อเทพอะไรนั้นอีก นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดครบรอบ 21 ปีแล้วด้วย
ผมเพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็รีบหันไปถามผู้รู้ที่กำลังเริ่มป่ายปีนขึ้นเขาไกรลาส ผมลังเลใจไม่กล้าจะเข้าไปขัดจังหวะพี่โพไซดอน แต่ไม่นานเขาก็ขยับตัวนั่งพลางถอนหายใจเสียงดังหันมาถามผมด้วยท่าทางเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
“อะไรอีกล่ะ?”
“เอ่อ...เรื่องชื่อน่ะครับ ถ้าไม่ใช่ชื่อเทพจะทำให้มีอันเป็นไปตอนอายุ 21 ปีใช่ไหมล่ะครับ? แล้วมีทางแก้ไขหรือเปล่า?”
“เรื่องนี้เองเหรอ? ง่ายจะตาย ก็แค่เปลี่ยนชื่อเป็นชื่อเทพ ทำการลงบันทึกชื่อในสมุดประวัติตระกูลก็เรียบร้อยแล้ว!” พี่โพไซดอนโบกมือไปมาไม่ใส่ใจมากนัก พอได้คำตอบผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟอย่างที่กลัวเอาไว้ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ต้องแก้ชื่อทันวันเกิดแน่ๆ เท่านี้พี่ไนซ์ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!
ว่าแต่...เทพกรีกที่เหมาะกับพี่ไนซ์เนี่ยอะไรดีน่า?
ระหว่างที่ผมกำลังทบทวนรายชื่อเทพเจ้ากรีกที่พอจะจำได้ คุณพี่โพไซดอนก็หันไปสนใจมือถือที่ส่งเสียงดังของเขา สงสัยจะเป็นธุระสำคัญแน่ๆ เพราะเห็นเบอร์ปุ๊บก็รีบกระโจนกดรับปั๊บ ผมเลิกคิดชื่อที่เหมาะกับพี่ไนซ์แล้วมองไปรอบๆ ห้อง มันเงียบเสียจนรู้สึกว่าพอสมาชิกครอบครัวไม่อยู่บ้านหลังนี้มันใหญ่เกินไป เฮ้อ เมื่อไรทุกคนจะกลับมากันนะ พี่เฮดีสก็หายไปนานแล้วด้วย นอกจากนั้นสมาชิกคนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นอะโฟรไดท์ เฮเลน เพอร์ซีอุส พี่ซูส พี่เรเนียแล้วยังเฮฟเฟสตัส คุณพ่ออีก ไปไหนกันหมด!
“แม่ง ผิดคาดเหี้ยๆ ‘เฮเคต’? นี่มันอย่างกับเสือติดปีกเลยนี่หว่า เออ ขอบใจว่ะคลิโอ ถ้าฉันไปกรีซเดี๋ยวเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง เออน่า อะไรนะ? อพอลโล? แล้วทำไมแกไม่โทรไปบอกน้องชายแกเองวะ!? ฉันไปเป็นผู้ส่งสารให้แกตั้งแต่เมื่อไร!? โพไซดอนนะโว้ยไม่ใช่เฮอร์มีส อะไรนะ!? อยากลองดีหรือวะ? หนอยยยย ขอให้ผัวแกทิ้งในเร็ววัน!”
ผมได้ยินชัดและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งเพราะมันเป็นภาษาไทย แถมสายปลายทางยังพูดตะโกนแช่งพี่โพไซดอนเสียงดังลั่นพอพี่โพไซดอนแช่งกลับเสียงกรี๊ดแปดหลอดชนิดที่นักร้องโซปราโนต้องยอมโบกธงขาวให้ พลังทำลายล้างของเสียงกรี๊ดนั้นทำเอาพี่โพไซดอนมึนอยู่พักใหญ่ ดีที่พี่โพไซดอนตัดสายไปซะก่อนไม่งั้นอาจถึงขั้นสลบ สงสัยจังว่าเธอเป็นใคร? ได้ยินพูดชื่อพี่พอลด้วย อาจจะเป็นญาติๆ กันล่ะมั้ง ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่แฟนของพี่โพไซดอน เพราะจากที่ได้ยินบทสนทนานั้นถ้าบอกว่าเป็นศัตรูกันผมก็จะไม่สงสัยเลย
“มัม! ไมปวดฉี่!”
ผมรีบลุกขึ้นไปลากเจ้าเด็กที่ยืนบิดตัวไปมาตรงหน้าเพื่อพาไปเข้าห้องน้ำ บัดซบบบบ! ทำไมมันไกลแบบนี้วะ!? เพราะบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินไปกว่าจะพาไมนอสปลดเบาเป็นที่เป็นทางได้ เจ้าเด็กนี่ก็เอาแต่ร่ำๆ บอกว่าจะราดแล้วอยู่ทุกสามวินาที ทำเอาลุ้นแทบแย่ว่ามันจะราดกลางทาง พอทำธุระส่วนตัวจนโล่งไมนอสก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้ทำให้บ้านหรูแปดเปื้อนด้วยชิ้งฉ่องของเด็ก
ผมพาไมนอสกลับมาที่เดิมซึ่งมีแค่พี่โพไซดอนที่เอนตัวนอนด้วยท่าทางสบายอุรากับแมนทีสน้องชายฝาแฝดของไมนอสที่นั่งเล่นรถไฟปู้นๆ ไม่แม้จะแลพี่ชายตามประสาเด็กกำลังเห่อของเล่น ไมนอสงอแงให้ผมเล่นด้วยเพราะไม่มีเพื่อนเล่น ก็เพื่อนที่ว่าดันปู้นๆ ไปคนเดียวไม่สนคนอื่นนี่นะ ผมก็เลยต้องลดอายุนั่งเล่นด้วยแต่ไม่นานเจ้าเด็กเอาแต่ใจก็ไล่ผมไปเพราะฝีมือห่วยแตกในการต่อเลโก้ของผมนั่นเอง ก็แค่ไม่มีพลังจินตนาการเท่านั้นเอง ทำไมผมต้องถูกเด็กสองขวบไล่ด้วยเนี่ย!
“สนิทกันดีนะ”
“ครับ?” เมื่อผมกลับมานั่งที่เดิม พี่โพไซดอนก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทั้งที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นสมาร์ทโฟนในมือ ผมเลิกคิ้วรับอย่างไม่เข้าใจ หมายถึงอะไรงั้นเหรอ? แล้วเขาก็ชี้นิ้วไปที่ฝาแฝดซึ่งก้มหน้าก้มตาเล่นไม่สนใจใครหน้าไหน ผมร้องอ้อแล้วหัวเราะออกมานิดๆ ด้วยความขำ จริงๆ แล้วผมกับฝาแฝดเพิ่งได้เจอกันเองแต่ดูเหมือนพวกเราสนิทกันสินะ
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ”
หือ? ทำไมเขาถึงได้มองผมแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ? ผมกะพริบตามองตอบกลับอย่างไม่เข้าใจเมื่อพี่โพไซดอนเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาจ้องเหมือนกำลังหาอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะดันมีชนักติดหลัง นี่คงจะไม่สงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เฮดีสใช่ไหม!? ผมพยายามยิ้มสู้
“มีอะไรงั้นเหรอครับ?”
“เปล่า พ่อของเจ้าพวกนี้น่ะเป็นยังไงเหรอ?” พี่โพไซดอนยักไหล่แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดไปเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องก่อนหน้านี้เท่าไร เมื่อถูกถามกลับมาผมก็เริ่มทำการขบคิดถึงบุคคลที่ถูกถามถึง
“ภายนอกเหมือนกับพี่เฮดีสเปี๊ยบเลยล่ะครับ แต่นิสัยเนี่ยต่างกันสุดขั้วเหมือนสีขาวกับสีดำเลย พี่เฮดีสจะนิ่งๆ พี่ไนซ์ก็เป็นพวกอยู่ไม่สุข พี่เฮดีสหน้านิ่งอย่างกับฉาบด้วยซีเมนต์แต่พี่ไนซ์หน้าจะยิ้มบานแฉ่งตลอดเวลา” พอพูดแล้วผมก็ประหลาดใจชะมัดยาก ทำไมฝาแฝดคู่นี้ถึงได้ตรงกันข้ามกันขนาดนี้กันนะ ทั้งๆ ที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้นนิสัยกลับต่างกันสุดขั้ว! พี่โพไซดอนพยักหน้ารับด้วยความสนใจ เอ๋? หรือว่าเขากำลังอยากรู้เรื่องน้องชายที่ไม่เคยเจอกันอย่างพี่ไนซ์ ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เท่าที่ดูครอบครัวนี้อบอุ่นไม่เลว ไม่สิ ดีมากๆ เลยล่ะจนผมไม่ต้องเป็นห่วงว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับพี่ไนซ์เข้าเป็นสมาชิกในแฟมิลี่
“แล้วแกชอบแบบไหนล่ะไอ้หนู?”“ห๊ะ!? เอ่อ...เรื่องนี้น่ะ...จู่ๆ ทำไมถึง...แหม...” ถูกยิงคำถามมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเล่นเอาผมสมองสับสนวุ่นวายจัดระเบียบคำพูดไม่ได้เลย แต่เมื่อตั้งสติได้ผมก็สะกิดใจอะไรบางอย่างในคำถามเรียบๆ นั้น ในบทบาทสมมติผมอยู่ในฐานะคนรักของพี่เฮดีสนะ (หน้าแดง) มาถามแบบนี้ก็เหมือนกับว่าพี่โพไซดอนกำลังสงสัยว่าจริงๆ แล้วผมชอบพี่เฮดีสจริงๆ หรือเปล่าน่ะสิ?
เอ๋? ทำไมจู่ๆ ถึงได้เกี่ยวโยงไปถึงพี่ไนซ์ได้ล่ะ? ผมพยายามเค้นสมองคิดทบทวนแล้วต้องตกใจ จะว่าไปแล้วผมเอาแต่ถามเกี่ยวกับพี่ไนซ์นี่น่า แถมยังห่วงออกหน้าออกตาอีกด้วย แบบนี้มันน่าสงสัยสินะว่าตกลงแล้วผมใช้ประโยชน์จากพี่เฮดีสเพื่อพี่ไนซ์หรือเปล่า!? แง๊! ไม่ใช่นะ ไม่ช่าย! ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ เมื่อตั้งสติได้ผมก็ตอบออกไปเบาๆ แค่เล่นไปตามบทบาทไม่ให้ความจริงแตกเท่านั้น ทำไมหัวใจมันเต้นแรงแบบนี้วะ!? ไม่ได้สารภาพรักจริงๆ สักหน่อย
“กะ...ก็ต้องชอบแบบ...พะ...พี่เฮดีสสิครับ”
แอร๊ยยยย!!! ตะกุกตะกักได้อีก น่าสงสัยได้อีกกกก!!! ผมก้มหน้ากุดไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตาใครหน้าไหนทั้งนั้น รู้สึกว่าหน้ามันร้อนจนแทบจะละลายเหมือนไอติมถูกไฟลน พี่โพไซดอนนิ่งเมื่อได้คำตอบจากผมแล้วจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ก็ดีแล้ว ได้ไอ้ดีสเป็นผัวคุ้มไปสิบชาติเลยนะ มันรวยยิ่งกว่าอะไร ชาตินี้รับรองได้ว่าไม่ต้องกินแกลบแน่ๆ ถึงจะหมดตัวพอมันไปเข้าคาสิโนไม่ถึงสองนาทีก็รวยเหมือนเดิมแล้ว!”
“ครับ” ผมพยักหน้าหงึกๆ รับไปแบบงงๆ แค่ท่อนแรกของประโยคก็เหมือนหมัดตรงอันหนักหน่วงที่ทำให้ผมเซแซดๆ ยืนเซบนสังเวียน พี่โพไซดอนหัวเราะอย่างมีเนศนัยแล้วเอ่ยประโยคที่เปรียบเสมือนหมัดฮุคกระแทกหน้าผมจนน็อกเอาท์ในคราวเดียว
“ใช่ไหมวะไอ้เสือ?”ผมสะดุ้งตัวโหยง พอเงยหน้าไปก็เห็นบุคคลอันตราย(ต่อหัวใจ)ที่สุดยืนกอดอกทำหน้านิ่งประดุจฉาบด้วยปูนซีเมนต์สามสิบชั้นอยู่ด้านหลังของพี่โพไซดอน เลือดทั้งหมดในตัวของผมพร้อมใจพุ่งปรี๊ดขึ้นหน้า ยิ่งได้ตัวบิลต์อารมณ์ระดับพ่อเป่าปากแซวเกือบทำให้ผมระเบิดตัวกลายเป็นฝุยผง ทนไม่ไหวแล้วโว้ยย! ปิดหน้าหนีมันดื้อๆ นี่แหละ!!! พอทำแบบนั้นพี่โพไซดอนก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม ครอบครัวนี้ทำไมถึงได้มีแต่ปีศาจใจร้ายทั้งนั้นเลยนะ! ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเอาซะเลย บ้าที่สุด!
“ข้างบนเลยไอ้น้อง เต็มที่ไม่ต้องห่วง บ้านเรากำแพงอย่างหนา หึคึๆๆ”
ว๊ากกกกกกก! เฮียคนนี้ชักจะไปกันใหญ่แล้ว!!!
“พี่โพซ พอเถอะครับ” พี่เฮดีสเอ่ยปรามพี่ชายด้วยความเสียงเรียบๆ เป็นปกติ ไม่มีท่าทางจะรู้สึกอะไรบ้างเลย ทำเอาผมหมดอารมณ์ที่จะเขิน ส่วนพี่โพซเองก็หมดอารมณ์ที่จะเล่น พี่เฮดีสเดินมานั่งทิ้งตัวลงข้างๆ ผมพร้อมทั้งยกแขนพาดพนักด้านหลังแต่มันทำให้ผมสะดุ้งเฮือก บ้าชะมัด ไอ้พิษร้ายจากความฝันลามากมันทำให้ผมกลายเป็นคนขวัญอ่อนไปแล้ว! แค่แตะนิดแตะหน่อยหัวใจเจ้ากรรมพลอยเต้นบ้าคลั่งไปซะได้ โธ่เอ๊ย หยุดนะ! หยุดบ้าได้แล้ว!!
“คุณน้าเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ไม่สบายเหมือนทุกทีนั้นแหละครับ ตอนนี้นางพยาบาลให้กินยาแล้วนอนพักอยู่ครับ” พี่เฮดีสตอบเรียบๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ พี่โพไซดอนพยักหน้ารับไม่แปลกใจอะไร คุณแม่ของพี่เฮดีสร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิดนี่นะ ยิ่งพอคลอดพวกพี่เฮดีสก็ยิ่งทำให้สุขภาพแย่ลงกว่าเดิมอีก คงจะป่วยบ่อยๆ จนไม่มีอะไรน่าแปลกใจแล้วล่ะมั้ง?
“แล้ววันนี้แกวางแผนว่าจะทำอะไรบ้างวะ?”
“ว่าจะพาหมอนี้ไปหาพ่อแล้วค่อยไปส่งที่บ้าน มีอะไรงั้นเหรอครับ?”
“แหม ไปแนะนำตัวแฟนให้คุณป๋ารู้จักอย่างนั้นสินะ สมกับเป็นแกจริงๆ ว่ะ” พี่โพไซดอนพยักพลางยิ้มเหล่ตามามองผมเป็นประกายล้อเลียน เฮอะ ผมไม่สะท้านหรอก อย่ามาล้อซะให้ยาก พอเห็นผมไม่เล่นด้วยก็หันไปพูดกับพี่เฮดีสต่อด้วยสีหน้าท่าทางแสนจะผ่อนคลายสบายอุรา “ไอ้ที่ถามก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าแกจะไปเยี่ยมพี่ชายฝาแฝดไหม ฉันจะได้ไปด้วย ยังไม่เคยเจอน้องชายคนนี้เลย หน้าตาเป็นยังไงวะ ขี้เหร่เหมือนแกหรือเปล่า?”
ผมก็แทบจะหัวเราะออกมา แหม พูดมาได้นะครับ ถ้าพี่เฮดีสขี้เหร่ ใครมันจะหล่อบ้างวะ!? ถ้าไปถามพี่โพไซดอนเขาคงจะตอบอย่างมั่นใจว่าตัวเองแน่ๆ เลย! พี่เฮดีสเงียบไม่ตอบอะไรใดๆ
อ่านต่อที่รีล่าง 