♕♕♕ ดีสุดขั้ว & ชั่วสุดขีด ♛♛♛ [Up. Special 1 P.102 13/5/58]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♕♕♕ ดีสุดขั้ว & ชั่วสุดขีด ♛♛♛ [Up. Special 1 P.102 13/5/58]  (อ่าน 1089613 ครั้ง)

ออฟไลน์ zoe131313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เนรัญรู้ตัวเถอะ

ออฟไลน์ BaZkon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :a5: :a5: :a5: :a5:
ปริศนา ปริศนาเต็มไปหมดเลย

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
เอาแล้วไงละ เริ่มสงสัยหนักเข้าไปใหญ่

ที่พี่โพไซดอล พูดคืออะไร โกหกหน้าตายสินะ



ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เนเน่จังผู้ใสซื่อ  ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ว่าแต่พี่ยูเป็นสามีพี่โพมเรอะ  อยากให้พี่ยูเป็นรับอ่ะ

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เนรัญก้อยังซื่อเหมือนเดิม

 :laugh:

ออฟไลน์ lie-boy

  • การแก้แค้นที่ดีที่สุด คือ การประสบความสำเร็จให้มากกว่า
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +270/-1
    • poypoy & lieboy
สุดขีด 20

ผมคุยเป็นเพื่อนพี่ไนซ์อยู่นานพอสมควรพี่โพไซดอนถึงกลับมาพร้อมกับพวกพี่ยู พวกพี่ๆ ทักทายสนทนาพาทีกับคนป่วยสักพักก็ได้ฤกษ์กลับ อีกอย่างคนป่วยจะได้พักผ่อนบ้าง หลังออกมาจากห้องพี่โพมกับพี่ยูพูดเรื่องพี่ไนซ์ไม่หยุด ทั้งประหลาดใจแกมทึ่งที่เห็นคนหน้าตาเหมือนพี่เฮดีสแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว

“เจอแบบนี้เหมือนสมองพลิกคว่ำยังไงไม่รู้” พี่ยูวิจารณ์เมื่อเจอพี่ไนซ์เป็นครั้งที่สองซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าแตกต่างจากไอ้เพื่อนบางคนเป็นพันๆ ปีแสง พี่โพมพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่ๆ น้องเขาชมว่าพี่สวยด้วยแหละ” พี่โพมเอ่ยด้วยสีหน้ากระดี๊กระด๊าเป็นปลื้ม หน้าแดงขวยเขินเหมือนสาวน้อยขี้อาย พี่ยูเหลือบมองแฟนตัวเองด้วยสายตาขุ่น อีกฝ่ายก็จ้องกลับแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยต่อว่า “เฮดีสไม่เห็นพูดแบบนี้เลย อย่าว่าแต่เฮดีสเลยขนาดแฟนตัวเองแท้ๆ ยังไม่เคยจะชมว่าพี่สวย”

พอดูแบบนี้พี่โพมตัวสูงชะมัด พอๆ กับมอตโตที่เป็นน้องชายเลยด้วย ผมชักจะสงสัยซะแล้วสิว่า...ใครคืออะไรยังไง? ตอนแรกก็คิดว่าพี่ยู... แต่เมื่อมาพิจารณาอีกที เอ๊ะ ยังไง? พี่ยูเห็นแฟนบ่นน้อยใจหน้าบึ้งก็ถอนหายใจพรืดใหญ่แล้วพยายามจะพูดเอาใจบ้าง

“ก็สวยอยู่ทุกวัน ไม่เห็นจะต้องชมอะไรเลยนี่”

“ต๊าย! จริงเหรอยู? สวยจริงๆ นะ?” พี่โพมร้องเสียงหลงยิ้มกว้างอย่างดีใจออกหน้าออกตายิ่งกว่าตอนที่พี่ไนซ์ชมซะอีก รอยยิ้มของคนสวยประกายวิ๊งๆ แทบจะกระแทกเข้ากับเบ้าตา ยิ่งคนอยู่ใกล้ยิ่งโดนหนัก พี่ยูหน้าแดงกระแอมไอแก้เก้อไปแต่ไม่วายจะพยักหน้าให้คุณแฟนมั่นใจ พี่โพมกระโดดกอดพี่ยูแบบรวบหัวรวบหางพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ อีกฝ่ายก็นะ ไม่โวยวายสักนิด

ผมกับพี่โพไซดอนถูกกันออกมาจากอาณาจักรสวีตของทั้งสองกลายเป็นส่วนเกินไร้ตัวตน ทำอะไรไม่ได้เลย

“แม่ง ขนลุก” พี่โพไซดอนสบถเบาๆ มองคู่รักไม่แคร์สื่อแล้วลูบต้นขาของตัวเอง แสดงอาการขนลุกขนพอง ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ รับ คู่รักหวานชื่นก็ยังไม่สังเกตเห็น ขนาดผมถูกพี่โพไซดอนคว้าคอเดินแยกออกมายังไม่รู้เรื่อง เดินกันต่อโดยไม่เอะใจกันสักนิด! ผมถูกพี่โพไซดอนหิ้วตัวมาที่ห้องแห่งหนึ่งที่มีลุงวิสมอลยกน้ำชากับเค้กมาเสิร์ฟรอก่อนแล้ว

“ตามสบายเลย” พี่โพไซดอนเผยมือแล้วไหวไหล่ด้วยท่าทางสบายๆ ประดุจห้องนี้เป็นของตัวเองทั้งๆ ที่ตอนเข้ามา ผมเห็นหน้าห้องแปะป้ายผู้อำนวยการเต็มสองตา! ผมพยักหน้านั่งลงบนโซฟานุ่มตรงกันข้ามกับพี่โพไซดอนที่เอนตัวเอนจอยกับน้ำชากลิ่นหอม เขาพยักหน้าเชิญชวนให้ผมลองมั้ง ผมก็เลยลองยกขึ้นมาจิบ อืม กลิ่นชาอ่อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลายได้เหมือนกันแฮะ ระหว่างดูดดื่มกับน้ำชายามเย็นผมก็มองสำรวจไปรอบๆ ลุงวิสมอลนั่งอยู่หน้าแท็บเล็ตอยู่ไม่ไกลนัก ก้มหน้าก้มตาพิมพ์อะไรบางอย่างรวดเร็วจนนิ้วรัวแทบจะมองตามไม่ทัน

“ถามจริงๆ นะ แกเป็นแฟนกับน้องชายของฉันจริงรึเปล่า?”

ห๊ะ!!?

ผมแทบสำลักน้ำชาทางจมูก

“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะครับ?”

พอตั้งสติได้ก็กลั้นใจถามออกไป

ตายล่ะหว่า โดนจับได้แล้วงั้นเหรอ!? ผมไปพลาดตรงไหนกันเนี่ย!? อันที่จริงผมก็อยากจะยืนยันอยู่หรอกว่าผมเป็นแฟนจริงๆ ไม่ได้โกหก แต่มันขัดกับหลักการเป็นบ้า โอ๊ยยย ตั้งแต่แรกที่ทำเรื่องแบบนี้ก็รู้สึกผิดจะตายอยู่แล้ว ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปทุกขณะ อีกอย่างสายตาที่จ้องมองมานั้นมันทำให้ผมลำบากใจพร้อมๆ สะพรึงกลัวที่จะเมโมต่อ ขณะที่ลังเลที่จะให้คำตอบอย่างไรนั้น อีกฝ่ายก็ตอบคำถามที่ผมถามกลับไปด้วยท่าทีไร้ซึ่งการคุมคามใดๆ อย่างที่ผมกลัวและใครบางคนขู่เอาไว้

“เปล่า ฉันคิดว่าเธออาจจะโดนเจ้าน้องบ้านั้นขืนบังคับก็ได้ ยิ่งใบ้ๆ อยู่”

วิเคราะห์น้องตัวเองได้ขาดมากครับ! เขาขืนบังคับผมจริงๆ แถมยังไม่พูดอะไรให้รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด! งงอยู่เหมือนกัน ผมมองพี่โพไซดอนด้วยความแปลกใจล้นหลาม ก้มหน้ามองมือของตัวเอง ผมควรจะบอกความจริงให้เขารู้จะดีกว่าล่ะมั้ง ไอ้การโกหกแบบนี้มันไม่สมกับเป็นผมเลย

ผมขยับปากจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่พูดสักที อีกฝ่ายที่นั่งรอคำตอบก็คิ้วกระตุกเป็นพักๆ สงสัยจะหงุดหงิดที่ผมเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ จะพูดก็ไม่พูด สุดท้ายผมก็โบกธงขาวเล่าหมดเปลือก บอกแล้วว่าพออยู่ต่อหน้าคนๆ นี้ทีไรมันให้ความรู้สึกว่าพูดความจริงไปน่าจะดีกว่า พอเล่าเสร็จผมก็สบายใจขึ้นโข

พี่โพไซดอนกลั้นยิ้มจนหน้าแดงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อผมเล่าจบ ราวกับมันเป็นเรื่องตลกโปกฮา แถมยังชี้ชวนให้ลุงวิสมอลขำเป็นเพื่อนอีกแน่ะ ผมงุนงง อะไรของคนๆ นี้กันเนี่ย!? มันฮาตรงไหนวะ!?

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ขำเหี้ยๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า! โอ๊ยย ถ้าไปเล่าให้ตาแก่ฟังจะเป็นยังไงเนี่ย!? โอ๊ยยย! กูขำไอ้ห่ะดีส ไม่พูดไม่พูดจาลากเข้าถ้ำอย่างเดียว ก๊ากกกก!” พี่โพไซดอนหัวเราะต่อเนื่องหน้าดำหัวแดง มากไปจนสลักน้ำลายไอแค่กๆ แต่ก็ยังหัวเราะต่ออีกรอบ หัวเราะอะไรครับ? ช่วยบอกผมให้เข้าใจหน่อยได้ไหม?

หลังจากหัวเราะจนหมดแม็ก พี่โพไซดอนยวดกรามของตัวเองพลางหันไปถามหาบุหรี่จากลุงวิสมอล พอได้บุหรี่พี่โพไซดอนก็ลุกขึ้นไปยืนสงบสติอารมณ์ ดีหน่อยที่เขายืนห่างออกไป อย่างที่เคยบอกผมแพ้กลิ่นบุหรี่อย่างแรง เขาหันมามองผมแล้วหลุดหัวเราะอีกครั้ง อะไรเนี่ย!? หน้าผมเหมือนตระกูลเชิญยิ้มหรือไง!? น่าขำตรงไหนวะ!? ผมขมวดคิ้วทำหน้าตึงๆ เขาก็พยายามที่จะไม่ขำอยู่นาน ก้มหน้าก้มตาเขย่าใหญ่ เมื่อคำหาสติกลับมาได้อีกครั้งเขาก็หันมาพูดกับผมอย่างจริงจัง

“แกเข้าใจไอ้ดีสมันหน่อยล่ะกัน ที่มันชอบเป็นใบ้แบบนั้นคงจะเป็นความเคยชิน แกรู้ใช่ไหมว่าเจ้านั้นมีความสามารถพิเศษคือใช้คำพูด?” พี่โพไซดอนหันมาถาม ผมก็พยักหน้ารับ มันเกี่ยวอะไรกับอาการไม่ค่อยพูดของพี่เฮดีสกัน?

“ผู้ใช้คำพูดต้องระมัดระวังมากๆ ถ้าได้เริ่มพูดกับใครล่ะก็คำพูดก็จะเริ่มพันธนาการคนๆ นั้นไว้โดยไม่รู้ตัว ลำบากน่าดู จะพูดล้อเล่นก็ไม่ได้ ไอ้คำว่าไปตายซะหรืออะไรที่ส่งผลร้ายจะพูดไม่ได้เลย ต้องคิดก่อนพูดอย่างหนัก ไม่เคยทำตัวสบายๆ กับใครเพราะกลัวว่าถ้าหากเผลอจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปเพราะคำพูดของตัวเอง ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับเพื่อนสมัยเด็กน่ะ จากนั้นหมอนั้นก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไม่พูดไม่คบใจปิดใจตัวเองแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว” พี่โพไซดอนถอนหายใจปากก็เล่าไปเรียบๆ ในขณะที่เดินไปขยี้บุหรี่ในมือกับที่เขี่ยบุหรี่ งั้นเหรอ? เพราะอย่างนี้ก็เลยชอบประหยัดคำพูดหรือไม่พูดเลย พี่โพไซดอนกลับมานั่งตรงกันข้ามกับผมอีกครั้ง

“พอเริ่มเข้าเรียนที่มหาลัยดีขึ้นมาหน่อย ตอนนั้นฉันคิดว่าดีแล้วที่ให้ไปเรียนมหาลัยแทนที่จะเรียนที่บ้านเหมือนเดิม ช่วงนั้นเป็นเฮดีสที่มีชีวิตชีวาจนฉันแปลกใจมาก มันไม่บอกว่ามีเรื่องอะไรดีๆ พวกหวงของไม่ชอบแบ่งปัน แต่ถ้าให้เดาล่ะก็เจ้านั้นคงจะกำลังมีความรักอยู่แน่ๆ เฮอะ ดูถูกพี่ชายเกินไปแล้วไอ้เบื๊อกเอ๊ย จากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้านั้นกลับมาตายซากเหมือนเดิม ไม่สิ แย่ยิ่งกว่าอีก มันบ้าคลั่งเหมือนคนไม่ได้สติ ฉันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องชายถึงจะเป็นจะตายแบบนั้นได้ ผู้หญิงคนนั้นกล้าอกหักน้องของฉันหรือไงกัน? แต่จริงๆ แล้วมันแย่ยิ่งกว่าซะอีก บ้าบอจริงๆ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” เขาเล่าไปพร้อมกับแสดงอารมณ์ตามเรื่องที่กำลังเล่า มีความสุขด้วย โกรธด้วย เศร้าตามไปด้วย มองยังไงผมก็คิดว่าคนๆ นี้รักน้องชายมากๆ จนน่าอิจฉาเลยล่ะ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

พี่โพไซดอนเงียบไม่ตอบ ในห้องจึงมีแต่เสียงสัมผัสแป้นพิมพ์ของลุงวิสมอล เขาเงยหน้ามองมาที่ผมแล้วยิ้มนิดๆ ให้ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสายตานั้นมันเสียใจและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด กับผมเหรอ? ทำไมล่ะ? ไม่น่าจะใช่?

“อย่ารู้เลย มันไม่ใช่เรื่องดีน่าฟังหรอก อีกอย่างมันผ่านไปตั้งสามปีแล้ว ตอนนี้มันกลับไปหาแกก็พอแล้วนี่ ไม่ต้องสนใจอดีตพวกนั้นหรอก”

ยังไงผมก็รู้สึกคาใจ แต่ช่างเถอะ มันเป็นเรื่องคนอื่นถ้าเขาไม่เล่าผมก็ไม่เซ้าซี้ถึงจะอยากรู้ก็เถอะ พี่โพไซดอนหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง เขาหยิบรูปใบหนึ่งออกมาแล้วยื่นมาให้กับผม ผมเอื้อมไปรับรูปนั้นมาดู มันเป็นรูปชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างหน้าตาดีเลยล่ะครับ เป็นชาวต่างชาติซะด้วย แต่...เอ๊ะ หน้าแบบนี้เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนแฮะ ผมขมวดคิ้วพยายามคิดว่าเคยเจอคนในรูปที่ไหนมาก่อน แน่ๆ หน้าคุ้นมากครับ

“นั่นรูปคุณป๋า” คนยื่นรูปมาให้บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา

คุณป๋า? นี่พี่เขาพกรูปพ่อตัวเองในกระเป๋าตังค์ด้วยเหรอ? ดูจะค่อนข้างเป็นลูกแหง่ติดพ่อพอสมควรเลยนะพี่โพไซดอนเนี่ย ผมพยักหน้ารับ สายตายังเพ่งมองที่รูปในมือ จะว่าไปแล้วผู้ชายมีเค้าหน้าเหมือนพี่ซูสกับพี่เฮดีสจริงๆ ด้วย อ้อ มิน่าล่ะถึงได้หน้าคุ้นๆ? ผมดูรูปอย่างนานจนพอใจก็ส่งคืนให้เจ้าของ พี่โพไซดอนเก็บเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วราวกับกลัวจะหาย คุณป๋าหล่อกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก น่าเสียดายที่ท่านเสียไปแล้ว

“คุ้นบ้างไหม?”

“เอ๊ะ ก็คุ้นบ้างครับ เพราะคุณโอเชียนัสหน้าเหมือนพี่ซูสกับพี่เฮดีสมาก”

แต่กลับไม่เหมือนคนตรงหน้าเลย บางทีเขาอาจจะคล้ายไปทางแม่มากกว่า

“ก็เหมือนจริงๆ นั้นแหละ” คนไม่เหมือนพ่อพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ล้วงบางอย่างออกมาจากเสื้อ มันเป็นแหวนที่ร้อยไว้กับสร้อยโซ่เงิน พี่โพไซดอนถอดออกจากคอแล้วยื่นมาให้ผม ผมรับมาพิจารณาด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงให้ผมดูของพวกนี้ด้วย?

“เคยเห็นแหวนแบบนี้บ้างไหม?”

“เอ๊ะ” ผมเงยหน้าจากแหวนมองไปที่คนตรงกันข้ามด้วยความแปลกใจ ผมก้มมองแหวนในมืออีกครั้งและมองมันอย่างละเอียดกว่าตอนแรก ตัวเรือนคล้ายคลื่นน้ำสีเงินมันวาวดันตัวขึ้นเป็นปลาโลมาชูปากดันอัญมณีสีน้ำเงินเข้มรูปทรงหกเหลี่ยมอันโดดเด่น ข้างๆ วงแหวนเป็นรูปตรีศูลอาวุธประจำตัวของเทพโพไซดอนนูนขึ้นมาให้เห็น สลักชื่อเจ้าของแหวนไว้ชัดเจน

ผมส่ายหน้าแล้วยื่นคืน

“มีแหวนแบบเดียวกันนี้อยู่อีกสี่วง คุณป๋าทำให้ลูกแต่ละคนเก็บเอาไว้ อย่างที่เธอเห็นแหวนของฉันไป แหวนที่เหลือจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย แหวนของฉันเป็นไพลิน ของตาแก่เป็นบุษราคัม ของเฮดีสเป็นโกเมน ของแฝดพี่เป็นทับทิม และของอะโฟรไดท์เป็นมรกต”

“ปัญหามันอยู่ที่แหวนของเจ้าดีสมันหายไป ถ้าจำไม่ผิดมันหายไปเมื่อสามปีก่อน ทั้งๆ เจ้านั้นไม่เคยให้ห่างตัวเลยแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นใส่แหวนวงนั้นอีกเลย ถามไปก็เปล่าประโยชน์ มันเสือกใบ้ใส่อย่างเดียว” พี่โพไซดอนเบ้ปากเอ่ยอย่างเอือมเล็กน้อย “ทำเหมือนไม่มีใครรู้ทันมัน ถ้าให้เดาล่ะก็ไอ้บ้านั้นเอาแหวนไปให้คนอื่นแล้วน่ะสิ ฉันจะไม่ว่ามันเลยถ้าแหวนมันไม่สำคัญจริงๆ แต่แหวนวงนี้คุณป๋าตั้งใจให้เป็นแหวนที่พวกเราจะมอบให้คนที่รักจริงๆ แต่มันกลับเอาไปให้ใครก็ไม่รู้ ให้ตายสิ”

“งั้นเหรอครับ?” ผมยิ้มรับนิดๆ ไม่เข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายมาพูดเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ถ้าคิดตามเรื่องที่เขาพูดมาก่อนหน้านั้นล่ะก็แหวนวงนั้นต้องอยู่กับคนที่... พี่เฮดีสรักคนนั้นแน่ๆ เขาให้แหวนวงสำคัญไปก็แสดงว่าคงจะรักคนๆ นั้นล่ะมั้ง ความกระตือรือร้นในตอนแรกของผม มันลดฮวบลงจนแทบจะเป็นเฉยชาต่อเรื่องนี้ไปซะอย่างนั้น

“ฉันเคยบอกให้มันไปเอาคืนมาแต่มันก็ไม่ทำ” พี่โพไซดอนเอ่ยอย่างหงุดหงิด ผมก็เริ่มจะหงุดหงิดตามไปด้วย จะมีอะไร ไม่เอาคืนก็แสดงว่ายังมีเยื่อใยอยู่ยังไงล่ะ! อาการเจ็บจี๊ดที่ใจเกิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ผมเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบเอาซะเลย มันไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย ทำไมผมต้องไปรู้สึกอะไรด้วยล่ะเนี่ย

“ฉันก็พอรู้คำตอบอยู่บ้างแล้วล่ะ”

ผมก็พอจะเดาได้อยู่เหมือนกัน พวกเราต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งพี่โพไซดอนเอ่ยถามขึ้น

“ไอ้หนู แกจะแวะที่ไหนก่อนหรือเปล่า? เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านเอาไหม?”

“เอ่อ ผมต้องกลับไปรับเด็กๆ”

“เรื่องเด็กแฝดคู่นั้นฉันว่าให้มาอยู่กับพวกฉันจะดีกว่า เธอเองก็ต้องไปเรียนคงจะปล่อยให้พวกนั้นอยู่กันเองไม่ได้หรอก ยังไงซะก็ฝากเอาไว้ให้ทางฉันดูแลไปก่อนเถอะ” สิ่งที่เขาพูดมานั้นผมก็กังวลใจอยู่เหมือนกันว่าถ้าฝาแฝดไปอยู่กับผมจริงๆ เวลาไปเรียนผมจะทำยังไง แต่ว่า... มันก็เหมือนปัดความรับผิดชอบยังไงไม่รู้สิ เขาเกลี้ยกล่อมจนผมยอมตกลงรับปากฝากพวกเด็กๆ ให้พวกเขาดูแลไปก่อน ยิ่งอาทิตย์นี้ผมยุ่งกับกิจกรรมทางคณะซะด้วย ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครดูแลพวกเขาหรือเปล่า อยู่ที่นั้นคงจะดีกว่าจริงๆ อีกอย่างรู้สึกว่าไม่อยากจะเจอกับใครบางคนในตอนนี้ด้วย โกรธบ้าอะไรของเขาก็ไม่รู้!

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่นี่ครับ เดี๋ยวผมจะกลับพร้อมกับพวกพี่ยูเลย ไม่ต้องไปส่งก็ได้ครับ” ผมลุกขึ้นแล้วเอ่ยคำลา ล้วงกระเป๋าหามือถือเพื่อโทรหาพี่ชายคนสนิทที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะรู้ตัวหรือยังว่าผมหายไป พี่โพไซดอนพยักหน้าเข้าใจปล่อยผมไปแต่โดยดี ก่อนที่ผมจะเดินออกไปจากห้อง เขาก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้น้องชายบ้าๆ นั้นเดี๋ยวฉันจะอบรมสั่งสอนให้ทำตัวดีๆ เอง แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า”

“ครับ แล้วเจอกัน” ผมยิ้มรับแบบขำๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง

สั่งสอนให้ทำตัวดีๆ? กับพี่เฮดีสเนี่ยนะ!?

ผมหัวเราะออกมานิดๆ แล้วส่ายหน้าไปมากับคำพูดของพี่ชายผู้ตั้งปณิธานจะอบรมสั่งสอน แต่ไม่แน่ ท่าทางคุณน้องชายจะเกรงใจพี่ชายคนนี้อยู่เหมือนกัน เห... หลังเข้าคอร์สอบรมสั่งสอนไปคนเกือบใบ้จะทำตัวดีขึ้นในทางไหนกัน? นึกแล้วผมก็ขำ อยากให้ถึงสุดสัปดาห์หน้าเร็วๆ ขึ้นมาซะแล้วสิ

พี่ยูกับพี่โพมรอผมอยู่ที่รถได้สักพักแล้ว พอผมมาถึงพี่ยูก็บ่นอุบอิบว่าทำให้ตกใจอีกแล้ว จู่ๆ ก็หายตัวไปซะเฉยๆ ผมอยากจะแย้งว่าไม่ได้หายตัวไปเฉยๆ แต่เพราะว่าพี่ไม่รู้สึกตัวมากกว่า ก่อนที่พี่ยูจะได้เทศนายาวพี่โพมก็ออกโรงช่วยผมไม่ให้หูชาได้อย่างสวยงาม พี่โพมยิ้มละมุนแล้วบอก(แกมสั่ง)ให้พี่ยูรีบๆ ขับรถกลับได้แล้วเพราะตอนนี้พี่เขารู้สึกอยากพักเต็มแก่ พอแฟนบ่นพี่ยูก็หยุดแล้วหันไปตั้งอกตั้งใจขับรถกลับทันที ให้ตายสิ! พี่ยูทำไมถึงได้เชื่องกับพี่โพมขนาดนี้กันเนี่ย!? มันช่างอิมโพสซิเบิล! 

หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนใบ้ ไม่มีเด็กแฝด ผมสลัดเรื่องในหัวทั้งหมดออกแล้วเริ่มทำความสะอาดบ้านและจัดการทุกอย่างที่ได้ปล่อยร้างไปหลายวันเนื่องจากไม่อยู่ พอมาอยู่คนเดียวแบบนี้ถึงได้รู้ว่าบ้านมันเงียบเอามากๆ เลย เฮ้อ ที่ผ่านมาก็อยู่คนเดียวมาตลอดแต่ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ หรือว่าที่ผ่านมามันมีแต่เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดทำให้ผมชินกับความวุ่นวายแบบนั้นไปแล้ว? ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมตัวเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม เข้านอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้ผมจะไปดูแปลงที่ไม่ได้ไปดูมาสองสามวันแล้ว

พอถึงเวลาเข้านอนจริงๆ กว่าจะข่มตาให้หลับก็ใช้เวลานานอยู่สองสามชั่วโมง ได้แต่พลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น อะไรกันเนี่ย ทำไมผมถึงหลับยากหลับเย็นแบบนี้กันนะ ผมคิดเรื่องสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ไปเจอคุณแก้วตา เรื่องราวของตระกูลก็อดไลค์เนสและเรื่องที่พี่โพไซดอนเพิ่งพูดไปเมื่อเย็นนี้ พอมาคิดดีๆ แล้วมีบางอย่างคาใจผมอยู่ ยังไงก็ตามพรุ่งนี้ผมจะลองคุยกับเจ้ามอตโตดู เจ้านั้นต้องรู้อะไรอยู่แน่ๆ!? ผมมั่นใจเพราะท่าทางเจ้านั้นเองก็อยากจะพูดกับผมอยู่เหมือนกัน

.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2014 08:47:57 โดย lie-boy »

ออฟไลน์ lie-boy

  • การแก้แค้นที่ดีที่สุด คือ การประสบความสำเร็จให้มากกว่า
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +270/-1
    • poypoy & lieboy
เมื่อคืนผมฝันอีกแล้ว นี่มันอะไรกันแน่? ผมเริ่มจะหลอนตัวเองที่ดันฝันบ้าฝันบอเพ้อเจ้อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พอมาถึงแปลงผมก็เอาแต่เหม่อจนเกือบจะรดน้ำใส่หัวโอเล่ เฮ้อ ก็เพราะไอ้ฝันเมื่อคืนนี้มันเร่าร้อนเล่นเอาผมอารมณ์ค้าง พอตื่นขึ้นมาเจอบางอย่างก็ตกใจสุดชีวิต แหม่ ใครจะว่าผมอารมณ์ทางเพศระดับอนุบาลไม่ได้แล้วนะ เพราะผมพัฒนาจนฝันเปียกได้แล้วด้วย! (ขอขึ้นระดับประถมสักทีเถอะ) แต่จะไปเล่าให้ใครฟังล่ะก็ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ใครจะกล้าไปบอกว่าตัวเองฝันเปียกเพราะผู้ชายกันเล่า!? ผมผิดปกติอะไรหรือเปล่าวะ?

“มีอะไรเปล่าวะ ทำหน้าอย่างกับลืมขี้ตอนเช้า” ซันเซ็ตโผล่มาถามพลางหัวเราะขบขัน ผมเหลือบไปมองเจ้าเพื่อนที่ออกลวดลายกวนโอยแต่เช้า ส่วนไอ้คำพูดท่อนหลังจะทำเป็นไม่สนใจก็แล้วกัน

“มึงเคยฝันเปียกไหม?”

“...ห๊ะ?” ซันเซ็ตดูอึ้งไป มันอ้าปากเหวอ เบิกตากว้าง ปฏิกิริยาอะไรของมึงล่ะนั้น? เห็นยูเอฟโอบินผ่านไปหรือไง!? ซันเซ็ตเอามือปิดหน้าส่งเสียงฮือเหมือนร้องไห้ ก่อนจะเงยหน้าตะโกนไปหาซีเนียร์ที่ยืนเปิดเพลงคลาสสิกให้ผักให้แปลงฟังเหมือนเดิม

“แม่จ๋าาา! ลูกเราถามว่าพ่อจ๋าเคยฝันเปียกไหม!? มาตอบแทนหน่อย กระดากปากเกินที่จะพูดออกไป!”

“นับไม่ถ้วน!” ‘แม่จ๋า’ ทำหน้าเฉยชาแล้วตอบกลับมาอย่างรวดเร็วจน ‘พ่อจ๋า’ ปรบมือรัวๆ ให้อย่างชอบใจ

“แล้วมึงฝันยังไงวะ?” ผมถามต่อทันที ไอ้ซันเซ็ตยิ้มระรื่น หัวเราะลามก

“จะยังไงได้ล่ะ ก็ต้องฝันว่ามีพี่สาวโคตรสวย หมวย เอ๊กซ์ขึ้นขย่มน่ะสิ คิดแล้วมันซี้ด!”

“แล้วมึงเคย...” พอถึงประโยคนี้ผมก็ชะงัก เงียบไม่พูดอะไรต่อ ไอ้ซันเซ็ตเลิกคิ้วแล้วถาม

“เคยอะไร?”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมส่ายหน้าแล้วหันไปรดน้ำแปลงต่อ พอเห็นผมเลิกถามมันก็ยักไหล่แล้วเดินไปทักทายแปลงอื่นๆ

ถ้าผมถามว่าเคยฝันถึงผู้ชายหรือเปล่า? ไอ้ซันเซ็ตจะเตะก้านคอผมไหมวะ? พอคิดได้ว่าผู้ชายปกติที่ไหนมันจะฝันถึงผู้ชายแบบนั้นกันล่ะ ผมก็หยุดคำถามไว้ทันที แย่แล้ว! ไอ้ที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมก็ไม่ปกติน่ะสิ! แถมอีกฝ่ายยังเป็นคนที่ผมแทบจะยกขึ้นหิ้งไม่กล้าแตะต้องซะอีก ถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่ะก็ชะตาผมขาดสะบั้นแน่ๆ โทษฐานอุตริคิดลามกกับพี่ท่าน แค่พูดผมก็หนาวยะเยือกแล้วเนี่ย!

หลังจากเลิกเรียนพวกเราทำการซ้อมละครเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากคาบกิจกรรมอาทิตย์นี้เหล่าเฟรชชี่ต้องโชว์การแสดงของสาขาเพื่อให้เหล่าผู้แข่งขันเก็บคะแนน และไปตัดสินในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าป่าและนางไม้คนต่อไป วันนี้พวกเราจึงมาซ้อมจริงบนเวทีจริงกันครับ รุ่นพี่แบ่งเวลาซ้อมให้สาขาละชั่วโมง หลังจากที่พวกเราซ้อมเสร็จผมก็มองหาเป้าหมายที่ล็อกไว้ตั้งแต่เช้า ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับมันเลย ผมหันไปถามโอเล่

“มอตโตล่ะ?”

“เห็นมันบอกว่าจะไปเก็บอะไรสักอย่างที่ห้องสาขาน่ะ”

“อืม ขอบใจ” ผมตบไหล่ของหนุ่มตัวเล็กแล้วเดินผละออกไปตามหาหนุ่มแว่นมอตโตทันที ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องสาขาที่ไม่ค่อยมีคนเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว แถมเด็กปีหนึ่งที่อยู่ก็ตั้งอกตั้งใจซ้อมการแสดงกันอยู่ มอตโตกำลังเก็บดาบไม้และก้มนับจำนวนอยู่ ผมเดินเข้าไปมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าเหมือนไม่แปลกใจที่เห็นผมเลยสักนิด พอได้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากเจ้าโย่งแว่นที่สาวๆ บอกว่าเท่ฉิบหาย ผมก็เกริ่นประเด็นขึ้นมาก่อน

“กูอยากจะถามอะไรมึงหน่อย”

“เรื่องเกี่ยวกับเฮดีสใช่ไหม?” มอตโตถามย้อนกลับด้วยสีหน้าเรียบๆ เป็นผมซะอีกที่ตกใจ เอาตรงๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ? โอเค! มึงตรงมากูก็ต้องตรงๆ ด้วยเหมือนกัน ผมพยักหน้ารับ

“มึงรู้จักพี่เขาเหรอ?”

“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พ่อของฉันเป็นพี่ชายของแม่เจ้านั้นแล้วพี่โพมก็สนิทกับพี่ชายเจ้านั้นด้วย สรุปก็รู้จักมาตั้งแต่เด็กล่ะนะ” มอตโตตอบพลางหยิบดาบไม้ขึ้นมาพิจารณา น้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ มันเรียบๆ ปกติ พ่อของมอตโตเป็นพี่ชายของแม่พี่เฮดีส? อ้อ มิน่ามันถึงได้นามสกุลเหมือนกับคุณแม่ของพี่เฮดีส รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กด้วยเนี่ยคาดไม่ถึงเลยแฮะ

“งั้นก็รู้จักดีเลยน่ะสิ” ผมเอ่ยออกไปพร้อมยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี มอตโตเหลือบมามองด้วยสายตาเยือกเย็นซึ่งทำให้ยิ้มของผมเป็นหมันทันที ผมยืดหลังตรง บรรยากาศจอึดอัดขึ้นมาทันควัน ผมกรอกตาไปมาแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“อะไรเหรอ?”

“กูไม่รู้ว่ามึงไปรู้จักมันได้ยังไง แต่อยากเตือนให้อยู่ห่างจากมันไว้จะดีกว่า ไม่ต้องเจอมันได้ยิ่งดี” มอตโตพูดด้วยท่าทางจริงจัง น้ำเสียงมีความเกลียดชังแฝงไว้เต็มเปี่ยมจนผมยังต้องแปลกใจ ผมเงียบไม่ตอบรับใดๆ เพราะยังไม่รู้เลยว่าทำไมมอตโตถึงกล่าวหาพี่เฮดีสแบบนั้น จากที่ผมรู้จักมาถึงจะไม่นานแต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นนี่น่า

“ทำไมมึงพูดแบบนั้นล่ะ?”

“เจ้าหมอนั้นเป็นตัวซวยที่ดูดความโชคดีของคนอื่น เป็นกาฝากที่น่ารังเกียจจริงๆ” มอตโตถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยท่าทางดูแคลน พอเห็นผมทำหน้างงๆ มันก็อธิบายเพิ่ม “ถ้ามันพูดกับมึงตอนนั้นก็เหมือนกดปุ่มระเบิดถอยหลัง ไม่เกินสามวันความซวยจะเกิดขึ้นกับมึง อย่างเช่น หกล้มทั้งที่ไม่น่าล้ม สะดุดตกบันได วันที่สี่ความซวยยิ่งหนักขึ้นอาจจะถึงขั้นมีรถมาเฉียว กระถางตกใส่หัวจนแตก ถ้ายังมีปฏิสัมพันธ์กับมันต่ออีก วันที่ห้ามึงจะเริ่มวิงเวียนหัว ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ วันที่หกมึงจะเริ่มอ้วกกินอะไรไม่ลง วันที่เจ็ดมึงจะหยุดลมหายใจทันที”

“ละ...ล้อเล่นน่า!” ผมอุทานอย่างตกใจ มอตโตเงียบไม่ตอบใด จริงเหรอ!? ไม่อยากจะเชื่อเลย เอ๊ะ? ซวยงั้นเหรอ? เดี๋ยวนะ จะบอกว่าที่ตอนนั้นผมทำอะไรก็ซวยไปซะทุกอย่าง เดินก็หกล้ม ป้ายร้านเกือบตกใส่หัว แถมยังหวิดโดนรถชน นี่จะบอกว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะ...พี่เฮดีสงั้นเหรอ?

ไม่จริงหรอกน่า!

“จริงแท้แน่นอนล่ะไอ้รัญเอ๊ย ตอนเด็กๆ เจ้าพวกนั้นจะทดสอบเรื่องนี้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า? แต่จะทดลองกับคนก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” มอตโตหันมาถาม ผมก็พยักหน้า แหงล่ะ ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงมันก็โหดร้ายกับคนๆ นั้นเกินไป “ดังนั้นพวกเขาก็เลยใช้สัตว์ทดลองยังไงล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว นก กระต่าย หนู พอถึงเจ็ดวันก็มีอันเป็นไปทุกตัว มึงรู้อะไรไหม? หมอนั้นไม่ได้ไปเรียนในโรงเรียนแบบปกติ มันต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านเปลี่ยนตัวทุกสองวัน...” มอตโตเล่าอย่างเมามันคล้ายจะระบายในใจที่อัดแน่นของเขา

เสียงของมอตโตค่อยๆ เงียบลงเมื่อผมเริ่มคิดกับตัวเอง จะว่าไปแล้วตอนไปตลาดกลางคืน ผมถามว่าเขาสนใจอยากเลี้ยงสุนัขหรือเปล่า? เขาก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเดาไม่ออกว่าเดี๋ยวจะทำให้มันตายซะเปล่าๆ ทีแท้ไม่ใช่เพราะไม่สนใจมันหรืออะไรทั้งสิ้น แต่หมายถึงแบบนี้เองงั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่เขาดูชอบขนาดนั้นแท้ๆ! แล้วยังไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนคนทั่วไปอีก แบบนี้เขาก็ไม่มีเพื่อนเลยน่ะสิ ต้องอยู่แต่ที่บ้าน แถมจะคบกับใครก็ไม่นาน จะพูดกับใครก็ต้องระวังอยู่ตลอด แบบนี้มันลำบากมากไม่ใช่เหรอ!?

“แค่นี้มันก็ไม่ถึงกับต้องให้เลิกคบ...” ผมพยายามจะพูดแทนให้ใครอีกคน แต่มอตโตไม่คิดจะฟังเลยสักนิด มันพูดสวนกลับมาทันควัน

“มึงรู้ไหม มันเคยฆ่าคนมาแล้วนะ”

“ห๊ะ? มึงเอาอะไรมาพูด”

“เอาความจริงมาพูด เพราะฉะนั้นมึงอยู่ห่างมันได้มากเท่าไรยิ่งดี อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเลยจะดีกว่า กูเตือนมึงได้แค่นี้ เห็นมึงเป็นเพื่อนกูนะถึงได้เตือนด้วยความหวังดี”

ผมนิ่งงันไป ให้ตายผมก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก พี่เฮดีสน่ะเหรอจะฆ่าคนได้ ถึงเขาจะมีเรื่องบ่อยแต่ก็ไม่ทำขนาดเสียชีวิตหรอกน่า ผมเงยหน้ามองมอตโตที่จ้องมา สายตาจริงจังมากทำให้ผมไม่คิดว่าเขาโกหก มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ไม่มีทางที่ใครจะฆ่าใครได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมเขาถึงไม่ติดคุกล่ะ?”

“เจ้าบ้า! มึงคิดว่าครอบครัวมันจะให้ติดคุกหรือไง? ครอบครัวมันน่ะมีเงินเป็นภูเขา แค่ยัดเศษเงินให้เรื่องก็จบแล้ว”

“มึงกล่าวหาคนอื่นโดยไม่มีมูลความจริงอยู่นะมอตโต!” ผมเริ่มไม่พอใจที่เพื่อนพูดราวกับอีกฝ่ายนั้นไม่มีอะไรดีเลย มอตโตทำเสียงฮึในลำคอแล้วเหยียดยิ้ม

“ถ้ามึงไม่เชื่อลองไปถามดู เมื่อสามปีก่อนมีคนตายพร้อมกันหกคน มันเกิดขึ้นใกล้ๆ บ้านมึงนั้นแหละ ไปถามว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ตายเพราะอะไร ตายยังไง มึงลองไปถามดูแล้วคิดเอาเองว่ามันจะเชื่อกูหรือเปล่า!?” มอตโตทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมจมอยู่ในความคิดที่สับสน ไม่จริงน่า เรื่องมันเกิดขึ้นแถวบ้านของผมเองเหรอ? แล้วทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ? เอ๊ะ? สามปีก่อนเหรอ? จะว่าไปความทรงจำในช่วงสามปีก่อนของผมมันก็เลือนรางจำอะไรไม่ค่อยได้ด้วยสิ

“เฮ้ย”

เฮือก! ผมสะดุ้งตกใจกับฝ่ามือที่มาวางบนไหล่ พอเงยหน้ากลับไปมองเห็นโอเล่ขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ

“เป็นอะไรวะ หน้าซีดเชียวมึง”

“ไม่ ไม่มีอะไร? มึงมีอะไรหรือเปล่า?” ผมนิ่งไปอึดใจเดียว ก่อนจะแปลงเป็นรอยยิ้ม ส่ายหน้าปฏิเสธ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยหรือเป็นห่วง โอเล่พยักหน้าแล้วปล่อยมือจากไหล่ของผม

“มาชวนมึงไปหาอะไรกิน ไปปะ?”

“ไปๆ”







หนาว! อยากจะกินอะไรอุ่นๆ จริงๆ นะ

Character in this chapter





แล้วเจอกันตอนหน้าฮับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2014 12:41:27 โดย lie-boy »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
สงสารเฮดีสขึ้นมาเลย

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
เฮดีสไม่ออกฉากเลยอะ

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ตอนนี้สงสารเฮดีสอ่ะ แต่สงสัยเรื่องเมื่อสามปีก่อนมากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
รัญการได้รับรู้ในสิ่งที่เราอยากรู้ก็ไม่ทำให้ใจเราถูกเติมเต็มได้หรอกนะ มันกลับยิ่งเพิ่มปมให้เราไปหาความจริงมากขึ้น ปล.เฮียดิสค่าตัวแพงนะเนี่ยไม่มีบทเลย

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ซับซ้อนๆ :m29:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เรื่องสามปีก่อนเป็นยังไงกันแน่นะ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
อยากรู้เมื่อครั้งอดีต จุง คงกำลังค่อยๆเปิดเผยสินะคะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
พี่เฮดีสไม่มาเพราะยังไม่หายงอนเลย อิอิ

เรื่องเมื่อสามปีก่อนต้องเกี่ยวกับตอนที่รัญฝันแน่ๆเลย

ที่โดนพี่เฮดีสทำร้ายน่ะ เอาเถอะยังไงเราก็เชื่อว่าความลับกับลังจะถูกเปิกเผย

แต่ตอนนี้ทำไมเราไม่ค่อยชอบมอตโตเลยแฮะ


รอตอนต่อไปจ้า :mew1:

ออฟไลน์ Chk~a

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 618
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
สามปีก่อนเกินไรขึ้นนน น

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
เดาว่า 6 คนนั้นพยายามจะทำมิดีมิร้ายกับเนเน่

พี่เฮดีสเลยของขึ้นจัดการเลย

แล้วคงกลัวว่าเนเน่จะซวยเพราะตัวเองรึเปล่า?

เลยยลยความจำแล้วชิ่งมาซะ :hao5:

ออฟไลน์ killerofcao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แล้วเนรัญอยู่ใกล้ดีสมากี่วันแล้วเนี้ยะ ไม่เห็นมีอาการอย่างที่ว่าเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ปริศนา สามปีที่แล้วเริ่มกระจ่าง  ไม่รู้ว่าเนเน่ฝัน :jul1: เปียกจริงหรือเพราะเป็นความทรงจำจริงๆกันแน่ ถ้าใช่ล่ะก็พี่เฮดีสโคตรหื่นเลย 55+

ออฟไลน์ owlkapam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :hao7: :hao7: :hao7: ย๊ากกกกกกก  มาแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ค้างอ่ะ...เฮดิสไม่โผล่เลยยยยย..ทำไมตอนนี้ดูหน่วงๆๆๆยังไงไม่รู้ อิอิ

.ปมเริ่มคลายทีละนิดละน้อย

สนุกมากค่ะ :-[ :-[ :-[ :-[

รอๆๆๆๆๆมาต่อเร็วๆน๊าาาาา :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
เรื่องมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
กีสสส
ทำไมมันถึงได้ซับซ้อนขึ้นทุกทีๆล่ะเนี่ยยย
เฮดีสดูมีปมเยอะชะมัดเลยให้ตายสิน่าา

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
3 ปีก่อน อืมๆ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเนเน่สักอย่างแน่ๆ
6 คนที่ตายนั้นอาจเป็นต้นเหตุพี่เฮีดีสเลยจัดการสินะ  อืมๆคิดไปนั้น ฮ่าๆ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
พี่โพมน่าร้ากกกก   อ่านะ มีเรื่องในอดีตด้วยอ่า
แต่อย่างว่าล่ะนะมันก็ยังเป็นปมอยู่ ถ้าฆ่าคนจริงๆ ต้องมีเหตุผลที่ฆ่าดิ :hao4:
(เข้าข้างกันสุดๆ) ชอบๆตระกูลนี้ น่ารักทู๊กกกกคน :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อยากรู้อ่ะสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
รู้ผลของคำพูด แล้วรู้เจตนาของคนพูดรึเปล่าล่ะมอตโต



 :กอด1:

ออฟไลน์ KilGharRah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +169/-0
สงสารพี่ดีสจัง คือยังไงล่ะ ไม่ได้อยากเป็นคนเย็นชาแบบนนี้ แต่ก็อยู่ใกล้คนอื่นไม่ได้
เรื่องสามปีก่อนต้องเกี่ยวกับบ้านเนรัญแน่ๆเลย หวังว่าเนรัญจะเข้าใจพี่ดีสนะ ภาวนาๆ :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด