สุดขั้ว 31รอบตัวผมมีแต่ความมืด มืดไปหมด หันไปทางไหนก็มืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ผมชะงักเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสตัว เอ๊ะ ทำไมตัวของผมถึงเปลือยเปล่าล่อนจ้อนแบบนี้ล่ะ ผมปัดสิ่งนั้นออกไปจากตัวแต่ทว่ามันกลับมีมากจนปัดยังไงก็ไม่หมดสักที ผมเริ่มขยะแขยงเมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่ลูบไล้ตามตัวของผมนั้นเป็นมือจำนวนมากมาย ผมร้องอุทานเมื่อจู่ๆ พื้นที่ตัวเองยืนอยู่ทรุดลงเป็นหลุมขนาดใหญ่
ผมตกลงมากระแทกพื้นจนจุก พอเงยหน้าก็เห็นด้านหลังของร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยเรียกเขาคนนั้น
“พี่เฮดีส!”
ร่างสูงหันมาตามเสียงที่ผมเรียก ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ผมก็รู้สึกยินดี ก่อนจะชะงักมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่สีดำนี่ ผมกะพริบอย่างแปลกใจ เงยหน้ามองเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวน่าเกลียด ดวงตาสีดำที่มีแววแดงวูบผ่านขึงตาใส่ผมแล้วตวาดเสียงดังลั่น
“ทำไม! ไม่ว่าใครก็เรียกหาแต่มัน! มันมีดีอะไรนัก!”
ผมผวาถอยหลังอย่างตกใจ ครางชื่อที่กลายเป็นบาดแผลฝังลึกอย่างหวาดกลัว
‘ไนซ์’!
จู่ๆ รอบกายของไนซ์ก็มีชายทั้งหกคนปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย ผมหน้าซีด หมุนตัววิ่งหนีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมวิ่งเต็มเรี่ยวแรงไปเรื่อยๆ วิ่งจนเหนื่อยหอบก็ไม่ยอมหยุด กลัวว่าถ้าหยุดเมื่อไรจะถูกจับตัวได้ทันที ด้านหลังของผมมีเสียงหัวเราะมีความสุขของไนซ์ดังตามมาติดๆ ผมกัดฟันวิ่งเอาเป็นเอาตายก่อนที่ขาจะอ่อนแรงพันกันจนสะดุดหกล้ม ผมตกใจหวีดร้องเมื่อถูกคว้าหมับที่ข้อเท้าและถูกกระชากดึงกลับไป
“ม่ายยยยย!” ผมกรีดร้องโหยหวน
ความหวาดกลัวแสดงออกมาทั้งทางหน้าและเสียง ร่างกายชาวาบ แข็งทื่อ ความสิ้นหวังโอบล้อมร่างกายของตัวเอาไว้ เสื้อผ้าของผมถูกกระชากทึ้งอย่างหยาบกระด้าง พวกมันจ้องผมด้วยแววตากระเหี้ยนกระหือรือจนผมขนลุกซู่ หัวใจเต้นแรง เหงื่อไหลพราก
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจนจบแล้วก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมทำได้แต่เพียงนอนหลั่งน้ำตา กัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด อัปยศในครั้งนี้ผมอยากจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปซะ แต่ความตายนั้นก็น่ากลัวไม่แพ้กัน ไม่รู้เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดหรือไม่ ผมถึงไม่สามารถฆ่าตัวตาย ได้แต่ร้องไห้กรีดร้องโทษตัวเองซ้ำๆ อยู่เป็นหมื่นๆ ครั้ง ผมหลับตาทอดทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะตายๆ ไปย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน
“เธอคิดว่าอย่างนั้นดีจริงๆ งั้นเหรอ?”ผมลืมตาพรึบ ขยับศีรษะเบิกตามองไปตรงหน้า ในความมืดมิดวังเวงไร้สิ้นความหวังกลับมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยืนทอดมองผมด้วยแววตาสงบนิ่ง ใบหน้าของเธอช่างดูคุ้นเคยและให้ความรู้สึกอ่อนโยนจนผมคิดถึงแม่ที่จากไป หรือว่าคนตรงหน้าจะเป็นแม่ของผม นี่แม่กำลังจะมารับผมไปอยู่ด้วยแล้วใช่ไหม ผมจ้องมองเธออย่างเลื่อนลอย ในดวงตาฉายความยินดีที่ปิดไม่มิด
“การตายมันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่การอยู่ต่อไปสิเป็นเรื่องที่ยากเย็น เอาเถอะ ฉันก็แค่ผ่านมาไม่ได้ต้องการขัดขวางการตายของใคร แต่ก่อนที่เธอจะตายฉันขอเล่านิทานให้เธอฟังสักเรื่องสองเรื่องได้หรือเปล่า?”
ผมขมวดคิ้ว จ้องมองหญิงสาวคนนั้นอย่างขุ่นเคือง นี่เธอคิดจะมาเล่าเรื่องอะไรตอนนี้กัน! ผมกำลังจะตายคงมีอารมณ์ฟังนิทานหรอก หญิงสาวคนนั้นไม่สนใจสายตาต่อว่าของผมเลย เธอเริ่มเล่าอย่างรวดเร็ว
“มีหนุ่มเลี้ยงวัวอยู่คนหนึ่ง เขามีวัวด้วยกันทั้งสิ้นสิบตัว หนุ่มเลี้ยงวัวเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูวัวของเขาอย่างยากลำบาก คอยป้อนหญ้าให้น้ำอย่างระมัดระวัง ป้องกันสัตว์ป่าที่จ้องจะขโมยวัวของเขาไปเป็นอาหาร เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้นำพวกวัวไปขายเอาเงินหรือเอาไว้ไถนาทำข้าวกิน ให้ผ่านพ้นฤดูแห่งความยากแค้นไปให้ได้”
ผมเริ่มหงุดหงิด ทำไมต้องมาฟังนิทานอะไรนี่ด้วยกัน! ผมอยากจะตายๆ ไปอย่างสงบ ไม่ต้องทนทรมานต่อความอัปยศนี้อีกต่อไป แล้วทำไมต้องมาฟังผู้หญิงคนนี้พร่ำด้วย ผมหายใจแรงอย่างโมโห แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สนใจผมยังคงเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบนุ่มนวล
“กระทั่งวันหนึ่งหนุ่มเลี้ยงวัวดูแลวัวของตัวเองอย่างดีแล้วเข้าบ้านเพื่อพักผ่อน ตกดึกหนุ่มเลี้ยงวัวก็นอนหลับสนิท ทันใดนั้นก็มีหัวขโมยเข้ามาต้อนวัวของหนุ่มเลี้ยงวัวไปจนหมดคอก เช้าวันรุ่งขึ้นหนุ่มเลี้ยงวัวตื่นนอนรีบออกจากบ้านเพื่อมาให้อาหารแก่วัวของเขา ทว่าวัวของเขากลับไม่มีเหลือสักตัว”
“หนุ่มเลี้ยงวัวตกใจช็อก เขาร้องไห้ฟูมฟาย สิ้นหวัง เฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเขาเอง ปีนี้เขาและครอบครัวไม่มีเงินหรือข้าวประทังชีวิตให้รอดพ้นจากฤดูอันโหดร้ายไปอย่างแน่นอน ด้วยความสิ้นหวังต่อทุกอย่างไม่นานหนุ่มเลี้ยงวัวก็กัดลิ้นฆ่าตัวตายไปอย่างน่าสังเวช พอครอบครัวของชายเลี้ยงวัวมาพบศพ พวกเขาต่างเศร้าโศกเสียใจและฆ่าตัวตายตามชายเลี้ยงวัว ถามเธอว่าหากเธอเป็นหนุ่มเลี้ยงวัวจะทำอย่างไรเมื่อวัวของเธอถูกขโมยไปเช่นนั้น จะฆ่าตัวตายเหมือนชายเลี้ยงวัวหรือไม่ คนในครอบครัวของชายเลี้ยงวัวตายเพราะใครเป็นสาเหตุ ในเรื่องนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนผิด”
ผมนอนนิ่งไป น้ำเสียงที่ถามนั้นราบนิ่งเหมือนว่าเธอถามเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่สลักสำคัญอะไรเลย แต่คำถามพวกนั้นทำให้ผมสะอึกอึ้ง เมื่อลองคิดดีๆ แล้วผมถึงกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง
ถ้าผมเป็นชายเลี้ยงวัวแค่วัวหาย ก็ต้องไปแจ้งจับหัวขโมยที่ขโมยวัวไป จากนั้นก็หาวัวมาเลี้ยงใหม่ ไม่มีคนสติดีที่ไหนจะฆ่าตัวตายเพราะอีแค่วัวหายอยู่แล้ว! แถมไอ้โง่เลี้ยงวัวนั้นก็เป็นต้นเหตุทำให้คนในครอบครัวเสียใจจนต้องฆ่าตัวตายอีก ทั้งๆ ที่คนทำผิดเป็นหัวขโมยลักวัวคนนั้นต่างหาก!
“นิทานเรื่องที่สอง คือ หนุ่มเลี้ยงม้า...” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยเล่าต่อ ไม่มีท่าทางจะใส่ใจกับเสียงสะอื้นฮักของผม
เนื้อเรื่องดำเนินไปเหมือนกับเรื่องหนุ่มเลี้ยงวัว แต่ว่าในตอนจบนั้นหนุ่มเลี้ยงม้าร้องไห้เสียใจไปสักพัก เขาก็ตั้งสติ และหาวิธีทางแก้ไขไปพร้อมๆ กับคนในครอบครัว จนพวกเขาสามารถจับเจ้าหัวขโมยที่ลักม้าไปได้ แม้จะไม่ได้ม้าคืนแต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ช่วยกันหาหนทางมีชีวิตรอดจากฤดูอันโหดร้าย จับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ และเมื่อปีใหม่มาเยือนพวกเขาก็หาม้าตัวใหม่มาเลี้ยงและคิดหาวิธีป้องกันขโมย หลังจากนั้นครอบครัวของหนุ่มเลี้ยงม้าก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข
“...เด็กน้อย เธออยากเป็นแบบหนุ่มเลี้ยงวัวหรือหนุ่มเลี้ยงม้ากันล่ะ?” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ผมเม้มปากแน่นพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจเรื่องที่เธอเล่ามาให้ฟัง หญิงสาวแย้มยิ้มทำให้ใบหน้าสะสวยของเธออ่อนโยนเหมือนมารดา เธอเอ่ยประโยคทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
“ถ้าไม่อยากให้คนที่เธอรักเป็นเหมือนครอบครัวคนเลี้ยงวัวก็ควรตื่นได้แล้ว”
หลังจากที่หญิงสาวปริศนาคนนั้นเดินจากไป ผมก็หลับตาตั้งสติ คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ และนิทานทั้งสองเรื่องที่เพิ่งฟังจบไป นิทานที่มีเนื้อเรื่องเรียบๆ แต่มีความหมายลึกล้ำให้ชวนครุ่นคิดตาม ใบหน้าของผมสงบลงจนนิ่ง ลมหายใจของผมค่อยๆ ผ่อนลงสม่ำเสมอเช่นคนปกติ...
---
“รัญ! รัญ! ตื่นสิ! ตื่น!” ผมรู้สึกว่าตัวถูกเขย่าอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงทุ้มต่ำที่หล่อเข้มกระชากใจของใครบางคนตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ ผมครางในลำคอ ถูกเขย่าจนมึนหัวไปหมด ลืมตาตื่นอย่างไม่เต็มใจนัก สงสัยเพราะอดหลับอดนอนมาหลายวัน พอได้นอนหลับกลับไม่ยอมตื่นง่ายๆ ว่าแต่ใครกลับมาปลุกผมตอนนี้นะ ผมปรือตามอง ใบหน้าพร่ามัวค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ ปรากฏเป็นใบหน้าหล่อเหลางดงามดวงหนึ่ง ผมคลี่ยิ้มพร้อมกับกะพริบตามองคนตรงหน้า
มือใหญ่ที่อุ่นจัดลูบไล้ตามใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน หือ? นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?
“พี่มาได้ยังไงนะ?” ผมเอ่ยถามงุนงง เอ๊ะ ทำไมเสียงของผมมันถึงได้แหบแห้งอย่างนี้กันนะ ผมพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับอ่อนแรงจนน่าแปลกใจ ทำไมรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้กันล่ะ
“พระเจ้าช่วย ในที่สุดก็ตื่นสักที!” เสียงของใครอีกคนดังลั่นอย่างดีใจ
ผมเลิกคิ้วงุนงง ทำไมเสียงนั้นคล้ายกับเป็นเสียงของซันเซ็ตเพื่อนของผมเลยนะ พี่เฮดีสยังคงสีหน้าเรียบนิ่งแต่ดูก็รู้ว่าเขาโล่งอกแค่ไหนที่เห็นผมตื่นขึ้นมา ผมอยากจะลุกแต่ไม่มีปัญญาจะลุกด้วยกำลังของตัวเอง พี่เฮดีสรู้ใจขยับตัวพยุงผมลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง พอนั่งได้ที่ผมก็เงยหน้าไปมองคนอื่นๆ ที่ยืนห้อมล้อมรอบเตียง
หือ นี่มันอะไรกันน่ะ ทำไมถึงได้มีคนอยู่ในห้องนอนของผมเต็มไปหมดแบบนี้ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจสถานการณ์สักนิด ซีเนียร์ก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
ผมหลับไปนานมาก หลับไปนานถึงห้าวันเต็มๆ! ได้ยินผมยังตกใจ อะไรจะขี้เซาขนาดนั้น!? ตอนแรกผมก็ไม่อยากเชื่อ ผมแค่ฝันแป๊บเดียวไม่น่าจะนานถึงห้าวันเลยนี่น่า แต่เพราะทุกคนช่วยกันพยักหน้ายืนยันจนเอ็นคอแทบจะพลิก นั่นแหละผมถึงยอมเชื่อ
โอเล่เล่าต่อว่าวันแรกที่ผมหลับไป พวกเขาสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไปเรียน คาดเดาว่าว่าผมไม่สบายก็เลยมาเยี่ยมที่บ้าน แต่เคาะประตูบ้านเท่าไรก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ ระหว่างที่เป็นห่วงกลัวจะเกิดเหตุร้ายขึ้น มอตโตก็บอกว่าผมไม่ได้อยู่บ้าน และพาพวกเขาไปที่ๆ แห่งหนึ่ง
ผมชะงัก
เอ๊ะ ไม่ได้อยู่บ้านงั้นเหรอ? แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหนกันล่ะ? อาจจะเพราะเพิ่งตื่นผมถึงยังไม่ได้สังเกตรอบตัว พอคราวนี้มองไปรอบๆ ก็เอะใจทันที นั่นน่ะสิ ผมไม่ได้อยู่บ้านของตัวเองจริงๆ ด้วย! ห้องนี้กว้างขวางและหรูหราว่าห้องนอนบ้านผมตั้งเยอะ ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน มองหน้าเพื่อนๆ ที่เหล่ตามองไปจุดเดียว ซึ่งนั่นก็คือ พี่เฮดีส ผมหันไปมองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ส่งสายตาเป็นคำถาม
“บ้านฉันเอง” คนที่เงียบที่สุดก็ยอมเอ่ยปาก
ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านของพี่เฮดีสได้ล่ะ พอเงยหน้ามองคนอื่นๆ ปรากฏว่าใบหน้าพวกเขาก็มีคำถามตัวเบ้อเร่อติดอยู่เช่นเดียวกัน แสดงว่าไม่รู้เหมือนกับผมสินะ พี่เฮดีสพยักหน้าเล็กน้อยมองไปที่มอตโตซึ่งยืนนิ่งเงียบมานานแล้วเช่นกัน หนุ่มแว่นเปรยสายตามามองคนส่งสายตาให้อย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย เขาขยับตัวเป็นคนเอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจนัก
“ฉันรู้มาจากลินเช่ย์ หลังจากที่นายนอนหลับไปตามปกติ แต่ทว่าตอนเช้ากลับไม่ตื่นจนไปถึงเที่ยงนายก็ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา ลินเช่ย์ที่เฝ้านายก็รีบไปบอก...” มอตโตทำหน้าบึ้ง หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไปบอกเฮดีส เขารีบมาหานายแต่ปลุกยังไงนายก็ไม่ตื่นสักที เขาก็เลยพานายมาที่บ้านตัวเอง พอถึงตอนเย็นพวกเราไปหานายที่บ้าน ปรากฏว่านายไม่อยู่บ้าน โทรเข้ามือถือก็ไม่รับ เจ้าพวกนี้ร้อนใจจะแจ้งตำรวจ และตอนนั้นเองลินเช่ย์ก็มาบอกกับฉันว่านายอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลก็อดไลค์เนส ไม่มีอะไรต้องกังวล ฉันก็เลยบอกคนที่เหลือแล้วก็พากันมาที่นี้” มอตโตเล่าจบก็ยักไหล่ ทำนองว่าส่วนของตัวเองเล่าจบแล้ว เชิญคนต่อไปเล่าต่อได้
อ้อ ตอนนี้ผมอยู่ที่คฤหาสน์ของครอบครัวพี่เฮดีส ว่าแต่ผมจับจุดแปลกได้สองจุดจากคำบอกเล่าของมอตโตล่ะ หนึ่ง มอตโตเห็นลินเช่ย์ด้วยงั้นเหรอ!? สอง ลินเช่ย์เฝ้าผมงั้นเหรอ!? นี่ตลอดมาลินเช่ย์เฝ้าดูผมมาตลอดอย่างที่พี่พอลเคยพูดไว้จริงๆ สินะ! ผมขนลุกซู่ทันทีเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองตกอยู่ในสายตาของผีสาวขาวซีดตนนั้นมาตลอด
“ลินเช่ย์? ลินเช่ย์ไหนอะ?” ซันเซ็ตหันขวับไปมองหนุ่มแว่นตัวสูงที่ตั้งแต่เล่าส่วนตัวเองจบก็ปลีกตัวเป็นคนนอกทันที มอตโตเหลือบสายตาไปมองพื้นที่ข้างๆ ซีเนียร์แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผมมองตามไปแล้วตกใจอุทานเสียงหลง ซีเนียร์ตกใจตาม หันเลิ่กลั่ก ลูบแขนส่งเสียงต่อว่าผม
“ตกใจอะไรกันเล่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย!”
ผมอ้าปากจะตอบแต่ก็รีบหุบ ใช่สิ ถึงผมจะบอกไปแต่พวกซีเนียร์ไม่เห็นนี่ แล้วถ้าผมบอกไปพวกมันคงจะไม่เชื่ออยู่ดี ข้างๆ ซีเนียร์มีเทพธิดาสาวขาวซีดยืนส่งยิ้มกว้างส่งมาให้กับผม ผมพยักหน้าก้มหน้ายิ้ม กลัวว่าถ้ายิ้มตอบกลับอย่างโจ่งแจ้ง คนอื่นๆ จะสงสัยว่าผมตื่นขึ้นมาแล้วเป็นบ้า
ผมรู้ว่าเธอดีใจที่ผมตื่นขึ้นมา นอกเหนือจากนั้นแววตาของเธอเหมือนจะกังวลอะไรบางอย่าง ซึ่งผมรู้ว่าเธอกำลังกังวลเกี่ยวกับอะไรอยู่ ผมอ้าปากพูดบางอย่างออกไป มั่นใจว่าลินเช่ย์ต้องรู้แน่นอน พอผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ตัวขาวซีดของเธอคล้ายจะมีสีสันขึ้นมา ลินเช่ย์พยักหน้าหงึกหงักแล้วหายตัวไปทันที คนที่มองเห็นลินเช่ย์อย่างพี่เฮดีสกับมอตโตพากันขมวดคิ้วสงสัยกับอาการดีอกดีใจของเทพธิดาเรียกเงินเรียกทองตนนั้น
“แล้วทำไมฉันถึงนอนหลับไม่ตื่นล่ะ?” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเหมือนเคย อ่า เสียงแห้งเกินไปแล้วชักอยากกินน้ำสักแก้วจังแฮะ พอคิดแบบนั้นคนข้างตัวก็ขยับรินน้ำมาให้ผมทันที เขาประคองผมแล้วยกแก้วน้ำจ่อริมฝีปากด้วยท่าทางเอาใจใส่ ผมจิบน้ำพลางหน้าร้อนวูบเมื่อพวกเพื่อนๆ มองมาเป็นตาเดียว โอเล่ทำปากขมุบขมิบด้วยความอิจฉา
ผมดื่มน้ำเสร็จก็เอ่ยขอบคุณเสียงเบา นั่งเงียบรอคอยคำตอบจากคำถามที่เอ่ยปากถามไปตั้งนาน แต่ก็ยังไม่มีใครตอบ ผมเงยหน้ามองพี่เฮดีส เขาก็หันไปส่งสายตาให้กับหนุ่มแว่นที่ตัดสินใจเป็นคนนอก มอตโตถลึงตาใส่ตอบกลับด้วยอาการฉุนเฉียว ทั้งสองจ้องตากันสุดท้ายคนที่เงียบไม่ไหวก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ หนุ่มแว่นตัวสูงตอบคำถามผมด้วยท่าทางไม่พอใจ ผมเกือบจะหลุดขำสองหนุ่มผู้เงียบงัน ขนาดหนุ่มแว่นก็เงียบไม่สู้ชายชุดดำ!
“จะอธิบายยังไงดีล่ะ อืม...เอาเป็นว่าที่นายนอนไม่ตื่นก็เพราะถูกจิตใจกักขังไว้ คล้ายๆ พวกหนีความจริงอะไรแบบนั้น ในกรณีของนายคือนอนหลับเพื่อหนีความจริง อย่างเช่นถ้าหากจิตใจคิดไว้ว่าอยากจะตายๆ วนเวียนอยู่แบบนั้น จิตใจเป็นนายของร่างกายสั่งให้ร่างกายไม่อาจตื่นได้เหมือนปกติ นานไปท้ายที่สุดก็จะตายไปจริงๆ”
มอตโตอธิบายแต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเลยสักคน ยกเว้น... ผม
ผมหายใจวาบ จากนั้นก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติเร็วที่สุด ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้นอนหลับเป็นตายไปห้าวันเต็มๆ อ่า ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องเลวร้ายเสียจนคนๆ หนึ่งตัดสินใจหลับไปตลอดกาลนั่นแหละ แล้วเพราะอะไรผมถึงตื่นถึงมาล่ะ ถ้าหากเป็นจิตใจกักขังจริงๆ ล่ะก็... ผมไม่น่าจะตื่นเลยนี่นะ
“ที่นายตื่นมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือจากคนๆ หนึ่ง” มอตโตเอ่ยพลางเหลือบมองไปที่ชายชุดดำแวบหนึ่ง ผมแอบชำเหลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยอาการของคนมีความผิดติดตัว พี่เฮดีสจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว เขาเอื้อมมือมาจับรวบมือของผมไปจับไว้พร้อมกับบีบราวกับให้กำลังใจผม
“แม่ของฉัน”
เปรี้ยง!
ดั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ผมกลางวันแสกๆ
แม่ของพี่เฮดีสงั้นเหรอออออ!? ผมตกใจ นึกไม่ถึงว่าคนที่ช่วยผมมาจากความฝันอันโหดร้ายนั้นจะเป็นแม่ของพี่เฮดีส ระ...หรือว่าหญิงสาวที่ผมเห็นในความฝันคนนั้นจะเป็น...แม่ของพี่เฮดีส!!? ผมอ้าปากเหวอด้วยความตกใจสุดขีด ผู้หญิงที่มาเล่านิทานหนุ่มเลี้ยงวัวกับหนุ่มเลี้ยงม้าคนนั้น!? ไม่จริงมั้ง แม่ของพี่เฮดีสทำไมถึงได้สาวเป็นวัยสะรุ่นขนาดนั้นได้ล่ะ ต้องมีอะไรผิดพลาด! จากที่เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะอายุเกินยี่สิบกว่าปีแน่ๆ แม่ของพี่เฮดีสอย่างน้อยก็สี่สิบปีขึ้น
“คุณชาย แขกมาถึงแล้วครับ”
ระหว่างที่ทุกคนในห้องเงียบไม่มีใครพูดอะไร ที่หน้าห้องคุณพ่อบ้านคนเดิมในชุดสูทพ่อบ้านสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาเอ่ยกับเจ้านาย พี่เฮดีสพยักหน้ารับแล้วหันมามองผม ส่วนคนอื่นๆ ก็ถูกคุณพ่อบ้านเชิญไปทานของว่างยามบ่าย ผมมองพี่เฮดีสแล้วรู้สึกกังวลใจ หรือว่าที่เขาไล่ทุกคนออกเพราะต้องการจะคุยกับผมตามลำพัง
จู่ๆ ผมก็นั่งตัวเกร็ง เหงื่อเริ่มไหลพราก ท่าทางเหมือนผู้ร้ายกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่ในศาลไคฟง พี่เฮดีสนั่งนิ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำยิ่งทำให้ผมร้อนตัวไปก่อน โอ๊ยยย ท่านเปารีบลงโทษข้าน้อยเร็วๆ เถอะ เอากระบี่จั่นเจาจิ้มพุงข้าน้อยเลยก็ได้!
“ไว้เราค่อยคุยกัน”
ระหว่างที่ผมยืดคอรอแท่นประหารหัวสุนัข พี่เฮดีสก็ขยับตัวเอ่ยบอกผมด้วยท่าทางปกติแล้วลุกเดินออกไป ผมมองตามไปด้วยความผิดคาด พี่เฮดีสไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสามปีก่อนเลย เขาเดินจากไปซะเฉยๆ จนผมทำตัวไม่ถูก ไม่นานผมก็ลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้วจ้องตาแทบถลนเมื่อเห็นร่างของใครบางคนพุ่งตรงเข้ามากอดผมซะเต็มรักแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก
“รัญญญญ! ไอ้เด็กบ้า! จะทำให้คนเฒ่าคนแก่หัวใจวายหรือไงกันยะ!!?” พี่ฟีฟ่ากอดผมแล้วโวยวายพร้อมกับร่ำไห้เสียงดังลั่น ผมที่ยังงุนงงไม่เข้าใจ มองพี่ฟีฟ่าที่เป่าปี่ไม่อายสายตาคนอื่นแล้วหันไปมองเหล่าคนที่ทยอยกันเข้ามาในห้อง ผมอ้าปากเหวออย่างคาดไม่ถึง
นี่มันอะไรกันเนี่ย!? คนในครอบครัวของผมยกพลมาพร้อมหน้าเลย! ผมมองหน้าเหล่าลุงป้าน้าอา พี่น้องทุกคนที่มองผมด้วยสายตาเป็นห่วง คุณอากับคุณน้าที่เป็นพ่อของพี่ฟีฟ่ามองผมแล้วตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ไปกับลูกสาวที่แหกปากข้างๆ หูของผม คนเหลือๆ ก็ชักจะถูกคนอ้าปากร้องไห้ดึงอารมณ์ให้คล้อยตามกันไปหมด
“พี่ยังอายุไม่ถึงสามสิบเลยจะแก่ได้ยังไง?” ผมหันกลับมาเอ่ยกับพี่ฟีฟ่าพร้อมถอนหายใจดันตัวพี่สาวที่ร้องไห้ร้องห่มผิดวิสัยของสาวแกร่งไร้เลือดไร้น้ำตา พี่ฟีฟ่าเบ้ปากแล้วชี้ไปที่พ่อของตัวเอง
“ฉันหมายถึงตาแก่ต่างหากเล่า!”
คุณอาหันขวับมาถลึงตาดุใส่ลูกสาวแล้วเอ่ยร้องถามอย่างคับข้องใจ
“หน้าฉันมันแก่ตรงไหน!?”
“แก่ทุกตรงนั่นแหละ ลองถามแม่ดูสิ”
คุณอาหันขวับไปจ้องคุณน้าผู้เป็นภรรยาด้วยสายตามีความหวัง คุณน้าเหลือบมองสามีด้วยใบหน้าราบเรียบ ก่อนจะเอ่ยสั้นๆ แต่ทำร้ายคุณอาจนต้องหลบไปเลียแผลใจเงียบๆ คนเดียว
“ก็แก่แล้วจริงๆ นั่นแหละ”
คนอื่นๆ หัวเราะคิกคักกับศึกสองรุมหนึ่ง พ่อปะทะแม่ลูกซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายพ่อพ่ายราบคาบ ดูท่าทางทุกคนก็รู้เรื่องกันหมดแล้วโดยไม่ต้องรบกวนคนป่วยอย่างผมให้ต้องเหนื่อยอธิบายเรื่องราว ผมนั่งหน้าร้อนวูบแล้ววูบเล่าเมื่อพี่ฟีฟ่าพาดพิงถึงแฟนหนุ่มรูปหล่อแสนดีของผม พอผมหน้าแดงพวกผู้ใหญ่ก็หัวเราะขำ พวกเขาก็ยังไม่เปลี่ยนเลย ชอบแกล้งผมแล้วหัวเราะขำตลอด เห็นผมเป็นตัวตลกหรือไงกัน หึ นี่ถ้าไม่มีคนว่ารักดอกจึงหยอกเล่น ผมโมโหแล้วจริงๆ นะ!
พวกเราคุยผ่อนคลายไปเรื่อยๆ มีเรื่องเยอะแยะมากมายให้คุยกันเพราะนานๆ ทีพวกคุณน้าคุณอาจะมารวมตัวกันครบแบบนี้ ในใจของผมเครียดเกร็งกลัวว่าพวกเขาจะพูดถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน แต่ทว่าไม่มีใครพูดถึงเลยแถมยังชวนคุยเรื่องไร้สาระแล้วหัวเราะขำเหมือนวันเก่าๆ ที่ผ่านมา ผมผ่อนคลายแล้วหัวเราะตามไป ในใจรู้สึกตื้นตันจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ทุกเสียงแม้จะไม่ได้ไถ่ถามตรงๆ แต่ก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นห่วงผมมากแค่ไหน ดีแล้ว...ดีแล้วที่ผมมีชีวิตอยู่! เพราะอยู่ถึงได้รู้ว่ายังมีคนที่รักผมอยู่ ผมไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกที่โหดร้ายนี้
พวกเราคุยกันนานมากจนกระทั่งคุณพ่อบ้านเข้ามาในห้องแล้วเชิญทุกคนไปทานข้าวเย็นด้วยกัน และให้ผมได้พักผ่อน ทุกคนเดินออกไปจากห้องเหลือแค่พี่ฟีฟ่าที่ยังไม่ไป เธอล้วงเอากระดาษในกระเป๋าเสื้อยื่นมาให้พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ถึงแม้จะมาไม่ได้แต่ท่านก็ฝากนี่มาให้แก”
ผมรับไว้ พี่ฟีฟ่าก็เดินออกไปจากห้อง ผมมองกระดาษในมือนิ่งก่อนจะค่อยๆ คลี่อ่าน ผมนั่งนิ่ง ดวงตาจับจ้องประโยคสั้นๆ ที่ถูกตวัดเขียนบนกระดาษค่อยๆ พร่ามัวด้วยม่านน้ำตาที่เริ่มก่อตัวอีกครั้ง
‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เนรัญก็คือลูกของพ่อ’“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนก็รักนาย นายมีค่าสำหรับพวกเขาเสมอ รวมถึงฉันด้วย”
ผมร้องไห้หนักจนมองอะไรก็เป็นภาพเลือนรางไปหมด ถึงจะมองไม่เห็นแต่ผมรู้ว่าคนที่พูดเป็นเขา เสียงที่เย็นชาที่แอบซ่อนความอบอุ่นเอาไว้อย่างนี้จะต้องเป็นเขาแน่นอน! ผมปลดปล่อยอารมณ์ออกมาจนหมด แผดเสียงร้องไห้ดังลั่นกว่าพี่ฟีฟ่าซะอีก ใครจะล้ออะไรก็ล้อไปเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว!
TBC....ความรักของพ่อแม่แม้ท่านจะไม่แสดงออก แต่ในใจของท่านแล้ว ลูกก็คือลูก...แต่งตอนนี้เสียน้ำตาไปสองยก เฮ้อ พอเป็นเรื่องความรักพ่อแม่แล้วอ่อนไหวต่อประเด็นนี้มากจริงๆ
ไม่ว่าจะดูหนัง โฆษณา เอ็มวี ถ้าเป็นประเด็น น้ำตาแม่งทะลักนองหน้าตลอดเลย
แม้ระหว่างทางจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่คนเราก็ต้องยืนหยัดสู้ต่อไปอย่างสง่างาม
เช่นนิยายเรื่องนี้ค่ะ! ปอยยืนยันเลยว่าไม่คิดจะเปลี่ยนพล็อตเรื่องใดๆ ที่วางเอาไว้
แม้จะเป็นเรื่องโหดร้ายมากแต่เนรัญก็มีคนคอยรักคอยเป็นห่วง ผิดกับในความเป็นจริงที่มีเรื่องโหดร้ายกว่ามาก
คนที่เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ต้องอยู่อย่างน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง หนำซ้ำคนรอบข้างยังไม่เข้าใจมีอยู่มาก
หวังว่าจะมีคนเข้าใจในสิ่งที่ผู้แต่งคนนี้สื่อ และเคารพสิทธิของผู้อ่านทุกท่าน
แม้จะเสียใจไม่่น้อย แต่จะบังคับกันก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่อ่านก็ไม่ว่าค่ะ
แต่ปอยก็จะแต่งต่อในแบบที่วางไว้เพื่อผู้ที่รอคอยอ่านเรื่องนี้ ให้ดำเนินไปจนจบอย่างงดงาม
เป็นกำลังให้ทุกคนยืนหยัดต่อสู้ต่อไป เพื่อตัวเองและคนที่คุณรักและรักคุณค่ะ!
ปล.1 ตามคำขอ มาต่อรวดเร็วเลย!
ปล.2 นิทานหนุ่มเลี้ยงวัวกับหนุ่มเลี้ยงม้านั้นเปรียบกับเรื่องที่รัญเจอ ที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงคือเรื่องคุณค่าของตนเอง อะไรที่เสียไปแล้วย่อมไม่ได้กลับคืนมาก็ไม่เป็นไร แต่ยังเหลือตัวเองอยู่ จงใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข อย่าให้การกระทำของคนเลวๆ มาบั่นทอนคุณค่าของตัวเอง
ปล.3 ยาวมาก เพราะรู้สึกเสียใจไม่น้อย แต่ไม่เป็นไรค่ะ ปอยต้องแข็งแกร่งเช่นตัวละครเนรัญและเฮดีส!