Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย  (อ่าน 62047 ครั้ง)

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ








เสียงเด็กนักเรียนท่องอาขยานดังก้องไปทั่วชั้นสี่ของตึกเรียนโรงเรียนดุจประทีปวิทยา ต้นเสียงนั้นมาจากห้องเรียนขนาดใหญ่ตรงกลางของชั้นสี่พอดี ที่หน้าห้องมีป้ายไม้เก่า ๆ เขียนบอกไว้ด้วยตัวหนังสือสีขาวอ่านได้ความว่า “ชั้นป.สี่ทับห้า”
ภายในห้องนั้นมีเด็กนักเรียนราวสี่สิบคนนั่งแยกหญิงชายกันอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนต่างอ้าปากอ่านออกเสียงกันอย่างตั้งใจเสียงดังฟังชัดทุกถ่อยคำจนบางครั้งก็ดูชวนขำอย่างไรบอกไม่ถูก จะมีก็แต่เพียงเด็กชายเจนศิลป์ ขาลไกร เท่านั้นที่ดูจะไม่กระตือรือร้นอย่างคนอื่น ๆ สังเกตได้จากสีหน้ามู่ทู่และท่านั่งงองุ้มที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่แถวเกือบหลับสุดก็ตาม เด็กชายเอาแต่นั่งจ้องหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้าและขยับปากตามทำเป็นอ่านสายตาก็คอยเหลือบมองครูสุภีเพ็ญร่างอ้วนที่นั่งกอดอกสวมแว่นทรงเม็ดข้าวและหลับตาหัวโงนเงนไปมาราวกับกำลังเข้าชาญอยู่ เสื้อผ้าไหมสีม่วงเข้มของเธอรัดแน่นจนน่าสงสัยว่ากระดุมเม็ดโตสีทองที่ใช้ติดนั้นทำจากอะไรกันแน่เหล็กหรือใช้กาวตราช้างติดเพราะมันรัดแน่นเสียจนเห็นชั้นไขมันภายใต้ได้อย่างชัดเจน นาน ๆ ครั้งเธอจะสะดุ้งลืมตาตื่นทำให้ก้อนตรงท้องกระเพื่อมไปมาก่อนจะมองไปรอบตัวราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและก็กลับมาสัปหงกอีกครั้ง
   “พี่สุ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นที่หน้าประตู เธอเกาะกรอบประตูไม้ไว้แน่นและชะโงกเพียงหัวเข้ามาในห้อง เสียงของเธอทำให้การท่องอาขยานของเด็กนักเรียนถูกขัดจังหวะและหยุดลง
   ครูสุภีเพ็ญสะดุ้งเล็กน้อยตามเสียงเรียกไขมันของเธอกระเพื่อมอีกหลายครั้งตามด้วยกระพริบตาถี่ ๆ อยู่นานกว่าจะร้องตอบ
   “อ้าว...ว่าไงทิพย์ มีอะไรหรือ”
   ครูธารทิย์จัดเป็นครูที่ยังสาวและยังสวยที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ เธอพึ่งย้ายมาสอนวิชาสปช.แทนครู เกศิณีได้ไม่นานจึงจัดได้ว่ายังเป็นครูใหม่ประสบการณ์น้อยอยู่ แต่เรื่องความดุและแรงไม้เรียวนั้นขัดกับใบหน้าและประสบการณ์ของเธออย่างสิ้นเชิง
   เธอทำท่ากวักมือเรียกครูสุภีเพ็ญออกไปข้างนอก และยืนคุยกันอยู่ที่นั้นเป็นนาน
   “มึงโดนแน่ไอ้เจน”เสียงเด็กชายพงศ์เทพที่นั่งอยู่หลังสุดด้านขวาพูดขึ้น เด็กชายเจนศิลป์ทำเป็นไม่สนใจ
   ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับเข้ามา
   “เจนศิลป์”ครูธารทิย์พูดเสียงดังจนเด็กชายเจนศิลป์สะดุ้งเฮือก เขารีบยกมือพรางพูดว่าครับสั้น ๆ “ตามครูมานี่หน่อย เอากระเป๋ามาด้วย”
   เด็กชายหน้าถอดสีในทันทีเพราะเมื่อตอนพักกลางวันเขาแอบไปดึงหญ้าในสนามเล่นจนแหว่งหายไปครึ่งค่อนสนาม ภารโรงสมมาเห็นเข้าจึงขู่จะไปฟ้องครู เด็กชายไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยวิ่งหนีไม่คิดชีวิตโดยมีภารโรงสมวิ่งตาม เขาวิ่งไปทั่วทั้งโรงเรียนจนภารโรงสมหายไปตอนไหนเขาก็ไม่รู้ นี่เขาต้องถูกไม้เรียนฟาดจนก้นชาอีกเป็นแน่
   เด็กชายค่อย ๆ สะพายกระเป๋านักเรียนใบโตขึ้นไว้บนไหล่ทั้งสองข้างก่อนจะออกเดินไปหาครูธารทิพย์เธอพาเขาเดินขึ้นไปอีกสองชั้นซึ่งตามธรรมดาแล้วเด็กชายเจนศิลป์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาบนนี้ได้
เขตชั้นหกทั้งชั้นเป็นของเด็กนักเรียนป.หกทั้งหมดจึงดูกวางขวางกว่าก้านล่างเล็กน้อย เด็กชายเจนศิลป์รีบเดินตามให้ทันครูธารทิพย์สุดฝีเท้า แต่พอคิดได้ว่าจะต้องถูกตีเขาเลยปล่อยระยะห่างออกมาอีก   
   เธอพาเขาเดินไปสุดทางเดินและหยุดลงที่ห้องพักครู
“เอ้า....เข้าไปสิ”เธอพูดด้วยเสียงนุ่มเย็นจนน่าสงสัย เด็กชายกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ยอมเข้าไปและทำท่าเหมือนกำลังจะร้องให้ “เด็กชายเจนศิลป์เป็นอะไรเข้าไปสิ”
เด็กชายค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องช้า ๆ และคิดว่าต้องเจอกับภารโรงสมนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หรือไม่ก็ครูใหญ่ยืนถือไม้เรียวเป็นแน่ แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขาคือชายคนหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางกองกระดาษและชั้นเอกสารที่ดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ แว่นกลอบดำอันใหญ่ถูกวางอยู่บนจมูกอันโต เสื้อยืดสีขาวถูกรวบเข้าในกางเกงยีนต์สีซีดเพื่อให้ดูสุภาพที่สุด อีกทั้งผมที่ยาวหยิกปลายก็ถูกรวบไว้ที่ด้านหลัง แต่ถึงจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วมันก็ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปสำหลับคำว่าสุภาพชนอยู่ดี
“พ่อ”เด็กชายร้องเสียงหลงพรางรีบวิ่งไปกอดผู้เป็นบิดาไว้แน่น “คอมนึกว่าต้องถูกครูตีแล้ว”
“อะไรกันฮึ.....”เจนวิทย์ว่าพรางลูปศรีษะที่มีผมสั้นเกรียนของลูกไปมา “เราไปทำอะไรผิดละครูเขาถึงได้ตีเอา”
เด็กชายลืมตามองครูธารทิพย์ที่บัดนี้นั่งอยู่หลังโต๊ะตรงข้ามกับคนทั้งคู่ เธอมองดูเด็กชายด้วยสายตาสงสัย เขาจึงถูหน้าไปมากับเสื้อของบิดาเป็นเชิงว่าไม่รู้ ผู้ใหญ่ทั้งสองพาหัวเราะแก้เก้อกันไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เซ็นตรงนี้แล้วก็กลับได้แล้วค่ะ” เธอว่าพรางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เจนวิทย์พร้อมปากกา อีกฝ่ายรับปากกามาเขียนขยุกขยุยไม่เกินสองวินาทีก็เรียบร้อย
“งั้นผมไปเลยนะครับครู”
“ค่ะ...”เธอตอบสั้น ๆ “ไม่ไปส่งนะค่ะ”
เจนวิทย์พยักหน้ารับก่อนจะเดินจูงมือลูกชายออกไป ไม่เกินสามก้าวเสียงเด็กชายก็ดังขึ้น
“นี่พ่อจะพาคอมไปถ่ายรูปด้วยใช่ป่าว”
เจนวิทย์ยิ้มก่อนตอบ “ทำไมล่ะ..เราอยากไปถ่ายรูปกับพ่อหลอ”
เด็กชายพยักหน้าเร็ว ๆ
“อือ....แต่พ่อลืมไม่ได้เอากล้องมาน่ะสิ”
เด็กชายหน้านิ่ว
“พ่ออ่ะ....ขี้ลืมอย่างนี้ทุกทีเลย เพราะงี้ไงแม่ถึงได้ชอบบ่น”เจนวิทย์หัวเราะชอบใจ “แล้วพ่อจะพาคอมไปไหนเนี่ย”
เจนวิทย์ทำท่าคิด
“ไม่รู้สิ เราอยากไปไหนล่ะ”
เด็กชายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะโพรงออกมาเสียงดัง “กินเคเอฟซี”
“งั้น....ไปกินเคเอฟซีกัน”
เจนศิลป์ร้องดีใจเสียงดังพรางวิ่งนำหน้าเจนวิทย์ไปโดยไม่ทันได้หันกลับมามองสายตาของผู้เป็นบิดาที่มองตามไป มันเป็นสายตาที่ยากเกินกว่าจะอธิบายเป็นถ่อยคำให้ใคร ๆ เข้าใจได้   

.......................................................
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2008 16:19:43 โดย º★*.๑۩۞۩๑..*ღ• »

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                     10 ปีผ่านไป
“อาทิตย์หน้าก็ส่งรายงานเรื่องแผนธุรกิจกับการจัดการด้วยนะอย่าลืม” เสียงครูกนกนกสั่งงานนักศึกษาผ่านไมโครโฟนอย่างชัดเจน“งั้นวันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ไปได้จ๊ะ กลับบ้านได้”
เสียงนักศึกษาพากันถอนหายใจกันอย่างโล่งอกไม่ใช่เพราะเลิกเรียนแต่เพราะในเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่มีรายงานเพียงเล่มเดียวเท่านั้น มันแทบเป็นปาฎิหารของนักศึกษาบริหารธุรกิจเลยทีเดียวที่สามารถนอนได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องตื่นมาปั่นรายงานกลางดึก
“ไอ้คอม” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกที่หัวของชายหนุ่มเบา ๆ เขาหันมาทางต้นเสียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พรางเกาหัวตรงที่ถูกตี“กูเรียกมึงตั้งนานไม่ได้ยินหรือไง”
ต้นเสียงนั้นคือสาริณี เพื่อนของเขาเอง
ชายหนุ่มส่ายหัว
 “เออ แล้วมึงจะมามั้ยเนี้ย”
“มา...มาไหน....ไม่ได้ว่ะ วันนี้กูต้องทำงาน”
“โถ่ไอ้ควาย”หญิงสาวพูดจนเหมือนตะโกน “กูถามว่ามึงจะมาอยู่กลุ่มกูหรือปล่าว” ชายหนุ่มพยักหน้าเร็ว ๆ พรางยิ้มทะเล้น “งั้นวันอาทิตย์ตอนเที่ยงเจอที่ห้องสมุดนะ.........มานะมึงไม่ใช่ว่าโดดหายไปเหมือนคราวก่อนอีก”
“เออ กูรู้แล้วน่า....”เจนศิลป์พูดน้ำเสียงทะเล้นอีก “นี่เขาปล่อยแล้วหลอ”
“ก็เออสิ”อีกฝ่ายว่า
“งั้นกูไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานสาย” ว่าแล้วก็เก็บของใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่ “เออ ไอ้เม่น”เจนศิลป์หันไปพูดกับกิตติที่นั่งถัดจากสาริณี “เหล้ามึงที่ฝากไว้ที่ร้าน พรุ่งนี้หมดอายุแล้วนะ จะให้กูเอามาให้มั้ย”
“ไม่ต้องหลอก ไอ้ห่าเหลืออยู่ติ๊ดเดียวเอง เอาไปเหอะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ “งั้นกูไปก่อนน่ะ ธาเราไปก่อนนะ” ธาราที่นั่งถัดจากกิตติละสายตาจากสมุดจดหันมายิ้มพรางดันแว่นไปไว้บนดั้งจมูกและพยักหน้า
“ทำงานดี ๆ นะ”
เจนศิลป์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องมา อากาศภายนอกนั้นร้อนอบอ้าวอย่างน่าเหลือเชื่อ แสงแดดของเวลาบ่ายสองสาดส่องไปทั่วทุกหัวระแหงนำความร้อนแผดเผาทั่วทุกหย่อมหญ้า อีกทั้งความชื้นที่อยู่ในอากาศก็ยิ่งชวนเหนียวตัว เจนศิลป์เอามือขึ้นป้องแสงแดดที่แรงกล้าก่อนจะออกเดินสู่ทางเดินที่โล่งแจ้ง เขาเร่งฝีเท้าให้ทันกับรถเมล์ที่กำลังจะออกจากป้ายก่อนจะกระโดดขึ้นรถเมล์ไป โชคดีที่ยังไม่มีผู้โดยสารมากนักเจนศิลป์จึงได้นั่งชิดริมหน้าต่างรับสายลมแรง ๆ ช่วยคลายความร้อน เขานั่งอยู่อย่างนั้นราวสิบห้านาทีก็ลงจากรถ
ซอยบ้านเขานั้นเป็นซอยใหญ่กลางชุมชน ปากซอยเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านทั้งวันเลยไปถึงดึกดื่น เจนศิลป์เดินข้ามถนนขนาดสี่เลนส์ไปซื้อข้าวคลุกกระปิเจ้าประจำและไม่ลืมซื้อขนมถังแตกเจ้าข้าง ๆ มาด้วย
“ว่าไงลูก” นางทอง แม่ค้าขนมถังแตกอายุราวเจ็ดสิบปีร้องทักเจนศิลป์ เธอเห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่ตัวแดง ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้ “แม่เป็นอย่างไรบ่าง”เธอว่าพรางส่งขนมถังแตกให้
“เหมือนเดิมครับป้าทอง” ชายหนุ่มยื่นมือไปรับขนมมา นางทองปล่อยมือจากถุงขนมมาลูปที่ใบหน้าและคางของเจนศิลป์ “อดทนไว้นะลูก หมูก็แม่เราหมาก็แม่เรา”
เจนศิลป์พยักหน้ารับและส่งเงินให้หญิงชรา เขาข้ามถนนกลับมาและเดินเข้าซอยไปจนสุดระยะทางราวห้าสิบเมตรได้ บ้านของชายหนุ่มเป็นทาวเฮ้าส์เล็ก ๆ เก่า ๆ หลังหนึ่งที่อยู่สุดซอยเกือบติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา จะว่าดี ก็ดีเพราะทิวทัศน์ยามเย็นของแม่น้ำเจ้าพระยานั้นงดงามเกิดกว่าคำไดจะอธิบายได้ แต่พอถึงฤดูฝนทีไรน้ำท่วมทุกที ชายหนุ่มหยิบเอากุนแจออกมาและไขเข้าบ้านอย่างง่ายดาย ชั้นล่างสุดของบ้านนั้นเป็นห้องรับแขกที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันมานานแล้ว โซฟาที่วางอยู่มุมห้องก็ซีดจนน่าเกลียด ทีวีที่ตั้งอยู่บนชั้นก็ไม่ได้ใช้มานานจนฝุ่นจับเต็มไปหมด อีกทั้งตามมุมห้องก็เต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าทำให้อากาศมีกลิ่นแปล่งจมูกตลบอบอวนไปทั่ว
เจนศิลป์เดินเลยไปในครัวที่อยู่เลยห้องรับแขกไป อ่างล้างจานและถุงขยะว่างเปล่าเพราะเขาพึ่งจัดการไปเมื่อเช้านี้ ชายหนุ่มเดินไปหยิบจานสะอาด ช้อน แก้วน้ำหนึ่งใบและน้ำสองขวดออกจากตู้เย็นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน ชั้นสองนั้นก็ไม่ต่างจากห้องรับแขก กลิ่นอากาศแปล่งจมูกเพราะขวดเหล้าเปล่าวางอยู่ทั่วไปหมด เจนศิลป์เดินเลี้ยวไปเปิดห้องที่อยู่ขวามือของบันได ภายในนั้นกลิ่นยิ่งเลวร้ายกว่าภายนอกมาก ขวดเหล้าวางอยู่เกลื่อนกลาดบ่างก็ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า ที่สุดห้องมีเตียงไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นมีหญิงวัยกลางคนนอนเมามายไม่ได้สติ เท้าเธอข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมานอกเตียงและคงปัดไปโดนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่เจนศิลป์ใช้วางจานอาหารให้จนจานตกมาแตกเศษอาหารกระจายไปทั่ว ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไม่กวาดและที่ตักผงมา เขาวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะและเริ่มเก็บกวาดพร้อมกับหยิบขวดเปล่าออกไปไว้ด้านนอกไม่นานก็เสร็จจึงหันมาเทอาหารใส่จานและเทน้ำเปล่าใส่แก้ว
“แม่.....แม่” เจนศิลป์เดินไปเหย่าร่างหญิงคนนั้นแรง ๆ
เธอทำเสียงฮึสองสามทีก่อนจะตอบ“อะไร....”
“คอมซื้อข้าวมาให้วางไว้นี่น่ะ.....แล้วกินยาที่อาหมอเอามาให้หรือยัง”
เธอไม่ตอบ ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้และเดินออกมา เขาเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชั้นจึงจะถึงห้องของเขาเอง นี่คงเป็นที่เดียวกระมังที่ไม่มีกลิ่นเหม็นประหลาดลอยตัวอยู่ ห้องของเจนศิลป์เป็นห้องที่ไม่ใหญ่นัก มันเป็นสีฟ้าสดใส ไม่มีข้าวของมากมายอย่างที่ควรจะเป็น ราวเหล็กราคาถูกตั้งอยู่ที่มุมห้องใช้แขวนเสื้อผ้า โต๊ะหนังสือวางอยู่อีกมุม และที่นอนวางอยู่กับพื้น ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาและนั่งลงบนขอบหน้าต่างพรางจัดการกับขนมถังแตกที่ซื้อมากับน้ำเปล่า สายตาของเขาเหมอมองออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงของพระอาทิตย์ยามเย็น ถึงแม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉยแต่ก็พอมองออกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว
เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าเก็บของเขาดังขึ้นทำให้เจนศิลป์สดุ้งจากภวังค์ ขนมถังแตกหลุดออกจากมือตกลงสู่เบื้องล่าง เขาก้มลงไปมองมันแตกกระจายเต็มพื้นด้านล่าวก่อนส่ายหน้าอย่างเสียอารมณ์
เจนศิลป์หยิบโทรศัพย์ออกมาดูและกดรับสาย
“ครับอาหมอ”
“คอมหลอ” เสียงอีกฝ่ายทุ่มต่ำและเรียบเย็นอย่างผู้ชาย “นี่อยู่บ้านหรือเปล่า”
“อยู่ครับ”
“หลอ..แล้วแม่เป็นไงบ่างได้ทานข้าวทานยาบ่างหรือยัง”
 “ข้าวผมซื้อมาให้เขาแล้วครับ ส่วนยาผมไม่แน่ใจว่าแม่กินหรือเปล่า”
“งั้นหลอ.....”อีกฝ่ายเงียบไป “เออ.....แล้วนี่เราไม่ไปทำงานหรือไงจะสี่โมงแล้วนะ” 
ชายหนุ่มเอาโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลา มันบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง
“ครับเดี๋ยวก็ต้องไปแล้วละครับ....จะสายแล้ว” 
“อือ....งั้นเดี๋ยวอาจะแวะเข้าไปวันจันทร์นี้แล้วกัน”
“ครับ ๆ” เจนศิลป์รีบตอบรับและวางหูอย่างเร็วก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวจากราวเสื้อผ้าไปอาบน้ำเตรียบตัวไปทำงาน

…………………………………..

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยสุวรรณพิทักษ์นั้นเป็นสถานที่ ๆ ไม่ค่อยดูเหมือนเป็นโรงอาหารอย่างชื่อสักเท่าไร ด้วยรอบด้านของตัวอาคารถูกล้อมรอบด้วยกระจกใสประดับม่านสวยงาม ภายในติดแอร์อย่างดีพร้อมร้านอาหารฟาสท์ฟูดชื่อดังที่เรียงรายอยู่ทั่ว ดู ๆ ไปก็คล้ายกับศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้าเสียมากกว่า
“เฮ้ย ไอ้ฟ้า วันนี้ไปไหนกันดีว่ะ” เสียงพิเชษดังขึ้นตั้งแต่ตัวยังไม่นั่งลงบนเก้าอี้
องอาจหันไปพรางตอบ “กูก็ไม่รู้ว่ะ แล้วแต่ไอ้กรมัน เห็นมันบอกจะเลี้ยง ๆ อยู่” ชายหนุ่มโยนไปให้เพื่อนอีกคน
“อ้าวไอ้ห่านี่....กูไม่รู้น้า ปลายเดือนแล้วด้วย” กรเทพทำมือโบกไปมาคล้ายต้องการบอกว่าไม่มีเงิน
“แล้วไหนว่ามึงจะเลี้ยงพวกกูไง” องอาจว่า
“เออ ไหนมึงว่าจะเลี้ยงพวกกูไง”นาคินทร์ที่นั่งเงียบมานานเสริม
“โหย มันตั้งแต่ชาติที่แล้วมั่งเหอะ....โน่นเลย ไอ้หนึ่งมาแล้วถามแม่งบ่างสิเห็นมันว่าแม่มันพึ่งให้เงินมาไม่ใช่หลอ”
“อะไร ๆ กูยังไม่ทันได้หย่อนตูดนั่งก็โยนขี้ใส่กูซะแล้ว” พิราบว่าพรางนั่งลงข้าง ๆ ถัดจากองอาจและนาคินทร์
ชายหนุ่มทั้งหมดนั่งกันเป็นวงล้อมโต๊ะกลมตัวใหญ่กลางโรงอาหารไว้เป็นที่มั่นสำคัญ
“แล้วจะว่าไง....วันนี้จะไปไหนกันดี”พิเชษวกกลับเข้าเรื่องเดิม
“ข้าวสาร”นาคินทร์ออกความเห็น
“โห่ยไอ้ท๊อบ มึงจะไปล่อแหม่มอีกแล้วหลอไอ้สาด ไปได้ทุกวัน ๆ กูเบื่อจะตายห่าอยู่แล้ว”กรเทพพูดเสียงติดตลก
“งั้นมึงจะไปไหน”นาคินทร์ย้อนถาม
“อาร์ซีเอ”
“โห้ย ไม่ได้สร้างสรรค์กว่ากูเล้ย”
“พอ  ๆ ๆ มึงทั้งคู่นั้นล่ะ”พิเชษเข้ามาปรามทั้งคู่ไว้ก่อนจะหันไปถามองอาจ “แล้วมึงล่ะว่าไง ไอ้ฟ้า”
“กูเฉย ๆ ว่ะ ไงก็ได้แล้วแต่พวกมึง”
อีกฝ่ายพยักหน้า “แล้วมึงละไอ้หนึ่ง”
“ข้าวสารว่ะ วันศุกร์ คนเยอะดี” ชายหนุ่มพูดพรางเอามือเกาหัว
“โหไร้ว่ะ”กรเทพพูดน้ำเสียงเสียอารมณ์ “พวกมึงฮั้วกันป่ะเนี่ย วันศุกร์อาร์ซีเอคนก็เยอะเหมือนกัน”
“มีแต่ป้า ๆ ทั้งนั้นเลย เสป็กมึงนิไอ้กร”นาคินทร์พูดเป็นเชิงหยอก
“เออ กูผิดอีก ชอบของลายครามกูก็ผิด”
ชายหนุ่มทั้งห้าพากันหัวเราะ
“แล้วมึงละไอ้เชษ”พิราบเอ่ยขึ้น “จะไปไหนมึง”
“ข้าวสารว่ะ ดีสุดแล้ว ตกลงตามนี้นะ ข้าวสาร สามทุ่ม ไอ้กรมึงจะไปมั้ย”
“ไปสิ ดีกว่านอนเฉย ๆ อยู่บ้าน”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วคนทั้งหมดก็พากันแยกย้ายกันกลับ พิราบเดินลิ่ว ๆ ไปตึกจอดรถที่อยู่ไม่ห่างจากโรงอาหารไม่มากนัก แสงแดดยามสี่โมงเย็นดูจะลดความร้ายกาจลงไปมาก อีกทั้งยังมีสายลมอ่อน ๆ มาช่วยคลายร้อนไปได้เยอะทีเดียว
ชายหนุ่มกดลิฟตรงไปชั้นสี่ก่อนจะบึ่งรถยุโรปสีดำคันหรูออกจากตัวอาคารมา การจราจรในช่วงนี้ดูจะไม่ติดขัดมากนัก รถบางตาลงไปมากเมื่อเทียบกับวันอื่น ๆ อาจจะเพราะเป็นวันศุกร์ปลายเดือนเลยไม่ค่อยมีผู้คนออกจากบ้านในเวลาค่ำคืนก็เป็นได้
ดูพิราบจะพอใจกับถนนที่โล่งเตียนเป็นอย่างมาก
เท้าของเขาเหยียบคันเร่งและคลัชสลับกันไปมาพร้อมกับเปลี่ยนเกีย์อย่างรวดเร็ว ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าจนแทบมองตามไม่ทัน เท้าขวาของชายหนุ่มเหยียบอยู่ที่คันเร่งจนเกือบมิดก่อนจะเลี้ยวรถขึ้นทางด่วนไป
เมื่อขึ้นบนทางด่วนแล้วใจของพิราบยิ่งพองโต ถนนโล่งอย่างกับป่าช้า ชายหนุ่มตบเกียห้าและเหยียบคันเร่งจนมิด ทิ้งรถคันอื่น ๆ ไว้ด้านหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น
ผู้คนหรือผู้ขับขี่ยวดยานอื่น ๆ มักมองชายหนุ่มว่าเป็นคนหนุ่มชอบความเร็ว ประมาท และขี้อวด แต่ก็มีบางคนที่มองดูแล้วคิดว่าชายหนุ่มกำลังหนีใครหรืออะไรบางอย่างอยู่ แต่ไม่ว่าจะหนีเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่เคยหนีพ้นสักที
พิราบวนรถลงทางด่วนแถวงามวงวาลและขับต่อไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวนนทบุรี บ้านของเขานั้นเป็นบ้านขนาดกลางในหมู่บ้านจัดสรรที่มีคนอาศัยอยู่ไม่มากแต่ดูวุ่นวายตลอดเวลา อาจจะเพราะตลาดสดขนาดใหญ่ที่อยู่ปากซอยอีกด้านก็เป็นได้ที่ทำให้ความวุ่นวายแผ่ขยายออกไป ซึ่งดูแล้วชายหนุ่มก็ไม่ค่อยชอบมันเสียเท่าไรนัก เขาย้ายจากบ้านของตายายแถวรังสิตมาที่นี่เมื่อตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย ที่ซึ่งความวุ่นวายนั้นแทบเป็นกฎต้องห้ามเลยที่เดียว
พิราบเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้าไป ภายในนั้นดูกว้างกว่าภายนอกมาก ห้องรับแขกก็ดูสะอาดสะอ้านด้วยสีขาวของผนังและหินอ่อนบนพื้น ชุดโฮมเทียเตอร์สีดำขนาดใหญ่ว่างคู่กับชุดโซฟารับแขกสีเบจจนดูเข้ากันอย่างประหลาด ชายหนุ่มเดินเลยเข้าไปในครัวด้านหลังก่อนหยิบน้ำในตู้เย็นดื่ม พอปิดตู้เย็นเขาก็พบกับโน้ตใบเล็ก ๆ ที่ติดกับแผ่นแม่เหล็กหน้าตู้เย็น
“พ่อกับแม่เข้าโรงงาน อีกสี่ห้าวันถึงจะกลับ แล้วจะโทรหา ดูแลตัวเองด้วย แม่”
ชายหนุ่มอ่านแล้วก็ขยำทิ้งไว้กับโต๊ะกินข้าวที่อยู่ด้านหลัง
“ปรกติก็ไม่ได้อยู่ อยู่แล้วนี่” เขาพึมพำก่อนจะเดินขึ้นด้านบนเพื่ออาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอก
อีกหลายชั่วโมงต่อมาเขาก็เดินออกมาจากอาคารจอดรถแถวตลอกข้าวสารและตรงเข้าตลอกข้าวสารที่มีผู้คนเบียดเสียดกันไปมาพรางใช้มือกดโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู
“พวกมึงอยู่ไหนแล้วเนี้ย”
อีกฝ่ายพูดชื่อสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งออกมา
“เออ ๆ เดี๋ยวกูไปแล้ว”
และเหมือนไม่ได้ตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูพระจันทร์ครึ่งดวงที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า สายตาของเขานั้นดูว่างเปล่าอย่างประหลาด

.................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2007 12:56:15 โดย keivet001 »

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
“ไอ้คอม น้ำแข็งสอง ไฮเนเก้นสอง โซดาสอง น้ำปล่าวขวด เหม่อเหี้ยไรอยู่ว่ะ”
เสียงเพื่อนร่วมงานของเจนศิลป์ตะโกนจนชายหนุ่มต้องละสายตาจากดวงจันท์และเริ่มเคลื่อนย้ายตัวอย่างรวดเร็ว
“โทษที ๆ” เขาพูดพรางรับใบสั่งของและหยิบให้
อีกฝ่ายส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะคว้าทุกอย่างและเดินไป
ชายหนุ่มทำงานเป็นเด็กล้างจานที่นี่มาตั้งแต่ที่นี่เป็นร้านอาหารริมน้ำธรรมดา ตั้งอยู่บนโป๊ะขนาดใหญ่ดูไม่แข็งแรงจนเดี๋ยวนี้กลายเป็นเด็กเสิร์ฟสถานเริงรมย์ริมน้ำ ตัวร้านทั้งหมดตั้งอยู่บนโครงสร้างที่ยื่นไปในแม่น้ำเจ้าพระยาราวห้าถึงสิบเมตร ล้อมด้วยกระจกดำด้านหน้าร้านและใสด้านที่เห็นแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในอัดแน่นไปด้วยกลุ่มคนที่ยื่นโยกย้ายไปตามเสียงดนตรีดูสนุกสนาน ส่วนบาร์น้ำและครัวนั้นถูกแยกออกมาด้านนอก เจนศิลป์มองดูคนเหล่านั้นด้วยสายตาสงสัยอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองดูพระจันทร์อีกครั้ง วันนี้พระจันทร์มีเพียงครึ่งดวงเท่านั้นแต่ก็ยังส่องแสงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าที่ไร้เมฆและดวงดาวจนทำให้พื้นน้ำด้านล่างสะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ในความมืดอย่างเงียบ ๆ นานครั้งจะมีเรือหางยาวหรือเรือโยงขนทรายแล่นผ่านไป บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ลิมน้ำฝั่งตรงข้ามดับไฟไปหมดแล้วจนเห็นเป็นเพียงเงาลาง ๆ ในความมืดเช่นเดียวกับไม้สูงต่าง ๆ ที่ยีนต้นตระหง่านกระจายอยู่ทั่วทิ่มแทงขึ้นด้านบนจนเกิดเป็นเงาดำรูปทรงแปลกประหลาดชวนสงสัยแต่สวยงามอย่างแปลกประหลาด   
เสียงเพลงในร้านค่อย ๆ เงียบลงกลายเป็นเพลงช้าจนเจนศิลป์สังเกตเห็น เขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูมันบอกเวลาตี่หนึ่งตรงของวันเสาร์
 “หมดไปอีกวัน” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะค่อย ๆ เก็บขวดเปล่าที่เริ่มทยอยมาว่างหน้าบาร์น้ำลงลังเปล่าด้านล่าง ก่อนคว้าผ้าแห้งมาถูทำความสะอาดเคาเตอร์และพื้นจนสะอาดดีจากนั้นจึงเริ่มเช็คสินค้าที่เหลือทั้งหมดลงกระดาษเอาไปส่งให้แคชเชีย์ ก่อนกลับมาเปิดตู้เหล้าฝากที่อยู่หลังบาร์น้ำ
“ไอ้คอมวันนี้มีเหล้าหลุดป่าวว่ะ” เสียงเพื่อนร่วมงานคนเดิมที่ตะโกนใส่เจนศิลป์ดังมา
“มี ๆ สามขวดมั้ง”เขาตอบทั้ง ๆ ที่หัวยังมุดอยู่ในตู้เล็ก ๆ ที่ใช้เก็บเหล้าฝาก
“เออ ๆ เอาออกมาแดกกันด้วยน่ะ”
“เออ ๆ” ชายหนุ่มพูดพรางถอยออกมาคว้าไฟฉายและมุดเข้าไปใหม่ ไม่นานเขาก็เจอเหล้าขวดหนึ่งที่เขียนข้างขวดไว้ว่าเม่น ลงวันที่วันนี้ของเดือนที่แล้วและยังมีอีกสามขวดที่ลงวันที่วันเดียวกัน จริงอย่างที่กิตติว่า เหล้าที่เขาฝากไว้นั้นเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด เจนศิลป์ทิ้งมันไว้อย่างนั้นและคว้าขวดที่เหลือไปวางไว้ให้เพื่อนพนักงาน
“ไม่แดกด้วยกันหลอว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งของเขาถามขึ้น ชายหนุ่มส่ายหน้า
“กลับบ้านว่ะ”ว่าแล้วเขาก็หันกลับไปที่บาร์น้ำอีกครั้ง คว้าขวดเหล้าของกิตติและเดินกลับบ้านไป
   ทางเดินกลับบ้านจากร้านที่เขาทำงานอยู่นั้นเป็นคนละทางกับเมื่อตอนเย็น มันเป็นทางเดินเล็ก ๆ เลียบไปตามแม่น้ำเจ้าพระยายาวราวร้อยเมตรผ่านศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและศาลเจ้าแม่ทับทิมไม่ที่พึ่งสร้างเสร็จ มันดูน่าใหญ่โตและน่ากลัวอย่างประหลาดอแต่ก็ยังดูสวยและสมฐานะกว่าศาลเดิมที่ทั้งเล็กและคับแคบมาก เจนศิลป์เดินฝ่าความมืดไปโดยอาศัยเพียงแสงจากดวงจันทร์นำทางไม่นานเขาก็กลับถึงบ้าน
   ชายหนุ่มตรงไปที่ห้องของแม่เขาเป็นอันดับแรก แต่ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นเหม็นสาบฉุนก็ลอยปะทะหน้าเจนศิลป์ทันที เขากวาดตามองไปทั่วจนพบกองเศษอาหารและน้ำย่อยนอนตัวอยู่ข้างเตียง หญิงกลางคนนอนศีรษะตกลงมาจากเตียงเหนือกองเศษอาหารนั่นพอดี
   “โถ่แม่”ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเบาและผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะรีบวางของทุกอย่างไว้หน้าห้องและหันไปคว้าผ้าแห้งกับถังพลาสติกจากในครัวมาทำความสะอาด
เศษอาหารเหล่านั้นเหนียวยืดดูน่าขยะแขยงอย่างสุดแสนอีกทั้งกลิ่นก็รุนแรงชวนคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูกแต่ชายหนุ่มกลับใช้ผ้าแห้งกอบทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ในถังอย่างไม่รู้สึกรังเกลียดแต่อย่างไดก่อนจะเอาไปทิ้งในห้องน้ำและหันไปหยิบเอาไม่ถูพื้นชุบน้ำสะอาดมาถูซ้ำอีกรอบ เมื่อเห็นสะอาดดีแล้ว เขาจึงลุกขึ้นไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นจากตู้เย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้หญิงที่นอนไม่ได้สติอยู่
   “เย็น” หญิงคนนั้นว่าน้ำเสียงงัวเงียอย่างคนเมา
   “ไปอาบน้ำเถอะแม่....”ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเรียบเฉย
   “ไม่เอา...เดี๋ยวพ่อแกกลับมาแล้ว......กินข้าวกับพ่อแกก่อนแล้วค่อยอาบ”
   “ทำไม แม่หิวหลอ....ให้คอมไปซื้อมาให้มั้ย”
   “ไม่ต้อง...”อีกฝ่ายพูดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา......ราวกับว่ากำลังฝันอยู่ “เดี๋ยวพ่อแกก็กลับมาแล้ว....ฉันจะรอกินกับพ่อแก” จบคำเธอก็หลับไปอีกครั้ง
    ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ เขาหันไปหยิบผ้าผืนเล็กมาอีกผืนชุบน้ำและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มารดา เธอมีรูปร่างที่ผอมจนน่าใจหาย กระดูกไหปลาร้าและกระดูกตามข้อต่อต่าง ๆ ปูดโปนเป็นสีขาวดูเปราะบาง รูปหน้าที่ครั้งหนึ่งเจนศิลป์เคยจำได้ว่างดงาม บัดนี้กลับซีดเสียวและตอบลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ผมที่เคยดำเป็นเงาก็ถูกแซมด้วยสีขาวประปลายกระดำกระด่าง
   เมื่อเช็ดตัวให้มารดาเสร็จแล้วงชายหนุ่มจึงหันไปทำความสะอาดห้องต่อ เขาค่อย ๆ หยิบขวดเปล่าใส่ถุงขยะและขนออกไปจากห้องก่อนจะกวาดและถูกห้องอีกหลายรอบกว่ากลิ่นทั้งหมดจะหายไป จากนั้นเขาก็ลงไปทำเช่นเดิมที่ห้องรับแขกและห้องครัว
   เจนศิลป์จะทำเช่นนี้ทุก ๆ ห้าหรือสิบวัน ยกเว้นล้างจากกับเอาขยะไปทิ้งที่เขาจะทำทุกวัน เมื่อถุงขยะถุงสุดท้ายถูกเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านรอรถขยะมาเก็บไป เขาก็กลับไปที่ห้องของแม่เขาอีกครั้ง เอาขวดเหล้าของกิตติวางไว้บนโต๊ะและจ้องมองหญิงกลางคนอยู่พักหนึ่ ก่อนจะหันหลังกลับ ปิดไฟ และเดินขึ้นห้องของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน มือข้างหนึ่งของเขาควานหาสวิตช์ไฟในความมืดอีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แสงไฟนิออนกระพริบสองสามครั้งก่อนจะติดขึ้นพร้อม ๆ กับเปลวไฟที่ปลายมวนบุหรี่
เจนศิลป์ถอนหายใจยาว ๆ พร้อมควันสีขาวอมเทาก่อนนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายตาของเขาเหม่อมองออกไปยังภายนอกอย่างไร้จุดหมาย คล้ายเฝ้ารออะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาเองก็รู้ดีว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเฝ้ารออย่างนี้ทุกวันคล้ายคนโง่ที่เฝ้าหลอกตัวเองด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
     กลิ่นหอมของวันใหม่เริ่มโชยมาในอากาศพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มส่องแสง เจนศิลป์ก้มลงมองดูโทรศัพย์มือถือพร้อมกับเอามือป้องปากหาววอดใหญ่ มันบอกเวลาตีห้าสิบนาที ได้เวลาเข้านอนของเขาแล้ว ชายหนุ่มทิ้งบุหรี่ที่เหลือแต่ก้นลงขวดน้ำก่อนล้มตัวลงบนที่นอนและหลับไป

................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
กิตติรู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนเช้าอย่างอ่อนล้าและงัวเงีย เขาเอาหมอนมาทับหัวของตัวเองไว้เพื่อให้ดวงตาพ้นจากแสงรุ่งอรุณที่สาดส่องเข้ามา มือของเขาควานไปรอบเตียงทั้งที่ดวงตายังปิดแน่นหวังจะพบกับร่างใครบางคนที่ควรนอนอยู่ข้างกาย แต่สิ่งที่พบก็เป็นเพียงหมอนและความว่างเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มชะโงกหัวขึ้นมองไปรอบห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง
ประตูห้องน้ำที่อยู่ขวามือของเตียงนั้นเปิดอ้าอยู่เช่นเดียวกับประตูระเบียง เป็นเหตุให้แสงของวันใหม่สาดส่องเข้ามาปลุกชายหนุ่มจากการหลับใหล เงาร่างของใครบางคนประทับลงบนผ้าม่านราคาถูกโบกสะบัดไปมาจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย กิตติคว้ากางเกงขาสั้นที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมให้กับร่างที่เปลือยเปล่าก่อนจะเดินโซเซไปที่ระเบียงและสวมกอดร่างนั้นจากด้านหลัง
“ทำไมตื่นเช้าจัง” เขาพูดพรางเอาแก้มแนบไปที่หลังกกหูของอีกฝ่าย
“นอนไม่หลับ”เสียงที่ตอบมานั้นเป็นหญิงสาวอย่างแน่นอนแต่มันเรียบเฉยและไร้อารมณ์อย่างแปลกประหลาด เสื้อกล้ามตัวเล็กและกางเกงขาสั้นของผู้ชายที่เธอสวมนั้นไม่สามารถปกปิดผิวเรียบเนียนสีน้ำตาลนั้นได้มิดชิดนัก
“มานอนเถอะเดี๋ยวเม่นกล่อมเอง” เขาเริ่มใช้จมูกดุนใบหูของหญิงสาวเล่น
“พอเถอะเม่น” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมก่อนจะปัดมือของกิตติหลุดออกและเดินเข้ามาด้านในก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงและคว้ายางรัดผมที่ว่างอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมารวบผมที่ยาวถึงบั้นท้ายไว้
“แมวเป็นอะไร”ชายหนุ่มเดินตามมานั่งข้าง ๆ พรางจับปอยผมเล็กของหญิงสาวขึ้นทันหูให้ อีกฝ่ายโยกหัวหลบและไม่ตอบคำถามปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อยู่หลายนาที ความงงงันของชายหนุ่มปรากฏชัดเจนบนใบหน้าและสายตาที่จ้องมองอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจว่าหญิงสาวที่อ่อนหวาน นิ่มนวล และเขินอายยามเมื่อร่างที่เปลือยเปล่าของทั้งคู่อาบด้วยแสงเทียนสลัวเมื่อคืนนั้นหนีหายไปไหนแล้ว เธอในตอนนี่ช่างเย็นชาและซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ เหมือนเธอปิดกั้นเขาออกจากบางที่ ๆ เขาควรจะอยู่ ปิดกั้นเขาจากโลกที่เขาเคยมีตัวตนอยู่ภายในของเธอเอง
“แมวว่า” หญิงสาวพูดขึ้นทำให้ชายหนุ่มอุ่นใจขึ้นมาบ่าง แต่เมื่อคำพูดคำต่อไปหลุดลอดออกมากิตติก็แทบล้มลงคุกเข่าอ้อนวอนตรงหน้าของหญิงสาว “เราห่างกันสักพักเถอะ”
“ทำไมล่ะ”ชายหนุ่มสวนขึ้นในทันควัน “เม่นทำอะไรไม่ดีหลอแมว”
   เธอส่ายหัวเบา ๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นหลอกเม่น เม่นนะดีทุกอย่าง”
   “แล้วทำไมละแมว” หญิงสาวเงียบไปเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ทั้งคู่หันหน้าหนีจากกันก่อนที่เขาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อพูดคำต่อไปและใช้ความกล้ามากกว่านั้นเพื่อฟังคำตอบของคำถาม “มีคนใหม่ใช่หรือเปล่า”
   หญิงสาวหันมาที่ชายหนุ่มอย่างเร็ว “อะไรนะ”
   “แมวตอบเม่นมาสิ”ชายหนุ่มย้ำหนักแน่น หญิงสาวไม่ตอบ “ มันชื่อกรเด็กม.สุวรรณฯใช่มั้ย” เข้าจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา
   “เม่นรู้เรื่องกรเขาได้ยังไง”หญิงสาวว่า ชายหนุ่มเค้นเสียหัวเราะขึ้นจมูกที่หนึ่งอย่างเจ็บใจ“เรื่องนี้กรเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับอะไรล่ะแมว เงินมัน หน้ามัน รถมันหรืออย่างอื่น”คำสุดท้ายนั้นชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่แผงด้วยโทสะที่อัดแน่นในทุกถ่อยคำดวงตาจ้องมองหญิงสาวที่บัดนี้แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ยังคงใจแข็งจ้องชายหนุ่มกลับ “อย่างคิดนะว่าเม่นไม่รู้ เม่นไม่ได้โง่นะ”
“เม่นพูดเรื่องอะไรเนี่ย” เธอว่าพรางเสยปอยผมด้านข้างขึ้นทัดหู ชายหนุ่มรู้ดี เวลาเธอโกหกเธอมักทำแบบนี้เสมอ
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่จริง” เธอตอบทันควันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นคำโกหกที่เชื่อถือไม่ได้
“เม่นไม่เชื่อหลอก เก็บไว้หลอกเด็กปัญญาอ่อนจะดีกว่านะ”
“ก็แล้วแต่เม่นจะคิด”เธอพูดก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มเงียบกันไปอีกครั้ง
กิตติหันหน้าหนีจากหญิงสาวอย่างหมดหวังและพยายามอย่าสุดความสามารถที่จะสะกดกลั่นน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาขึ้นมาทุกที ก้อนเนื้ออันใหญ่เริ่มขึ้นมาจุกที่คอทำให้ในอกแน่นจนทรมานราวกับว่าจะขาดใจอยู่ตรงนั้น แต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกว่ากำลังจะตาย ก้อนเนื้อนั้นก็จะคลายตัวให้ชายหนุ่มได้หายใจคล้ายปราณีก่อนจะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับคำสาปที่ไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ กิตติเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเช่นกัน
“ถ้าอย่างจะเลิก......” เขาว่า “ก็เลิกเถอะ คบกันไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาสองปีที่คบกันก็มีแต่เรื่องคนอื่นจนเม่นเองเริ่มเหนื่อยแล้วที่ต้องคอยตามแมวอยู่แบบนี้”
นับจากนาทีที่เขาพูดคำนั้นออกไปเวลาทั้งหมดทั้งมวลบนโลกทั้งใบนั้นก็ดูเหมือนจะบิดเบือนจากความเป็นจริงไปมาก เธอคนนั้นไปตอนไหนชายหนุ่มก็ไม่รู้ เวลาทุกวินาทีเริ่มยาวนานขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว หนึ่งนาทียาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น หนึ่งชั่วโมงยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ และน้ำตานั้นที่พลั่งพลูออกมาก็เหมือนว่าความโศกเศร้าทั้งหมดนั้นจะไม่มีวันจางหายไปเลย
.....................................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
สาริณีนอนดูโทรทัศน์เพียงคนเดียวภายในหอพักโดยสวมเพียงเสื้อนักฟุตบอลตัวยาวเพียงตัวเดียว เผยให้เห็นเรียวขาที่ค่อนข้างเล็กและขาวซึ่งก็ดูเข้ากันดีกับเท้าที่เล็กและรูปร่างที่ไม่สูงมากของเธอ ทรงผมที่สั้นและดำก็ทำให้ใบหน้าเธอดูอ่อนใสและน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น สาริณีมองดูชื่อผู้โทรเข้าก่อนจะรีบรับสาย
“อือ...”
“ทำไรอยู่”เสียงชายหนุ่มพูดมาตามสาย
“ก็รอโทรศัพท์ธงอยู่ไง”
อีกฝ่ายหัวเราะอย่างเป็นสุข “น่ารักจังเลยแฟนใครเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”หญิงสาวพูดพรางหัวเราะ “แล้ววันศุกร์นี้จะมาหาสาหรือเปล่าเนี้ย”
“อือ....คงไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ” หญิงสาวถามเสียงห้วนไม่หวานเหมือนก่อนหน้า
“มีงานด่วนเข้ามา อย่าโกรธธงเลยนะ เดี๋ยวอาทิตย์ถัดไปจะไปหาแน่”   
   “งานด่วนมาสองเดือนแล้วนะ ธง......”
   ”โถ่สา”อีกฝ่ายทำน้ำเสียงตัดพ้อ “ธงขอโทษ แต่งานมันด่วนจริง ๆ”
   หญิงสาวดูจะพยายามอดกลั้นอยู่มาก “อย่างนั้นก็ได้”
   “อือ...งั้นแค่นี้ก่อนนะ ดึก ๆ จะโทรไปใหม่”
   “อือ”
   ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ก็ตัดไปเหลือเพียงเสียงสัญญาณแปล่งหู เธอโยนโทรศัพท์ไปอีกด้านของเตียงก่อนจะหันมาสนใจโทรทัศน์ต่อ แต่ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เธอบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปส่องตาแมวที่ประตู
   “ไอ้เม่น ไอ้ห่ากูก็นึกว่าใคร” เธอพูดพรางเปิดประตูออก แต่ด้วยสีหน้าของชายหนุ่มที่หม่นหมองลงถนัดตาประกอบกับดวงตาที่ช้ำแดงทำให้หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีไป “เฮ้ย เป็นไรว่ะ ตาแดงเป็นหนูตะเภาเลยมึง”
   ชายหนุ่มไม่ตอบ “กูเข้าไปข้างในได้มั้ย”
   หญิงสาวเปิดทางให้ก่อนจะปิดประตูลงกลอนและมานั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มที่บัดนี้ทิ้งตัวลงบนที่นอนแผ่หลาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง
   “กูเลิกกับแมวแล้ว”
   หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงแกล้งถอนหายใจเสียงดัง “อีกละ สองปีมาน่ากูก็เห็นพวกมึงสองคนเลิกกันห้ารอบได้แล้วมั้ง คราวนี้จะเอากี่วัน ห้าวัน สิบวัน มีคราวที่แล้วกูเห็นใจแข็งหน่อยก็เดือนนึง” พอหญิงสาวเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายจึงหมดอารมณ์กระแนะแระแหน เธอถอนหายใจอีกครั้งก่อนว่า “เรื่องนั้นใช่มั้ย”
   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
   สาริณีรู้ดีถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่จริงก็เป็นเพราะเธอนั้นล่ะที่ทำให้ชายหนุ่มรู้เรื่องนี้เข้า  เรื่องของเรื่องก็คือหญิงสาวได้จ้างให้น้าชายของเธอซึ่งทำอาชีพขับแทคซี่รับจ้างอยู่ มาคอยรับแฟนสาวของกิตติที่เป็นโรคตีนแดงลิสซึ่มนั่งรถเมล์ไม่ได้ทุกเย็น และคอยรายงานกลับมาว่าหญิงสาวไปลงที่ไดบางในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งที่เธอทำนั้นมีความหวังดีต่อชายหนุ่มเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่เธอถูกอีกฝ่ายดูถูกว่าเป็นหญิงบ้านเข้ากรุงเสียมากกว่า
   แต่ทั้งที่รู้สึกแบบนั้น หญิงสาวก็อดสงสารชายหนุ่มไม่ได้ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะสาเหตุมาจากเธอ
   “เอางี้”เธอว่า “เย็นนี้ไปหาไอ้คอมกัน ไปหาเหล้าแดก เอาให้เมาแม่งเลยจะได้ลืม ๆ “
   ชายหนุ่มไม่ตอบหญิงสาวถึงตั่งท่ายืนขึ้นและเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้เหนือโทรทัศน์   
   “เดี๋ยวกูมา หาข้าวแดกก่อน เอามั้ย”
   ชายหนุ่มพยักหน้าพรางมองอีกฝ่าย “ชุดนี้เนี้ยน่ะ”
   เธอก้มลงมองตัวเองที่สวมเพียงเสื้อฟุตบอลตัวยาวก่อนจะยิ้ม “เออว่ะ เดี๋ยวไปใส่กางเกงก่อน” ว่าแล้วเธอก็เดินไปคว้ากางเกงจากตู้เสื้อผ้าข้างเตียงและหายไปในห้องน้ำ
   ...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
เวลาอาหารเย็นของครอบครับนี้ดูผิวเผินจะเหมือนอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างมาก แต่ธารารู้ดีถึงสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวใหญ่ตามแบบอย่างของคนจีน มีสมาชิกทั้งหมดราวสิบห้าคนได้ ทุก ๆ วันเวลาสองทุกคนต้องมานั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม้กลมใหญ่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและกินอาหารร่วมกันพรางเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้กันฟังอย่างออกรส เสียงพูดคุยภาษาไทยปนจีนจะดังละงมไปทั่วทั้งห้องที่มีขนาดใหญ่โตพร้อมของประดับใหญ่โตมากมาย ทั้งกระถางกระเบื้องลงลายสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ ภาพเขียนใส่กลอบแบบจีน และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ทุก ๆ วันธาราจะรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นล่องหนอยู่ในห้องใหญ่แห่งนี้ อาป๊าและอาม้าของเธอนั้นจะนั่งอยู่ข้างกับพี่สาวคนโตและน้องชายของเธอส่วนเธอเองนั้นจะนั่งอยู่ท้ายสุดของครอบครัว ที่จริงแล้วเธอจะมีพี่ชายคนรองนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยแต่ตอนนี้เขาออกเดินทางไปต่างประเทศที่นั่งข้างเธอจึงว่างอยู่
   เธอและพี่ชายคนรองสนิทกันมากเป็นพิเศษ อาจด้วยเพราะเป็นลูกคนที่สองและสามซึ่งอยู่ตรงกลางพอดีจึงทำให้มีอะไร ๆ คล้ายกันอยู่หลายอย่าง การที่เขาไม่อยู่ตรงนั้นมันทำให้เธอรู้สึกโดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
   หญิงสาวเหม่อมองไปยังที่นั่งข้าง ๆ ที่ว่างเปล่าด้วยสายตาโหยหา
   “อาเจ้ ข้าว” เสียงน้องชายของเธอดังขึ้นพรางส่งโถข้าวกระเบื้องให้เธอ
   “ขอบใจ อาตี๋เล็ก”
   ธาราแบ่งข้าวใส่จานเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มรับประทานอย่างเบื่อหน่าย เสียงญาติ ๆ ของเธอพูดคุยกันเสียงดังคับห้อง อาป๊าของเธอที่มีผิวขาวและรูปร่างอ้วนท้วนเล่าเรื่องงานรับเหมาที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างอารมณ์พรางพ่นเศษอาหารในปากออกไปยามหัวเราะจนดูคล้ายคล้ายหมูตะกระตะกลาม เธอเบือนหน้าหนีอย่างอับอายก่อนจะลุกเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ
   ห้องของเธอเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีข้าวของอย่างห้องเด็กผู้หญิงทั่วไป เตียงใหญ่ถูกวางชิดริมหน้าต่างด้านในสุดและปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าลายโดลาเอม่อนเช่นเดียวกับหมอนข้าง ผ้าห่มและหมอน ตูเสื้อผ้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีอ่อนถูกว่างอยู่ที่ปลายเตียง ข้าง ๆ เป็นโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้ชนิดเดียวกัน ข้างเตียงอีกด้านเป็นโต๊ะหัวเตียงเล็ก ๆ ใช้วางโคมไฟรูปโดลาเอม่อนแต่งตัวเป็นเทพีเสรีภาพ ถัดจากโต๊ะหัวเตียงมาจะเป็นโต๊ะวางคอมพิวเตอร์จอพราสม่าสีดำดูราคาแพง ห้องของเธอไม่มีโทรทัศน์เพราะตอนที่เธอซื้อคอมพิวเตอร์มา อาป๊าบอกกับเธอว่าถ้าจะเอาคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องก็ต้องเอาโทรทัศน์ออกไป ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นนางอายหลบอยู่ในห้องตลอดไม่ไปไหนอีก แต่เธอคิดว่าปรกติก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเธออยู่แล้วแม้ว่าเธอจะอยู่กลางคนเหล่านั้นก็ตาม
   ธาราทิ้งตัวลงบนเก้าอื้ตัวใหญ่ที่ทำเป็นรูปโดลาเอม่อนกำลังกอดคนที่นั่ง ก่อนเริ่มท่องไปในโลกที่เธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีตัวตนอยู่จริงและมีค่าสำหลับใครสักคน ในโลกแห่งนั้นเธอสามารถไปไหนก็ได้อย่างใจเธอต้องการ พูดคุยกับใครก็ได้โดยไม่รู้สึกเขินอายไม่ว่าจะเชื่อชาติได ศาสนาไดเธอสามารถพูดคุยได้หมด และส่วนที่เธอชอบที่สุดก็คือเธอสามารถเป็นใครทำอาชีพอะไรก็ไดในโลกข้อมูลอิเล็กทรอนิกนี้ ทั้งหญิงระบำเปรื่องผ้าในลาสเวกัส ไอด้อลชายหน้าหวานชื่อดังในญี่ปุ่น หมอศัลยกรรมให้คำปรึกษาแก่ผู้เดือดร้อนในอินเดีย และที่เธอชอบที่สุดคือหนุ่มใหญ่ขี้เหงาในกรุงเทพ
   ไม่นานนักก็มีคนเข้ามาทักทายเธอผ่านโปรแกรมพูดคุย เอ็มเอสเอ็น ชื่อที่ขึ้นอยู่บอกให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนเก่าที่พูดคุยกับเธอมานานผ่านโลกสะเหมือนจริงแห่งนี้ สำหรับเธอ ธาราคือพี่แว่นชายวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่ขี้เหงาและอบอุ่น และสำหลับธารา อีกฝ่ายคือแอมมี่เด็กสาวน่ารักวัยมัธยมปลาย
   -  ดีค่ะพี่แว่น-
- อือ...ว่าไงจ๊ะ แอมมี่ วันนี้โดดเรียนอีกหรือเปล่า-
- เปล่านะ วันนี้เขาปะเรียนโด้ย-
ธาราชินเสียแล้วกับการพิมพ์ข้อความแบบนี้ของอีกฝ่ายถึงบางครั้งมันจะทำให้เธอปวดหัวบ่างก็ตาม
-จริงนะ ไม่หลอกพี่แว่นนะ
-เจง เจง- อีกฝ่ายพิมพ์มาพร้อมกับไม้ยามกสามแถวเต็ม
-แล้วเป็นไงบ่าง เรียนอะไรบ่างวันนี้-
-เรียนรู้ที่จาร้าก- ตามมาด้วยไม่ยามกอีกสองแถวครึ่ง
   ธาราอมยิ้ม
   - หลอ แล้วตอนกลางวันกินอะไรบ่างหรือเปล่า เลิกไอเอ็ดได้แล้วนะ-
   - เขากินต๊ะหลายอย่าง พี่ล่ะกินอะไรบ่าง-
   - กินแต่ไก่วันนี้ ปวดตามข้อไปหมดแล้วเนี้ย สงสัยจะเป็นเก๊า-
   - เจงหลอพี่  ไปหาหมอยัง-
   - ไปแล้ว หมอบอกว่าเป็นเก๊าสายพันธุ์ใหม่ รักษาไม่หาย-
   - เจงอะ-
   - อือ โรค เก๊าๆๆๆๆๆๆๆๆๆร้ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆโตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเองๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ-   
    ธาราหัวเราะเบากับความไร้สาระของตัวเอง
-แล้วพี่ได้บอกร้ากกับคน ๆ น้านไปยาง- อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีคล้ายไม่พอใจที่เจอคนไร้สาระกว่าตัวเอง
-ยังเลย แต่เมื่อวานได้คุยกับเขาด้วย-
-เจงอ่ะ เขาว่างายบ่างละ-
-ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พยักหน้าเฉย ๆ เอง-
-ดีจางน้า-
-ดียังไง....พี่ไม่เข้าใจ-
-ก็ดีที่อย่างน้อยพี่ยังมีคนให้ร้าก ให้คิดถึงไง-
ธาราจ้องมองข้อความนั้นอย่างครุ่นคิดและเหม่อลอย
-คงอย่างนั้นมั้ง--
หญิงสาวนั่งอยู่แบบนั้นจนถึงเกือบเที่ยงคืนก่อนจะหาข้ออ้างไปนอน อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเธอไปโดยดี แต่หลังจากผ่านไปหลายสิบนาที ธาราก็ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง
      “เก๊าร้ากโตเองน้า”หญิงสาวพึมพำพรางยิ้มก่อนจะผล่อยหลับไป
.......................................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                          หวัดดีครับ :m13: งาย........ในที่สุดก็ได้พูดคำนี้เสียที  :m15: ยังไงก็ต้องสวัสดีอย่างเป็นทางการด้วยนะครับ  :m4: สำหลับบอร์ดนี้ผมยังเป็นมือใหม่อยู่ดังนั้นเลยอยากจะฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วกัน ที่บอกว่าเป็นมือใหม่สำหลับบอร์ดนี้ก็เพราะเหตุผลหลายข้อ หนึ่งคือ ผมเพิ่งจะได้ลงเรื่องที่บอร์ดนี้เป็นเรื่องแรกเลยไม่ค่อยมีใครรู้จักผมซักเท่าไร (พูดไป ทำอย่างกับที่อื่นเขารู้จักแกนิ  :m15: )ต่อมาคือ เรื่องนี้เป็นเรื่องรัก ๆ ไคร่ ๆ เรื่องแรกที่ผมเขียน ขอสารภาพเลยว่าที่ผ่าน ๆ มาผมไม่ค่อยถนัดเรื่องอะไรแบบนี้เลยสักนิด ทั้งในการเขียนและชีวิตจริงเรื่องนี้มีคนเป็นสิบยืนยันได้ (เว่อล่ะ ไม่ถึงมั่งเหอะ  :m23: ) ดังนั้นเลยไม่เคยได้เขียนเรื่องแบบนี้ออกมาเป็นจริงเป็นจังเสียที จนพอระยะหลัง ๆ มานี้ไม่รู้เป็นอะไร ถามตัวเองด้วยคำถามเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนฟุ้งซ่านนอนไม่หลับไปหลายคืน คิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้เสียที จนทนไม่ไหวเลยลองเขียนออกมาเป็นเรื่องเป็นราวดูสักครั้งเผื่อมันอาจจะช่วยอะไรได้บ่าง ยังไงถ้ามีข้อผิดผลาดอะไร ก็ต้องขอคำติชม ชี้แนะด้วยแล้วกันนะครับ  :m3: 
                             

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อ่านแล้วน่าสนใจดี แต่ตัวละครเยอะไปนิด  :m7:  :m7:  :m7: อาจจะเป็นรูปแบบของความเหงารึเปล่า  :a9:  :a9:

detective Q

  • บุคคลทั่วไป
ตาลายค๊อดๆ
ฉากแรกที่ตอนประถมเนี่ยไม่เกี่ยวกับเรี่องใช่ป่าว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






keivet001

  • บุคคลทั่วไป

Insert Quote
ตาลายค๊อดๆ

จะว่าไงดีละ เกี่ยวก็เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว   ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิครับ :m21:   

three

  • บุคคลทั่วไป
 o2ตาลายไปนิดแต่ก็ไงดีหนุกครับรีบมาต่อนะครับ :m7:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
จะรีบมาอัพน้าคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ


:m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

three

  • บุคคลทั่วไป
รอติดตามอยู่นะครับผม :a11:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
“งั้นก็แปลว่าคราวนี้มึงเอาจริงใช่มั้ย”เจนศิลป์พูดขึ้นหลังจากกิตติและสาริณีเล่าทุกอย่างให้ฟัง
   คนทั้งสามนั่งอยู่ด้านนอกของร้านที่เป็นระเบียงแคบยาวเปิดโล่งให้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน
   อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่พยักหน้าน้อย ๆ
   “อือ...ก็ดีแล้ว คนแบบนั้นคบกันไปก็มีแต่เสียใจเปล่าๆ ”
   “แหม....ตอนนี้แม่งก็พูดได้สิ” สาริณีพูดขึ้นพรางยกแก้วเหล้าขึ้นเทใส่ปาก “แต่กูเห็นพอแม่งมาบีบน้ำตาไม่เท่าไรมึงก็ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟทุกที”
   “สา มึงเชื่อกูสิ กูไม่เอาแล้วจริง ๆ” กิตติพูดเสียงป้อแป้อย่างคนเมาพรางยกแก้วเหล้าเทเข้าปากอีกคน “ว่าแต่กู แฟนมึงง่ะ ไม่เห็นมาสนใจใยดีมึงเท่าไรเลย อยู่ห่าง ๆ กันแบบนี้ระวังเถอะมึง กูจะบอกให้”
   “อ้าวไอ้เชี้ยนี่ ปากหรือนะที่พูด”
   “เอ้าสา” เจนศิลป์ร้องขึ้น “มึงมีแฟนด้วยหลอว่ะ”
   ไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบ กิตติก็พูดขึ้น“อย่านะไอ้สัตว์  อย่าพึ่งเล่านะมึง ให้กูไปหายาดมก่อนแม่งน้ำเน่าชิบหาย”
“จริงหลอว่ะ” เจนศิลป์หัวเราะพรางมองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“เออ..จริง ๆ น้อง ๆ ตำนานรักดอกเหมยช่องสามเลยมึง”
   “ไอ้สัตว์เว่อ”หญิงสาวหัวเราะเสียงดังพรางปาฝาขวดน้ำใส่ชายหนุ่มเบา ๆ
   “จริงหลอว่ะ เล่าให้กูฟังบ่างสิ กูอยากรู้” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันตัวเข้าหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างสนใจ
   “ก็ไม่มีอะไร” หญิงสาวยิ้ม “พวกมึงจะรู้ไปทำไมเนี้ย”
   “มึงก็เล่าให้ไอ้คอมมันฟังหน่อยสิ เอาตั้งแต่ ปวช.เลยนะ”
   “จริงอะ คบกันตั้งแต่เรียนปวช.ที่ประจวบเลยน่ะนะ”
   “เออ....ก็คบกันมาเลื่อย ๆ พอกูเอ็นติดที่นี่เลยไม่คอยมีเวลาอยู่ด้วยกัน เขาก็เรียนปวส.ไปด้วยทำงานได้ด้วยเลยยุ่ง ๆ ไม่มีเวลามาหากูก็แค่นั้นเอง”
   “ไม่เอาไอ้เชี้ย”กิตติโอตคลวน “เอาตอนไปส่งมึงที่ท่ารถทัวร์ด้วย”
   หญิงสาวหัวเราะแก้มปริ
   “ทำไมว่ะ มีไร”
   หญิงสาวหัวเราะพรางกุมหัวตัวเองโดยมีกิตตินั่งยุอยู่ตรงข้าม
   “ก็ตอนที่กูจะขึ้นรถทัวร์มาที่นี่เขาก็มาส่งกูที่ท่ารถแล้วก็บอกว่า”สาริณีหัวเราะตามกิตติที่ตอนนี้หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว “ก็บอกกูว่า ถึงตัวจะไกลกันยังไงแต่ใจอยู่ใกล้นะ”
   กิตติปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง เจนศิลป์งงแต่ก็ฝืนหัวเราะตามเช่นเดียวกับหญิงสาว
   “ไอ้สัตว์เน่าชิบหาย”
   ไม่ทันที่จะว่าอะไรต่อ เพื่อนร่วมงานของเจนศิลป์ก็ยืนกวักมือเรียกอยู่ไกล ๆ ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ
   “เดี๋ยวกูไปก่อนนะ ไปทำงานก่อน สาฝากดูไอ้เม่นดี ๆ ด้วยนะ”
   หญิงสาวพยักหน้าก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไป กิตติยังหัวเราะอยู่ในลำคอไม่หยุด ทั้งคู่เงียบกันไปสักพักก่อนที่กิตติจะหยุดหัวเราะและพูดขึ้น
   “สา กูถามมึงจริง ๆ นะ” น้ำเสียงเขาฟังดูจริงจังขึ้นถนัด “มึงรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่าว่ะ”
   “รู้สึกอะไรของมึง”หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
   “ก็ที่มึงบอกไง ที่แฟนมึงบอกว่าถึงตัวห่างกันแต่ใจอยู่ใกล้กัน มึงรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”
   หญิงสาวเงียบไปพรางเหมอมองไปยังผืนน้ำด้านนอกที่มืดมิดกลมกลืนไปกับเวลาค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ นานครั้งเสียงน้ำกระทบตัวกันเบา ๆ ด้านล่างจะลอยแว่วมาตามลมที่หยุดนิ่งไม่ไหวติง ทุกสิ่งชวนเงียบงันและเปล่าเปลี่ยวจนหญิงสาวรู้สึกหนาวขึ้นมาในอก
   “เป็นบางครั้ง” เธอตอบเสียงเบา
   ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด
   “แล้วมันดีมั้ย”
   หญิงสาวหัวเราะ สายตายังคงมองออกไปด้านนอก “มึงถามอะไรเนี้ย”เธอถามกลับพรางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้วอีก “มันก็ไม่ดีเท่าไรหลอก ส่วนใหญ่จะเหมือนคอยมากกว่า” น้ำเสียงเธอฟังดูไม่จริงจังนักแต่มันก็แฝงด้วยความเศร้าที่ลอยตัวบางเบาอยู่
   “คอย.....”ชายหนุ่มทิ้งหางเสียงไว้
   “พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจ แดกเหล้าเถอะ”ว่าแล้วเธอก็ยื่นแก้วเหล้ามาชนและยกขึ้นดื่มที่เดียวหมดแก้ว
   ทั้งคู่นั่งดื่มกันอยู่อย่างนั้นเป็นนานโดยมีเจนศิลป์เดินมาพูดคุยด้วยเป็นระยะ ไม่นานเวลาก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปสองชั่วโมงพอดี
   “งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อนนะ” กิตติพูดบอกเจนศิลป์พรางหิ้วปีกสาริณีเดินออกมาทางหน้าร้าน
   “เออ ๆ” เขาว่าพรางมองดูหญิงสาว “กูก็คิดว่ามึงจะเมาเดินไม่ไหวซะอีก ไป ๆ มา ๆ ไอ้สาเสือกเมา”
   กิตติหัวเราะ “กูก็ว่างั้นล่ะ....งั้นกูไปนะ”
   เจนศิลป์พยักหน้ารับพรางมองตามทั้งคู่ไป
   กิตติโบกรถแทคซี่แถวนั้นให้จอดก่อนจะให้หญิงสาวที่เมามายไม่ได้สติก้าวขึ้นรถก่อน และตัวจึงค่อยก้าวขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ที่หลัง เขาบอกที่หมายให้แทคซี่ก่อนตัวรถจะเคลื่อนออกไป ไม่นานหญิงสาวที่นอนอยู่กับเบาะจึงเริ่มยันตัวเองขึ้นนั่ง
   “อยู่ไหนเนี้ย” เธอพูดเสียงเบาอย่างคนหมดแรง
   “แทคซี่....มึงนอนไปก็ได้ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
   อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ตักของชายหนุ่ม “เฮ้ย...ทางโน้นดิว่ะ” สาริณีไม่ตอบเอาแต่นอนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเช่นเดียวกับกิตติที่นั่งตัวแข็งไม่กล้ากระดิกตัวไปไหน สายตาก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตางงงันระคนเอ็นดูจนเสียงจากด้านหน้าดังมา
   “แฟนน้องเมามากเลยนะนั้น”
   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง“ไม่ใช่แฟนหลอกครับพี่ เพื่อนกันน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันมามองหญิงสาวอีกครั้ง
   หอพักที่ทั้งคู่เช่าอยู่นั้นห่างจากท่าน้ำนนทบุรีเพียงไม่เท่าไร นั่งรถแทคซี่เพียงสิบนาทีก็ถึงที่หมาย
   “ไม่เป็นไรครับพี่”กิตติพูดเมื่อคนขับตั้งท่าจะทอนเงิน “เฮ้ย ตื่นได้แล้ว ถึงแล้ว”หญิงสาวไม่ขยับ ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ ประคองเธอนั่งก่อนที่ตัวเขาเองจะออกมาจากรถและเดินมาอีกข้างเพื่อหิ้วปีกเธอออกมา พอออกมาจากรถเขาก็นึกขึ้นได้ว่าหอพักของตัวเองและหญิงสาวไม่มีลิฟ กิตติจึงค่อย ๆ ให้สาริณีขึ้นขี่หลังและแบกเธอขึ้นชั้นหกซึ่งเป็นชั้นที่หญิงสาวเช่าห้องอยู่
   “เอ้า...นอนซะ”เขาทิ้งเธอลงบนเตียงเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้น“เดี๋ยวกูลงไปเอาแฮ้งค์ในห้องกูมาให้ อย่าพึ่งล๊อกห้องนะ” เขาว่าก่อนจะเดินลงมาที่ห้องตัวเองที่อยู่ชั้นสามและกลับขึ้นไปใหม่ แต่สาริณีไม่อยู่บนเตียงแล้ว เสียงฝักบัวในห้องน้ำดังมา ประตูไม่ได้ล๊อกไว้ กิตติจึงเดินไปแง้มประตูดูอย่างกล้า ๆ กลัวแต่ก็ต้องผงะเมื่อเจอกับร่างของหญิงสาวตัวเปียกทั้งเสื้อผ้านั่งกับพื้นห้องน้ำมือกอดโถชักโครกที่มีเศษอาหารกลิ่นคลุ้งเหล้าลอยอยู่เต็มไว้แน่น
   “นางสาวสาริณี มึงทำส้นตีนไรเนี้ย” เขาว่าพราวกดชักโครกและพยุงหญิงสาวขึ้นจากพื้น แต่เธอไม่ยอม เอาแต่นั่งให้น้ำจากฝักบัวซาดชโลมไปทั่วใบหน้าและตัวจนชายหนุ่มเปียกไปด้วย เธออ้าปากและบ้วนน้ำออกมาสองสามทีก่อนจะยิ้ม
   “ถ้าเป็นมึง”หญิงสาวพูด “มึงจะคอยมั้ย”
   “คอยไรของมึงว่ะ”ชายหนุ่มหมดปัญญาจะพาหญิงสาวออกจากห้องน้ำจึงนั่งลงข้าง ๆ
   “ก็คอยให้คนที่มึงรักมาหาไง”
   ชายหนุ่มเงียบไปปล่อยให้เสียงน้ำดังอยู่ระหว่างทั้งคู่
   “คอยสิ”กิตติพูดพรางเสยผมที่เปียกโชคขึ้น “เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องมาไม่ใช่หลอ อาจจะเร็ว อาจจะช้า แต่ยังไงสักวันเขาก็ต้องมาไม่ใช่หลอ”
   หญิงสาวก้มลงพยักหน้าทั้งรอยยิ้มแต่ด้วยรอยยิ้มนั้นน้ำตากลับหลั่งไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอคู้เข่าขึ้นพรางวางหัวไว้บนนั้น กิตติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวนักแต่ก็โอบไหล่เล็ก ๆ ของเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง สาริณีเอนตัวเข้าหาเขาและร้องให้ตัวสั่นเทา
   กิตติใช้มืออีกข้างเสยปอยผมที่เปียกชุ่มของหญิงสาวขึ้นทัดหูคล้ายต้องการปลอบโยน เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงงงันระคนหวาดกลัว เหมือนเธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะอะไร เขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ทำไมเขาถึงโอบเธอไว้ ทำไมถึงเธอถึงยินยอม ทำไมเธอร้องให้ และทำไมเขาถึงปลอบขวัญเธอ
หญิงสาวค่อย ๆ เอามือขึ้นลูปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายต้องการหาคำตอบจากใบหน้านั้น มันให้สัมพัทธ์ประหลาดจากเคราที่ชายหนุ่มไม่ได้โกนมานาน ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองมายังเธอชั่งดูจริงใจจนภายในอกเธอสั่นไหว ลมหายใจอุ่นของเขารดรินลงบนกายเธอแทนหยดน้ำ และเหมือนเวลารอบตัวของทั้งคู่หยุดนิ่งยามเมื่อริมฝีปากของทั้งสองประกบแนบชิดกันอย่างแผ่วเบา มันให้รสเฟือนแต่อิ่มเอมอย่างประหลาด
เธอพูดบางอย่างที่ข้างหูของกิตติ เขาส่ายหน้าช้า ๆ สายตาจ้องที่หญิงสาวไม่หลบหายไปไหน เธอยิ้มกับคำตอบ และค่ำคืนนั้นก็เป็นค่ำคืนที่เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งและยาวนานกว่าคำคืนใด ๆ         


...

ถ้ามีอะไรติชมก็บอกได้นะครับผม  แงบ ๆ ๆ ๆ

  :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
เสียงโทรศัพท์มือถือของเจนศิลป์ดังขึ้นขณะกำลังเดินกลับจากตลาดเพื่อซื้อข้าวต้มหัวปลาให้แม่ เขาชายตามองดูเวลาก่อนจะรับสาย มันบอกเวลา เจ็ดโมงตรง
“ครับ อาภู่” ภู่คือเพื่อนเก่าของบิดาของชายหนุ่มที่เปิดสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานอยู่
“เออ คอมหลอ ว่างมั้ยวันนี้”อีกฝ่ายเข้าเรื่องอย่างรีบเร่ง
“ครับ..ก็..”ไม่ทันที่เขาจะตอบอีกฝ่ายก็แทรงขึ้นมา
“เออ อาจะให้เรามาถ่ายรูปให้อาหน่อยน่ะ พอดีวันนี้งานมันเร่งมาสามสี่งานไม่มีใครว่างเลยว่ะ ช่วยอาหน่อยได้มั้ย”
ชายหนุ่มอึกอักเพราะจำได้ว่าตอนเที่ยงมีนัดทำรายงานกับสาริณี กิตติ และธารา แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าทำงานกับอาภู่ แค่ไปถ่ายรู้คู่ให้ว่าที่บ่าวสาวไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ไหนจะเบี้ยเลี้ยง ค่าล่วงเวลา แค่คิดกลิ่นเงินก็ลอยมาแต่ไกลจนเอาชนะใจของชายหนุ่มได้ “กี่โมงครับอา”
“ดี ๆ งั้นเอางานนี้ไปเลย แปดโมงเช้าที่สวนสรานรมณ์ วัยรุ่นหน่อยจะได้คุยกันรู้เรื่อง ตามนี้นะ อาจะได้โทรบอกลูกค้า ถึงแล้วโทรหาไอ้นอมมันแล้วกัน”
“ครับ ๆ” ว่าแล้วเขาก็รีบเร่งฝีเท้าเดินกลับเข้าบ้าน เอาข้าวเข้าไปให้มารดาที่นอนไม่ได้สติเหมือนเคยก่อนจะรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยมีเสื้อผ้ามากมายนักจึงทำให้เวลาไปทำงานไอ้อาภู่เขาต้องคิดมากหน่อย อาภู่บอกว่าลูกค้ายังวัยรุ่นอยู่ น่าจะไม่ค่อยถือเรื่องเสื้อยืดกางเกงยีนส์เท่าไรนัก เขาจึงสวมเสื้อยืดสีแดงสกรีนลายตัวอักษรจีนที่แปลว่ายืนยาวที่ธาราซื้อให้เขาเมื่อนานมาแล้วกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบคู่เก่าจนเกือบขาด เขาเองก็ไม่ค่อยชอบรองเท้าคู่นี้ แต่เขาก็มีรองเท้าผ้าใบเพียงคู่เดียวจึงต้องจำใจใส่ไป
เจนศิลป์รีบวิ่งลงมาด้านล่างก่อนจะรู้สึกว่าตัวเบา ๆ ชอบกล
“เชี้ยเอ้ย กล้อง” เขาพึมพำก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสามและเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ตรงข้ามกับห้องของตัวเองเข้าไป ภายในนั้นมืดแต่ไม่มีกลิ่นอับ เขาความมือไปเปิดไฟที่อยู่ด้านหลังของประตูจนห้องทั้งห้องสว่างขึ้น
ภายในนั้นไม่รกอย่างที่ควร ซิ้งน้ำเล็ก ๆ ว่างอยู่ริมสุดด้านใน ข้าง ๆ เป็นชั้นเหล็กที่วางกล่องใส่ของอยู่แน่นเต็มห้าชั้นยาวมาถึงผนังอีกด้าน ด้านหน้าของชั้นมีเครื่องกลหน้าตาประหลาดวางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ๆ ถัดมาเป็นกล่องไม้ขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่ ชายหนุ่มไม่พินิจมันมากกว่านี้ เขารีบเดินไปคว้ากล่องใบหนึ่งในชั้นเหล็กลงมาและเปิดออก ภายในมีกระเป๋าใส่กล้องขนาดใหญ่ว่างอยู่หนึ่งใบ เขารีบหยิบมันขึ้นและเปิดอย่างรีบร้อน
ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพที่ชายหนุ่มยังจำได้ไม่ลืม กล้องนิคอมสีดำวางอยู่ตรงกลางโดยหงายหน้าขึ้น มันไม่มีเลนส์ประกอบอยู่จึงมีเพียงฝากคลอบกล้องประกอบอยู่แทน ข้าง ๆ มีเลนส์ขนาดต่าง ๆ ตั้งไว้ห้าอัน ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกแต่ละอันขึ้นส่องกับไฟดู มีฝุ่นเล็กน้อยแต่ไม่มีร่องลอยของรา เจนศิลป์จึงความกล่องที่อยู่บนชั้นอีกใบลงมาหยิบชุดทำความสะอาดกล้องและยัดใส่กระเป๋าก่อนจะรีบเดินออกมาจากบ้านและมุ่งหน้าไปท่าน้ำนนทบุรี
ดูจากเวลาแล้ว ถ้าเจนศิลป์นั่งรถไปคงไม่ทันการ เขาจึงตั้งใจนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาไปแทนซึ่งก็คงใช่เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไปช้านิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะไปช้ากันเสมอ
ไม่นานนักเขาก็มาถึงท่าพระจันทร์
ท่าพระจันทร์ในเวลาเช้าขนาดนี้ดูเงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก ร้านรวงต่าง ๆ ยังปิดเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวจะมีก็แต่เพียงร้านล้างฟีล์มร้านหนึ่งเท่านั้นที่จะเปิดเช้าเสมอ ชายหนุ่มเดินเข้าไปก่อนจะพบกับหญิงแก่คนหนึ่งนั่งอยู่หลังเคาเตอร์ตัวยาวด้านในพร้อมกับอาหารเช้าที่เป็นข้าวต้มถ้วยเล็ก สายตาจับจ้องอยู่กับโทรทัศน์ที่ตั่งอยู่ตรงข้าม
“ป้าครับ เอาฟอร์ม่าห้าม้วนครับ”
หญิงชรามองอีกฝ่ายด้วยสายตาพินิจก่อนจะหันหลังไปหยิบของให้ตามคำ “สี่ร้อย”เธอพูดห้วน ๆ พรางยื่นถุงพราสติกมา ชายหนุ่มจ่ายเงินให้ตามจำนวนและเร่งเดินออกจากร้าน สวนสาธารณะสราณรมณ์นั้นอยู่ห่างจากท่าพระจันทร์อยู่ราวห้าถึงหกร้อยเมตร เดินเพียงยี่สิบนาทีก็ถึง ชายหนุ่มกดโทรศัพท์สาธารณะโทรหาใครบางคน ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
“พี่นอม นี่ผมคอมนะ”ชายหนุ่มว่า นอมคือช่างเทคนิกของสตูดิโอถ่ายภาพของภู่
“เออ ว่าไง”
“นี่คอมอยู่หน้าสวนสรานรมณ์แล้ว พี่นอมอยู่ไหนกันเน้ย”
“อยู่ข้างในละ เดินมาเลย เดี๋ยวก็เห็นเอง”
ชายหนุ่มทำตามคำของอีกฝ่าย เขาเดินเข้ามาตามทางเดินยาวแคบที่ปูด้วยยากมะตอยสีดำ ไม่นานเขาก็เห็นกลุ่มคนสี่หาคนพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ยืนอยู่ ชายหนุ่มตรงไปที่นั้นทันที
“พี่นอมสวัสดีครับ” ชายหนุ่มพูดทักชายวัยกลางคน ผิวคล้ำ ตัวเล็กผอม ที่นั่งอยู่หน้าโน๊ดบุ๊กสีดำตั่งอยู่บนลังกระดาษเก่า ๆ อีกฝ่ายหันมาพรางรับไหว้
“ว่าไงเรา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะ”
เจนศิลป์พยักหน้าพรางยิ้ม  “แล้วนี้ลูกค้ายังไม่มาอีกหลอครับ”
“มาแล้ว ไปแต่งตัวแต่งหน้ากันอยู่ เรานะมานี้ เอ้า”อีกฝ่ายพูดพรางยื่นกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่สีน้ำเงินให้” 
“อะไรครับ”ชายหนุ่มถามทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่
“เอ้า.....”นอมทำเสียงแหลมขึ้นจมูก “ เราเห็นเป็นอะไรละ กีต้าร์มั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะรับมา “กล้องดิตจิตอลของสตูฯ ลูกพี่เขาฝากมาให้ใช้” ชายกลางคนหมายถึงภู่ เจ้าของสตูดิโอ
เจนศิลป์ว่างกระเป๋าตัวเองลงกับพื้นและวางประเป๋าสีน้ำเงินทับของตัวเองพรางเปิดออกดู ภายในนั้นเป็นกล้องยี่ห้อโซนี่ที่ชายหนุ่มไม่คุ้นนัก อีกทั้งยังมีชุดเลนส์ที่ดูยังไงราคาก็ไม่น่าจะแค่พันสองพันแน่
“เป็นไง” ชายกลางคนพูดพรางมองอีกฝ่ายหมายจะเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นอย่างเด็กล็ก ๆ ได้ของเล่นใหม่ แต่เจนศิลป์กลับมองมันด้วยดวงตาเรียบเฉย
“ไม่รู้สิครับ”เขาพูดพรางมองนอมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ผมดูกล้องแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ถ้าเป็นกล้องฟีล์มก็พอจะดูรู้”   
นอมพยักหน้าพรางกลับไปนั่งหน้าโน๊ดบุ๊กต่อ ส่วนชายหนุ่มก็ง่วนทำความสะอาดกล้องนิกคอมและชุดเลนส์ของตัวเอง ไม่นานลูกค้าของคนทั้งสองก็มาถึง
หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าที่สวยแปลกอย่างบอกไม่ถูก เธอมีดวงตากลมโตสีดำดูแล้วหวานน่ามองเข้ากันดีกับรูปหน้าที่ค่อนข้างกลมและพวงแก้มที่อิ่ม ริมฝีปากที่บางถูกแต้มด้วยสีแดงจนดูเติมเต็มส่วนที่ขาดไป ร่างที่สูงราวร้อยหกสิบห้าถูกสวมด้วยชุดแต่งงานสีขาวสะอาดขับเน้นให้ผิวขาวระเรื่องของเธอดูเย้ายวนขึ้น มือทั้งสองข้างของเธอกุมอยู่ที่มือจับรถเข็นที่มีร่างชายคนหนึ่งนั่งอยู่
ชายคนนั้นสวมชุดสากลสีดำดูสุภาพแต่ก็ไม่สามารถปกปิดร่างกายอันกำยำนั้นไว้ได้ ใบหน้าที่หยาบกร้านและดำคล้ำของเขากำลังยิ้มแย้มอย่างที่สุดยามเมื่อเงยหน้าขึ้นคุยกับหญิงสาวที่ดูเป็นสุขไม่น้อยกว่ากัน
ทั้งคู่ดูอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ
ชายหนุ่มลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนทั้งคู่เดินมา นอมก็เช่นกัน
“สวัสดีครับ แหม่ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่นัดมาเช้าแบบนี้” ชายกลางคนว่าพรางยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร”หญิงสาวคนนั้นรีบตอบก่อนจะหันไปถามชายในชุดสากล “เน้อสอง”
“อือ....ตื่นเช้าจนชินแล้ว” ทั้งสองสบตาและยิ้ม
นอมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกเจนศิลป์เข้ามา “นี้น้องคอมครับ เขาจะมาเป็นตากล้องให้วันนี้”
เจนศิลป์ยกมือขึ้นไหว้
“อุ๊ย.....จริงหลอค่ะ”เธอคนนั้นทำตาโตอย่างตกใจ “เห็นพี่ภู่เขาบอกว่าตากล้องยังวัยรุ่นอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะวัยรุ่นขนาดนี้นะค่ะเนี้ย”
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาลงเบื้องล่างอย่างเขินอาย
“ก้อย เธอก็ไปแซวน้องเขา น้องเขาเขินใหญ่แล้วนั่น”ชายนั่งรถเข็นว่าอย่างอารมณ์ดี
“อะไรกัน” หญิงสาวหัวเราะร่วนพรางตีไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ  “ก็มันจริง ๆ นี่หน่า” 
ทั้งสี่คุยเล่นกันอีกไม่กี่คำก่อนจะเข้าเรื่องแนวทางของการถ่ายภาพในวันนี้และเริ่มทำงานกันจริงจังเวลาก็ล่วงเข้าสิบโมงเช้าไปไม่นาน
เจนศิลป์หายใจลึกสองสามครั้งก่อนจะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นจ่อที่ดวงตา และกดชัตเตอร์ โลกที่ชายหนุ่มเห็นผ่านเลนส์นั้นเป็นโลกที่มหัศจรรย์และฉีกแหวกความความรีบเร่งในชีวิตของชายหนุ่มจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันเป็นโลกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เขาสามารถกำหมดได้ทุกอย่าง จะชัดหรือไม่ชัด เอาตรงนั้นหรือไม่เอาตรงนั้น เห็นอะไรไม่เห็นอะไร ชายหนุ่มเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกำหนดได้ ไม่ว่าสิ่งที่เขาบันทึกลงบนแผ่นฟีล์มนั้นจะแปลกประหลาดหรือเรียบง่ายขนาดไหน หากมองในมุมที่แตกต่างออกไป สิ่ง ๆ นั้นยอมดึงดูดความสนใจของใครหลายคนได้
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้มันดูประหลาดเสียจนชายหนุ่มไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี เหมือนการจับคู่ภาพสองภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาตั้งอยู่ติดกันในห้องที่ว่างเปล่า หญิงงามกับชายในรถเข็น
เจนศิลป์กดชัตเตอร์รัว ๆ ถ่ายภาพโครสอัพใบหน้าของคนทั้งคู่ พวกเขายิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ชายหนุ่มเองก็ไม่ค่อยใด้เห็นบ่อยนัก เขาทำงานนี้มาราวสามปีและทุกงานบ่าวสาวจะมีรอยยิ้มที่แตกต่างกันไปจนชายหนุ่มสงสัย บางครั้งรอยยิ้มของพวกเขาก็ดูเป็นไปตามอุดมคติเหมือนรูปคู่ลงนิตยาสารคู่สร้างคู่สม บางคู่ฝืนยิ้มอย่างไม่ต้องสักเกตุก็ดูออก บางคู่รอยยิ้มนั้นเย็นชาราวกับรูปปั่นจากทองสำริด แต่คนทั้งสองนี้ต่างออกไป รอยยิ้มของพวกเขานั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงเส้นบาง ๆ ที่เชื่อมต่อคนทั้งคู่เข้าด้วยกัน ฝ่ามือใหญ่ที่จับแน่นอยู่ที่มือของอีกฝ่ายนั้นก็ดูเข้มแข็งแต่อ่อนโยน ดวงตาที่สบกันก็แทบบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แก่กันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด สิ่งที่พวกเขามีให้แก่กันนั้นมันช่างงดงามเหลือเกินจนชายหนุ่มก็อดสงสัยไม่ได้
เขานั่งมองบ่าวสาวกินข้าวจากกล่องโฟมใบเดียวกัน ชายคนนั้นป้อนให้หญิงสาว เธอยิ้มก่อนทานเข้าไป ชายหนุ่มรีบหยิบกล้องนิกคอมที่ห้อยอยู่ที่คอขึ้นกดชัดเตอร์รัว ๆ สามสี่ภาพ ก่อนที่ชื่อเขาจะถูกเรียกด้วยเสียงของนอม ชายหนุ่มเดินไปหาอีกฝ่ายที่นั่งอยู่หน้าโน๊ดบุ๊กเหมือนเดิม
“ครับพี่” ชายหนุ่มเดินไป สีหน้าเป็นกังวนเล็กน้อย
“ทำไมทำน้างั้นละ จะบอกว่า รูปที่ถ่ายมาน่ะ พอใช้ได้แล้วนะ ภาพโครสอัพกับภาพคู่ใช้ได้หมดลูกค้าเห็นแล้วชอบ เดี๋ยวอีกสักพักจะถ่ายภาพเต็มตัวกัน”
เจนศิลป์พยักหน้าถี่ ๆ ก่อนจะก้มลงมองดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ มันบอกเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที “คงไปไม่ทันจริง ๆ ซะแล้ว” เขาพึมพำ ก่อนจะยืมโทรศัพท์ของนอมโทหาธารา           

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
“จ๊ะ ไม่เป็นไร” ธาราพูดน้ำเสียงกระซิบเพราะอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย “เดี๋ยวอีกสักพักสองคนนั้นคงจะมาแล้วละ งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวบรรณารักษ์ว่า” แล้วจึงวางโทรศัพท์ไป
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนั้นกว้างขวางจนน่าใจหายยามเมื่อไม่มีผู้คนอยู่ด้วย โต๊ะเก้าอี้ว่างเปล่าวางเรียงรายเต็มไปหมดมองดูแล้วชวนเปล่าเปลี่ยว แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกที่ลายล้อมอยู่รอบด้านจนไม่ต้องเปิดไฟนิออนอีก วันนี้แสงแดดไม่แรงอย่างที่คิดอีกทั้งยังมีลมเย็น ๆ พัดมาไม่ขาดทำให้ใบไม้สีน้ำตาลปนเขียวปลิวว่อนไปทั่ว
มันทำให้หญิงสาวนึกถึงวันนั้นขึ้นมาทันที คิดได้แบบนั้นเธอก็ยิ้มออก
วันนั้นเป็นวันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย อาการตื่นเต้นปนหวาดหลัวกระจายอยู่ทั่วทั้งใบหน้าและฝ่ามือ เพื่อนก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี คิด ๆ แล้วก็อยากจะกลับบ้านเร็ว ๆ แต่ประชุมนักศึกษาใหม่เริ่มเที่ยงตรง ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงเช้า แค่คิดว่าต้องรอคนเดียวอีกนานก็ยิ่งทำให้จิตใจเธอห่อเหี่ยวอีกหลายเท่า
 เธอหย่อยกายลงนั่งในโรงอาหารด้วยสีหน้าราบเรียบอย่างเบื่อหน่าย แต่ไม่นานหญิงคนหนึ่งก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามานั่งข้าง ๆ เหมือนรู้จักกันมาก่อน เธอมองอีกฝ่ายพรางพยายามค้นในสมองว่าเคยรู้จักหรือเปล่า อีกฝ่ายนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาจัดว่าน่ารักทีเดียว ผมสั้นของเธอช่วยทำให้ผิวขาวดูน่ามองกว่าเก่าหลายเท่า ดวงตากลมไม่โตมาก ริมฝีปากเล็กแต่อิ่ม เธอคนนั้นยิ้มให้ธารา
“ชื่อไรหลอ เราสานะ” อีกฝ่ายแนะนำตัว
“เราธา” เธอตอบงง ๆ
“อือ....นี้มาคนเดียวหลอ เราก็มาคนเดียวนะ มาจากประจวบนะ แล้วบ้านเธออยู่แถวไหนหลอ แต่ดูท่าคงเป็นคนกรุงเทพฯแน่ ๆ เลย อุ๊ย....ขอโทษนะ เราตื่นเต้นนะ มานี้ยังไม่มีเพื่อนคุยและ เธอเป็นคนแรกเลยพูดมากไปหน่อย” ว่าแล้วก็ขำด้วยกันทั้งคู่
ตอนนั้นเองที่ธาราสังเกตเห็นเข็มที่ปกเสื้อของอีกฝ่าย มันเป็นของคณะบริหาร
“เรียบบริหารหลอ....เราก็เหมือนกันเลย”
“จริงดิ” เธอคนนั้นพูดทั้ง ๆ ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวยังคาที่ปาก ธาราอดขำไม่ได้
แต่ก่อนจะว่าอะไรต่อ ชายคนหนึ่งก็เดินมา
“โทษนะครับ คือ...อยากจะถามหน่อยว่าเขาประชุมนักศึกษาใหม่กันกี่โมงหลอครับ”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบพร้อมกัน “เที่ยง” ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันมาขำกันอีก
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะขอบคุณและตั้งท่าจะเดินจากไป เขามีใบหน้าที่ไม่มีอะไรโดดเด่น รูปหน้ายาว จมูกโด่ง ดวงตาเล็กแต่เป็นประกายไสชวนให้รู้สึกจริงใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเผ้าก็กระเซิงอย่างคนเพิ่งตื่นนอนผิวสองสีนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างที่สูงราวร้อยเจ็ดสิบโดดเด่นขึ้นมาเท่าไรนัก เขาสวมเสื้อนักศึกษาแขนยาวพร้อมผูกเน็กไทของมหาวิทยาลัยหลวม ๆ  บนแน็กไทมีเข็มของคณะบริหารติดอยู่
“แล้วนี้เรียนคณะอะไรหลอ บริหารหรือเปล่า” สาริณีถามขึ้น อีกฝ่ายพยักหน้า
“นี่ก็บริหารเหมือนกัน....นั่งด้วยกันมั้ยละ”
“อือ...นั่งด้วยกันก่อนสิ”ธาราว่าพรางเขยิบให้อีกฝ่ายนั่ง ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ พรางผงกหัวตอบรับ
“เราสานะ นี่ธา”
“เราเม่น”ชายหนุ่มแนะนำตัว
“ชื่อเม่นหลอ โดนทิ่มแล้วจะเจ็บมั้ยเนี้ย” สาริณีแซวอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เคยทิ่มใครสักทีเลย” ว่าแล้วก็หัวเราะกันทั้งหมด
“คุยเรื่องไรกันเน้ย”สาที่หัวเราะจนท้องแข็งเอ่ยขึ้นพรางขยับแว่นให้เข้าที่
ทั้งสามนั่งคุยกันอย่างนั้นจนถึงเวลาขึ้นห้องประชุม ห้องประชุมที่นักศึกษาใหม่ทุกคนต้องไปนั้นเป็นห้องกว้างขวางปูพรมลายตารางอย่างดี ด้านหน้าสุดเป็นเวทียกพื้นสูงราวสี่ห้าฟุต ด้านล่างเป็นเก้าอี้วางเรียงรายเต็มห้อง คนทั้งสามนั่งอยู่แถวเกือบหลังสุดโดยมีพวกรุ่นพี่นั่งต่อท้าย ไม่นานการประชุมก็เริ่มขึ้นโดยอธิการของมหาวิทยาลัย เขาเป็นชายหัวล้านอายุราวสี่สิปี สวมสูทสีน้ำเงินเข้มดูสุภาพและการพูดจาก็บ่งบอกถึงความเป็นคนจริงที่ยากจะมีใครเอาชนะได้
เสียงประตูห้องประชุมใหญ่เปิดออก อธิการหยุดพูดในทันไดจนชายที่เดินเข้ามาตกเป็นเป้าสายตาของคนนับร้อย ธาราก็หันไปมองเช่นกัน ชายคนนั้นมีผมสั่นติดหนังหัว ดวงตาสีดำสนิทหลุบหายไปในเบ้าที่คล้ำลึกอย่างคนอดนอน ริมฝีปากที่บางเม้มแน่นอย่างกังวล เขาสวมเสื้อนักศึกษาแขนยาวและผูกเน็กไทเรียบร้อย
“อะไรกันพ่อหนุ่ม”ชายหัวล้านคนนั้นว่าออกไมโครโฟน “วันแรกก็สายเลยนะ”
ชายคนนั้นยิ้มพรางผงกหัวเป็นเชิงขอโทษก่อนจะรีบไปนั่งต่อท้ายแถว
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชายคนนั้นกลับติดอยู่ในใจของธาราอย่างประหลาด
การประชุมนั้นเลิกตอนบ่ายสองโมงเศษ รุ่นพี่ทุกคนต้อนรุ่นน้องมาด้านล่างและเริ่มการละเล่นกระชับสัมพันธ์ทั้งร้องรำทำเพลงต่าง ๆ นา ๆ จนสุดท้ายก็มาลงเอยที่การล่ารายชื่อของเพื่อนและรุ่นพี่ ธารากล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตรงไปที่ชายคนนั้น
“เธอ....เธอชื่ออะไรหลอ เราธานะ”
เขาคนนั้นสะดุ้งเหมือนออกจากภวังค์หรือตื่นนอน“เรา...เรา ....คอม....”เขาตอบเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ธาราทำท่าจด ชายหนุ่มจึงเข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“ธาได้กี่ชื่อแล้ว” สาริณีเดินเข้ามาพรางถามขึ้นโดยมีกิตติเดินมาข้าง ๆ
“เอ้า....นายที่มาสายนิหว่า”กิตติร้องพรางตีไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ เขาแหยยิ้มตอบ
“ไอ้เม่น มึงก็ไปพูดอะไรแบบนั้นว่ะ”
“แล้วไรของมึงเนี่ย เป็นสาวเป็นนางพูดกูมึงไม่สุภาพเลยนะครับคุณนางสาวสาริณี”เขาว่าพรางตีแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ หญิงสาวตอบโต้ด้วยการตบหัวอีกฝ่ายฉาดใหญ่จนกิตติลงไปนั่งกุมหัวอยู่กับพื้น
คิดถึงตอนนั้นที่ไรธารายังขำไม่หาย พอคิด ๆ ดูแล้วคงเป็นต้อนนั้นละมั้งที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกกับอีกฝ่ายผิเศษกว่าคนอื่น เขามีดวงตาที่เธอเองคุ้นเคยอย่างประหลาด ดวงตาที่เหมอลอยออกไปอย่างรอคอย ดวงตาที่เหนื่อยอ่อนแต่บางครั้งเธอกลับเห็นดวงไฟเล็ก ๆ ที่เป็นประกายในแววตา เธอไม่แน่ใจว่านั้นคือความหวังหรือเปล่า แต่ทุกครั้งมันจะอยู่ได้เพียงไม่นานก่อนจะดับไปคล้ายดวงไฟปลายเทียนที่ถูกเป่าให้มอดลง
ธาราลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือสี่หาเล่มมาพลิกดู ก่อนจะเริ่มรวบรวมข้อมูลจดลงกระดาษเอสี่ เธอเงยหน้าดูนาฬิกาติดผนังที่อยู่ตรงหน้า มันบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที
“ช้าจังเลย สองคนนั้น”
ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น



มีอะไรติชม ก็บอกได้นะครับบบบบบบบบบบบบบ   


 :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:

three

  • บุคคลทั่วไป
 :m11:  ช่างยิ่งใหญ่และใหญ่โตจริงๆครับต่อทีนี้จุใจอ่านกันตาลายเลยอ่ะ :m11:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เข้ามาอ่านแล้วต๊กกะใจ

อืม...ก็มีข้อจะติเยอะเหมือนกันนะ

แต่ไม่เอาดีกว่า  เด๋วโดนด่าอีก  อิอิ

เขียนมา  ก็อ่านกันไป....................................................

สู้ๆ  แต่ว่า  สำนวนร่วมสมัยเนอะ

ถ้าอยากได้ เม้นต์แรงๆ ก็บอกมาเด๋วจัดให้  อิอิ

จาก อิเจ้  คนมันแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงส์

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาอ่านแล้วต๊กกะใจ

อืม...ก็มีข้อจะติเยอะเหมือนกันนะ

แต่ไม่เอาดีกว่า  เด๋วโดนด่าอีก  อิอิ

เขียนมา  ก็อ่านกันไป....................................................

สู้ๆ  แต่ว่า  สำนวนร่วมสมัยเนอะ

ถ้าอยากได้ เม้นต์แรงๆ ก็บอกมาเด๋วจัดให้  อิอิ

จาก อิเจ้  คนมันแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงส์


จริงหลอครับ :m15: เอาเป็นแบบเหมือนเพื่อนบอกเพื่อนดีกว่ามั้ยครับ  :m5: ถือสะว่าผมเป็นเพื่อนพี่คนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ :m4:


 :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






keivet001

  • บุคคลทั่วไป
มาแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ฮับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

เห็นมีคน่านเลยดีจายมากกกกกกกกกกกกกกก มากกกกกกกกกกกกก เวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เม้มกานเยอะ ๆ นาครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 

 :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4:...

สาริณีลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดที่กดแน่นอยู่ในสมอง  เธอนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดก่อนจะลุกขึ้นนั่งกุมหัวอยู่บนเตียง
เมื่อคืนเธอเมาหนักมาก ความทรงจำจึงเลือนรางเหมือนความฝัน
แท็คซี่......อ้วก.....น้ำ.....ร้องให้......จูบ.....กิตติ
เธอตกใจจนลืมอาการปวดไปในทันที ขนทั่วตัวเธอลุกชันอย่างหวาดกลัวก่อนภาพต่าง ๆ จะวิ่งผ่านเข้ามาในหัวราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ยิ่งเห็นแบบนั้นความอับอายก็เล่นเข้ามากดที่หัวใจเธออย่างแรง
เธอหันไปมองข้าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่าและรอยผ้าปูที่นอนยับย่น เขาไปแล้ว ฝ่ายนั้นคงจะตกใจเช่นกันที่เห็นเธอนอนอยู่ช้างกายแทนที่หญิงที่ชื่อแมว สาริณีเค้นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกอย่างข่มขื่น ก่อนจะปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง ถ้าฝ่ายนั้นไม่ทำอะไรน่าเกลียดอย่างคุยโม้ว่าได้กับเธอซึ่งเขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว เธอคงพอจะทำใจเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาต่อไปได้ ยิ่งคิดแบบนั้นก็ยิ่งเจ็บใจในความอ่อนแอและขาดสติของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะเหล้าที่เธอกลอกเข้าปาก ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้
หญิงสาวเสียใจอย่างที่สุดแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา เธอลุกขึ้นอย่างไม่มั่นคงนักก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ แค่คิดว่าเมื่อคืนเธอถูกชายคนนั้นสัมพัทธ์ตรงไหนบ่างก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำ แต่เพราะแม้ว่าจะจำได้เพียงเลือนรางแต่เธอก็จำความสุขในช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างดี
เธอเปิดฝักบัวให้น้ำเย็นไหลปะทะร่างก่อนที่เสียงประตูห้องเปิดและปิดเบา ๆ ทำจะให้หญิงสาวสะดุ้ง
“ใครอ่ะ...”แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าขอให้ไม่ใช่ แต่อีกใจกลับเรียกร้องให้เป็นแบบนั้น
“กุ....”เสียงนั้นหยุดคล้ายไม่แน่ใจ “เม่นเอง....”
หญิงสาวผุดยิ้มพรางพิงหัวกับผนังด้านหนึ่ง แม้ว่าในใจจะเจ็บปวดเล็ก ๆ ก็ตาม
“ไปไหนมา สานึกว่ากลับห้องไปแล้ว”
อีกฝ่ายเงียบไป
“จะกลับได้ไง.....เม่นไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย หรือสาเห็นเม่นเป็นคนแบบนั้นหลอ”น้ำเสียงตัดพ้อ
“แล้วไปไหนมาละ”เธอว่าพรางอาบน้ำอย่างเร็ว
“ซื้อข้าว”สิ้นคำนั้นสาริณีก็เดินออกมาจากห้องน้ำพรางเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู เธอสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว กิตตินั่งอยู่กับพื้นหน้าโต๊ะตัวเล็ก ข้าวกล่องสองกล่องพร้อมจานช้อนสองชุดที่ยังว่างเปล่าว่างอยู่บนนั้น สาริณีไม่กล้าสบตาชายหนุ่มเธอเดินเลี่ยงไปยังตู้เสื้อผ้าเละเปิดออก
ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่กอดรัดเธอจากด้านหลัง ศีรษะของชายหนุ่มหนุนอยู่บนเส้นผมที่เปียกชื้นของเธอ หญิงสาวไม่ขัดขืนแม้สมองจะสั่งเช่นนั้นก็ตาม
“เรื่องเมื่อคืน....เม่นขอโทษนะ”
   อกของหญิงสาวเย็นวาบ เขากำลังจะบอกว่าเพราะเมางั้นหรือ จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งผิดพลาดงั้นหรือ.....แล้วมันไม่ใช่ตรงไหนกัน
   “ชั่งมันเถอะ” หญิงสาวฝืนพูดทั้งที่ใจไม่ต้องการเช่นนั้น “เม่นก็เมา สาก็เมา ถือว่าหายกัน”
   “จะบ้าหลอสา คนเอากันนะไม่ใช่เล่นขายของ มีหงมีหายกันที่ไหน”
   หญิงสาวหันมาตบหัวชายหนุ่มฉาดใหญ่ เขาไม่หลบกลับยิ้มชอบใจ “ไอ้ทุเรศ พูดจาลามก......ปล่อย จะหวีผม”เธอว่าพรางดันอีกฝ่ายออก กิตติไม่ทำตาม
   “ไม่ปล่อย”
   “ก็บอกให้ปล่อย”เธอว่าพรางยกมือขึ้นหมายจะตบหัวซ้ำ แต่ชายหนุ่มกลับชี้ที่มือพรางมองด้วยสายตาดุดัน
   “อย่านะ ถ้าตบอีกจะกัดปากให้ขาดเลย”
   สาริณีลังเลอยู่หลายวินาที ก่อนจะปล่อยมือลงข้างตัว
   “ใช่สิ จะทำไงก็ได้ ก็ได้กูไปแล้วนิ”
   “เฮ้ย...”ชายหนุ่มร้อง “ทำไมพูดงั้นละ ไม่ใช่อย่างงั้น สาฟังเรานะ คนเป็นแฟนกันเขาไม่เล่นกันแรง ๆ แบบนี้หลอก”
   หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยสายตางงงัน แต่ใจกลับตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
   “ใครเป็นแฟนใคร พูดให้มันดี ๆ หน่อย”เธอว่าพรางหันหน้าเขากระจกที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง
   ชายหนุ่มสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกไม่วางตา
   “ก็สาเป็นแฟนเม่นไง.....ไม่ได้หลอ”
   “แต่สามีแฟนอยู่แล้วนะ.....แม่นจะทนได้หลอ”
   ชายหนุ่มเงียบไป สีหน้าดูหมองลงไปถนัด ก่อนจะว่า
   “ไม่เป็นไร เม่นมาทีหลัง เม่นรอได้”จบคำเขาก็กอดหญิงสาวแน่นกว่าเก่า “มาเถอะ กินข้าว”
   หญิงสาวไม่ตอบ เธอหันมาและกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
   “แน่นะที่บอกว่าจะรอ”
   “แน่....”ชายหนุ่มกระซิบตอบ “จริงสิ....ลืมบอกไป เดี๋ยวไม่ต้องไปทำรายงานแล้วนะ เราบอกธาว่าสาไม่ค่อยสบาย เราเลยอยู่ดู ธาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราสองคนค่อยพิมพ์กัน”
   “อ้าว แล้วไอ้คอมละ”
   “เห็นธาบอกว่ามาไม่ได้แล้ว.....ชั่งเถอะ กินข้าวดีกว่า เม่นหิวแล้ว”


...

เม้มกานเยอะ ๆ นาครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 

 :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4:...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

ชายหนุ่มเร่งเดินสุดฝีเท้าไปที่หน้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยกลางแสงแดดสีส้มที่สว่างฉายไปทั่วท้องฟ้า ถ้าเขาไม่รีบกว่านี้คงไปทำงานสายแน่ ที่จริงเขาลางานแล้วแต่ดูเหมือนคนจะขาดเจ้าของร้านจึงตามเขาไปทำงาน
   เมื่อมาถึงเขาก็เห็นหญิงสาวสวมแว่นยืนทำหน้าเฉยเมยอยู่
   “สาเราขอโทษนะ”เขาว่าพรางหอบจนตัวโยน
   “ไม่รู้สิเม่น.....เราทำงานอยู่คนเดียวนะวันนี้”เธอว่าอย่างเบื่อหน่าย “สากับแม่นก็ไม่มา.....”
   “โถ่....เราขอโทษจริง ๆ เอาน่า นะ บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมไปจนวันตายเลย” ชายหนุ่มว่าพรางยิ้มกลบเกลื่อนความผิด
   “จริงนะ....”อีกฝ่ายกลับถือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจนเจนศิลป์ทำตัวไม่ถูก
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยน ธาราถึงกับหัวเราะ “พูดมาแล้วนะ ห้ามลืมด้วย งั้นเอ้า”เธอว่าพรางส่งตั้งหนังสือในมือให้ มันสูงจนเกือบถึงคางของเจนศิลป์ “คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนแล้วกัน....ส่วนนี้เราพอจะสรุปให้แล้วว่าต้องใช้ตรงไหนบ่าง.....ตามนี้นะ ไม่ต้องรีบ แต่ต้องเสร็จ เข้าใจ๊” เธอว่าพรางยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินไป ชายหนุ่มร้องเรียก
“นี้เอาจริงหลอ ธา”
“จริง.....”เธอพูดน้ำเสียงติดตลกอย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มจึงเงียบไป
หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตางงงัน “เอางี้” เธอพูดขึ้นในที่สุด “เดี๋ยวเรานั่งแทคซี่ไปส่ง ยังไงก็ต้องไปหาพ่อที่ไซด์งานอยู่แล้ว ไปมั้ย”
ชายหนุ่มพยักหน้าเร็ว ๆ พรางยิ้ม “ไป ๆ ๆ ๆ”
เมื่ออยู่บนรถชายหนุ่มเอาแต่ถามถึงเนื้อหารายงานไม่ขาดจนดูเหมือนระยะทางระหว่างมหาวิทยาลัยกับท่าน้ำนนทบุรีนั้นสั้นลงเหลือเพียงอึดใจเดียว
“งั้นเราไปนะ สา”ชายหนุ่มว่าพรางเปิดประตูรถเมื่อถึงจุดหมาย
ธาราอึกอักอักอยู่ชั่วครู่ก่อนมือจะไปคว้าเอามือของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองทำหน้างงใส่กันหลายวินาที
“ทะ ทำงานดี ๆ นะ”เธอพูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยมือ ชายหนุ่มดูงง ๆ แต่ก็รับคำไป
เวลาผ่านไปอย่างรีบเร่งราวกับติดปีกบินจนชายหนุ่มไม่กล้าเหลือบมองนาฬิกาติดผนังยามเดินเข้ามาในร้านที่ตนทำงานอยู่ เพื่อนร่วมงานสี่ห้าคนของเขามองชายหนุ่มเป็นตาเดียวคล้ายตำหนิซึ่งเจนศิลป์ก็พอรู้ว่าเพราะอะไร เขาเดินไปหลังครัวโดยไม่สนใจคนเหล่านั้นมากนักก่อนจะวางหนังสือและของต่าง ๆ ไว้บนโต๊ะตัวเล็กพรางตั่งท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไม่นานเพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ส่งเสียงมา
“ไอ้คอม เฮียเรียก”
เขานิ่วหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานของนายจ้าง
นายจ้างหรือที่ทุกคนเรียก เฮีย นั้นเป็นชายร่างท้วมผิวขาวอย่างคนจีน อีกทั้งยังชอบสวมเสื้อเชิตสีสันฉุดฉาดจนน่าเกลียด รอบคอและข้อมือมีสร้อยทองเส้นหนาร้อยพันอยู่เต็มคล้ายอวดความมั่งมีของตัวเอง
“มีอะไรครับเฮีย” ชายหนุ่มพูดหลังจากเปิดประตูกระจกสีดำเข้าไป ภายในนั้นมีอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้กลิ่นบุหรี่และกระดาษเก่าคลุ้งอยู่ทั่ว
อีกฝ่ายละสายตาจากกระดาษที่ถืออยู่มาที่ต้นเสียง อีกมือยังคีบบุหรี่ไม่วาง “นั่งก่อนสิ คอม”
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตามคำ อีกฝ่ายจึงดับบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือลงที่เขี่ยแก้วอันเล็ก
“เออ .... คอมช่วยดูนี่ให้เฮียหน่อยสิ ใช่คอมเขียนหรือเปล่า” เขาว่าพรางยื่นกระดาษที่ถืออยู่ให้เจนศิลป์ ชายหนุ่มรับมาและดูอยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นรายการสต๊อกของเมื่อสองสามวันก่อน ชายหนุ่มจำได้เลา ๆ ว่าตนอยู่บาร์น้ำ
“ครับ.....ผมเขียนเอง มีอะไรหรือครับ” เขาว่าก่อนยื่นกระดาษคืนอีกฝ่าย ชายคนนั้นรับไป
“มันก็....”เขาทิ้งหางเสียงไปพรางยกมือขึ้นเกาคิ้ว สายตามองกระดาษไม่วางตา “ไม่มีอะไรหลอก เพียงแต่......สต๊อกมันหายไป”
หัวคิ้วของเจนศิลป์ขมวดเข้าหากันทันที  “หายหลอครับ....”
 “อือ....ฮันเด็ตลังครึ่ง” เขาเงียบไปก่อนจะว่าต่อ “เราพอจะรู้มั้ยว่าหายไปไหน”
เจนศิลป์ส่ายหน้า หัวคิ้วยังไม่คลายตัว “ไม่รู้สิครับ....ตอนผมเช็คมันก็เหลือเท่านี้แล้ว”
อีกฝ่ายมองเจนศิลป์ไม่ว่างตา สายตานั้นให้ความรู้สึกเหมือนตำรวจมองคนร้ายมากกว่านายจ้างมองลูกจ้าง “ไม่รู้ได้ยังไงละ ในบาร์น้ำมีเราอยู่คนเดียวนะ”
“งั้นผมคงเช็คผิดเองละครับ.....ยังไงให้ผมเช็กอีกรอบมั้ยครับ” เจนศิลป์พยายามใจเย็นอย่างที่สุด
“ไม่ต้อง”อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นพรางโบกมือไปมา “เฮียให้คนอื่นเช็คแล้ว มันก็ได้เท่านี้ เฮียไปเช็คเองก็ได้เท่านี้”ก่อนตบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง “เราบอกเฮียมาดีกว่าว่าของมันหายไปไหน”
“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับเฮีย......”
“ไม่รู้....จะไม่รู้ได้ยังไง ในบาร์มีเราอยู่คนเดียว เหล้าลังครึ่งไม่ใช่ว่ามันจะหายไปง่าย ๆ นะ...... เฮียถามตรง ๆ เถอะ เราเอาไปให้ใคร แม่เราใช่มั้ย”
ชายหนุ่มถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน เส้นคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเก่าจนดวงตาแทบหลุดหายไปในเบ้า
“เฮียพูดอะไรเนี้ย แม่ผมไม่ได้เกี่ยวด้วยเลยนะ”
   อีกฝ่ายดูไม่พอใจกับท่าทีของเจนศิลป์เช่นกัน
   “ทำไม....คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่าแม่ลื้อเป็นยังไงหลอ ”
“รู้ไม่รู้ผมไม่สนใจ ไม่สนใจด้วยว่าเฮียไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน แต่แม่ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไงว่ะ ก็แม่ลื้อมันขี้เมาแดกเหล้าที่สี่ขวดห้าขวด คนเขารู้กันทั่วไปหมด”
“อะไรเนี้ยเฮีย มันมากไปแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดพรางกำมือแน่น ตัวเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ
“ทำไม หนอย.....ตอนที่ลื้อมาของานอั้วทำนี่แทบจะกลาบตีนเลียตีนอั้ว ทีตอนนี้ถูกจับได้ว่าเป็นไอ้ขี้ขโมยทำมาเป็นชึ้นเสียง คนอย่างลื้อนี้มันเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ เก๋าเจ็ง” ว่าแล้วก็ถุยน้ำลายเหนียวยืดลงพื้น
  ถึงตรงนี้หากในตัวของเจนศิลป์มีปืนคงจะกราดยิงใส่ร่างนั้นจนพรุนไม่มีชิ้นดี หากในตัวเขามีมีดก็คงจะกระหน่ำแทงจนอีกฝ่ายกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเปื้อนเลือดน่าสมเพชไปแล้ว หากแต่ถ้าชายหนุ่มทำเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นอย่างที่มันพูด บุญคุณที่ครั้งหนึ่งมันเคยให้งานให้เงินนั้นกลายเป็นกำแพงอันใหญ่คอยขวางกั้นไม่ให้เจนศิลป์ทำอะไรวู่วามไป ไม่นานเขาก็เรียกสติกลับคืนมา
“ถ้าเฮียพูดถึงขนาดนั้นผมคงไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว”เขาว่าพรางลุกยืน อีกฝ่ายมองตามอย่างเกรง ๆ “ค่าของที่หายเฮียก็เอาเงินเดือนผมไปก็แล้วกัน น่าจะพอชดใช้ให้เฮียได้  ส่วนเรื่องงาน ผมว่าเฮียคงไม่เอาผมไว้แน่ งั้นผมไปนะครับ” จบคำก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วเดินออกมาจากห้องตรงกลับไปเอาของที่อยู่ด้านหลังครัวและกลับบ้านโดยไม่สนใจสายตาของคนพวกนั้นที่พากันมองอย่างมีนัย
ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจหรือใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่ไม่สนใจว่าของที่หายไปนั้นหายไปได้อย่างไร ใครเอาไป หรือเอาไปทำไม สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้คือ สิ้นเดือนนี้เขาจะเอาอะไรมาใช้จ่าย เงินเดือนก็ไม่ได้ ส่วนเงินที่ได้จากงานถ่ายภาพเมื่อเช้าก็เพียงสามพันบาท หักค่าน้ำค่าไฟแล้วก็น่าจะเหลือสองพันเศษ ไหนจะค่ารถ ค่าข้าว ค่าอะไรอีกจิบปาถะคิดไปคิดมาอยู่ได้นานสุดก็ครึ่งเดือน
“เชี้ยเอ้ย”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเสียอารมณ์พรางทิ้งกองหนังสือไว้กับพื้นและนั่งลงตรงขั้นบันไดหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพรางเหมอมองออกไป
สายน้ำที่ไหลเอื่อยของแม่น้ำเจ้าพระยาถูกแสงอาทิตย์สาดส่องฉาบโฉลมจนกลายเป็นสีส้มอมแดงดูแล้วชวนอ้าวว้างจนน่าใจหาย 
บางครั้งเจนศิลป์ก็รู้สึกว่าตัวเองก็เหมือนกับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานั่น เอาแต่ไหลเอื่อยช้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้เลยว่าทางข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร มีอะไรรออยู่ หรือจุดหมายปลายทางนั้นอยู่ตรงไหน ในทุก ๆ วันเขาก็เอาแต่ไหลไปอย่างอ่อนล้า รอคอย และเฝ้าภาวนาว่าสักวันการเดินทางของเขาจะสิ้นสุดลงเสียที สักวันที่การรอคอยของเขาจะถึงจุดหมาย
บางสิ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งออกจากภวังค์ เขาหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูมันบอกเวลาหกโมงเย็นแล้ว
“ชิบหายแล้ว ลืมซื้อข้าว” คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นหยิบกองหนังสือและเดินกลับบ้านทันที โดยไม่ลืมแวะซื้อมาม่าจากร้านค้าแถวนั้นติดมือกลับไปด้วย
ทันทีที่เจนศิลป์เปิดประตูบ้านเข้าไปเสียงฝักบัวจากชันสองก็ดังมาประทบหูชายหนุ่มทันที ความกังวลแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านไปชั่วร่างทำให้ชายหนุ่มเดินตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำด้านบน ประตูเปิดอ้าอยู่และสิ่งที่ชายหนุ่มพบก็คือ ร่างเปลือยของหญิงกลางคนนั่งหัวพิงผนังด้านหนึ่งโดยมีน้ำจากฝักบัวโปรดปลายใส่ร่างไม่ขาด ชายหนุ่มตกใจแทบสิ้นสติ เขารีบตรงไปปิดน้ำและร้องเรียก
“แม่ แม่....แม่” เจนศิลป์จับตัวเธอและต้องตกใจกับความเย็นชืดที่ร่างนั้นแผ่ออกมา สีหน้าและริมฝีปากเธอซีดขาวจนน่ากลัวอีกทั้งดวงตายังปิดแน่น
เธอคนนั้นไม่กระดิกตัวอยู่นาน ก่อนจะลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมองอีกฝ่าย
“อะไร”
เจนศิลป์แทบยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่
“ทำอะไรเนี้ยแม่”เขาว่า “อยู่นี่นะเดี๋ยวคอมไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้”
สิ้นคำเขาก็เดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาห่อตัวของหญิงคนนั้นไว้และพากลับห้องก่อนจะหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาให้ใส่ ตัวเธอสั่นเทาด้วยความหนาวและสีหน้ายังไม่มีสีเลือดขึ้นมา ชายหนุ่มจึงกลับลงไปทำมาม่ามาให้เธอกิน
หญิงคนนั้นกินจนหมดและหลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก เจนศิลป์ยังคงนั่งดูเธออยู่อย่างนั้นเป็นนานเพราะความเป็นห่วง ดูเธอดีขึ้นมากแล้ว สีหน้าดูมีเลือดมากขึ้น ตัวก็หยุดสั่น แต่เห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มหายเหนื่อยไปได้แม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มเจ็บปวดใจมากกว่าเก่าหลายเท่า เจ็บปวดใจที่แม่ของตัวเองเป็นแบบนี้ เจ็บปวดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย เขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอต้องการอะไร หรือเพราะเขาทำอะไรผิดกันถึงต้องมาชดใช้ความผิดอยู่อย่างนี้
ยิ่งคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เข้าใจ
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มตรงเจนศิลป์จึงเดินออกมาจากห้องและเริ่มล้างถ้วยชาม เก็บกวาดบ้าน รวมถึงอะไรอีกหลายอย่างจนเวลาร่วงเข้าห้าทุ่มไปหลายสิบนาทีกว่าเขาจะได้นั่งลงและเริ่มอ่านหนังสือที่ธาราเอามาให้ เจนศิลป์จดอะไรขยุกขยิกลงสมุดเล่มเก่าไปพรางอ่านเนื้อหาจากหนังสือไปพราง ในปากก็คาบบุหรี่ไว้แน่น นาน ๆ ครั้งถึงจะคืบมันออกและเขี่ยมันลงขวดน้ำ ความเครียดเริ่มโถมเข้ามาเมื่อเนื้อหาเริ่มตันไปหมด หัวคิ้วเริ่มขมวดแน่นเข้าทุกทีจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหว่างคิ้ว อีกทั้งมวนบุหรี่ก็ถูกจุดถี่ขึ้นตาม เขาทิ้งก้นบุหรี่มวลที่หกลงขวดก่อนคว้าซองมาเคาะสองสามที ภายในนั้นว่างเปล่า
“สัตว์เอ้ย”เขาว่าพรางปาซองบุหรี่ที่ขยำจนเป็นกล้อมกลมทิ้งไปที่มุมห้อง สิ้นเสียงตกพื้นของซองบุหรี่ ดวงไฟในห้องก็พลันดับลง
“เชี้ยไรอีกเน้ย”เขาว่าอย่างหัวเสียพรางเงยหน้ามองที่ดวงไฟ ก่อนจะหันไปมองด้านนอกหน้าต่าง ดวงไฟอื่น ๆ ก็ดับเช่นกัน “แม่ง งานก็โดนไล่ออก แม่ก็ขี้เมา เงินก็ไม่มีใช้ ไฟแม่งก็ดับ ซวยชิบหายเลย”เขาตะโกนโหวกเหวกก่อนถีบราวเสื้อผ้าล้ม เสื้อผ้ากระจายไฟทั่ว
“มันช่วยได้หรือ”
เหมือนว่าหูฝาดแต่เขาได้ยินเสียงบางอย่างลอยมาในอากาศอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเงียบลงทันที พรางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“สิ่งที่เจ้าทำ.....มันช่วยได้หรือ”เสียงนั้นถามซ้ำ
ชายหนุ่มมองไปในความมืดที่อยู่รอบตัวพรางย้ำกับตัวเองว่าไม่ได้หูฝาดไป มีบางคนอยู่ในนี้ กับเขา อยู่ในความมืดที่ไหนสักแห่ง
“ใครว่ะ....”เจนศิลป์ร้องถามทั้งที่คอเริ่มแห้งผาก เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วผิวหนังเช่นเดียวกับเส้นขนที่รุกชันขึ้นทำให้อากาศรอบตัวย็นลงถนัดใจ
เสียงนั้นหัวเราะ “สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ว่าข้าคือใครหลอเด็กน้อยเอ๋ย......มันอยู่ที่ว่าการทำเช่นนั้นของเจ้ามันทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นนั้นหายได้จริง ๆ หรือเปล่าต่างหาก”
“พูดเรื่องส้นตีนไรเนี่ย” ชายหนุ่มตะโกนลั่นพรางหันซ้ายหันขวาไปทั่ว “ใครว่ะไอ้สัตว์” จบคำเจนศิลป์ก็สะดุดบางอย่างจนล้มลงไปนั่งกับพื้นเต็มแรง เขายันตัวเองหมายจะลุกขึ้นแต่ขาเขากลับสั่นปวกเปียกจนไม่มีแรงจะยืนต่อไป
“กลัวหรือ”เสียงนั้นยังคงดังมาอีก “เหตุไดเจ้าจึงกลัว เด็กน้อยเอ๋ย”
“มึงจะเอาอะไรว่ะ กูไม่มีอะไรให้หลอกนะมึง” ชายหนุ่มยังตะโกนพรางมองไปรอบ ๆ และต้องหยุดสายตาอยู่ที่ผนังที่อยู่ตรงหน้า
ที่ตรงนั้นมีแสงจากพระจันทร์สาดซ่องลงมาจนเห็นผนังสีฟ้าชัดเจน แต่ตรงกลางผนังกลับมีก้อนเงาสีดำประทับอยู่
“ข้าไม่ใช่ภูตผี”เงาก้อนกลมนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนรูปไปที่ละเล็กละน้อย “หรือปิศาจร้าย ข้าหาใช่มนต์ดำหรือสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไม่มีทางเลย เด็กน้อยเอ๋ย.....”เงานั้นยืดขึ้นจนเต็มผนังก่อนจะหดตัวอีกครั้ง “ที่เจ้าถามข้าว่าข้าคือใคร....” สิ่งนั้นยืดตัวเองช้า ๆ จนกลายเป็นแทงยาวสูงขึ้นไปไนผนัง “หาใช่ว่าข้านั้นจะตอบเจ้าไม่ได้ แต่เหล่าพวกเจ้านั้นขนานนามข้าในหลายชื่อ มากมายเป็นหมื่นเป็นแสน บ่างเยินยอ บ่างสาปแช่ง แล้วแต่สิ่งที่ข้าทำกับคนเหล่านั้น แต่มีอยู่เพียงนามเดียวเท่านั้นที่ข้าโปรดปราณมากที่สุด ข้าจะให้เจ้าเรียกข้าตามนามนั้น จงเรียกข้าว่า อมร”
“อมร”ชายหนุ่มทวนคำ พรางมองเงานั้นที่ค่อย ๆ แบ่งตัวเองจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
“ใช่แล้ว.....เพราะอมรคือผู้ไม่ตาย ข้าคือผู้ไม่ตาย ไม่ดับศูนย์”
“แล้ว.....”ชายหนุ่มพูดทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นด้วยความกลัว เหงื่อผุดขึ้นจนผมชุ่มน้ำไปหมด “ต้องการอะไร”
   เสียงนั้นหัวเราะ “นั้นสินะ.....สิ่งที่ข้าต้องการคืออะไรกัน”
   เสียงนั้นหยุดปล่อยให้ชายหนุ่มงงงันกับเรื่องนี้ หรือว่าเขากำลังฝัน
   “ข้านั้นกำเนิดเกิดขึ้นพร้อมกับจักรวาลแห่งนี้ เด็กน้อยเอ๋ย เวลาในชีวิตข้านั้นไร้ขีดจำกัดได ๆ โดยสิ้นเชิง ไร้ความตาย ไร้ความกลัว ไร้ความกังวลได ๆ ที่จะคอยกัดกินใจให้เจ็บปวด” เงานั้นค่อย ๆ กลายเป็นรูปร่างที่ชายหนุ่มคุ้นตา “แต่สิ่งนั้นก็เป็นดั่งดาบสองคมที่มีทั้งส่วนดีและร้าย ชีวิตของข้านั้นชั่งน่าเบื่อและไร้ความสนุกเป็นเวลานาน เวลาในชีวิตข้าหมดไปกับการมองหาความบันเทิงใหม่ ๆ ที่จะทำให้เวลาผ่านไปโดยเร็ว ข้ามองหา และมองหา และมองหามานานแสนนาน
จนในที่สุดข้าได้มาพบกับพวกเจ้า เด็กน้อยเอ๋ย เหล่าสิ่งมีชีวิตที่เล็กระจ่อยร่อยราวกับเม็ดฝุ่นธุลีในจักรวาลนี้ กลับทำให้ข้าสงสัยอย่างที่สุด เมื่อข้าพบพวกเจ้าข้าเอาแต่มองดูพวกเจ้าด้วยความสงสัย พวกเจ้ากำเนิด พวกเจ้าเติบโต พวกเจ้าเรียนรู้ พวกเจ้าต่อสู้ พวกเจ้าฆ่าฟัน พวกเจ้าเจ็บปวด และสุดท้ายพวกเจ้าก็ตาย มันช่างน่าขันนัก น่าขันในความต่ำช้าไร้ความเจริญของชีวิตพวกเจ้า แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น เด็กน้อย ท่ามกลางความป่าเถื่อนต่ำช้าเหล่านั้นกลับมีบางสิ่งที่ข้าไม่อาจจะเข้าใจได้แทรกอยู่ สิ่งนั้นทำให้ข้าสงสัย สงสัยในความงดงามที่ข้าไม่เคยได้เห็นจากชีวิตได ๆ ในจักรวาลนี้ สงสัยในผลของสิ่งนั้นที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ มากมายบนโลกที่เจ้าอาศัยอยู่
หลายครั้งข้าทดสอบพวกเจ้าด้วยการขัดขวางพวกเจ้า แย้งชิงพวกเจ้าหรือแม้แต่ทำลายพวกเจ้าด้วยสิ่งต่าง ๆ นา ๆ และผลของการทดสอบนั้นก็ทำให้ข้าประหลาดใจเสียทุกครั้งไป ทุกสิ่งที่ข้าคาดเดากลับไม่เป็นไปตามความคิดข้า เด็กน้อยเอ๋ย ข้าไม่อาจทนสงสัยได้อีกต่อไปแล้ว”
เงานั้นค่อย ๆ ปูดโปนออกมากผนังจนกลายเป็นร่างสีดำยืนอยู่ตรงหน้าเจนศิลป์ที่นั่งตัวแข็งด้วยความกลัว
“เจ็ดวัน เด็กน้อยเอ๋ย อีกเจ็ดวันต่อจากนี้ไปก่อนที่เจ้าจะตายเป็นเวลาเจ็ดวันที่เจ้าต้องทำให้ข้าเข้าใจสิ่งนั้น นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ......” 


...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
 :m4:หวักดีครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :m4:           มาแล้ว ๆ ๆ ๆ ตอนไหม่ เป็นไงบ่างครับ หวังว่าจะสนุกนะครับ (ถึงแม้ว่าจะแอบหักเรื่องเล็กน้อยก็ตาม  :m23: (รู้สึกผิดนะนี่  :m17: )) แต่ก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกัยเรื่องที่ผมเขียนนะครับ  :m11:

           อยากจะบอกว่าช่วงนี้กลายเป็นไอ้เป๋ไปเลยอ่าครับ  :m26: ทำไมหลอ ก็เพราะไอ้ส้น Teen ตัวดี ดันอยู่ไม่สุก เจือกไปโดนขวดแป๊ปซี่ตกใส่อะดิครับ เลยกลายเป็นไอ้เป๋ไปเลย (พี่สาวเรียกอี DJ เป๋อ่าครับ  :m28: )  ช่วงนี้เลยต้องเดินแขยง ๆ ๆ ๆ ไปโน่นมานี้คนเดียว คนก็มองเหมือน "ไอ้เชียนี้ดัดจริต ทำเป็นผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน  :m29: " ที่จริงแล้วมะช่ายยยยยยยยยยยยยยย ตีนเจ็บมั่งเหอะครับบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :m16: จะมองกันทำไมนักหนา  :m16: แล้ววันนั้นขึ้นรถเม มีนักศึกษาท่าทางน่าจะเป็นรุ่นน้องที่ม.คนหนึ่งก็ลุกให้นั่ง รู้สึกเหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชนยังไชอบกล แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกกระดากใจเลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องก็ได้คับ ไม่ได้ขาขาด  :m23: " น้องเขามองแบบประมาณว่า "กูหวังดีทำไมมึงต้องกวนส้นตีกูด้วยละ"  :m16:

           เกือบโดนโดดที่ขาคู่แล้ว แต่โชคดีถึงม.ก่อน เลยชิ่งเดินหนี พอถึงเวลาเรียนเพื่อน ๆ ก็น่ารัก ให้ผมเดินโชว์ ไอ้เราก็เหมือนคนบ้า บอกให้เดิน ก็เดิน แล้วพวกแม่งก็หัวเราะบอก "ไอ้เป๋ ไอ่เป๋ " บางคนใจดีมาก ๆ ให้ทำท่า อ่างเชิญยิ้มให้ดู น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :a5:

เอี้ย ชีวิต.........

ยังไงก็ขอให้สนุกกับเรื่องที่ผมเขียนนะครับ

แงบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


:a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1:

tod_tee

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:ดีใจจังมาต่อแล้ว :a11:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป


[size=100pt]มาแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว[/size]...

-เจงดิพี่แว่น ได้จับมือกับเขาแล้วเจง ๆ อะน้า-
- จริง- ธาราตอบอีกฝ่ายพรางยิ้ม วันนี้เธอย้ายตัวออกจากเอ็มเอนเอ็นมาอยู่ที่แชตรูมในเวปหนึ่งซึ่งดูคึกคักกว่ามาก
- จริงดิแว่น คนอย่างแกเนี่ยนะ- คนที่พิมพ์มานั้นเป็นเพื่อนของธาราอีกคน เธอรู้จักเขาในชื่อ เจี๊ยว ชายอายุยี่สิบเก้าผู้ดูจะเจนโลกอย่างโชคโชน –ฉันไม่เชื่อแกหลอก-
- ฉันบอกว่าจริง ก็จริงดิเจี๊ยว จะโกหกแกทำบ้าอะไร-
- ช่ายยยยยยยยยยยยยยยย พี่เจี๊ยวแม่ง- ด๋อย ชายอายุสิบเก้าสอดขึ้น เขาดูเป็นเด็กชายปากไม่ค่อยดีเท่าไรในสายตาของธารา
- ว่าแต่เขาว่างายบ่างละพี่-แอมมี่ถามขึ้น
- ก็อึ้ง ๆ แต่ก็ไม่ว่าไร-
- เฮ้อ ๆ ๆ มีอึ้งด้วย- ด๋อยว่า – อดแหลก ว่ามั้ยพี่เจี๊ยว
- ล้าน % -
   - โห มะให้กำลังใจพี่แว่นแลย ไรว้า-
   - แล้วว่าที่อึ้ง ๆ นี่ ว่าเขาจะมีใจให้แว่นมั้งเปล่า-
   - มะแน่น้า เขาอาจจะชอบพี่แว่นเหมือนกันกะได้-
   - โห แอมมี่ มะช่ายกาตูนตาหวานนาจ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ- ด๋อยล้อ
   - แกก็ลองบอกเขาไปตรง ๆ เลยดิ กลัวไร-
   - กลัวดิ เดี๋ยวเขาไม่เอาทำไงละ -
   - อาวงี้ดิพี่ แอมมี่แนะนำ นับหนึ่งถึงสิบ ตอนเขาหลับ ถ้าเขาตื่นมาก่อนก็แสดงว่าเขามีจาย-
   - 55+ ดูหนังมากไปแล้วแอมมีจ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ-
   - ไรละด๋อย ชอบขัดจางเงยยยยยยยยย   --*--  -
   -55555+-ธาราพิมพ์พรางหัวเราะ
   - ถ้ามันง่ายอย่างงั้นได้ก็ดีดิ ว่ามั้ยแว่น-
   - อือ....-
   -เพราะใจคนเรา ยากแท้หยั่งถึง-
   - โห เน่าสัด ดะ 5555+-
   -เห็นโดยยยยย-
................................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
พิราบยืนอยู่ด้านนอกของระเบียงกว้างที่เปิดโล่งมองเห็นทิวทัศของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างชัดเจน ผืนน้ำนั้นดูแน่นิ่งไม่ไหวติ่งภายไต้เงาดำที่ห่มคลุมค่ำคืนนี้ให้ดำมืดโดยไร้แสงจันทร์ สายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมาหอบเอาความเงียบงันมากัดกินใจของพิราบจนเกิดกลายเป็นความรู้สึกที่เคว้งคว้างในอกชวนทรมาน เขาเกลียดเวลากลางคืน มันมืดเกินไป เงียบเกินไป และทรมานเกินไป ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุไดมันจึงเป็นเช่นนั้น แต่มันก็เป็นเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว นานเสียจนเขาอยากที่จะลืมจุดเริ่มต้นของมัน แต่ยิ่งอยากจะลืมมันเท่าไรความทรมานนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น ค่ำคืนก็ยิ่งยาวนานขึ้น ความมืดก็ยิ่งมืดขึ้นและความเงียบก็ยิ่งเงียบงันขึ้นกว่าเก่ามากมาย มันมีชื่อเรียกหรือเปล่านะ สิ่งนี้ เรียกว่าความเหงาหรือปล่า......
   วันนี้พิราบอยู่บ้านทั้งวันไม่ได้ไปไหนเพราะความเหนื่อยอ่อนที่เกาะอยู่ในใจทำให้ร่างกายดูอ่อนแอไปถนัด ทั้งตัวร้อนรุม ๆ เหมือนเป็นไข้ หน้ามืดเป็นระยะ อีกทั้งยังไอแห้งจนแสบคอ ถึงจะกินยาไปหลายเม็ดเขาก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับไปได้
   “โรคนอนคนเดียวไม่หลับ” ชายหนุ่มพึมพำพรางยิ้มกับชื่อโรคที่ตัวเองคิดเองก่อนจะไอเอาลมหายใจร้อนภายในออกมาจนตัวโยน
   เขายืนอยู่อย่างนั้นเป็นนานจนฟ้าเริ่มสาง มองดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีทีละน้อยอย่างยินดี วันใหม่แล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว นาฬิกาตีบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าเมื่อพิราบตรงไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปเรียน
    กว่าทุกอย่างจะพร้อมให้ชายหนุ่มออกจากบ้านก็เลยเก้าโมงเช้าไปนาน เขาค่อย ๆ เคลื่อนรถออกจากบ้านก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังมา สายตามองชื่อผู้โทรมาก่อนรับสาย
   “ครับแม่”
   “ว่าไงลูก....ทำอะไรอยู่”
   “ขับรถครับ กำลังจะไปเรียน”เขาตอบด้วยเสียงราบเรียบ
   “หลอ เป็นไง สบายดีนะ”
   “ครับก็เหมือนเดิม แล้วแม่อยู่ไหนครับนี่”
   “อยู่โรงงาน นัดลูกค้าไว้”
   “อ๋อ”เขาร้องพรางหักพวงมาลัยเลี้ยว “พ่อละครับ”
   “อยู่นี่ละ จะคุยมั้ยละ”
   “ไม่...”ไม่ทันตอบเสียงของบิดาก็ดังมา
   “ว่าไงไอ้ลูกแก้วพ่อ”
“ครับพ่อ”เขาตอบอย่างเสียไม่ได้
“ไปไหนแต่เช้าละ เรียนหลอ”
“ครับ กำลังจะไปเรียน”
“เสียงเป็นอะไร ไม่ค่อยสบายละสิ ก็บอกแล้วอย่างกินเหล้าให้มันมากนัก”
“ครับรู้แล้วครับ” พิราบทำเสียงเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
“รู้ตลอดนะ แกนะ ทำตามบ่างซี้”ว่าแล้วก็หัวเราะร่วน “เออ ๆ เดี๋ยวพ่อวางก่อนนะ ลูกค้ามาแล้ว”
“ครับ ๆ สวัสดีครับพ่อ”
“เออ ๆ” แล้วก็วางหูไป
ชายหนุ่มเอื้อม มือไปเอาโทรศัพท์วางไว้ที่ข้างเกีย แต่ดูเหมือนมือเขาจะไม่แข็งแรงเหมือนเก่าก่อนจึงทำให้โทรศัพท์หลุดมือลงไปอยู่ข้างเท้า
“โถ่เอ้ย”เขาร้องพรางเอื้อมมือลงไปเก็บขึ้นมา แต่พอสายตากลับมามองถนนอีกครั้ง ร่าง ๆ หนึ่งก็พลันกระเด็นขึ้นมาอยู่บนฝากระโปรงรถก่อนจะกลิ้งตกลงไปด้านล่าง

...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
สองชั่วโมงก่อนหน้า
       เจนศิลป์ลือตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงียพรางมองไปรอบตัวรางกับจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ได ราวเสื้อผ้าล้มละเนละนาดอยู่มุมห้องจนเสื้อฝ้ากระจายเต็มไปหมด เช่นเดียวกับตัวเขาที่นอนแผ่หลาไม่เป็นท่าาห่างจากที่นอนมาไกลหลายฟุต อาการปวดคอและตัวทำให้ชายหนุ่มต้องปิดร่างกายตัวเองจนเสียงกระดูกลั่นดังขึ้นไปทั่วก่อนจะยืนขึ้นทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในหัว
   “ฝันบ้าอะไร แปลกชิบหาย”เขาพึมพำก่อนจะเดินลงไปด้านล่างและแง้มประตูของหญิงกลางคนดู เธอยังคงหลับอยู่ แต่มีขวดเหล้าที่เหลือเพียงน้อยนิดตั่งไว้บนโต๊ะตัวเล็ก เธอคนนั้นคงตื่นมาดื่นเมื่อคืนนี้เป็นแน่ ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ อย่างหมดแรงก่อนจะเดินออกไปภายนอกเพื่อซื้ออาหารเช้ามากินในสมองยังติดใจเรื่องฝันเมื่อคืนไม่หาย ฝันบ้าอะไรประหลาดแท้ เงาเดินได้อย่างงี้ อมรอย่างงี้ ชีวิตไม่มีวันตายอย่างงี้ สงสัยบ้าบอสวรรค์วิมานห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ พูดจาวกวนชิบหาย แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งติดใจอะไรบางอย่างอย่างบอกไม่ถูก
   ตลาดในตอนเช้าแบบนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนเดินขวักไขว่พร้อมกับเสียงตะโกนดังโหวกเหวก กลิ่นคาวของอาหารสดคระครุ้งผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นชวนแปล่งจมูก ลูกค้ายืนคุยกับแม่ค้าอย่างออกรส แต่พอชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นก็ดูเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างจะพลันหยุดลงทันที สายตานับสิบ ๆ จากรอบด้านจ้องมองเขาเป็นตาเดียว บางคนพากันซุบซิบโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย พอชายหนุ่มมองไป คนพวกนั้นก็พากันหลบตากันหมด
คงเป็นเรื่องที่เขาโดนไล่ออกเป็นแน่ ในสถานที่แบบนี้เรื่องราวต่าง ๆ มักจะแพร่กระจายออกไปเร็วกว่าไฟที่ไหม้ลามทุ่ง โดยเฉพาะเรื่องเสื่อมเสียของใครสักคน
   “ป้าดำ เอาข้าวต้มหัวปลาถุงหนึ่ง” เขาว่ากับแม่ค้าขายข้าวต้ม เธอตาลีตาลานมาขายให้เขาอย่างมีพิรุต
   “เป็นไงบ่างละ เห็นเขาว่าออกจากงงานแล้วไม่ใช่หลอ”
   ชายหนุ่มยิ้มและไม่คิดจะตอบอะไร ไม่ว่าเขาพูดอะไรไปมันก็เป็นเพียงแค่คำแก้ตัวของคนผิดเท่านั้นเอง
   เจนศิลป์รับถุงข้าวต้มมาและเดินออกมา เขาชินเสียแล้ว ชินกับการว่าร้ายลับหลังแบบนี้ ชินกับการถูกกล่าวหาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มานานแสนนาน เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับแม่สองคนใหม่ ๆ ก็เป็นแบบนี้......พ่อมันทิ้งไป......ไปอยู่กับเมียน้อย........แม่มันขี้เมาจะตาย........ไม่ทำมาหาแดกอะไรสักอย่าง........คำพูดเหล่านั้นดังแว่วมาตามลมแห่งกาลเวลาจนเจนศิลป์ชินชาและยอมรับมันผ่านหูไปโดยดี
แต่ก็ใช่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนร้ายกาจไปเสียทั้งหมด คนดี ๆ ก็มีมากอยู่ อย่างนางทองแม่ค้าขายขนมถังแตก เธอเป็นหญิงชราอายุเจ็ดสิบเศษที่ดูแข็งแรงผิดธรรมดาแถมยังนิสัยขาด ๆ เกิน ๆ อย่างประหลาด ชอบพูดจาเสียงดังโหวกเหวกจนไม่มีใครกล้าวุ่นวายกับเธอมากนักแต่กับเจนศิลป์ดูเธอจะเอ็นดูช่นหนุ่มเป็นพิเศษ
นางทองเคยเล่าว่าเธออยู่ที่ตลาดนี้มาตั้งแต่ยังสาวจึงถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่คนหนึ่งของตลาด แถมเธอยังรู้จักผู้คนมากมายจนดูเหมือนต่อให้อีกฝ่ายไม่รู้ตัวหรือไม่เคยเห็นหน้ากัน เธอก็ยังรู้จักอยู่ดี อย่างครั้งแรกที่เธอพบเจนศิลป์ เธอยังลูปคางของชายหนุ่มไปมาพรางว่า “ลูกบ้านสุดซอยใช่มั้ยละเรา.....น่าเอ็นดูจริง ๆ” 
“เราไม่ได้ทำใช่มั้ย”เธอโพรงขึ้นทันทีที่เห็นเจนศิลป์เดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน สีหน้าเธอดูคาดหวังคำตอบไว้แล้ว
“เรื่องอะไรครับป้า ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เขาพูดพรางตีหน้ายิ้ม
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้น่า บอกป้ามาตรง ๆ”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่าย “ผมไม่ได้ทำครับป้า”
“นั้นไง” เธอพูดเสียงดังคล้ายตะโกนพรางตบมือฉาดใหญ่ “กูว่าแล้ว พวกมึงได้ยินแล้วใช่มั้ย หลานกูบอกว่าไม่ได้ทำ ที่นี้ถ้าไอ้อีตัวไหนนะยังเอาไปพูดอีกนะมึง กูจะด่าให้แม่งไม่เหลือซากคนเลย คนมันเป็นคนดี ยังไปดึงไปชุดให้เฮี้ยตามสันดานพวกมึงอีก เอ้าลูก ขนม ป้าให้เอาไปกิน”
   เธอว่าพรางส่งถุงขนมมาให้
   “ไม่เอาครับป้าน่าเกลียดตายเลย”
   “อย่าขัดใจคนแก่น่า....เอาไป” เธอยัดถุงขนมใส่มือชายหนุ่ม เขาจึงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณและจากมาพร้อมรอยยิ้ม เสียงของเธอยังดังตามหลังมาอีกไกล   
   เจนศิลป์เดินเขาซอยมาด้วยความเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก ถุงขนมถังแตกแก่วงไปมาในมือพร้อมกับร้อยยิ้มน้อย ๆ ที่อยู่บนใบหน้า นึกแล้วก็ยิ่งขำกับสีหน้าคนพวกนั้นที่เจื่อนลงทันทีที่นางทองเริ่มพูด ยิ่งเรื่องความฝันเมื่อคืนแทรกเข้ามาเขาก็ยิ่งขำ ไอ้นั้นว่าอย่างไรนะ อีกเจ็ดวันเขาจะตายงั้นหลอ
   “ใช่ อีกเจ็ดวันเจ้าจะตาย” เสียงดังแปลกประหลาดทำให้ชายหนุ่มรีบหันไปมองทางต้นเสียง
   เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายท่าทางสกปรกมีหนวดเคลารุงรังสีดำ ดวงตาผลุบหายไปในดงผมที่ฝูเหนียว อีกทั้งยังแต่งตัวด้วยถูกพราสติกหลากสี
   ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตางงงัน หัวเราะเผยให้เห็นฝันสีเหลืองสกปรก “เจ็ดวัน.....เจ็ดวัน”
   เจนศิลป์เร่งฝีเท้ากลับบ้านด้วยสีหน้าซีดเผือก จากเดินกลายเป็นเดินอย่างเร็ว จากเดินอย่างเร็วกลายเป็นวิ่ง และจากวิ่งกลายเป็นวิ่งไม่คิดชีวิตโดยมีเสียงชายคนนั้นไล่หลังมาไม่ห่าง “เจ็ดวัน เจ็ดวัน”
   เขาหยุดวิ่งเอามือเท้าเข่าทั้งสองข้างหอบจนตัวโยนอยู่หน้าบ้านตัวเองพร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มตัว สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร แต่ไม่ทันที่จะได้คำตอบ ลูกบอนสีสดใสก็กลิ้งมาอยู่ตรงหน้าและหยุดที่ปลายเท้าเขา
   “เจ้าสัญญากับข้าไว้แล้วนะ” ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมอง คราวนี้อีกฝ่ายเป็นเด็กหญิงตัดผมทรงหน้าม้าสั่นเต่อ ผิวขาวสะอาดรับกับพวงแก้มสีชมพูดูอิ่มเอมดวงตาหยี่เล็กและรอบยิ้มอย่างไร้เดียวสา เธอสวมชุดกระโปรงสีชมพูดูน่ารักกับรองเท้าผ้าใบสีขาว
   ชายหนุ่มหยุดหอบหายใจ พรางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึงก่อนจะหันมองไปรอบตัว เด็กหญิงวิ่งมาเก็บลูกบอลไปตีเล่นอีกครั้ง
   “เจ้าสัญญาว่าจะตอบข้อสงสัยของข้าแล้ว”
   “หนู....”ชายหนุ่มกลั้นใจพูดทั้งที่ตัวทั้งตัวสั่นไปด้วยความกลัว “หนูพูดเรื่องอะไรเนี้ย.....พ่อแม่อยู่ไหน”
   “นี่....เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่เด็กหญิงคนนี้ เหตุไดมนุษย์ถึงชอบหลอกตัวเองกันนักนะ” ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปกับคำตอบ ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงของเด็กหญิงอย่างแน่นอน แต่คำพูดต่าง ๆ เหล่านั้นกลับไม่น่าจะใช่เลย
   “ถ้างั้น”เขาว่าพรางยืดตัวขึ้นยืนตรง “....อมรใช่มั้ย”
   เด็กหญิงฉีกยิ้มพรางพยักหน้า
   ชายหนุ่มถึงกับเข่าอ่อนแรงลงจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถนนหน้าบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก นี่มันเรื่องจริงหรือ เรื่องเมื่อคืนนั้นไม่ใช่ความฝันหลอกหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เขาเอามือกุมหัวไว้แน่นราวกับไม่เชื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร
   “พวกเจ้าทุกคนอ่อนแอแบบนี้หรือเปล่านะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าและเอาลูกบอลกดที่หัวของเขาไว้ เธอยิ้ม ชายหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนคนบ้าและเดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่งโดยมีเสียงของเด็กหญิงตามหลังมา “ข้าจะรออยู่นี่นะ”
เจนศิลป์คว้าโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในครัวขึ้นกดเบอร์
   เสียสัญญาณดังอยู่สองสามทีก่อนที่จะมีเสียงตอบรับ
   “อาหมอหลอครับ”
   “อือ”อีกฝ่ายว่า “มีอะไรคอม รีบพูดหน่อยนะอาทำงานอยู่”
   “ครับคือ ผม....”ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดีจึงอึกอักอยู่อย่างนั้น
“คอม”อีกฝ่ายว่านำเสียงเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มอึกอักอีกก่อนจะว่าต่อ
 “คือ....ผมว่าผมไม่ค่อยสบายนะครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี.....เลยอยากให้อาหมอช่วยหน่อย”
“โถ่เอ้ย นึกว่าอะไร เข้ามาสิ ตอนไหนก็ได้”
“ครับ งั้นเดี๋ยวไปตอนนี้เลยครับ” เขาว่าอย่างรีบเร่งก่อนจะว่างไป
เจนศิลป์รีบเดินขึ้นเอาข้าวเช้าไปให้มารดาก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากบ้าน เขาสวมชุดนักศึกษาแขนยาวกับการเกงสีดำ
ชายหนุ่มค่อย ๆ แง้มประดูออกมาจากบ้าน เด็กหญิงหายไปแล้ว ไอ้คนบ้านั้นก็ไม่อยู่ จะมีก็แต่เสียงคนกวาดถนนที่อยู่ไกล ๆ กับเสียงน้ำกระทบกันในแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น ชายหนุ่มโล่งอกก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากบ้านและเริ่มเร่งฝีเท้าคล้ายหนีอะไรบางอย่าง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ อาจจะเพราะความเครียด ใช่ เพราะเครียดที่ถูกไล่ออกจากงานแน่ ๆ ทำให้เขากลายเป็นคนวิปลาสไปแบบนี้ โถ่เอ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ใครจะอยู่ดูแลมารดาเขาละ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไอ้เฮียส้นตีนนั้น
“มัวทำอะไรอยู่ ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนาน” เสียงของผู้ชายดังขึ้นแต่ชายหนุ่มไม่คิดจะหันไปมอง
อย่าไปมอง อย่าไปสนใจ เขาเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนั้น
“ข้าพูดกับเจ้านะ เด็กน้อย เหตุไดเจ้าไม่ตอบข้า”
เจนศิลป์ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอีทั้งยังเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นตามไปด้วย
“ข้าว่า เหตุไดเจ้าไม่พูดกับข้า”สิ้นเสียงอาการปวดแปลกประหลาดก็เล่นเข้าสู่สมองของชายหนุ่มทำที เขารู้สึกราวกับหัวกำลังจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ในวินาทีนั้น
“อ้า....”เขาร้องอย่างทรมารพรางยกมือขึ้นกดหัวไว้แน่น สายตาพรันหันไปมองต้นเสียงที่บัดนี้สวมเสื้อกั๊กของพนักงานกวาดถนนกับกางเกงสีกากีขายาว มือทั้งสองข้างกระสานกันแน่นโดยมีไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวอยู่แนบอก“ทำอะไรเน้ย”
“สั่งสอน ตักเตือน ลงโทษ”อีกฝ่ายว่าพรางมองดูชายหนุ่มอย่างสนุกสนาน “พวกเจ้าเรียกมันว่าอะไรกันละ”
“โถ่เอ้ย.....พอเถอะ...พอแล้ว ผมยอมแล้ว”ชายหนุ่มว่าอย่างจนตลอก
“สัญญาสิว่าเจ้าจะตอบทุกคำถามที่ข้าถามไป”
“สัญญา อะไรก็ได้ พอเถอะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
สิ้นคำ ความเจ็บปวดนั้นก็พรันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ชายหนุ่มสะบัดหัวแรงสองสามทีพรางหอบหายใจถี่ ๆ
“จงเชื่อเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าไม่ได้เสียสติ และข้ามีตัวตนอยู่จริง” 
“ทำแบบนี้ทำไม....” เจนศิลป์วิ่งเข้ากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นพรางตะโกนใส่หน้า “จะทำแบบนี้ไปทำไม” 
อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านได ๆ  “หาคำตอบ”
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงตะแบงเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ใส่ ก่อนจะตั้งท่าเดินหนีไป
“ข้าว่า”อมรเดินตามไป “เจ้ากับข้าต้องทำตามความเข้าใจอะไรกันบางอย่างก่อน”
“อะไร อะไรอีกละทีนี้”ชายหนุ่มหยุด อมรหยุดตาม “ถามจริง ๆ เถอะ ต้องการอะไรกันแน่เนี้ย”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้ว ข้ากำลังหาคำตอบอยู่”
”คำตอบ คำตอบส้นตีนเหี้ยอะไร”
“อย่าใช่คำพูดแบบนั้นกับข้า” อมรว่าก่อนอาการปวดจะปรากฏที่หัวของชายหนุ่มอีกครั้งถึงคราวนี้จะไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรกแต่ก็มากพอให้เจนศิลป์จำนน
“พอเถอะ ๆ ๆ “เขาพูดรัว ๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อความเจ็บปวดหายไป “คำตอบอะไรละ ถามมาสิ จะตอบให้”
อมรมองขึ้นฟ้า รอบตัว มองลงพื้น มองอยู่อย่างนั้นหลายรอบคล้ายหาอะไรบางอย่างก่อนจะยิ้มและหันมา
“ไม่ใช่ตอนนี้”
“ฮะ.....อะไรเนี้ย...พอจะให้ถามก็ไม่ถาม พอไม่ให้ถามก็จะถาม เป็นอะไรของ.....”ชายหนุ่มหยุดพรางพยายามหาสัพนามแทนตัวอีกฝ่าย “คุณเนี่ยหา”
“ไม่ต้องกังวลไป”เขาว่ารางมองเจนศิลป์ด้วยรอบยิ้มแปลกประหลาด “อีกไม่นานหลอก”
ชายหนุ่มส่ายหน้าหนีพรางหันไปเตะก้อนหินที่อยู่บ้างทาง “ซวยชิบหาย งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มีใช้ แม่ก็ขี้เมา แถมยังมาเจอะเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรอีกก็ไม่รู้ ทำไม่ซวยงี้ว่ะ”
อมรหัวเราะชอบใจ “วางใจเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย เจ็ดวันจากนี้ไป ทุกสิ่งก็จะสิ้นสุดแล้ว”
เจนศิลป์หันมา “อะไร....”
“อีกเจ็ดวัน เจ้าจะตาย” สีหน้าที่เรียบเฉยของอมรทำให้เจนศิลป์หัวเราะ
“อะไร”เขาเค้นเสียงขึ้นจมูก “คนอย่างผมเนี่ยนะจะตาย ไม่มีทาง”
“เหตุไดละ” อมรว่า “เจ้ากังขาในอำนาจหยั่งรู้แห่งข้าหรือ เด็กน้อย”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่แววตาเขาตะโกนก้องว่าใช่ชัดเจนจนอีกฝ่ายเค้นเสียงขึ้นจมูกคล้ายดูหมิ่นความกล้านั้น
“ถ้าเช่นนั้น” ชายคนนั้นว่าพรางลากไม่กวาดทางมะพร้าวเดินไปรอบตัวชายหนุ่ม “หากข้าบอกว่า ความตายในอีกเจ็ดวันของเจ้า จะเป็นสิ่งประกันชั้นดีให้แก่ชีวิตอันเป็นสุขและยาวนานของหญิงคนนั้นละ”เขาว่าพรางชี้ไปยังบ้านของเจนศิลป์ที่อยู่ลิบ ๆ 
“ฮะ....”เจนศิลป์ร้องขึ้นพรางถอยห่างออกมาจากอีกฝ่าย “อย่ามาพูดตลกน่า.....ไม่มีทางที่......คุณทำไม่ได้หลอ.....ใช่มั้ย.......”
อมรใช้นิ้วชี้เคาะไปที่ศีรษะตัวเอง “ระวังหัวด้วยละ”
ไม่ทันขาดคำ แรงกระแทกก็พุ่งเข้าใส่ร่างชายหนุ่มจากด้านข้างก่อนที่โลกทั้งโลกจะพลันดับไป


...

three

  • บุคคลทั่วไป
กลัวอ่ะ :m15:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
กลัวอ่ะ :m15:


หลอครับ  :m25: จริงหลอครับ......55555555 สงสัยว่าจะไม่ถนัดเรื่องรัก ๆ แบบนี้จริง ๆ เสียด้วยสินะครับ  :m23:  :m23:  :m23:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
พิราบวิ่งลงมาจากรถก่อนจะเห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นถนน เขามองไปรอบตัวเหมือนต้องการคนช่วยแต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นแม้แต่คนเดียว
“พี่ พี่”ชายหนุ่มร้องเรียกพรางเข้าไปเขย่าร่างนั้นเบา ๆ เม็ดเลือดสีแดงฉานเริ่มไหลออกมาจากปากแผลยาวที่อยู่เหนือคิ้วซ้ายขึ้นไปและทิ้งตัวลงมาตามแนวขมับจนเกิดกลายเป็นเส้นสายสีแดงดูน่าหลัวและถ้าเขาไม่ตาฝาด สีขาว ๆ ที่จมลึกอยู่ในแผลนั้นคงเป็นกระดูกส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ
พิราบเริ่มรู้สึกไม่สู้ดีนักแต่อีกฝ่ายดูเหมือนเริ่มจะได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเขากลอกไปมาก่อนจะกระพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนตื่นนอน ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบเฉยมึนงงไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยผิดวิสัยคนปรกติทั่วไป
เจนศิลป์มองไปรอบตัวคล้ายหาอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นอย่างเร็วและถลาออกไปห่างจากอีกฝ่าย
“อะไรว่ะเนี้ย....”เขาพูดน้ำเสียงคล้ายพูดกับตัวเอง
 “ผมขับรถชนพี่ ผมขอโทษด้วยนะ”พิราบว่าพรางเข้าไปจับตัวอีกฝ่ายคล้ายต้องการช่วย แต่เจนศิลป์กลับมองเขาด้วยสายตาแปลกอย่างไม่ไว้ใจ เขาขยับกายเสห่างออกไปอีกพรางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ไม่แน่ใจว่าชายคนนี้เป็นคนปรกติทั่วไปอย่างตนหรือเป็นอมรแสดงอภินิหารแปลงร่างมาอีก  “ยังไงไปโรงพยาบาลก่อนนะ....พี่มีแผลด้วย ยังไงก็ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน”
เจนศิลป์ขมวดคิ้วก่อนจะรู้สึกปวดตุบที่หน้าผาก เมื่อเอามือสัมพันธ์ดูจึงรู้ว่าเป็นเลือด พิราบรีบเดินเข้ามาพรางเอาผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเข้มของตัวเองกดปากแผลไว้ “ไปเถอะ ไปโรงพยาบาล” ว่าแล้วก็เปิดประตูรถให้เจนศิลป์ขึ้นนั่ง
ถึงจะดูยังไม่ไว้ใจนักแต่เจนศิลป์ก็ขึ้นนั่งข้างคนขับแต่โดยดี
“เดี๋ยวไปนนทเวชแล้วกันนะพี่” พิราบว่าก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไป
“ไม่...ไม่ต้องหลอกพี่ ไปพระนั่งเกล้าเถอะ”เจนศิลป์ตอบน้ำเสียงเรียบเฉยและอ่อนเผลียอย่างประหลาดพรางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ทาบอยู่ที่หน้าผากออกดู เลือดสีคล้ำโฉลมอยู่ทั่วทั้งฝืนผ้าเช็ดหน้า ชุ่มย้อมสีน้ำเงินให้กลายเป็นสีดำปนแดงดูน่ากลัว
“พี่จะเอาออกทำไมละครับ....”พิราบพูดพรางเอื้อมมือมาจับผ้าเช็ดหน้าปิดไว้ที่เดิมสายตาเลิกลักมองถนนที เจนศิลป์ที “ไปนนทเวชเถอะ เร็วกว่าด้วย”
เจนศิลป์มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“ไปพระนั่งเกล้าเถอะ ผมมีอาเป็นหมออยู่ที่นั่น”
ได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายจึงเงียบไปคล้ายจำนน
“ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะ” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ “คือ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ”
“ชั่งเถอะ....”ชายหนุ่มว่าพรางทิ้งหัวไปด้านหลัง “ยังไงวันนี้ก็ซวยตั้งแต่เช้าแล้ว”
พิราบงงงันกับคำตอบนั้นแต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ถามอะไรต่อ ทั้งคู่เงียบกันไปตลอดทางจนถึงโรงพยายาล
“เดินไหวมั้ยพี่ ให้ผมเอารถเข็มมาให้มั้ย” พิราบถามเมื่อรถจอดสนิทในที่จอดรถหน้าอาคารใหญ่ของโรงพยาบาล
“ไม่ต้องหลอก”ว่าแล้วก็เปิดประตูรถเดินออกมา.....หัวแตกขาไม่ได้ขาด.....แม้ในใจเขาจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “พี่ ผมยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ย จะโทรหาอา”
อีกฝ่ายรีบยื่นโทรศัพท์ให้เจนศิลป์ ที่รับมาและกดเบอร์โทรศัพท์โทรออกทันที
“สวัสดีครับ”
“อาหมอหลอ ผมคอมนะ นี่อยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว หัวแตกด้วย”
“ฮะ” อีกฝ่ายทำเสียงไม่เชื่อ “ไปโดนอะไรมา เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
เจนศิลป์วางโทรศัพท์ก่อนยื่นคืนอีกฝ่ายที่ตอนนี้มองเจนศิลป์ด้วยสายตาเป็นกังวลบอกไม่ถูก
วันนี้ส่วนรอตรวจของผู้ป่วยที่เป็นโถงใหญ่ปูหินอ่อนสีดำสลับขาวดูวุ่นวายด้วยผู้ป่วยที่มารับการรักษาเดินไปมากันขวักไขว่เต็มสถานที่ เสียงดังของเด็กร้องและเสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วพอ ๆ    กับเสียงประกาศเรียกของนางพยาบาล
ทั้งคู่หาที่นั่งเหมาะ ๆ ก่อนนั่งรอผู้เป็นทั้งหมอและอา ไม่นานพยาบาลสาวคนหนึ่งก็เดินมาถามว่าติดต่อรับการรักษาหรือยัง พิราบตอบไปว่าเจนศิลป์เป็นญาติของหมอที่นี่
“หมอชื่ออะไรค่ะ” เธอถามขึ้น พอสังเกตดูจึงจะรู้ว่าเธอนั้นมีใบหน้าที่สวยงามอย่างประหลาด ด้วยดวงตาเรียวคมบาดลึก ริมฝีปากถูกเติมเต็มด้วยสีแดงก็ฉีกยิ้มอย่างมีนัยไม่คลาย เช่นเดียวกับเล็บมือที่ดูทาด้วยสีแดงดูตัดกับสีขาวชนชุดพยาบาลอย่างน่ากลัว
“เจนภูมิครับ” เจนศิลป์ตอบพรางมองอีกฝ่ายที่ยิ้มไม่คลาย ก่อนจะพยักหน้าและเดินจากไป
“อยู่นี่เองหลอ” นายแพทย์เจนภูมิในชุดสีขาวของหมอเดินมาพรางเอ่ยขึ้น เขามีผิวคล้ำเล็กน้อยไม่เหมือนอย่างหมอทั่วไป รูปหน้าตอบและดวงตาลึกโบ๋เข้าไปในเบ้าดูแล้วเหมือนคนอมโรค รูปร่างสูงโปร่งแต่ค่อนข้างผอมดูแล้วเก้งกางอย่างไรบอกไม่ถูกอีกทั้งมือไม้ยังดูลีบผอมจนเหลือแต่กระดูก
รวมแล้วเขานั้นดูไม่ใช่คนรักษา แต่เป็นคนที่ควรถูกรักษามากกว่า
 “อะไรเน้ย ไปโดนอะไรมากัน ตอนแรกนึกว่าพูดเล่นเสียอีก” ผู้เป็นหมอว่าพรางจับเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของเจนศิลป์ออก“ลึกเหมือนกันนะนี่ มา ๆ ตามมา เดี๋ยวอาเย็บให้”
ว่าแล้วคนทั้งสองก็เดินตามเจนภูมิไปในห้องตรวจห้องหนึ่งที่ว่างอยู่ ภายในเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเตียงและฉากกันห้องสีเขียวแก่ขึงกั้นไว้ ถัดมาด้านหน้าจึงเป็นโต๊ะทำงานตัวเล็กกับเก้าอี้ของหมอดูไม่สมฐานะเสียเท่าไรนัก
“ไหนมาสิ”เจนภูมิดึงเจนศิลป์ไปด้านในพรางให้นั่งลงบนเตียงและเอาผ้าเช็ดหน้าออกก่อนจะสวมถุงมือยางสีขาวเตรียมดูแผล ปล่อยให้พิราบนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานคนเดียว “ไปโดนอะไรมาเนี้ยฮะ” เจนภูมิว่าพรางพินิจดูแผลของผู้เป็นหลาน
“พี่เขาขับรถชน....”
“อะไร โดนรถชน” เจนภูมิพูดเสียงสูง สายตายังจดจ่ออยู่ที่แผลไม่วางตา
“ทำไมละอา” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงติดตลก “มันน่าจะเป็นมากกว่านี้หรือไง”
“เอ้อ แกจะบ้าหรือไง ไอ้เด็กคนนี้” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก “........ไม่เป็นอะไรมากหลอก ไม่โดนเส้นเลือดหรืออะไร รออยู่นี่นะเดี๋ยวให้พยาบาลมาล้างแผลให้”
ว่าแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ความเงียบคลอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง
“แล้ว.....”เป็นพิราบเองที่เอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปนานหลายนาที “พี่ชื่ออะไรหลอครับ”
“คอมครับ” เขาตอบพลางขยับตัวมาที่ปลายเตียงให้พ้นฉากกั้น “แล้วพี่ละชื่ออะไร”
“ หนึ่งครับ....คือผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ” เจนศิลป์พูดยิ้ม ๆ พรางโบกมือไปมา “มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหลอกครับ”
อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ พรางก้มหน้าลงและเกาหัวเล็กน้อย
“ว่าแต่”เจนศิลป์ว่า “พี่อายุเท่าไรกัน ถึงเรียกผมว่าพี่แบบนี้”
“ยี่สิบครับ”
“อ้าว” ชายหนุ่มร้อง “งั้นก็ไม่ต้องเรียกพี่แล้วละ รุ่นเดียวกัน”
“งั้นหลอ...”ไม่ทันจบคำพิราบก็ไอขึ้นจนตัวโยนประจวบเหมาะกับนางพยาบาลที่เดินเขามาพร้อมสิ่งของที่ห่ออยู่ในผ้าสีเขียวเต็มสองมือ เธอคลี่มันออกบนเตียง เจนศิลป์ถึงรู้ว่าเป็นชุดทำความสะอาดแผล เข็มฉีดยา และเอ็นเย็บแผล เธอค่อย ๆ คำความสะอาดแผลให้เจนศิลป์อยู่นานจนชายหนุ่มไม่ทันเห็นตอนเจนภูมิเดินเข้ามา
“เอายาชามั้ย” ผู้เป็นอาถามขึ้น
“แล้วมันเย็บกี่เข็มละอา”     
“แค่นี้....”เขาทำสีหน้าคิด “สามเข็มก็พอมั้ง”
“งั้นไม่ต้องก็ได้ครับ...นิดหน่อย”
เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีพร้อมกับเสียงโอดโอยของเจนศิลป์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ
“แล้วก็ทำเป็นปากดีไม่เอายาชา” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก ปล่อยให้นางพยาบาลปิดแผลให้เจนศิลป์
“โถ่อา ใครจะไปรู้ว่าจะเจ็บแบบนี้ละ” พอเห็นนางพยาบาลยิ้มน้อย ๆ ชายหนุ่มจึงไม่คิดพูดอะไรต่อ
เสียงไอโขกของพิราบดังขึ้นก้องจนเจนภูมิหันมามอง
 “นี่เราไม่สบายหรือเปล่าเนี้ย”ผู้เป็นหมอว่าพรางเดินตรงเข้าไปสัมพัทธ์คอและหน้าของอีกฝ่าย “มีใข้นิเรา”จบคำเขาก็ให้นางพยาบาลไปนำเอาเครื่องมือตรวจต่าง ๆ มา ไม่นานก็ตรวจเสร็จ
“งั้นเดี๋ยวเราทั้งคู่ไปรอรับยาหน้าห้องนะ” ชายหนุ่มทั้งคู่ไหว้เจนภูมิพรางลากลับ แต่ผู้เป็นอาเรียกหลานไว้คล้ายนึกอะไรออก “จะเข้าบ้านก่อนหรือเปล่าเรา”
“เปล่าครับ กะว่าจะไปเรียนต่อ”อีกฝ่ายตอบอย่างเร็วเขารู้ดีว่าอาหมอไม่ชอบให้เขาหยุดเรียบบ่อย
“ก็ดีแล้วละ.....เย็น ๆ อาแวะเข้าไปนะ”
“ครับ” เจนศิลป์รับคำก่อนจะเดินจากมา
พอประตูห้องปิดลง พิราบก็เอ่ยขึ้น
“อาของคอมนี่ใจดีเหมือนกันเน้อ”
“อือ....”เจนศิลป์รู้สึกแปลก ๆ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกับตนเรียกชื่อของเขาตรง ๆ แบบนี้ “เป็นอย่างนี้ละ บางที่เรายังคิดอยู่เลยว่าแกน่าจะไปเป็นหมอเด็กมากกว่า แต่หน้าแกคงไปไม่ไหว”
พิราบหัวเราะชอบใจพรางนึกถึงหน้าตอบ ๆ กับตาลึกโบ๋นั่น “เป็นจริง ๆ เด็กคงกลัวอาเขาแย่เลย”   
 เจนศิลป์พยักหน้าพรางขำ “ว่าแต่.....” เจนศิลป์ลากเสียงยาว “หนึ่งไปทำอะไรแถวตลาดนนแต่เช้าหลอถึงได้มาขับรถชนเราได้เน้ย”
“โห...เอางั้นเลยหลอ..” อีกฝ่ายดูอึ้ง ๆ เหมือนตั้งตัวไม่ถูกก่อนตอบ “บ้านเราอยู่แถวนั้นนะ”
“เฮ้ย จริงดิ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“อ้าว บ้านคอมก็อยู่แถวนั้นหลอ”
“อือ” ชายหนุ่มพยักหน้า
“ แปลกว่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกัน” พิราบว่า “แล้วเรียนที่ไหนเนี่ย สุวรรณพิทักษ์หรือเปล่า”
   “โห...”เจนศิลป์ร้อง “ไม่มีตังขนาดนั้น....เราอยู่ วิทยศาตรา”
   อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “สอบเข้าหลอ.....”
   เจนศิลป์พยักหน้ารับ
   “เฮ้ย....เก่งว่ะ....เราก็ไปสอบเหมือนกันแต่ไม่ติด”
   “หลอ....ไม่หลอกมั้ง” ชายหนุ่มตอบพรางยิ้มน้อย ๆ 
   “แล้วเรียนคณะอะไรละ”
   “บริหาร....แล้วหนึ่งละ” เจนศิลป์ถามกลับพรางหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้หน้าช่องรับยา
   “นิเทศ โฆษณา”
   “อือ...”เจนศิลป์ร้องในลำคอพราพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงเข้าใจ
   ไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยอะไรกันต่อ เสียงขานชื่อของทั้งสองก็ดังขึ้น เจนศิลป์รีบผุดลุกในทันที
   “เฮ้ย ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวเราไปเอง คอมนั่งรออยู่นี่ละ....”ว่าแล้วก็เดินไปโดยไม่รีรอ ปล่อยให้เจนศิลป์นั่งลงกับเก้าอี้ช้า ๆ อีกครั้ง
   “ท่าทางจะเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ร่างของชายหนุ่มนั่งลงสนิท เขาหันไปมองต้นเสียงก่อนจะรู้ว่าเป็นหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดเธอมีปากและเล็บสีแดงจัดจ้านแต่เจนศิลป์รู้ในทันทีว่าเธอคนนั้นไม่ใช่นางพยาบาลทั่วไป
   “อมร.....”เขาเอ่ยเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายยิ้ม
   “เจ้านี่เรียนรู้เร็วนัก”เธอคนนั้นว่าพรางกอดออกขึ้นแต่สายตายังมองไปยังพิราบไม่ว่างตา “ไม่ผิดเลยที่ข้าเลือกเจ้า”
    “นี่มาทำอะไรที่นี่เน้ย....เลิกตามผมได้แล้ว”
   “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้นหากยังไม่ได้คำตอบ....เด็กน้อยเอ๋ยแล้วเป็นเจ้าเองที่สัญญากับข้าว่าจะให้คำตอบนั้น.....เจ้าคงไม่คิดจะผิดสัญญานะเด็กน้อย.....”อมรว่าพรางหันมาจ้องเจนศิลป์ด้วยสายตาดุจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีพรางถอนหายใจแรง ๆ คล้ายจำนน
   “ก็แล้วเมื่อไรละถึงจะถามละ....ถามมาจะได้ตอบ ๆ แล้วก็ไปให้พ้น ๆ ซักที....รออะไรอยู่ได้”
   “เช่นนั้นก็ได้.....”ชายหนุ่มรีบหันมาเพราะคำตอบนั้นก่อนจะเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น
   “มาสิ.....”
   “ไป...ไปไหนละ”
   “ไปหาคำถามของข้า....”ว่าแล้วเธอก็ออกเดินไปปล่อยให้ชายหนุ่มหนุ่มงงงันอยู่อย่างนั้นหลายวินาที เขามองไปทีพิราบที่ตอนนี้อยู่หน้าช่องรับยาก่อนจะตัดสินใจออกเดินตามอมรในร่างของนางพยาบาลไป
   หญิงคนนั้นเดินนำหน้าเจนศิลป์ไปตามทางเดินยาวสีขาวภายในตึกผู้ป่วยที่ดูเงียบงันและไร้ผู้คนจนเสียงจังหวะการเดินของเธอดังก้องกังวานราวกับเสียงระเบิดในสงคราม เจนศิลป์เร่งตามเธอไปไม่ห่าง เลี้ยวไปตามมุมของทางเดินและขึ้นบันไดไปอีกหลายชั้น ก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองนั้นอยู่หน้าห้องใหญ่หนึ่งที่มีเตียงวางเรียงรายอยู่เต็ม ที่เหนือขอบประตูห้องนั้นมีป้ายพราสติกสีเขียวตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่แขวนอยู่ อ่านได้ใจความว่า “วอร์ดผู้ป่วยหญิง ไม่มีกิจห้ามเข้า”
   เจนศิลป์ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนานก่อนเสียงฝีเท้าของอมรจะแววมาเขาจึงเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนจะพบว่าระเบียงด้านนั้นเป็นกระจกใสทั้งหมด อมรอยู่ที่นั้น เธอหยุดและหันหน้าเข้าหากระจกใส เจนศิลป์ตามไป
   “มาทำอะไรที่นี่เน้ย”
   เธอไม่ตอบเอาแต่จ้องผ่านกระจกเข้าไปไม่วางตาจนชายหนุ่มต้องมองตาม ภายในนั้นมีเตียงผู้ป่วยตั้งเรียงกันเป็นระเบียบดูสะอาดตา บ่างมีคนนอน บางมีคนนั่ง บ่างไม่มีคนอยู่เลย เจนศิลป์กวาดตามองไปจนสายตาของเขาหยุดจับจ้องไปที่หญิงกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียง ในออมแขนของเธอนั้นมีทารกตัวแดงดูน่ารักคนหนึ่งกำลังร้องให้อยู่ เธอคนนั้นยิ้มพรางเอ่ยบางคำก่อนปลดเสื้อผู้ป่วยออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ตึงแน่นด้วยน้ำนม หญิงคนนั้นช้อนตัวทารกเข้าหาและให้ดื่มนมจากอก ใบหน้าเธอยิ้ม ยิ้มอย่างประหลาด
   เจนศิลป์รู้สึกเจ็บลึกอยู่ในอกคล้ายหัวใจถูกทิ่มแทง
   “หญิงคนนั้น....เหตุไดเธอจึงยิ้ม....” อมรพูดทั้ง ๆ ที่สายตายังจ้องไปยังภายในห้องนั้นไม่วางตา มือเธอข้างหนึ่งวางอยู่ที่กลางหน้าอกของตัวเองอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ส่วนอีกมือนั้นทาบไปกับกระจกใสด้านหน้าพรางขยับไปมาคล้ายต้องการชอนไชให้สิ่งกันขวางเป็นรู “เหตุไดเธอจึงดูมีความสุขนัก”
   ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน
   “สิ่งนั้น.....ที่หญิงคนนั้นทำ.....เรียกว่าความรักใช่หรือไม่”
   เจนศิลป์หันมาคล้ายไม่เชื่อหู ก่อนจะหันกลับไป “อาจจะใช่” เขาตอบอย่างเหม่อลอย
   “ฟังเจ้าไม่แน่ใจกัน ทำไม”อีกฝ่ายซักไซ้
   “ก็...”เขายิ้มเฟือน “เรื่องแบบนี้ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหลอกนะ.....ถ้าคุณจะถามเรื่องแบบนี้ผมว่าคุณคงมาหาผิดคนแล้วละ”
   หญิงคนนั้นเงียบไปคล้ายจำนน สายตาเธอยังจับจ้องไปที่ด้านในพรางมองทารกคนนั้นดื่มน้ำนมอย่างเป็นสุข ดวงตาของเขายังปิดแน่นอีกทั้งมือยังถูกห่ออยู่ในถุงผ้าสีฟ้าดูน่ารัก
   “เมื่อนานมาแล้ว” ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น “เคยมีพวกเจ้าคนหนึ่งบอกกับข้าว่า มนุษย์นั้นได้รับความรักตั้งแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นดูโลก ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้การเลี้ยงดูจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ครั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นพวกเจ้าจึงเรียนรู้ที่จะมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับใครสักคนที่คู่ควร.....” เธอหยุด “เจ้าเจอคน ๆ นั้นหรือยัง”
   “ใคร” เจนศิลป์ถาม
   “คน ๆ นั้น.......ที่คู่ควรกับเจ้า”
   “อ๋อ.....แฟนนะหลอ......อือ....”เจนศิลป์ถอนหายใจเบา ๆ  “ไม่เคย......”
   “ทำไมกัน”
   “มันก็ตอบอยากนะ ....ไม่มีเวลาไปหามั้ง.....”
   “ความรักนั้นต้องออกตามหาหรือถึงจะเจอ”
   “มันก็ไม่เชิงหลอกนะ คนบางคนอยู่เฉย ๆ ก็เจอเอง แต่บางคนหาให้ตายก็ไม่เจอ.....”เขาหยุด “ผมว่ามันสำคัณที่เวลามากกว่า”
   “เวลา.....”อมรทิ้งหางเสียงไว้
   “อือ.....เพราะการที่คนสองคนจะรักกันได้จำเป็นต้องใช้เวลา”
   “มันเป็นเงื่อนไขอย่างนั้นหรือ”
   เจนศิลป์ยิ้มเฟื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจพรางยกมือขึ้นกอดอก “จะว่าใช่ก็ใช่น่ะนะสำหลับบางคน แต่กับบางคนมันก็ไม่จำเป็น”
   “ข้าไม่เข้าใจ” อมรพูดพรางละสายตาจากทารกมาที่เจนศิลป์ เขายิ้มเฟื่อนคล้ายไม่เข้าใจเช่นกัน
   “.....ไม่มีใครเข้าใจมันหลอก”
   อมรอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรต่อแต่กลับหันไปที่หัวมุมสุดทางเดินอย่างเร็วคล้ายถูกเรียก
“ข้าต้องไปแล้วเด็กน้อยเอ๋ย ชายคนนั้นกำลังมา”
   “ใคร” ชายหนุ่มหันมาแต่ร่างนางพยาบาลพลันหายไปไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว จะมีก็แต่ร่าง ๆ หนึ่งที่เดินพ้นหัวมุมทางเดินออกมา พิราบนั้นเอง
   “คอม โถ่นึกว่าไปไหนเดินหาซะทั่ว”อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงดัง แต่เจนศิลป์ไม่สนใจ เขามองรอบตัวหาอมร “หาอะไรหลอ”
   “เปล่า ๆ “เขาตอบพรางมองหน้าอีกฝ่าย
   ดูพิราบจะไม่ค่อยเชื่อมากนักแต่ก็ไม่คิดจะถามถึงสิ่งที่หายไปของอีกฝ่ายต่อ “แล้วขึ้นมาทำอะไรบนนี้เนี่ย เราก็หาซะทั่วเลย”
   “อ๋อ....”ชายหนุ่มคิดหาคำตอบ “เราเจอคนรู้จักนะเลยเดินคุยกันมาถึงนี่”
   พิราบทำสีหน้าประหลาดคล้ายไม่เชื่อ แต่เจนศิลป์ก็ชิงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “งั้น...ไปเถอะ เราต้องไปเรียน”
   “เอาจริงหลอ” พิราบท้วง “อย่าเลย.....กลับบ้านเถอะ หยุดสักวันคงไม่เป็นไรหลอก”
   เจนศิลป์ส่ายหัวเร็ว ๆ “ฮึ......ไม่ได้หลอก บอกอาหมอไว้แล้ว....”
   พิราบพยักหน้าช้า ๆ คล้ายเข้าใจและจำนน“งั้น....เดี๋ยวเราไปส่งแล้วกัน”
   “เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเองก็ได้....แค่นี้เอง”
   “เฮ้ย....จะบ้าหลอ เราทำคอมหัวแตกนะ...ไปเถอะเดี๋ยวเราไปส่ง”ว่าแล้วพิราบก็ใช้มือดันหลังให้ชายหนุ่มออกเดินไป
   เจนศิลป์นั่งนิ่งเงียบตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ลึกยากหยั่งถึง......คน ๆ นั้นที่คู่ควร.......ในสมองเขาเอาแต่คิดถึงคำพูดนี้ของอมรกลับไปกลับมาหลายรอบ
   “คอม....คอม....”เสียงของพิราบพูดขึ้นจนเจนศิลป์ออกจากภวังค์ เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจจนพิราบอดยิ้มไม่ได้ “ถึงแล้ว”
   “อ้าว....หลอ”เขายิ้มน้อย ๆ คล้ายอายพรางขยับเปิดประตูรถ
   “เดี๋ยวสิ” พิราบว่าพรางจับที่แขนของเจนศิลป์ไว้ มือนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกไฟไหม้ เจนศิลป์หยุดทันทีและมองที่มือข้างนั้น พิราบรีบชักมือกลับ “คือ....เราคงต้องของเบอร์คอมไว้นะ”
   “ทำไม....”เจนศิลป์ถามขึ้น ในใจชักเริ่มไม่สู้ดีนักมันทั้งเต้นแรงและสั่นอย่างเร็วจนอกเริ่มเจ็บ
   “คือรถเราเป็นรอยนะ...แล้วไม่รู้ว่าประกันเขาจะคุยกับคอมด้วยหรือเปล่า” พิราบอธิบาย “....ยังไงเอาเบอร์มาก่อนแล้วกันนะ เผื่อประกันเขาจะคุยด้วย”
   ได้ยินดังนั้นในใจเจนศิลป์ก็เริ่มสงบลงบ่าง “อือ...งั้นมาสิ จะบอกให้”



...


 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด