72
มหกรรมงอน & ง้อ
[เอก...☼]
ღ
ღ
ผมยืนมองคนที่ผมรักอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน ผมรู้ว่าตอนนี้ไอ้ตัวเล็กคงกำลังร้องไห้อยู่ และก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ
จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่ผม
ไอ้เอก
ไอ้เอกภพ กิจไพศาล
ผมรู้ว่าสองคนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าพี่ชายและน้องชาย แต่ความหึงหวงไม่เคยปรานีผมสักที ผมรีบเผยตัวเพื่อหยุดคนสองคนที่กำลังมองตากันอยู่
“เขากำลังจะไปกันแล้ว”
ผมบอกเรียบ ๆ
ไอ้เป้มันพูดอะไรสักอย่างกับไอ้ตัวเล็กแล้วเดินจากไป ผมไม่ได้สนใจฟัง เพราะสายตาผมหยุดนิ่งอยู่ที่คนคนเดียว
แล้วมันก็หันหลังให้ผมอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมไม่คิดจะปล่อยมันไปง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา ผมรั้งมันกลับมาไว้ในอ้อมแขน
นัยน์ตามันสั่นไหว ปากแดงเม้มแน่น ผมรู้ว่ามันพยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมา
ถ้าเป็นแต่ก่อนมันคงทำได้ แต่ตอนนี้ ภายในอ้อมแขนผม มันคงทำไม่ได้
และผมก็ได้เห็นน้ำตาของมันอีกครั้ง
กี่ครั้งแล้ว ที่ผมทำมันเจ็บ
กี่ครั้งแล้ว ที่ผมทำมันร้องไห้
และกี่ครั้งแล้ว ที่ผมปล่อยให้ความโกรธมาทำร้ายคนที่ผมรักแบบนี้
“พี่ขอโทษ” ผมบอกมันเสียงเบา
“ไม่เป็นไร ยังไงผมก็เป็นผู้ชาย แค่นี้ไม่ตายหรอก”
มันประชดผลักอกผมเพื่อดันตัวมันเองออก
“กาย”
ผมเรียกมันเสียงเย็น
มันเม้มปากแน่น มองผมด้วยแววตาตัดพ้อผสมน้อยใจ
เอ่อเว้ย…
ใครว่าผู้ชายจะงอนไม่เป็น เมียผมงอนได้น่ารักซะด้วย ผมยิ้มนิด ๆ คลายตัวออกมาลูบรอยมือตัวเองเบา ๆ
“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”
มันทำท่าจะเดินหนี แต่ผมรั้งมันกลับมาอีกที
“ถ้ากายยังไม่ยกโทษให้พี่ พี่จะไม่ปล่อยกายไปเด็ดขาด”
“ผมไม่ได้โกรธพี่นี่”
“แต่งอน”
มันเม้มปากแน่น
“ทายาแล้วใช่ไหม”
มันไม่ตอบ ผมถอนหายใจเบา ๆ นึกโทษตัวเองที่เผลอทำรุนแรงไป
“เขาจะขึ้นรถกันแล้วไม่ใช่รึไง”
มันเตือน ผมก็ได้แต่พยักหน้า ทำให้หายงอนเลยคงยาก คงต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
“เอ้า!! ขึ้นรถ ๆ ช้าเดี๋ยวทิ้งซะนี่”
ไอ้เจ้าของฟาร์มมันเร่ง
พวกเราเลยรีบพากันกระโดดขึ้นรถ รถที่พวกเรานั่งเป็นรถคล้ายรถรางสำหรับพานักท่องเที่ยวเที่ยวโดยเฉพาะ ด้านข้างเปิดโล่ง มีหลังคาเอาไว้กันแดด คันหนึ่งมีสิบกว่าที่นั่ง กรุ๊ปเราใช้รถสองคัน
ตอนแรกไอ้ตัวเล็กจะไปนั่งข้างพ่อกับแม่ แต่ผมดึงมันมานั่งข้างตัวแทน มันยื้อใหญ่ แต่ผมยึดเอวมันไว้ด้วยวงแขน มันเม้มปากแน่น จำใจนั่งเงียบ ๆ ไป
พี่กิจทำหน้าที่พิธีกรสุดหล่อ ยืนอยู่หน้ารถคันที่ผมนั่ง(คันแรกครับ) บรรยายประวัติและความเป็นมาของฟาร์ม รวมถึงรายละเอียดของไร่องุ่นและวัวที่เลี้ยงไว้
ผมกระชับวงแขนที่เอวไอ้ตัวเล็กแน่น ไม่สนว่าพี่กิจหรือคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนจะมองยังไง ผมแค่อยากให้มันรู้ว่าผมแคร์และอยากอยู่เคียงข้างมันขนาดไหน เผลอคลาดสายตานิดเดียว มันยังโดนลวนลามซะขนาดนั้น ต่อไปนี้ผมคงจะละสายตาไม่ได้อีก
พอมาถึงฟาร์ม มันก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปอย่างเดียว ทำเป็นไม่รู้ว่ามีผมคอยเดินตาม
เรามากันที่โรงเลี้ยงวัวก่อน ใหญ่เหมือนกัน ที่นี่เพิ่งเปิดตัว พี่กิจเป็นคนดูแล แกไปเรียนรู้งานมาจากต่างประเทศโดยตรงเลย
พวกทโมนพากันวิ่งพล่านจนแม่วัวพากันแตกตื่น พ่อรีบปรามเสียงดุถึงได้เงียบลง แล้วพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้รีดนมวัวกันได้
ถึงจะงอน แต่ไอ้ตัวเล็กก็ยังแสดงสีหน้าตื่นตาตื่นใจออกมาให้เห็น ผมยิ้ม ยืนฟังเขาสอนวิธีรีดนมวัวด้วยมือ ส่วนไอ้ตัวเล็กลงไปนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้น ก้ม ๆ เงย ๆ ดูเต้านม ก่อนจิ้มจึกไปที
“นุ่มแฮะ”
“ใช่ นี่แหละ อัดแน่นไปด้วยน้ำนมเลยแหละ”
คนงานชายวัยรุ่นบอก ย่อตัวลงไปสาธิตการรีดนมวัวให้ดู ไอ้ตัวเล็กทำหน้าตื่นเต้นตอนน้ำนมพุ่งปรี๊ดใส่ถัง แล้วมันก็ทดลองรีดด้วยตัวเอง
“คุณจะลองด้วยไหม”
คนงานลุกขึ้นมาถามผม
“ไม่ล่ะ ไม่ถนัดรีดนมวัว ถนัดแต่รีดนมคน”
คนงานหน้าแดงก่อนหัวเราะร่วน แต่คนที่หน้าแดงกว่าคือคนที่กำลังนั่งยอง ๆ รีดนมวัวอยู่ต่างหาก ผมอมยิ้ม ตีเนียนลงไปนั่งข้าง ๆ จิ้มนิ้วใส่นมวัวใกล้มือไอ้ตัวเล็กมัน
“อืม จะว่าไปแล้ว มันก็นุ่ม ๆ เหมือนนมผู้หญิงดีนะ”
“อืม บางทีก็มีบีบเพลินบ้างเหมือนกัน”
คนงานสารภาพอาย ๆ เกาหัวแกรก ๆ หัวเราะกลบเกลื่อน ในขณะที่ไอ้ตัวเล็ก นั่งหน้างอไปแล้ว
เวอร์ชั่นงอนจัด ๆ แบบนี้ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนะเนี่ย
“แหม แต่หน้าตาหล่อ ๆ แบบคุณเนี่ย คงมีสาว ๆ มาให้กอดไม่เว้นวัน”
“ก็พอมีบ้าง แต่ตอนนี้ติดพันอยู่คนหนึ่ง ขี้งอนเป็นที่สุด”
ยิ่งพูด คนที่กำลังบีบนมวัวอยู่ยิ่งหน้างอเข้าไปใหญ่
“ผมจะไปถ่ายรูป”
มันละมือออก ลุกขึ้นเดินหนีไป
ผมลุกขึ้นตาม หันไปขอบคุณคนงาน แล้วเดินตามมันไป
เห็นพวกทโมนกำลังให้อาหารวัวกันอยู่ พวกมันทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ยื่นหญ้าสดให้วัวในคอกกิน ไอ้ตัวเล็กเห็นท่าน่าสนุกเลยเดินเข้าไปสมทบและทำตามบ้าง
“ให้พี่ถ่ายรูปให้ไหม”
ผมยื่นมือออกไปขอกล้องจากมัน มันทำท่าจะไม่ยอม แต่คงอยากได้ภาพตัวเองด้วยเหมือนกันเลยยื่นมาให้ ผมก็รับมาถ่าย บางจังหวะมันก็ยิ้มให้กล้อง บางจังหวะมันก็ทำหน้างอน ๆ ใส่
น่ารักดีครับ
บางทีปัญหาก็ใช่จะนำมาแต่เรื่องแย่ ๆ เสมอไป อย่างน้อยวันนี้ ผมก็ได้เห็นอีกมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนของคนที่ผมรัก
หลังจากโอ้ลั่นล้าในฟาร์มวัว พวกเราก็ขนขบวนกันไปที่ไร่องุ่นต่อ องุ่นที่นี่ลูกใหญ่มาก แถมยังไร้สารพิษอีกต่างหาก เก็บมาล้างหรือเช็ดนิด ๆ หน่อย ๆ ก็กินได้แล้ว
ไอ้ตัวเล็กมันเดินไปรอบ ๆ เพื่อถ่ายรูป โดยมีผมเดินเป็นเงาตามตัว
“นี่ไอ้หมาเอก มึงจะเดินตามไอ้กายมันทำด๋อยอะไรวะ”
ไอ้โอมมันทัก ก่อนไอ้มอจะมาลากคอเสื้อมันเดินออกไป
“มึง เขางอนกันอยู่”
“อ้าว เหรอ กูไม่ได้สังเกต เฮ้ย! มึงปล่อยกูก่อนเด๊ะ เสื้อกูขาดหมดแล้ว”
“เสื้อมึง ไม่ใช่เสื้อกู”
“อ้าวเว้ยไอ้มอ!!”
แล้วพวกมันก็พากันโวยวายหายไป
ไอ้คนข้าง ๆ ผมมองตามจนลับสายตาก่อนหันกลับมามองผมต่อ แล้วมันก็สะบัดบ๊อบเดินหนีไป
เมียผมงอนยาวแฮะ รอบนี้
“อยากกินองุ่นจัง”
ผมแกล้งพูดให้ไอ้ตัวเล็กมันได้ยิน
ตอนนี้มันกำลังกินองุ่นอยู่ครับ เด็ดมาพวงเบ้อเร่อ ล้างน้ำที่ลำธารแล้ว ปกติถ้ามันไม่งอน คงจะป้อนผมไปแล้ว แต่นี่เดินกินคนเดียวไม่สนใจกันเลย ผมเลยต้องทวงสิทธิ์กันนิดหน่อย
มันไม่ตอบ ไม่สนใจผมด้วย ผมเลยเดินเข้าไปใกล้
“ป้อนพี่หน่อยสิ”
ผมร้องขออ้อน ๆ
มันมองหน้าผมนิดหนึ่ง ไม่ป้อนครับ แต่ยังมีน้ำใจยื่นองุ่นมาให้ทั้งพวง
“อยากให้กายป้อน”
“มีมือก็กินเอาเอง”
มันบอกเรียบ ๆ
“ก็ได้”
ผมตอบกลับเรียบ ๆ เหมือนกัน แต่ยังไม่เด็ดกิน ผมรอจังหวะให้มันเด็ดออกมาลูกหนึ่งยัดใส่ปากตัวเอง แล้วอาศัยช่วงจังหวะนั้นคว้าเอวมันไว้ จับมันแหงนหน้านิด ๆ ก้มประกบปาก ควานลิ้นเข้าไปรั้งองุ่นลูกนั้นเข้าปากตัวเอง
มันหน้าแดง อ้าปากค้างคล้ายคนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ผมเคี้ยวองุ่นลูกนั้นกรุบ ๆ ทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่
“หวานดีแฮะ”
ผมเลียริมฝีปากตัวเองเบา ๆ
“แต่อยากกินองุ่นลูกเล็ก ๆ ของกายมากกว่า”
ยิ่งพูดแก้มขาวยิ่งแดง
จริง ๆ ผมไม่เหมาะกับบทพระเอกหรอก บทผู้ร้ายน่าจะทำได้ดีกว่า เมื่อง้อด้วยวิธีดี ๆ นุ่มนวล ๆ ไม่ได้ผล ก็ต้องง้อด้วยวิธีเจ้าเล่ห์ ๆ นี่แหละ
“พี่ป้อนกายบ้างดีกว่า”
ผมเด็ดองุ่นออกมาลูกหนึ่ง คาบไว้ในปาก รั้งเอวมันมากดจูบส่งผ่านองุ่นแสนหวานเข้าไป แต่แทนที่ผมจะถอนจูบออก ผมกลับใช้ลิ้นดึงองุ่นลูกนั้นกลับ กัดแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วดันใส่ปากมันไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่ง กินเอง
“อร่อยแฮะ”
ผมพูดยั่ว ๆ
มันรีบเช็ดปากตัวเอง ทำท่าจะคายทิ้ง
“อย่าทิ้งนะ!! ถ้าคายทิ้ง พี่จะจูบนายไม่หยุดเลย”
มันชะงัก จ้องหน้าผมเคือง ๆ ก่อนหันหน้าไปทางอื่น รีบเคี้ยว ๆ สิ่งที่อยู่ในปากกลืนลงคอ
ผมอมยิ้ม
คราวนี้มันหยิบองุ่นมายื่นใส่ปากผมสลับกับปากมันเองทันที ไม่มีเล่นแง่แล้วครับ คงกลัวโดนป้อนแบบเมื่อกี้นี้อีก
ผมหัวเราะหึ ๆ ด้วยความพอใจ เดินเคียงไปกับมัน
จบจากไร่องุ่นพวกเราก็พากันกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวเที่ยวงานวัดกันต่อ ไม่เกินสองทุ่มพวกเราก็มารวมตัวกันอยู่ในวัดแล้ว
งานใหญ่ใช้ได้เลยครับ คนเยอะน่าดู แค่คนจากฟาร์มของไอ้กิ๊ฟก็เยอะแล้ว ส่วนมากงานวัดตามต่างจังหวัดแบบนี้ ทุกคนจะพากันออกมาเที่ยวแบบยกครัว เด็กเล็ก ๆ ก็ถูกพ่อกับแม่พาไปเล่นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก พวกผู้ใหญ่กับคนสูงอายุ ก็พากันไปนั่งรวมกันอยู่หน้าเวที รอชมการแสดงต่าง ๆ ส่วนพวกวัยรุ่นก็พากันเล่นเกม มากันเป็นกลุ่มบ้าง เป็นคู่บ้าง คละเคล้ากันไป
พอมาถึงพวกเพื่อน ๆ ผมก็พากันแยกย้ายไปเล่นเกมทันที
“ว้าย ๆ อ้อนอยากเล่นเกมนั้น”
พวกทโมนรีบจูงมือกันไปเล่นเกมสาวน้อยตกน้ำทันที ทิ้งพ่อกับแม่ผมให้เดินเล่นระลึกความหลังกันอยู่สองคน พวกไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไม่เห็นพวกมันตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว(พวกเราพากันเดินมาครับ) พอ ๆ กับไอ้คุณชรินทร์นั่นแหละ แต่รายนี้น่าจะหายตัวไปถ่ายรูปมากกว่า
พ่อไอ้ตัวเล็กท้าแม่ให้ไปเล่นเกมโยนห่วงด้วยกัน ในขณะที่ไอ้เต้ยลากพี่มันหายไปยังโซนของกิน ส่วนผมเดินตามไอ้ตัวเล็กมัน
วันนี้มันแต่งตัวน่ารักดีครับ ไม่รู้ว่ามันจงใจหรือเพราะอากาศร้อนกันแน่ มันถึงได้ใส่เสื้อกล้ามออกมาแบบนี้
ไม่เคยเห็นมาก่อน
ปกติเห็นใส่แต่เสื้อยืด แล้วเสื้อกล้ามที่ใส่ ก็เป็นแบบพอดีตัว สีดำอีกต่างหาก นั่นยิ่งไม่เคยเห็นเข้าไปใหญ่ เพราะปกติ มันชอบใส่แต่สีสว่าง ๆ อารมณ์ไหนวะเนี่ย
กางเกงที่ใส่เป็นกางเกงผ้าขาสามส่วนแบบสบาย ๆ รองเท้าแบบสวมสีดำสลับขาว เข้าเซตกับเสื้อกล้ามดี ผมจ้องมองแผ่นหลังเพรียวบางนั้น บอกตามตรง มันเป็นคนไม่มีกล้าม แต่ก็ไม่ได้ขี้ก้าง พอใส่เสื้อแบบนี้ มันเลยดูเพรียวลมสมส่วนเข้าไปใหญ่
เห็นแล้วอยากจับมาฟัดให้หนำใจ
ส่วนตัวผมมาในชุดเสื้อยืดสีเทาเข้ม สวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีดำสไตล์เดิม กางเกงเป็นกางเกงยีน ร้องเท้าแบบสวมแต่มีรัดส้น เน้นเท่ไว้ก่อน
มันไม่มองหน้าผมเลยตั้งแต่ออกจากบ้านมา แล้วเลือกที่จะเดินนำปล่อยให้ผมเดินตามต้อย ๆ แขนมันยังเป็นรอยอยู่ และดูเหมือนรอยจะเข้มขึ้นกว่าเดิมจนผมสะท้อนใจ
ที่มันจะงอนยาวก็ไม่แปลก เพราะมันคงจะเจ็บเอามาก ๆ
มันเดินถ่ายรูปสลับกับแวะซื้อของกิน(ไม่ยอมแบ่งผมเหมือนเดิม) ผมจงใจจับมันแยกออกมาจากกลุ่ม จะได้ง้อมันได้ง่าย ๆ หน่อย แต่มันเล่นไม่พูดไม่จากับผมเลย
พอผมเดินเข้าไปใกล้ มันก็เลือกที่จะเดินเร็วหลบหนี เพราะเดินไม่ดูทาง มันเลยไปชนกับวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งเข้า ดูแล้วน่าจะเป็นนักเลงประจำถิ่นด้วย
ไอ้ตัวเล็กรีบขอโทษขอโพย แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอม มันผลักอกไอ้ตัวเล็กอย่างหาเรื่อง ผมรีบเดินไปจับแขนมันไว้ทันที แล้วใช้สายตาอาฆาตปรามมัน ชาวบ้านเริ่มถอยห่างเพราะรู้สถานการณ์ดี
“ยุ่งไรด้วยวะ”
มันถามด้วยน้ำเสียงกวนตีน
ผมยิ้มเย็น
“ถ้าไม่อยากเป็นศพอย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”
“วอน”
มันไม่ฟังฟ้าฟังฝน เหวี่ยงหมัดใส่ผมทันที ผมก้มหลบ ก่อนอีกหมัดจะเหวี่ยงมาบ้าง ผมไม่อยากมีเรื่องแถวนี้ เลยจับสองมือมันรวบไปด้านหลังแล้วผลักตัวมันไปด้านหน้าเพื่อปล่อย กำลังจะเอื้อมไปดึงไอ้ตัวเล็กออกจากแขนอีกคน แต่ต้องเด้งไปด้านหน้า เพราะแรงฟาดจากไม้หน้าสามเข้าเต็ม ๆ ที่กลางหลัง
“พี่เอก!!”
ไอ้ตัวเล็กเรียกผมเสียงตื่น มันก็พยายามดิ้นรนให้หลุดรอดเหมือนกัน แต่ถูกยึดไว้จากคนสองคนทำให้ขยับไม่ได้ มันมองผมด้วยความเป็นห่วง
ผมก้มหลบหมัดที่เหวี่ยงมาจากด้านซ้าย แต่ไม่พ้นหมัดที่เหวี่ยงมาจากทางด้านขวา ตอนนี้ผมถูกล้อมหน้าล้อมหลังโดยมีไอ้ตัวเล็กเป็นตัวประกัน
ผมใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก คำนวณด้วยสายตาแล้ว ผมหนึ่ง มีไอ้ตัวเล็กเป็นตัวประกัน ส่วนพวกมันมีสิบห้า
พวกมันกรูกันเข้ามา ถึงผมจะเก่งการต่อสู้แค่ไหน ก็คงไม่อาจทานมือทานตีนของคนร่วมสิบกว่าผสมอาวุธครบมือ ทั้งสนับมือ ไม้หน้าสาม บ้างพกมีดเลย
ที่สำคัญ...
ผมเป็นห่วงไอ้ตัวเล็กมันครับ มันพยายามดิ้นรนใหญ่ แต่สองแขนถูกล็อกไว้ด้านหลัง ซ้ำไอ้คนด้านหน้ายังจับคางมันบีบแน่นอีกด้วย
เฮ้ย! มึง! เมียกูผิวขาวนะโว้ย บีบแรงขนาดนั้น เดี๋ยวเมียกูช้ำหมด
เพราะเผลอมองไอ้ตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง ผมเลยถูกอัดเข้าที่ซี่โครงเต็ม ๆ จนตัวงอ ไอ้ตัวเล็กร้องลั่นเลย พวกมันกำลังจะเขามายำตีนผมต่อ แต่ดีที่พวกเพื่อน ๆ ผมพากันกรูเข้ามาช่วย พวกมันคงได้ยินเสียงคนโวยวาย เลยเข้ามาดู
ไม่เกินห้านาที พวกมันก็ลงไปนอนกินฝุ่น โดยมีตีนของเพื่อน ๆ ผมอยู่บนตัว และคนที่เก็บพวกมันได้มากสุด ก็เป็นไอ้กิ๊ฟ ไอ้เพื่อนสุดกร่างของผมนั่นแหละ
“อ้าว ไอ้จิต”
ไอ้กิ๊ฟมันเรียกเสียงเย็น
“มึงกล้ามากเลยนะ มารังแกเพื่อนสนิทกับน้องชายสุดที่รักของกูได้”
เห็นไอ้คนที่นอนหมอบอยู่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“ผะ ผมไม่รู้พี่กิ๊ฟ ว่านั่นเป็นน้องกับเพื่อนพี่”
ไอ้กิ๊ฟมันยิ้มเย็น
“อืม ทีนี้ก็รู้แล้วนี่ แต่ว่า…”
มันหันมามองกายที่พยุงผมไว้ด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อกี้มันทำอะไรนายบ้างกาย”
มันถาม ไอ้ตัวเล็กส่ายหัว
“ยังไม่ทันได้ทำ พี่เอกเข้ามาช่วยไว้ก่อน”
จริง ๆ ก็ทำนะ แต่แค่ล็อกแขนกับบีบคาง
แต่แม่ง!! คางเมียกู
ไอ้กิ๊ฟหันมามองผมต่อ
“แล้วมึงล่ะ”
“โดนต่อยหน้า อัดซี่โครง กับโดนไม้หน้าสามฟาดเข้าเต็ม ๆ ที่กลางหลัง”
ผมตอบตามจริง
พวกมันพากันหน้าซีด
ไอ้กิ๊ฟสั่งให้พวกนักเลงยืนเรียงแถว ใครที่ยืนไม่ไหวเพราะโดนยำตีนไปก่อนหน้านั้นก็ให้พวกเพื่อน ๆ ผมพากันจับยืนแทน ไอ้พวกนี้ก็ทำงานกันเป็นทีมดี เรื่องพวกนี้มันยอมกันซะที่ไหน
เข้าข่าย..
เพื่อนข้า ใครอย่าแตะ
“ต่อยหน้า”
ไอ้กิ๊ฟยืนยิ้มพราวอยู่ต้นแถว นวดวนหลังมือตัวเองเบา ๆ ก่อนกำหมัดซัดใส่หน้าไอ้คนแรกเต็ม ๆ จนไอ้เด็กหัวเหลืองนั่นหน้าหันเลือดกบปาก
ไม่ต้องถามว่าเจ็บไหม เลือกทะลักพลั่ก ๆ ขนาดนั้น
แล้วมันก็ต่อยเรียงหน้าเลย บางคนขยับตัวจะวิ่งหนี แต่ถูกเพื่อนผมจับเอาไว้ก่อน อย่าว่าแต่เพื่อนผู้ชายผมนะที่เก่ง เพื่อนผู้หญิงกลุ่มผมก็ใช่ย่อย ยูโด เทควันโดสายดำกันทั้งนั้น ไอ้กิ๊ฟนี่เอาทุกอย่างแต่ถนัดสุด คงเป็นมวยไทย คนจากสมาคมกีฬามาซื้อตัวหลายรอบแล้ว แต่มันไม่ชอบเลยบอกผ่าน
ชาวบ้านพากันทำท่าหัวหด หวาดเสียวไปตาม ๆ กัน ไม่นานมันก็ต่อยครบ 15 หน้า
“อัดซี่โครง”
พวกมันพากันกุมซี่โครงอัตโนมัติ
“พี่กิ๊ฟพอเถอะ!!”
ไอ้ตัวเล็กมันร้องขอ
ไอ้กิ๊ฟหันมายิ้มพราวให้
“ไม่ได้หรอกกาย ถ้าไม่ปรามซะบ้าง พวกมันก็จะพากันกร่าง พางานดี ๆ เขาเสียหมด”
แล้วมันก็จัดการอัดซี่โครงพวกนั้นจนจุกไปคนละที
โหดครับเพื่อนผม
ชาวบ้านพากันยืนมองด้วยความหวาดเสียว แต่ไม่มีใครคิดปราม
เพราะความโหดของมันกับพวกพี่ ๆ มันนี่แหละ พวกนักเลงเลยไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น พ่อมันก็มีอิทธิพลด้วย เล่นยาก แม้แต่ตำรวจก็ยังเกรง
นี่ขนาดนาน ๆ ทีมันกลับบ้านทีนะเนี่ย
“อัดด้วยไม้หน้าสาม”
มันรับไม้ไปถือไว้ ก็ไอ้อันที่พวกมันใช้ตีผมนั่นแหละ มันตีไม้หน้าสามใส่มือตัวเองเบา ๆ เดินช้า ๆ ยิ้มเย็นไปยืนอยู่ข้างหลังพวกมัน
“โธ่ พี่กิ๊ฟ พอเถอะ ผมยอมแพ้แล้วพี่”
ไอ้คนที่ยืนอยู่หัวแถววอนขอ
“ดี งั้นก็ยืนอยู่เฉย ๆ”
มันแปลความเป็นอย่างอื่นไป
“ไม่ใช่พี่!! ได้โปรดเถอะ อย่าทำอะไรพวกเราเลย จะให้ทำอะไรก็ได้”
ไอ้กิ๊ฟมันยิ้มจนหวานเชื่อมพาลพาเอาเบาใจ
“อันนั้นหลังจากพวกมึงโดนกันคนละทีแล้ว”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มันฟาดไม้หน้าสามใส่กลางหลังไอ้คนพูดดังผัวะ จนไอ้คนนั้นลงไปร้องโอดครวญอยู่ที่พื้น
“พวกมึงทำผิดก็ต้องรับผิด ครั้งหน้าจะได้ไม่ซ่ากันอีก”
มันเขยิบไปยืนอยู่ด้านหลังอีกคนที่ยืนไม่ไหวแล้วแต่ถูกหิ้วปีกด้วยเพื่อน ๆ ผมอีกที
คิดว่ามันจะปรานีหรือเปล่า
ผัวะ!!
นี่คือคำตอบ
ชาวบ้านพากันยืนหัวหดยิ่งกว่าเดิม ทำท่าหวาดเสียวหรี่ตามองดู ผู้ใหญ่บางคนก็เอามือปิดตาเด็กแบบแง้ม ๆ ไว้ไม่ให้ดู (แล้วจะปิดไปทำไม = =) พอครบทุกคน เพื่อน ๆ ผมก็ปล่อยให้พวกมันนอนร้องโอดครวญกองกันอยู่ที่พื้น
“ถ้าพวกมึงกล้ามารังแกคนของกู หรือทำให้งานสนุก ๆ แบบนี้พังอีก กูจะเพิ่มโทษเป็นสองเท่า”
ไอ้กิ๊ฟมันขู่
ไอ้ตัวเล็กมองภาพตรงหน้าหวาด ๆ แฝงแววสงสารเอาไว้หน่อย ๆ มันยืนชิดอยู่ข้างผม
“เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมพวกพี่ถึงได้กลัวไอ้กิ๊ฟมัน”
ผมกระซิบ มันพยักหน้าหงึก ๆ ผมอมยิ้ม
ท่าทางแบบนี้ สงสัยจะหายงอนแล้ว
แล้วพวกเราก็ช่วยกันเก็บกวาดซากอมนุษย์โยนขึ้นรถ
แล้วพาส่งโรงพยาบาลกันเลยหรือเปล่า?
ไม่มีทางครับ
ถ้าปล่อยไปง่าย ๆ คงไม่ใช่ไอ้กิ๊ฟแน่ ๆ มันลากพวกสมุนสุดกร่างกลับบ้าน ไปทำแผลด้วยตัวเองต่อที่บ้าน
หึหึ
ขอเตือนไว้ก่อน ไอ้ที่โดนไปเมื่อกี้ ยังเจ็บน้อยกว่าวิธีการรักษาของมันซะอีก
ผมเคยบอกคุณรึยังว่าคนของตระกูลไอ้กิ๊ฟเป็นนักเลง ซ้ำยังเป็นผู้มีอิทธิพลของคนต่างจังหวัดอีกต่างหาก ปืนผาหน้าไม้ต่อยตีมีครบเครื่อง อย่าคิดไปมีเรื่องกับมันเชียว
ผมถูกพามาทำแผลที่บ้าน ทุกคนก็พากันกลับแล้วเหมือนกัน หมดอารมณ์ที่จะเที่ยวต่อ
หรือพูดให้ถูก...
คืออยากกลับมาดูการทำแผลอันมหาโหดของไอ้กิ๊ฟมันมากกว่า
เห็นแล้วเสียวแทน
มันเล่นเอาแอลกอฮอลล์สด ๆ ราดใส่แผล จนพวกมันร้องจ๊ากดิ้นแด่ว ๆ ทรมานปางตาย (ใครไม่เคยลอง ลองดูได้ แล้วจะรู้ว่ามันเจ็บปวดได้ใจขนาดไหน) แล้วเอาลูกประคบร้อน ๆ ตบตุบ ๆ ใส่รอยช้ำ (ที่น่าจะทำให้แผลช้ำยิ่งกว่าเดิมมากกว่า) แล้วคุ้ยเอายาหม่องเป็นก้อน ๆ มาโป๊ะ ๆ ป้าย ๆ ไปทั่วทั้งตัว ทั้งแสบทั้งร้อน ทั้งทรมานกันล่ะงานนี้
ซาดิสม์ได้ใจ
เดวิดนั่งกลืนน้ำลายอึก ๆ แว่วว่าอนาคตตัวเองคงจะริบหรี่น่าดู
ไอ้กิ๊ฟ ทำอะไรมึงคิดบ้างก็ได้นะ มันอยากจะเลือกมึงเป็นเมียอยู่ไหมน่ะ
พอเสร็จจากตรงนี้ก็อย่าคิดว่ามันจะปล่อยกลับบ้านได้ง่าย ๆ นะ มันถือคติ ทำร้ายก็ต้องดูแล มันสั่งให้พี่กิจทำแผลให้ไอ้พวกนี้ทุกวัน (แบบที่มันทำนั่นแหละ) ซ้ำยังให้ออกกำลังกายด้วยการลากสังขารไปช่วยทำไร่ทำสวนหรือช่วยงานวัดจนกว่าจะหายดีอีกด้วย
เอากับมัน
งานนี้ไม่ให้พวกมันเข็ด แล้วจะไปไหนรอด
หลังจากดูมหกรรมทรมานคน ผมก็ลากไอ้ตัวเล็กมานั่งให้มันทำแผลให้ในห้อง ผมเลิกถอดเสื้อออกจนหมด เหลือไว้แค่กางเกงเท่านั้น
“เป็นไงบ้าง” มันถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่คงโดนลงโทษ ที่ทำให้กายต้องเจ็บตัว” ผมพูดเรียบ ๆ
มันเม้มปากแน่น
“ผมไม่เจ็บเท่าพี่หรอก”
มันป้ายยาหม่องมาแต้มเบา ๆ ที่มุมปาก แต้มอีกรอบมาทาที่ซี่โครง และคุ้ยยาก้อนเบ้อเร่อไปทาที่กลางหลัง
คุ้ยเยอะขนาดนั้น มันคงเขียวไม่ใช่น้อย
ผมเลื่อนมือไปแตะรอยแดงที่แขนมันเบา ๆ
“ยังเจ็บอยู่ไหม”
มันก้มมองแขนตัวเอง
“ถ้าเทียบกับพี่ ผมไม่เจ็บมากหรอก ขอบคุณฮะที่ช่วย”
ผมยิ้ม เลื่อนมือไปที่แก้มมัน
“ดีแล้วล่ะ พี่ไม่อยากให้กายเจ็บเหมือนกัน”
มันหลุบตาลงต่ำ แต้มยามาทาซี่โครงต่อ
“ไปเดินเล่นกันไหม”
ผมชวนหลังจากมันทายาเสร็จ มันพยักหน้ารับ แล้วผมก็เดินเปลือยท่อนบนพามันเดินออกจากห้องไป
“โห อนุสาวรีย์มึงเต็มตัวเลยว่ะเอก”
ไอ้กิ๊ฟมันแซว
ผมยักคิ้ว
“อนุสาวรีย์บ้านมึง เขาเรียกอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญโว้ย”
“พูดดีไป ไม่ได้พวกกู มึงก็นอนกินตีนพวกมันกลายเป็นศพเฝ้าวัดไปแล้ว”
ผมหัวเราะหึ ๆ
“แล้วตกลงพวกมันเป็นใคร”
“วัยรุ่นแถว ๆ นี้แหละ จริง ๆ พี่กิจคุมอยู่ แต่ช่วงนี้เฮียแกยุ่ง ๆ กับนมวัว เลยไม่ได้ไปดูแล กะว่างานนี้จะซ่ากันให้เต็มที่ แต่มันคงไม่รู้ว่ากูมา”
พวกเพื่อน ๆ พยักหน้าเข้าใจ
เห็นความช้ำของแต่ละคนแล้ว เหอ ๆ กูจะไม่ขอเป็นศัตรูกับคนตระกูลมึงเด็ดขาด
“พี่กิ๊ฟเก่งจัง”
ไอ้ตัวเล็กมันชม
“เราก็ต้องหัดไว้บ้างน่ะ วิชาป้องกันตัวน่ะ เวลาผัวมันทำร้ายมา จะได้โต้กลับได้บ้าง ไม่ใช่ให้มันมาทำร้ายเราฝ่ายเดียว”
ผมสะดุ้งโหยง
“มึงไม่ต้องมาสอนวิชามารให้เมียกู ไอ้กิ๊ฟ”
ผมรีบท้วง
ไอ้ตัวเล็กมันยืนหน้าแดง
“นี่กาย” มันไม่ฟังครับ “พี่จะสอนอะไรให้นะ”
“ไอ้กิ๊ฟ!!”
ผมท้วงเสียงดัง
“มึงเงียบไปเลย! ถ้าไม่อยากโดนตีนกูอีกคน”
ผมหุบปากลงฉับ พวกเพื่อน ๆ พากันหัวเราะคิกคัก
“พี่จะสอนอะไรให้ รับรองได้ผลดียิ่งกว่าอะไร”
แล้วมันก็ก้มกระซิบอะไรบางอย่าง ไม่ได้ยินครับ แต่อย่าให้มันสอนอะไรเป็นดีที่สุด
ไอ้ตัวเล็กหน้าแดง
มึงสอนอะไรเมียกูวะ
“มึงสอนอะไรกาย”
ผมถามมันเสียงเครียด
“กูแค่สอนวิธีหยุดหมาบ้าแบบมึงแค่นั้นแหละ ถ้าวันไหนมึงเกิดสติหลุดขึ้นมา น้องกูจะได้ไม่เจ็บตัวแบบวันนี้อีก”
ผมสะอึก
“พวกมึงจะไปไหนก็รีบ ๆ ไป พวกกูจะจั่ว”
แล้วมันก็ไล่ผมกับไอ้ตัวเล็กออกจากกลุ่ม ผมเลยได้ทีดึงมันลงจากเรือน ปล่อยให้พวกมันสรวลเสเฮฮาลั่นบ้านกันไป
แม่ง เช้าทำบุญ เย็นอบายมุข เจริญล่ะพวกมึง
แต่พวกมันเล่นกันเป็นเกมครับ ไม่มีเงินวาง ไม่ได้เล่นเป็นการพนันกันหรอก
จริง ๆ ของพวกนี้มันขึ้นอยู่ที่เจตนา ถ้าไม่ติดจนกลายเป็นนิสัย มันก็แค่เกมเพื่อความสนุกและกระชับมิตรดี ๆ นี่เอง
“ไอ้เชี่ยมอ!! ถ้ามึงโกงกูอีกที มึงเอาตีนกูไปกินได้เลย”
คิดว่านะ…
ไอ้ตัวเล็กข้างผมหัวเราะคิก ผมหันไปมอง โอบเอวมันไว้ พามันก้าวไปตามทางเดินภายใต้แสงสว่างของดวงพระจันทร์สีนวลสวย
To be Con..
หายหัวไปร่วมสองอาทิตย์กว่าจะโผล่มาอัพที ข้าน้อยขออภัย
ช่วงนี้ติดเขียนนิยายเรื่องใหม่มากกกก เหอๆ เขียนจบละ กำลังอ่านทบทวนเพื่อปรับแก้ก่อนลงให้อ่านกันจริงๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาลงให้อ่านกันในเล้าไหมนะคะ ถ้าไม่ได้ลงก็ตามไปอ่านกันได้ในเด็กดีน้า
แนวโรแมนติกคอมเมดี้มิมีดราม่า เห็นเขาว่าน่าจะเหมาะกับคนในเล้า ตัดสินใจได้ไงเดี๋ยวจะแวบมาบอก
............................
ปล. ตอนหน้าเอ็นซีมา (ดิ้นตามเพลง)
...........................
หนังสือ&ebook >>
https://goo.gl/FSOuuM