Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)  (อ่าน 680879 ครั้ง)

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


 
78
หล่อเลี้ยงรัก
[เอก...☼]





 
ท้องฟ้ายามราตรีสวยงามเอามาก ๆ ผมหนีบไอ้ตัวเล็กพามันมาเดินเล่นทะเลแถว ๆ หาดแม่พิมพ์จังหวัดระยอง ที่นี่เงียบและบรรยากาศดีสุด ๆ ผมพามันมานั่งอยู่บนพื้นทราย ด้านหลังเราคือทิวสนขนาดใหญ่ ตั้งเรียงรายไปจนสุดหาด ด้านหน้าคือท้องทะเลกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา

สายลมยามดึกปลุกผิวน้ำนิ่งสงบให้ลุกขึ้นมาวิ่งชนกันกลายเป็นระลอกคลื่นเข้ากระทบฝั่ง บนท้องฟ้าแสนกว้างมีดวงจันทร์สีเหลืองอร่ามประดับอยู่โอบล้อมด้วยดวงดาวนับล้านที่กำลังแข่งกันสาดแสงเปล่งประกายสวยงามไม่ต่างกับแสงไฟจากเรือหาปลาที่จอดอยู่กลางท้องน้ำไกลออกไปลิบ ๆ 
 
ผมนั่งชันเข่าอยู่บนทราย กึ่งกลางระหว่างคลื่นน้ำและทิวสนด้านหลัง โดยมีไอ้ตัวเล็กนั่งแทรกพิงอกผมไว้ ฝ่าเท้าเราเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่กดแทรกไปกับเม็ดทรายสีอ่อน ผมโอบมันไว้หลวม ๆ ในอ้อมแขน
 
ผมชอบที่จะมีช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้กับมัน
             
กับคนอื่น ผมยังไม่เคยพยายามทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่กับมัน ผมอยากทำ อยากสร้าง อยากเห็นรอยยิ้ม และมีความสุขร่วมกับมันทุกวัน


ผมรู้ว่ามันชอบถ่ายรูป แม้แต่เวลานี้ก็ตาม
 
“พี่เอกยิ้ม”
 
ผมเองก็บ้าจี้ ฉีกยิ้มกว้างใส่กล้องที่มันเล็งมาทางพวกเรา เป็นกล้องจากมือถือผมเอง เปลี่ยนรุ่นแล้วครับ เลือกเอารุ่นที่มีฟังชั่นการถ่ายรูปชัด ๆ มาแทน

ถ่ายเสร็จมันก็กดเช็คดูความแม่นยำ
 
“แฟนใครเนี่ยหล่อจัง”


ผมนั่งหน้าร้อนผ่าว เวลามันถือกล้องมันมักจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมาได้ไม่อาย และไม่ค่อยจะรู้ตัวด้วย คนที่อายแทนก็ผมนี่แหละ ดีว่าไม่มีใครสังเกตเห็น
 
“นี่ ๆ ถ่ายพ่อบ้างสิ”
อันนี้ไม่ต้องแปลกใจว่าโผล่มากันได้ไง
 
รายนี้ พอโทรหาลูก แล้วรู้ว่าถูกผมลากมาทะเล แกก็รีบไปลากแม่ที่กำลังนั่งปั่นนิยายอยู่ตะบึงรถมาสมทบทันที
 
นี่กูต้องการมาสวีทกับเมียกูสองคน แล้วจะตามมาทำไมกันเยอะแยะวะเนี่ย
 
พาลครับ
 
ไอ้ตัวเล็กรีบลุกไปถ่ายรูปพ่อกับแม่ แม่ก็ขืน ๆ อะนะ แต่พ่อด้านซะอย่าง ผมอมยิ้ม พอถ่ายรูปจนพอใจ พ่อก็จูงมือแม่ไปหาที่เงียบ ๆ นั่งสวีทกันสองคน
 
พ่อก็คงไม่ต่าง
             
อยากใช้ช่วงเวลาที่เหลือเพื่อความสุขของตัวเอง ผมเพิ่งรู้ว่าแต่ก่อน พวกเขาก็เอาแต่ทำงาน โดยเฉพาะพ่อที่บ้างานสุด ๆ เที่ยวก็มีบ้าง แต่งานต้องมาก่อน
 
ไม่ต่างกับผม
 
แต่ตั้งแต่ผมมีไอ้ตัวเล็ก ผมเริ่มที่จะวางแผนทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาว่างให้มากที่สุด และเอาเวลาเหล่านั้นมาอยู่กับมันและครอบครัว
 
หันไปมองอีกด้าน ไอ้เป้นั่งอยู่บนพื้นทราย วางสองขาราบไปกับพื้น โดยมีไอ้เต้ยนอนอยู่บนทรายหนุนตักมันไว้อีกที
 
พวกเรารู้ว่ามันผิด แต่ก็ยากที่จะห้ามปราม
 
ดวงตาไอ้เป้ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่มันก็สุขใจเล็ก ๆ ที่น้องมันรักมัน เหมือนที่มันรักน้องมัน
 
ผมหันกลับมามองท้องทะเลยามค่ำคืนอีกครั้ง


 
 
“ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว”
ไอ้ตัวเล็กยกข้อมือผมขึ้นเพื่อดูนาฬิกา
 
ผมมองตามงง ๆ
 
“ตอนนี้ผมอยู่ตรงนั้น”
มันชี้ไปที่ดวงจันทร์
 
“และเมื่อตอนกลางวัน พี่ก็อยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน ผมกับพี่เอก อยู่จุดเดียวกันเสมอ”
 
ผมก้มมองหน้ามัน


นั่นสินะ

และไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ผมจะอยู่กับมันเสมอ
 
 


 
“แม่ง่วงแล้ว แม่ขึ้นห้องก่อนนะ”
แม่ไอ้ตัวเล็กเดินมาบอก
 
“พ่อก็เหมือนกัน”
พ่อแกล้งทำตาปรอยเหมือนคนง่วง เดินเซ ๆ ไปซบไหล่แม่เนียน ๆ
 
“นี่!!”
แม่กระตุกหัวไหล่เขยิบตัวหนี
 
“โธ่ คุณ ก็ผมง่วง”
 
“ง่วงก็ขึ้นไปนอนซะสิ”
 
พ่อทำตาวิ้งขึ้นมาทันที
 
“คุณชวนผมเองนะ”
แล้วพ่อก็จัดการจับแม่พาดบ่า วิ่งลิ่ว ๆ เข้าโรงแรมไป แม่โวยวายไปตลอดทั้งเส้นทางคละเคล้าเสียงหัวเราะของพ่อ
 
ผมหันมามองไอ้ตัวเล็ก ทำสายตาเจ้าเล่ห์หน่อย ๆ ใส่ และก่อนที่มันจะอ้าปากพูดอะไร ผมรีบจับมันอุ้มพาดบ่าทันที
 
“พี่เอก ปล่อย!! ผมเดินเองได้!!”
 
“ไม่เอาน่า พี่บริการส่งให้ถึงห้อง ได้ข่าวว่าทำงานมาเหนื่อย ๆ”
 
มันดิ้นด๊อกแด๊ก แต่ผมก็ไม่คิดจะปล่อย เดินหัวเราะผ่านเคาน์เตอร์ที่มองมาทางพวกเรายิ้ม ๆ
 
หันไปมองอีกคู่ ไอ้เต้ยเดินควงแขนพี่มันตามมาเหมือนกัน
 
แล้วพวกเรา ก็ต่างพากันเดินเข้าห้องปิดประตูนอนเงียบ ๆ
 

 
“อ๊า พี่เอก ตะ ตรงนั้น อย่า..”
 
ครับ เงียบ ๆ
 
หึหึ
 
 
 
 







 
 
         
 
เช้าวันใหม่ ผมปลุกไอ้ตัวเล็กตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นทอแสงเพื่อชวนมันไปวิ่ง มันงัวเงียกอดหมอนกอดผ้าห่มแน่นไม่ยอมตื่น

ผมดึงผ้าห่มออก จับมันลุกขึ้นมานั่ง
 
“พี่เอก ผมง่วง”
มันงอแงทำท่าจะล้มตัวลงไปนอนต่อ

“อะไร พี่ทำเราไปแค่สองรอบเองนะ”


มันหน้าง้ำทันทีที่ผมพูดจบ
 
“สองรอบต่อเซตน่ะสิ”
 
ผมหัวเราะหึ ๆ ดึงมันลุกออกจากเตียง

ผมพร้อมอยู่ในชุดเตรียมวิ่งเรียบร้อยแล้ว มันเดินเนือย ๆ ลากขาเข้าห้องน้ำไป ไม่เกินสิบนาทีก็เดินออกมาในชุดเตรียมวิ่งไม่ต่าง เพียงแต่ของมันเป็นชุดขาวล้วนตั้งแต่เสื้อยันรองเท้า ในขณะที่ผม เสื้อเป็นสีฟ้ากางเกงสีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบสีเดียวกับกางเกง   
 
เราเดินออกจากห้องไปสมทบกับพ่อและแม่รวมถึงสองพี่น้องต่างไซส์ที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
 
“มึงคิดไง ชวนวิ่งเนี่ย”
ไอ้เป้มันถาม
 
“วิธีที่จะได้ชมวิวไปด้วยออกกำลังกายไปด้วยก็วิ่งนี่แหละ”
 
มันพยักหน้าเข้าใจ
 
แล้วพวกเราก็พากันวิ่งไปบนพื้นทรายเลียบคลื่นน้ำที่กำลังกระทบฝั่งเป็นระลอก ๆ สายลมยามเช้าพัดไหวให้กิ่งก้านช่อใบของต้นสนร่วงโรยลงมาดูสวยงามไปอีกแบบ มีนักท่องเที่ยวฝรั่งบางคนออกมาวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางเราไป 
 
ผมสูดเอาอากาศดี ๆ เข้าปอด วิ่งในจังหวะช้า ๆ แต่สม่ำเสมอ ส่วนไอ้ตัวเล็ก กำลังหอบแฮกพยายามกอบโกยเอาเอาอากาศเข้าปอดอยู่ ผมยิ้ม


ปกติผมกับไอ้เป้จะวิ่งเร็วกว่านี้ แต่วันนี้พวกเราพากันวิ่งช้า ๆ รอพวกไอ้ตัวเล็กมัน อ่อนออกกำลังกายด้วยกันทั้งคู่ วิ่งกันไม่เท่าไหร่ก็หอบแดกแล้ว

 
วิ่งไปได้สักพัก ไอ้ตัวเล็กก็หยุดยืนค้ำเข่า จนพวกเราต้องวิ่งเหยาะ ๆ อยู่กับที่รอ มองไปด้านหน้า เห็นพ่อกับแม่วิ่งอยู่ลิบ ๆ
 
เห็นอายุเยอะ แต่แข็งแรงกันน่าดู ดูถูกคนแก่กันไม่ได้เลยจริง ๆ
 
ไอ้ตัวเล็กหอบแฮก ดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อจนเห็นสะดือ

ผมเผลอมองตามแบบหื่น ๆ
 
“แข็งขันหน่อยสิ”
ผมวิ่งเหยาะ ๆ กระตุ้น
 
“ไม่ไหว ช้า ๆ หน่อยพี่เอก”
มันโบกไม้โบกมือ
 
ผมเลยพยักหน้าให้ไอ้เป้วิ่งนำไปก่อน
 
“ไหวไหม”
ไอ้เป้ถามน้องมันที่มีสภาพเกือบเหมือนไอ้ตัวเล็ก
 
ไอ้เต้ยฉีกยิ้มกว้างปนหอบ
 
“ไหว”

ไอ้เป้พยักหน้า วิ่งเหยาะ ๆ พาน้องมันจากไป ส่วนผมเดินช้า ๆ ไปกับไอ้ตัวเล็ก
 
“อึดให้ตาย” มันบอก
 
“ถ้าไม่อึด จะทำให้กายมีความสุขได้ยังไง”
 
หน้าที่แดงเพราะแรงวิ่งยิ่งแดงเข้าไปใหญ่เพราะความอาย
 
“ลามก”
 
ผมหัวเราะหึ ๆ
 
แล้วเช้านั้น เราก็ได้กินมื้อเช้ากันระหว่างทาง เป็นร้านอาหารริมทะเลนั่นแหละ เห็นคนเยอะดี เลยเข้าไปนั่งกับเขาบ้าง อร่อยใช้ได้ครับ
 
ขากลับ พวกเราพากันเดินกลับ วิ่งไม่ได้ครับ..
 
มันจุก
 
“อยากกินน้ำมะพร้าวแฮะ”
ไอ้เต้ยมันพูดขึ้นมาลอย ๆ
 
ไอ้เป้มองหาซ้ายขวา แต่เช้า ๆ แบบนี้ ไม่น่าจะมีขาย
 
“เดี๋ยวพาเข้าไปซื้อในเมือง”
มันเอาใจน้องมัน ไอ้เป้โหมดเดิมกลับมาแล้วครับ
 
“ไม่เป็นไร กลับไปกินน้ำเปล่าที่ห้องก็ได้”
ไอ้เต้ยเกาะแขนพี่มันแน่นพูดยิ้ม ๆ
 
ผมเผลอตัวอมยิ้มตาม
 
แค่คำพูดเอาใจจากพี่มัน ก็มีค่ามากพอสำหรับไอ้เต้ยแล้ว
 
ไอ้เป้ยิ้ม ขยี้หัวน้องมันเบา ๆ
 
ไอ้ตัวเล็กมองภาพข้าง ๆ ไม่ต่างกับผม ตอนแรกมันเดินอยู่ห่าง ๆ สักพักมันก็เดินเข้ามาควงแขนผม

ผมมองมันอึ้ง ๆ

หน้ามันแดงอย่างเห็นได้ชัด คนก็มองกันใหญ่ ปกติมันขี้อายจะตาย
 
“ผมรักพี่นะ”
มันพูดเบา ๆ หวังให้ผมได้ยินคนเดียว ก่อนปล่อยมือออกแล้วเดินลิ่ว ๆ นำหน้าไป

ผมยิ้ม ก้าวเร็วตามไปหอมแก้มมันที มันรีบกุมหน้าหันขวับมามอง
 
“กายชอบแกล้งพี่”
 
“กะ แกล้งอะไร”
 
“แกล้งให้พี่รักมากขึ้นทุกวันไง”
 
“แหวะ”
เอฟเฟคจากพ่อครับ
 
ผมหันไปยักคิ้วให้
 
“อย่าอิจฉาพ่อ ผมกำลังจีบเมียผมอยู่”
 
“เป็นเมียแล้วยังต้องจีบอีกเหรอ”
แม่ถามอย่างสงสัย
 
ผมยิ้ม
 
“ไม่ได้หรอกแม่ กายเขาเสน่ห์แรง ไม่จีบทุกวัน เดี๋ยวเผลอไปหลงรักคนอื่นเข้า ผมคงแซด”
 
ไอ้ตัวเล็กหน้าแดงใหญ่
 
“แล้วอีกอย่าง ความรักมันก็เหมือนต้นไม้ ต้องให้น้ำทุกวัน ต้องใส่ปุ๋ยสักเดือนละครั้งสองครั้ง มันถึงจะสดชื่นเจริญงอกงาม ผมไม่อยากให้ต้นไม้ที่ผมรัก ต้องเหี่ยวเฉาหรือแห้งตายไปในที่สุด ถึงเวลานั้น ผมคงเรียกร้องอะไรกลับคืนไม่ได้ เพราะผมเป็นคนละเลยการดูแลเอง”
 
ทุกคนพากันนิ่งฟัง
 
“นั่นสินะ”
พ่อเปรยเงียบ ๆ
 
“เหมือนที่พ่อกับแม่เป็นสมัยก่อน เพราะคิดว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว เลยไม่ค่อยใส่ใจกัน พอนานวันเข้า ต้นไม้มันก็เหี่ยวเฉา ไร้ดอกไร้ผล ถ้าเป็นความรัก มันก็จืดก็จาง สุดท้ายต้นไม้ก็ตาย ความรักก็จบ หนังก็เหี่ยว”
 
แม่ตีเพี้ยะแขนพ่อ

ชอบทำให้คำซึ้ง ๆ พังตอนจบอยู่เรื่อย
 
แต่พวกเราเข้าใจที่พ่อพูดดี
 
พ่อจับมือแม่ไว้ แม่ก็ไม่คิดจะดึงกลับ เดินคู่กันไปเงียบ ๆ ในขณะที่ไอ้เต้ย ควงแขนพี่มันไม่อาย และไอ้ตัวเล็ก ที่ก้าวช้าลงมาเดินอยู่ข้าง ๆ ผมหน้าแดง ๆ
 
แต่ละคน กำลังหล่อเลี้ยงความรักในรูปแบบของตัวเองอยู่














 
 
สาย ๆ พวกเราก็พากันไปขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมือง เราเลือกขับเข้าซอยเล็ก ๆ เพื่อไปดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน เจอซอยไหนน่าเลี้ยวก็เลี้ยว ไม่ได้เจาะจงจุดหมายปลายทาง
 
ผม พ่อ และไอ้เป้ทำหน้าที่ขับรถ ส่วนไอ้ตัวเล็ก แม่และไอ้เต้ยนั่งอยู่เฉย ๆ ด้านหน้า
 
แสงแดดยามสายอุ่นผิวกำลังดี พวกเราขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้สายลมพากันตีใส่หน้า มองวิวทิวไม้และท้องทุ่งนา รวมถึงชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงสี่ขาต่างพันธุ์
 
ไอ้ตัวเล็กถ่ายรูปมาตลอดทั้งเส้นทาง จนหนำใจถึงได้คล้องกล้องไว้ที่คอแล้วมองวิวสองข้างเฉย ๆ
 
“กาย”
ผมเรียก มันครางรับหันมามอง


“นายขับนะ”
 
มันทำหน้างง ๆ แต่ก็รีบจับแฮนด์ไว้อัตโนมัติ
 
ส่วนผม…
 
เลื่อนมาจับเอวมันแทน
 
หึหึ
 
ขอแต๊ะอั๋งเมียตัวเองหน่อยเหอะ           
 
“นี่!! มีบรรพบุรุษเป็นงูรึไง ขับรถแบบนี้!!”
แม่วีนใส่พ่อเสียงดัง เพราะพ่อเล่นขับรถปาดซ้ายปาดขวา วิ่งจากริมซ้ายสุดไปขวาสุด แถวนี้ไม่มีรถราสัญจรหรอก ถนนทั้งเส้นมีแค่รถพวกเราสามคันนี่แหละ
 
“แหมคุณ ชีวิตมันต้องลองทำอะไรแหกกฎดูบ้างสิ ถึงจะสนุก”
 
เฮียแกแอดเวนเจอร์ตลอด
 
“ว่าแล้วก็อยากไปเดินป่า”
พ่อเปรย ผ่อนจังหวะปาดซ้ายปาดขวาให้ช้าลง แม่ที่กำลังวีน ๆ อยู่ ทำเสียงตื่นเต้นเห็นด้วยไม่ต่างกับไอ้ตัวเล็กของผม
 
“เอาสิฮะ”
 
ผมก้มมองแล้วยิ้มให้มัน

 
 
“กูอยากให้โลกนี้มีคู่ขนานจัง”
ไอ้เป้มันเปรยขึ้นมาบ้าง พวกผมหันไปมอง รวมถึงคนในอ้อมแขนมันด้วย
 
“ทำไม” ผมถาม
 
“กูจะได้ไปอยู่ในโลกนั้นกับคนที่กูรัก”
 
ทุกคนพากันเงียบ
 
“พี่เป้บอกได้ไหม ว่าใครคือคนที่พี่รัก”
ไอ้เต้ยมันถามอีกที
 
ไอ้เป้ปิดปากเงียบ แต่ในใจมันคงกำลังตอบคำถามนั้นอยู่

และไอ้เต้ยคงอยากให้คำตอบนั้น คือตัวมันเอง
 
พ่อกับแม่มองมาด้วยแววตาสงสาร พ่อกับแม่รู้เรื่องทั้งหมดจากไอ้ตัวเล็กแล้ว
 
จะสนับสนุนก็ไม่ได้ จะคัดค้านก็ลำบาก
 
พ่อกลับมาขับรถดี ๆ อีกครั้ง
 
ในขณะที่ผม…
 
“ว้ากกก พี่เอก!!!”
 
ขับรถแบบพ่อแทน
 
หึ ๆ ชีวิตครับ
 
ต้องแอดเวนเจอร์นิดหนึ่ง

ผมขับรถปาดซ้าย ปาดขวา พารถเอียง ๆ จนมันนั่งเกร็ง ผมหัวเราะร่วนแกล้งมันไปตลอดทั้งเส้นทาง
 
เอาวะชีวิต
 
ไม่รู้จะคบกับมันไปได้นานแค่ไหน แต่วันนี้ ผมขอมีความสุขให้เต็มที่ กับคนที่ผมรักก็พอ




To Be Con.(โปรดติดตามตอนต่อไปเด้อสู... หุหุ)











Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2017 19:17:12 โดย memew »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หวานซะ อ้อยจืดไปเลย  :o8:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สามคู่ รื่นรมย์ ชื่นรัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

เป้ ตอนรักน้องฝ่ายเดียวก็เศร้า
พอน้องรักตอบก็เศร้าอีก
ตกลงจะเอายังไงกัน จะทุกข์ไปตลอดชีวิตใช่ปะ
ถ้าน้องไปชอบคนอื่น จะมีความสุขได้หรือเปล่า
มันลงตัวก็ดีแล้ว แคร์สายตาคนอื่นก็ไปอยู่ที่ๆไม่มีคนดีปะ

พี่เอก หื่นตลอดๆ
พี่เอก กาย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ตาเอกจอมหื่น โถ่น้องกายของช้านนนน

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love Special เดกิ๊ฟ Part 1/4 ตอน ตกหลุมรัก





“โผมซื่อ เดวิดคับ โผมสื่อเดวิด โผ้ม ซือ”
Fuck you ass hole!! ให้ตายสิ ทำไมภาษาไทยมันถึงได้ยากได้เย็นขนาดนี้นะ
 
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นละก็ ผมไม่มีทางมาทำเรื่องอย่างนี้เด็ดขาด
 
ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์กลั่นแกล้ง ถึงได้ทำให้ผมต้องมาตกหลุมรักผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้น คนที่ทั้งห้าวเกินหญิงแกร่งเกินชาย สวยกว่านางฟ้า แต่มีนิสัยซาตาน
 
ผมรู้ว่าเธอร้าย ผมรู้ว่าเธอโหด ผมรู้ว่าเธอเจ้าเล่ห์
 
แต่ผมก็รู้ว่าเธอน่ะน่ารัก และผมก็หลงรักเธอเข้าเต็ม ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพบเธอแล้ว
 
ตั้งแต่ตอนนั้น…
 
 
 
 
“เดวิด ไปเที่ยวกันมึง”
 
“ไปไหน” ผมถามเจ้าเพื่อนตัวดีขาเที่ยวเหมือนกัน
 
ผมทำอาชีพอิสระครับ เป็นโปรแกรมเมอร์ออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทใหญ่ ๆ ของสหรัฐ รวมถึงประเทศข้างเคียงบ้างตามแต่ความชอบของผมเอง แค่มีคอมพิวเตอร์ตัวเดียว ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ผมก็สามารถทำงานได้แล้ว ผมชอบท่องเที่ยว ไปเดี่ยวบ้าง ไปกับเพื่อนบ้างแล้วแต่อารมณ์ ซึ่งเควินคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่ผมไปเที่ยวด้วยบ่อยที่สุด
 
“เคยไปเที่ยวฝั่งเอเชียรึยัง” มันถาม ถ้าพูดถึงเอเชีย สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือพวกคนผิวเหลืองเนื้อตัวผอมโซ ผู้หญิงหน้าตาแปลกประหลาดที่ใครหลาย ๆ คนชมว่าสวยดี 
 
“ที่ไหน” ผมถามเล็งเป้า
 
“ญี่ปุ่นเป็นไง”
 
อืม กิโมโนกับดอกซากุระสวย ๆ
 
“เอาสิ จองตั๋วให้ด้วยละกัน ค่าใช้จ่ายเคลียร์กันอีกที”
 
“อื้อ ได้” พอรับปากมันก็เดินออกจากห้องทำงานผมไป ปล่อยทิ้งผมให้อยู่กับคอมพิวเตอร์สุดรักเพียงลำพัง
 
สามวันต่อจากนั้น ผมก็มานั่งรอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบิน ผมนั่งฟังเพลงจากไอพอดในขณะที่ตาก็กวาดอ่านข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นจากหนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในมือ ในนี้จะแนะนำทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่สถานที่สำคัญหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น รวมถึงภาษาเบสิกที่ต้องใช้ และลักษณะนิสัยใจคอของผู้คน
 
ไอ้เพื่อนตัวดีมันล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าที่มันอยากให้ผมไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกับมันด้วย เพราะมันดันไปตกหลุมรักสาวญี่ปุ่นที่มันเจอเข้าโดยบังเอิญ มันอยากอวดแฟนใหม่มันนั่นแหละ
 
เหอะ!.. อะไรจะขนาดนั้นวะ เจอกันแค่ครั้งเดียวถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาเชียว
 
ประสาท
 
ผมนั่งปรามาสมันในใจ
 
 
 
 
 
 
 
“เที่ยวบินที่ Gi2241 ที่จะเดินทางไป…..พร้อมออกเดินทางแล้วค่ะ”
 
ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ดังมาจากลำโพง ผมดึงหูฟังออก แต่เสียงนั้นเงียบไปแล้ว ยกนาฬิกาขึ้นมอง คงได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ผมล้วงหยิบหนังสือเดินทางจากแจ็คเก็ตมาถือไว้ ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าคอมพิวเตอร์เดินตรงไปยังทางเข้า
 
ผมก้าวผ่านช่องตรวจร่างกาย ให้เขาตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ทุกอย่างก็เหมือนทุกครั้งที่ผมเดินทาง หลังจากเรียบร้อยผมก็เดินไปตามเส้นทางเพื่อขึ้นเครื่อง
 
พอได้ที่นั่งของตัวเอง ผมก็สวมเข็มขัดนิรภัย ปิดเปลือกตาลงโดยไม่สนใจฟังสาวสวยทั้งหลายสาธิตวิธีที่ผมแทบจะไปยืนตำแหน่งเดียวกับเธอแล้วทำแบบเธอได้แล้ว
 
เสียแต่ว่าหุ่นผมคงไม่ได้อรชรอ้อนแอ้นและมีสะโพกน่าจับแบบนั้น
 
แค่เปลือกตาผมสัมผัสกันเบา ๆ สติผมก็ถูกดึงให้หายไปกับความมืด ด่ำดิ่งสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า และอีกไม่นาน ผมคงได้เข้าไปเดินในดินแดนที่เรียกว่า ‘ความฝัน’ แน่ ๆ
 
 
 
 
ผมสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ผมลืมตามอง พอ ๆ กับที่แรงสั่นสะเทือนนั้นสงบลง
 
เครื่องคงตกหลุมอากาศ ผมหันไปมองวิวด้านข้าง เมื่อกี้นี้กำลังฝันดีเลย เมฆขาวลอยคว้างเต็มไปทั่วทุกพื้นที่มองกลาย ๆ ก็คล้าย ๆ กับผมกำลังล่องลอยอยู่บนนั้นซะเอง

บางทีผมอาจจะตื่นขึ้นมาในความฝันก็ได้ ผมยิ้มนิด ๆ ให้ความสวยงามนั้น
 
หลายชั่วโมงผ่านไป ผมก็ยังสิงสถิตอยู่บนท้องฟ้าดังเดิม ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วก็เดินกลับมาหลับต่อ หลับแล้วหลับอีกอยู่อย่างนั้น เพราะการเดินทางมันใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมง ผมหลับต่อไปอีกงีบ ก่อนสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประกาศแว่ว ๆ ว่าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว
 
ความตื่นเต้นโหมเข้ามาเล็ก ๆ ผมยิ้ม ขยับปรับเนื้อปรับตัวให้พร้อมกับแหล่งท่องเที่ยวอันใหม่
 
และทันทีที่เดินออกมาจากประตูทางออก ผมก็เห็นสาวงามในชุดไม่คุ้นตา ประกบมือเข้าหากันก้มต่ำแล้วพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คำที่ผมท่องมาเตรียมจะทักทาย
 
ผมยืนเอ๋อ นี่คือคำทักใหม่ของคนญี่ปุ่นเหรอ
 
ขณะที่ผมกำลังยืนตะลึงกับความงามของหญิงคนนั้นและภาษาแปลก ๆ ที่เธอใช้ เธอก็เดินยิ้มหวานเข้ามาหา แล้วคล้องดอกไม้ที่ร้อยไว้เป็นพวงที่คอผม มันทำจากดอกกล้วยไม้สีม่วงสลับดอกมะลิสีขาว กลิ่นมันหอมจรุงฟุ้งขึ้นมาเตะปลายจมูกไม่ต่างกับกลิ่นหอม ๆ จากตัวเธอ
 
หอมแปลก ๆ ยังไงบอกไม่ถูก เหมือนไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม กลิ่นคล้ายแป้งเด็กมากกว่า
 
“Welcome to Thailand”
 
หะ! อะไรแลนด์ ๆ นะ?
 
ผมหันมองไปรอบ ๆ มีผู้หญิงแบบที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมกำลังทำแบบเดียวกันอยู่กับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ
 
“ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ” เธอยิ้มหวาน ก่อนเขยิบตัวเคลื่อนที่ด้วยท่าทีสง่างามเดินไปคล้องดอกไม้ให้คนอื่นต่อ
 
ผมไปไม่ถูก หันมองไปรอบ ๆ ยังไม่เห็นสัญลักษณ์อะไรที่ผมพอจะอ่านได้ จึงตัดสินใจเดินออกไปด้านนอก ตามเส้นทางที่เขาเขียนเอาไว้ว่า “ทางออก”
 
“เวลคัมทูไทยแลนด์ค่ะ/ เวลคัมทูไทยแลนด์ครับ” ผมได้ยินเสียงพูดแบบนี้มาตลอดทั้งเส้นทางพร้อมรอยยิ้มหวานหยด
 
ผมจำได้แล้ว ‘ไทยแลนด์ ดินแดนแห่งรอยยิ้ม’
 
แต่ว่า…ผมต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!
 
ผมรีบล้วงหยิบพาสปอร์ตออกมาดู และสิ่งที่เห็นคือตราประทับเข้าไทยแลนด์ไม่ใช่เจแปนอย่างที่คิด
 
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
 
“Fuck!” ผมสบถเบา ๆ จะติดต่อเพื่อนตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วย
 
“คุณ..มิสเตอร์เดวิดหรือเปล่าครับ ผมยงยุทธจากรีสอร์ตเมอรีน่ามารับคุณครับ” ชายผิวคล้ำท่าทางสุภาพ ในมือถือป้ายที่เขียนเป็นชื่อผมเดินเข้ามาถาม ผมพยักหน้าทีหนึ่งตอบรับ ดีว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้
 
“ที่นี่ประเทศไทยรึ”
 
เขาทำหน้างงตอนผมถาม
 
เอ้อ!..กูถามมึงนั่นแหละ เพราะคิดว่าที่นี่เป็นประเทศญี่ปุ่น
 
“ครับ ที่นี่ประเทศไทย ยินดีต้อนรับนะครับ” เขาส่งยิ้มไมตรีมาให้ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าผู้คนที่นี่ใจดี ผมพยักหน้า คิดว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ
 
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ เห็นชาวต่างชาติหลายคนเดินเข้าไปกอดหญิงไทยที่มายืนรอรับ คงเป็นแฟนกัน
 
เฮ้อ!.. เอาเหอะ ถือว่าได้เที่ยวแหล่งใหม่ละกัน ผิดเป้าไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
 
 
ผมเดินไปขึ้นรถกับชายคนนั้น เขายิ้มสุภาพ ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพาเอาผมรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย
 
“คุณคิดไว้รึยังว่าอยากไปเที่ยวไหนเป็นที่แรก” เขาแทรกถามขึ้นขณะผมกำลังนั่งฟังเพลงสำเนียงไม่คุ้นหูแต่จังหวะเพราะ ๆ จากลำโพงเสียงดีข้างตัวรถ
 
“ไม่ได้คิดไว้เลย” ผมตอบ
 
“มีที่เที่ยวเยอะครับ รับรองคุณต้องชอบ มาอาทิตย์หนึ่งใช่ไหมครับ” เขาถามไปในขณะหมุนพวงมาลัยพารถเลี้ยวไปตามเส้นทางเลียบชายหาด ผมพอจะรู้แล้ว ว่าเป้าหมายของผมน่าจะเป็นทะเล
 
ก็ดี ไม่ได้เที่ยวทะเลมานานแล้วเหมือนกัน
 
ได้กลิ่นไอทะเลลอยคละคลุ้งกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกคึกคักยังไงบอกไม่ถูก แถมคนขับยังใจดีหมุนเปิดกระจกรถลงจนสุดเพื่อให้ผมได้สูดอากาศได้ถนัดถนี่ ผมมองสำรวจไปรอบ ๆ หูก็ยังเฝ้าฟังเพลงจากลำโพงอยู่
 
“นั่นเพลงอะไร” ผมถามเมื่อเพลงนั้นใกล้จบ
 
“ชอบเหรอครับ” จะว่าชอบก็ชอบ ฟังดูคึกคักแต่ก็นุ่มนวลไปในตัว
 
“เพลงพรหมลิขิตครับ ความหมายดี เขาบอกว่า คนเราถ้าได้เป็นคู่กันแล้วต่อให้อยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็จะวนเวียนมาเจอกันจนได้” เขาอธิบาย ซ้ำยังใจดีเปิดวนให้ผมฟังอีกรอบด้วย
 
ผมท่องจำชื่อของเพลงเอาไว้ “พรหมลิขิต” เพลงไทยเพลงแรกของผม
 
 
 
หลังจากพนักงานพาผมขึ้นมาบนห้อง ผมก็ออกมายืนรับลมอยู่ริมระเบียง วิวสวยใช้ได้เลยครับ เห็นทะเลได้ชัดแจ๋วเลย ผมยืดตัวสูดเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ไอทะเลเค็ม ๆ กับสายลมร้อน ๆ กระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนผมอดรนทนไม่ได้ อยากออกไปเดินสำรวจด้านนอกเล่น ผมรีบเก็บของมีค่าบางอย่างไว้ในเซฟ คว้ากระเป๋าเงินกับคีย์การ์ดเดินตัวปลิวออกจากห้องไปทันที
 
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ จำได้คร่าว ๆ ว่าที่นี่คือ ‘หัวหิน’ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวหลักของเมืองไทย ไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก แม้จะเป็นหาดส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงามากเท่าไหร่ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเต็มไปหมด ซ้ำบางคนอาจมาจากที่เดียวกับผมด้วย
 
ผมชอบเดิน ผมจึงตัดสินใจถอดรองเท้าออก พับขากางเกงจนถึงหัวเข่า ย้ำฝ่าเท้าไปบนผืนทรายสีน้ำตาลอ่อน ต่ำลงไปเรื่อย ๆ กระทั่งน้ำทะเลซัดใส่หลังเท้าเบา ๆ บางจังหวะก็สูงขึ้นมาจนถึงน่อง ผมฉีกยิ้มกว้าง ก้าวเดินมองวิวมองน้ำ มองผู้คนบ้านช่องเรือนชานรวมถึงร้านอาหารริมทะเลไปเรื่อย ๆ
 
กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างสะกิดจมูกผมเบา ๆ ผมหันไปมอง สิ่งนั้นไม่เพียงแค่สะกิดจมูก แต่มันกำลังระเบิดต่อมน้ำลายผมให้ไหลพราก ต้นกำเนิดของกลิ่นเป็นรถเข็นขนาดหนึ่งเมตร มีควันลอยคลุ้งขึ้นกลางอากาศ และมีของโปรดของผมวางเรียงกันไว้บนตะแกรง ด้านล่างเป็นถ่านไฟร้อน ๆ สีแดงผสมดำ ผมรีบเบี่ยงเท้าเดินเข้าไปหาทันที
 
“เอาอะไรจ๊ะพ่อหนุ่ม” หญิงที่อายุน่าจะมากกว่าผมสักรอบถาม ผมยิ้มให้เธอไปที เธอยิ้มตอบพร้อมพลิกสิ่งนั้นไปมา
 
ผมชี้ไปยังเจ้าสิ่งที่นอนอยู่บนตะแกรงย่าง มันเป็นข้าวโพดครับ สีเหลืองอ๋อยอวบอ้วนทาเนยแล้วย่างจนผิวเปล่งแตกออกจากกัน ดูน่ากินและหอมอย่าบอกใครเชียว
 
“เอากี่ฝัก” เธอถามด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ หน้าผมคงไม่ต่างกับหมางง เธอถึงได้หัวเราะร่วน
 
“ฟังไม่รู้เรื่องละสิ พ่อหล่อเอ้ย”
 
ผมยิ้มแหยงให้เธอทีหนึ่ง
 
“ทเวนตี้ไฟ้บาทเพอวัน” เธอบอกเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงแปลกไปบ้าง แต่ผมก็พอเข้าใจ พยักหน้าชี้บอกเอาอันที่ใหญ่ที่สุด
 
หึ ๆ เปล่างกนะ แต่อันนั้นมันน่ากินที่สุดนี่นา
 
เธอจับพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่สองสามที ก่อนหยิบใส่กระดาษซับมันสีขาวเอาใส่ถุงแล้วยื่นมาให้ผม ผมหยิบแบ้งค์ห้าสิบให้เธอ เพิ่งแลกกับทางรีเซฟชั่นมา เธอรับไปยัดใส่กระเป๋ากันเปื้อนที่หน้าท้อง ควานขยุกขยุยเพื่อหาเงินมาทอนให้ ผมโบกมือไหว ๆ
 
“ทิป”
 
เธอยิ้มจนเห็นฟันหน้าทั้งแผง คนไทยนี่ยิ้มเก่งจริง ๆ
 
“ขอบคุณพ่อหนุ่ม เที่ยวให้สนุกนะ แหม ทั้งหล่อทั้งใจดีแบบนี้ บุญรักษาพ่อหนุ่มนะ” เธอพูดอะไรสักอย่างที่ผมฟังแล้วไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม แต่ผมจะแปลเป็นภาษาของผมเองสั้น ๆ ว่า..‘ขอบคุณ’ ละกัน
 
ผมเดินไปกินเจ้าข้าวโพดหอมฉุยในมือไป เห็นผู้คนเดินเล่น เดินควงกัน และมีบางจุดที่เขานวดกันด้วย แต่ผมไม่ใช่พวกขี้เมื่อยเลยไม่สนใจเท่าไหร่ เดินไปแทะข้าวโพดไปสบายอุรา
 
พอข้าวโพดหมดฟัก ผมก็โยนแกนและถุงเปล่าทิ้งลงถังขยะ เหนียวมืออยากล้าง หิวน้ำแล้วด้วย ผมหันซ้ายหันขวา จนมองไปเห็นร้านอาหารอยู่ไม่ไกล ผมรีบเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านนั้นทันที
 
หลังจากล้างมือจนสะอาดสะอ้าน บ้วนปากอีกนิดหน่อยมองสำรวจว่าไม่มีฟาร์มข้าวโพดอยู่ในปากตัวเองแน่ ๆ ถึงได้เดินออกไปสั่งเครื่องดื่ม แล้วเลือกนั่งด้านนอกเพื่อมองวิวทะเล
 
หันไปเห็นโบชัวร์มากมายวางไว้บนชั้นข้างตัว พร้อมหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวและนิตยสารภาษาอังกฤษอีกหลายอย่าง ผมเอื้อมหยิบมาอ่านทันที
 
อย่างน้อยผมก็อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง ผมนั่งอ่านไปเรื่อย ๆ จากเย็นไปจนถึงค่ำถึงได้กลับเข้าที่พักต่อ 
 
 
 
 
สี่ทุ่มแล้ว ผมเดินออกไปยืนนอกระเบียง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วคืนนั้นผมก็ได้สัมผัสพระจันทร์แรกของเมืองไทย
 
สวยดีครับ
 
เพื่อนผมจองที่พักไว้ให้ผมอาทิตย์หนึ่ง ผมก็ใช้ช่วงเวลานั้นไปกับการเล่นน้ำทะเล ดำน้ำดูปลา ขี่เจ็ทสกี เดินตลาดโต้รุ่ง ดูวิถีชีวิตคนไทย ขับรถสำรวจรอบเมือง ทำทุกกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน บ้างก็ซื้อทัวร์กลุ่มไปลั่นล้ากับคนอื่น ๆ บ้าง ได้เพื่อนใหม่มาเพียบเลย
 
จนถึงวันสุดท้าย แอบเสียดายหน่อย ๆ เพราะรู้สึกเหมือนเที่ยวยังไม่คุ้มเลย ยิ่งเที่ยวยิ่งเห็นว่ามีที่อื่นให้เที่ยวอีกเยอะแยะเต็มไปหมด
 
ผมพับของใส่กระเป๋า กวาดมองไปรอบ ๆ อีกทีเพื่อเช็คความเรียบร้อย พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้ามืด จะได้ไม่ฉุกละหุก
 
 
 
ผมตัดสินใจออกไปเดินเล่นเพื่อล่ำลาสถานที่เป็นครั้งสุดท้าย ผมเดินลัดเลาะไปตามแนวต้นมะพร้าว ย่ำผืนทรายฝากรอยเท้าเอาไว้ แม้สักวันมันจะเลือนหาย แต่ความรู้สึกของผมคงไม่ลืมเลือนแน่ ๆ
 
ผมเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงกันมา หญิงคนนั้นสวยเอามาก ๆ ผู้ชายเป็นชาวต่างชาติ หน้าตาดีไม่หยอก ผมรู้มาว่าหญิงไทยชอบผู้ชายฝรั่ง ส่วนมากก็เพื่อหารายได้ไปจุนเจือครอบครัวนั่นแหละ ผู้หญิงบางคนก็สวย ผู้หญิงบางคนก็ไม่ แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีสเป็คผมเลยสักคน
 
ยังไงผมก็ชอบผู้หญิงชาติเดียวกันอยู่ดี และคงไม่มีหญิงไทยคนไหนสวยถูกใจ….
 
ผมหยุดความคิดตัวเองลงชั่วขณะเมื่อหันไปเห็นใครบางคนยืนเด่นอยู่ตรงนั้น
 
ผมยืนนิ่ง เหมือนทุกอย่างรอบตัวถูกสั่งให้หยุดหมุน เธอยืนยิ้มหันหน้ามาทางผม แต่เธอกำลังก้มคุยอยู่กับใครอีกคนที่ตัวเล็กกว่า น่าจะเป็นน้องชาย เธอสวยเอามาก ๆ สวยจนผมเผลอสะกดสายตาตัวเองไว้
 
ผมเธอยาวระกลางหลัง พอถูกสายลมพัดโหมก็พลิ้วปลิวขึ้นมาระแก้ม แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะเกลี่ยออก ชุดว่ายน้ำแบบทูพีชบนลำตัวมีผ้าขาวปิดเฉียงไว้ที่สะโพก ผมเห็นผู้หญิงใส่ชุดแบบนี้มานักต่อนัก แต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้ผมสะดุดใจได้เท่านี้มาก่อน เรือนร่างที่โผล่พ้นออกมาได้สัดส่วนแทบจะทุกตารางนิ้ว แถมยังมีกล้ามเนื้อนิด ๆ อย่างคนที่ชอบออกกำลังกายอีกต่างหาก
 
ผมมองอยู่สักพัก แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกที ผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจมอง
 
“Excuse me..” ผมเผลอทักเธอออกไป ทั้งคู่หยุดเสียงที่กำลังสนทนากันอยู่หันมามอง “ I’m Devid, Ah...And you? Can u walk with me”
 
ผมเห็นเธออ้าปากตาค้างนิด ๆ
 
น่ารักพิลึก
 
“ตามสบายนะพี่ ผมไปหาไอ้เต้ยก่อนละ” เด็กหนุ่มรีบโบกมือไหว ๆ หันหลังวิ่งลิ่วจากไป
 
“เดี๋ยว!!” เหมือน ๆ เธอจะรั้งไว้
 
“เอ่อ…” ผมรีบเบรกเธอไว้ ก่อนเธอจะวิ่งตามไป
 
“Can u walk with me?” ผมถามย้ำอีกที เธอหันมามองหน้าผม ตอนแรกทำสีหน้ากระอักกระอ่วนก่อนตีสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิม
 
“เอ่อ.. ผมเป็นนักท่องเที่ยว เพิ่งมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของผมแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแต่เช้ามืด คะ คือ..ผมแค่อยากได้เพื่อนเดินเล่นเท่านั้น” ผมรีบออกตัวก่อน
 
“เพิ่งมาครั้งแรก แต่กล้าเข้ามาจีบเนี่ยนะ”
 
“หะ?” ผมออกเสียงเป็นคำถามเมื่อเธอพูดอะไรสักอย่างด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ
 
“คุณ..ยู..เอ่อ.. พูดอะไรวะ รู้งี้น่าจะฝึกภาษาไทยมาด้วยนะเนี่ย!” ผมสบถด่าตัวเองเบา ๆ เพราะคิดว่าเธอคงฟังภาษาอังกฤษไม่ออก
 
เธอยิ้มนิดหนึ่ง
 
“คุณฟังผมไม่รู้เรื่องใช่ไหม งั้นใช้ภาษามือนะ” ผมชี้โบ้ชี้เบ้ ทำมือทำไม้ประมาณว่า ไปเดินเล่นกัน แค่เดินเล่นเฉย ๆ ไม่คิดจะทำอะไรล่วงเกิน
 
“โว้ย!!” ผมโวยตัวเองอีกรอบ เธอหัวเราะใหญ่
 
หัวเราะไร คนกำลังเครียด
 
“ฉันพูดภาษาอังกฤษได้” เธอตอบหลังจากให้ผมพ่นภาษามือเป็นพัลวัน ผมอ้าปากค้าง
 
งั้น..ไอ้ที่กูสบถไปนี่รู้เรื่องหมดเลยใช่ไหม
 
“ร้าย” ผมเผลอพูดออกมาเบา ๆ เธอหัวเราะชอบใจใหญ่
 
“ไปสิ อยากไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ” เธอชวน ผมพยักหน้าขึ้นลงเดินเคียงไปกับเธอ
 
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยครับ สวยเอามาก ๆ เลย ผมแทบไม่ได้มองด้วยซ้ำ ว่าวิวด้านข้างเป็นแบบไหน เพราะสายตาผมถูกสะกดเอาไว้ที่คนข้าง ๆ เธอมีท่าทีสบาย ๆ ก้าวเดินช้า ๆ มองวิวมองน้ำ มือก็เกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าไปพลาง 
 
เราแทบไม่ได้พูดอะไรกัน นอกจากเดินเคียงกันไปเฉย ๆ สายลมพัดโหมแรงขึ้นจนผมที่เธอเกลี่ยออกเมื่อกี้กลับมาระหน้าเธออีกรอบ เห็นแล้วรำคาญแทน อยากเกลี่ยออกให้จัง
 
มือผมคงไวเท่าความคิด เธอมองหน้าผมตอนนิ้วผมคลี่กวาดเส้นผมบางส่วนไปทัดหูเธอไว้ ผมรีบชักมือกลับทันที
 
“ขอโทษ คิดว่าคุณคงรำคาญ”
 
“อืม..รำคาญจริง ๆ นั่นแหละ”
 
เอ๊ะ?
 
หมายถึงผมด้วยหรือเปล่า
 
เห็นเธอยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมชี้นิ้วใส่หน้าตัวเองก่อนชี้ไปที่เส้นผมของเธอเพื่อขอคำตอบ เธอหัวเราะอีกที ชี้นิ้วใส่ผมตัวเอง ผมถอนหายใจโล่งอก
 
ยอมรับวินาทีนั้นเลย ผมตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้เข้าให้แล้ว
 
 
 
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ผมพยายามพาเธอเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน จนสุดท้ายเธอก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อน ๆ ต่อ อยากรั้งเธอไว้ แต่คงไม่สามารถ ผมรีบขอเบอร์ติดต่อพร้อมอีกเมล รวมถึงพวกเฟสบุคหรือ    ทวิตเตอร์ถ้าเธอมี ซึ่งเธอก็ใจดีให้มาหมด
 
ผมรู้ว่าหญิงไทยชอบหลอกคนต่างชาติ และผมก็พอจะรู้คร่าว ๆ แล้ว ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ยอมให้หลอก
 
ก็หญิงไทยออกจะสวยงามและน่ารักขนาดนี้นี่น่า
 
ถึงเสียดาย แต่ก็ต้องยอมบอกลาเธอ แล้วผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเบอร์โทรและอีเมลรวมถึงอะไรหลาย ๆ อย่างที่เธอให้มานั้นจะเป็นของจริงทั้งหมด
 
 
 
พอกลับถึงห้อง ผมรีบอาบน้ำล้างตัวเอาคราบไอทะเลออก เดินไปเปิดคอม แอดเมลหาเธอทันที และหวังว่าเธอจะตอบกลับในเร็ววัน ผมปิดคอมแพ็คลงกระเป๋า เดินไปทิ้งตัวลงนอน พยายามข่มตาให้หลับ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำไม่ได้สักที เพราะพอหลับตา ก็มีแต่ใบหน้าของเธอวนเวียนเต็มไปหมด ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม ยามนิ่ง หรือหัวเราะขบขัน ทุกอย่างวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ราวกับวีดีโอที่ถูกตั้งไว้ให้เปิดเองอัตโนมัติ
 
จวบจนถึงเวลาเดินทาง ผมอาลัยอาวรณ์กับที่นี่เอามาก ๆ แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทั้งผู้คนที่ผมได้รู้จัก ทั้งสถานที่ที่ผมเคยไปเที่ยว รวมไปถึงใครอีกคนที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตอนนี้ ใครคนนั้นที่ให้เบอร์ติดต่อผมไว้
 
และทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศ ผมรีบเคลียร์งานที่ค้างคาไว้จนหมดแล้วยื่นทำเรื่องเพื่อขอเดินทางกลับไปประเทศไทยอีกครั้ง   
 
กลับไปเพื่อเจอใครบางคน ที่คว้าหัวใจผมไว้ในกำมือ
 
ผมจะกลับไปแน่นอนครับ ^^


To Be Con...

เป็นอีกคู่ที่คนเขียนชอบมากกกก คนเขียนนี่สาวกพี่กิ๊ฟเลย เลิฟ

อ่านคั่นเวลาพี่เอกน้องกายกันสักสี่ตอนนะค่ะ







Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM                 

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เดนี่ได้ใจคนแก่ไปเต็ม ๆ เลย คิดว่ากิ้ฟคงคุมเดอยู่นะ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เดวิด หลงเสน่ห์สาวไทย มาชอบพี่กิ๊ฟสุดห้าวซะด้วย
คงได้เจอลูกเล่นจากพี่กิ๊ฟแน่ๆ   o18  o18  o18

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love Special เดกิ๊ฟ Part 2/4 ตอน สวย เท่ รั่ว หื่น

             


“เอาจริงเหรอ เดวิด” ไอ้เพื่อนตัวดีถามย้ำอีกที มองผมกำลังแพ็คของลงกระเป๋า
 
“อืม กูแน่ใจ”
 
“เฮ่อ!! คนไทยนี่ทำยังไงน้า ถึงได้ทำให้คนอื่นหลงรักได้ง่าย ๆ ขนาดนี้”
 
“ทำไงไม่รู้ว่ะ รู้แค่ว่า กูชอบเธอ”
 
“เอ้อ ตามใจมึงละกัน ระวังโดนหลอกไว้ล่ะ”
 
“ไม่ต้องห่วง” ผมบอก ต่อให้โดนผมก็ยอม
 
ผมยิ้มนิด ๆ ยัดเสื้อตัวสุดท้ายลงกระเป๋า ดึงซิปจากหัวถึงท้าย ขนาดของกระเป๋าดูตุงมากกว่าทุกครั้ง เพราะผมกะจะไปแบบไม่มีกำหนดกลับ
 
จะไปคว้าหัวใจของใครบางคนมาไว้ในมือให้ได้
 
“โชคดีละกัน” มันตบบ่าผมเบา ๆ ผมหยักหน้า ลากกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
 
ครั้งที่แล้วไปด้วยความผิดพลาด แต่ครั้งนี้ 'ไม่'
 
 
ผมจำความรู้สึกตอนที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่หน้าจอคอมหวังให้เมลที่ผมแอดไปได้รับการตอบรับ แต่ผ่านไปร่วมอาทิตย์ ความหวังของผมเริ่มหรี่แสงน้อยลงไปเรื่อย ๆ เหมือนหิ่งห้อยตอนแบตหมด
 
แต่เย็นวันศุกร์นั้น วันที่ผมเพิ่งกลับมาจากส่งงานมหาโหด ผมก็ได้รับข่าวดี ผมแทบจะตีลังกาห้าตลบ ผมบอกเธอว่าผมจะกลับเมืองไทยไปหาเธอแน่นอน
 
และตอนนี้ผมก็พร้อมแล้ว
 
 
เป็นครั้งแรกแฮะที่ผมนั่งเครื่องโดยไม่หลับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรกับเธอดีตอนพบเธอ คิดประโยคดี ๆ ไว้เพียบเลย ตาแข็งมาก ทั้งที่ปกติขึ้นเครื่องตาจะปรือแท้ ๆ
 
ผมหันไปเห็นหญิงไทยกับชาวต่างชาติคุยกันกะหนุงกะหนิง แอบอิจฉาเล็ก ๆ แฮะ หวังให้คนคนนั้นเป็นตัวเองบ้าง ทันทีที่เท้าแตะพื้น ทุกอย่างเหมือนเดิม ทั้งรอยยิ้มหวาน ๆ และพวงมาลัยคล้องคอ วันนี้ผมฝึกภาษาไทยมาด้วย หลายประโยคเลย ผมกะจะพูดให้เธอประทับใจซะหน่อย
 
เธอบอกว่าจะมารับ (ผมขอร้องแกมบังคับเธอนิดหน่อย) พอผมได้คุยกับเธอทางเมล ถึงรู้ว่าเธอเป็นพวกตรง ๆ กว่าจะอ่อนหวาน ผมยืนหันซ้ายหันขวา มองหาสาวงามคนนั้น จนรู้สึกว่ามีใครมาสะกิดหลัง
 
ผมหันไปมอง เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย เพราะคนที่มาสะกิดเป็น เอ่อ..ผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่งเนื้อแต่งตัวเท่เอามาก ๆ ผมมองด้วยความแปลกใจยิ่งกว่าเดิม

แต่พอเธอคลี่ยิ้มเท่านั้นแหละ
 
“คุณ” ไอ้คำพูดที่ผมเตรียมไว้ หายไปหมดเลย
 
“จำไม่ได้?” เธอถาม ผมพยักหน้ายอมรับตรง ๆ เธอหัวเราะหึ ๆ พยักหน้าทีเดียวให้ผมเดินตาม ผมมองผู้หญิงตรงหน้าอึ้ง ๆ
 
นี่เธอเป็นเลสเบี้ยนงั้นเหรอ
 
“คุณเป็นเลส?” ผมถามตรง ๆ เธอหันมามอง ยกยิ้ม(ที่ดูร้ายกาจนิด ๆ)มาให้
 
“คิดเอาเอง” เธอบอก
 
ผมงงนิด ๆ แต่เธอก็ยอมให้ผมจีบนี่น่า
 
“ไม่เป็นไร ผมจะจีบคุณ ผมชอบคุณ” ผมพูดตรง ๆ เธอหันมายิ้มให้อีกที
 
“เอาให้รอดละกัน”
 
ตรงครับ ผู้หญิงคนนี้ตรงมาก ไม่ได้ขี้อายเหมือนสาวไทยทั่วไป
 
 
เธอพาผมไปส่งที่โรงแรม เธอรออยู่ชั้นล่างตอนผมเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ ผมรีบลงมาด้านล่างทันทีไม่อยากให้เธอรอนาน ผมพาเธอไปนั่งในร้านอาหารของทางโรงแรมนั่นแหละ

เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์เอามาก ๆ คนมองกันใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าคิดจะจีบคนคนนี้ ถ้าไม่เดินหน้าและไม่บ้าพอ คงปิ๋วแน่ ๆ แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก
 
เพราะผมรักเธอไปแล้ว
 
“คุณชอบกินอะไร” ผมรีบถาม ขอเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเธอก่อน
 
“กินได้ทุกอย่าง” เธอบอก หันไปยื่นเมนูให้กับพนักงานโดยไม่สั่งอะไร นั่นหมายความว่าผมต้องทำหน้าที่สั่งอาหารแทน เธอยิ้มหวานให้กับพนักงาน จนพนักงานคนนั้นแก้มแดงแป๊ด
 
แหมะ มีเสน่ห์จริง ๆ
 
“แต่ไม่มี‘ทุกอย่าง’ให้คุณแฮะ เมนูนี้อยู่ตรงไหน” ผมปล่อยมุก เธอชะงักหันมามองหน้าผม ผมยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง
 
“มีสิ” เธอบอก คราวนี้เป็นผมเองที่งง เธอชี้มาที่ความว่างเปล่าตรงท้ายเมนู
 
“นี่ไง สั่งให้หน่อย” คราวนี้เป็นผมเองที่อ้าปากค้าง เธอเลิกคิ้วท้าทาย ผมชั่งใจอยู่พัก ขืนไม่สั่งอะไรให้คงเสียเชิงหมด
 
“งั้นขอทุกอย่างที่อร่อย แต่เอาแค่พอกินอิ่ม” ผมหันไปสั่ง พนักงานทำหน้างง ส่วนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะผมหึ ๆ
 
“งะ งั้นหนูขอแนะนำเมนูสุดฮอทของร้านนะคะ” เธอตะกุกตะกักบอกด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งประหลาด
 
ผมหยักหน้า
 
“ผมสั่งทุกอย่างให้คุณแล้ว”
 
คราวนี้เธอหัวเราะออกมาเสียงดังเลย
 
เธอนั่งชิลล์ ๆ ผมก็นั่งมองหน้าเธอชิลล์ ๆ เหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วให้ความรู้สึกสบายชะมัด 
 
เธอนั่งคุยอยู่กับผมจนถึงค่ำ แล้วเธอก็ขอตัวกลับ ผมให้เงินค่ารถเธอนิดหน่อยตามธรรมเนียมชายฝรั่งหญิงไทยที่ผมรู้มา แต่เธอปลายตามองตอบเรียบ ๆ
 
“ฉันมี” แล้วเธอก็เดินจากไป
 
ผมยิ้ม
 
ตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าเธอไม่ได้มาหลอกผมแน่ ๆ
 
“กิ๊ฟ” ผมเรียก เธอหันมามอง ผมไม่รู้ว่าผมจะเรียกเธอไว้ทำไม แต่ตัวผมไปเร็วกว่าความคิดเสมอ ผมจับแขนเธอไว้ ดึงเบา ๆ เข้าหาตัว แล้วก้มจูบเบา ๆ ที
 
“ขอบคุณ”
 
เธอตาโตนิด ๆ ผมว่าน่ารักดีนะ คิดว่าคงไม่มีใครเคยจูบเธอมาก่อนแน่ ๆ
 
ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะต่อว่า แต่เธอกลับหน้าแดง หันมองไปทางอื่น ผมยิ้มทันที
 
“ไปล่ะ” เธอรีบโบกแท็กซี่ที่วิ่งผ่านมา เปิดประตูก้าวขึ้นรถไปเลย
 
ผมยืนฉีกยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า ผมมีเบอร์เธอแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือหาซื้อโทรศัพท์ เอาไว้โทรหาเธอเท่านั้น
 
 




 
 
ภารกิจพิชิตใจหญิงของผมยังคงมีต่อไป ยิ่งคบผมยิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนไม่ธรรมดา แต่ยิ่งทำให้ผมหลงรักเธอมากขึ้นและมากขึ้น เธอชอบแข่งรถ เธอชอบการต่อสู้ และผมก็ได้ไปดูเธอแข่งบ่อย ๆ ด้วย
 
วันนี้ก็เหมือนกัน
 
ผมยืนตื่นเต้นอยู่ในสนามแข่ง เธอไปเตรียมตัวอยู่ สักพักเธอก็เดินเท่ออกมา ผมยืนตะลึง ใครจะว่าผมแปลกไหม แต่ผมชอบที่เธอแต่งตัวแมน ๆ แบบนี้นะ
 
“เท่สุด ๆ ไปเลย” ผมเผลอชมเหมือนคนละเมอ เธอหัวเราะใหญ่
 
“นายก็ด้วยแหละ” เธอพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินจากไป
 
หะ!?
 
เมื่อกี้ผมได้ยินอะไรผิดไปไหม เธอชมผมด้วย ยิปปี้!! ผมรีบเดินตามหลัง คว้าแขนเธอแล้วจับเธอบ๊วบไปหนึ่งที ดูเธอจะอึ้ง ๆ

มีแค่ตอนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้เธอหลุดมาดแมนได้ ก็ตอนที่ผมจูบเธอนี่แหละ
 
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร สต๊าฟก็มาเรียกตัว
 
เธอเดินไปที่รถ โดยมีผมเดินตามไปให้กำลังใจติด ๆ เห็นเขาพูดคุยอะไรกันด้วยภาษาไทยที่ผมยังฟังไม่เข้าใจ สักพัก กิ๊ฟก็สวมหมวก ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ เธอชอบขี่มอไซด์มากกว่ารถใหญ่ แต่ก็แข่งได้ทั้งคู่ วันนี้เธอแข่งมอเตอร์ไซด์ ผมยืนลุ้น ใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัย แต่อีกใจก็ไว้ใจ
 
ผมรู้ว่าเธอทำแบบนี้มานาน และนี่คือสิ่งที่เธอชอบ และผมก็ไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่าย ห่วงได้แต่ห้ามหวงและห้ามห้าม โดยเฉพาะกับสิ่งที่เธอชอบ
 
ธงโบกสะพัด กิ๊ฟสตาร์ทเครื่อง เร่งจนเสียงดังสนั่น และออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ผมยืนมองอยู่ตรงนั้น ตรงจุดที่ผมเช็กแล้วว่าเห็นเธอได้ชัดที่สุด
 
ผมยืนลุ้น มองเธอพาตัวรถเอียงจนแทบจะนอนราบไปกับพื้น เทคนิคเธอแพรวพราวและไม่กลัวเจ็บ เธอจึงทิ้งห่างคู่ต่อสู้ไปหลายช่วงตัว เวลาที่เธอขับรถ เธอจะนิ่งมาก ตัวที่เล็กกว่าผมจะดูภูมิฐานและใหญ่โตขึ้นมาทันที ทุกอย่างรังสรรค์ให้ผู้หญิงคนนี้ เป็นยอดหญิงจริง ๆ
 
รางวัลตกเป็นของเธออย่างไม่บิดพลิ้ว เธอถอดหมวกออกมายิ้ม จับมือกับเพื่อน ๆ นักแข่ง
 
หลังจากรับรางวัลเรียบร้อย เธอก็เดินกลับมาหาพวกเรา
 
ผมหมายถึง ผมกับทีมงานเธอน่ะ ทุกคนดีใจ และแน่นอนว่าต้องมีการเลี้ยงฉลอง ผมรีบทำเนียน เกาะหนึบติดตัวเธอตลอด ซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไร
 
เธอเป็นคนดื่มเก่ง คอแข็งด้วย แต่เวลาเมา ชอบรั่ว ทำให้ผมหัวเราะบ่อย ๆ
 
“คุณพาเธอกลับละกัน” เพื่อนที่เป็นนักแข่งของเธอบอก เธอเองก็เมามากเหมือนกัน ดีว่ามีแฟนมารับ ผมพยักหน้า
 
ว่าแต่ แล้วผมจะพาเธอไปส่งที่ไหน อพาร์ทเม้นท์ของผมหรือบ้านของเธอ
 
ผมชั่งใจชั่วครู่ ก่อนเขย่าตัวเธอเบา ๆ
 
“กี๊ฟ บ้านคุณอยู่ไหน”
 
เธอปรือตามอง ยิ้มหวานจนผมเคลิ้ม
 
“บ้านคุณไง” เธอบอกอ้อแอ้ สภาพแบบนี้คงไม่รู้เรื่องแน่ ๆ ผมจึงตัดสินใจพาเธอกลับอพาร์ทเม้นท์ผมแทน
 
เธอตัวเล็กกว่าผมเยอะ สูงกว่าหญิงไทยทั่วไปแต่ก็เตี้ยกว่าผมมาก ผมพาเธอไปวางลงบนเตียง
 
แหม ผู้ชายครับ หญิงที่ชอบมานอนเมาแอ๋อยู่ตรงหน้า ซาตานในตัวผมมันก็เริ่มออกลาย แต่ผมไม่คิดทำร้ายเธอหรอก
 
หรือจะทำดี เพราะเธอเองก็ดูมีใจให้ผมแล้ว
 
“อยากใช่ม้า”
 
ผมสะดุ้งมองคนที่นอนตาเยิ้ม
 
“อยากกินฉันใช่ม้า กำลังคิดอยากจะทำเรื่องหื่น ๆ กับฉันใช่ม้า”
 
ผมอยากปฏิเสธ แต่ปากกลับตอบไปอีกอย่าง
 
“ใช่ ก็ผมชอบคุณ ที่สำคัญ น้องผมก็น่าจะชอบคุณด้วย” ผมชี้ให้ดูด้านล่างที่เริ่ม เอิ่ม…แล้ว
 
กิ๊ฟหัวเราะหึ ๆ
 
“หื่น”
 
“อย่ายั่วคนหื่นตอนเมาสิ”
 
“ไม่ได้ยั่ว…” เธอตอบ “แต่ยั่ว”
 
อ้าว เอ๊ะ ยังไง
 
“ถ้านายทำอะไรฉัน นายตาย!!” เธอขู่เสียงเข้ม “แต่ฉันทำอะไรนายได้” พูดจบ เธอก็กระชากผมลงไปนอนแหมะที่เตียง แรงเยอะไปไหน ผมนอนตาโต เธอขึ้นมาคร่อมร่างผมไว้ ชุดเท่ ๆ ของเธอไม่ได้บดบังหุ่นอ้อนแอ้นของเธอแม้แต่น้อย
 
ผมนอนนิ่ง กำลังคิดอยู่ว่าเธอจะทำอะไร
 
“ยอมเป็นของฉันซะดี ๆ”               
เธอพูดแค่นั้นแล้วก้มจูบผม
 
ผมทำหน้าตื่น คือไม่ได้กลัวหรืออะไร แต่แค่แปลกใจว่าจะมีใครกล้าทำแบบนี้ เพราะเท่าที่ผมรู้มา ผู้หญิงไทยจะไม่รุกแบบนี้
 
จูบเก่งซะด้วย แป๊บเดียวผมก็เคลิ้มและจูบตอบเธอ
 
เมื่อเธอเริ่มก่อน ผมก็ไม่ผิดที่จะตอบสนองใช่ไหม
 
“งั้นผมขอละนะ” ผมละปากออกมาบอก จับเธอพลิกลงไปนอนข้างใต้ แต่เธอพลิกตัวกลับขึ้นไปด้านบนเหมือนเดิม
 
“ฉันชอบรุกไม่ได้ชอบรับ”
 
ผมงง ก่อนจะหายงงเมื่อเธอเป็นฝ่ายลงมือกินผมซะพรุนทั้งตัว
 
เฮ่อ! ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริง ๆ
 
แต่ผมก็ชอบละนะ ฮ่า ๆ
 
 
 
 
 

 
ผมสะลึมสะลือตื่นอีกทีตอนเช้า คนสวยของผมยังนอนแหมะคว่ำหน้าเปลือยแผ่นหลังขาว ๆ อยู่เลย กิ๊ฟมีรอยสักรูปดอกกุหลาบอยู่ที่หัวไหล่ ลายสวยเอามาก ๆ ผมจูบมันเบา ๆ
 
เธอสะลึมสะลือตื่น ผมยิ้มรับอรุณเธอ
 
“อยากกินพิซซ่า”
 
“หะ!?” ผมเหวอรับประทาน
 
“ใช้งานเยอะ เหนื่อย อยากได้พิซซ่า” ผมเหวออีกที คิดว่าเธอจะเอียงอายหรือโวยวายบ้าง
 
แต่นี่..
 
“พิซซ่า” เธอย้ำ ผมรีบพยักหน้า เดินไปหยิบมือถือมาโทรสั่งพิซซ่าทันที เธอยังนอนอุตุอยู่บนเตียงท่าเดิม
 
“เอ่อ…”
 
“ฟี้…” เธอหลับไปอีกรอบ ผมหัวเราะหึ ๆ มองให้แน่ใจว่าเธอหลับจริง ๆ ผมลุกเดินไปอาบน้ำ พอแต่งตัวเรียบร้อย พิซซ่าก็มาทันที
 
สงสัยกลิ่นพิซซ่าคงไปแตะจมูกคนนอนเข้า เธอผงกหัวโผล่หน้าเบลอ ๆ มอง
 
“ชิ้นหนึ่ง” เธอบอก ผมรีบหยิบให้เธอทันที เธอรับไปงับทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่ ผมเดินไปหยิบน้ำหวังเอามาให้ แต่พอหันกลับมาผมก็ต้องอ้าปากเหวอ เพราะกิ๊ฟหลับไปอีกรอบแล้ว แถมในปากยังงับพิซซ่าค้างไว้ท่าเดิมอีกต่างหาก
 
ไม่รู้ว่าผมจะขำหรือจะอะไรยังไงกับผู้หญิงคนนี้ดี
 
ผมปัดท้ายทอยตัวเองเบา ๆ วางน้ำไว้ เดินเข้าไปใกล้ แล้วก้มจุ๊บหน้าผากเธอที หยิบพิซซ่าหวังเอาออกจากมือเธอไปเก็บ
 
“เอาพิซซ่ามา!!” เธอตะโกนห้ามเสียงดังจนผมสะดุ้ง ผมค้างมือไว้กับที่ มองเหวอ ๆ แล้วดวงตาเธอก็ค่อย ๆ ปรือปิดลงไปอีกครั้ง ผมพยายามพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น สุดท้ายผมก็ปล่อยพิซซ่าไว้ที่เดิม
 
บางทีเธออาจจะเก็บเอาไว้กินในฝันก็ได้
 
 
 
จวบจนบ่าย พิซซ่าแห้งได้ที่ กิ๊ฟก็ตื่น เธอทำหน้างง ๆ มองพิซซ่าที่ปากและมือตัวเอง
 
“จะกินหรือจะทิ้ง” ผมถามยิ้ม ๆ เธอเกาหัวแกรก ๆ จนหัวฟูไร้ทรงลุกขึ้นนั่งแบบไม่อาย เห็นแล้วอยากปล้ำอีกรอบ
 
“หิว พิซซ่า” เธอเอาผ้าห่มพันรอบตัวเดินหัวฟูมานั่งที่โต๊ะ
 
“มันชืดแล้ว เดี๋ยวผมเอาไปอุ่นให้ก่อน” เธอส่ายหน้า
 
“ไม่เป็นไร กินได้”
 
ผมพยักหน้ารับ นั่งมองเธอกิน ลิ้นเล็ก ๆ แลบออกมาเลียเศษพิซซ่าที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก เห็นแล้วเซ็กซี่ดี
 
“คุณน่ารักดี สวยด้วย บางทีก็หล่อ” ผมพูดตรง ๆ เธอเหลือบตามอง
 
“ฮอบคุณ” เธอพูดด้วยอู้อี้ภาษาไทยไม่ชัด ผมเริ่มจับได้บางคำบ้างแล้ว(พูดได้ด้วย)
 
เธอน่ารักครับ ยิ่งอยู่ด้วย ผมยิ่งรัก
 
แม้เธอจะแปลก
 
แม้เธอจะห้าว แถมหื่นด้วย ผมก็ยังรักเธออยู่ดี
 
 
 
 To Be Con..

นั่งขำตอนพี่เดโดนขืนใจ ฮ่า ๆ ฮากับการชอบกินพิซซ่าหลังภารกิจหนักด้วย แต่งไว้นานมากคู่นี้ เก็บไว้จนลืม = =  โอ๊ย ขำพี่กิ๊ฟเหลือหลาย
               
 
 
 
 
 

Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM         

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กิ้ฟ หลานจะแมนเกินไปปะ เรื่องบนเตียงกับพิซซ่าเนี่ยนะ เล่นเอาคนกลัวอึ้งไปเลยนะเนี่ย  :o :sad3: o21 :freeze:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love Special เดกิ๊ฟ Part 3/4 ตอน นรกชังหรือสวรรค์แกล้ง

           
“นี่ ไม่คิดจะกลับประเทศรึไง” เพื่อนผมโทรทางไกลมาถาม ผมหัวเราะหึ ๆ
 
“ไม่ว่ะ กูจะอยู่กับแฟนกู”
 
“เฮ้ย เอาจริงดิ ใครวะ ทำให้แกหลงได้ขนาดนั้น”
 
“ก็คนธรรมดา” ผมเหลือบตามองคนธรรมดาของผม วันนี้เธอพั้งเต็มยศครับ กรีดตาจนเฉี่ยว เล็บเป็นสีดำสนิท แต่งตัวซะเท่(เป็นช๊อปครับ) “แค่นี้นะ ต้องออกไปข้างนอก”
 
“ไอ้นี่ หลงหญิงลืมเพื่อน”
 
“คงงั้น” ผมตอบรับ เก็บมือถือลงกระเป๋า ลุกเดินไปหยิบกุญแจรถ ผมตัดสินใจซื้อรถไว้ใช้เองแล้ว ตอนเดินทางกลับค่อยยกให้กิ๊ฟ บ้านเธอมีฐานะใช้ได้ครับ ไม่ได้ง้อผมแม้แต่น้อย ที่สำคัญ เวลาเธอแข่งรถครั้งหนึ่ง ชนะมา ได้เงินอยู่มากโข
 
เธอไม่ชอบให้ผมทำตัวสวีทมาก ให้คบกันอย่างเพื่อน เฮตามเธอ มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ และต้องตามอารมณ์เธอให้ทัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ก็สนุกไปอีกแบบ
 
 
“ตอนเย็นไปดูหนังกันไหม” ผมชวน เธอพยักหน้าหน่อย ๆ วันนี้เธอมีสอบ สมาธิเลยไม่ได้อยู่ที่ผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ว่าหรอก แค่มีเธออยู่ใกล้ ๆ ถึงไม่ได้คุยกันก็โอเคแล้ว
 
ผมขับรถไปส่งกิ๊ฟที่มหา'ลัย เมื่อคืนเธอมาค้างด้วยที่ห้อง บรรเลงซะผมแทบลุกไม่ขึ้น
 
ร้อนแรงไปไหน
 
ถ้าไม่แรงควายจริงสงสัยจะคบกับกิ๊ฟยาก ช่วงหลัง ๆ นี่ผมเข้าฟิตเนสด้วย หุ่นจะได้ดี ๆ เห็นเพื่อนเธอแต่ละคนนี่ ยอมรับ หล่อเทพกันทั้งนั้น ขืนไม่หล่อเทียบเท่าหรือหล่อกว่า คงเอาเธอไม่อยู่
 
กิ๊ฟยังอ่านหนังสือตอนที่ผมเลี้ยวรถเข้าไปในมหา'ลัยแล้วจอดเทียบไว้ที่ทางเท้าหน้าคณะ
 
“อ่านหนังสือบทรถมาก ๆ เสียสายตานะ” ผมบอก เธอเงยหน้ามอง ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะวีนกลับซะอีก
 
“แต้งค์ที่ห่วง”
 
ผมงี้ไปไม่เป็นเลย ผมเกาท้ายทอยยิ้มแหะ ๆ และก่อนที่เธอจะก้าวลงจากรถ ผมก็จับเธอมาจุ๊บเบา ๆ ที
 
“ขอให้สอบได้นะ”
 
เธอพยักหน้ารับ ก้าวลงจากรถไปหาเพื่อนเธออีกสามคนที่เดินผ่านมาพอดี พวกนั้นยิ้มให้ผมนิดหนึ่ง ผมยิ้มตอบ เห็นพวกนั้นตบหัวตบหลังกันยกใหญ่ 
 
สงสัยนิสัยจะเหมือนกิ๊ฟกันทั้งกลุ่ม ผมหันกลับมาสตาร์ทเครื่อง เคลื่อนตัวรถออกจากที่เทียบอีกครั้ง แต่ไปได้ไม่เกินเมตรก็ต้องเบรกตัวลง เพราะเห็นของของกิ๊ฟอยู่ที่เบาะท้าย สงสัยมัวอ่านหนังสือเพลินเลยลืม ผมรีบดับเครื่อง คว้าสิ่งนั้นก้าวลงจากรถวิ่งลิ่ว ๆ ตามเธอไป
 
คนมองกันใหญ่ แต่ผมชินแล้วล่ะ ชาวต่างชาตินี่เนอะ
 
“กิ๊ฟ!!” ผมตะโกนเรียก พวกที่เดินคุยกันอยู่หันมามอง ผมแอบเขินหน่อย ๆ แต่พยายามข่มใจเดินเข้าไปหา
 
“ลืมของ”
 
เธอรับไปถือไว้ อยากทักทายอยากคุยต่อเหมือนกัน แต่เกรงใจเพื่อน ๆ เธอ ผมเลยหันหลังหวังเดินกลับ แต่ก็ต้องหมุนติ๋วกลับมาที่เดิมเพราะแรงดึงจากมือเล็กที่ผมคุ้นเคย และ..
 
โอ๊ยโย๊ยโหยว…
 
กิ๊ฟโน้มหัวผมลงไปจูบแล้วผละปล่อย เป็นผมเองที่ยืนอายไปกับการกระทำนั้น พวกเพื่อน ๆ กิ๊ฟพากันแซวใหญ่ ผมรีบหันหลังเดินไปก่อนที่ตัวผมจะละลายลงไปเคลือบกับพื้น
 
“โหย กิ๊ฟ มึงเล่นซะเขาอายม้วนเลยว่ะ”
 
หือ อะไรม้วน ๆ นะ หรือกิ๊ฟอยากกินทองม้วน ของโปรดเขาครับ ผมจำได้ขึ้นใจเลย ผมรีบเดินกลับไปที่รถ สตาร์ทตัวเครื่องขับเคลื่อนออกไป พอผ่านตลาดก็แวะซื้อทองม้วนไว้ให้กิ๊ฟกิน
 
 
 
 
 
 
 
ผมคบกับกิ๊ฟมาร่วมสองเดือนแล้ว และตอนนี้ผมกำลัง…
 
“อ้วก อึก อ้วก!!” ผมกำลังโก่งคออ้วกโดยมีกิ๊ฟยืนลูบหลังอยู่ด้านหลัง ในมือถือขวดน้ำเอาไว้ให้ล้างปาก
 
ไม่ต้องห่วง ผมยังไม่ได้ท้อง กิ๊ฟก็ยัง แต่วันนี้เธอพาผมออกมาซิ่ง
 
ย้อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
 
“เด” เธอเรียกผมสั้น ๆ ผมหันไปมอง
 
“เลิฟมีเลิฟมายด็อกใช่ไหม” เธอพูดพาเอาผมงงเลย ผมมองหน้ากิ๊ฟ นี่เธอเลี้ยงหมาด้วยเหรอ
 
“งั้นนายก็ต้องรักหมาฉันด้วยสิ” ผมเหงื่อแตกพลั่ก หันมองตามใบหน้าที่พยักไปยังเป้าหมาย
 
“เอ่อ…อย่าดีกว่านะ ผมยังไม่พร้อมจริง ๆ”
 
“เลิฟมีเลิฟมายด็อก” ผมจะพูดอะไรได้ นอกจาก
 
“โอเคครับ รักก็รัก”
 
ผ่านไปร่วมชั่วโมง สิ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่สุดในชีวิตก็เกิดขึ้น ใครจะรู้บ้างว่าผมเป็นพวกกลัวความเร็ว ผมถึงได้หลับตอนอยู่บนเครื่องบิน หรือหลับทุกครั้งที่ขึ้นรถ ตอนขับรถก็ขับด้วยความเร็วมาตรฐาน หลีกเลี่ยงมากที่สุดคือนั่งรถกับกิ๊ฟนี่แหละ เพราะเธอจะพาซิ่งแหลก
 
“น้ำ” เธอยื่นน้ำมาให้อีกที ผมรับมากรอกใส่ปาก คายทิ้งแล้วปาดด้วยหลังมืออีกที ไม่ไหวหัวใจจะวาย
 
“เก่ง” เธอพูดสั้น ๆ แล้วจูบปากผมเบา ๆ ที “นายอ้วก”
 
ผมแทบจะร้องไห้กับฉายาใหม่ที่เธอตั้งให้ เธอหัวเราะหึ ๆ แต่ก็แอบดีใจครับ แล้วเธอก็จุ๊บผมอีกที
 
“แต่ฉันก็ชอบละนะ” คำนั้น พาเอาหัวใจผมรู้สึกฟิตปั๋งขึ้นมาทันที “งั้นอีกรอบ”
 
“ม้ายยยยยยยยยย”
 
 
 
 
 
 
ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นศพไปแล้วครับ อ้วกไปหลายรอบจนไม่รู้ว่าจะมีอะไรไหลออกมาจากท้องผมได้อีก กิ๊ฟใจร้ายมาก ขนาดผมอ้วกแล้วอ้วกอีกก็ยังจะรั้งให้ผมนั่งรถจนผ่านไปครบสี่ชั่วโมง
 
..นรกมาก
 
ผมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องน้ำ หันซ้ายหันขวามองหาคนสวยของตัวเอง แต่ไม่เจอครับ สงสัยจะกลับไปแล้ว ผมเลยเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เอาหลังมือพาดตาไว้หวังสั่งให้ตัวเองหลับเร็ว ๆ
 
ยังไม่ทันได้หลับอย่างใจคิด ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกละมือออกมามองบางสิ่งที่ยุบฮวบลงบนที่นอนข้าง ๆ ผมตาโตแทบจะเท่าไข่ห่านมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกที
 
“กิ๊ฟ…” ผมครางเรียก
 
“ของขวัญสำหรับความอดทน” เธอบอก แล้วนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนที่นอน ไอ้ความเพลียเปรี้ยเมื่อกี้กระเด็นหายไปแทบจะทันที ผมจ้องหน้ากิ๊ฟนิ่ง ๆ

แค่ผมหายเข้าห้องน้ำไปอ้วกกับหลับตาไปวูบเดียว ผมก็ได้นางฟ้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว กิ๊ฟปล่อยผมยาว แต่งหน้านิด ๆ ใส่ชุดคอสเพลย์เป็นสาวน้อยสีชมพูหวานจ๋า แต่แอบเซ็กซี่จนน้องผมตั้งขึ้นมาทันทีเลย
 
“ให้นายอยู่ข้างบนได้หนึ่งวัน”
 
พอเธอพูดจบ ผมก็รีบคว้าตัวเธอลงไปนอนด้านล่างแล้วฟาดเรียบทันที
 
อ้วกจนหมดพุงแต่ก็คุ้มแล้วล่ะครับ
 
 
 
 
 
สวรรค์ของผมจริง ๆ เพราะเมื่อคืนกิ๊ฟน่ารักมาก เป็นสาวน้อยสุดน่ารัก ครางหวานใต้ตัวผม ให้ผมเป็นคนนำทุกท่วงท่าอาการด้วย ผมควานมือสะเปะสะปะหาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ผมกอดไว้เมื่อคืน แต่มือที่ควานหาอยู่ดี ๆ กลับขยับไม่ได้ซะงั้น ผมพยายามดึงแล้วดึงอีก แต่มันไม่ยอมหลุด จนผมต้องลืมตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้น
 
สาวน้อยสุดน่ารักของผมกลายร่างเป็นสาวสวยสุดกร่างไปแล้วครับ

เธอแต่งชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ล้างภาพสีชมพูเมื่อคืนออกจนหมด แต่งหน้าจัดจนเฉี่ยวเท่ มัดผมไว้ด้านหลังจนดูเหมือนผู้ชาย ภาพสาวน้อยผมยาวพลิ้วระกลางหลังเมื่อคืนอันตรธานหายไปในบัดดล 
 
และที่สำคัญ..
 
เธอเหยียบข้อมือผมด้วยรองเท้าหนังมันปราบของเธอ 
 
กรรมจริงเมียกู กลายร่างไปซะแล้ว T^T
 
“กลับละ” เธอบอกแค่นั้นแล้วจับคางผมแหงนขึ้นไปกดจูบเบา ๆ ดึงเท้าออก เดินอาด ๆ จากไป ผมมองตามจนประตูบานนั้นปิดตัวลง ถึงได้ดึงผ้าห่มมากอดแน่น
 
เมื่อคืนผมฝันไปใช่ไหม
 
แต่แบบไหนผมก็ชอบล่ะครับ
 
จะสาวน้อยวัยใส จะกร่างยังไง เธอก็ยังเป็นคนที่ผมรักอยู่ดี
 
“โอ้ว กิ๊ฟที่รัก”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“ไง ไอ้คนหลงเมีย” มันด่าผมทันทีที่รับสาย “มึงตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะอยู่เมืองไทยถาวรเลย”
 
“กูตัดสินใจดีแล้ว กูอยากอยู่กับกิ๊ฟว่ะ”
 
“ตามใจมึงละกัน ส่งงานอย่าให้ขาด”
 
“อืม” ผมตอบรับ แล้ววางสายไป ผมตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรแล้วครับ รับจ๊อบจากบริษัทของทางนี้ เพื่อเป็นใบเบิกทางให้ได้วีซ่าทำงานในไทย
 
ถึงผมจะมีเงินถุงเงินถัง คงไม่สามารถเอากิ๊ฟอยู่ได้ คงมีแค่ความรักและความพยายามอย่างเดียวเท่านั้นแหละ
 
ผมไม่ได้บอกกิ๊ฟว่าผมย้ายมาทำงานที่ไทย ไม่อยากให้กิ๊ฟคิดว่าผมทำตัวติดเธอหนึบ (ทั้งที่จริง ๆ ก็ใช่) อยากให้ผมเป็นคนที่เธออยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดก็พอ
 
 
ได้ยินเสียงมือถือดังเบา ๆ ผมรีบกดรับทันทีที่เห็นชื่อคนโทรมา
 
“เด…” ปลายสายอ้อแอ้น่าดู ผมขมวดคิ้ว นี่กิ๊ฟกินเหล้าเหรอ “มารับหน่อย…” แล้วสายก็ตัดไปแค่นั้น ผมรีบโทรกลับทันทีแต่ไม่ติด กิ๊ฟปิดเครื่อง ผมเริ่มเป็นห่วง สถานที่ก็ไม่รู้แล้วจะให้ไปหาที่ได้ไหน ผมลองกดโทรหาอีกรอบ แต่ไม่ติดเหมือนเดิม ผมผละตัวลุก คว้ากุญแจ วิ่งออกจากห้องขับรถตะบึงรถไปบ้านกิ๊ฟทันที ที่บ้านมีเพียงแม่บ้านที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่คนเดียว
 
ผมร้อนรนไปหมด ผมแค่ต้องการหาเบอร์เพื่อนกิ๊ฟ แต่จนแล้วจนรอดผมก็คุยกับแม่บ้านไม่ได้สักที ผมรีบเดินไปนอกถนนถามใครสักคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ให้เขาช่วยเขียนภาษาไทยว่าผมต้องการเบอร์เพื่อนกิ๊ฟแล้ววิ่งกลับไปยื่นให้แม่บ้าน แต่แม่บ้านส่ายหน้าปฏิเสธ คงไม่รู้เบอร์เพื่อนกิ๊ฟจริง ๆ ดึกแล้ว ผมจะทำยังไงดี
 
ผมพยายามนึกว่ากิ๊ฟจะไปดื่มที่ไหนได้บ้าง จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก แต่เธอเคยบอกว่าชอบดื่มที่ร้านใกล้ ๆ มหา'ลัย ผมรีบตะบึงรถควบห้อไปแถวมหา'ลัย ขับรถเข้า ๆ ออก ๆ แทบจะทุกร้าน จนไปเจอร้านสุดท้าย ผมรีบเข้าไปเดินหาทันที
 
ผมแทบจะกู่ก้องร้องบอกฟ้าที่เห็นกิ๊ฟอยู่ตรงนั้น ผมรีบวิ่งเข้าไปหาทันที กิ๊ฟนั่งคอพับโดยมีเพื่อน ๆ นั่งดื่มเมาไม่ต่าง
 
“โห กิ๊ฟ ไอ้เดมันเจ๋งว่ะ หามึงได้ด้วย เหงื่อซกเลย” กิ๊ฟปรือตามามองผม ยิ้มหวานจนขาผมแทบอ่อน
 
“มาแล้วเหรอที่ร้าก หาเก่งจาง” เธออ้อแอ้ชม ผมรีบเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ทันที
 
“ผมเป็นห่วงนะรู้ไหม” ผมรีบบอกเสียงหอบ
 
แม่ง หอบเหมือนหมาหอบแดดเลยกู
 
“หาเจอได้งาย” เธอถาม ผมรีบประคองคนอ้อแอ้ให้ลุกนั่งดี ๆ
 
“ไปที่บ้าน แต่คุยกับแม่บ้านไม่รู้เรื่อง เลยวิ่งหาทีละร้าน” ผมบอกไปตรง ๆ กิ๊ฟยิ้มหวานจนผมแทบใจละลาย
 
“แต้งค์ ๆ” กิ๊ฟจับหัวผมโน้มลงไปจุ๊บปากเบา ๆ ที ก่อนกระซิบบางอย่าง “เดี๋ยวจะให้รางวัลนะ พ่อยอดชาย” ผมแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง สงสัยกิ๊ฟจะให้ผมอยู่ข้างบนอีกแน่ ๆ
 
“เต้นโชว์ไข่ให้ดูหน่อย”
 
พวกเพื่อน ๆ กิ๊ฟพากันพ่นเครื่องดื่มในปากออกมาจนหมด ส่วนผมอ้าปากค้าง “นายทำดีมาก ฉันจะให้รางวัล เต้นโชว์ไข่ให้ดูหน่อย” ผมอ้าปากพะงาบ ๆ รางวัลนั่นกิ๊ฟต้องให้ผมไม่ใช่เหรอ
 
“โชว์ไข่” เธอชี้มาที่เป้าผม ผมรีบปิดไว้ทันที
 
“อย่าล้อเล่นสิกิ๊ฟ”
 
“โชว์ไข่” เธอย้ำ ผมมองหน้าเพื่อน ๆ กิ๊ฟ
 
“พามันกลับเหอะ เมาไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ” อ้อยเพื่อนเธอบอก ผมพยักหน้า รีบรั้งแขนเธอพาดคอทันที
 
“โชว์ไข่”
 
“เอาน่า ผมจะกลับไปโชว์ให้ดูที่ห้อง”
 
“พูดจิงเป่า”
 
“จริง โชว์อย่างอื่นด้วย”
 
“ไม่เอา จะเอาไข่อย่างเดียว”
 
“มันพ่วงอย่างอื่นมาด้วยนะกิ๊ฟ”
 
“จะกินไข่”
 
“เอาเลยผมยกให้”
 
แล้วผมก็ลากกิ๊ฟอย่างทุลักทุเลไปขึ้นรถ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็พามาถึงห้อง เนื้อตัวกิ๊ฟมีแต่กลิ่นเหล้า ผมวางกิ๊ฟลงบนเตียง รีบเดินเข้าห้องน้ำ ไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้ทันที
 
“ไข่” เธอบอกอ้อแอ้ ผมส่ายหัว หันไปชุบน้ำใหม่ ก่อนจะหันกลับมาเพราะแรงดึงที่ข้อมือ

“ไข่” เธอจับเป้ากางเกงผมไว้หมับ ผมทำผ้าหลุดมือทันที
 
“กินไข่”
เซนเซอร์นะครับ ขอป้อนไข่แถมด้วยไส้กรอกคนหิวก่อน ฮ่า ๆ
 
 
 
 
 
 
 
ผมไม่ใช่คนลามก คนลามกน่าจะเป็นกิ๊ฟมากกว่า สามารถพูดเรื่องทำนองนั้นได้โดยไม่อาย กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนที่ผมไม่เคยตามความคิดได้ทัน บทจะดีก็ดีใจหาย บทจะร้ายผมก็เหมือนแมลงสาบตัวหนึ่งที่เธอชอบจับเล่น
 
เฮ่อ!! นรกชังหรือสวรรค์แกล้งดีละเนี่ย ชีวิตผม
 
“เด” เธอหันมาเรียกตอนผมนั่งดูทีวีอยู่ ผมหันไปมอง
 
เธอจับผมจูบเบา ๆ ที ก่อนยิ้มหวานให้ ผมทำรีโมตร่วงจากมือ
 
“แต้งค์ที่ทนนิสัยเราได้นะ” เธอพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป
 
ผมยังนั่งนิ่งอยู่กับที
 
บางทีที่ผ่านมา อาจเป็นบททดสอบจากซาตานเจ้าเสน่ห์ของผมก็ได้
 
ผมนั่งยิ้ม ลูบปากตัวเองเบา ๆ
 
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ชื่นชมรสจูบความรู้สึกดี ๆ จบ กิ๊ฟก็เยี่ยมหน้าเข้ามาอีกที
 
“ป่ะเด ไปขี่รถกัน”
 
โอ้โน้ว ม้ายยยยยยยยยย


To Be Con
นั่งทำตอนนี้ในร้านกาแฟ นึกสภาพไรท์จิตป่วงคนหนึ่งนั่งขำจนคนหันมามองกันทั้งร้าน ฮาไปไหน ฮ่า ๆ โอ๊ยปวดท้อง ฮ่า ๆ










Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM         

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กิ้ฟ.... นิสัยแบบนี้ คนแก่ยก  o13 ให้เลย นับถือ ๆ  o14

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love Special เดกิ๊ฟ Part 4/4 ตอน อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน = =






ผมอกหักแล้วครับ
 
ผมเป็นโสดแล้ว
 
อันนี้ผมไม่ได้พูดเล่น ผมพูดจริง ๆ
 
ย้อนกลับไปเมื่อเช้า
 
“เด”
 
กิ๊ฟโทรหาผมตั้งแต่ตะวันยังไม่ส่องแสง ผมที่งัวเงียเอาโทรศัพท์มาแนบหูถึงกับยิ้มทันทีแม้จะมีขี้ฟันติดอยู่ก็ตาม
 
“ครับ” ผมรับปาก
 
“เราเลิกกันเถอะ” กิ๊ฟพูดแค่นั้นแล้ววางสายไป ผมกำมือถือค้างไว้ที่หู สมองขาวโพลน
 
นี่มันอะไรกัน ทำไมอยู่ ๆ กิ๊ฟถึงได้มาบอกเลิกผม ผมทำอะไรผิด
 
วันนั้นทั้งวัน ผมพยายามโทรหากิ๊ฟ ทำทุกวิถีทางเพื่องอนง้อขอคืนดี ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด เรื่องบนเตียงรึก็ทำอย่างดี ดูแลก็ดี แล้วมีเรื่องอะไรอีก
 
ผมเบรกเท้าตัวเองไว้หลังจากใช้เวลาง้อมาร่วมอาทิตย์
 
บางที ผมคงต้องหยุดนิ่งดูบ้างเพื่อดูอะไรให้ชัดเจนอีกที บางทีผมอาจวิ่งตามมากเกินไปก็ได้
 
ผมหยุดการง้อแบบเดิม ๆ ลง กลับมานิ่งและสุขุมให้มากขึ้น
 
มองย้อนกลับไปว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องสูญเสียกิ๊ฟไป
 
ไม่มี...

หาไม่เจอ....
 
ช่างแม่งมันวุ้ย จะเลิกก็เลิก

ถามว่าเสียใจไหม
 
คำตอบคือ ไม่
 
ไม่เล้ย!
             
ไม่เสียใจเลย

แม่ง!
 
ผมเอื้อมหยิบทิชชู่ม้วนที่สองมาซับน้ำตา
 
ตุ๊ดแตกฉิบหาย ผู้หญิงบอกเลิกแค่นี้ก็ต้องมานั่งน้ำตาร่วงให้ทิชชู่ปลอบใจ
 
ทิชชู่หมดม้วนไปแล้วครับ ขี้เกียจไปหยิบม้วนที่สามเลยคลี่เอากระดาษแกนกลางมาโป๊ะตาไว้ล้มตัวนอนหงายกลางเตียงให้น้ำตามันร่วงจากหางตาลงบนที่นอน คราวนี้อยากร้องร้องไป ให้ผ้าห่มซับ ไม่เปลืองทิชชู่ดี ช่วยโลกประหยัดทรัพยากรต้นไม้ที่มันเริ่มร่อยหลอลงไปทุกทีแล้วด้วย
 
อยู่ ๆ ก็มีคนใจดียื่นทิชชู่มาให้ม้วนหนึ่งบนมือ
 
“ขอบใจ” ผมพูดโดยไม่ลุกมองคนให้ จับมันคลี่ดึง ๆ ๆ ๆ ไม่กลัวเปลืองไอ้ต้นไม้ที่ว่าไปเมื่อกี้แม้แต่น้อย นำมาโป๊ะน้ำตาที่ยังร่วงหล่นเป็นทาง
 
“เสียใจมากไง” เสียงคล้ายคนที่ทำให้ผมเสียใจถาม หูผมคงอื้อ ร้องไห้มากไปจนเพ้อแน่ ๆ ถึงได้ยินแบบนี้ ผมเลยตอบออกไปส่ง ๆ
 
“อื้อ เสียใจมาก รักมากก็งี้แหละ” ผมระบาย
 
“ยอมแพ้ที่จะง้อแล้วรึไง”
 
“เปล่า แต่รักมากจนไม่อยากทำให้รำคาญต่างหาก” ผมตอบ พอได้ระบายบ้างน้ำตามันก็เริ่มคลาย ที่เขาบอกว่าเวลาเศร้าให้หาที่ระบายคงเป็นงี้สินะ
 
“แล้วไม่คิดว่าเขาอยากจะให้ง้อต่อรึไง”
 
“ไม่รู้ เดาใจไม่ออก อ่านยาก คิดโจทย์แรกไว้ก่อน ที่เขาเลิกเพราะรำคาญ”
 
“บื้อ”
 
“คงงั้น” ผมตอบโดยมีทิชชู่แปะอยู่บนตา
 
“เด”
 
ผมชักไม่แน่ใจแล้วครับ ว่าคนที่ผมกำลังระบายอยู่จะเป็นเพียงความฝัน แต่ผมไม่อยากหยิบทิชชู่ออก เพราะผมกลัว กลัวว่าคนที่ผมคุยด้วยจะจางหายไปเมื่อผมลืมตามอง ผมไม่อยากนอนจมน้ำตาตัวเองอีก อย่างน้อยผมก็ยังอยากอยู่กับความฝันแบบนี้ต่อไป
 
“เด” เสียงเรียกยังดังไม่หยุด
 
“ครับ” ผมตอบรับ น้ำตาแห้งไปแล้ว แต่ผมรู้ว่าระลอกใหม่มันกำลังจะมา ตอนนี้มันจ่อไว้ที่ประตูหน้าด่านแล้ว
 
“เด” เธอเรียกอีกครั้ง
 
“ครับ” ผมตอบรับอีกที คราวนี้เสียงเรียกเงียบหายไป
 
หึ นางฟ้าของผมคงหายไปแล้วสินะ

ผมแนบหัวกับที่นอนมากขึ้น ลืมตามองกระดาษทิชชู่ด้านบน แต่แล้วอยู่ ๆ กระดาษทิชชู่แผ่นนั้นก็ถูกดึงออกไป สิ่งที่เห็นตอนนี้มีเพียงความพร่าและเพดานขาวด้านบนเท่านั้น และรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่มาทับสะโพกผมไว้
 
ผมหลับตาลงหลบหนีความจริง
 
“เด” เสียงเรียกนั้นหวานเอามาก ๆ หวานจนผมน้ำตาร่วงหล่นอีกรอบ หน้าผมเบะลงรับรู้ว่าตัวเองกำลังพยายามแค่ไหนที่จะไม่ร้องไห้ออกมา แต่มันก็ทำได้ยากยิ่ง น้ำตาผมไหลรินลงไปเป็นทาง
 
รู้สึกเหมือนมีสองมือนุ่ม ๆ มาทาบแก้มไว้ พอ ๆ กับความอุ่นนุ่มบนริมฝีปาก สัมผัสนั้นคุ้นเคยมาก ทั้งนุ่มและหอมหวานอย่างที่ผมเคยลิ้มรส
 
“ทำไม” ผมถามกลับเสียงเครือหลังจากอีกคนถอนริมฝีปากออก “ทำไมต้องทำแบบนี้กับผมด้วย” ผมถามกลับอีกรอบ ไม่มีแล้วความเป็นสุภาพบุรุษหรืออะไร ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่รักผู้หญิงคนหนึ่งเอามาก ๆ “ผมรักคุณนะ รักมาก ๆ ด้วย”
 
“ฉันรู้” เธอตอบรับ “แต่ฉันอยากโสด”
 
ผมลืมตามอง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็มานั่งอยู่บนสะโพกผมแล้วจริง ๆ
 
“คุณมันใจร้าย”
 
“ใช่” เธอยอมรับ
 
ผมพูดอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมก็รู้มาตั้งแต่ต้นว่าเธอร้าย แต่ก็ยังเลือกที่จะรัก และผมก็ต้องยอมรับทุกผลของมันด้วย
 
“พอใจยัง โสดแล้วนี่” ผมหยิบทิชชู่มาซับอีกรอบ น้ำตามันก็ร่วงได้ร่วงดี

เอ๊ะ หรือว่าจริง ๆ แล้วผมเป็นผู้หญิง กิ๊ฟเป็นผู้ชาย รายนั้น หนังเศร้าขนาดไหนก็ไม่เคยสะกิดต่อมน้ำตาเธอได้ ผิดกับผมที่หมดทิชชู่ไปเป็นม้วน ๆ
 
“อืม รู้สึกดี” เธอย้ำให้ผมน้ำตาร่วงได้อีกระลอก ผมหลับตาลงไม่พูดอะไรต่ออีก
 
“แต่แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ อีก 80 เหงาฉิบหาย” ผมเปิดตามองเพดานอีกที แต่ไม่พูดตอบอะไร
 
“เหงา เวลาไม่มีนายเคียงข้าง” ผมกระพริบตาปริบ ๆ
 
“เหงา เวลาไม่มีคนคอยโทรหาถามไถ่” น้ำตาผมหยุดร่วงแล้ว
 
“เหงาเวลาไม่มีคนมาคอยสั่งข้าวให้กิน หรือประเคนของที่อยากได้ให้” อืม ฟังแล้วเหมือนไอ้งั้งยังไงพิกล แต่ก็รู้สึกดีนิด ๆ แฮะ
 
“และเหงาที่สุด คงเป็นเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีใครมามอร์นิ่งคิสล่ะมั้ง” ผมค่อย ๆ ชันศอกค้ำไว้ที่พื้น ยกตัวขึ้นมองคนตรงหน้าให้ชัด ๆ อีกที
 
กี๊ฟยังคงสวยงามและดูร้ายกาจสำหรับผมอยู่เสมอ
 
“และที่สำคัญ…” กิ๊ฟหยุดคำพูดตัวเองไปนาน “เวลาต้องการแล้วหาที่ลงไม่ได้ หงุดหงิดฉิบหาย” กิ๊ฟกระชากจับคอเสื้อผมให้ลุกนั่งในขณะที่เธอยังนั่งคร่อมผมอยู่ เธอจูบหนัก สอดลิ้นเข้ามารุกรานชนิดที่ผมตั้งตัวแทบไม่ทัน
 
ผมอยากต่อต้าน แต่ยากครับ เพราะร่างกายผมมอบให้คนคนนี้ไปนานแล้ว
 
เพราะงั้น ผมก็เลย…
 
จับตัวเองใส่พานแล้วประเคนให้เธอกินจนอิ่มหมีพีมันไปเลย ฮ่า ๆ
 
 
 
 
 
 
“คุณจะกลับมาคืนดีกับผมใช่ไหม” ผมถามขณะคร่อมร่างเปลือยเปล่าของกิ๊ฟไว้ เธอนอนคว่ำหน้าเผยรอยสักสุดเท่ที่ผมชื่นชอบ ผมจูบซับไปเบา ๆ ที
 
“เปล่า”

ผมเบรกตัวลงกึก ก่อนลุกออกจากเตียงไปแต่งตัว ตอนแรกคิดว่ากิ๊ฟจะกลับมาคืนดี ที่ไหนได้
 
เธอแค่กลับมากินผมแค่นั้นเอง
 
“ยังสนุกกับการเป็นโสดอยู่”
ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น จับกางเกงมาสวม รูดซิปติดกระดุม คว้าเสื้อยืดมาสวมเข้าทางหัว หน้าตาผมคงงอนเป็นตูดเป็ดแน่ ๆ แต่ผมต้องรีบไปก่อนน้ำตาจะร่วงลงมาอีกรอบ

“แต่ก็ขาดนายไม่ได้” ขาที่กำลังก้าวเดินชะงัก ผมค่อย ๆ หันไปมองคนที่ยังนอนแหมะคว่ำหน้ากอดหมอนไว้บนเตียง ดวงตาคู่สวยทอดมองมาทางผม
 
 ผมจ้องดวงตาเรียบ ๆ นั้นกลับ พยายามอ่านความคิดให้ลึกลงไปอีกชั้น
 
 ผมหันหลังเดินไปที่หน้าประตู หมุนจับลูกบิดไว้ เตรียมเปิดออก แต่เพียงแค่นั้นผมก็หยุด คลายมือออกหันหลังให้กับประตูมองคนที่ยังนอนมองผมอยู่บนเตียง
 
“ทำไมคุณต้องปั่นหัวผมขนาดนี้ด้วยนะกิ๊ฟ”
 
ไร้คำตอบ แต่ผมก็รู้ว่าทำไม
 
เพราะกิ๊ฟก็คือกิ๊ฟ
 
กิ๊ฟไม่เคยเปลี่ยนไปเลย จากวันแรกที่ผมเจอยันวันนี้
 
กิ๊ฟที่ร้ายกาจ กิ๊ฟที่มีเสน่ห์ยั่วยวน

ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้ง จับกิ๊ฟพลิกหงายโดยมีผมคร่อมเอาไว้
 
“เป็นผมได้ไหมกิ๊ฟ ให้ผมเป็นคนช่วยคุณแก้เหงา เป็นคนที่คุณนึกถึงตลอด คุณไม่ต้องคบผมก็ได้ แต่ขอให้คุณนึกถึงผมเป็นคนแรก เป็นคนที่คุณรู้สึกมีความสุขที่สุดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ เป็นคนที่คอยห่วงใย คุณไม่ต้องรับความหวังดีจากผมก็ได้ แต่ขอให้ผมได้ทำให้คุณ เพื่อคุณ ผมอยากทำให้คุณมีความสุข” ผมสารภาพ กิ๊ฟไม่พูดอะไร นอกจากจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ
 
แล้วเธอก็พลิกตัวเขยิบลุกออกจากเตียงไปใส่เสื้อผ้า
 
ผมทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงบนที่นอน
 
หึ คำตอบคงไม่สินะ
 
ผมเขยิบมานั่งข้างเตียง วางสองเท้าราบไปกับพื้น เอามือปิดหน้าไว้ กะให้กิ๊ฟเดินออกไปก่อน จะได้ปล่อยโหให้เต็มที่
 
“หิว”
 
เอ๊ะ?
 
ผมละมือออกจากหน้า
 
“หิวแล้ว”
 
ผมหันไปมองคนที่อยู่ในชุดเรียบร้อย
 
“ใช้แรงไปเยอะ ไปหาไรกินกันจะได้กลับมาใช้แรงต่อ” เธอบอกแล้วหันหลังเดินไปที่หน้าประตู
 
ผมนั่งนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่กิ๊ฟกำลังจะจับลูกบิด
 
“กิ๊ฟ!!” ผมรีบตะโกนเรียกเบรกเธอไว้ แต่เธอเปิดประตูออกแล้ว ทำให้ผมต้องรีบแงะก้นที่ติดกับเตียงวิ่งตามเธอไปทันที
 
อยากถามเธอหลายอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าจะถามอะไรก่อนดี
 
“หิว” เธอย้ำ ผมฉีกยิ้มกว้าง
 
“ขอผมหยิบกุญแจรถก่อน”
 
“ไปมอเตอร์ไซค์ก็ได้” ผมเสียวไปวูบ
 
“คุณกำลังหิว ไม่มีแรงขับรถหรอก ไปรถผมดีกว่า” ผมหลอกล่อ กิ๊ฟทำท่าคิด ดูท่าจะหิวจริง ถึงได้พยักหน้ายอมง่าย ๆ

ผมรีบหันหลังวิ่งไปคว้ากุญแจรถ เสื้อผ้าตัวเองย่นยับน่าดู ผมรีบถอดทั้งเสื้อและกางเกงโยนใส่ตระกล้า เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ควานเลือกชุดที่มีรูปแบบและสีสันคล้ายกันมาใส่ ใส่กางเกงและเข็มขัดได้แล้ว กำลังจะสวมเสื้อลงที่หัว แต่เบรกไว้เพราะรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนทาบอยู่ด้านหลัง ผมหันไปมอง
 
“เปลี่ยนใจละ ฉันสั่งพิซซ่ามาแล้ว ระหว่างรอ ฉันจะกินนายแทน”
 
“กิ๊ฟ” ผมพูดได้แค่นั้นครับ แล้วหลังจากนั้น ผมก็กลายเป็นของว่างให้กิ๊ฟกินแก้หิวไปพลาง ๆ
 
หึ ๆ ก็ถือว่าโอเคนะ
 
พอพิซซ่ามา เราก็นอนเปลือยกินพิซซ่ากันบนเตียงนั่นแหละ

สนุกดีครับ

ผมรู้แค่ว่าถ้าผมจะรักผู้หญิงคนนี้ ต้องเผื่อใจเอาไว้หลาย ๆ ดวง และต้องเตรียมน้ำตาเอาไว้หลาย ๆ ปี๊บ

แต่ผมก็ดีใจ ที่สุดท้ายผมก็เป็นคนที่เธอคิดถึงมากที่สุด
 
 

จบคู่เดกิิ๊ฟ
ไว้มีรมณ์จะมาแต่งต่อเน้อ ^ ^   
 
 







Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM       

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กิ้ฟ ถนอมเดไว้มากๆ นะ พันธ์นี้หายาก  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
 

79
หนี้รัก & ดูงานภาพถ่าย Part 1
[กาย...♥]





ผมกำลังนอนเฝ้าพระอินทร์อยู่ แต่เสียงครืด ๆ ของเครื่องมือสื่อสารที่ตั้งระบบสั่นเอาไว้ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ลึก ผมนอนคว่ำกึ่งตะแคงข้างสองมือกอดผ้าห่มแน่น พยายามซุกหน้าหนีเสียงน่ารำคาญอันนั้น แต่มันไม่ยอมหยุดเอาซะทีจนผมเบ้หน้าด้วยความรำคาญ
 
นอนฟังเสียงมันดังอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจควานมือสะเปะสะปะไปหยิบ
 
อยู่ไหนฟะ
 
จำได้ราง ๆ ว่าวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงนี่ ยืดตัวขึ้นอีกนิด ควานหาอีกหน่อย แล้วอยู่ ๆ เจ้าสิ่งนั้นก็มาอยู่ในมือผมเอง
 
โอ้ ดีเลย กูกำลังรำคาญ
 
ตอนแรกก็กะว่าจะกดปิด แต่กดผิดกดถูกไปกดรับเฉยเลย
 
“กาย ยังไม่ตื่นอีกเหรอ สายแล้วนะ”
 
เสียงใครวะ คุ้น ๆ
 
ใจจริงอยากถามว่าใคร แต่เสียงที่ออกมาฟังดูอู้อี้งึมงำยังไงพิกลจนปลายทางหัวเราะร่วน
 
“ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะ”
 
ผมพยายามโต้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สิ่งที่ออกมาก็ยังงึมงำเหมือนเดิม
 
“ตื่น ๆ”
ปลายทางพยายามส่งเสียงปลุก
 
“อืม…แล้ว”
ผมลากเสียงยานตอบไป ตายังไม่เปิด สติยังไม่มา ได้ยินปลายทางหัวเราะหึ ๆ ก่อนสะดุ้งเฮือก เพราะความร้อนจากอะไรบางอย่างแถว ๆ หลังคอ
 
อะไรมายุบยับกับคอกูวะ


 
ผมปัดมืออีกข้างสะเปะสะปะไปด้านหลังไล่เจ้าสิ่งนั้นออกไป มันยังอยู่ครับ และดูเหมือนจะเคลื่อนที่ต่ำลงไปเรื่อย ๆ ผมพยายามควานมือไล่ออก
 
“กาย พี่จะบอกว่าวันนี้พี่เปิดภาพถ่ายอีกเซตนะ มาดูให้ได้ล่ะ”
ได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาอีก
 
อะไรนะ ภาพถ่ายเหรอ
 
ได้ยินคำนี้ไม่ได้ ง่วงอยู่หูก็กระดิก
 
“อะ อ๊า”
ยังไม่ทันได้ประมวลผลอะไร ผมก็เผลอครางออกมาเพราะบางสิ่งกำลังลูบไล้อยู่แถว ๆ บั้นเอว
 
“กาย..เป็นไรหรือเปล่า”
ปลายทางถามด้วยความเป็นห่วง

ผมวางโทรศัพท์แนบไว้ที่หู แล้วเอามือนั้นไปช่วยกันปัด ๆ เจ้าสิ่งที่กำลังยุ่มย่ามกับเอวออก ก่อนที่สองมือผมจะไร้อิสระเพราะมีอะไรสักอย่างมากดติดกับที่นอน และบางสิ่งกำลังสอดแทรกรุกล้ำเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง ด้วยความเคยชิน ผมขยับยกสะโพกหน่อย ๆ ให้เจ้าสิ่งนั้นเข้ามาได้ง่ายขึ้น
 
“กาย”
ได้ยินเสียงปลายทางเอ่ยเรียกอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ตอบรับ เพียงขยับตัวให้คลายความอึดอัด ปากก็ครางออกมาเบา ๆ ระบายความเสียวซ่าน ได้ยินเสียงเรียกอีกหลาย ๆ ครั้งข้างหู สักพักเสียงเรียกนั้นก็เงียบหายไป
 
“มีอะไรฝากเรื่องมาได้เลย กายเขายังไม่ตื่นดี”
เหมือนได้ยินเสียงพี่เอกพูดกับใครสักคน อยากหันไปมอง แต่ตอนนี้ต้องยึดที่นอนเอาไว้ก่อน เพราะบางส่วนด้านหลังเริ่มขยับเข้าออกแล้ว
“ทำอะไร ก็…ทำเรื่องที่ผัวเมียเขาทำกันไง”
เสียงพี่เอกจริง ๆ ด้วย
 
พี่มันกำลังทำอะไรอยู่ อยากหันไปมอง แต่ต้องผวาเฮือกครางออกมาอีกที เมื่อช่องทางด้านหลังถูกใส่จังหวะมากขึ้น
 
“อ๊า..”
นี่ผมฝันเหรอ
 
“หึ..ขอบคุณที่ชม แล้วจะบอกกายให้อีกที”
ได้ยินพี่เอกพูดแค่นั้น ก่อนสะโพกผมจะถูกยกสูง และบางสิ่งที่โหมลงมาแรงและลึกขึ้น พอ ๆ กับสติผมที่เริ่มกลับมามากขึ้นเรื่อย ๆ



 
“ไอ้พี่เอกบ้า! ทำไมต้องมาทำเรื่องแบบนั้นแต่เช้าด้วยนะ”
ผมบ่นหงุบใส่คนที่นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนฮัมเพลงในจังหวะสบาย ๆ อยู่บนโซฟา
 
ไม่ได้อยากบ่นครับ แต่มันอดไม่ได้จริง ๆ พี่มันเล่นฟัดผมแต่เช้า ยังไม่พอ ยังเป็นตอนที่พี่เชนโทรมาอีกต่างหาก สติสตางค์ผมก็ยังไม่ตื่นดี ไม่รู้เผลอทำอะไรไปบ้าง
 
“เอาน่า”
พี่มันพยายามตัดบท
 
“แล้วตกลงพี่เชนโทรมาบอกว่า…”
 
พี่มันเหลือบตามอง
 
“วันนี้เขาจัดงานภาพถ่ายวันแรก อยากให้กายไปดู”
 
ผมตาโตแทบจะทันที
 
“ไป ๆ พี่เอก ไป”
 
พี่เอกอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม
 
“ได้ พี่จะพาไป แต่หลังจากไปทำธุระกับพี่ที่หนึ่งก่อน”
 
ผมขมวดคิ้วมอง
 
แล้วหลังจากนั้นไม่เกินชั่วโมง ผมก็มานั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่ประจำ ไม่เข้าใจว่าพี่มันจะพาผมมาทำไม
 
นอกจากครั้งแรกที่มาหาพี่เป้กับไอ้เต้ยแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองที่มาในฐานะแขก
 
ผมนั่งเท้าคางมองพี่ไนท์กำลังเสิร์ฟกาแฟ พี่เก่งเช็ดโต๊ะ พี่อุ๋ยชงกาแฟ พี่เนเน่กดเครื่องคิดเงินต๊อกแต๊ก
 
ถ้าเป็นเวลาทำงาน ผมคงไปรับกาแฟจากเคาน์เตอร์ แล้วเดินเอาไปเสิร์ฟ หรือไม่ก็รับออเดอร์อยู่นอกร้านหรือไม่ก็เก็บโต๊ะอยู่มุมนู้นแน่ ๆ
 
มานั่งมองแบบนี้ ก็แปลกตาไปอีกแบบ
 
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมเอกสารสองสามแผ่นในมือ พี่มันวางไว้ตรงหน้า ยื่นปากกามาให้ ผมมองงง ๆ
 
“เซ็นซะ”
 
“อะไรฮะ”
 
พี่มันไม่ตอบ แต่จิ้มให้ผมรู้ตำแหน่งที่ผมต้องเซ็น ผมที่กำลังนั่งงง ๆ อยู่ รีบจับปากกาแล้วเซ็นลงบนกระดาษที่เต็มพรืดไปด้วยตัวหนังสือสีดำสนิทนั้น เซ็นไปสองสามจุด
 
“เอาล่ะ ตอนนี้นายเป็นหนี้พี่อยู่ 10 ล้าน”
 
ผมอ้าปากค้าง งุนงงกับสิ่งที่พี่แกพูด พี่เอกยกเอกสารในมือให้ดู
 
“สัญญากู้เงิน”
ผมเบิกตากว้าง รีบคว้ามาดู แต่พี่แกยกหนี
 
“พี่ล้อผมเล่นหรือเปล่า”
 
“ไม่ได้ล้อเล่น”
พี่มันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
 
“นายติดหนี้พี่อยู่ 10 ล้าน ตามสัญญา นายจะต้องหาเงินมาใช้พี่ให้ได้เดือนล่ะหนึ่งแสนบาท”
 
ผมตาโตเข้าไปใหญ่
 
“พี่เอก!!”
พี่แกต้องล้อเล่นแน่ ๆ

ผมรีบกระโจนเข้าหาแล้วดึงเอาเอกสารมาอ่าน
 
ผมยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ
 
ของจริงครับ
 
พี่มันไม่ได้พูดเล่น เอกสารระบุชัดว่าผมได้ทำการกู้เงินมาจากพี่เอก และต้องนำเงินมาชดใช้ให้พี่มันเดือนละแสนจริง ๆ ผมทำหน้าเหมือนอมปูเน่าไว้สิบตัวในปาก เงยหน้ามองพี่แกน้ำตาคลอ
 
ทำไมพี่เอกต้องทำแบบนี้ด้วย
 
มึงมาหลอกให้กูรักแล้วมาทำแบบนี้กับกูเนี่ยนะ
 
“ตามสัญญากายต้องทำงานชดใช้พี่”
 
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย เงินมากมายขนาดนั้น ผมจะไปหาได้ที่ไหน”
ผมยืนน้ำตาร่วงเหมาะแหมะ
 
แม่ม…
 
แต๋วแตกฉิบ แค่นี้ก็ต้องร้องไห้ด้วย
 
“ในสัญญาระบุไว้แล้ว”               
พี่มันพยักหน้ามายังเอกสารที่ผมถืออยู่ ผมก้มอ่านอีกที
 
‘นายกันตรัตน์ เวชกิจ ต้องยินยอมรับทรัพย์สินและเป็นผู้ดูแลกิจการร้านกาแฟ Coffee Hug เพื่อชดใช้เงินคืนแก่นายเอกภพ กิจไพศาล’
 
ผมกะพริบตาปริบ ๆ ทั้งที่น้ำตายังไหลพราก อ่านทวนเนื้อหาใหม่
 
‘นายกันตรัตร์ เวชกิจ ต้องยินยอมรับทรัพย์สิน ซึ่งประกอบไปด้วย ที่ดิน จำนวน 2 ไร่ บ้านเลขที่…พร้อมกิจการร้านกาแฟ และทำงานชดใช้ให้นายเอกภพ กิจไพศาล โดยในสัญญาระบุว่า ต้องโอนเงินเข้าบัญชีของนายเอกภพทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท’
 
ผมกะพริบตาไล่หยาดน้ำให้หล่นแหมะเป็นเม็ดสุดท้าย เพ่งดูลายเซ็นอีกที
 
นี่ตกลง นอกจากจะเผลอเซ็นรับหนี้สินก้อนโตมาแล้ว ผมยังเผลอเซ็นรับทรัพย์สินมาด้วยเหรอเนี่ย ผมไล่สายตาอ่านต่ำลงไปเรื่อย ๆ
 
รวมมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด เป็นเงิน…
 
15 ล้านบาท
 
ป๊าดดด!!
 
ผมตาโต เงยหน้ามองพี่เอกอีกที
 
“นะ นี่”
 
เรียวปากได้รูปคลี่ยิ้มเพียงนิด
 
“ของหมั้น”
 
ผมอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
 
“งานนี้ห้ามปฏิเสธ เพราะกายยินยอมรับสินสอดพี่ไปแล้ว”
 
กะ กูไปรับของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่
 
พี่มันหัวเราะ ดึงผมไปนั่งบนตัก
 
มึง..
คนในร้านเขามองกันใหญ่แล้ว ถึงคนจะไม่เยอะก็เถอะ ผมพยายามดันตัวเองออก แต่พี่มันยังกอดผมไว้แน่น ผมจึงจำต้องนั่งตัวลีบ ๆ ไม่ให้คนสังเกตเห็น ดีว่านั่งกันอยู่โต๊ะในสุดภายในห้องแอร์ ลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งนอกร้านกันหมด
 
“ให้กายดี ๆ กายคงไม่รับ พี่ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
 
แน่นอนสิ เงินตั้ง 15 ล้าน ไม่ใช่ 15 บาทนี่
 
“ผมรับไม่ได้หรอก เยอะขนาดนั้น”
 
พี่มันถอนหายใจเบา ๆ
 
“ถ้ากายไม่รับ แปลว่ากายไม่รักพี่”
ผมตาโตไปกับคำนั้น
 
“ถึงไม่รับ ผมก็ยังรักพี่อยู่ดี”
 
“ถ้ารักพี่ก็ต้องรับของที่พี่ให้สิ”
ดู ดู๊ ดูมันทำ
 
“นี่มันของหมั้นจากพี่นะ”
 
ผมนั่งอึ้ง นี่พี่มันเอาจริงเหรอเนี่ย
 
“รับไว้เถอะ พอดีผู้จัดการเขาต้องบินไปดูแลพ่อแม่ที่ญี่ปุ่น เลยว่าจะขายกิจการทางนี้ พี่อยากได้อยู่แล้วเลยซื้อเก็บไว้ จะได้เอาไว้ให้พวกน้อง ๆ มาวิ่งเล่นกัน”
 
โห มึงพูดอย่างกับที่นี่ราคา 1500 บาทเนอะ
 
“พี่เห็นกายชอบด้วย เลยยกให้กายดูแลแทน เพราะพี่คงไม่มีเวลามาดูแล”
 
ผมจ้องตาพี่มันเขม็ง ก่อนหลุบเปลือกตาลงต่ำ
 
ผมรู้ฮะ ว่าพี่เอกพยายามเอาใจผมขนาดไหน แต่ของมันชิ้นใหญ่เกินไป ไอ้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอก แต่มันก็ไม่สบายใจอยู่ดี
 
“พี่ไม่ได้ให้กายฟรี ๆ ซะหน่อย” พี่มันพูดต่อ “กายต้องโอนเงินเข้าบัญชีพี่ทุกเดือน เดือนละแสน ส่วนที่เหลือ กายจะเอาไปใช้ทำอะไรก็เอา”
 
แล้วไอ้ร้านกาแฟนี่ มันได้กำไรเยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ
 
“แล้วถ้าผมทำไม่ได้ล่ะ”
พี่มันยิ้มเจ้าเล่ห์ ตามด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
 
“งั้นกายก็ต้องจ่ายที่เหลือเป็นอย่างอื่นแทน”
 
แม่ม กูรู้นะว่ามึงหมายความว่ายังไง
 
“อีกเดือนหนึ่ง ผู้จัดการจะเดินทาง ช่วงเวลานี้ กายก็มาเรียนรู้งานจากเขาไปละกัน”
 
ผมพยักหน้าหงึกหงัก เถียงไม่ได้แล้ว หลับหูหลับตาเซ็นไปแล้วนี่
 
“เจ้าเล่ห์”
ผมว่าพี่มันไปที พี่มันหัวเราะหึ ๆ จุ๊บปากผมเบา ๆ
 
“เราไม่ใช่คู่รักแบบชายหญิงทั่วไป แต่งงานกันจริง ๆ ก็ไม่ได้ จดทะเบียนสมรสก็ไม่ได้ ถ้าพี่จะยึดกายไว้ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
 
ผมมองตาพี่เอกปริบ ๆ
 
“อะไรที่พี่ต้องการ พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดสิ่งนั้นไว้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีเลวทรามขนาดไหนก็ตาม”
 
ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ
 
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ หัวใจผมก็อยู่กับพี่ ขอแค่พี่ให้สิ่งนี้กับผมก็พอ”
ผมแตะอกซ้ายพี่แกเบา ๆ พี่เอกก้มมองแล้วยิ้ม
 
“นั่นคือภายใน แต่ภายนอกพี่ก็อยากให้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกัน พี่ไม่ชอบให้ดอกไม้ ถ้าจะให้ก็ให้แบบนี้แหละ”
 
โห มึง ดอกไม้แค่ดอกละ 15 บาท แต่บ้านพร้อมที่ดินนี่มัน 15 ล้านเชียวนะวุ้ย
 
แม่ม ใครได้เป็นแฟนมึงนะ โชคดีฉิบหาย (ก็มึงไงกาย ==)
 
“แล้วอย่าคิดว่าพี่กำลังซื้อกายอยู่นะ”
 
แน่ะ รู้ความคิดกูอีก กำลังแอบคิดอยู่เลย
 
“เงินไม่มีทางซื้อความรักหรือหัวใจของกายได้ แต่สิ่งที่พี่ให้ คือของขวัญ และอีกอย่าง…”
 
ผมนิ่งฟัง
 
“มันคือสิ่งยืนยันว่า…พี่รักและไว้ใจกายแค่ไหน”
พี่มันยิ้มทั้งปากทั้งหน้า จนผมอดไม่ได้ที่จะหน้าร้อนผ่าวไปกับสิ่งที่ได้ยิน
 
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง ผมไม่ได้เป็นคนที่พี่รักหรือต้องการขึ้นมาล่ะ”
เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน วันนี้พี่มันยังหลงผมอยู่ แต่ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง พี่มันไม่ได้ต้องการผมขึ้นมาล่ะ แล้วผมจะเป็นยังไง
 
“นั่นเป็นเรื่องของอนาคตนะ ตอนนี้พี่รู้แค่ว่าพี่รักกาย และกายรักพี่ พี่รู้แค่นี้แหละ”
 
ผมจ้องตาพี่แกเขม็ง
 
ไม่ผิดใช่ไหม ที่ผมจะรักคนคนนี้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะทรัพย์สินที่เขายกให้ แต่เป็นเพราะใจที่พี่มันมีต่างหาก
 
“ขอบคุณครับ”
 
พี่มันยิ้มรับ
 
ผมมองไปรอบ ๆ อีกที ดีใจฮะที่ได้ร้านนี้มาเป็นของตัวเอง แล้วผมจะดูแลให้ดีที่สุด ให้สมกับที่พี่มันไว้ใจยกให้ดูแล
 
“งานคงไม่หนักหนามาก ดูแลเท่าที่ดูแลได้ ถ้าไม่ไหว พี่จะหาผู้จัดการมาช่วยดูแล”
 
ผมส่ายหน้า
 
“ไม่เป็นไร ผมดูแลได้ ไม่มีอะไรให้อยากทำอยู่แล้ว ทำที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”
 
พี่มันยิ้ม
 
“พี่ยึดผมไว้ด้วยของล้ำค่า แต่ผมไม่มีอะไรยึดพี่ไว้ได้เลย”
ผมบอกความหวาดหวั่นคืนบ้าง
 
“งั้นก็ต้องใช้หัวใจยึดพี่ไว้สิ ทำให้พี่รักพี่หลงทุกวันจนโงหัวไม่ขึ้น งานนี้ มีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถ มีอะไรให้หมดเลย”
ดูพี่มันพูดเข้า
 
“ทำตัวเป็นอาเสี่ยไปได้”
 
พี่มันหัวเราะร่วน
 
“ก็เพื่อกายคนเดียวละนะ พี่ยังไม่เคยให้ของอะไรใครชิ้นใหญ่ขนาดนี้เลยนะ มากสุดก็แค่สร้อยเพชรชิ้นเล็ก ๆ”
 
ผมมองเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พี่มันยิ้ม
 
“ตอบแทนที่กายยอมยกครั้งแรกของกายให้พี่ตั้งเยอะตั้งแยะ” พี่มันทำสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนทำหน้าเซ็งตามมา “ยกเว้นตอนอ้อนครั้งแรกน่ะนะ เสียอารมณ์ฉิบ”
 
ผมขำ จับหน้าพี่แกมองมาตรง ๆ
 
“ผมรักพี่นะ”
แล้วจุ๊บไปเบา ๆ ที พอทำไปแล้วก็รีบปล่อยมือออกเหมือนโดนของร้อน ลุกออกจากตักไปยืนอยู่ข้าง ๆ
 
กู ทำอะไรไปวะ
 
“ผมไปเดินดูรอบร้านหน่อยดีกว่า”
หันหลังเตรียมจะเดินหนีแต่ถูกฉุดข้อมือเอาไว้ พี่มันยิ้มจนเห็นฟันแทบทุกซี่
 
“ขอแบบเมื่อกี้อีกทีได้ไหม”
ผมอ้าปากพะงาบ ๆ ยังไม่ทันได้ตอบปฏิเสธ พี่มันก็ดึงผมก้มต่ำจนหูผมชิดปากพี่แก
 
“ไม่เป็นไร งั้นคืนนี้ พี่ขอออนท็อปสองรอบ”
 
ผมรีบผลักหน้าพี่แกออกแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกไปนอกร้าน ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาตามหลัง
 
แม่ม!
 
ได้หรือเสียวะเนี่ย



               

To Be Con...               
ได้อยู่แล้วล่ะกาย ได้ทั้งเงิน ทั้งร้าน ทั้งสามีเชียวน้า







Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM       
       


               

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รวยแล้วนะหลานกาย :a5:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
79
หนี้รัก & ดูงานภาพถ่าย Part 2
[กาย...♥]





ตอนนี้ผมกับพี่เอกมายืนกันอยู่หน้าแกลลอรี่แล้วครับ แต่ดูท่า คนที่จะเข้างานได้ ต้องมีบัตรผ่านก่อน ผมมองหาจุดสำหรับซื้อบัตร แต่ยังไม่ทันจะเจอ ก็หันไปเห็นใครบางคนเดินหน้าหล่อเข้ามาหา ผมยิ้มกว้าง เดินไปสมทบตามมาติด ๆ ด้วยพี่เอก
 
“มาแล้วเหรอ”
พี่มันทัก ล้วงหยิบการ์ดมายื่นให้สองใบ ผมกับพี่เอกคนละใบ
 
“นี่เป็นบัตรเข้างาน เดินดูกันไปก่อนละกัน แล้วพี่จะรีบกลับมาหา พอดีต้องไปรับแขกวีไอพีก่อน”
 
“ครับ”
ผมรับปาก แล้วพี่เชนก็หันหลังเดินลิ่ว ๆ ไปหาแขกชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ น่าจะเป็นคนโซนอังกฤษหรือฝรั่งเศสนี่แหละ
 
ผมกับพี่เอกเดินเข้าไปภายในงาน วันนี้คนเยอะน่าดู รู้สึกแปลก ๆ เพราะเหมือนมีคนพากันมองมาที่เรา ผมก้มมองตัวเอง
 
แต่งตัวประหลาดรึเปล่าวะกู หันไปมองคนหล่อข้าง ๆ ก็ดูปกติดี
 
สงสัยจะมองความหล่อของพวกเราสองคน
 
แค่ภาพแรกที่เห็นก็เรียกรอยยิ้มจากผมได้แล้ว เป็นภาพวิวครับ วิวไร่องุ่น ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นไร่องุ่นของพี่กิ๊ฟ ต่อจากภาพนั้นก็เป็นภาพวิวท้องทุ่งนา ภาพผลส้มหลากไซส์ และดอกกล้วยไม้สีสันสวยงาม

ผมดูภาพต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนสะดุดนิดหนึ่ง เพราะเริ่มมีผู้คนที่ผมรู้จักเข้ามาข้องเกี่ยว
 
ภาพนี้เป็นภาพเซตที่เราไปควบม้ากัน ผมยิ้ม มองภาพพี่โอ๊คบนหลังม้า โดยมีพี่ปิงนั่งซ้อนทอดมองไปยังจุดเดียวกัน

อีกภาพเป็นภาพของสามทโมน ที่พากันนั่งบนหลังม้า โน้มตัวไปในทิศทางเดียวกันตอนเข้าโค้ง
 
พี่เอกยิ้มกว้างไปกับภาพที่เห็นเหมือนกัน
 
อีกภาพเป็นภาพพี่มอกำลังตะบึงม้าเร็ว โดยมีพี่โอมยืนอยู่บนที่เทียบ มือหนึ่งจับไหล่กว้างไว้ อีกมือชี้ไปด้านหน้าเพื่อบัญชาการ
 
พอกินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ผมก็ต้องฉีกยิ้มอีกที ภาพนี้เป็นภาพผมที่กำลังก้มรับน้ำจากมือของเด็กหญิงคนหนึ่งในวัดที่เราไปสร้างกุฏิพระกัน


ภาพสวยดีครับ แสงและเงาแลดูนุ่มนวลและอ่อนโยนดี ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะทำหน้าแบบนี้ได้ด้วย
 
ผมไม่รู้สึกอายเลยที่ตัวเองไปปรากฏอยู่ในภาพแบบนั้น อาจเพราะพี่เชนเป็นคนถ่าย แล้วอีกอย่าง ภาพก็ออกมาดูสวยงามเอามาก ๆ ด้วย
 
สวยจริง ๆ
 
แต่ภาพต่อ ๆ มาเริ่มพาเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาหน่อย ๆ รู้สึกเหมือนภาพตัวเองจะเยอะไปไหม มีภาพตอนที่ผมกำลังถ่ายรูปและยืนอยู่บนหลังม้ากับพี่เอกด้วย
 
จะว่าไปแล้ว ผมก็ระห่ำน่าดูที่ไปทำเรื่องแบบนั้น
 
ผมละสายตามองภาพต่อไป ก่อนฉีกยิ้มกว้างไปกับสิ่งที่เห็น ภาพนี้เป็นภาพของพ่อกับแม่ผมเอง ในภาพพ่อโอบกอดแม่ไว้ในอ้อมแขนบนหลังม้า แม่นั่งด้วยท่าทีสบาย ๆ พิงหลังไว้กับแผงอกกว้าง สีหน้าและท่าทางของพ่อดูราวนักรบที่เพิ่งไปช่วยเจ้าหญิงกลับมาเลย
 
เป็นภาพที่ผมอยากเห็นสุด ๆ นี่พี่เชนถ่ายมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
 
เดินไปอีกนิดก็เจอกับกลุ่มคนที่อยู่ในภาพนั้นเข้าจริง ๆ
 
“อ้าว พวกพี่ ๆ มากันได้ยังไงฮะ”
 
พวกพี่ ๆ ยกการ์ดสีขาวในมือให้ดู
 
“มีคนส่งบัตรเชิญไปให้ เลยมาดูซะหน่อย ฝีมือสุดยอดเลยนะนั่น”
 
ผมยิ้มแก้มบานเหมือนตัวเองเป็นคนถ่ายซะเอง พี่เชนยังคุยอยู่กับลูกค้ากลุ่มเดิมอยู่นู่น
 
“ทำไมพวกมึงไม่บอก ว่าได้บัตรเชิญ”
พี่เอกมันถาม
 
“เรื่องไรกูต้องรายงานมึงทุกเรื่องด้วย”
พี่กิ๊ฟครับ พี่แกยักคิ้วกวน ๆ ให้ที
 
แล้วพวกเราก็พากันเดินดูงานพร้อมกัน เป็นเป้าสายตาได้อีก อยากจะบอกว่าหนึ่งในนั้นมีภาพพี่กิ๊ฟตอนแต่งหญิงด้วย อยู่คู่กับภาพพี่กิ๊ฟตอนอาละวาด ผมขำทันทีที่เห็น
 
ภาพแรกให้ชื่อว่า ‘หญิงไทย’
 
เป็นภาพพี่กิ๊ฟตอนไปวัด ใส่เสื้อยืดสีขาว นุ่งผ้าถุงสีชมพูลายดอกไม้คล้ายดอกซากุระสีแดง ติดดอกกล้วยไม้สีขาวขนาดใหญ่ไว้ที่ผม อุ้มขันข้าวสีเงิน ยืนทำหน้าเรียบร้อยอยู่ใต้ต้นลีลาวดีที่วัด สวยเอามาก ๆ ใครเห็นคงต้องตกหลุมรักหญิงสาวคนนี้แน่ ๆ
 
แล้วพวกเราก็พากันขำพรืด เมื่อเห็นอีกภาพข้าง ๆ กัน เป็นภาพหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับผู้หญิงในภาพที่อยู่ข้าง ๆ กัน แต่ต่างกันตรงที่ หญิงสาวคนนี้รวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนสีซีด เท่ ๆ เก่า ๆ ร้องเท้าผ้าใบเซอร์ ๆ ในมือถือไม้หน้าสาม เท้าหนึ่งวางราบไปกับพื้น ส่วนอีกข้างเหยียบอยู่บนหลังของหนึ่งในนักเลงหัวไม้ที่พากันนอนกองจมเลือดอยู่
 
ชื่อภาพคือ ‘หญิงแกร่ง’
 
ขัดกันน่าดู
 
“โห ไอ้กิ๊ฟ ถ้ามึงมีแค่ภาพนี้นะ กูจะเป็นคนแรกที่จีบมึงเลย”
พี่มอมันบอก
“แต่พอมาเห็นภาพนี้ กูยกให้ไอ้ฝรั่งมันฟรี ๆ พร้อมข้าวสารอีกสิบกระสอบ”
 
พวกเราหัวเราะครื้นเครง พี่กิ๊ฟยกกำปั้นให้พี่มันที
 
“เอาน่า อย่างน้อยไอ้ฝรั่งก็ยังรักมันล่ะวะ กูก็คิดว่ามันจะหนีไปตั้งแต่เห็นมึงถือไม้หน้าสามแล้ว ที่ไหนได้ สงสัยจะเป็นพวกมาร์โซคิสม์ คลั่งไอ้กิ๊ฟยิ่งกว่าเดิมอีก สมกันดี”
พี่อ้อยเสริม
 
อันนี้จริง ๆ ครับ พวกเรายังพากันหวั่น ๆ ไม่แพ้พ่อแม่พี่กิ๊ฟเลย เล่นไปรำไม้หน้าสามโชว์โหดกลางฝูงชน ผู้ชายที่ไหนจะอยากได้เป็นแฟน วันนั้นเห็นพี่ฝรั่งยืนหน้าซีด ตอนแรกไอ้เราก็คิดว่าพี่มันจะรีบแพ็คกระเป๋าหนีกลับประเทศ แต่ที่ไหนได้ เทิดทูนพี่กิ๊ฟราวกับวีรสตรีศรีสยาม 
 
พี่ฝรั่งบอกว่า พี่กิ๊ฟเป็นผู้หญิงที่สวย เซ็กซี่(ตรงไหน) แกร่ง กร้าว บางทีก็เรียบร้อยน่ารัก บางทีก็ห้าวหาญ มีหลากหลายบุคลิก น่าค้นหาดี
 
ที่พูดมานี่ไม่คิดถึงตอนขี่ม้าหน้าซีดเลยน่ะนั่น
 
ผมเหลือบไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังยืนดูภาพอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน แค่แผ่นหลัง ผมก็รู้แล้วล่ะว่าเป็นใคร
 
“ป๊าม๊า!”
ผมตะโกนเรียกแบบไม่เกรงใจใคร

พ่อกับแม่หันมามอง ผมรีบเดินเข้าไปหาทันที
 
“อ้าว มากันด้วยเหรอลูก”
พ่อถาม มองผมเลยไปถึงหนุ่มสาวหน้าตาดีอีกกว่าสิบชีวิตด้านหลัง
 
“แล้วพ่อกับแม่มาได้ไง”
 
พ่อกับแม่ชูการ์ดให้ดู
 
“มีคนส่งไปให้เราน่ะ”
 
ผมยิ้ม รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนทำ ผมมองภาพที่พ่อกับแม่กำลังดูอยู่ เป็นภาพที่พ่อนั่งอยู่ในน้ำ แหงนหน้าขึ้นมองแม่ที่กำลังนั่งเขียนนิยายอยู่บนโขดหิน เป็นภาพที่ดูดีครับ ดวงตาพ่อเต็มไปด้วยความรัก ที่แม่คงจะฉลาดพอที่จะมองออก
 
ชื่อภาพคือ ‘เฝ้ามอง’
 
“พ่อกับแม่ดูดีจัง”
ผมชม พ่อยิ้มแก้มบาน ในขณะที่แม่ ยิ้มแก้มแดง
 
พวกเราพากันเดินดูภาพกันไปเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดสุดท้าย ซึ่งคนจะเยอะกว่าทุกมุม ตอนแรกก็ว่าจะรอให้คนซา แต่คนก็ไม่ยอมลดลงสักที พวกเราเลยตัดสินใจ เบียดตัวเองเข้าไปดูแทน 
 
“โห สวยสุด ๆ เลย”
พี่มอฮะ แกกำลังอึ้งกับภาพตรงหน้าอยู่
 
สวยจริง ๆ นั่นแหละ
 
ภาพนี้เป็นภาพพี่เอก พี่อาร์ตและพี่อิฐ สามหนุ่มหนึ่งมุม ยืนเปลือยท่อนบนเรียงกันอยู่ในน้ำ สงสัยเป็นภาพตอนที่พวกเรากำลังเล่นเกมกันอยู่ พวกพี่ ๆ ยืนทำหน้านิ่ง ๆ แบบเดียวกัน ราวกับรูปสลักของเทพโบราณท่ามกลางสายน้ำที่ลึกถึงสะโพก
 
ท่อนบนเปลือยเปล่า เผยกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนที่แทบจะเหมือนกัน หยาดน้ำเกาะพร่างพราว มีแบล็กกราวด์เป็นต้นไม้ใหญ่พร้อมโขดหินสีเข้มเกือบดำ ริมฝั่งเต็มไปด้วยกิ่งก้านและเถาวัลย์เลาะเลื้อยสวยงาม มีนกตัวน้อยเกาะอยู่บนกิ่ง มีแสงแดดลอดผ่านใบไม้จากด้านบนลงสู่ด้านล่าง เป็นลำแสงสามเส้นตกกระทบผิวเนื้อสีเข้มของแต่ละคนให้ดูดีมีเสน่ห์ชวนมอง
 
ภาพนี้ชื่อ ‘แยกให้ออก’
 
“หล่อกันจังแฮะ”
ได้ยินเสียงใครสักคนชื่นชม

ผมหันไปมอง
 
เอ่อ.. ถ้าพวกคุณสังเกต ไอ้คนที่คุณชมน่ะ ยืนอยู่ข้างหลังผมเองครับ
 
ผมยืนภูมิใจหน่อย ๆ
 
แฟนกู หุหุ แฟนกู
 
แต่ภาพต่อจากนั้นน่ะสิ พาเอาผมหน้าร้อนแทบไหม้ทันที
 
ทำไมพี่เชน ถึงได้กล้าเอาภาพพวกนี้มาลงได้นะ
 
เกือบทั้งเซตในโซนนี้ เป็นภาพผมเองทั้งหมด แต่มันดูแบบว่า…
 
เอิ่ม...
 
เอ็กซ์มากมาย
 
ไม่ใช่เอ็กซ์สิ ต้องบอกว่าอิโรติกมากกว่า
 
ภาพแรกเป็นภาพผมที่ยืนอยู่ในน้ำ แสงเงาตอนเที่ยงวัน ส่องสว่างจากด้านบนของต้นไม้ให้ดูร่มรื่น สะท้อนผิวเนื้อให้ดูนวลผ่อง เสื้อถูกน้ำจนเปียกแนบเนื้อเห็นไปถึงภายใน แสงเงาและมุมกล้อง ส่องให้เห็นเรือนร่างที่แลดูอ้อนแอ้น จนดูรู้เลยว่าคนถ่ายจงใจให้ภาพออกมาดูอิโรติก(ผมไม่ได้หุ่นอ้อนแอ้นขนาดนั้นสักหน่อย)
 
อีกภาพผมกำลังโผล่พรวดขึ้นมาจากผิวน้ำ เม็ดน้ำบางส่วนหยดติ๋ง ๆ จากเส้นผมตกแหมะกลับไปยังผืนน้ำด้านล่าง ผิวขาว ๆ สะท้อนแสงแดด ปากแดงจนฉ่ำ เผยอน้อย ๆ ซ้ำลิ้นสีแดงยังแลบออกมาเลียข้างริมฝีปากหน่อย ๆ อีก หยดน้ำร่วงเปาะแปะ
 
ซึ่งถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่ผมกระโดดน้ำเล่น แล้วโผล่ขึ้นมาใหม่ ๆ มั้ง
 
กูก็โดดน้ำเล่นธรรมดา ไหงออกมาเซ็กซี่ได้ขนาดนี้วะ 
 
ภาพนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ภาพสุดท้ายนี่สิ…
 
ผมยืนอึ้ง มองภาพตรงหน้าเขม็ง เพราะมันเป็นภาพของตัวผมเองกับพี่เอก ตอนกำลัง…
 
เอ่อ…
 
ทำไมพี่เชนถึงได้กล้าเอาภาพนี้มาลง!!
 
ภาพนี้เป็นภาพที่ผมถูกพี่เอกโอบแผ่นหลังช่วงร่องเอวเอาไว้ จนจะกลายเป็นผมทำท่าสะพานโค้ง ท่อนล่างจมหายลงไปในน้ำลึกถึงสะโพก ไม่ต่างกับเส้นผมและศีรษะด้านหลังบางส่วน ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยออ้า หยาดน้ำพร่างพราว โดยมีใบหน้าคมคาย ก้มงับยอดอกผมผ่านเสื้อยืดสีขาวที่เปียกจนเห็นเนื้อในทุกสัดส่วน
 
สองเรือนร่างเปียกมะลอก สองมือผมจับสองต้นแขนแกร่งไว้พยุงตัวเองไม่ให้จมน้ำ แบล็กกราวด์เป็นโขดหินขนาดใหญ่ พร้อมสายน้ำใสสะอาด ถ้ามองดี ๆ จะเห็นว่ามีปลาตัวเล็ก ๆ แหวกว่ายวิ่งวนอยู่รอบ ๆ มีสีเขียวของใบไม้ และแสงเงาที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบนราวกับสปอตไลท์ สวยจนสะกดทุกสายตาให้หยุดนิ่ง
 
แต่ว่า…
 
มันจะไม่ติดเรทไปหน่อยเหรอ!

แถมในภาพ มันก็เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่อีกต่างหาก ถึงจะสวยขนาดไหน มันก็ดูน่าอายอยู่ดี
 
ชื่อภาพคือ ‘ฉากรักในไพรกว้าง’
 
กูอยากตาย
 
ผมรีบก้มหน้า จับแขนพี่เอกดึงให้ออกไปจากจุดนั้น แต่พี่แกไม่ยอมขยับเขยื้อน ยืนยิ้มเป็นอาแป๊ะขายน้ำเต้าหู้อยู่นั่นแหละ(พระเอกกูเสียหมด - -)
 
“พี่เอก ไปกันเถอะ” ผมรีบชวน
 
“สวยใช่ไหมคุณเอก” พี่เชนเดินเข้ามาใกล้
 
“อืม ผมเหมาหมดเลยได้ไหม”
 
พี่เชนหัวเราะหึ ๆ
 
“ผมไม่คิดจะให้ลูกค้ารายอื่นอยู่แล้ว”
 
“เซ็กซี่ดีแฮะ”
 
“นั่นน่ะสิ”
 
ผมหันไปมองคนพูด เป็นพี่อาร์ตกับพี่อิฐฮะ มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดูไม่ออกว่าใครใครเป็นใครด้วย เพราะดันใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกันมาอีก
 
“แต่จะดีกว่านี้ ถ้าคนในภาพไม่ใช่พี่เอก”
 
“นั่นน่ะสิ” อีกคนเห็นด้วย
 
พี่เชนปรายตามอง ก่อนล้วงหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อโค้ทด้านในมายื่นให้หนึ่งในนั้น
 
“ตอบแทนที่เคยช่วยผมไว้”
 
คนที่ถูกยื่นของให้ขมวดคิ้วมุ่น
 
“คุณคิดว่าผมเป็นใคร”
พี่มันถาม ผมเองก็งงเหมือนกัน
 
พี่เชนมองหน้าคนถาม
 
“แฝดจิตคนที่สอง คุณอาร์ต”
 
คนถูกเรียกกระตุกหัวคิ้วนิดหนึ่ง ส่วนผมยืนมองอึ้ง ๆ
 
พี่เชนรู้ได้ยังไงวะ
 
“รู้ได้ยังไง”
พี่มันถาม
 
พี่เชนยกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง
 
“ในบรรดาสามคนพี่น้อง คุณนี่แหละ ที่มีแววตาร้ายที่สุด รับไป ผมไม่ชอบติดค้างใคร”
พี่แกดันซองกระดาษสีน้ำตาลอ่อนกับอกพี่อาร์ตมากขึ้น จนพี่แกต้องรับไปถือไว้
 
“แยกออกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
พี่อาร์ตถามอีกที พี่เชนยิ้ม
 
“ก็ตั้งแต่ที่กายบอกว่าคุณคือพระอาทิตย์ตอนกลางคืนแล้วล่ะ”
 
พี่อาร์ตดูอึ้งไป มองตาพี่เชนเขม็ง
 
ผมยังทึ่งเลยที่พี่แกสามารถแยกออกได้เร็วขนาดนั้น
 
“ทำยังไงถึงแยกได้ล่ะฮะ”
ผมถามพี่เชนด้วยความอยากรู้ พี่เชนละสายตาจากพี่อาร์ตหันมามอง
 
“ไม่รู้สิ สัญชาตญาณล่ะมั้ง”
 
ทำผมหน้างง ๆ
 
“แล้วอย่างอื่นล่ะ ให้ผมจับสัญชาตญาณคงไม่ไหว”
 
พี่เชนหัวเราะ กวาดมองสามหนุ่ม ก่อนดึงตัวผมไปยืนอยู่ตรงหน้าพี่แก สองมือใหญ่จับหัวไหล่ผมไว้ แล้วก้มลงมากระซิบข้างหูเบา ๆ
 
อึ๋ย สยิวครับ
 
พี่เอกเปลี่ยนสีหน้านิด ๆ พอ ๆ กับพี่อาร์ตและพี่อิฐ
 
“ดวงตาไง ถ้ามองให้ดี ๆ จะรู้ว่าแววตาของแต่ละคน ไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
 
แววตางั้นเหรอ…
 
ผมมองตาพี่เอก พี่แกทำตานิ่ง ๆ ติดจะแพรวพราว หันไปมองพี่อาร์ต รายนั้นก็ไม่ต่าง หันไปมองพี่อิฐอีกที ก็ไม่เห็นจะแตกต่างกัน
 
“ต่างกันตรงไหน”
ผมหันไปหาพี่เชนอีกที แต่พี่มันยังไม่ได้เคลื่อนหน้าไปไหน ปากผมเลยจิ้มแก้มพี่แกไปที ผมอ้าปากค้าง พี่เชนหัวเราะหึ ๆ ก่อนใครบางคนจะกระชากแขนผมออกแรงจนตัวผมถอยหลังไปชิดหน้าอกคนทำ
 
“พี่เอ…”
อ้าว…ไม่ใช่ครับ

ตอนแรกคิดว่าเป็นพี่เอกซะอีก
 
“พี่อาร์ต”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น เอวผมก็ถูกรั้งไปชิดอกกว้างของใครอีกคน ผมเงยหน้ามอง
 
คราวนี้เป็นพี่เอกตัวจริงเสียงจริงแน่นอน ผมขนลุกซู่ ตอนเห็นดวงตาพี่แก
 
กูจะโดนฆ่าไหมเนี่ย
 


 To be con...

โดนฆ่าหมกเตียงแน่ ๆ กายเอ้ยยยยย >////<

มีใครไปงานสัปดาหนังสือวันที่ 18-29 ตุลาคม 60 กันบ้างง คนเขียนไป (จะไปสอยหนังสือมาอ่าน >////<) และก็ได้เอาหนังสือไปแปะไว้ที่บูธ B2S , บูธ Hermit (P29), บูธ Nananaris (Q53) , ใครสนใจงานเขียนของ Memew ก็ไปสอยกันได้นะคะ มีหลายเรื่องเลย (เรื่องคิสเลิฟก็มี ^^)

แล้วเจอกันนนน  :mew1:


           
 
 



                 








Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รูปถ่ายเล่าเรื่องราวได้ดี  o13 o13

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โอ๊ยๆ...............ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

อยากไปงานแสดงภาพถ่ายของพี่เชน  :ling1: :ling1: :ling1:
จะได้เอากล้องไถ่ายภาพสวยๆมาไว้ดูเอง
 :ling1:   โดยเฉพาะภาพอีโรติก สะพานโค้ง   :o8: :-[ :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
80
ฉลอง...ป๊อบปูล่าโหวต
[เอก...☼]








ผมนั่งขำมองไอ้มอที่กำลังถือไมค์ร้องเพลงเย้ว ๆ อยู่ตรงหน้า โดยมีคู่ขวัญเป็นไอ้โอม ที่ร้องเล่นเต้นแด่ว ๆ มึน ๆ เมา ๆ กันไปไม่ต่าง
 
พวกเราอยู่ในร้านกาแฟ แต่เครื่องดื่มเป็นของมึนเมาทั้งหมด วันนี้พวกเรามาฉลองรับเจ้าของร้านคนใหม่กัน มารวมกันหมดเลย ทั้งเพื่อน ๆ ของผม และพนักงานในร้านทุกคน รวมถึงพ่อแม่ไอ้ตัวเล็กมันด้วย
 
ผู้จัดการร้านนั่งหน้าแดงก่ำอยู่กับพนักงาน ร่ำไห้ล่ำลากันทั้งที่ยังไม่ถึงวันเดินทาง โต๊ะสำหรับรับแขกถูกลากมาชนกันหลายตัวกลายเป็นโต๊ะเหล้าเคล้าเสียงเพลงจากไอ้สองมึนหน้าห้อง ดีว่ากระจกมันกันเสียงเอาไว้บ้าง ไม่งั้นเสียงควายออกลูกของพวกมันคงดังไปรบกวนร้านรวงข้าง ๆ แน่ ๆ
 
“เอ้า! ฉลองวันแต่งงานให้เพื่อนเราหน่อยเร็ว!”
มันพูดหลังจากร้องจบเพลง แล้วทุกคนก็รับมุกโดยการชูแก้วขึ้นเหนือหัวมาทางผม จนผมต้องหน้าด้านชูแก้วตอบรับเช่นกัน ส่วนเจ้าสาวผมนั่งก้มหน้างุดอยู่กับพ่อแม่นู่น
 
คงอายน่าดู
 
ผมยอมรับว่าไม่เคยทุ่มให้ใครแบบนี้มาก่อน และไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ด้วย ดูเหมือนพวกอาเสี่ยหลงสาวยังไงพิกล 

ผมไม่ได้ซื้อกาย แต่แค่ต้องการตอบแทนด้วยบางอย่างที่ผมพอจะให้ได้บ้าง ตอบแทนความรักและอะไรหลาย ๆ อย่างที่เขาเคยให้ผม
 
“เป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่เขานะลูก”
พ่อเล่นมุกบอกลูกตัวเอง ผมนั่งขำในขณะที่ไอ้ตัวเล็กนั่งหน้าแดง
 
“กูไม่เคยเห็นมึงทุ่มเทให้ใครขนาดนี้มาก่อนเลยนะ” ไอ้อ้อยมันว่า “ขนาดกับนกที่กูคิดว่ามึงจริงจังด้วยยังแค่สร้อยเส้นเดียวเอง”
 
ไอ้ตัวเล็กหันมาสนใจ
 
ผมยิ้ม ไม่ได้สนใจต่อความ นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งถือแก้วเหล้า อีกมือวางไว้บนโต๊ะ ก่อนชูสองนิ้วให้มันที
 
เพื่อน ๆ คงคิดว่าผมกำลังทำเครื่องหมายพีชอยู่ แต่ความหมายที่แท้จริงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ และตอนนี้มันก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่น เห็นเพียงเสี้ยวแก้มและหูแดง ๆ เท่านั้น
 
เจ้าสาวผมขี้อายจริงวุ้ย
 
ขอเพิ่มเป็นสามรอบจะได้ไหมเนี่ย
 
“มึง อาทิตย์นี้กูเก็บสถิติได้ 4”
ไอ้โอมมันพูดกับคู่หูมัน ไอ้มอยักคิ้ว ตอนนี้มันเปลี่ยนไมค์ไปให้สาว ๆ พนักงานในร้านร้องกันแล้ว
 
“แต่กูได้ 8”


ไอ้โอมทำหน้าฮึดฮัด
 
“งั้นอาทิตย์หน้าเอาใหม่”
 
“พวกมึงดวลไรกันอยู่”
ไอ้อิงถามด้วยความสงสัย ไอ้โอมหันมายิ้มรื่น
 
“ก็… กูกับไอ้มอแข่งกันทำสถิติเรื่องสาว ๆ น่ะ แล้วแต่ว่าจะแข่งกันเรื่องอะไร อย่างงวดที่แล้ว แข่งกันเก็บกิ๊กเป็นเด็กคอนแวนต์ ก่อนหน้านั้นเป็นเด็กศรี ก่อนหน้าไปอีกก็เด็กมศว
 
“เสื่อมว่ะ แข่งกันด้วยเรื่องไร้สาระ”
 
“ไร้สาระสำหรับมึง แต่มันคือศักดิ์ศรีสำหรับพวกกู”
ไอ้มอมันบอก
 
“แล้วงวดนี้ พวกมึงจะแข่งอะไรกัน”
มันถามต่อ ไอ้มอทำท่าคิด
 
“จริง ๆ พวกเราก็แข่งกันมาเยอะแล้วนะ แทบจะไม่เหลืออะไรไว้ให้แข่งแล้ว”
 
ไอ้กิ๊ฟยกยิ้มราวกับเจอเรื่องสนุก
 
“งั้นพวกมึงก็น่าจะแข่ง…”
 
ทุกคนหันไปมองมันกันหมด
 
“จีบกูเป็นไง”
 
“โหยยย ให้จีบมึงนะ จีบไอ้กายยังสนุกกว่าอีก” ไอ้มอมันลากเสียงยาว
 
ไอ้กิ๊ฟฉุนทันที
 
“กูไม่ได้ให้จีบจริง ๆ กูแค่ต้องการให้พวกมึงท้าทายความสามารถ”
 
ไอ้มอทำหน้าเบื่อหน่าย
 
“กูบอกตามตรงนะกิ๊ฟ มึงอะ สวย เซ็กซี่ หุ่นดี เป็นที่ปรารถนาของหนุ่ม ๆ”
 
อืม ผมเห็นด้วย
 
“แต่แย่หน่อย ตรงที่มึงดันเป็นคนคนเดียวกับคนที่ทำให้กูหมดอารมณ์ทันทีที่เห็นนี่สิ”
 
ทุกคนพากันหัวเราะร่วน
 
“เวลากูอยากให้อารมณ์กูสงบนะ แค่กูนึกถึงมึง น้องกูก็แฟบแล้วว่ะ ผู้หญิงอะไรวะ ห่ามฉิบ กูสงวนไว้ให้ไอ้เดวิดมันคนเดียวก็พอ”
 
ผมนั่งขำ จริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก
 
ไอ้กิ๊ฟคิ้วกระตุก
 
“สรุป ถ้าให้กูเลือกจีบใครสักคน ระหว่างมึงกับกาย กูขอเลือกกายดีกว่าว่ะ”
 
ไอ้กิ๊ฟคิ้วกระตุกอีกที
 
“งั้นอาทิตย์นี้ ลองแข่งกันจีบกายดูไหม”
 
ทุกคนหันไปมองหน้ามัน
 
“มึง อย่าเอาคนของกูไปเล่น”
ผมรีบปราม

มันส่งสายตาเย็นเยือกมาให้
 
แม่ง ไอ้มอ ไอ้โอม พวกมึงเล่นของสูงกันซะแล้ว
 
“กูไม่ได้ให้จีบจริง ๆ แค่ให้พวกนี้ตามจีบเป็นเกม แค่อาทิตย์เดียว แล้วให้กายเลือกว่าชอบใครที่สุด”
 
ผมหันไปมองไอ้ตัวเล็กที่นั่งอึ้งไม่แพ้กัน
 
“ผมว่าอย่าดีกว่า เลือกเกมอื่นเล่นเถอะ”
มันพูดเกรง ๆ
 
“กูขอยืมเมียมึงอาทิตย์เดียว ถ้าปฏิเสธ กูจะทำให้พวกมึงเลิกกันถาวร”
มันไม่สนใจคำร้องขอของไอ้ตัวเล็ก หันมาพูดกับผมแทน
 
“ตกลง”
ผมรีบตอบตกลงทันที ไอ้กิ๊ฟยกยิ้ม ไอ้ตัวเล็กมองหน้าผมงง ๆ
 
คือผมรู้อารมณ์ไอ้กิ๊ฟมันดีครับ สายตาแบบนี้มันเอาจริงแน่ ๆ
 
“พี่เอก” ไอ้ตัวเล็กครางเรียก
 
“ไม่ต้องห่วงหรอกกาย พี่แค่ยืมตัวกายมาให้สองตัวนี้มันเล่นเกมกันแค่นั้นแหละ”
มันหันไปพูดเสียงเย็นกับกาย และไอ้ตัวเล็กมันคงรับรังสีถมึงทึงจากไอ้กิ๊ฟได้ มันถึงได้รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันที
 
“เอ่อ พวกกูว่า พวกกูไม่เล่นแล้วก็ได้”
ไอ้มอกับไอ้โอมค่อย ๆ เขยิบเข้าไปยืนชิดกัน
 
“ไม่ได้!!”
เอาแล้วไงครับ
 
“เฮ้ย พวกกูแค่ล้อเล่นน่า”
 
“แต่กูเอาจริง” ไอ้กิ๊ฟแสยะยิ้ม
 
“พวกมึงต้องจีบกาย คนไหนกายเลือกคนนั้นชนะ ส่วนคนที่ไม่ถูกเลือก…”
มันชกหมัดใส่มือตัวเอง หักคอกรอบแกรบซ้ายขวา สายตาแฝงความสนุกเอาไว้เต็มสตรีม ริมฝีปากคลี่ยิ้มจนดูสยดสยอง
 
“กิ๊ฟอ่า กิ๊ฟสุดสวย กิ๊ฟเพื่อนร้ากกก กูก็แค่ล้อเล่น”
 
“แต่กูเอาจริง”
 
ผมนั่งขำ สมเล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับไอ้กิ๊ฟซ่ามัน
 
“พี่กิ๊ฟ”
ไอ้ตัวเล็กเรียกอีกที ไอ้กิ๊ฟหันไปยิ้มหวานให้
 
“ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกมันมาเห่ามาหอนรอบ ๆ ตัวแค่อาทิตย์เดียว พอจบก็เลือก ๆ เอาละกัน ว่าชอบใคร ส่วนคนที่เหลือพี่จะได้ยำเล่น”
 
ไอ้ตัวเล็กคงลำบากใจน่าดู เพราะยังไงก็เป็นพี่มันทั้งคู่ มันพยักหน้ารับเจื่อน ๆ
 
“มึง… ถ้ากูตาย มึงทำศพให้กูด้วยนะ”
ไอ้มอหันไปทำหน้าเศร้าใส่ไอ้โอม
 
“เหมือนกันว่ะ ถ้าไง ฝากให้ข้าวให้น้ำไจ้ไจ้มันด้วยนะ”
พวกมันทำท่าล่ำลาอาลัยอาวรณ์กัน พวกคนที่เหลือพากันนั่งขำก๊าก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“เป็นไร”
ผมถามคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างผม สายตามันมองไปยังไอ้เต้ยที่นั่งอยู่กับพ่อแม่ไอ้ตัวเล็ก
 
“กูดีใจด้วยนะ ที่มึงตัดสินใจเรื่องกายได้”
มันยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ผมมองหน้ามัน
 
“มึงคิดจะทำอะไร”
 
มันหันมายิ้มให้
 
“กูแค่ตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างให้มันจบ ๆ ไปก่อนจะถลำลึกจนถอยกลับไม่ได้มากไปกว่านี้”
ผมหันไปมองหน้ามันตรง ๆ

ตอนนี้เราคุยกันอยู่สองคนเงียบ ๆ เพราะคนอื่น ๆ ลุกขึ้นไปดิ้นกันหมดแล้ว ส่วนไอ้ตัวเล็กกับไอ้เต้ย ซุกหัวดูรูปที่พ่อมันเอามาฝากจากต่างประเทศอยู่
 
“กูจะไปเรียนต่ออังกฤษ”
 
ผมมองมันอึ้ง ๆ มันกระดกเหล้าเข้าปาก แล้ววางแก้วลง ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาแฝงแววเจ็บปวดของมัน ก่อนหันไปมองไอ้เต้ยอีกที
 
ผมรู้ว่ามันไม่มีทางเลือก ถ้ายังอยู่เมืองไทย ไม่แคล้วไอ้เต้ยก็ต้องตามตัวมันอยู่ร่ำไป แต่ไปให้ไกลขึ้น เพื่อให้คนทั้งคู่ได้ตัดใจจากกัน
 
“ขอให้มึงทำสำเร็จ”
 
มันพยักหน้า แล้วเราสองคนก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
 
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว สนุกให้เต็มที่ดีกว่า”
มันเลื่อนเก้าอี้ออก เดินไปลากไอ้เต้ยไปกลางฟลอร์
 
“ทำอะไรพี่เป้!!”
ไอ้เต้ยมันโวยวาย ยื้อตัวไว้หน่อย ๆ
 
“กูจะเต้น มาเต้นด้วยกันหน่อย”
 
“จะเต้นก็เต้นไปสิ กูไม่ชอบเต้น”
ไอ้เต้ยมันเถียงกลับ สรรพนามกลับมาห่ามเหมือนเดิมแล้ว
 
“ไม่เอา ไม่อยากเต้นคนเดียว”
แล้วมันก็ลากน้องมันไปยืนดิ้นแด่ว ๆ กลางฟลอร์ได้สำเร็จ สลัดคราบคนเศร้าเมื่อกี้ให้หายไปเลย
 
ผมลุกตามบ้าง เดินไปลากไอ้ตัวเล็กออกมาจากสองสามีภรรยาสูงวัย
 
“ไม่เอาพี่เอก ผมไม่ชอบเต้น”
 
“แล้วใครจะให้กายเต้น”
 
มันทำหน้าสงสัย ผมลากมันไปกลางฟลอร์แล้วจับตัวมันโยกซ้ายโยกขวาตามจังหวะของตัวเอง
 
“ไม่เอา พี่เอก”
 
“ก็ไม่ได้เอาอยู่นี่”
 
มันอ้าปากค้าง ผมเลยจับสองแขนมันเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาเต้นไปตามจังหวะของตัวเองต่อ
 
“ไม่เต้น พี่ปล้ำตรงนี้นะเออ”
 
มันทำหน้าตื่น พยักหน้าเร็ว ๆ ก่อนกวาดมองไปรอบ ๆ คงกำลังคิดอยู่ว่าจะเต้นท่าไหนดี
 
“โยก ๆ ไปเถอะ อย่าคิดมาก”
ผมบอก มันเริ่มโยกตัวตาม เรื่องแบบนี้ มันเป็นธรรมชาติครับ แป๊บ ๆ มันก็พลิ้ว รอยยิ้มเคลือบจนเต็มใบหน้าขาว ๆ นั้น
 
ผมยังยืนยันว่าผมโชคดีที่ได้มารักกับมัน
 
ยังดีกว่าอีกหลาย ๆ คู่ หลาย ๆ คนที่ไม่อาจรักกันได้ ผมยังโชคดีกว่าเยอะ และผมก็ไม่อยากจะทิ้งโชคดี ๆ นี้ของตัวเองไปด้วย
 
วันนี้ผมจะขอรักมันต่อไป












วันนี้วันเสาร์ ผมต้องมารับพวกทโมนที่สยาม มีเรียนกันช่วงเช้าจนถึงเที่ยง ให้นั่งรอคนเดียวก็กระไรอยู่ ผมเลยหนีบไอ้ตัวเล็กมาด้วย ซึ่งตอนนี้มันก็นั่งดูหนังสือภาพอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
 
“พี่เอกกกกกก”
แล้วเสียงใส ๆ ทะลุทะลวงแก้วหูก็ดังเข้ามาตามด้วยสาวน้อยวัยใสในชุดกระโปรงสั้นน่ารักบวกเสื้อยืดตัวเก๋
 
“คิดถึงพี่กายจัง”
มันเรียกผม แต่วิ่งเข้าไปสวมกอดกายกันทั้งสามคน กายหัวเราะลูบหัวลูบหางคนละทีสองที
 
“เรียนเหนื่อยไหม”
มันถาม
 
“ไม่เลยค่ะ”
 
“สนุกดี”
 
“มีขนมกิน”
ผมสะดุดนิดหน่อย
 
“มีขนมกิน?” ไอ้ตัวเล็กเลิกคิ้วสงสัย
 
“ก็ไปเรียนพิเศษทีไร”
 
“ก็จะมีเพื่อน ๆ”
 
“ทั้งผู้หญิงผู้ชาย”
 
“หอบขนมมาให้เยอะแยะเต็มไปหมด”
ผมกับกายถึงบางอ้อ เสน่ห์แรงจริงวุ้ยน้องกู
 
“ที่โรงเรียน” 
 
“พวกเราถูกโหวต” 
 
“ให้เป็นสาวน้อยวัยใส ขวัญใจโรงเรียนกันด้วย”
พวกน้อง ๆ สลับกันพูดพลางซุกหาที่นั่ง ตอนแรกก็นั่งประกบกายสองผมหนึ่ง ไป ๆ มา ๆ พวกมันก็ไล่ให้กายมานั่งข้าง ๆ ผมแทน แล้วพวกมันก็นั่งเรียงกันฝั่งตรงข้ามทั้งสามคน หยิบเมนูมานั่งวี้ดว้ายจิ้ม ๆ เลือกของที่จะสั่ง
 
เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่กินจุใช่ย่อยครับ ครอบครัวเรากินจุกันทุกคน เพียงแต่น้อง ๆ ตัวไม่ใหญ่เท่าผู้ชายบ้านเราเท่านั้นเอง
 
ผมนั่งไขว่ห้าง ฟังเสียงหนูแฮมทั้งสามสั่งอาหารกับพนักงาน ผมยิ้ม เบี่ยงสายตามองไปยังมอนิเตอร์ขนาดใหญ่นอกกระจกจากตึกฝั่งตรงข้าม
 
“กรี๊ดดด มาแล้ว ๆ”
พวกน้อง ๆ พากันวี้ดว้ายชี้ชวนให้ดูสิ่งเดียวกับที่ผมดูอยู่
 
“รายการอะไร” ผมถาม
 
“ก็…”
ยังไม่ทันได้ตอบ พิธีกรสาวน้อยวัยใสก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน จนพวกน้อง ๆ พากันหยุดฟังแทนที่จะตอบ
 
“ผลการโหวตจากประชาชนทั่วไป ดาราหญิงผู้มีคะแนนสูงสุดคือคุณ…”
 
อ๋อ พวกป๊อปปูล่าโหวต
ผมยกกาแฟขึ้นจิบ ตาก็มองภาพดาราที่เขาเอามาลง ต่อจากผู้หญิงก็เป็นผู้ชาย ความรู้รอบตัวแบบนี้ รู้ไว้บ้างก็ดี จะได้ไม่ตกเทรนด์เกินไป
 
“ต่อไปเป็นผลโหวตของบุคคลทั่วไปนะคะ คะแนนโหวตทั้งหมด ได้มาจากอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ และอื่น ๆ”
 
ปีที่แล้วดาราที่ผมชอบ ๆ อยู่ได้ ปีนี้ไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษเลยไม่ได้สนใจ ผมยกกาแฟขึ้นจิบ ตาก็จ้องอยู่ที่มอนิเตอร์ ในขณะที่ไอ้ตัวเล็ก กำลังจิ้มหยิบขนมกินสลับกับมองภาพในมอนิเตอร์ไม่ต่าง
 
“ฝ่ายหญิงคือ…น้องโม หรือน้อง……จากโรงเรียน….”
 
ผมมองคนในภาพอีกที

นั่นมัน…
 
“ว้าย คนนี้กิ๊กเก่าพี่เอกนี่”
 
ไอ้ตัวเล็กมันพ่นชาเย็นที่กำลังดูดอยู่จนเปื้อนโต๊ะ มันรีบวางแก้วชา หยิบทิชชู่มาเช็ดใหญ่
 
“ไม่เป็นไรนะ”
ผมหยิบทิชชู่มาช่วยมันเช็ด
 
“มะ ไม่เป็นไร”
มันรีบเช็ดมือเช็ดปาก เงยหน้ามองคนในมอนิเตอร์อีกที
 
ผมจำผู้หญิงที่อยู่บนมอมิเตอร์ได้ชัดเลย เพราะเป็นคนที่ผมเคยคบมาก่อน นานพอควร ถึงจะไม่ได้นานเท่ากับแฟนคนแรกก็เถอะ โมเป็นคนน่ารัก สดใสร่าเริง ยิ้มเก่ง แต่ที่เลิกกันไป เพราะตัวผมไม่มีเวลา ตอนนั้นรับตำแหน่งประธานนักศึกษาใหม่ ๆ ด้วย
 
“ตอนแรกก็คิดว่าพี่จะเลือกคนนี้ซะอีก จริง ๆ คนนี้ก็ผ่านนะ นิสัยน่ารักดี เสียแต่ความอดทนน้อยไปหน่อยเนอะ”
 
“ใช่ ๆ”
พวกมันพูดคุยปรึกษากันเอง
 
ผมเหลือบมองไอ้ตัวเล็ก มันนิ่งไป ผมโอบเอวมันนิดหน่อย บอกทางสายตาว่าโมเป็นเพียงอดีตของผมเท่านั้น
 
“แต่ฝ่ายชายนี่สิ ได้รับคะแนนท่วมท้น พอกับ ๆ กับคุณ…ที่เป็นดาราเลยล่ะค่ะ แหม หล่อ ๆ แบบนี้ น่าจะมาเป็นดาราซะเลยนะคะ”
พิธีกรหญิงออกแนวตบะแตก
 
ผมยิ้ม ไม่ได้สนใจอะไร ยกกาแฟขึ้นจิบอีกที แต่ไอ้คนข้าง ๆ ผมตัวแข็งทื่อไปแล้ว ผมเลิกคิ้วสูงมองตามสายตาวิ่งตรงไปที่มอนิเตอร์อีกที
 
แก้วกาแฟผมยังค้างอยู่ตรงริมฝีปาก มองคนที่อยู่ในมอนิเตอร์ให้ชัด ๆ อีกที เพราะคนคนนั้นดันมีรูปร่างและหน้าตาเหมือนผมเด๊ะ ๆ
 
ในภาพนั้นเป็นชายหนุ่ม ใส่เพียงกางเกงสแลคสีดำเอวต่ำมาก มีเข็มขัด แต่ถูกปลดหัวและกระดุมออก ซิปถูกแหวก และเลื่อนลงต่ำ จนเห็นขอบสีน้ำเงินของกางเกงชั้นใน ท่อนบนเปลือยเปล่า ใส่เพียงสร้อยรูปพระอาทิตย์ โชว์ซิกแพคหกห่อพร้อมกล้ามอกเน้น ๆ สองมือค้ำขอบประตู ทำหน้าโมโหสุดฤทธิ์สุดเดช
 
นี่กูไปถ่ายภาพพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แล้วภาพกูไปอยู่บนมอนิเตอร์ได้ยังไง
 
ผมนั่งเงียบ ไอ้ตัวเล็กก็เงียบ พวกทโมนก็พากันนั่งเงียบ
 
“นอกจากภาพนี้แล้ว คุณเอกหรือคุณเอกภพ กิจไพศาล ยังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของสาว ๆ ในเน็ต ในความหล่อเหลาและเซ็กซี่เทียบชั้นดารา”
 
ผมตาค้าง มองภาพตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ ที่กายเคยถ่ายไว้
 
และภาพสุดท้ายที่โชว์หราจนเต็มมอนิเตอร์คือภาพตัวผมเอง ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสำหรับใส่ทำงาน เนกไทหลุดลุ่ยไร้กระดุม เผยกล้ามเนื้อท้องแน่น ๆ นอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงพร้อมใบหน้าเชิญชวนจนสาว ๆ ที่มองมอนิเตอร์อยู่ พากันกรี๊ดแตกไปตาม ๆ กัน
 
“กรี๊ดดดดดดดดด”
ด้านในก็ด้วย แต่มาจากพวกน้อง ๆ ผมเอง
 
“กรี๊ดดด พี่เอกได้จริง ๆ ด้วย”
 
“รีบเปิดทวิตเร็ว”
 
“เฟสด้วย”
 
“บอร์ดด้วย”
แล้วพวกน้อง ๆ ก็พากันวี้ดว้ายดูข้อมูลกันใหญ่
 
ผมวางถ้วยกาแฟลง แล้วใช้มือข้างนั้นเลื่อนไปปิดหน้าจอมือถือไว้ ใช้สายตาเย็น ๆ จ้องหน้าพวกมัน พวกน้อง ๆ ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเก็บมือถือลงกระเป๋า
 
“หมายความว่ายังไง”
ผมคงคิดไปเอง ที่เห็นหูของพวกน้อง ๆ กำลังลู่ลง หางก็ตกลงเรื่อย ๆ จนแทบจะอุดตูดอยู่แล้ว
 
“กะ ก็”
 
“เมื่อเดือนที่แล้ว”
 
“มีการประกวดป๊อบปูล่าโหวตกัน”
 
“แล้วมีอันหนึ่ง”
 
“เป็นแบบบุคคลทั่วไป”
 
“พวกเราเลย”
 
“ถ่ายภาพพี่”
 
“ตอนเพิ่งตื่นนอน”
 
“จริง ๆ อยากถ่ายภาพอื่น”
 
“แต่พี่ไม่ชอบถ่ายรูป”
 
“ถ้าขอตรง ๆ”
 
“พี่คงปฏิเสธ”
 
“พวกเราเลย”
 
“ไปปลุกพี่”
 
“ตอนหลับลึกสุด ๆ”
 
“เพื่อขอถ่ายรูป”
 
“พี่ก็อนุญาต”
 
“พวกเราเลยรีบถ่าย”
 
“แล้วรีบหนี”
 
“ก่อนพี่จะรู้สึกตัว”
 
“แล้วหลังจากนั้น”
 
“พวกเราก็ถามพี่ว่า”
 
“จะเอาภาพนี้ไปใช้นะ”
 
“พี่ก็ไม่ว่าอะไร”
 
“พวกเราเลยส่งเข้าประกวด”
 
“จริง ๆ ก็ไม่อยากทำ”
 
“เพราะถ้าพี่มารู้ทีหลัง”
 
“พวกเราคงสยอง”
 
“แต่พวกเราโดนพวกเพื่อน ๆ”
 
“บังคับมาอีกที”
 
“ก็แฟน ๆ พี่นั่นแหละ”
 
“เพราะกลัว”
 
“บวกรีบ”
 
“เลยได้มาแค่ภาพเดียวเท่านั้น”
 
“ตอนแรกว่าจะไม่ส่ง”
 
“เพราะพี่ทำหน้าโหดเป็นยักษ์วัดแจ้งขนาดนั้น”
 
“ถึงส่งไป”
 
“คงถูกตัดทิ้งตั้งแต่รอบแรกแหงม ๆ”
 
“แต่ไหง”
 
“กลายเป็นได้รางวัลก็ไม่รู้”
มันประสานกันพูดเป็นเชต ๆ ทำเอาผมกับกายมองตามแทบไม่ทัน
 
มีเสียงเรียกเข้าดังขัดขึ้นมาก่อน ผมชี้นิ้วคาดโทษ ด่าพวกมันทางสายตา ล้วงหยิบมือถือมากดรับ
 
“เฮ้ยมึง ไอ้เอก ไหงมึงกลายเป็นป๊อบปูล่าโหวตไปได้วะ”
ไอ้มอครับ ผมขี้เกียจอธิบายเลยโยนมือถือให้พวกทโมนมันจัดการ แล้วพวกน้อง ๆ ก็พากันพล่าม เล่าให้เพื่อนผมฟังแบบละเอียดยิบ ไม่ได้มีแค่สายเดียวด้วยนะ มากันให้เพียบ
 
ไอ้ตัวเล็กหันมามองหน้า ผมถอนหายใจเบา ๆ
 
“เดี๋ยวมันก็ซา”
จริง ๆ ไอ้ตัวเล็กมันเอาภาพผมออกไปหมดแล้ว แต่ก็มีแฟนคลับบางกลุ่มแอบเซฟภาพเก็บไว้ แล้วเอาไปบอกต่อ ๆ กันอีกที จนตอนนี้ ถ้าเสิร์ซชื่อผมก็คงเจอได้ง่าย ๆ ผมเคยบอกมันให้ทิ้งไปสักพัก ถ้าเราไม่อัพเดทอะไร มันก็จะซาไปเอง
 
แต่ถ้าผมถูกเลือกให้เป็นป๊อบปูล่าโหวตขนาดนี้ รับรองได้ว่าต้องมีคนโทรเข้ามาไม่ขาดสายแน่ ๆ ช่วงนี้เวลาไปไหนมาไหนก็ถูกมองเยอะด้วย แต่ที่มหา’ลัยไม่มีใครกล้ามายุ่งมาก เพราะผมวางตัวดี และอีกอย่าง ผมเองก็งานยุ่งมาก จนไม่มีเวลามาเดินดินให้ใครเห็นเท่าไหร่ หลังจากหมดคลาส ก็เข้าห้องสภาไปทำงาน หลังจากทำงานก็ไปที่บริษัทต่อ ไม่ก็ไปรับไอ้ตัวเล็กไปนอนกกที่คอนโด (ช่วงข้าวใหม่ปลามันครับ)
 
“ผมขอโทษ” ไอ้ตัวเล็กมันบอก
 
“ไม่เป็นไร” ผมลูบหัวมันเบา ๆ
 
“โอ๊ยเหนื่อย กว่าจะตอบหมด” พวกน้อง ๆ บ่น
 
“ทำเรื่องเองก็ต้องจัดการเอง” ผมบอกเสียงเย็น
 
“พี่อ่า อย่าโกรธพวกเราน้า ก็พวกเราถูกบังคับนี่ พวกเพื่อน ๆ พากันปลื้มพี่กันทั้งนั้น เพื่อนหนูนี่ปลื้มพี่กันยกห้องเลย”
 
“พี่ไม่อยากมีชื่อเสียง มันวุ่นวาย”
ผมบอกตรง ๆ พวกน้อง ๆ ก้มหน้าสำนึกผิด
 
“แล้วพวกหนูจะรีบหาทางลบทุกภาพให้ค่ะ”
แล้วพวกมันก็พากันหงอแดก
 
ผมเห็นไอ้ตัวเล็กนั่งจิ้มหลอดกับแก้วชาเย็นจึก ๆ
 
“เป็นอะไร”
 
“ผมไม่อยากให้พี่เป็นคนดัง”
มันพูดเสียงเบา

พวกน้อง ๆ กำลังจิ้มมือถือ สงสัยส่งทวิตหรือเฟสบุ๊คเพื่ออัพเดทข่าวสาร
 
มันตวัดสายตาเหมือนคนตัดพ้อ ผมเลิกคิ้วนิด ๆ แปลกใจ
 
“ขนาดพี่ไม่มีชื่อเสียง พี่ยังเสน่ห์แรง มีสาว ๆ เข้ามาไม่เว้นวัน นี่ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมา สาว ๆ คงเข้ามาเยอะกว่านี้ แล้วผม…”
มันหยุดคำพูดไว้ เม้มปากแน่น
 
ผมดึงมันมานั่งจนชิด
 
“พี่เอก!!”
มันเรียกเสียงตื่น พยายามดันตัวออก
 
“งั้นกายก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาพี่ไว้สิ”
ผมพูดยิ้ม ๆ
 
“พี่ก็รู้ ผมไม่ใช่คนที่จะไปทำเรื่องอะไรพรรค์นั้น แล้วอีกอย่างผมก็เป็นผู้ชาย จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับผู้หญิงจริง ๆ ได้”
ผมยิ้มกับความคิดมัน
 
ก็เพราะมันเป็นแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักมัน
 
“งั้นก็เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก นายที่เป็นนายแบบนี้แหละที่พี่ชอบ”
ผมบอกมันยิ้ม ๆ มันทำหน้าไม่ไว้วางใจ ผมก้มกระซิบข้างหูมันเบา ๆ
 
“ถ้าอยากให้พี่หลงมาก ๆ ก็ออนท็อปพี่สักวันละสองสามรอบก็พอ”
มันรีบผลักอกผมออกไปนั่งเงียบ ๆ ทันที ผมหัวเราะหึ ๆ กลับมานั่งเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจอะไรอีก
 
ชื่อเสียง มีได้ มันก็หมดได้ ถ้ามันไม่นำมาซึ่งปัญหามากมายน่ะนะ
 



To be C


จิบกาแฟ เคาะแป้นพิมพ์ต๊อกแต๊ก
ขอบคุณเข้ามาอ่านนะคะ : )










Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2017 19:33:53 โดย memew »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คู่หนึ่งสมหวัง  :กอด1: อีคู่ซดน้ำใบบัวบก  :เฮ้อ:
ส่วนคนแก่กลิ้งมาอ่าน  :katai5:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
81
แฟนเก่า
[กาย...♥]







ผมหวั่นไหวมาก ๆ กับสิ่งที่รู้ ผมไม่อยากให้พี่เอกเป็นที่สนใจ แค่นี้พี่มันก็มีชื่อเสียงมากพออยู่แล้ว เดินไปไหนมาไหนด้วยกันก็เด่น ดีหน่อยตรงที่ว่าไม่มีใครสงสัยหรือรู้เรื่องอะไร แต่ถ้าวันหนึ่ง สังคมภายนอกเกิดรู้เรื่องขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดี
 
โดยเฉพาะกับพี่เอก ที่ต้องสืบทอดธุรกิจต่อจากคุณพ่อ
 
ช่วงนี้ดูผมจะยุ่งวุ่นวายนิดหน่อย เพราะต้องไปเรียนรู้งานจากผู้จัดการร้าน ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าการดูแลร้านไม่ได้หนักอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะผู้จัดการร้านวางระบบผังงานเอาไว้อย่างดีแล้ว 
 
ช่วงอาทิตย์นี้ ผมโดนพี่มอกับพี่โอมเร่งทำคะแนนค่อนข้างเยอะ นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว
 
แต่เป็นสามวันที่ผมคิดว่า…
 
ตัวผมคงเน่าน่าดู = =
 
“น้องกายยย…”
มาแล้วครับ เสียงหวาน ๆ ของไอ้พี่มอมัน นี่ถ้าผมไม่มีแฟน ผมคงจะยอมใจอ่อนกับพวกพี่มันอยู่หรอก แต่นี่ผมมีหวานใจอยู่แล้ว เลยไม่คิดอะไรมาก
 
“กาย ได้ยินเสียงนกเสียงกาแถวนี้ไหม เอ๋.. หรือว่าเสียงควายหว่า เพราะได้ยินมันร้องมอ ๆ ด้วย”
 
ส่วนนี่ก็อีกคน
พี่โอมฮะ เดินถือถาดมาช่วยผมเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าอยู่
 
ไม่ต้องแปลกใจกันครับ พอดีพวกพี่มันมีเดทไลท์แค่อาทิตย์เดียว ที่มหา’ลัย ต้องเรียนและเข้าห้องสภา เลยหาเวลามาจีบผมกันที่ร้านแทน ผมเลยได้ผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสอง แบบไม่เสียค่าจ้างแม้แต่แดงเดียว ซ้ำยังอาสามาเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำผมอีกต่างหาก
 
“พวกพี่ไม่เหนื่อยกันเหรอฮะ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง พี่มอถอนหายใจแรง
 
“เหนื่อยดิ ตั้งแต่จีบคนมา ยังไม่เคยเหนื่อยเท่าจีบกายเลย จีบคนมีเจ้าของมาก็เยอะ แต่ไม่ใช่ผู้ชายแถมยังเป็นแฟนเพื่อนอีกต่างหาก เล่นยากน่าดู”
พี่มันระบาย
 
ผมหัวเราะ ตบไหล่พี่แกเบา ๆ
 
“สู้ ๆ ครับ” ผมให้กำลังใจ
 
“เพราะมึงคนเดียว ถ้าไม่ไปหาเรื่องไอ้กิ๊ฟมันก่อนนะ กูก็คงไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ อาทิตย์นี้กูเลยอดฟันสาว ๆ เลย”
 
“โทษกูคนเดียวได้ไง คนที่แส่พูดว่าไม่เอาไอ้กิ๊ฟก็มึงเอง”
แล้วพี่มันสองคนก็ยืนเถียงกันไป จนมีสาว ๆ เดินเข้ามานั่นแหละ พวกพี่มันถึงได้รีบวิ่งออกไปรับกันจ้าละหวั่น ลืมเรื่องผมไปเลย ผมยืนขำอยู่คนเดียว
 
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
 
ผมหันไปตามเสียงเรียก เห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ยืนส่งยิ้มหวานมาให้ น่ารักสุดยอดครับ หลุดมือพี่โอมกับพี่มอมาได้ยังไงเนี่ย
 
“คือ พี่รู้จักพี่เอกใช่ไหมคะ”
 
ผมพยายามนึกอยู่ว่าน้องเป็นใคร เพราะน้องหน้าคุ้นเอามาก ๆ
 
“ครับ”
จะบอกว่าไม่รู้จัก มันจะน่าเกลียด อาจเป็นแฟนคลับของพี่เอกมันก็ได้
 
สาวน้อยยิ้มหวาน
 
“งั้นช่วยฝากนี่ให้พี่เอกหน่อยได้ไหมคะ”
เธอยื่นจดหมายสีชมพูหวานจ๋ามาให้ ผมกำลังจะเอื้อมไปรับ
 
“กาย เลิกงานเร็วหน่อยได้ไหม พอดีพี่ต้องรีบเข้าออฟฟิศ”
พี่เอกโผล่หน้าเข้ามาพอดี

สาวน้อยตรงหน้าพอเห็นพี่เอกก็ฉีกยิ้มกว้าง รีบถลาไปหาทันที
 
“พี่เอก”

พี่แกเลิกคิ้วแปลกใจ

“โม”


ผมยืนอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนเดียวกัน ผมจำน้องเขาไม่ได้ เพราะวันนี้น้องมาในชุดนักเรียน มัดผมเป็นหางม้าผูกโบว์สีน้ำเงินไว้ด้านหลัง แต่งหน้านิด ๆ เพื่อไม่ให้ผิดกฎโรงเรียน
 
ผมยืนมองน้องโมที่ยืนอ้อนพี่เอกอยู่ รู้สึกหวั่นไหวในหัวใจยังไงพิกล
 
ถ้าเป็นคนอื่นที่พี่เอกทิ้ง ผมจะไม่คิดมาก แต่คนนี้ พี่เอกไม่ได้ทิ้ง แถมตอนนี้พี่เอกก็เปลี่ยนไปเยอะ เป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น แบ่งแยกเวลางานและความรักได้มากขึ้น มาถึงตอนนี้ น้องเขาคงไม่คิดจะทิ้งพี่เอกไปอีกแน่ ๆ
 
“มีอะไร”
พี่มันถามน้องเสียงเรียบ
 
“คือ โมมีเรื่องจะคุยกับพี่เอกน่ะค่ะ”
 
“โทษนะ พอดีพี่ต้องรีบเข้าบริษัท”
พี่มันตัดบทน้องโมเรียบ ๆ เงยหน้ามาพูดกับผมต่อ
 
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ พี่จะไปรอที่รถ”
 
ผมพยักหน้ารับ เดินไปบอกผู้จัดการ แล้วเดินเข้าห้องแต่งตัวไป
 
เหมือน ๆ จิตใจผมกำลังถูกคุกคามด้วยความหวาดหวั่นที่เพิ่มอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ
 
ไม่เอาน่ากาย พี่เอกก็บอกอยู่ว่ารักนาย นายต้องเชื่อใจพี่เอกสิ
ผมย้ำกับตัวเองในใจ
 
ผมถอดชุดทำงานทิ้งไว้ในตะกร้า คว้าเสื้อผ้าชุดเดิมมาใส่ เดินดุ่ม ๆ ไปทางหน้าร้าน ยังไม่ทันได้เปิดประตู ขาผมชะงักอยู่กับที่ สองดวงตานิ่งค้างไปกับสิ่งที่เห็น
 
ภาพของน้องโมที่ใช้สองแขนโอบแขนของพี่เอกไว้ ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ออดอ้อนพี่เอกด้วยท่าทีน่ารัก ในขณะที่พี่เอกก็ยิ้มอ่อนโยนส่งกลับไปให้เหมือนกัน รอยยิ้มแบบนั้นคว้านเอาหัวใจผมให้แหว่งหายเกือบครึ่ง
 
ธรรมชาติสร้างชายให้คู่กับหญิง ทั้งสรีระและจิตใจ ผมมองเรือนร่างตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจกร้านกลับมา
 
ตัวเองเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา แล้วจะเอาอะไรไปดึงดูดพี่แกได้
 
อยากจะหันหลังหนี แต่ถ้าทำแบบนั้นพี่มันต้องโกรธแน่ ๆ ผมจำต้องข่มความหวาดหวั่น กลืนก้อนน้ำเหนียวหนืดลงคอ เปิดประตูก้าวออกจากร้านไปหาพี่มัน
 
“เดี๋ยวโมจะขอติดรถไปลงระหว่างทางด้วยนะ”
พี่มันบอก ผมพยักหน้า กำลังจะเดินไปนั่งเบาะหลัง แต่พี่เอกรั้งแขนไว้ เปิดประตูออกให้ผมได้นั่งเบาะหน้าแทน ส่วนด้านหลังก็ให้น้องโมนั่งไป ผมก้มหน้าลงนิดหนึ่ง
 
ดีใจครับ ดีใจที่พี่มันยกตำแหน่งนี้ให้ผม
 
‘ตำแหน่งคนรู้ใจ’
 
ตลอดทั้งเส้นทาง ผมนั่งเงียบ โดยมีน้องโมนั่งจ้อชวนพี่เอกคุย
 
“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าพี่เอกจะได้ตำแหน่งป๊อบปูล่าโหวตเหมือนโม จริง ๆ โมตามข่าวพี่เอกมานานแล้วล่ะค่ะ แต่เพิ่งมีความกล้าเข้ามาทักทายก็ตอนนี้แหละ”
น้องโมชวนคุยไปเรื่อย ๆ
 
“กาย”
 
ผมได้แต่นั่งทอดดวงตาเหม่อมองออกไปนอกตัวรถ
 
“กาย”
 
หวังแค่ให้ช่วงเวลาแบบนี้ จบลงเร็ว ๆ
 
“กาย!!”
 
“คะ ครับ!”
ผมหันไปตอบรับเสียงตื่น
 
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
 
“ปะ เปล่าฮะ คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย”
ผมให้เหตุผล พี่มันพยักหน้า จอดรถให้โมลงระหว่างทาง แล้วพี่มันก็ขับรถพาผมกลับคอนโด
 
 
 
 
 
 
 
 
“เป็นอะไร”
พี่มันถามทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง คงเห็นผมเงียบผิดปกติมานานละมั้ง
 
“เปล่า”
พี่มันเดินเข้ามาใกล้ รวบจับเอวผมพลิกให้หันไปเผชิญหน้ากับพี่แก
 
“คิดเรื่องโมอยู่ใช่ไหม”
ผมสะดุดนิดหนึ่ง พยายามไม่แสดงความหวั่นไหวให้พี่แกเห็น พี่เอกยิ้ม ดึงผมเข้าไปชิด
 
“พี่รักกายนะ”

ผมยืนนิ่ง ฟังสิ่งที่พี่เอกกำลังจะพูดต่อ
 
“ถ้ากลัวว่าพี่จะหวั่นไหว ก็ทำให้พี่รักกายมาก ๆ จนหันไปมองคนอื่นไม่ได้สิ”
 
แล้วผมจะทำได้ยังไง ผมถามพี่มันผ่านดวงตา
 
“ก็แค่รักและเข้าใจพี่ให้มาก ๆ เหมือนที่พี่รักและพยายามเข้าใจกายให้มาก ๆ ยังไงล่ะ”
พี่มันบอก ผมซุกหน้ากับอกกว้าง กระชับอ้อมแขนกอดพี่มันแน่น
 
ถึงไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ไหม แต่ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ละกัน
 
“อืม ตอนแรกก็ว่าจะเข้าบริษัทคนเดียว แต่พี่ว่า กายไปกับพี่ด้วยดีกว่า”
 
“เอ๊ะ?”
ผมดันตัวออกมาเลิกคิ้วมอง พี่มันยิ้มกริ่ม
 
“ไปช่วยพี่ทำงานหน่อย”
แล้วพี่มันก็ลากผมติดมือไปด้วยเลย
 
และตลอดสองชั่วโมงของการทำงาน ผมก็ได้แต่นั่งแหง่วรอพี่มันอยู่บนโซฟา ดีนะ ที่ผมเอาคอมมาด้วย เลยเอามาหาข้อมูลเกี่ยวกับงานที่ร้านกาแฟซะเลย
 
“กาย”
ได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ มาตามทาง
 
“กาย”
ผมพยายามปรือตามอง ก่อนสะดุ้งเฮือกกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
 
ตายห่า!!
นี่กูเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
 
หันไปมองจอคอม หน้าจอขึ้นสถานะเซฟโหมดไปแล้ว ผมเงยหน้ายิ้มเจื่อนมองพี่แก
 
“ขอโทษฮะ สงสัยผมจะเผลอหลับ”
ผมลูบหน้าตัวเองเบา ๆ ไล่ความง่วงทิ้งไป พี่มันพยักหน้าเหนื่อย ๆ ไม่เอาความ ท่าทางแบบนี้ งานท่าจะเครียดน่าดู ผมหันไปดูเวลาข้างฝา ห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว ดึกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
 
“ผมขับรถเองดีกว่า พี่จะได้งีบ”
 
พี่มันมองหน้าผมนิดหนึ่ง ทำท่าคิด ก่อนพยักหน้ารับ
 
สงสัยวันนี้พี่แกจะเหนื่อยจัดจริง ๆ เพราะถ้าเป็นเวลาปกติ เหนื่อยขนาดไหน พี่แกก็จะพยายามขับรถเอง แต่วันนี้ยอมง่าย ๆ เลย
 
พอขึ้นรถปุ๊บ พี่เอกก็หลับปั๊บ ผมขับรถให้ช้าและนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้คนตื่นง่ายอย่างพี่เอกรู้สึกตัวระหว่างทาง
 
พอรถจอดปุ๊บ พี่เอกก็ตื่นปั๊บเหมือนกัน ผมรีบรุนหลังให้พี่มันขึ้นห้องไปอาบน้ำก่อน ช่วงนี้เหมือนตัวเองเป็นแม่บ้านยังไงบอกไม่ถูก ผมเตรียมชุดไว้ให้พี่แก วันนี้เป็นเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนเนื้อผ้าบางเบาบวกกางเกงขายาวเอวยืดเนื้อเดียว กับเสื้อสีน้ำเงินเข้ม
 
ไม่นานพี่เอกก็เดินนำหน้าหล่อ ๆ ออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าเช็ดตัวพันไว้ที่เอวหลวม ๆ หยดน้ำบางส่วนยังเกาะพร่างพราวอยู่ตามผิวเนื้อ ผมยื่นเสื้อผ้าให้พี่แกรับไปสวมเหนื่อย ๆ
 
“พี่นอนไปก่อนละกัน”
 
พี่มันพยักหน้าหงึกเดียว เดินไปทิ้งตัวแผ่หลาเต็มเตียง
 
ผมยิ้ม คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปอาบน้ำบ้าง นึกถึงแววตาอ่อนโยนที่พี่เอกมองน้องโมทีไร หัวใจผมรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทุกที
 
ผมรีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป อาบน้ำ แต่งตัว แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
 
พี่เอกยังนอนอยู่ท่าเดิม ลมหายใจพากันเข้าออกสม่ำเสมอ ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ กวาดมองไปทั่วโครงหน้าหล่อเหลา
 
“เพราะพี่หล่อขนาดนี้ จะไม่ให้ผมหวั่นไหวว่าจะมีใครมาแย่งไปได้ยังไงกัน”
ผมสารภาพกับคนหลับ
 
“พี่ถึงได้บอกไง ว่ากายต้องรักพี่ให้มาก ๆ และกายต้องทำให้พี่รักกายให้มาก ๆ ด้วย”
ปากคนหลับขยับเปล่งเสียงเบา ๆ ก่อนดวงตาข้างหนึ่งจะค่อย ๆ หรี่ขึ้นมอง
 
“คิดว่าหลับไปแล้วซะอีก”
 
พี่มันยิ้ม
 
“ได้งีบสักหน่อย แรงกลับมาแล้วล่ะ”
 
โห เป็นระบบชาร์จแบตก็ไม่บอก ครั้งหน้ากูจะได้จับชาร์จแบบนี้บ่อย ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำ
 
พี่มันจับผมลงไปนอนด้วย
 
“อย่าปล่อยให้ความกลัวมาบดบังความสุขที่ควรจะ มีนะกาย ถ้ากายมัวแต่กลัว กายไม่มีทางจะมีความสุขแน่ ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปกลัว เอาเวลาแบบนั้นมามีความสุขกับพี่ดีกว่า พี่มีเวลาให้กายไม่มากเท่าไหร่นะ พี่ยังต้องทำงานต้องเรียน ต้องใช้เวลาร่วมกับคนในครอบครัว ไหนจะเพื่อน ๆ อีก เวลาที่มีให้กายก็น้อยเต็มทน พี่ถึงอยากให้ช่วงเวลาของเรามีคุณค่าที่สุด แค่วันนี้กายนั่งเหม่อในรถ กายก็โยนเวลาที่เราควรจะมีให้กันทิ้งไปเยอะแล้ว พี่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”
 
ผมก้มหน้าเม้มปากแน่น
 
จริงสินะ…
 
เพราะผมมัวแต่กลัว เลยสูญเสียช่วงเวลาดี ๆ กับพี่มันไปเลย แทนที่จะหวั่นไหว สู้เอาเวลาแบบนั้นมามีความสุขกับพี่มันดีกว่า ผมช้อนตามองพี่มัน
 
“ครับ”
พี่เอกยิ้มหล่อ
 
“แบตพี่เต็มแล้ว แต่น้องพี่ยังไม่ได้ชาร์จเลย”
 
ผมขมวดคิ้วงุนงง
 
“ใคร”
 
พี่มันยิ้มพราว ชี้ไปยังเอกน้อยที่นอนสงบอยู่ด้านล่าง
 
“ชาร์จให้พี่หน่อยสิ”
 
หน้าผมร้อนวูบ ยังไม่อยากตีความอะไรทั้งนั้น
 
“น่านะ ทำให้พี่หน่อยสิ”
พี่มันอ้อน ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ พี่มันลุกขึ้นนั่งทิ้งขาไว้ข้างเตียง ผมเลยจำต้องเคลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
 
ผมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาฉาบรอยยิ้ม เจ้าเล่ห์และดวงตาแพรวพราวเอาไว้ แล้วไอ้คนที่ทำหน้าเมื่อยเหมือนจะตายเมื่อกี้หายไปไหนแล้ววะ
 
“เร็วสิ ดึกแล้วนะ”
พี่มันเร่ง ผมกัดปากตัวเอง จับขอบกางเกงดึงให้บางส่วนที่กำลังหลับใหลหลุดออกมา แล้วหลังจากนั้นผมก็นั่งชาร์จแบตให้พี่มันอยู่อย่างนั้นหลายสิบนาทีเลย
 
แถวไหนมีเครื่องชาร์จราคาถูก ๆ ขายบ้างครับ ผมอยากซื้อเก็บไว้
 
ไม่ไหว ชาร์จแบบนี้…
 
เมื่อยปากฉิบหาย
 
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
 
ยังไงผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ผิดที่จะหวั่นไหว แม้จะสั่งตัวเองให้มั่นใจในตัวพี่เอกขนาดไหน แต่มันคงทำได้ยากยิ่ง หากต้องมาเจอภาพอะไรตำตาแบบนี้
 
ความมั่นใจอันน้อยนิดที่ผมมี ตอนนี้มันแทบไม่เหลืออะไรเลย
 
ผมยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ หัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้า มองภาพพี่เอกยืนจูบอยู่กับใครบางคนหน้าห้องสภา แม้ใจจะสั่งให้เคลื่อนเท้าถอยหนี แต่อีกใจก็สั่งให้เดินหน้าเพื่อพิสูจน์ว่าพี่เอกไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น เหมือนคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา
 
“คิดถึงเอกจัง”
 
ผมชะงักเท้า จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของพี่เอก
 
“คิดถึงเหมือนกัน”
คำพี่แก ทำเอาผมรีบก้าวไปยืนหลบอยู่หลังกำแพงทันที
 
“พอบินมาถึงปุ๊บ นกก็ตรงดิ่งมาหาเอกก่อนเลย”
 
พี่เอกยิ้มอ่อนโยน ไม่ต่างกับที่พี่แกเคยยิ้มให้ผม
 
นก…
 
ถ้าผมจำไม่ผิด คนคนนี้คือ…



                 
ยังไม่ทันที่ผมจะให้คำตอบตัวเอง พวกเขาทั้งคู่ ก็พากันเดินเข้าไปในห้อง ผมไม่อยากจะหวั่นไหวและเชื่อใจพี่เอกให้มากกว่านี้
 
แต่ตอนนี้ผมคงทำไม่ได้
 
“กายเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงใครสักคนปลุกผมออกจากภวังค์ ผมหันไปมอง
 
“พี่โอ๊ค”
 
“เป็นอะไร”
 
ผมยิ้มอ่อนให้พี่แก อยากพูดเหมือนกันว่าไม่เป็นไร แต่จิตใจมันอ่อนแรงเกิน ผมเงยหน้ามองพี่โอ๊ค
 
“พี่โอ๊ค พี่รู้จักคนที่พี่เอกคบด้วยทุกคนหรือเปล่า”

พี่มันจ้องผมกลับ
 
“ก็พอรู้บ้าง”
 
“แล้วพี่รู้จักคนที่ชื่อโมกับนกไหม”

พี่มันจ้องหน้าผมอึ้ง ๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
 
“ก็พอรู้บ้าง”
 
ผมมองหน้าพี่แกเพื่อหาคำตอบ
 
“โมคือรุ่นน้องที่เอกคบด้วยเกือบนานที่สุด ตอนนี้ก็น่าจะอยู่ม.หกมั้ง แต่ไอ้เอกมันบ้างาน โมเลยทนไม่ได้เลิกคบไปก่อน ส่วนนกคือคนที่เอกคบด้วยนานที่สุด 3 ปีตั้งแต่ม.สี่ยันม.หก เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด พอสองคนนี้มาคบกัน นกเลยกลายมาเป็นหนึ่งในแก๊งเราด้วย สนิทกับไอ้กิ๊ฟที่สุด ถือว่าเป็นคนที่ไอ้เอกรักมาก จนมันเป็นคนเอ่ยปากเองว่าถ้าเรียนจบ มันจะขอนกแต่งงานทันที แต่นกต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่อเมริกาซะก่อน ระยะทางที่ห่างกัน บวกรวมกับสองคนนี้เป็นพวกจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบทั้งคู่ พวกเขาเลยตกลงเลิกกันในที่สุด”
 
ผมยืนอึ้งฟังเรื่องทั้งหมด
 
“งั้นพี่นกก็เป็นคนที่พี่เอกรักมากที่สุด”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
 
“ใช่ รักมาก รักมากถึงขนาดหมั้นหมายนกด้วยขอล้ำค่าที่มันเทหน้าตักให้นกเชียวล่ะ”
 
ผมทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่
 
พี่โอ๊คลูบหัวผมเบา ๆ ที
 
“แต่ตอนนี้ไอ้เอกมันรักกายนะ”
 
ผมยิ้มขืนให้พี่โอ๊ค
 
“พี่นกกลับมาแล้ว”
 
พี่โอ๊คชะงักมือที่กำลังลูบหัวผมลง
 
“และเมื่อกี้ ผมเห็นพี่เอกกับพี่นก…”
 รู้สึกเหมือนน้ำลายพากันเหนียวหนืดจนแทบจะกลืนไม่ลง
 
“ยืนจูบกันอยู่หน้าห้องสภา”
 
“กาย…”
 
“ผมอยากมั่นใจนะพี่โอ๊ค แต่ผม…”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ผมไม่อยากอ่อนแอ แต่ตอนนี้น้ำตาผมกำลังร่วงหล่น
 
“กาย”
พี่โอ๊ครั้งผมเข้าไปไว้ในอ้อมแขน ผมรู้ว่าผมเป็นผู้ชาย และผมไม่ควรจะอ่อนแอ แต่ตอนนี้ความเข้มแข็งมันวิ่งหนีผมไปหมดแล้ว ผมกำอกเสื้อพี่โอ๊คแน่น โดยมีอ้อมแขนแกร่งตะกองกอดผมไว้แน่นเช่นกัน
 
“กาย อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะ บางทีมันอาจเป็นแค่จูบทักทายธรรมดาก็ได้ นกเขาไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานาน อาจจะเคยชิน”
พี่โอ๊คพยายามปลอบใจ ดันผมออกเบา ๆ มาเช็ดน้ำตาให้ ผมกะพริบตาปริบ ๆ มอง
 
“ใจเย็น ๆ นะ ไอ้เอกมันรักกาย พี่มั่นใจ”
 
ผมก็ได้แต่หวังให้คำพี่แก เป็นความจริง
 
   





TBC 100%

เขวี้ยงเปลือกทุเรียนใส่คนเขียนกันเบา ๆ นะคะ  :mew6:








Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 19:10:50 โดย memew »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถึงมีที่ชาร์ตแบทอย่างที่กายอยากได้
มันก็ไม่ได้อารมณ์เหมือนคนหรอก  :laugh:

นึกระแวงและ เพราะช่วงหน้าไรท์บอกหลบเปลือกทุเรียน
ดราม่า มาแน่ โม หรือเปล่า
หรือรายอื่นๆ ทั้งกิ๊กเก่า สาวใหม่ พุ่งมาหาพี่เอก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
น้องพี่เอกนี่ยังไง ไม่ว่าชาย ว่าหญิง ขยันชงให้เกิดเรื่องกันจัง
น้องสาวนี่อะไรกัน เกรงใจเพื่อน
จนทำความลำบากใจให้กายล้วนๆ  :fire:  :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
น้องโมจะเข้ามาสร้างความร้าวรานใจให้หลานกายหรือปะ ความน่าจะเป็นสูงแน่ในตอนหน้า  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ annch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามทันแล้ว สนุกมากๆๆ
รอนะ  :call: :call: :call: :call:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

82
แยกทาง
[เอก...☼]












 
ผมตกใจที่อยู่ ๆ คนรักเก่าก็โผล่เข้ามา ด้วยความเคยชิน ผมเลยเผลอจูบไป (ไวไฟกันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ)
 
“คิดถึงเอกจัง ไปอยู่ที่นู่นนะ เจอแต่พวกฝรั่งผิวขาว ๆ เห็นแล้วรับไม่ไหว”
นกยังคงเป็นนก สดใสร่าเริง และทำให้ผมมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้
 
“กลับมาเที่ยวเหรอ”
 
“เปล่า มาทำงานค่ะ”
 
ผมเลิกคิ้วสูง
 
“นกเรียนจบแล้ว ได้ปริญญามาสองใบ”
นกชูสองนิ้วด้วยความภาคภูมิ
 
ผมมองอึ้ง ๆ
 
“จบแล้ว… ได้ปริญญาสองใบ”
ผมทวน นกพยักหน้ายิ้มรื่น
 
“นกเร่งจบน่ะ จะได้รีบกลับมาหาเอกเร็ว ๆ ไง”
 
ผมยืนอึ้งไปอีกรอบ
 
นก หญิงสาวผู้มั่นใจในตัวเอง เป็นผู้หญิงที่หารครึ่งระหว่างผมที่แสนเย็นชา และไอ้กิ๊ฟที่เฮ้วและเอาเรื่องไว้อย่างละครึ่ง เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เอาผมอยู่
 
แม้กระทั่งตอนนี้…
 
หัวใจผมก็ยังแอบหวั่นไหว
 
ทั้งที่ผมมีกายอยู่แล้ว แต่พอเจอรอยยิ้มสดใสแบบนี้ ผมกลับพูดไม่ได้ว่าผมคบกายอยู่
 
“นกไม่รู้นะ ว่าตอนนี้เอกกำลังคบกับใครอยู่ แต่เท่าที่รู้ ๆ มา เอกไม่เคยคบกับใครนานเกินสามเดือนเลย นกว่า นกยังพอมีความหวังใช่ไหม”
นกถามด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจเต็มเปี่ยมว่ายังไง ผมก็ยังคงรักเธอไม่เปลี่ยน
 
จะว่าใช่ก็ใช่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นกถือเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด
 
ผมไม่รู้ว่านกรู้ข่าวผมได้ยังไง อาจเป็นหนึ่งในเพื่อนผมเป็นคนบอก แล้วนกจะรู้เรื่องกายด้วยไหม
 
“อุ้ย! สายแล้ว เดี๋ยวนกรีบไปรายงานตัวก่อนนะ แล้วจะแวบมาหาใหม่”
นกยืดตัวขึ้นมาจูบผมที แล้วผละจากไป
 
ผมปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมยังรู้สึกดี ๆ กับนกอยู่
 
แต่ผมมีกายอยู่แล้ว…
 
ผมเดินอ้อมไปยังโต๊ะทำงาน อีกชั่วโมงต้องเข้าคลาส ต้องรีบเคลียร์งานส่วนที่เหลือก่อน ยังไม่ทันได้นั่ง ก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะก่อน
 
“นี่มันถุงของนกนี่”
ผมรีบหยิบสิ่งนั้น วิ่งออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง นกคงไปไม่ไกล ผมยิ้มเมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กไว ๆ
 
“น…”
 
“ขอบคุณค่ะ”
 
ผมปิดปากไว้ เมื่อเห็นคนที่ก้มเก็บของช่วยนกอยู่ เพราะคนคนนั้นเป็นคนที่ผมรักในปัจจุบันนี้ ผมไม่กล้าก้าวขาไปข้างหน้า แต่สายตาของกายก็เร็วพอที่จะเห็นผม
 
นกคงเห็นว่ากายกำลังมองใครอยู่ ถึงได้หันมามองตาม
 
“อ้าวเอก อุ้ย! นกลืมของเหรอเนี่ย ขอบคุณค่ะ”
นกรีบเดินเข้ามาเอาถุงของจากมือผม
 
“ลืมไม่ได้เชียวนะเนี่ย นี่เป็นของฝากที่จะเอาไปให้คุณลุง เดี๋ยวว่าที่คุณพ่อสามีจะว่าเอาได้”
นกพูดไปเรื่อย ก่อนหันไปหากายที่ยืนถือของของนกไว้ด้านหลัง
 
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเก็บ”
นกรับของไปถือไว้ ผมยังยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าจะแนะนำคนทั้งคู่ให้รู้จักกันในฐานะอะไรยังไงดี
 
“งั้นนกไปนะ เสร็จธุระแล้ว นกจะแวะไปหาที่คอนโด”
นกเดินเข้ามาชิด โน้มคอผมลงไปกดจูบ ผมรู้ว่าผมควรจะปฏิเสธ แต่สัมผัสคุ้นเคย ความรู้สึกเดิม ๆ ก็ทำเอาผมเผลอจูบตอบ ก่อนจะได้สติและผละออก เงยหน้ามองด้านหลังของนก
 
แต่ภาพตรงหน้ากลับว่างเปล่า
 
“กาย”
ผมเรียก นกหันไปมอง
 
“หือ…คนรู้จักเหรอ”
 
ผมไม่ได้ตอบอะไร นี่ผมกำลังทำร้ายจิตใจของกายอีกแล้วใช่ไหม ทั้งที่ผมเพิ่งพูดให้ความมั่นใจกับกายไป แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นคนทำผิดซะเอง
 
หลังจากนกไป ผมก็รีบโทรหาไอ้ตัวเล็ก แต่สิ่งที่ได้ มีเพียงเสียงข้อความตอบรับเท่านั้น ผมไม่รู้ว่ากายอยู่ในอารมณ์แบบไหน โกรธ น้อยใจ หึงหวง หรือ…
 
กำลังร้องไห้อยู่
 
ผมร้อนใจยิ่งกว่าเดิม กระหน่ำโทรหา แต่ไม่ติด
 
“แม่งเอ้ย!!”
ผมสบถแรงกับอากาศ อยากตื้บในความลังเลของตัวเอง ผมตัดสินใจวิ่งไปหามันที่คณะ
 
“เต้ย เห็นกายไหม”
ผมรีบถามทันทีที่เห็นคู่หูมัน
 
“ไม่ฮะ เห็นบอกว่าจะเข้าร้านเร็วหน่อย”
 
ผมยังมีเรียนอยู่ เลยตามไปที่ร้านตอนนี้ไม่ได้ คงต้องรอจนกว่าจะเลิกเรียน
 
กะว่าเลิกเรียนจะรีบไปตามไอ้ตัวเล็ก ไอ้พวกเพื่อนบ้าดันลากให้ผมอยู่เคลียร์งานให้เสร็จ ตอนแรกก็คิดว่าแป๊บเดียวจะเสร็จ ไป ๆ มา ๆ ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู ไม่มีการติดต่อกลับเลยแม้แต่สายเดียว โทรกลับก็ไม่ติด
 
ผมกลับมาถึงที่คอนโด โดยหวังว่าจะพบกับคนที่ผมรักนอนงอนอยู่ในห้อง
 
แต่ภายในกลับว่างเปล่า…
 
ผมโทรหาอีกรอบ แต่เสียงตอบรับเป็นเพียงเสียงหวาน ๆ ของโอเปอร์เรเตอร์เท่านั้น ผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง หยิบแจ็คเกตมาใส่
 
กายคงกลับบ้านแน่ ๆ
 
เดินยังไม่ทันถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงกดกริ่ง ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูออกผัวะ
 
“กาย”
 
“นกเอง”
 
ผมหุบยิ้มลงทันที
 
นั่นน่ะสิ
 
กายมีคีย์การ์ดนี่ จะมากดกริ่งทำไม
 
“นี่เอกนัดเพื่อนหรือนัดกิ๊กไว้คะ นกเข้าไปได้ไหม”
นกถามด้วยน้ำเสียงสดใส ยกขวดรีสีสวยขึ้นโชว์
 
“ของโปรดเอก”
 
“ผมกำลังจะไปธุระ”
 
“อ้าวเหรอ ว้าแย่จัง”
นกทำหน้าเหงาหงอย
 
ผมยืนชั่งใจ ใจหนึ่งก็อยากไปตาม แต่อีกใจ ก็อดที่จะอยู่ทักทายเจ้าของดวงตาวิบวับตรงหน้าไม่ได้
 
แล้วที่เจ้าตัวเล็กมันปิดเครื่องเพราะงอน หรือแบตหมดกันแน่นะ
 
“นี่ตกลงเอกจะไปธุระหรือเปล่าคะ นกปวดขาแล้วน้า เดินดูงานมาทั้งวันเลย”
นกอ้อน ผมเลยรีบพยักหน้าให้นกเข้ามาในห้องแทน
 
“ให้เวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วผมจะไปธุระต่อ”

                นกยิ้มแก้มบาน เดินลิ่ว ๆ เข้าครัวไป
 
“หือ นี่เอกมีใครมาอยู่ด้วยเหรอ”
นกคงสังเกตเห็นข้าวของบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ตอบ
 
ผ่านไปร่วมชั่วโมงที่ผมอยู่กับนก ยอมรับว่าความรู้สึกเดิม ๆ หวนคืน นกคือคนที่ผมรักและรู้สึกดีด้วยที่สุด คือคนที่ผมตัดสินใจขอหมั้นด้วยเงินทั้งหมดที่มีแล้วซื้อจี้เพชรให้ และตอนนี้เธอก็ยังใส่มันอยู่
 
“จำได้ใช่ม๊าว่าเอกหมั้นนกไว้แล้ว”
 
ผมยกแก้วรีขึ้นดื่ม ความสับสนเริ่มครอบงำ ตอนแรกก็คิดว่าความรักที่ผมมีต่อนกคงจะจางหายไปตามระยะเวลาที่เราห่างกัน แต่เอาเข้าจริง มันกลับเต็มล้นอยู่เท่าเดิม
 
แล้วกายล่ะ ผมเอาไว้ไปที่ไหน
 
“ครบชั่วโมงพอดี เอกคงอยากไปทำธุระต่อ แล้ววันหลังเราค่อยเจอกันใหม่”
นกลุกขึ้นยืน ผมลุกตาม ฤทธิ์แอลกอฮอล์พาเอาผมรู้สึกมึนหน่อย ๆ แต่ไม่มาก ผมไม่ได้ไปส่งนก เพราะอยากล้างหน้าล้างปากก่อนออกไปหากาย
 
“นกไปก่อนนะ”
พอก้าวออกจากห้อง นกก็หันมาลาด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ รั้งคอผมลงไปกดจูบ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ
 
นกยังคงจูบเก่ง ยังมีเสน่ห์ และรู้จังหวะที่จะทำให้ผมลุ่มหลง จนหลงลืมใครบางคนที่ผมกำลังจะไปหา
 
“นี่เปลี่ยนใจกลับเข้าห้องแทนได้ไหม”
นกกระซิบเสียงพร่า และผมก็เลวพอที่จะตอบว่า…
 
“อืม”
 
 
 
 
 
ผมยกแก้วรีขึ้นดื่ม ในขณะที่คนนอนข้าง ๆ ไม่ใช่เจ้าของเรือนร่างแบน ๆ อย่างกายแต่เป็นเรือนร่างอวบอั๋นสมส่วนตรงตามสเป็คตัวเอง ใบหน้าหวานหมดจดจนผมอดไม่ได้ที่จะรั้งเส้นผมบางส่วนที่มันตกระลงมาขึ้นไปทัดหูไว้
 
“อืม คิดถึงเอกจังเลย”
นกลืมตาตื่น กระเถิบเข้ามากอดเอวผมไว้
 
“เอก เรากลับมาคบกันอีกได้ไหม”
นกชวนโต้ง ๆ ในขณะที่ผมนั่งนิ่งคิดไปถึงใครอีกคนที่ผมควรจะไปหาตั้งแต่เมื่อคืน
 
“หรือว่าเอกมีใครอยู่ก่อนแล้ว”
นกคาดเดาจากความนิ่งเงียบของผม นกยันตัวลุกขึ้นมองแบบไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ “นกไม่บังคับนะ ให้เอกจัดการทางนั้นให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ นกรอได้”
นกพูดชิว ๆ ราวกับมั่นใจนักหนาว่ายังไงผมก็เลือกเธอแน่ ๆ ผมได้แต่นั่งนิ่ง ใช้สมองคิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ
 
 
 
 
 
 
 
 
“เอก นี่นกกลับมาแล้วเหรอวะ”
ไอ้มอมันทัก ทุกคนหันมามอง
 
“อืม”
ทุกคนพากันนิ่ง
 
“เอ่อ แล้วมึง…”
ผมไม่ตอบคำถาม เพราะใจผมแบ่งออกเป็นสองทาง
 
ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ อยู่ ๆ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้ตรงหน้า
 
“เมื่อวาน กายร้องไห้ แล้วถามเรื่องโมกับนกกับกู ก่อนมึงคิดจะตัดสินใจอะไรยังไง ช่วยเห็นใจคนที่รักมึงหมดหัวใจหน่อย”
มันพูดแค่นั้น แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป
 
ทุกคนพากันเงียบ เพราะนกถือว่าเป็นหนึ่งในแก๊ง แม้กระทั่งไอ้กิ๊ฟที่เคยปกป้องกายมาตลอด ก็เลือกที่จะยืนทำงานเงียบ ๆ ในมุมของตัวเองเท่านั้น
 
ผมนั่งทำงานเงียบ ๆ ในขณะที่สมองกำลังตวงตราชั่งระหว่างคนที่ผมเคยรักหมดหัวใจและยังคงรักอยู่ กับคนรักใหม่อย่างกาย ที่ผมก็รักเช่นกัน
 
 
 
 
 
 
 
หลังเคลียร์งานเสร็จ ผมว่าจะไปหากาย อย่างน้อยการได้เจอหน้า อาจทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นก็ได้
 
“เอก!!”
แค่ก้าวออกจากห้อง ก็เห็นใครบางคนยกไม้ยกมือเรียกมาแต่ไกล
 
“มาได้ไง”
 
“ก็คิดถึงเอกไง แวะซื้อของโปรดมาให้ด้วย”
นกยื่นถุงขนมมาให้ ผมรับมาถือไว้พร้อมรอยยิ้ม
 
“แล้วนี่ไม่คิดจะแบ่งรึไง งกจริงเชียว”
เจอลูกอ้อนกระเง้ากระงอดแบบมีชั้นเชิงแบบนั้นเข้า ใจที่อยากจะไปหากาย ถูกสับเปลี่ยนให้เดินเข้าห้องไปนั่งกินขนมกับนกแทน
 
“กว่าจะเรียนจบ รากเลือดมาก ดีนะที่มีคนช่วย”
 
ผมยิ้มกับคำบอกเล่าของนก
 
สรุปวันนี้ ผมก็ไม่ได้ไปหากาย ความกระตือรือร้นที่จะไปหามีน้อยกว่าความรู้สึกที่อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับนกเสียอีก
 
จนล่วงเข้าไปวันที่สี่ ผมเริ่มแน่ใจแล้วล่ะ ว่าผมคงรักกายน้อยกว่าที่รักนกแล้ว
 
“เอก ตกลงมึงเลือกนกแทนกายแล้วใช่ไหม”
ไอ้อ้อยมันถาม ทุกคนมองมาที่ผม สำหรับเพื่อน ๆ แล้ว ถึงจะรู้ว่าผมรักกาย แต่ก็คงจะดูออกว่าผมรักนกเหมือนกัน และดูแล้วความรักที่ผมมีต่อนกนั้นน่าจะเยอะกว่ากายด้วย
 
และที่สำคัญ…
 
ยังไงนกก็เป็นผู้หญิง ทั้งสังคมและอนาคต นกยังคงเป็นต่อ ไม่แปลกใจที่เพื่อนจะไม่คัดค้าน
 
“แล้วมึงบอกเลิกกับกายเขารึยัง”
ไอ้อ้อยมันถามต่อ
 
“กูไม่แน่ใจว่ะ ยังไม่ได้เจอกายเลย แล้วกายก็ไม่ได้ติดต่อกูด้วย”
 
“คงจะติดต่อหรอกนะ มึงเล่นอยู่กับนกแทบจะตลอด แม่งเป็นใครจะไปทนได้”
 
“อืม กูก็ว่างั้น”
พวกมันให้ความเห็น ส่วนไอ้กิ๊ฟมันปิดปากเงียบ นกก็เพื่อนสนิทมัน กายก็น้องรักมัน มันคงเลือกข้างไม่ถูก จึงเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ แทน
 
“ยังไงก็ไปพูดกับกายมันตรง ๆ ละกัน”
ไอ้สาวมันให้ความเห็น
 
ผมได้แต่พยักหน้า กลับไปใช้เวลาทบทวนตัวเองอีกคืน ก่อนตัดสินใจไปพูดกับไอ้ตัวเล็กตรง ๆ มันอาจโกรธ อาจน้อยใจ หรืออาจเสียใจจนร้องไห้
 
แต่ผมต้องเลือกสักทาง
 
จนในที่สุด ผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านมัน ห้องมันยังเปิดไฟส่องสว่าง เห็นเงามันลาง ๆ ข้างหน้าต่าง มันคงกำลังนั่งทำงานอยู่ ผมตัดสินใจกดกริ่ง เห็นมันแง้มหน้าต่างออกมามองนิดหนึ่ง เงานั้นลุกขึ้นยืน และลับหายไป
 
ผมรอไม่นาน คนที่ผมเคยหลงใหลก็เดินทำหน้านิ่ง ๆ ออกมาเปิดประตู
 
“เชิญครับ”
มันทำเสียงนิ่งมาก นิ่งเอามาก ๆ จนผมยังแอบหวั่นไหว
 
แต่ผมตัดสินใจแล้ว
 
ผมเดินไปนั่งบนโซฟา มันเดินไปเปิดตู้เย็นและหยิบน้ำมาให้
 
“น้ำฮะ”
แล้วมันก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม
 
“กาย”
 
“นี่ครับ”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร มันก็ยื่นซองสีขาว ๆ มาให้ และภายในก็น่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่
 
“ผมคืนให้”

ผมชั่งใจ ก่อนรับมาถือไว้ และเปิดออกดู ผมมองสิ่งที่อยู่ภายในด้วยความแปลกใจ
 
“ผมว่าพี่คงไม่อยากให้สิ่งนี้อยู่กับผมแล้ว”
มันพูดนิ่ง ๆ แต่ผมเห็นว่าดวงตากลมใสนั้นกำลังสั่นคลอ น้ำเสียงที่ออกมาก็ดูแหบแห้งมากกว่าปกติ
 
หัวใจผมเจ็บจี๊ด
 
แต่ผมต้องเลือกสักทาง
 
“พี่…”
 
“ไม่ต้องอธิบายอะไรก็ได้ครับ ผมเข้าใจ”
มันตัดบท ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ มันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แล้วชี้มาที่คอผม
 
“ผมขอสิ่งนั้นคืนได้ไหม”

ผมก้มมองสร้อยพระอาทิตย์ที่คอตัวเอง

“ผมว่าพี่คงไม่ต้องการมันแล้ว”
 
ผมนั่งชั่งใจอยู่พัก ก่อนตัดสินใจถอดออกและยื่นใส่มือที่ยื่นออกมารับ มันกำสิ่งนั้นแน่น
 
“ขอบคุณครับ ดึกมากแล้ว ผมว่าพี่กลับก่อนดีกว่า ผมง่วงแล้วด้วย ขอบคุณสำหรับทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมานะครับ”
มันบอกเรียบ ๆ ผมพยักหน้าเดินออกไปหน้าบ้าน ผมกำลังจะเดินออกนอกรั้ว แต่มันรั้งแขนผมไว้จนผมหันกลับไปหามัน และดวงตาผมก็ถูกปิดสนิทด้วยมืออีกข้าง สักพักริมฝีปากผมก็ถูกกดจูบเอาไว้เบา ๆ
 
“ผมรักพี่นะฮะ...ลาก่อน”
มันปล่อยมือออกเคลื่อนที่หายไปพร้อมกับประตูรั้วที่ปิดตัวลง ในขณะที่ดวงตาผมยังคงพร่ามัว มองเห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด ผมกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่น มองตามแผ่นหลังที่กำลังหายลับเข้าไปในบ้าน
 
กายกำลังร้องไห้
 
ผมอยากตามไปกระชากกายเข้ามาปลอบ แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างกับผมกำลังทำร้ายกายหนักยิ่งกว่าเดิม
 
ผมจำต้องหันหลัง ก้าวห่างออกไป ก่อนหยุดเท้าตัวเองไว้ แล้วหันไปมองห้องนอนที่ยังเปิดไฟอยู่ มองเห็นเงาเลือนรางมายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก่อนที่เงานั้นจะเคลื่อนที่หายไป
 
ผมได้แต่ยืนนิ่ง จ้องมองแสงไฟที่ลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อน ผมรู้ว่าผมทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของคนมามาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหน ที่จะทำให้หัวใจผม รู้สึกเจ็บเท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว



To Be Con....
             
T_T..ด่าคนเขียนเบา ๆ นะคะ แต่ยินดีให้ด่าพระเอกได้เต็มที่ (วิ่งหนี!!)..
 




Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   
 

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
สาระเลว



 :z6:
ไอ่เชี้ยเอก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด