Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)  (อ่าน 680499 ครั้ง)

ออฟไลน์ Fuzz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาต่อไวๆนะคะ  :impress2:

boommerang

  • บุคคลทั่วไป
รอ ครับ รอ

ออฟไลน์ sey19

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมาก จะไปอ่านต่ออีกที่นึงครับ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ตามไปอ่านอีกบอร์ดนึงมาแล้ว
ยาวมาก..อ่านจุใจเลย

ขอสามคำ..ให้กับไอ่พี่เอก
เมิง-เหี้ย-มาก

อ่านแล้ว..ทำกรูคลั่งแค้นไปหลายวันเลย

คนแต่งเรื่องนี้..ได้สุดยอด
me/ ขอคาระวะท่าน 5 คำนับ
+1 ครับ

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [29] ไปบ้านพี่เอก [กาย...♥]




ผมหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากทางด้านหลัง เลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่เอกเดินกึ่งวิ่งตามมา

“เลิกงานแล้วเหรอฮะ” ผมถาม
 
“อื้อ กลับเลยหรือเปล่า”
พี่มันถามกลับ ผมพยักหน้ารับ

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรฮะ ผมกลับเองก็ได้”

“เอางานมาให้พี่ดูอีกรอบดิ เมื่อกี้ไม่ได้อ่านให้ละเอียด” พี่มันไม่สนใจฟังคำปฏิเสธผม ดึงแผ่นงานไปอ่านเฉยเลย

ไอ้หน้ามึน ไม่ฟังกูบ้างเลย เดี๋ยวกูก็หน้ามึนกลับบ้างหรอก

พี่เอกก้าวช้า ๆ ไปตามทางเดินในขณะที่ตาก็กวาดอ่านรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในกระดาษ ผมเดินเคียงไปเงียบ ๆ
อยู่ ๆ พี่มันก็หยุดเท้าตัวเองลงกึก ผมหยุดตามบ้าง

“กายมีปากกาไหม พี่ขอยืมหน่อย”
ผมพยักหน้า ล้วงหยิบปากกามาให้ พี่มันเอาไปเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่สักพักก็เงยหน้ามอง

“ดีนะที่เห็นก่อน ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่ ๆ”
ผมขมวดคิ้วงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอกเอาไปให้อาจารย์สุชาติกันดีกว่า”

ผมพยักหน้าเดินเข้าห้องพักอาจารย์ไปกับแก อาจารย์สุชาติที่กำลังก้มหน้าทำงานอยู่เงยหน้ามอง

“เอ่อหนอ ปกติให้คนอื่นไปส่ง กว่าจะได้งานกลับ ต้องรอเป็นอาทิตย์ ๆ แต่นี่ได้ภายในยี่สิบนาที แถมท่านประธานยังเดินมาส่งด้วยตัวเองอีกต่างหาก”
อาจารย์เอี้ยวตัวหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ก้ม ๆ เงย ๆ มองท้องฟ้าสลับกับอากาศภายนอก
“เอ๋ สงสัยวันนี้ท้องฟ้ากับต้นไม้จะสลับสีกัน”
ดูอาจารย์แกแซว

ผมขมวดคิ้ว พี่เอกก็ดูจะเป็นคนมีความรับผิดชอบนี่นา ไม่น่าจะเป็นพวกไม่ใส่ใจงานขนาดนั้น

“งานพี่เยอะน่ะ บางงานกว่าจะได้อ่านก็ต้องรอเป็นอาทิตย์ ๆ”
พี่มันรีบไขทันทีโดยที่ผมไม่ต้องถาม

“โอเค เรียบร้อยละ ขอบใจมาก”
หลังจากตรวจสอบทุกอย่างจนครบ อาจารย์ก็ปล่อยให้เราสองคนกลับ

ไม่นานต่อจากนั้นผมก็มานั่งเคียงอยู่กับพี่เอกบนรถ พี่มันกำลังจะสตาร์ทเครื่องแต่เบรกมือไว้ หันมองมาทางผม

“นี่ต้องให้มันเลี้ยงข้าวจริง ๆ เหรอ”
ผมที่กำลังเสียบเข็มขัดนิรภัยลงล็อกเงยหน้ามองงง ๆ พี่แกทำหน้าอึดอัด

“ไอ้โอ๊คน่ะ”
อ๋อ พี่โอ๊ค

“ก็พี่เขาไม่ยอมนี่นา เพื่อความสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมจะได้กินฟรีด้วย”
ผมตอบรับยิ้มรื่น พี่มันหน้าตึงขึ้นมาทันที

โกรธไรวะ

หรือว่า..
พี่มันอยากให้ผมเลี้ยงบ้าง

“พี่ขับรถรับส่งผมหลายรอบแล้ว งั้นผมพาไปเลี้ยงข้าวเย็น”
ผมรีบเสนอ พี่มันหันมาทำหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม

อะไรวะ ก็กูจะเลี้ยงมึงแล้วไง
มันไม่พูดอะไรครับ หันไปสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วกระชากตัวรถออกทันที

เอาใจยากจริงวุ้ย
ผมนั่งเงียบมาตลอดทั้งเส้นทางไม่ต่างกับคนข้าง ๆ ตอนแรกคิดว่าพี่เอกจะพากลับบ้าน แต่ไม่ใช่ครับ พี่มันพาผมมาที่สยาม 

มาทำไม?
ผมหันไปมองพี่มันงง ๆ หรือพี่มันอยากให้ผมเลี้ยงข้าวเย็น พี่เอกดับเครื่องหันหน้ามามอง 

“ช่วยพี่เลือกของขวัญหน่อย พอดีอีกสองอาทิตย์จะวันเกิดน้องชายพี่แล้ว”

หือ กูนี่เป็นพนักงานเลือกของขวัญรึไงฮึ มีใครอีก บอกมาให้หมด กูจะได้เลือกไว้ให้ทุกคนเลย

ผมพยักหน้าเข้าใจ ก้าวเท้าลงจากรถ เราเริ่มต้นจุดแรกที่โซนเสื้อผ้าแบรนด์เนมสำหรับผู้ชายครับ แต่ผมว่ามันดูธรรมดาไปนะ ของพวกนี้น้องพี่เอกคงมีเยอะแล้ว น่าจะหาอะไรที่มันดูพิเศษ แล้วก็สามารถเก็บไว้ได้นาน ๆ หน่อย

“น้องพี่คนไหนฮะ”

“ไอ้อาร์ต”
ผมพยักหน้า

“คนรองหรือคนที่สาม”

“คนรอง พี่ อาร์ต อิฐ แอม ไอ อ้อน”

ผมขำนิดหน่อยตอนพี่เอกบอกชื่อสามสาว

“เข้าใจตั้งชื่อนะ” ผมชม
 
“อืม เอกหมายถึงทำอะไรก็เป็นที่หนึ่ง เก่งไปหมด อาร์ตนี่คุณปู่ขอ เพราะอยากให้เก่งอย่างมีศิลป์ ส่วนไอ้อิฐนี่ยายเป็นคนขอ บังเอิญเป็นชื่อพระเอกหนังที่แกปลื้มอยู่ ส่วนแอมไอกับอ้อน แม่เป็นคนตั้ง”

ผมขำกับประวัติครอบครัวพี่เอก

เราเดินดูของไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ยังโซนพวกอัลบั้มรูปถ่าย อาจเพราะผมเป็นพวกสนใจเรื่องการถ่ายรูป เลยชอบของทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับการถ่ายรูปด้วย ไม่เว้นแม้แต่อัลบั้มรูป

“พี่เคยมีแฟมิลี่โฟโต้บุ๊คไหม”

พี่มันทำหน้าเป็นหมางง ท่าทางแบบนี้ ไม่มีชัวร์ แล้วพี่แกก็ส่ายหน้ารับ

ผมยิ้มที่เดาถูก

“ทำโฟโต้บุ๊คสิ เอาภาพครอบครัวพี่ตั้งแต่เด็ก ๆ ดึก ๆ เลยก็ได้ ภาพความประทับใจ หรืออะไรที่เกี่ยวกับพี่อาร์ต มาจัดลำดับตั้งแต่แรกเกิดจนมาถึงปีปัจจุบัน ของพวกนี้ นอกจากจะเก็บได้นานแล้ว คุณค่าทางจิตใจยังเยอะอีกต่างหาก”

พี่มันยืนฟังผมอึ้ง ๆ แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ผมยิ้ม

“แต่พี่ทำไม่เป็น”

“ไม่เป็นไรผมช่วย” ผมรีบอาสา

เรื่องทำภาพผมชอบอยู่แล้ว พี่มันยิ้มนิดหนึ่ง พยักหน้ารับ แล้วเราสองคนก็ช่วยกันเลือกโฟโต้บุ๊คเปล่า ๆ เพื่อนำไปตกแต่งอีกที ระหว่างนั้นผมก็สอบถามรสนิยมส่วนตัวของพี่อาร์ตนิดหน่อย อย่างพวกสีที่ชอบ งานอดิเรก สไตล์การใช้ชีวิตพื้น ๆ เพื่อเอาไปประกอบกับสิ่งที่เราจะแต่งเติมลงไป

หลังจากยืนเลือกกันอยู่นาน เราก็ตัดสินใจหยิบโฟโต้บุ๊คสีขาวดำมาถือไว้ รูปแบบเรียบ ๆ ครับ แต่สวยดี เป็นสีโปรดของพี่อาร์ต หลังจากจ่ายเงินเราก็พากันไปนั่งในร้านไอศกรีม

แหะ ๆ พอดีผมอยากกินน่ะ

เรานั่งเขียนแบบกันคร่าว ๆ ว่าจะทำอะไรก่อนอะไรหลัง พี่เอกล้วงหยิบภาพถ่ายของครอบครัวจากกระเป๋าเงินให้ผมดูสองใบ ใบแรกเป็นภาพถ่ายของทุกคนรวมกัน และอีกภาพมีเพียงสามหนุ่มยืนกอดไหล่กันส่งยิ้มให้กล้อง

ผมเงยหน้ามองพี่เอก

“เหมือนกันอย่างกับแกะ”
อันนี้ผมไม่ได้พูดเองครับ พี่เอกพูดเองเสร็จสรรพ ผมพยักหน้าขึ้นลงหงึก ๆ

“ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น”
พี่มันบอก เก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าเหมือนเดิม แล้วเราก็มานั่งร่างแบบกันต่อ 

“พี่เอกกกกกกก พี่กายยยยยย!!!!!!”
ผมหันขวับไปมองเจ้าของน้ำเสียงสดใสนั้น ก็เห็นสามสาวน้อยหน้าตาน่ารักวิ่งดุ๊ก ๆ มาแต่ไกล

วันนี้สามทโมน(เรียกตามพี่เอกมันอีกที อย่าว่าพี่กันนะ) แพ็คคี่แต่งตัวกันได้น่ารักสุด ๆ ชุดที่ใส่ยังเป็นชุดนักเรียนเหมือนเดิม แต่ติดกิ๊ฟที่ผมด้านซ้ายแบบเดียวกันลายเดียวกันทั้งสามคน

น่ารักดีครับ

แต่บอกตามตรง

กูแยกไม่ออก ว่าใครเป็นใคร =*=

พวกน้อง ๆ เดินมาทิ้งตัวลงนั่งทันทีโดยไม่ขออนุญาต ผมโดนสองในสามประกบครับ ส่วนคนสุดท้าย แย่งที่ไม่ทันเลยโดนเด้งไปนั่งกับพี่เอกแทน

พี่แกขำใหญ่

“หยุดขำเขาเลยนะพี่เอก คอยดูเถอะ คืนนี้อ้อนจะชวนพี่กายไปนอนกับอ้อน”

ผมสะดุ้งโหยง

เอ่อ..
พี่ว่าไม่สมควรมั้ง ให้ไปนอนกับสาวน้อยน่ารัก มันจะน่าเกลียดเอานา

“กรี๊ดเป็นความคิดที่ดีมากเลยอ้อน”
แล้วพวกหนูถามพี่ก่อนรึยังครับ ว่าพี่อยากไปด้วยไหม

“ไปเนอะ”
สามสาวพากันส่งสายตาวิบวับเหมือนแสงอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมเปิดปากพูดไม่ได้ พี่เอกหัวเราะใหญ่

“นะ ไปนอนกับพวกอ้อนนะคะ”
สาวน้อยที่เกาะแขนพี่เอกอยู่ยื่นหน้ามาออดอ้อน ผมเข้าใจความรู้สึกพี่เอกขึ้นมาทันที ว่าทำไมถึงอยากย้ายออก
ไม่ใช่ว่าไม่รักน้อง แต่พวกสามสาวเขาจุ้นได้ใจกันจริง ๆ

“เอ่อ พี่ว่าคงไม่เหมาะมั้ง ให้พี่ไปนอนกับสาว ๆ”
ผมรีบค้าน

“งั้นก็ไปนอนห้องพี่เอกก็ได้ค่ะ ห้องพี่เอกกว้าง”
เหมือน ๆ พวกเธอจะเตรียมคำพูดนี้ไว้ก่อนแล้ว พอพูดจบ ก็ตบมือใส่กันสามคนเลย

เอ่อ เพิ่งเคยเห็นวุ้ย = =

“เอ่อ พี่ว่า…”

“เป็นอันว่าตกลงเนอะ”
กูรู้แล้วละ ว่าพวกมึงเป็นพี่น้องกันจริง ๆ

นิสัยเหมือนกันโคตร ๆ =*=
ผมนั่งอมน้ำส้มสายชูไว้ในปาก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะตอบตกลงก็ไม่งาม พี่เอกก็เอาแต่นั่งขำ

เฮ้ยมึง ไม่คิดจะช่วยกูหน่อยเหรอ

“ไปพักสักวันก็ได้ ไปช่วยพี่เลือกภาพด้วย พี่เลือกคนเดียวอาจได้ภาพไม่สวยถูกใจเท่าไหร่”
พี่มันบอก ผมทำหน้าแหย

“ภาพอะไรเหรอคะพี่เอก”
สาวน้อยข้าง ๆ ผมรีบเสนอหน้าถาม ผมรู้ว่าคนตรงหน้าผมคืออ้อน แต่สองคนข้าง ๆ นี่ผมยังไม่รู้ครับ ใครแอมใครไอ ตอนนี้ยังลุ้น ๆ อยู่

“อีกสองอาทิตย์จะวันเกิดอาร์ตแล้ว พี่ว่าจะหาของขวัญไว้แต่เนิ่น ๆ กันลืม กายเขาเลยเสนอให้พี่ทำแฟมิลี่โฟโต้บุ๊คให้อาร์ตน่ะ”
สามสาวตาวาวรีบวี้ดว้ายขอข้อมูลกันใหญ่ ผมก็ตอบไปยิ้มไปกับความน่ารักของน้อง ๆ

วุ่นครับ แต่น่ารักดี 

“ความคิดพี่กายนี่สุดยอดเลยเนอะ”
น้องอ้อนชม

“ใช่ ๆ”
ต่อด้วยคนด้านขวาผม

“สุด ๆ ไปเลย”
ปิดท้ายด้วยคนด้านซ้าย

“กายเขาเป็นช่างภาพน่ะ ปีนี้เขาส่งภาพเข้าประกวดที่มหา’ลัย กวาดเรียบคนเดียวทั้งสามรางวัลเลยนะ”
พี่เอกได้ทีโม้ใหญ่ครับ ผมนี่อายแทบมุดดิน

“ว้าว จริงเหรอคะ อยากเห็น ๆ ๆ”
พวกน้อง ๆ รีบอ้อนกันใหญ่ จนพี่เอกรับปากว่าจะพาไปดูที่แกลนั่นแหละ ความสงบถึงได้กลับคืนมาอีกครั้ง

สรุป วันนี้ผมต้องไปนอนค้างบ้านพี่เอกครับ พี่แกพามาเอาเสื้อผ้าที่บ้าน(โดยมีสามทโมนติดรถมาด้วย) พอเข้าบ้านได้ เหมือนปล่อยลิงไว้ในสวนสัตว์ พวกน้อง ๆ พากันวิ่งให้รอบบ้านจนพี่เอกต้องปราม

ผมก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้น้อง ๆ วิ่งเล่นกันไป ส่วนผมก็ขอตัวขึ้นไปเตรียมของแล้วก็อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องไปรบกวนบ้านนู้น

แม่ผมค่อนข้างจะชอบสีขาว เสื้อผ้าถ้าผมซื้อเองจะออกแนวทึม ๆ สไตล์ผู้ชาย แต่ถ้าแม่ซื้อให้จะเป็นสีขาวเกือบทั้งหมด บางทีก็มีสีสว่าง ๆ อย่างสีชมพูหรือไม่ก็สีฟ้าโผล่มาบ้าง ผมก็หยิบใส่นะ เพราะบางอารมณ์ การใส่เสื้อผ้าสีหวาน ๆ หรือสีสว่าง ๆ ก็ทำให้จิตใจรู้สึกปลอดโปร่ง แล้วก็ทำให้ไอเดียไหลลื่นได้อีกด้วย

วันนี้ผมเลือกสีฟ้าอ่อนครับ เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เสื้อตัวนี้แม่ซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ ผมเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกล้อง เผื่อต้องใช้ แล้วก็อุปกรณ์สำหรับทำโฟโต้บุ๊คอีกนิดหน่อย

พอลงมาก็เห็นสามสาวกำลังจ้องมองภาพผมตอนเด็กบนตู้โชว์ ส่วนพี่เอกนั่งเอกเขนกดูอัลบั้มภาพที่ผมถ่ายเก็บไว้บนโต๊ะรับแขกครับ

สงสัยพี่มันเพิ่งจะเห็น

“สวยดี นี่นายถ่ายเองทั้งหมดเลยเหรอ”
ผมพยักหน้ารับ

“ตั้งแต่สิบสอง”

พี่มันเลิกคิ้วสูง

“ผมเริ่มถ่ายภาพตั้งแต่ 12 ขวบ”
ผมไขความเข้าใจ

พี่มันมองผมอึ้ง ๆ แล้วพี่แกก็ทำมือไว้ที่ระดับสะโพกตัวเอง

“นายคงตัวเท่านี้”

ผมมองงง ๆ

“ตัวเตี้ยกว่านี้แน่ ๆ”
แล้วพี่มันก็หัวเราะก๊าก อยากตื้บพี่มันสักที

ผมหน้าบึ้ง

เอ้อ ก็กูไม่ควายเหมือนมึงนี่

“คุณพ่อคุณแม่ตอนหนุ่ม ๆ ของพี่กายสวยหล่อกันจัง แล้วสองคนนี่พี่สาวกับพี่ชายเหรอคะ สวย ๆ หล่อ ๆ กันทั้งนั้นเลย อยากเจอ ๆ”
ผมหันไปมองตาม

ภาพแรกเป็นภาพครอบครัวสมัยผมยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกครับ ถ่ายคู่กับพ่อแม่(ตอนนั้นก็หน้าตาดูดีสมวัยครับ แต่ดูแลตัวเองกันไม่เยอะเท่ากับตอนนี้)

ส่วนอีกภาพที่สามสาวทักกันว่าน่าจะเป็นพี่ชายกับพี่สาวคือภาพพ่อกับแม่ที่ผมบังคับขอถ่ายก่อนพ่อจะบินกลับ
นึกแล้วก็ขำ ทำหน้าเหมือนถูกสั่งให้กินปูเน่าสักสิบตัว กว่าจะถ่ายกันได้

ภาพดูสวยดีครับ สองคนยืนคู่กัน แต่หันหน้าไปคนละทาง ผมบังคับขอให้คนทั้งคู่จับมือกันไว้ แต่พวกเขาไม่จับ ภาพมันเลยออกมาเป็น คนทั้งคู่จับแค่ชายเสื้อของกันและกันไว้แทน

“นั่นพ่อกับแม่พี่เอง”

“หา!! จริงเหรอคะ”

“อ้อนก็คิดว่าเป็นพี่สาวพี่ชายซะอีก”

“นั่นสิ ๆ ดูเด็กกันอยู่เลย”

ผมหัวเราะจับเสียงยังไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร

“สองคนนั้นเขาแข่งกันเป็นหนุ่มเป็นสาวน่ะ ตอนนี้กำลังจีบกันอยู่”

พวกสามสาวหันมาเอียงคอมองเป็นลูกนกฉงน ผมหัวเราะร่วน อารมณ์อยากจับมาถ่ายรูปพุ่งกระฉูด

“พ่อกับแม่พี่เลิกกันหลายปีแล้ว พ่อพี่แต่งงานใหม่ แต่เพิ่งเลิกกันแล้วบินกลับมา พี่ก็เลยพยายามยุให้สองคนนั้นกลับมาคืนดีกันเร็ว ๆ”

สายตาของสามสาววิ้งขึ้นมาทันที

“นี่ ๆ ให้พวกหนูช่วยไหม รับรองเห็นผลภายในหนึ่งเดือน”

“ใช่ ๆ ไม่ได้ผล ยินดีคืนเงินทันที”

“รับประกันค่ะ"

ผมหลุดขำ ความรักนะ ไม่ใช่อาหารเสริม
ผมลูบหัวสามสาวสลับกันไปมาเบา ๆ พวกนั้นก็พากันออดอ้อนเข้ามาซุกอกซุกแขนผมกันใหญ่

แหะ ๆ น่ารักดี ขอจีบสักคนได้ไหมเนี่ย
อยู่ ๆ เอวผมก็ถูกรวบจากวงแขนข้างหนึ่งของใครบางคน ดึงแรงจนหลังผมไปติดแหมะกับอกกว้าง

ผมหันไปมอง

พี่เอกครับ

พี่มันมองผมด้วยสายตาแบบว่า…

เอิ่ม…
มึงพูดมาเลยดีกว่า ว่ากูเป็นของมึง แม่ม สายตาขี้หวงฉิบ น้องนุ่งก็ไม่เว้น

“พี่เอกขี้หวง”
หนึ่งในนั้นพูด

“พี่กาย ถ้าพี่กายไม่สนพี่เอกไม่เป็นไรนะคะ อ้อนมีพี่ชายหล่อ ๆ เหลือให้เลือกอีกสองคน”
คือน้องครับ คนนะครับไม่ใช่ตุ๊กตา จะได้หาคนก๊อปปี้ได้

พี่เอกทำหน้าบู้บี้ติดจะขัดใจ

“รับรองได้ค่ะ ถอดแบบพี่เอกมาเหมือนฝาแฝดเลย”

ผมอมยิ้ม

“คนต่อให้มีหน้าตาเหมือนกันขนาดไหน จิตใจก็ไม่มีทางเหมือนกันได้หรอก”
พอผมพูดจบ รู้สึกเหมือนแรงกอดที่เอวจะแน่นขึ้นไปอีก ผมเงยหน้ามองเจ้าของวงแขนนั้น แขนพี่มันยังกอดผมอยู่ครับ แต่หันหน้ามองไปทางอื่น 

ผมมองพี่มันงง ๆ

สามสาวหันไปหัวเราะคิกคักใส่กัน

เป็นอะไรกัน

“แปลว่า ต่อให้มีคนที่หน้าตาเหมือนพี่เอกขนาดไหน พี่กายก็จะเลือกพี่เอกใช่ไหมคะ”
เจอคำถามนี้ ผมไปไม่เป็นเลย ผมทำท่าอึดอัด

“ไปกันได้แล้ว”
ดีที่พี่เอกชวนขึ้นมาก่อน ผมเลยไม่ได้ตอบคำถามนั้น



.... :z10: (ต่อ 50%) :katai4:



ใหญ่ครับ

พูดได้คำเดียว บ้านพี่เอกใหญ่มาก

รถจอดอยู่หลายคัน คนใช้ คนสวน การ์ด มีกันให้เพียบ

อืม เห็นเป็นพวกติดดิน ไม่คิดว่าบ้านจะอลังการงานสร้างขนาดนี้ ทราบข่าววงในมาว่า วันนี้พี่อาร์ตกับพี่อิฐไม่อยู่ ไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อทำโปรเจคอะไรกันสักอย่าง

พี่อาร์ตกับพี่อิฐถูกจับเข้าโรงเรียนพร้อมกัน พอเข้ามหา’ลัย ก็เลือกเรียนมหา’ลัยเดียวกันอีก คณะเดียวกันด้วย(คนบ้านนี้เรียนบริหารกันทั้งบ้านครับ กะว่าจบมา คงยัดเข้าบริษัทตัวเองเลย) แต่พี่อาร์ตกับพี่อิฐเรียนคนละที่กับพี่เอก(ด้วยเหตุผลว่า ระบบการเรียนการสอนที่แตกต่างกันอาจมีประโยชน์ต่องานมากกว่าเรียนที่เดียวกันไปเลย) 

สาว ๆ บ้านนี้ก็เหมือนกันฮะ เห็นกะโปโลแบบนี้ พี่เอกแอบคุยไว้ว่าเคยไปช่วยงานที่บริษัทมาแล้วด้วย

ผมถามว่า แล้วผลเป็นไง

พี่เอกแกบอกว่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อไม่ยอมให้พวกน้อง ๆ เข้าไปเหยียบที่บริษัทอีกเลย ผมนี่ขำก๊ากเลย 

สรุป ไปป่วนมากกว่าไปช่วย

พอไปถึง พ่อกับแม่พี่เอกกลับมาแล้วครับ ผมงี้เตรียมใจแทบไม่ทัน แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็นแค่เพื่อนรุ่นน้องของพี่เอกธรรมดานั่นแหละ(ถึงจะเคยมีอะไรกันก็เถอะ) ทักทายไปตามปกติเหมือนไปเจอพ่อแม่พี่เป้นั่นแหละ

อีกอย่าง ผมมีผู้ช่วยครับ เป็นสามสาวแสนซนที่เสนอตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวแบบไม่ได้รับเชิญ

“แม่คะ ๆ พี่กายเขาเก่งถ่ายรูปน้า ภาพเขาชนะการประกวดที่มหา’ลัยกวาดรางวัลมาไว้ในอ้อมแขนคนเดียวหมด ทั้งสามรางวัลเลยล่ะค่ะ”

“เนี่ย ๆ พี่เอกจะพาพวกเราไปดูที่แกลลอรี่ชื่อดังด้วย”

“พ่อกับแม่ไปด้วยกันนะ ๆ ๆ ๆ”
สามสาวสลับสับเปลี่ยนกันรายงานเรื่องของผมกันใหญ่

อายครับ ผมนั่งยิ้มเขิน ไม่เคยเจอใครยกขันหมาก เอ้ย ชมเยอะขนาดนี้มาก่อน

“ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกครับ”
ผมรีบแก้ต่าง เห็นคุณพ่อคุณแม่พากันหัวเราะสามสาวกันใหญ่

“แล้วเป็นภาพแนวไหนเหรอที่ชนะ”
คุณแม่ถาม

“รางวัลที่สามเป็นกบกำลังตวัดลิ้นกินแมลง หมอนี่นั่งรอเวลาให้แมลงบินผ่านกบอยู่ชั่วโมงกว่า ๆ เพื่อให้ได้ภาพนี้มา”
พี่เอกครับ เป็นคนรายงาน คนที่เหลือนั่งหน้าสลอนฟังกันเป็นแถว

ที่บอกว่านั่งหน้าสลอนนี่คือ รวมบรรดาพวกคนทำงานบ้านด้วยครับ แม่นงแม่นม มากันหมด

“รางวัลที่สอง เป็นเด็กซกมก เป็นภาพตอนที่พวกเราไปสร้างโรงเรียนให้เด็กดอยกัน กายเข้าไปนั่งจ้องเด็กดอยกำลังกินขนมอยู่เป็นชั่วโมงเหมือนกัน สงสัยเพราะอยากแย่งขนมเด็กกิน”

ผมตีแขนพี่เอกไปที
พอตีเสร็จก็ทำหน้าเจื่อน

ซวยแล้วกู
ไปตีเขาต่อหน้าพ่อแม่พี่น้องเขา ไม่โดนรุมสะกำก็บุญแล้ว พี่เอกนั่งขำใหญ่ ผมด่าทางสายตาแทน แต่พี่แกสำนึกที่ไหน ทำหน้ามึนเล่าต่อได้อีก

“ภาพสุดท้าย น่าจะใช้เวลาถ่ายเร็วที่สุด คงไม่เกินหนึ่งนาทีหรอกมั้ง”
พี่เอกทำท่าคำนวณ

“ทำไมล่ะคะ เป็นภาพอะไรเหรอ”

พี่เอกหันไปยิ้มนุ่มนวลใส่น้อง ๆ

“ภาพพี่เอง”

ผมนั่งก้มหน้า

อายจริง ๆ ครับ

“ว้ายยย จริงเหรอคะ ภาพพี่ได้ที่หนึ่งด้วย ไออยากเห็นซะแล้วว่าภาพที่พี่กายถ่าย เป็นแบบไหน”

ผมเงยหน้ามายิ้มให้สาว ๆ

“เป็นภาพที่พี่ชอบมาก ๆ เลยล่ะ พี่เอกถึงภายนอกจะดูสุขุมเหมือนพระจันทร์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นพระอาทิตย์ดี ๆ นี่เอง”
พอผมพูดจบ พวกนั้นก็พากันเงียบครับ

กูพูดอะไรผิดวะ

หรือกูจะดูคนผิด?

ผมหันไปมองพ่อกับแม่พี่เอก แล้วหันมามองพี่เอกอีกที

“ชักอยากเห็นซะละ”
คุณแม่ว่า

“อื้ม เหมือนกัน”
คุณพ่อพูดตาม

“ใช่ม๊า เพราะงั้นรีบพาพวกหนูไปดูน้า เพราะเขาจะจัดถึงสิ้นเดือนเท่านั้น”
พวกน้อง ๆ รีบอ้อนกันต่อ

ผมอมยิ้ม นั่งคุยกับพวกท่านไปเรื่อย ๆ จนทุกคนรู้ว่าที่ผมมาค้างวันนี้ เพราะต้องการช่วยกันทำแฟมิลี่โฟโต้บุ๊คให้พี่อาร์ต พ่อกับแม่เลยให้ความร่วมมือด้วยการเดินไปหยิบภาพเก่า ๆ จากอัลบั้มในห้องนอนของพวกท่านมายื่นให้เยอะแยะเต็มไปหมด

ดูจากจำนวนภาพที่มีแล้ว สงสัยงานนี้ ต้องทำกันนานชัวร์ 

เหอ ๆ

ลุยครับ เหนื่อยแค่ไหนก็บ่ยั่น ไม่หวั่นแม้วันมามาก(เกี่ยวไรวะ = =)

To Be Con..

ขอบคุณเข้ามาอ่านจ้า ^^
 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2015 21:20:13 โดย memew »

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
ดีใจที่มาต่อในนี้ค่ะ  ขอบคุณนะคะที่ยังนึกถึงเล้าเป็ด
เพราะนึกว่าจะไม่มาต่อในเล้าซะแล้ว เห็นในอีกเวปลงจบแล้ว
อ่านอีกเวปแล้วมันไม่ต่อเนื่อง อารมณ์มันไปไม่สุด
เพราะเนื้อเรื่องมันโดนตัด(โดนแบน)ไปเยอะมากจริงๆ

ปล.ลงวันที่ที่มาอัพก็ดีนะคะ คนอ่านจะได้รู้ว่ามาอัพตอนใหม่แล้ว
รอตอนต่อไปนะคะ  ขอบคุณค่ะ :bye2:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
โอ๊ยยยยยยย อ่านทันแล้วค่ะ :impress2: เหมือนนิยายอาถรรพ์เลยอะ อ่านแล้วเลิกอ่านไม่ได้ แทบจะไปทำอะไรไม่ได้นอกจากอ่านเลย กว่าจะอ่านทันแทบตาย :ling1: :ling1: ความฟินจะจุกอกตาย :m25: เลือดหมดตัว  :jul1: :jul1:  น้องกายก็น่ารักพี่เอกก็หล่อ แถมเพื่อนก็หล่อ ฟินอะฟิน พี่เอกขี้หึงด้วย น้องกายก็ยั่วแบบไม่รู้ตัว  :hao7: :hao6: :hao6: :katai2-1: :katai5: :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


Kiss Love ♥ [30]
ร่วมกันทำโฟโต้บุ๊ค
[เอก...☼]


ตอนนี้พวกเราห้าชีวิตขนขบวนกันมาอยู่ในห้องนอนของผม อยากให้เรื่องนี้เป็นความลับน่ะ ขืนทำกันที่ห้องรับแขก แล้วพวกไอ้อาร์ตกลับมา ความคงแตกกันพอดี

ผมกำลังนั่งเลือกภาพให้ไอ้ตัวเล็กมันอยู่ครับ ส่วนมันทำหน้าที่คัดกรองอีกที มันขนเครื่องก๊อปปี้ภาพถ่ายมาด้วย คือไม่ได้ใช้ภาพต้นแบบ แต่ถ่ายจากภาพต้นแบบอีกที ภาพที่ออกมาเหมือนภาพต้นแบบทุกอย่างครับ บางภาพเอาไปตกแต่งให้ก่อน (มันขนโน้ตบุ๊คมาด้วย มันชอบโน้ตบุ๊คตัวนี้มาก เห็นบอกว่าพ่อเพิ่งถอยมาให้) มันทำงานค่อนข้างละเอียด ส่วนผมก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ครับ

“อ้อนว่าภาพนี้ก็สวยนะ”

“แอมว่าภาพนี้สวยกว่า”

“ไม่อะ ไอว่าภาพนี้ดีกว่า”
น้อง ๆ ผมมันช่วยป่วนมากกว่าช่วยนะเนี่ย

ไอ้ตัวเล็กหยิบสามภาพที่น้อง ๆ เลือกไปดู สักพักมันก็หยิบภาพในมือผมไปแทน
 
“ภาพนี้อาจดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่ถ้าจัดแต่งดี ๆ ภาพนี้จะสวยขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ”
มันพูดอย่างใจเย็น สามสาวพากันบู้หน้า มันแค่หัวเราะเบา ๆ

“ไอชอบภาพนี้ที่สุด”
ไอหยิบภาพที่มันขี่คออาร์ตตอนเด็ก ๆ ขึ้นมาดู 

“พี่อาร์ตเท่ที่สุด”

“อือ ๆ ใช่”

“ตอนนั้นพวกเราแย่งกันขี่คอพี่อาร์ตเนอะ สุดท้าย พี่อาร์ตเลยให้เราขี่หลังแทน ทั้งสามคนเลย”
พูดแล้วก็พากันหัวเราะ

พวกผมเป็นพี่น้องที่รักกันดีครับ ส่วนหนึ่งคงมาจากสามสาวจอมป่วนนี่แหละ พวกนี้รักครอบครัวเป็นที่หนึ่ง ใครที่ทำอะไรให้ครอบครัวแตกแยก หรือเห็นแววปริแตกเพียงนิด พวกน้อง ๆ จะรีบวิ่งเข้าไปอุดรอยร้าวนั้นทันที เลยทำให้บ้านผมครึกครื้นอย่างที่เห็นนี่แหละ

พวกเรานั่งทำกันไปเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ผมหันไปมอง เห็นพ่อกับแม่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามากันเอง

“เพิ่งไปค้นเจอ นี่จ้ะ ภาพตอนพวกหนูเด็ก ๆ”
แม่เดินมายื่นอัลบั้มภาพให้ ผมรับมายื่นให้น้อง ๆ  อีกที

“ว้ายยย นี่ไง ตอนพี่เอกประกวดเดือนคณะ”
ไอ้ตัวเล็กหันมามองด้วยความสนใจ

จริง ๆ ผมเป็นเดือนคณะด้วย พอดียุ่ง ๆ กับการเป็นประธานนักศึกษาเลยไม่ได้สนใจตำแหน่งเดือนคณะเท่าไหร่ มีไปก็เท่านั้น เพราะไงผมก็เด่นอยู่แล้ว(เหมือน ๆ จะได้ยินใครอ้วก)

ภาพนั้นผมอยู่ปีหนึ่ง ตอนขึ้นเวทีประกวดเดือนคณะ
จริง ๆ ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง แต่เห็นคนหิ้วกีต้าร์มาดีดกันหลายคนแล้ว ดีดเหมือนคนอื่นมันคงน่าเบื่อ (ไม่ได้หวังจะชนะอยู่แล้ว) ผมเลยเปลี่ยนใจไปขนเอากลองมาตีในนาทีสุดท้าย

สรุปผมได้ตำแหน่งเพราะเป็นมือกลองที่เท่ที่สุด ภาพนั้นจึงเป็นภาพตอนผมกำลังรัวตีกลองบนเวที

“เท่ดี”
มันชม ผมทำหน้าแทบไม่ถูกเลย

โดนชมก็บ่อยอะนะ แต่พอมันชม ผมแทบจะไปไม่เป็น ไม่แน่ใจว่าคนในบ้านจะจับสังเกตได้ไหม แต่ขอเหอะ ผมยังไม่พร้อมจริง ๆ

“มีอะไรที่พี่ทำไม่ได้บ้างเนี่ย”
แล้วมันก็หันมาชมผมตรง ๆ ผมยิ้ม

“ก็หลายอย่าง”
มันยิ้มบ้าง

“แต่ถ้าพี่คิดจะทำ พี่ก็ทำได้ พี่อะ เก่งอยู่แล้ว”

มึง อย่าชมกูมากได้ไหม กูเขิน
ผมเสหน้าไปทางอื่น พยายามตีหน้าให้นิ่งที่สุด มันก้มหน้าอยู่เลยไม่ได้สนใจมอง แต่พวกทโมนมันเห็นเลยพากันล้อผมทางสายตา

“พี่เอกเขินใหญ่เลย ไม่บ่อยนะเนี่ยที่จะเห็นพี่เอกเขิน”
มันเงยหน้าขึ้นมองสามสาวก่อนหันมองมาทางผม มันเอียงคอทำท่าฉงน

“พี่เอกเคยเขินด้วยเหรอ หน้าออกจะด้าน”
พูดจบ มันรีบเอามืออุดปากทันที พ่อกับแม่พากันขำใหญ่ ไม่ต่างกับพวกน้อง ๆ มีผมนี่แหละ ที่นั่งหน้าบูดอยู่คนเดียว

“แหะ ๆ ผมล้อเล่น”
แล้วมันก็รีบหันไปจิ้ม ๆ ภาพกับสามสาวกลบเกลื่อน ไม่สนใจหน้าหงิก ๆ ของผมอีก

แม่ม รู้สึกหัวตัวเองเหม็น ๆ ยังไงชอบกล

ตอนนี้พวกเราชักสนุกแล้วครับ พ่อกับแม่ที่ตอนแรกว่าจะเข้านอนก่อน ก็ลงมานั่งล้อมวงกันอยู่ที่พื้น(ตอนแรกอยู่บนเตียง แต่พื้นที่ไม่พอเลยพากันมานั่งทำที่พื้นแทน) พ่อกับแม่ช่วยกันเลือกภาพ ได้เยอะแล้วเหมือนกัน

“แม่ชอบภาพนี้ เอาภาพนี้ดีกว่า”

“แต่พ่อชอบภาพนี้นะ เอาภาพนี้ดีกว่า”
พ่อกับแม่เริ่มก่อสงครามเล็ก ๆ กันแล้วครับ

"ภาพนี้ดีกว่า"

“ภาพนี้สิคุณ ตาอาร์ตออกจะน่ารัก”

“ภาพนี้สิคะ น่ารักกว่า”
ยังเถียงกันอยู่ครับ

“กายว่าของใครดีกว่ากัน”
สุดท้าย แม่หันมาหาตัวช่วยเป็นไอ้ตัวเล็กครับ

มันยื่นหน้าไปมองสองรูป
ตอนนี้มันเริ่มเลื้อยแล้ว ช่วงแรกก็นั่งทำอยู่ดี ๆ อยู่หรอก สงสัยนั่งมาก เมื่อย มันเลยทิ้งตัวนอนคว่ำแล้วดึงเอาตุ๊กตาหมีของผมมาหนุนไว้ที่หน้าอก ผมพยายามไม่มองภาพตรงหน้า

ผมรู้ว่าผมเป็นพวกหื่นเก็บ พอเห็นใครถูกใจก็ตื่นได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับมัน แต่ก่อนได้ยินเสียงคราง ได้จับนู้นจับนี่ถึงตื่น แต่ช่วงหลัง ๆ มานี่ แค่เห็นรูปร่างมัน ผมก็ตื่นแล้ว ยิ่งมันมานอนคว่ำหน้ายกตัวสูงแบบนี้ ยิ่งทำให้เน้นเรือนร่างด้านหลังมันเข้าไปใหญ่
เอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น

เห็นแล้วอยากจับเสียบฉิบหาย

มันมองภาพของพ่อกับแม่อยู่สักพัก คิ้วได้รูปขมวดบาง ๆ พยายามคัดภาพสองภาพ ก่อนเงยหน้ามองพ่อกับแม่ที่ยังทำหน้าลุ้น มันคงเลือกยาก ขืนเลือกของพ่อ แม่ก็ต้องงอน เลือกของแม่ พ่อก็ต้องน้อยใจ

มันเลยตัดสินใจ…

“เอาทั้งสองภาพนี้แหละครับ”
แล้วมันก็เอาโพสต์อิทมาเขียนอะไรยึกยือลงไป แปะไว้บนภาพอีกที

พ่อกับแม่พากันยิ้มหน้าบาน ผมก็พลอยยิ้มตามไปด้วย

เป็นทางออกที่ดีนะ
แล้วเราก็นั่งเลือกภาพกันจนเกือบห้าทุ่ม พ่อกับแม่เริ่มง่วง ท่านเลยขอตัวไปนอนก่อน

“อย่านอนกันดึกมากนะลูก ค่อยมาทำกันวันอื่นก็ได้”
แม่สั่งก่อนไป พวกผมพยักหน้า พวกทโมนตาปรือแล้วเหมือนกัน เด็กอนามัยครับ ปกติสามสี่ทุ่มก็พากันหลับแล้ว เห็นนั่งเลือกภาพกันไปตาปรือหัวชนกันไป

“พวกหนูไม่ไหวแล้ว ไปนอนก่อนนะคะ”
แล้วพวกนั้นก็พากันเดินโซเซยกโขยงออกจากห้อง เหลือผมกับไอ้ตัวเล็กไว้สองคน

ผมกับกายกำลังเลือกภาพกันอยู่ พวกทโมนก็เยี่ยมหน้าโผล่พ้นขอบประตูเข้ามาแค่ส่วนหัว เรียงกันสามหัวจากบนลงล่าง(ทำกันได้ไงวะ)

“นอนหลับฝันดีนะคะ พี่เอก พี่กาย”
พวกมันปิดประตูลง สักพักก็ได้ยินเสียงกรี๊ดเบา ๆ ด้านนอก ผมหัวเราะหึ ๆ หันมามองคนที่มองสิ่งเดียวกับผมอยู่ เรามองตากันแล้วอมยิ้ม

แล้วเราก็กลับมานั่งเลือกภาพกันต่อ เห็นมันยังยิ้มไม่หุบจนผมอดสงสัยไม่ได้

“มีอะไร ยิ้มอยู่ได้”
มันเงยหน้ามอง

“ก็ผมดีใจ”
ผมเลิกคิ้วสูง มันดันหมอนต่ำลงไปที่ช่วงท้องเพื่อยกช่วงบนให้สูงขึ้น

“ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่หรือน้อง ยกเว้นลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ต่างจังหวัดน่ะนะ แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนมีพี่และน้องเพิ่มขึ้น เลยรู้สึกดีใจน่ะ”
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง ๆ ก่อนที่มันจะก้มลงไปเขียนอะไรขยุกขยิกบนโพสต์อิทต่อ

“พี่ง่วงแล้ว”
ผมบอก มันเงยหน้ามอง

“งั้นพอแค่นี้ก่อนก็ได้ วันหลังค่อยมาทำ”
มันลุกขึ้นเก็บรวบข้าวของไว้ด้วยกัน ยังไม่ทันจะเสร็จผมก็ดึงมันมานั่งบนตักผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่

“พี่เอก!!”
มันทำหน้าตื่น

“ทำให้พี่หายง่วงหน่อยสิ”

“ง่วงก็ไปนอนสิ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำก็ได้”
มันรีบบอกมือก็ผลักตัวเองออกใหญ่ ผมไม่ปล่อยครับ รัดเอวมันไว้ มันรีบดึงมือผมออก ผมยิ้มพราวให้มัน

“พี่เอก นี่บ้านพี่เอกนะ”
ผมเลิกคิ้ว

“ทำไม พี่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเราสักหน่อย แค่บอกว่าทำให้พี่หายง่วงที”
มันทำหน้าเสีย อ้าปากค้าง ก่อนหน้าแดง

“งั้นผมจะไปชงกาแฟให้”
มันทำท่าจะลุก

“ดึกแล้ว พี่ไม่อยากกินกาแฟ”
ผมคลายเอวมันไว้หลวม ๆ แต่ไม่ยอมให้มันดิ้นหลุด

“งั้นพี่ก็ไปอาบน้ำ”

“อืม เป็นความคิดที่ดี งั้นอาบด้วยกันดีกว่า”

“ดะ เดี๋ยวพี่เอก ผมอาบมาแล้ว”
มันรีบยื้อ

“แต่พี่ยังไม่ได้อาบ”

“พี่ก็อาบไปคนเดียวสิ”

“ไม่เอา อาบคนเดียว พี่คงหลับคาห้องน้ำ กายมาอาบเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า”
ผมรีบลากมันเข้าห้องน้ำทันที มันยื้อใหญ่ สุดท้ายก็แพ้แรงผมครับ ผมจับมันรูดทรัพย์จนเหลือแต่เนื้อหนังล่อนจ้อน ไม่ต่างกับตัวเอง ก่อนหันไปเปิดน้ำใส่อ่างจนเต็ม

ที่คอนโดไม่มีอ่าง แต่ที่บ้านมี มันยังพยายามดิ้นอยู่ ผมลากมันลงไปนั่งในน้ำด้วยกัน

“ดื้อ”
มันหันมาต่อว่า ผมทำหูทวนลม เอนหลังแช่อยู่ในอ่าง ดึงมันมานอนบนอกอีกที รั้งเอวมันไว้ด้วยสองมือกันหนี มันพยายามจะลุก

“ผ่อนคลายหน่อยน่า พี่เหนื่อย”
ผมบอกมันเสียงเหนื่อย จริง ๆ ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอก แต่พอผมบอกมันงี้ทีไร มันจะยอมผมทุกที

แล้วมันก็ได้ผล
จากที่ดิ้น ๆ อยู่ หยุดลงทันที ผมอมยิ้ม ปิดเปลือกตาลง กดปุ่มให้น้ำมันวิ่งวนนิดหน่อย ไม่แรงมาก พอให้มันเกิดฟองนวดตัวเบา ๆ มันคงชอบ จากที่นั่งเกร็ง ๆ อยู่ก็ผ่อนคลายมากขึ้น

จากที่มันนอนพิงตัวผมอยู่ มันเริ่มนั่ง แล้วยื่นมือไปหยิบเป็ดน้อยจากริมอีกฝั่งมาดู(พวกทโมนมันเอามาฝากน่ะ ) ผมอมยิ้ม มองมันเล่นเป็ดน้ำไป

“เด็ก”
ผมแอบกัดมันเบา ๆ มันหันขวับมามอง ทำหน้าบูดหน่อย ๆ แล้วหันไปเล่นต่อ ผมนอนเล่นไปเรื่อย ๆ เป็ดน้อยของมันแหวกว่ายตามน้ำไปยังอีกฝั่ง มันกระเถิบตัวไปหยิบ แต่มันคงลืมไปว่านั่งอยู่บนตัวผม พอมันเขยื้อนก็ทับน้องเป็ดยักษ์ของผมในน้ำมันกระตุกเบา ๆ พาเอาไอ้ตัวเล็กหันขวับมามอง ผมยิ้มนิด ๆ ให้มัน มันรีบกลับมานั่งสงบในน้ำไม่เล่นอะไรอีกเลย ผมอมยิ้ม

ขี้อายได้อีก

เรานอนกันอยู่แบบนั้นจนขี้ไคลมันหลุดลอกผมถึงได้พามันขึ้น มันอาบน้ำแล้ว เลยไม่ต้องอะไรมาก แต่ผมยังไม่ได้อาบ เลยล้างตัวนานนิดหนึ่ง

มันพันผ้าเช็ดตัวที่เอว จะเดินไปหยิบชุดเดิมมาใส่ แต่ผมเบรกไว้ก่อน

“เดี๋ยวพี่หยิบชุดให้ใหม่ ชุดนั้นนอนไม่สบายหรอก”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ชุดแบบนี้ผมใส่นอนประจำ”
ผมไม่สนใจคำตอบ หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอว เดินเข้าไปหามัน หน้ามันแดงหน่อย ๆ จ้องมองหน้าอกผมที่เคลือบไปด้วยหยดน้ำ

ผมคว้าชุดมันมาถือไว้ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

เดาสิ ผมจะหยิบชุดไหน

แน่นอน ชุดสุดเซ็กซี่ เป็นเสื้อเชิ้ตครับ มันมองหน้าตอนผมยื่นชุดให้ คราวนี้เป็นสีฟ้าครับ ไม่ใช่สีขาว แต่เสื้อมันก็บางเบา แถมยังพลิ้วอีกต่างหาก

“ผมไม่เอาชุดนี้ได้ไหม เสื้อยืดหรือกางเกงบอลสักตัวก็ยังดี”
มันต่อรอง ผมส่ายหน้า

“ชุดนี้ หรือนอนโป๊”
ผมให้ทางเลือก มันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ยอมรับไปใส่ ส่วนผมก็หยิบชุดนอนมาใส่บ้างเหมือนกัน ของผมเป็นแค่เสื้อยืด
กับกางเกงเอวสวมเลยใส่ง่าย แต่ของมันเสื้อเชิ้ตกระดุมเยอะ กว่าจะติดครบทุกเม็ดผมก็แต่งตัวเสร็จแล้ว

เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องน้ำ ผมพยายามระงับอารมณ์ตัวเองไว้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วครับ แค่เห็นขาขาว ๆ ของมันด้านหลัง น้องผมก็กระตุกดุ๊กดิ๊กแล้ว มันยืนติดกระดุมอยู่ ผมเดินเข้าไปสวมกอดมันจากด้านหลัง มันเอี้ยวหน้ามามอง

“พี่ชอบนะ หุ่นกายเซ็กซี่ดี”
ผมชม มันหน้าแดงใหญ่ มือยังค้างติดกระดุมสามเม็ดบนอยู่ ผมเลยจับมันหันมาเผชิญหน้า แล้วช่วยติดกระดุมให้
มันมองงง ๆ ผมไม่พูดอะไร เพียงแค่ติดกระดุมไปเรื่อย ๆ เหลือไว้แค่เม็ดบนเท่านั้น

“ขอบคุณครับ”
มันบอก ผมก้มกระซิบข้างหูมัน

“ขอค่าติดกระดุมด้วย”
มันอ้าปากค้าง ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่

“ผมขอตัวนะฮะ ง่วงแล้ว”
มันรีบหันหลัง แต่ผมจับข้อมือมันไว้ก่อน

“ค่าติดกระดุมพี่ล่ะ”
ผมพูดเรียบ ๆ มันหันซ้ายหันขวา คงพยายามหาข้ออ้างดี ๆ มาปฏิเสธ

“แล้วจะเอาอะไร”
มันก้มหน้าถามเสียงแผ่ว ผมอมยิ้ม

“ตรงนี้”
ผมจิ้มแก้มซ้ายตัวเอง มันเงยหน้ามอง ทำหน้าอึดอัดนิดหน่อย ก่อนยืดตัวจนสุดเท้าขึ้นมาหอมแก้มผม

“ตรงนี้ด้วย”
ผมจิ้มไปที่แก้มอีกข้าง มันทำท่าอึดอัด ก่อนยืดขึ้นมาหอมแก้มอีกข้าง

“แล้วก็ตรงนี้เป็นที่สุดท้าย”
ผมจิ้มไปที่ริมฝีปากตัวเอง มันทำหน้าเหวอ เม้มปากแน่น ก่อนค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นมาจุ๊บปากผมเบา ๆ

“เป็นเวลาหนึ่งนาที”
ผมบอกต่อ มันทำหน้าเหวอยิ่งกว่าเดิม
“แบบแลกลิ้นด้วย”
ก่อนเพิ่มเติมกฎเข้าไปอีก

“พี่เอก”
มันเรียกชื่อผมเพื่อเรียกความเห็นใจ

“ค่าติดกระดุม”
ผมทวง มันเม้มปากแน่น อยากเถียง แต่มันก็รู้ว่าเถียงสู้ผมไม่ได้

“แค่จูบนะ”
มันต่อรอง ผมพยักหน้า

มันยืดเท้าขึ้นมาจูบ แต่ตัวมันเตี้ยครับ เลยต้องโอบสองแขนไว้รอบคอผมเพื่อพยุงตัวมันเอง ผมยืนอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้มันเป็นฝ่ายนำ ลิ้นเก้ ๆ กัง ๆ พยายามกระตุ้นให้ลิ้นผมตอบรับ ผมปล่อยให้มันทำอยู่สักพักก่อนตวัดปลายลิ้นตอบรับมันบ้าง

ผ่านไปสามสิบวิ ผมเริ่มเป็นผู้คุมเกม ตวัดปลายลิ้นหยอกล้อมันภายใน หน้ามันเริ่มแหงน ลมหายใจเริ่มเปลี่ยนจังหวะ มือผมที่อยู่เฉย ๆ เลื่อนไปเกาะไว้ที่เอวมันหลวม ๆ ไล่ต่ำลงไปที่สะโพก

ผ่านไปมากกว่าสองนาที เราสองคนยังไม่ได้ละริมฝีปากออกจากกัน มือไม้มันเริ่มหาที่ระบายเป็นแถวท้ายทอยของผม
ผมบีบแก้มก้นมันแรงเลื่อนลงไปที่ต้นขา มันครางออกมาเสียงเบาในลำคอ

“พี่เอก…”
มันละริมฝีปากออกมาครางเรียก ปากมันฉ่ำแล้วก็แดงจนผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปกดจูบอีกรอบ

ผมยกขามันข้างหนึ่งมาเกาะไว้ที่สะโพก มือไม้เริ่มเคล้นคลึงหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้น้องผมมันตื่นเต็มที่แล้วครับ ตั้งโด่ไปชนหน้าท้องมันแล้ว ของมันเองก็เต็มที่แล้วเหมือนกัน

ผมถอนริมฝีปากออกช้า ๆ มาจ้องมองดวงตาพร่าเลือนของมัน ผมยิ้ม เลื่อนริมฝีปากลงไปยังซอกคอที่ยังหอมจรุงด้วยกลิ่นสบู่ ไซ้เบา ๆ ก่อนโหมแรงระรานมากขึ้นเรื่อย ๆ มันหอบหนักเอียงคอทั้งรับทั้งหนีปากผม

ผมดันมันให้ถอยร่นจนชนขอบเตียงล้มนอนหงายไปบนที่นอน ผมทิ้งตัวลงตาม แทรกกลางระหว่างขามัน ใช้หัวเข่าดันสองขามันออกกว้าง แล้วทำการเชื่อมร่างของเราเอาไว้ด้วยกัน 

คับครับ คับจริง ๆ

ผมแทบจะเข้าไม่ได้ แต่ก็พยายามกดแทรกเข้าไปให้มากที่สุด ไม่อยากรุนแรงครับกลัวมันเจ็บ ไม่นานผมก็ผสานรวมร่างกับมันได้สำเร็จ

“กาย”
ผมกระซิบเรียกมันเสียงทุ้ม

ร้อนครับ แน่นด้วย มันรัดจนผมปวดไปหมด ผมแช่ร่างไว้อย่างนั้น ลูบหัวมันเบา ๆ จูบซับแก้มให้มันผ่อนคลาย ผ่านไปสักพัก ผมเริ่มขยับถอนร่างตัวเองออกแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ มันครางฮือ แหงนหน้า กำผ้าปูที่นอนแน่น

ผมกัดฟัน เคลื่อนที่เข้าออกช้า ๆ อยู่อย่างนั้นจนช่องทางเริ่มไหลลื่นถึงได้เพิ่มจังหวะเป็นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เสียงครางของมันก็ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน

“กาย...”
ผมครางเรียก เร่งจังหวะนำพามันไปถึงฝั่งฝัน

ผมยอมรับครับ ว่าผมกำลังหลงเรือนร่างนี้เข้าให้แล้ว

“นี่ ออนท็อปให้พี่หน่อยสิ”
ผมพลิกมันขึ้นไปนั่งด้านบน

“พอแล้ว”
มันรีบบอก เพราะเราสองคนเพิ่งเสร็จกันไปเมื่อตะกี้

“ถ้าออนท็อปถูกใจพี่ พี่จะจบแค่รอบเดียว แต่ถ้าไม่ พี่จะต่อทั้งคืน”
ผมขู่ มันหน้าแดง

“พี่สัญญาแล้วนะ”
มันทวง ผมพยักหน้า เขยิบตัวขึ้นไปนั่งพิงกำแพงหัวเตียงโดยใช้หมอนสองใบรองรับหลัง กางขาออกนิด ๆ วางราบไปกับพื้น

มันเขยิบตัวมาเหนือน้องผม จ้องมองนิดหน่อย ก่อนตัดสินใจ กดร่างตัวเองลงไปช้า ๆ

น่ารักดีครับ ท่าทางยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ดูมีเสน่ห์ดี

ผมครางออกมาเบา ๆ เวลาทำเองกับมีคนทำให้นี่มันคนละอารมณ์กันเลย มันยกตัวขึ้นช้า ๆ แล้วค่อย ๆ กดตัวเองลงไป ลมหายใจติดขัด สองมือจับไหล่ผมแน่นเพื่อพยุงตัวเอง

“อืม พี่เอก”
มันครางออกมา ผมนั่งยิ้ม ให้มันทำเองไปเรื่อย ๆ สักพักมันก็เปลี่ยนจังหวะจากยกตัวเองขึ้นลงเป็นโยกไหวเข้าออกแทน

จะท่วงท่าแบบไหน ผมก็รู้สึกดีครับ
ผมหรี่ตาอดทนด้วยความเสียวสะท้าน จ้องคนที่ก้มหน้าโยกไหวร่างกายไปเรื่อย ๆ

สักพักมันก็เงยหน้าพาปากแดง ๆ มาครางเรียกชื่อผม ผมรีบประกบปากมันทันที มันครางฮือ เพราะโยกตัวไม่ถนัด ผมถอนปากออกอย่างเสียดาย

มันเริ่มต้นโยกใหม่ ด้วยจังหวะเชื่องช้า ผมเลื่อนมือไปจับเอวมันไว้ จับไหวรุนแรงมากขึ้น มันครางเสียงหนักเลย ยิ่งมันครางเสียงดังมากเท่าไหร่ ผมยิ่งจับมันโยกแรงมากขึ้นเท่านั้น จวบจนมันกรีดร้องพาผมไปถึงปลายทางแห่งความสุขอีกรอบ 

มันนั่งหอบหนักพิงหน้าเข้ากับอกผม ผมเองก็หมดแรงนั่งแหงนหน้าพิงหัวไว้ที่กำแพงเหมือนกัน หยาดน้ำอุ่น ๆ ของผมภายในของมันเริ่มพากันหาทางออกมาด้านนอกแล้ว พอลมหายใจผมเริ่มกลับมา ผมก้มกระซิบมันข้างหูอีกครั้ง

“เมื่อกี้นี้พี่ไม่นับนะ เพราะพี่เป็นฝ่ายช่วย”
มันเงยหน้าเหนื่อย ๆ ขึ้นมอง

ผมก้มจูบมันอีกที

ใครว่าผมเป็นคนดีครับ ผมอะ ทั้งเลว เจ้าเล่ห์ แถมยังหื่นอีกต่างหาก

ฮ่า ๆ  ๆ
*** ***

 
To Be con...
ครับ เพราะพี่เป็นพระเอกไง :-[

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [31]
หา!! พี่เชนชอบผม
[กาย...♥]


ผมรู้ครับ ว่าผมคงเป็นคนที่บื้อที่สุดที่ยอมพี่เขาทุกอย่าง

แต่ก็นะ
รู้เขาหลอกแต่ก็ยอมให้หลอก ผมชักอยากร้องเพลงนี้ขึ้นมาดัง ๆ ซะแล้ว

เมื่อคืนพี่มันเจ้าเล่ห์ บอกว่าถ้าผมออนท็อปให้จะจบแค่รอบเดียว แต่พอผมจะเสร็จ พี่มันก็ดันเข้ามาช่วย แล้วบอกว่าไม่นับ เพราะงั้นเมื่อคืนพี่มันเลยฟัดผมจนเปรม ดีว่าไม่ได้ฟัดผมดึกมาก เพราะอยากให้ตื่นขึ้นมาทานข้าวเช้าแบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน (ไม่งั้นพวกทโมนจะมาอาละวาดครับ)

พี่เอกปลุกผมแต่เช้า ผมกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงใส ๆ ของสามทโมนตะโกนเรียกแล้ว พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกไปข้างนอก เห็นสามสาวในชุดนักเรียนน่ารักนั่งรอเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่ขอบเตียง

“นอนหลับฝันดีไหมคะพี่กาย” คนที่นั่งอยู่ตรงกลางเป็นคนถาม

“ก็ดีครับ”
ถ้าผีผ้าห่มไม่หลอกดึกมากเมื่อคืนอะนะ ผมอ้อมแอ้มตอบ เกาแก้มตัวเองแก้เขิน

โกหกไปก็คงไม่พ้นที่สามสาวจะรู้อยู่ดี

พี่เอกยิ้มเจ้าเล่ห์ หันไปชู 4 นิ้วให้พวกทโมนดู พวกน้อง ๆ ก็พากันกรี๊ดใหญ่

เดากันได้ใช่ไหมฮะ ว่าสี่นิ้วนั้นคืออะไร
ผมรีบเดินไปเก็บรวบเอาของที่จำเป็นเข้ากระเป๋า หลังจากมื้อเช้า ผมจะกลับบ้าน เพราะมีเรียนบ่าย

พวกน้อง ๆ วิ่งออกจากห้องไปก่อน ตามติดด้วยผมกับพี่เอก ข้างล่างผมเห็นคุณพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะทานอาหาร ส่วนคุณแม่นั่งอยู่ข้างกันกำลังคุยกับป้าหวิงที่กำลังจัดเตรียมสำรับอยู่ พวกทโมนพากันนั่งเรียบร้อยที่ตำแหน่งตัวเองแล้ว คุณพ่อคุณแม่ละจากกิจกรรมที่ทำหันมามอง 

“ตื่นกันแล้วเหรอหนุ่ม ๆ”
คุณแม่ทักด้วยรอยยิ้ม เห็นแล้วนึกถึงแม่ขึ้นมาทันที แต่เวลาแม่ผมตื่นนอนจะเบลอกว่านี้เยอะ

“ครับ อรุณสวัสดิ์ คุณลุงคุณป้า”
ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พี่เอก

“โห คุณลุงแต่งสูทหล่อจัง น่าจับถ่ายรูปสักแชะสองแชะนะเนี่ย”
ปากผมมันไปเองครับ เห็นใครหล่อเป็นอยากถ่ายรูปไปหมดแหละ แม้ท่านจะอายุมากแล้วก็ตาม แต่รูปร่างหน้าตายังดูดีอยู่เลย ไม่ได้หล่อหน้าเด็กแบบพ่อผม แต่ก็หล่อแบบผู้ใหญ่วัยทำงาน ดูภูมิฐานสมวัยดี
คุณพ่อขยับเนื้อตัวเก็กหล่อขึ้นมานิดหนึ่ง ผมอมยิ้ม หันไปทางคุณแม่บ้าง

“คุณป้าก็สวยแต่เช้าเลย วันนี้จะไปออกงานที่ไหนรึเปล่าครับ”

“แหมกายละก็"
คุณแม่ทำท่าเขิน น่ารักดี

“อย่าเรียกว่าป้าได้ไหม ฟังดูแก๊แก่” แกจับหน้าตัวเองไว้เบา ๆ “เรียกแม่ดีกว่า ดีใจจังได้ลูกชายเพิ่มอีกคน” แล้วคุณแม่ก็หันไปกรี๊ดกับคุณพ่อเบา ๆ

“ก็ดี งั้นเรียกลุงว่าพ่อเลยละกัน”
ง่าย ๆ ครับครอบครัวนี้ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่

“ครับคุณพ่อคุณแม่” ผมรับปาก

“พี่เอก หุบยิ้มบ้างก็ได้นะคะ”

“ใช่ ไอกลัวเหงือกพี่แห้ง”

“อะ เติมน้ำให้เหงือกหน่อย”
สามตัวป่วนแซวพี่มัน พี่เอกง้างมะเหงกให้ที ผมอมยิ้มให้พี่แกเลาะเลยไปที่น้อง ๆ

“พูดมาก กินเร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”

“ไม่กลัว เพราะวันนี้เรามีสารถีมือดี”
ครับ ปกติถ้าพี่เอกอยู่บ้าน ส่วนมากจะเป็นคนไปรับไปส่งพวกน้อง ๆ ไปเรียนน่ะ (จริง ๆ ถูกบังคับมากกว่า) ผมหัวเราะ หันไปขอบคุณป้าหวิงที่กำลังตักข้าวให้

มื้อนั้นผ่านไปด้วยดีครับ โดนคุณแม่พี่เอกสอบสวนเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย ในขณะที่พี่เอก หันไปคุยเรื่องงานกับคุณพ่อ

พอจบมื้อเช้า สามสาวรีบวิ่งเข้ามาเกาะแขนผมซ้ายขวา ผมหัวเราะ พี่เอกเป็นสุภาพบุรุษเสมอ เปิดประตูให้น้องสาวเข้าไปนั่งเบาะท้ายทั้งสามคน ในขณะที่เบาะหน้าตกเป็นของผม
ระหว่างทางสาว ๆ ก็พากันเม้าท์แตกครับ เผาพี่ตัวเองบ้าง พี่อาร์ตบ้างพี่อิฐบ้าง ไม่ก็เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ผมก็นั่งฟังไปหัวเราะไป ส่วนพี่เอกขับรถไปเงียบ ๆ ไม่นานก็มาถึงโรงเรียนของน้อง ๆ

ผมกวาดมองไปรอบ ๆ สถานที่ที่เรียกว่าโรงเรียน

โห จะหรูหราอลังการงานสร้างไปไหน

“เจอกันตอนเย็นนะคะพี่กาย บ๊ายบายค่ะ”
สาว ๆ แย่งกันโบกไม้โบกมือล่ำลา เปิดประตูก้าวลงจากรถทีละคน ผมยิ้มโบกมือไหว ๆ กลับบ้าง

พอออกไปยืนนอกตัวรถปุ๊บ สามสาวก็พากันเปลี่ยนโหมดแทบจะทันที ผมเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ 

โห สมกับเป็นพี่น้องกันจริง ๆ 
เพราะตอนนี้ผมกำลังเห็นสามสาวในมาดคุณหนูสุดเรียบร้อย (ทิ้งคราบลิงทโมนเมื่อกี้นี้ไปเลย) ใบหน้ารื่นเริงถูกปรับให้เรียบตึงราวกับตุ๊กตาไร้อารมณ์ เดินเรียงแถวหน้ากระดาน สองมือถือกระเป๋านักเรียนไว้ด้านหน้า ก้าวเท้าพร้อมเพรียงกันเดินเข้าประตูโรงเรียน โดยมีสายตาของนักเรียนคนอื่น ๆ (โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ) มองตามกันเป็นแถว ผมหันไปหาพี่เอก พี่มันยิ้ม

“อย่าไปใส่ใจเลย แค่ไม่อยากให้คนเข้ามายุ่งวุ่นวายมากน่ะ”
ผมถึงบ้างอ้อทันที

พวกน้อง ๆ ก็น่ารักกันจริง ๆ นี่นา ไม่มีหนุ่ม ๆ เข้ามาจีบเลยนี่สิแปลก แต่ถ้าคิดจะเข้ามาจีบกันจริง ๆ คงต้องแยกให้ออกก่อนว่าใครเป็นใคร

พี่เอกส่งผมกลับบ้าน แล้วพี่แกก็ขับรถเลยไปมหา’ลัยต่อเพราะมีเรียนช่วงเช้า ส่วนผมขอนอนเอาแรงอีกสักหน่อยก่อน เหนื่อยครับ ทั้งทำภาพ ทั้งโดนฟัด

พอนึกถึงคนเจ้าเล่ห์หน้าตายเมื่อคืนก็พาเอาหน้าร้อนขึ้นมาอีก

“ตาหื่นเอ้ย”
ผมแอบบ่นหงุมหงิม ปิดเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้สติค่อย ๆ จางหายไป








ผมตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเบา ๆ ผมหันไปมอง ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ ที่ไหนได้ เป็นเสียงเรียกเข้านี่เอง

ความลับที่คนอื่นยังไม่รู้ ผมเป็นพวกปลุกยาก แต่ถ้าเป็นเสียงนาฬิกาปลุก ผมจะตื่นแทบจะทันที (มันชินน่ะนะ ฟังมาตั้งแต่เด็ก) ผมคว้าโทรศัพท์มากดรับทันทีโดยไม่มองเบอร์

“ครับ”
ผมกรอกเสียงเบลอ ๆ ไปตามสาย

“ยังไม่ตื่นอีกเหรอ นี่บ่ายกว่าแล้วนะ”
ปลายสายหัวเราะ ผมพลิกหน้าจอดูว่าใครโทรมา

“พี่เชน!”
ผมรีบตื่นเต็มตาทันที

“ตอนเย็นไปทำงานที่ร้านไหม”

“ไปฮะ”
ผมพยายามปรับเสียงให้สดใสขึ้นมาอีกหน่อย

“เดี๋ยวพี่จะแวะไปกินกาแฟ”
ผมยิ้มรับ คุยกันอีกนิดหน่อยก็ลุกไปล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปมหา’ลัย หันไปมองรูปถ่ายของพ่อกับแม่บนหัวเตียง

“สักวันผมจะทำให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกันให้ได้”
ว่าแล้วก็โทรหาแม่สักหน่อย ผมหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก สักพักปลายสายก็กดรับ

“นอนบ้างรึยังเนี่ย”

“นอนแล้ว สบายดีนะลูก”

“ครับสบายดี”

“โทรมาก็ดีเลย แม่เพิ่งปิดต้นฉบับนิยายเรื่องล่าสุดไป มาเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ก็อย่างที่คุณเห็น แม่จะเห็นค่าผมขึ้นมาก็ตอนนี้แหละ

“ช่วงไหนไม่มีเรียนก็ลามาสักวันสองวันค่อยกลับ หรือถ้าเป็นไปได้ เสาร์อาทิตย์นี้เลยยิ่งดี”
ผมคงเป็นพนักงานที่ลาบ่อยที่สุดละมั้งถ้าทำแบบนั้น

“แม่จะอยู่อีกนานไหม”
ผมถามเพราะดูท่างวดนี้แกจะติดลมบน ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงไม่กลับกรุงเทพง่าย ๆ แน่

“ไม่มีกำหนด”
ผมหัวเราะหึ ๆ ที่เดาถูก ผมรับปากแม่ไป ใจจริงก็อยากเที่ยวอยู่เหมือนกันเชียงใหม่เนี่ย ไม่ได้ไปมานานแล้ว อยากชวนไอ้เต้ยไปด้วย มันจะได้ห่าง ๆ จากพี่เป้ซะบ้าง

ผมปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก สักพักมันก็รับสาย

“เต้ย แม่กูชวนไปเที่ยวเชียงใหม่ว่ะ ไปด้วยกันสักวันสองวันไหม” มันทำเสียงดี๊ด๊า ขาเที่ยวเหมือนกันครับ ก่อนทำเสียงเหี่ยว

“กูอยากให้พี่กูไปด้วยจัง”

“เอาน่า ไปกับกูหน่อย ไปแค่ไม่กี่วันก็กลับ”
ไม่กี่วัน มันก็ตัดโอกาสหนึ่งเดือนของไอ้เต้ยไปได้เยอะเหมือนกัน

มันรับปาก แค่นั้นผมก็ดีใจแล้วล่ะ









คุณคิดว่าผมเป็นพนักงานที่ยิ้มเก่งไหม

ปกติไม่ขนาดนี้หรอก ยกเว้นตอนนี้
ผมกำลังยิ้มรื่น เพราะพี่เชนแกมานั่งกินกาแฟที่ร้าน มันไม่สำคัญเท่าไหร่ ถ้าพี่แกไม่หอบเอาภาพที่แกกำลังคัดอยู่ว่าจะเอาภาพไหนลงแสดงดีมาทำด้วย พอไม่มีลูกค้า ผมเลยเดินไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ดูภาพกับแก

ส่วนไอ้เต้ย มันเดินตามตูดพี่มันอยู่ครับ เดินตามแบบไม่มีเหตุผล แค่เดินตามเฉย ๆ เหมือนหมาติดเจ้าของ
สงสารพี่เป้เหมือนกัน แต่ตอนนี้พี่เชนสำคัญกว่า ผมยืนดูรูปสองรูปที่พี่แกยื่นให้ พนักงานคนอื่นไม่ว่าครับ เพราะพี่เชนทิปหนักมาก (ให้ทิปเยอะกว่าค่ากาแฟหลายเท่า ที่นี่ทิปรวมครับ ผมได้คนอื่นก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ แล้วผมกับไอ้เต้ย อ้อพี่เป้อีกคน ดันเป็นตัวดึงดูดลูกค้า ได้ทิปเป๋าตุงอยู่เรื่อย)

ว่าไปทำงานแบบนี้ก็ได้เงินกินขนมเยอะดีนะ มาทำไม่กี่วันได้เงินตั้งเยอะแน่ะ แต่เก็บยัดบัญชีครับ ผมไม่ใช่พวกสิ้นเปลือง แถมเงินที่พ่อกับแม่ให้ทุกเดือนก็มากโขอยู่ ของที่ผมอยากได้จริง ๆ ส่วนมากก็พวกอุปกรณ์กล้องนั่นแหละ แต่ละอย่างก็ไม่ใช่ถูก ๆ บางตัวซื้อที เงินแทบหมดบัญชี ผมถึงได้รักลูก ๆ ของผมทุกชิ้นไง

ที่เหลืออยากได้อะไร พ่อกับแม่ก็จะซื้อให้ซะหมด
อย่างล่าสุด ผมบอกพ่อว่าจะทำเว็บบอร์ด คงต้องเก็บเงินซื้อโน้ตบุ๊คสักเครื่อง ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ก็มีโน้ตบุ๊คส่งมาให้ที่บ้าน ในนามของอาเฮียสุดหล่อ

ครอบครัวผมขยันทำเซอร์ไพรส์กันดี แม่ก็ตุปัดตุป่องไป ข้อหาไม่ปรึกษาแก ผมเลยแกล้งบ่น ๆ ว่าอยากได้โปรแกรมมาลงเครื่อง พี่แกก็วิ่งพาไปลงซะเต็มสตรีม

ฮ่า ๆ ๆ ๆ ใครได้ผลประโยชน์ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ไอ้กาย   

“พี่ชอบมุมมองของกายนะ”
พี่เชนชม ผมยิ้มแก้มบาน

“ผมก็ชอบตามพี่นั่นแหละ”
คิ้วหล่อเลิกสูง 

“ก็คนแรกที่ทำให้ผมอยากถ่ายภาพก็คือพี่นี่แหละ ก็ตอนนั้น พ่อนัดคุยงานกับลูกค้าในห้างที่ภูเก็ต เลยหนีบผมไปเที่ยวด้วย ระหว่างรอ ผมก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนหลงเข้าไปในงานภาพถ่าย หนึ่งในนั้น มีผลงานของพี่อยู่ด้วย ภาพนั้นสวยเอามาก ๆ ผมยืนดูอยู่ตั้งนานสองนาน แล้วข้างภาพนั้น ก็มีภาพตัวพี่เองในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิท ยืนทำหน้านิ่ง ๆ ถือกล้องไว้ในมือ พี่ยังดูเด็กอยู่เลยถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ในงาน”

“ผมไม่รู้ว่าผมยืนมองอะไรนานกว่ากัน ระหว่างภาพที่พี่ถ่ายกับภาพถ่ายของพี่ เพราะมันดูดีพอ ๆ กัน” ผมพูดยิ้ม ๆ พี่มันฟังแล้วนิ่งไปครับ ผมก็โม้ต่อ

“ตั้งแต่วันนั้น ผมก็จดจำชื่อของพี่เอาไว้ นายชรินทร์ อิทธิเดชา แล้วตามงานของพี่มาตลอด ตอนนั้นพ่อยังอยู่ เลยพาผมไปดูงาน พอโตขึ้นมาหน่อย ผมก็ตามงานพี่ด้วยตัวเอง”
ผมพูดไปยิ้มไป หวนนึกถึงความประทับใจเก่า ๆ พี่เชนนั่งฟังนิ่ง ๆ

“กล้องตัวแรกที่พ่อซื้อให้ ก็เป็นกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกันกับที่พี่ถือไว้ในภาพนั่นแหละ เจ้าลูกชายคนโตของผมยังแขวนอยู่ในห้องอยู่เลย ถ่ายเยอะ น็อคกลางอากาศ”
ผมหัวเราะ ทำท่ากดชัตเตอร์เจ้ากล้องตัวแรกที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด

“โอ๊ะ! ลูกค้ามา รอก่อนนะฮะ”
ผมรีบวิ่งจู๊ดไปหาลูกค้าทันที

ผมมาทำงานที่นี่ตอนไม่มีเรียนครับ เขาคิดเป็นชั่วโมง วันหนึ่งมาทำกี่ชั่วโมงก็มาร์คไว้ เจ้าของเป็นคนง่าย ๆ ติดจะติส ๆ ด้วยซ้ำ อยู่ด้วยกันได้

พอผมรับลูกค้าเสร็จ พี่เชนก็เดินมาหา แกเก็บข้าวของมาถือไว้หมดแล้ว

“พี่กลับก่อนละ” พี่มันลูบหัวผมเบา ๆ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ “แล้วว่าง ๆ จะเอาภาพมาให้ช่วยเลือกอีก” ผมพยักหน้ารับ แล้วพี่แกก็เดินจากไป ผมหันหลังเตรียมจะกลับไปทำงานต่อ ก็เห็นไอ้เต้ยยืนมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อยู่ตรงหน้า

“มึง”

“อะไร”

“มึงอะ”

“อะไร”
ยิ่งพูดมันยิ่งทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่

จะพูดอะไรก็รีบ ๆ พูดมาสิวะ

“มึงอะ หว่านเสน่ห์ไปทั่ว”

ผมทำหน้าแหยงมองมัน
“กูไปหว่านเสน่ห์อะไรให้ใครตอนไหน”

งงครับ จำได้ว่าผมไม่เคยเป็นคนแบบนั้น เอ้อ ถ้าเจอสาว ๆ ก็ว่าไปอย่าง

“กูจะฟ้องพี่เอก”

“พี่เอกเกี่ยวไรด้วย แล้วนี่กูไปหว่านเสน่ห์ให้ใครตอนไหน ก็ยังไม่ได้คุยกับสาวคนไหนสักคน” มันนี่ก็พูดแปลก ๆ

“นี่มึงโง่ หรือว่ามึงแกล้งโง่วะ” ผมขมวดคิ้ว

“มึงดูไม่ออกรึไง ว่าพี่เชนอะ เขาชอบมึง” ผมยิ้ม

“ก็เออดิ กูกับเขามันคอเดียวกันนี่หว่า” ผมพูดยิ้ม ๆ “เพราะกูก็ชอบพี่เขาเหมือนกัน มึงก็รู้ว่ากูอะ ปลื้มเขามานาน พอได้มาเจอตัวจริงกูแทบจะจุดพลุฉลอง นี่วันนี้แกก็เอาภาพมาให้กูช่วยเลือกด้วยนะ” ผมโม้ไปยิ้มไป ไอ้เต้ยมันทำหน้าหน่าย

“ชอบของกู ไม่ได้ชอบมึงอย่างน้องอย่างนุ่งอย่างเพื่อน” ผมตีคิ้วย่น

“แล้วมันอย่างไหนวะ”
เอ้า ไม่ให้ชอบอย่างน้องแล้วอย่างไหน หรือว่าเพื่อนร่วมงาน แต่กูยังไม่ได้ทำงานกับพี่เขานี่หว่า

“กาย…เขามึงงอกแน่ะ”
มันพยักพเยิดหน้ามาที่หัวผม ผมรีบจับหัวตัวเองไว้ทันที

“ไอ้ฟาย” ผมด่ามันกลับ

“มึงนั่นแหละ ฟาย เขามารักมาชอบก็ยังไม่รู้ตัวอีก”

“ก็กูรู้ตัวแล้วไง” แล้วจะเอาอะไรอีกวะ

“นี่กาย…” มันโอบไหล่ผมแล้วลากออกมาหน้าร้าน ข้างในลูกค้าเยอะครับ เมื่อกี้คุยกันเบา ๆ แต่คนก็ยังมอง 

“พี่เชนเขาชอบมึง…” เอ้อ อันนั้นกูรู้ ย้ำอยู่นั่นแหละ

“แบบที่มึงชอบพี่เอกอะ”

ผมนิ่งครับ นิ่งงันเลย

ว่าแต่…
แล้วกูชอบพี่เอกแบบไหนวะ ผมมองตามัน

“พี่เชนเนี่ยนะ”

“อื้อ”

“กูว่า มึงมองผิดแล้วว่ะ ถึงพวกกูจะสนิทกัน แต่เขาชอบกูเพราะกูถ่ายภาพแบบเขามากกว่า” ผมแย้ง ไม่เห็นพี่แกจะมีท่าทีอะไร
เกินเลย

“มึง กูดูออกว่าพี่เขาชอบมึง ทั้งสายตาและท่าทาง มีผู้ชายคนไหนวะ ถือของขวัญมาให้ผู้ชายด้วยกัน กะอีแค่ได้ทำงานพิเศษกิ๊กก๊อก”

เอ้อ…มันก็จริง

“แล้วใครที่ไหน จะหอบงานมานั่งมองมึงตั้งนานสองนาน ถ้าไม่ใช่ว่าชอบมึง”

“มองกู”
ผมชี้นิ้วใส่หน้าตัวเอง มันพยักหน้ารับ

“กูไม่รู้ว่ะ”

“กูรู้ ถึงได้บอกว่ามึงเป็นควายไง” ขอบใจเพื่อน มึงพูดจนกูอยากร้องมอ ๆ ขึ้นมาทันทีเลยว่ะ

“มึง แต่พี่เชนไม่ใช่เกย์นะ”

“มึงกับพี่เอกก็ไม่ใช่เหมือนกัน”
ผมชะงัก

มันก็จริง
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งชอบคนเพศเดียวกันได้

พอพูดจบ มันก็เดินไปทำงานต่อ ปล่อยให้ผม ได้ใช้รอยหยักจากสมองอันน้อยนิดประมวลสิ่งที่เกิดขึ้น

“คงไม่หรอกมั้ง กูว่ามึงมองผิดแล้วว่ะเต้ย”
ผมบอกกับอากาศธาตุแทนเจ้าตัวคนพูด แล้วเดินไปทำงานของตัวเองต่อ

     

วันนี้พ่อเพิ่งโทรมาบอกฮะ ว่าเลื่อนการเดินทางกลับไทยเร็วขึ้นตั้งอาทิตย์ ผมงี้แก้มบานเลย วันนี้ทำงานด้วยความชื่นมื่นอีกแล้ว

“อารมณ์ดีอะไร”
พี่เป้เดินเข้ามาทัก พอดีไอ้เต้ยรับออเดอร์อยู่

ตอนนี้อารมณ์ดีสุด ๆ ครับ กลางวันพี่เชนมา ตอนใกล้เลิกงานพ่อโทรมาบอกข่าวดีอีก จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกไหม ผมยิ้มร่าตอบพี่แก

“พ่อผมจะกลับก่อนกำหนดน่ะ”
พี่เป้พยักหน้าเข้าใจ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นไอ้เต้ยที่หันมองมาทางเราพอดี

“ไหวไหมพี่เป้”
พี่มันพยักหน้า ผมยิ้มให้นิดหนึ่ง นึกอะไรขึ้นได้ รีบยืดตัวกระซิบข้างหูพี่มันเบา ๆ เพราะพี่โจพนักงานกะดึกเดินผ่านมาพอดี

“ผมกะว่าจะชวนไอ้เต้ยไปเชียงใหม่สักวันสองวัน พี่จะได้มีอิสระเพิ่มขึ้น”
พี่มันหันมามอง พยักหน้ารับ

“รีบตัดใจให้ได้ไว ๆ นะฮะ หรือถ้ายังไง หาแฟนใหม่สักคนไปเลย พี่โฟนก็ได้ เห็นพี่แกเหล่พี่มานานละ” ผมพูดทีเล่นทีจริง พี่เป้หัวเราะ ผมกระซิบต่อ เรื่องนินทาคน ผมไม่ถนัดหรอก แต่อย่าให้ได้เริ่ม เดี๋ยวมันจะติดลมบน

“หรือจะเอาพี่เนเน่ก็ได้ ไม่สวยแต่อึ๋ม”
พี่เป้หัวเราะเสียงดัง

“ขำอะไรกัน”
ไอ้เต้ยเดินเข้ามาทัก พี่เป้ที่ยืนขำอยู่ทำหน้าเรียบขึ้นมาทันที

โห พี่เป้ พี่ไปเรียนวิชาโบกหน้าซีเมนต์มาจากพี่เอกใช่ป่ะเนี่ย

“ไปทำงานได้แล้วป่ะ”
แล้วพี่แกก็เอาถาดโขกหัวผมหันหลังเดินจากไป

ผมหันไปมองไอ้เต้ยที่มองตามพี่เป้ด้วยสายตาเจ็บปวด อยากเดินเข้าไปกอดมันสักทีครับ
ผมเองก็เลว บางครั้งอยากผ่อนคลายพี่เป้บ้าง แต่ก็อาจจะทำร้ายหัวใจของไอ้เต้ยมัน

ขอโทษนะเต้ย แล้วกูจะพามึงเที่ยวเชียงใหม่ให้หนำใจเลย







 
เลิกงานแล้วครับ
และตอนนี้ผมก็มานั่งหน้าสลอนอยู่ในรถของพี่เอก โดยมีสามทโมนนั่งอยู่ด้านหลัง โชคยังดีที่วันนี้พี่อาร์ตกับพี่อิฐยังไม่กลับบ้าน ผมเลยได้แอบขึ้นห้องพี่เอก (โดยมีสามสาวน้อยเป็นนางต้นห้อง) ให้เราได้ทำภารกิจที่ทำค้างกันไว้ให้เสร็จสิ้น

พอไปถึงบ้านพี่เอก ดูวันนี้ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากันมากเป็นพิเศษ คุณพ่อกับคุณแม่ก็พากันกลับบ้านเร็ว พี่เอกแอบกระซิบว่าพวกท่านคงอยากมีส่วนร่วมด้วย

ใครได้ของขวัญชิ้นนี้ไป คงภูมิใจน่าดู
วันนี้เราทำงานกันในห้องรับแขกครับ แต่ให้พี่ยามรายงานถ้าพวกพี่อาร์ตกลับมาแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า เมื่อวานเราเลือกภาพกันแล้ว วันนี้ก็แค่เอาภาพมาแปะในอัลบั้ม เรียงลำดับปี และใส่ตัวหนังสือลงไป

คนเขียนไม่ใช่ผมครับ แต่เป็นแอม เพราะตัวหนังสือน่ารักสุด ไอเป็นคนเลือกสี ส่วนคนแปะคืออ้อน ผมแค่บอกครับ ว่าต้องจัดเรียงตรงไหน โดยมีคุณพ่อคุณแม่นั่งแนะอยู่ข้าง ๆ ส่วนพี่เอก นั่งมอง

โหพี่ ช่วยกันทำมาหากินกันมากเลย

ผ่านไปสามชั่วโมง โฟโต้บุ๊คของพวกเราก็เสร็จสิ้น หนาใช้ได้ ผมยื่นให้คุณพ่อคุณแม่ดูก่อน เผื่อต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขตรงไหนอีก

พวกท่านรับไปเปิดดูและอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในนั้น พออ่านไปได้ประมาณสิบหน้า แม่ก็น้ำตาร่วงทันที ผมนี่หน้าตื่นเลย

“คุณแม่!!”

“คุณแม่!!”
ทุกคนพร้อมเพรียงกันเรียกครับ คุณพ่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่พูดอะไร แค่บีบหัวไหล่คุณแม่ไว้เท่านั้น ดูท่านตาแดง ๆ เหมือนกัน

“ไม่มีอะไร”
ท่านพูดไป เปิดภาพไป ร้องไห้ไป

กูให้น้องเขาเขียนอะไรที่มันสะเทือนใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“ที่ผ่านมา แม่ว่าแม่มีความสุขนะ แต่แม่เพิ่งรู้ว่าแม่มีความสุขมาก ๆ ก็ตอนเห็นรอยยิ้มของพวกลูก ๆ นี่แหละ”
ผมนิ่งฟัง พวกสามทโมนพากันปล่อยโฮทันที ผมยิ้มออกมาบาง ๆ เข้าใจความรู้สึกของพวกท่าน ผมหันไปหยิบกล้อง ลุกเดินออกไปจากกลุ่มเพื่อถ่ายรูป

ผมถ่ายรูปพ่อกับแม่ที่กำลังดูภาพไปร้องไห้ไป แล้วเลื่อนไปที่น้อง ๆ ที่กำลังนั่งร้องไห้กระซิก ๆ จนไปจบอยู่ที่พี่เอก
ดวงตาคมทอดมองครอบครัวด้วยความรัก ใบหน้าแลดูอ่อนโยน ริมฝีปากเคลือบรอยยิ้มเอาไว้บาง ๆ

สิ่งที่ผมถ่ายได้ ไม่ใช่เพียงภาพถ่าย แต่เป็นความทรงจำ และความรู้สึกดี ๆ ที่คนคนนั้นรู้สึก ผมแค่ทำหน้าที่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในภาพถ่าย พอเมื่อเวลาผ่านไป ผมจะได้นำภาพถ่ายเหล่านั้นมาให้ทุกคนดูอีกรอบ

แล้วความรู้สึกเก่า ๆ ก็จะหวนกลับคืน 

“อาร์ตต้องดีใจมากแน่ ๆ ขอบใจนะกาย”
คุณแม่หันมาทางผม ผมยิ้มรับ แล้วก็ต้องเบิกดวงตากว้างเมื่อคุณแม่เดินเข้ามาสวมกอดเบา ๆ ไหล่ท่านสั่นไหวด้วยความตื้นตัน
ผมอมยิ้มลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจ

ผ่านช่วงมาม่าไปพักใหญ่ พวกเราก็มานั่งล้อมวงทานข้าวครับ หิวกันท้องกิ่วแล้ว ดึกหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กิน
ผมกลายเป็นลูกคนใหม่ของบ้านนี้ไปโดยปริยาย โดยมีน้องสาวเพิ่มมาสามพี่ชายอีกสาม อย่างที่ผมต้องการเด๊ะ ๆ

“ผมอยากให้พ่อกับแม่ปั๊มน้องให้ แต่แค่ให้สองคนนั้นหันหน้ามาคุยกันก็ยากแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่ง้อแล้วล่ะ เพราะได้พี่กับน้องมาใหม่แล้ว”
ผมพูดติดตลก เอื้อมหยิบทิชชู่ไปเช็ดคราบเลอะตรงมุมปากให้พี่เอก

พอทำแล้วก็เพิ่งนึกได้ กูกินข้าวกับพ่อแม่เขา แล้วนี่พวกเขาไม่รู้กันหมดรึไง ผมไม่มองปฏิกิริยาของใครทั้งนั้น ทำเนียนนั่งนิ่ง ๆ ครับ

ฉากเมื่อกี้ตัดออกไปเลยนะ
แล้วผมก็ทำเนียนหันไปตักเนื้อปลาให้คุณพ่อกับคุณแม่

ดูแลให้เท่า ๆ กัน ทุกคนจะได้ไม่สงสัย แล้วหันไปตักไก่ให้น้อง ๆ คนละชิ้น เอาไก่ชิ้นที่ควรจะเป็นของผมให้น้องอ้อนด้วย

“ขอบคุณค่ะพี่กาย พี่น่ารักจังเลย”
ผมชะงักเลยครับ

เอ่อ…

ไม่ต้องมาชมกู กูแค่ทำกลบเกลื่อนเท่านั้น

กูเสแสร้ง! กูไม่จริงใจ!

และที่สำคัญ ผมเห็นน้องนั่งน้ำลายไหลยืดมองไก่ผมอยู่นาน ผมเลยแบ่งให้แค่นั้นเอง (แอบเสียดายครับ ไก่ป้าหวิงอร่อยมากด้วย)

“พี่กายแบ่งไก่ให้หนู งั้นหนูแบ่งหัวหอมให้พี่นะคะ”

“แบ่งส่วนที่ตัวเองไม่ชอบ เขาเรียกปัดภาระนะ”
พี่เอกแซว ผมหัวเราะร่วน คุณพ่อคุณแม่มองผมด้วยสายตาเอ็นดู

กูหลุดอะไรไปไหมเนี่ย

คงไม่มั้ง

พวกเราก็นั่งกินกันจนอาหารหมดน่ะฮะ ตอนแรกเห็นว่าเวลาไม่ดึกมาก เลยว่าจะขอตัวกลับไปนอนที่บ้าน แต่พวกทโมนดึงตัวไว้ สรุปผมก็เลยต้องค้างอีกหนึ่งคืนอย่างช่วยไม่ได้

หวังว่าคืนนี้ ผมคงจะได้นอนแต่หัววันนะ 

เฮ้อ~


TBC

ปล. ขออภัยที่ระยะหว่างระหว่างบรรทัดกว้างมาก พอดีไม่รู้วิธีปรับ ใครรู้สอนได้นะคะ T^T






ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
กายนี่โปรยเสน่ห์แบบไม่รู้ตัวจริงๆ :laugh:

บอกวันที่อัพนิยายตรงหัวเรื่องจะดีมากเลยจ้า
คนอ่านจะได้รู้ว่ามาอัพตอนใหม่แล้ว
ขอบคุณมาก :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :z2:ค :z2:

มาต่อแล้ว .... เย้ๆๆๆๆ

หมั่นไส้ หมั่นตับพระเอก.. :angry2:

ทำเหมือนน้องกายเป็นของตาย ชิส์ๆๆๆๆๆ

 :z6: 

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
มาแล้วๆๆๆๆ น้องกายน่ารักมุ้งมิ้งที่สุดอะ :seng2ped: :man1:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


Kiss Love ♥ [32]
ลักหลับ
[เอก...☼]


ผมนั่งอมยิ้มแทบจะตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารกัน มันปลื้มครับ ไม่รู้ว่ามันจะรู้ตัวไหมว่าชอบทำให้คนอื่นชอบโดยไม่รู้ตัว
มันเผลอมาเช็ดปากให้ผม ผมก็มองมันอึ้ง ๆ แต่ดูมันจะไม่รู้ตัว แล้วมันก็หันไปตักกับข้าวและแบ่งอาหารให้พวกน้อง ๆ มันทำได้เป็นธรรมชาติมากครับ

ผมไม่เคยพาใครมาทานข้าวที่บ้าน นอกจากบรรดาลูกสาวของคุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายที่พ่อชวนมา ซึ่งผู้หญิงบางคนก็พยายามดูแลผมกับพ่อแม่แบบนี้แหละ แต่กลับดูไม่เป็นธรรมชาติและลื่นไหลแบบที่กายทำ

ผมว่าพ่อกับแม่คงจะฉลาดและรู้อะไรมากพอ แต่ท่านก็ไม่ต่อว่าหรือตำหนิติเตือนอะไร ไม่ได้แสดงออกว่ายอมรับหรือปฏิเสธ ส่วนผมก็แค่วางตัวนิ่ง ๆ เพราะผมบอกแล้วว่าผมยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น รวมถึงกายด้วย และท่านก็คงจะดูออกว่ากายคงคิดไม่ต่างกับผมเท่าไหร่ 

หลังจากมื้อค่ำ มันขอตัวกลับก่อน แต่พวกน้อง ๆ ออดอ้อนขอให้มันค้างด้วย มันพยายามคัดค้าน แต่ยากครับ
สรุปคืนนี้มันก็ต้องค้างที่นี่

พ่อกับแม่ขอตัวขึ้นไปนอนก่อน เหลือพวกเราห้าชีวิตที่ขนขบวนกันมานั่งดูหนังผีในห้องรับแขก กายไม่ใช่คนกลัวผี เลยนั่งดูเงียบ ๆ ไม่ต่างกับผม

สารภาพว่าผมเคยเจอด้วย แต่เป็นผีคุณทวด ช่วงคุณทวดเสียใหม่ ๆ ตอนผมเจอ ผมก็เฉย ๆ นะ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย

สามทโมนชอบดูหนังผี แต่กลัวผีเข้าไส้ เพราะงั้นเวลาดูถึงได้พากันร้องวี้ดว้าย เกาะแขนผมกับกายแน่นหนึบ พอหนังจบผมรีบไล่พวกน้อง ๆ ขึ้นห้องทันที แต่พวกมันกลัวครับ ผมกับกายเลยต้องไปส่งพวกมันถึงในห้อง

“เป็นเด็กดีกันนะ ถ้าเป็นเด็กดี ผีจะไม่หลอก” ไอ้ตัวเล็กมันหลอกเด็ก

“หนูไม่กลัวหรอก”
ไอ้แอมมันท้วง แต่เกาะสองแขนน้องมันแน่นหนึบ

“งั้นคืนนี้ ผีจะมาหลอกกกก”
มันทำเสียงน่ากลัวหน่อย ๆ ไอ้นี่มันก็หลอกเด็กเป็นวุ้ย

“แว้กกก ไม่เอานะ พวกหนูเข้านอนแล้ว”
แล้วพวกมันก็พากันวิ่งขึ้นเตียงใครเตียงมันเอาผ้าห่มคลุมจนมิดหัว

สามสาวเขาพักอยู่ห้องเดียวกันครับ ในห้องนอนขนาดใหญ่จึงมีสามเตียงเรียงกัน ข้างหัวเตียงของแต่ละคนจะมีโต๊ะเครื่องแป้งกั้นอยู่ ส่วนตู้เสื้อผ้าใช้ร่วมกัน (เสื้อผ้าก็มีแบบละสามตัว) จริง ๆ พ่อกับแม่เคยจับแยกห้องกันมาแล้ว แต่แยกได้แค่อาทิตย์เดียว พวกมันก็หอบหมอนมานอนด้วยกันอีก คุณพ่อเลยสั่งให้คนไปยกเตียงมารวมกันไว้ในห้องนี้แทน

“เราก็ไปนอนกันบ้างดีกว่า”
ผมชวน มันพยักหน้ารับ ดูมันนิ่งมาก หรือว่าจะทำใจไว้แล้วว่าคืนนี้ต้องเสร็จผมอีก

พอเข้าห้อง มันก็หันมาขอชุดนอนกับผม ผมก็เดินไปหยิบมาให้ ชุดเดิมครับ มันไม่ว่าอะไร เดินเข้าห้องน้ำไป สักพักก็เดินออกมา แล้วผมก็เข้าไปอาบต่อ

ผมอาบน้ำไปอมยิ้มไปกับสิ่งที่มันทำวันนี้ ดีใจด้วยที่คืนนี้จะได้งาบมัน

ผมรีบอาบน้ำถูสบู่ พรมน้ำหอมชะฟุ้ง เดินออกจากห้องน้ำไป กวาดตามองหาไอ้ตัวเล็ก มันอยู่บนเตียงครับ นอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหากำแพง คลุมผ้าห่มไว้จนถึงครึ่งหน้า ผมยิ้ม เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เขยิบเข้าไปหามัน จับไหล่มันไว้ ก้มหน้ามอง แต่ว่ามัน…

หลับไปแล้วครับ = =

ผมอมยิ้มขำ นี่มันจงใจรีบอาบน้ำก่อน เพื่อจะได้หนีผมมาหลับเนี่ยนะ
เด็กชะมัดยาด

แล้วคุณคิดว่าผมจะทำยังไง เป็นคนดีปล่อยให้มันนอนไป หรือจะเป็นไอ้โจรใจร้ายกระทำชำเรามัน

ครับ...
ผมเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องคิดมากให้เสียเวลา
หมูมาให้เขมือบถึงที่เรื่องอะไรผมจะปล่อยไปให้โง่

เอาละ…
ผมจะลักหลับคนหลับแล้วนะคร้าบบบ

ผมเขยิบเข้าไปชิดมันอีกนิด จับผ้าห่มไว้ เลิกออกจากตัวมันช้า ๆ ผ่านช่วงเอวลงไปที่ต้นขาแล้วสะบัดกองไว้ที่ปลายเท้า ผมวางมือไว้บนต้นขามันเบา ๆ

ตอนแรกก็คิดว่ามันแกล้งหลับ แต่ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นเลยแฮะ

สงสัยจะหลับจริง

เอาไงดีวะกู จะหยุดหรือจะไปต่อดี

ผมตัดสินใจละมือออก เขยิบหวังจะทิ้งตัวลงนอนดี ๆ แต่มันดันขยับร่างกายนิดหนึ่งเพราะความหนาวจากแอร์ จนเสื้อที่คลุมต้นขามันอยู่เลิกขึ้นสูง

ภาพที่เห็น ทำเอาผมเปลี่ยนใจจากที่ว่าจะนอนมาวางมือไว้บนต้นขามันอีกรอบ ลูบไล้ไปมาเบา ๆ มันเงียบครับ คงหลับลึกไปแล้วจริง ๆ ผมก้มซุกซอกคอมัน ได้กลิ่นสบู่หอมจาง ๆ มันยังนอนนิ่ง ผมจับมันพลิกนอนหงาย แล้วซุกซอกคอมันอีกรอบ

ได้ยินเสียงครางออกมาเบา ๆ ผมยิ้มทันทีกับปฏิกิริยาตอบรับ

ผมเลื่อนริมฝีปากจากลำคอขึ้นไปกดจูบ มือไม้ก็ไม่อยู่สุข คลี่ปลดกระดุมมันออกสองสามเม็ดบน เกี่ยวคอเสื้อไปด้านข้าง จนเผยให้เห็นยอดอกเม็ดเล็ก ผมสะกิดและบีบมันเบา ๆ ไอ้ตัวเล็กผวาเฮือก ปรือตามอง

“พี่เอก อื้อ”
มันเรียกและครางไปพร้อมกันเพราะผมยังบีบหัวนมมันอยู่

“อย่าหลับหนีพี่สิ”

“ผมง่วง”
มันบอกก่อนผวาอีกรอบเมื่อผมก้มกัดยอดอกมันที

"พี่ก็ง่วงเหมือนกัน"
ผมบอกมันไปงั้นแต่ก็ยังไม่ละปากไปไหน

“พี่เอก"
มันจับหัวไหล่ผมไว้ ผลักเบา ๆ คล้ายจะให้ผมหยุดแต่แอ่นหน้าอกขึ้นตอบรับปลายลิ้นที่กำลังรุกรานของผม

"พี่..” 

“พี่เอก!!!!!”

ผมรีบถอนริมฝีปากออกทันทีเมื่อได้ยินเสียงรัวเคาะประตูห้อง ผมกับกายหันไปมอง เสียงเคาะยังดังไม่หยุด ผมขมวดคิ้ว เดินหัวเสียไปปลดล็อกลูกบิด ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกสาว ๆ รีบกรูกันเข้ามาภายในห้องทันที แถมยังพากันกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงผมอีก โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากายจะอยู่ในชุดและท่วงท่าวาบหวิวขนาดไหน (มันลุกขึ้นมานั่งแล้วครับ)

“พวกหนูขอนอนด้วยคนนะคะ เมื่อกี้เห็นอะไรแวบ ๆ ผ่านหน้าต่างห้องด้วย”

ผมหน้าหงิก กูกำลังจะงาบหมู ไอ้พวกนี้นี่

“นะ นะ นะ”
พวกมันพากันออดอ้อน

“พี่จะไปส่งที่ห้อง”
ผมตัดบท จับลูกบิดไว้ บอกพวกมันด้วยสายตาว่าให้รีบลงจากเตียงมาเร็ว ๆ (เพราะกูจะเขมือบหมูต่อ)

“ไม่เอาอะ น่านะ พวกเราไม่อยากกลับแล้ว”
พวกมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมหันไปมองกาย แต่รายนั้นไม่ได้มองตอบ นั่งก้มหน้าอยู่ ผมพ่นลมหายใจออกแรง

“ก็ได้”
ผมตอบรับหน้าหงิก ก่อนยิ้มเย็นใส่พวกมันไปที
“แต่รู้ใช่ไหม มาขัดเวลากินพี่ต้องโดนอะไรบ้าง”
พวกมันทำหน้าเจื่อน พยักหน้ารับกล้า ๆ กลัว ๆ

“ให้ทำอะไรก็ได้”

“แต่ตอนนี้”

“พวกเรากลัวกันจริง ๆ น้า!!”
พวกมันสามคนจับมือกันแน่น ทำท่าจะร้องไห้จริง ๆ ผมพยักหน้าบอกให้พวกมันเข้าไปนอนด้านใน ผมเลือกนอนตรงกลาง แล้วลากเอาไอ้ตัวเล็กมานอนริมสุด ผมกอดมันไว้ มันทำหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมโดยดี สาว ๆ นอนกอดกันตัวกลมบนผ้าห่มผืนเดียวกับผม

ผมเอื้อมปิดไฟหัวเตียง กระชับกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น ก้มจูบแก้มมันแผ่วเบา ไซ้ริมฝีปากไปมาหน่อย ๆ มันรีบหดคอหนี ผมอมยิ้ม กระซิบบอกราตรีสวัสดิ์มัน

ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ

สงสารน้องกูจริงเชียว เหี่ยวเลย

ผมเคยบอกกันแล้วใช่ไหมครับ มีน้องผมอยู่เมื่อไหร่ ไอ้ที่ตั้ง ๆ อยู่ เหี่ยวทันที

เฮ้อ!! กรรมจริงกู
...
...
...
...
...
...
...
...

ผมสะลึมสะลือตื่นตอนได้ยินเสียงอะไรแชะ ๆ พอลืมตามองก็เห็นพวกทโมนกำลังถ่ายรูปผมกับกายอยู่

“อืม อย่าเล่นกล้องของกายเขานะ หวงยิ่งกว่าลูกซะอีก” ผมเตือน

“พวกหนูไม่ทำพังหรอกค่ะ รู้ว่าพี่กายเขาหวง”

“แต่พี่เอกกับพี่กายนอนกอดกันน่ารักดีเนอะ”

“ใช่ น่ารักมาก"
แล้วพวกมันก็หันไปกรี๊ดใส่กัน ไอ้ตัวเล็กยังไม่ตื่นครับ นี่มันหกโมงกว่า ๆ ไม่ใช่เวลาตื่นนอนของมัน ผมเขยิบยกตัวขึ้นมาค้ำศอกไว้ที่เตียงมองสาว ๆ ที่กำลังถ่ายรูปกันอยู่ไม่หยุด

“พี่กายน่ารักอะ ตัวขาว ๆ ปากแดง ๆ น่าเอาไปโชว์ให้เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนดูเนอะ”
พวกมันพยักหน้าใส่กัน แล้วก็พากันวิ่งออกจากห้องไป สักพักก็วิ่งตุบตับกลับเข้ามาใหม่พร้อมมือถือคนละเครื่อง แล้วกระหน่ำกดถ่ายรูปผมกับกายไว้

“นี่ อย่าเอาไปโชว์ใครสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ มันจะเสียหายกายเขา”

“โห แล้วที่พี่นอนกอดกันนี่ไม่เสียหายเลยเนอะ”

ผมอมยิ้ม

“กายเป็นหมอนข้างของพี่นี่นา”
ผมบอกพร้อมดึงไอ้ตัวเล็กมากอดเบา ๆ มันสะลึมสะลือลืมตามอง 

“พี่เอก...”
มันครางเรียก สงสัยจะยังประมวลผลไม่ทัน ผมยิ้มก้มจูบมันที สาว ๆ พากันกรี๊ดจนมันรีบผลักหน้าผมออกแล้วหันไปมอง พอรู้ว่าไม่ได้อยู่กันเพียงลำพังมันรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที

สาว ๆ ได้กรี๊ดกันอีกระลอก เพราะว่าเสื้อเชิ้ตที่ไอ้ตัวเล็กใส่อยู่ มันไม่ได้กลัดกระดุมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันเลยโชว์แผ่นอกพร้อมหัวนมเล็ก ๆ ของมันหราเลย 

“ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
มันรีบดึงเสื้อตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ลุกออกจากเตียงเดินลิ่ว ๆ เข้าห้องน้ำไป โดยมีเสียงของสาว ๆ ตามกรี๊ดกันไม่หยุด

ผมมองตามจนมันหายลับเข้าไปในห้องน้ำถึงได้หันมาชี้นิ้วคาดโทษใส่สามสาวตัวป่วน พวกมันหันไปกรี๊ดใส่กันแล้ววิ่งลิ่วออกจากห้องไป ผมถอนหายใจออกมาสุดแรง

เมื่อคืนก็อดงาบ มื้อเช้าก็อดแอ้ม เสียอารมณ์จริง ๆ

ผมรอจนมันอาบน้ำเสร็จ ถึงได้เข้าไปอาบต่อ พอออกมา ก็ไม่เห็นมันอยู่ในห้องแล้ว คงลงไปรออยู่ข้างล่าง หรือไม่ก็กลัวจะโดนผมงาบตอนเช้า ผมอมยิ้มรีบแต่งตัวแล้วเดินผิวปากอารมณ์ดีออกจากห้องไป 

มันคุยอยู่กับคุณแม่ที่โต๊ะอาหาร ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ สักพักสาว ๆ ก็พากันวิ่งลงมา 

“เมื่อคืนพวกเรานอนกันที่ห้องพี่เอก”
เจ้าไอรีบรายงาน ยังไม่ทันที่ก้นจะแตะเก้าอี้ มันก็คว้าเอาแซนด์วิชไส้โปรดยัดใส่ปากจนมีคราบซอสเลอะติดแก้ม ผมกำลังจะเอื้อมหยิบทิชชู่ไปเช็ดให้ แต่ก็ช้ากว่าใครอีกคน

เป็นไอ้ตัวเล็กครับ

เจ้าไอยิ้มรับแก้มบาน ผมกับพ่อแม่เฝ้ามองการกระทำเหล่านั้น แต่พวกมันไม่ได้ใส่ใจ ปากยังเล่าเจื้อยแจ้วต่อ

“เมื่อคืนดูหนังผี เห็นที่หน้าต่างเหมือนมีอะไรไหว ๆ น่ากลัวมาก”

“ใช่ ๆ”

“แต่พี่กายนอนน่ารักอะ หลับปุ๋ยเหมือนลูกแมวเลย”
แล้วพวกมันก็แถไปเรื่องอื่นจนกายสำลักข้าวที่กินอยู่ พ่อกับแม่พากันอมยิ้ม

ป่วนครับ...
พวกน้อง ๆ ผมมันป่วนได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ 

หลังจากส่งน้อง ๆ ไปโรงเรียน ผมกับกายก็เลยไปมหา’ลัยพร้อมกัน เพราะมีเรียนช่วงเช้าเหมือนกัน (ป้าหวิงเอาชุดมันไปซักรีดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว) เห็นมันบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไปหาแม่มันที่เชียงใหม่

แค่รู้ว่ามันจะไม่อยู่ ผมรู้สึกหวิว ๆ นิด ๆ แฮะ 
...
...
...
...
...
...
...

“เป้”
ผมเรียกคนที่ยืนเหม่ออยู่หน้าห้องสภา มันหันมามอง

“เป็นไง”
ผมถามสั้น ๆ มันไม่ตอบ เสกลับไปมองวิวด้านนอกต่อ

“ยากชะมัดเลยว่ะ”

“มีอะไรให้กูช่วยก็บอกได้นะ”
มันพยักหน้ารับ

“บางทีกูอาจต้องขอตัวช่วยว่ะ”

ผมมองหน้ามัน

“จะลองคบกับใครสักคน เผื่อจะทำให้กูตัดใจจากมันได้”

“อันนี้ก็แล้วแต่มึงนะ ถ้ามึงทำได้ก็ดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็นึกถึงใจของคนที่มึงจะคบด้วยหน่อยละกัน”

มันหันมามองผมอีกที
“กูไม่อยากได้ยินคำแนะนำแบบนี้จากพวกชอบฟันสาวแล้วทิ้งแบบมึงเลยว่ะ”

“ไอ้ปากแมว อันนั้นสาว ๆ เขารู้อยู่แล้วว่ากูไม่จริงจัง ถ้าเข้ามาต้องทำใจหน่อย”
มันหัวเราะกับข้ออ้างผม

“กายช่วยกูไว้เยอะเลย”
ผมสะดุดไปนิด

เออใช่ กูยังไม่ได้เคลียร์ที่มึงชอบเอาคนของกูไปปรึกษาบ่อย ๆ เลย

“กูให้มึงยืมได้นิดหน่อย มากกว่านี้ มึงโดนกูตื้บ”

มันหัวเราะเบา ๆ

อายุยืนจริง ๆ พอพูดถึงปุ๊บ ผมก็เห็นไอ้ตัวเล็กปั๊บทันที มันเดินมาพร้อมไอ้เต้ย ในมือถือเอกสารไว้ใบหนึ่ง คงโดนอาจารย์ชาติใช้มาอีกแหงม ๆ

ไอ้เป้ที่ตอนแรกยิ้มแย้มอยู่ดี ๆ ก็หน้าเรียบขึ้นมาทันที มึงใส่หน้ากากได้เร็วมากเป้ ไอ้เต้ยก็มองพี่มันใหญ่

"อาจารย์ชาติฝากมาให้"

ผมพยักหน้า รับเอกสารมาอ่านทันที ระหว่างรอมันก็หันไปคุยกับไอ้เป้ ผมอ่านสิ่งที่อยู่ในมือสลับกับเหลือบตามอง เห็นไอ้ตัวเล็กยืดตัวกระซิบข้างหูไอ้เป้ ผมแทบจะฉีกกระดาษในมือทิ้ง ไอ้เป้พยักหน้ารับ

ส่วนไอ้เต้ยเงียบครับ เงียบเอามาก ๆ

ผมรีบเซ็นสิ่งที่อยู่ในกระดาษ มองมันให้รู้ว่าผมจัดการเสร็จแล้ว มันละจากไอ้เป้เดินมารับกระดาษจากผม 

“รีบพาน้อง ๆ ไปดูภาพนะพี่เอก เดี๋ยวหมดเวลาก่อน”
มันบอก

ผมพยักหน้า ชวนไอ้เป้เดินเข้าห้องทำงานไป ผมรู้ว่ามันไม่อยากอยู่กับไอ้เต้ยนาน ๆ และก็เข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กมันพยายามทำอะไรอยู่

แต่ในใจก็ยังว้าวุ่นกับความสนิทสนมเกินปกติของมันกับไอ้เป้ครับ ผมกลัวว่าไอ้เป้จะหลงเสน่ห์ไอ้กาย

เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไง

*** ***
To Be Con...


กายนี่โปรยเสน่ห์แบบไม่รู้ตัวจริงๆ :laugh:

บอกวันที่อัพนิยายตรงหัวเรื่องจะดีมากเลยจ้า
คนอ่านจะได้รู้ว่ามาอัพตอนใหม่แล้ว
ขอบคุณมาก :pig4:
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ >//< แบบนี้พอได้ไหม :hao3:



ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
หมั่นไส้ไอ้พี่เอก :katai3:

อ้างถึง
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ >//< แบบนี้พอได้ไหม :hao3:

โอเคเลยจ้า ขอบคุณมาก

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE

ออฟไลน์ am_am

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เคยอ่านแล้วตามมาอ่านอีกรอบ คริ คริ
กายน่าร๊ากกกกกกกก :-[

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


Kiss Love ♥ [33]
วัดเกิด...เที่ยวเชียงใหม่
[กาย...♥]



วันนี้ผมโดนอาจารย์สุชาติเรียกตัวไปใช้อีกแล้ว ผมไม่ใช่คนเดินเอกสารนะ ถึงได้ใช้เอาใช้เอา พี่เอกก็อีกคน แทนที่จะดองงานไว้สักอาทิตย์สองอาทิตย์แบบที่ผ่าน ๆ มา ก็รีบรับงานไปอ่านแล้วเซ็นให้เฉย

อาจารย์ชาติแกเลยได้ใจ เรียกใช้ผมใหญ่

แล้วตอนนี้ ผมก็กำลังยืนอยู่ในห้องทำงานของพี่เอก วันนี้เอกสารเยอะหน่อย พี่แกเลยใช้เวลาอ่านนาน สงสารเหมือนกันครับ ไหนจะต้องเรียนเหมือนคนอื่น ๆ ไหนจะต้องทำงานที่มหา’ลัย (และได้ข่าวมาว่า ต้องไปช่วยงานที่บริษัทของคุณพ่ออีก) แต่ยอมรับว่าพี่เอกทำงานเก่งจริง ๆ

พี่มันนั่งอ่านแผ่นงานซะหน้านิ่วคิ้วขมวด ผมก็ปล่อยให้พี่แกทำไป แล้วตัวเองก็มายืนมองพวกกระถางต้นกระบองเพชรริมหน้าต่าง ผมชอบนะ พวกต้นกระบองเพชรกับต้นบอนไซเนี่ย ทึ่งมากที่คนเราสามารถทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงมาได้

“เรียบร้อยแล้ว”
พี่มันยื่นแผ่นงานมาให้ ผมเดินไปรับ กำลังจะเดินออกจากห้อง แต่ถูกเรียกไว้ก่อน ผมหันไปมอง

“ครับ”
ผมตอบได้แค่นั้น แล้วปากผมก็ไร้อิสระ ไม่รู้ว่าพี่แกเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

จะกี่ทีกี่ที ผมก็ยังไม่คุ้นชินกับจูบพี่แกสักที ผมพยายามผลักอกพี่เอกออก แต่มันไม่ขยับเลยสักนิด เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเลยแฮะ

พอขัดขืนไม่ได้ ก็ต้องโอนอ่อนตามอย่างเดียว ผมยืนแหงนหน้ารับรสจูบร้อนแรงอยู่สักพัก พี่เอกก็ปล่อยออก

“ขอบใจ”
แล้วพี่มันก็เดินกลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมยืนหอบนิด ๆ ตาพร่าไปชั่วขณะ รีบยกหลังมือมาเช็ดปาก เหมือน ๆ ตัวเองจะเสียเปรียบยังไงบอกไม่ถูก ผมรีบหันหลัง เดินออกจากห้อง ก้าวเร็วไปตามทางเดิน

ปั๊ก!
เพราะมัวแต่เดินก้มหน้าโดยไม่ดูทาง ผมชนกับใครเข้าเต็ม ๆ จนแผ่นงานที่ถือมาด้วย ตกกระจายเกลื่อนเต็มพื้น

“ขอโทษครับ” ผมเงยหน้ามองคู่กรณี

“อ้าว พี่โอ๊ค”
พี่แกยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ที่หูอยู่เลย สงสัยไม่ได้มองทางเหมือนกัน ผมก้มหัวและบอกขอโทษพี่แกแบบไม่มีเสียง (กลัวรบกวนปลายสายครับ) แล้วก้มเก็บแผ่นงานที่พื้น พี่โอ๊ครีบบอกลาปลายทางแล้วย่อตัวลงมาช่วยเก็บด้วย

“โทษเหมือนกัน พี่ไม่ได้ดูทาง”

ผมเงยหน้าทำสายตากรุ้มกริ่ม ชอบแกล้งพี่เขายังไงบอกไม่ถูก เข้าใจความรู้สึกตอนพี่เป้แกล้งไอ้เต้ยเลยครับ มันมีความสุขเวลาเห็นสีหน้าอึดอัดของคนอย่างนี้นี่เอง

“นั่นแน่ กับสาวผมสั้นคนนั้นใช่ม๊า”
ผมล้อ คือไม่รู้หรอกว่าแกคุยกับใคร แซวไปก่อนครับ คันปากดี พี่แกไม่ตอบ เอาแต่จ้องมาที่ปากผม

“ไปโดนอะไรมา”

“หือ?”
ผมครางถามด้วยความสงสัย พี่แกไม่ถามต่อ แต่เอื้อมมือมาแตะปากผมเบา ๆ

“ทำไมเหรอฮะ” ผมจับปากตัวเองถู ๆ

“มันแดง ๆ ช้ำ ๆ”
ผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที รีบเลียริมฝีปากตัวเองหวังให้มันหายแดง สัมผัสอุ่น ๆ ของพี่เอกยังอยู่อยู่เลย

“ไม่ต้องมาแถเลย ตอบผมมาซะดี ๆ ว่าได้คุยกับสาวผมสั้นคนนั้นรึยัง” ผมแถไปแซวพี่แกต่อ

อย่าถามผมเรื่องปากพี่!

ผมอาย!

พี่แกมองหน้าผมอยู่พัก ก่อนละสายตาไปเก็บกระดาษแผ่นที่เหลือมายื่นให้

“ได้คุยแล้ว”

ผมฉีกยิ้ม

“แล้วเขาว่าไง” ผมถามต่อ

“ไม่ว่าไง เขาไม่รู้ว่าพี่ชอบ”

ผมตาโต

“อ้าว แล้วทำไมไม่รุกล่ะครับ” ผมแนะนำ “เรื่องแบบนี้พวกพี่เชี่ยวนี่นา ผู้หญิงคนเดียว น่าจะจีบได้ไม่ยากน้า” ก็มันจริงนี่นา ไม่เคยได้ยินว่าเล็งใครไว้แล้วพลาดด้วย นอกจากจะเบื่อกันซะเอง

“พอดีมีคนที่พี่รู้จักดีมาชอบอยู่ก่อนแล้ว และดูเหมือนน้องคนนั้นจะชอบคนที่พี่รู้จักอยู่ด้วย” พี่มันแง้ม

อ้าว งั้นก็แย่น่ะสิ ผมหน้าเจื่อน ยิ้มแหะ ๆ ให้พี่แกไปที

คนเรานี่ก็นะ เจอเรื่องไอ้เต้ยไปก็แย่พอแล้ว ผมไม่อยากให้พี่โอ๊คต้องทุกข์ทรมานไปด้วยอีกคน

แต่เอ๊ะ?
เมื่อกี้พี่มันบอกว่า เหมือนน้องเขาน่าจะชอบ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนกันนี่นา

“สรุปน้องคนนั้นก็ยังไม่ได้คบหากับคนที่พี่รู้จักใช่ไหมฮะ แค่รู้สึกว่าจะชอบกันเฉย ๆ”
พี่แกพยักหน้า ผมยิ้มออกทันที

“งั้น ก็ลุยเลยดีกว่าครับ จริงใจซะอย่าง คนเราเกิดมาชีวิตเดียว รีบทำในสิ่งที่อยากทำดีกว่า เผื่อพรุ่งนี้ไม่มีโอกาส แล้วจะมานั่งเสียดายทีหลังน้า” ผมตบไหล่พี่แกเบา ๆ

“สู้ ๆ พี่ ผมเป็นกำลังใจให้” ผมบอกแค่นั้น แล้วผมก็วิ่งจากมา







แตน แต่น แต้น แต๊น!!!!
และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่บนผืนแผ่นดินของจังหวัดเชียงใหม่แล้วล่ะครับ

ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพชั่วโมงนิด ๆ (แต่ถ้านั่งรถก็ 10 ชั่วโมง ต่างกันลิบลับ) ผมนั่งคุยกับไอ้เต้ยน้ำลายไม่ทันจะอุ่นเลย ผมพร้อมลูกชายตัวน้อย (น้องกล้องนั่นเอง) เดินลงจากเครื่อง ยืนโต๋เต๋กันไม่นาน ก็มีรถมารับถึงที่ นั่งไม่ถึง 20 นาที รถก็มาจอดสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมเงยหน้ามอง ตอนแรกก็คิดว่าจะพักกันตามโรงแรมหรือรีสอร์ตเหมือนเคยซะอีก แต่ที่ไหนได้ เป็นบ้านจริง ๆ ครับ

สวยใช้ได้ เป็นบ้านสไตล์ไทยโมเดิร์น กระจกรอบด้าน ดูโปร่งสบาย ต้นไม้เพียบ แต่ดู ๆ แล้วเหมือนจะยกมาปลูกมากกว่าขึ้นเองตามธรรมชาติ พอผมก้าวลงจากรถ แม่ก็ออกมารับทันที

“แม่!!”
ไอ้เต้ยวิ่งเข้าไปกอดแม่ก่อน 

“กูจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่กูนะเต้ย”
ผมพูดจาภาษาพ่อขุนกับมัน ถึงจะต่อหน้าแม่ก็เถอะ (แม่ผมเวลาอยู่กับเพื่อนบางกลุ่มก็ดิบเหมือนกันครับ)

“แม่มึงก็แม่กูอะ จริงไหมครับคุณแม่” มันออดอ้อน

ผมเบ้หน้าใส่มันที

“บ้านใครฮะแม่ สวยดี”
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ มีมุมน่าถ่ายรูปเยอะดี

“บ้านของนายกันตรัตน์ เวชกิจน่ะ”

ผมยืนนิ่ง

ก็ไอ้นายกันตรัตน์น่ะ มันชื่อผม ส่วนไอ้นามสกุลนั่น พ่อก็ยกให้ ตั้งแต่ผมแหกท้องแม่ออกมาร้องอุแว้ ๆ แล้ว

“มะ หมายความว่า บ้านหลังนี้...”
ผมชี้นิ้วไปที่ตัวบ้าน แม่พยักหน้า

“เขียนหนังสือตั้งสามเรื่องแน่ะ กว่าจะได้มา”
ผมอ้าปากค้าง 

“แม่ทำได้!”
ผมยิ้มให้จนปากจะฉีก แม่ฝันมานานว่าอยากมีบ้านที่เชียงใหม่สักหลัง ตอนนี้แกทำได้แล้วครับ จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองชะด้วย

“แม่ผมเก่งที่สุดเลย”
แล้วผมก็กระโดดกอดแม่ไปที

“แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิดลูก”

“เออว่ะ กูลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้วันเกิดมึง” ไอ้เต้ยมันทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้

“จริง ๆ ไม่ต้องไปจำก็ได้เนอะแม่เนอะ เพราะวันเกิดมัน มันทำให้แม่ต้องเจ็บตัวนี่นา”
ไอ้เต้ยมันบอก ผมหน้าบึ้ง

“มึงก็ทำแม่มึงเจ็บเหมือนกันนั่นแหละ”
ผมยืนเถียงอยู่กับไอ้เต้ยสักพัก แม่ก็เรียกให้พวกเราเข้าบ้าน ผมยิ้ม ล้วงหยิบกล้องมากดถ่ายเก็บภาพสวย ๆ แทบจะทุกจุดของบ้าน ตั้งแต่ริมรั้วยันห้องน้ำภายใน ส่วนไอ้เต้ยหิ้วของไปเก็บในห้องกับแม่ครับ มันเป็นลูกรักคนที่สองของแม่ ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้ผมเลย   

ผมภูมิใจกับบ้านหลังนี้นะ บ้านที่แม่ผมซื้อให้จากน้ำพักน้ำแรงของแก แม่เป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นสูง และผมก็รักทุกอย่างที่แม่เป็น

พอเดินสำรวจจนทั่ว ผมก็กลับเข้าห้องไปอาบน้ำ แล้วลงไปหาแม่ข้างล่าง (ส่วนไอ้เต้ยอาบน้ำอยู่ครับ)

“พรุ่งนี้แม่มีเซอร์ไพรส์ด้วย”

“แค่นี้ก็มากพอแล้วครับ”

“หึ ๆ แม่แค่อยากให้กายมีความสุขที่สุดน่ะ”

“ผมก็อยากให้แม่มีความสุขเหมือนกัน”

“งั้นกายก็ต้องมีความสุขก่อน เพราะแม่จะมีความสุขที่สุดเวลาที่กายมีความสุขเหมือนกัน” แม่บอก

“งั้นแม่ก็ต้องมีความสุขก่อน เพราะเวลาที่ผมเห็นแม่มีความสุข ผมก็มีความสุขเหมือนกัน” ผมบอกต่อ เรามองตากัน แล้วก็พากันหัวเราะร่วน

ผมหยิบกล้องมาใส่ขาตั้ง เซตเวลาให้มันกดถ่ายอัตโนมัติ แล้วผมกับแม่ก็พากันถ่ายรูปด้วยกันสองคน พอไอ้เต้ยอาบน้ำเสร็จ มันก็เข้ามาแทรก แล้วคืนนั้นพวกเราก็สนุกสนานอยู่กับการถ่ายรูป







ดึกแล้วครับ แม่ผมเข้านอนไปแล้ว ผมเดินเล่นไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ก่อนเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า พื้นที่ที่แม่ทำเอาไว้เป็นพิเศษ สำหรับชมวิวตอนกลางวัน และดูดาวตอนกลางคืน ฉาบพื้นเรียบด้วยปูนเปลือยสีเทาเข้มดูอาร์ตดี ล้อมรั้วด้วยระแนงไม้กันคนตก ปักโคมไฟไว้รอบด้าน จริง ๆ ข้างในต้องเป็นเทียน แต่แม่ใส่หลอดไฟดวงเล็ก ๆ ไว้แทน ตั้งเวลาให้มันเปิดปิดเอง ตอนนี้มันเลยดูสวยสว่างไม่แพ้ดวงดาวด้านบนเลยล่ะ

ด้านที่ติดกับตัวบ้านมีหลังคาที่ทำจากไม้คล้ายโรงรถ คลุมด้วยไทรย้อย ให้ความร่มรื่นยามกลางวัน ด้านในสุดมีเตียงไม้ขนาดคิงไซส์ตั้งอยู่ มีหมอนอิงสามเหลี่ยมวางไว้สามใบ เอาไว้นอนเอกเขนก กลางสุดมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับเขียนหนังสือของแม่ และปิดท้ายด้วยชิงช้าสำหรับสามคนนั่งตั้งอยู่ริมสุด 

แม่ผมแต่งบ้านเก่งจริง ๆ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนชิงช้า ใช้เท้าดันพื้นเบา ๆ ให้มันแกว่ง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่นี่เห็นดาวชัดแจ๋วเลย ผมยิ้มให้ดวงดาวนิดหนึ่ง แล้วใบหน้าหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ฉายขึ้นมาแทนที่

“ตามมาหลอกหลอนไกลถึงเชียงใหม่เชียว”
ผมยิ้มให้กับใบหน้านั้น นั่งมองดาวไปเงียบ ๆ จนได้ยินเสียงอะไรก๊อกแก๊กด้านข้าง ผมหันไปมอง

เป็นไอ้เต้ยครับ มันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ยันเท้ากับพื้น ช่วยผมแกว่งชิงช้าอีกที มันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ทอดมองดวงดาวไม่ต่างกับผม

“กูอยากให้พี่เป้มาอยู่ตรงนี้ด้วยจังเลยว่ะ” มันเปรยผ่านความเงียบขึ้นมา
 
ผมหันไปมองมัน

“มันต้องมีโอกาสนั้นเต้ย เชื่อกู”

“อืม แล้วกูจะทำให้โอกาสนั้นมาถึงเร็วขึ้น กูอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับพี่กู”
ผมหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกที

รอเวลาให้พี่เป้ทำใจให้ได้ก่อนนะเต้ย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง







ผมตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสายในเช้าวันใหม่ บ้านเงียบครับ เงียบกริบเลย ผมเดินไปทั่วทั้งบ้าน แต่ไม่เจอใครเลย

“แม่”
ผมเรียกหา มองไปที่โต๊ะอาหาร ก็ไม่มีอาหารวางไว้เหมือนเคย นี่มันเจ็ดโมงกว่าแล้วนะ
แม่ไปไหน

ไอ้เต้ยก็อีกคน ปกติตื่นเช้าซะที่ไหน

ผมเดินออกจากตัวบ้านไปยังสวนหลังบ้านก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ผมชะงักนิด ๆ เพราะระหว่างทางเดินขึ้นบันได ผมเห็นโพสต์อิทติดไว้ข้างกำแพง ไม่ใช่แค่ใบเดียว แต่มีหลายใบ แปะไว้เป็นทางขึ้นไปด้านบน และข้าง ๆ โพสต์อิทแต่ละใบ ก็มีภาพถ่ายของผมติดไว้ ตั้งแต่เล็กจนโตเลย ผมยิ้ม

เป็นฝีมือแม่กับไอ้เต้ยแน่ ๆ 
แต่ลายมือน่ารัก ๆ แบบนี้ มันดูคุ้น ๆ แฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพราะไอ้เต้ยไม่ได้ลายมือแบบนี้ แม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขียนให้อ่านออกยังยากเลย

ผมเดินขึ้นบันไดทีละก้าวสลับกับหยุดอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในโพสต์อิทและมองภาพสุดขี้เหร่ที่แปะไว้เคียงกัน

คนเลือกต้องจงใจเลือกแน่ ๆ และไอเดียนี้ต้องเป็นไอ้เต้ยชัวร์ ๆ ผมดูไปเรื่อย ๆ จนก้าวมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมหยุดยืนอยู่กับที่ จ้องมองรอยยิ้มสดใสของตัวเอง ก่อนเลื่อนสายตาไปที่โพสต์อิทที่ติดไว้ข้างกัน

ผมยิ้มทันที เมื่อเห็นข้อความจากลายมือที่แทบจะอ่านไม่ออกนั้น   

“แม่รักลูกจ้ะ”
ไก่เขี่ยเรียกทวดแบบนี้ ของแม่ชัวร์ ๆ ผมยิ้ม ก้าวผ่านประตูเข้าไป

“ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ !!!”
กระดาษสายรุ้งนับสิบ พุ่งออกมาจากกรวยกระดาษเล็ก ๆ ผมทำหน้าตื่น จ้องมองผู้คนมากมายที่อยู่ตรงหน้า

“สุขสันต์วันเกิดค่ะ พี่กาย!!”

“สุขสันต์วันเกิดจ้ะ!!”

“สุขสันต์วันเกิดนะ!!”
และอีกหลากหลายเสียง แต่หูผมยังอื้ออยู่ครับ ตาผมอาจจะลายด้วยก็ได้ เพราะตอนนี้ผมเห็นผู้คนจากในสภามากันครบองค์ประชุมเลย ทั้งพี่เอก ที่ยืนกอดอกยิ้มหล่ออยู่ตรงนั้น พี่โอมกับพี่มอ พี่โอ๊คกับพี่ปิง พี่อ้อย พี่กิ๊ฟ พี่สาว พี่อิง แม้แต่พี่เป้ก็มาด้วย
ผมมองไอ้เต้ยที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นมันยิ้มรื่นในขณะที่พี่เป้ ทำหน้านิ่ง ๆ เท่านั้น

แล้วกูจะพามึงหนีมาทำไมเนี่ย

ข้าง ๆ พี่เอกเป็นสามทโมนที่ยืนยิ้มแป้น และใครอีกคนที่ผมคาดไม่ถึงว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย  ผมวิ่งเข้าไปกอดทันที กับแม่ผมจะไม่อ้อนเท่าไหร่ แต่กับคนคนนี้ ไม่อ้อนไม่ได้ครับ เหอ ๆ

“จะกลับมาทำไมไม่บอกกันบ้าง” ผมรีบท้วง พ่อยิ้มอบอุ่น

“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ สุขสันต์วันเกิดนะ” พ่อก้มหอมแก้มผมเบา ๆ ที แล้วยื่นของขวัญให้

“ขอบคุณครับ”
ผมรับมาถือไว้ แม่เดินมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าผม เหลือบตามองพ่อด้วยความไม่พอใจ ทำปากจิ๊จ๊ะใส่พ่อด้วย

“แม่ก็มีจ้ะ นี่”
แล้วแม่ก็ยื่นซองอะไรสักอย่างมาให้ ผมรับมาเปิดออกดูก็เห็นเป็นกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินผืนนี้

“ขอบคุณครับแม่”
ผมรีบผละจากอกพ่อไปสวมกอดแม่ทันที แม่เชิดหน้าใส่พ่อ

“ชิ ผมก็ยกบ้านที่กรุงเทพให้คุณกับลูกเหมือนกันแหละ”

แม่เบ้ปาก แม้มือจะลูบหัวผมด้วยความอ่อนโยนอยู่ก็ตาม

“อะ นี่สำหรับมึง”
ไอ้เต้ยมันยื่นของขวัญมาให้ ผมขมวดคิ้วมอง

“ไหนว่ามึงจำไม่ได้”

“วันเกิดเพื่อนสนิททั้งที จำไม่ได้ก็ควายแล้ว”
ผมยิ้ม สรุปมันทำเนียน

แล้วพวกพี่ ๆ ก็เดินมายื่นของขวัญให้ผมกันคนละกล่องสองกล่อง พี่กิ๊ฟให้ กล่องใหญ่มากกกกกก คาดว่าน่าจะเป็นตุ๊กตา พอผมเปิดออก ก็ตามคาดครับ เป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ตัวใหญ่กว่าผมอีก

“เอาไว้กอดแทนไอ้เอกมัน”
พี่กิ๊ฟกระซิบบอก ผมยืนหน้าร้อน แต่ก็พยายามตีเนียนนิ่งไว้ พอพี่กิ๊ฟละออกไป สามทโมนก็พากันกระโจนใส่ผมทันที

“นี่ของขวัญจากพวกเรา”
กล่องเดียวครับ แต่ผมรู้ว่าพวกน้อง ๆ คงร่วมกันซื้อหรือทำให้ ผมรับมาถือไว้ น้องมันบอกให้เปิดทีหลัง ผมก็เก็บเอาไว้ก่อน

แล้วพี่เอกก็เดินมายื่นของขวัญให้ผมบ้าง เป็นกล่องเล็ก ๆ ครับ ผมรับมาถือไว้ แต่ยังไม่เปิดหรอก
ของคนสำคัญ ต้องเก็บเอาไว้เปิดทีหลัง

ผมถามว่าทำไมถึงได้มาจัดงานกันตั้งแต่เช้า คำตอบก็คือ เพราะพวกพี่เขานั่งเครื่องมาถึงกันตั้งแต่เมื่อคืน (หลังจากผมหลับไปแล้ว) ขืนรอให้พ้นวันก็ไม่รู้ว่าจะไปแกร่วกันอยู่ที่ไหน

สรุป ผมต้องเป่าเทียนตอนเช้า 

ก็ได้ครับ ตอนไหนสำหรับผมก็คือวันเกิด เป็นวันที่แม่มอบชีวิตให้ผม ผมเดินเข้าไปหอมแก้มแม่ที แล้วก็กล่าวขอบคุณที่เลี้ยงผมมาจนโต

แม่ซึ้งหน้าแดงใหญ่ แต่โดนพ่อแซว แกเลยรีบกลับมาตีหน้าบึ้งเหมือนเดิม

แม่เสนอให้พวกเราไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าบนดอยครับ ไม่ไกลลิบเท่ากับที่เราไปสร้างโรงเรียน แต่ก็ไกลพอที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึง

งานนี้พวกเราเลยลงขันกันเอง พ่อใจใหญ่สุด ให้มาเป็นหมื่นเลย แกบอกตอนแรกจะเก็บไว้ให้ผม แต่เปลี่ยนใจให้เด็กดอยแทน
ผมงี้ซึ้งใจพ่อเลย แต่วันเกิดครับ ทำบุญได้รีบทำไปเถอะ ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ

พวกเราเหมารถตู้มากันเอง เอามาสองคัน เพราะคนเยอะกว่าเดิม แถมของยังเยอะอีกต่างหาก พวกทโมนตื่นเต้นกันใหญ่ คงเพราะไม่เคยออกนอกสถานที่แบบนี้ และผมเพิ่งรู้นะ ว่าพี่เอกมันทำทุกปี

โห หน้าไม่ให้ แต่ใจรักวุ้ย

เส้นทางกันดารสุด ๆ กว่าจะขึ้นมาถึง ไส้ผมแทบจะลงไปกองอยู่ที่พื้น พอรถจอดสนิท พี่มอที่นั่งอยู่ติดกับประตูก็เปิดประตูออก พออากาศภายนอกสัมผัสผิว ผมรีบห่อตัวเข้าหากันทันที

เย็นครับ เย็นเจี๊ยบเลย ยังดีนะที่แม่เตือนเอาไว้ก่อน พวกเราเลยรอดกันด้วยเสื้อกันหนาวกันคนละตัวสองตัว ผมก้าวลงจากรถ กระชับเสื้อกันหนาวแน่นขึ้น ไม่คิดว่าบนดอยในฤดูนี้จะหนาวขนาดนี้ (แม่บอกว่าดอยนี้ มันโอบล้อมไปด้วยน้ำตกกับต้นไม้ใหญ่เยอะน่ะ เลยเย็นมากกว่าปกติ)

พวกเรารีบช่วยกันขนข้าวของลงจากรถ ยกเอาไปวางไว้ยังจุดที่ทางโรงเรียนเตรียมเอาไว้ ผมก็ช่วยด้วยเหมือนกัน เมื่อกี้ยกลังขนมไปแล้ว เดินกลับมา กำลังจะก้มยกลังที่สองต่อ   

"กาย"
ผมหันไปตามเสียงเรียก ยังไม่ทันได้รู้ว่าเป็นใคร ก็มีสิ่งหนึ่งวิ่งมาโป๊ะหน้า และก่อนที่มันจะร่วงลงพื้น ผมรีบคว้าเอาไว้ทันที
เป็นเสื้อกันหนาวครับ

ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสื้อตัวนั้น พี่มันเดินเข้ามาใกล้ แล้วก้มยกลังที่ผมกำลังจะยกเมื่อกี้ไปถือเอง ไม่พูดไม่จา เดินลิ่ว ๆ เอาลังไปวางไว้แล้วเดินกลับมาใหม่ ลากเอาลังขวดน้ำหวานเฮลซ์บลูบอยจากด้านในออกมา กำลังจะช้อนอุ้ม (มันหนักนะน่ะ)

“พี่ไม่ใส่เหรอ”
ผมถาม พี่มันหันมามอง แล้วไอ้เสื้อยืดสีเทาตัวนั้นมันจะเน้นกล้ามของพี่มันไปไหน

“ร้อน ฝากไว้หน่อยละกัน จะใส่ก็ได้”
พี่มันบอกแค่นั้น แล้วอุ้มลังน้ำหวานเดินจากไป ผมมองพี่มันงง ๆ

คนหรือหมีควายวะ คนอื่นเขาหนาวกันจะตาย มาบอกร้อนกัน

ผมก้มมองเสื้อพี่มันอีกที

ก็ดี กำลังหนาวเลย ผมรีบสวมเสื้อตัวนั้นทันที หันไปมองไอ้เต้ย มันมีสภาพไม่ต่างกับผมครับ ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ ๆ เหมือนกัน และให้เดาคงเป็นของพี่เป้ เพราะรายนั้นก็เดินเท่ แบกของในสภาพเสื้อยืดตัวเดียวไม่ต่างกับพี่เอกเหมือนกัน
สงสัยพวกผู้ชายตัวใหญ่ ๆ จะเป็นโรคขี้ร้อนกัน

ผมละความสนใจจากพวกพี่มันหันมาช่วยกันยกข้าวของต่อ เราเน้นพวกข้าวสารอาหารแห้งกันเป็นหลักครับ อย่างพวกน้ำมัน น้ำปลา เกลือ พริกไทย น้ำตาล ของใช้เบสิกที่พวกเราหาซื้อกันได้ง่าย ๆ แต่สำหรับที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ไอ้เต้ยช่วยพี่มันขนของอยู่ ในขณะที่สามทโมนช่วยพวกพี่ผู้หญิงหิ้วของ  เล็ก ๆ น้อย ๆ สักพักก็พากันวิ่งไปหาพี่เอก ผมเข้าไปช่วยพ่อแม่รื้อของ เตรียมแยกเพื่อแจกให้เด็ก ๆ

สองคนเขาก็ช่วยกันไปกัดกันไป เพิ่มสีสันดีครับ ผมก็ทำ ๆ หยุด ๆ เพราะต้องเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ ดีที่เอาขาตั้งกล้องมาด้วย ผมจะได้เข้าไปอยู่ในเฟรมได้ ผมไว้ใจขากล้องมากกว่ามือคนอื่นซะอีก

ยกเว้นพี่เอกน่ะนะ แต่ตอนนี้มีสามทโมนอยู่ ผมไม่กล้าให้พี่แกแตะครับ

ไม่นานทางโรงเรียนก็ต้อนพวกเด็ก ๆ มารวมกันไว้ยังจุดเดียว เยอะเหมือนกันครับ แต่แม่เตรียมของมาครบแน่นอน (วางแผนมาดีครับ แม่ผม) เด็ก ๆ เดินเรียงแถวกันเข้ามารับขนมจากมือพวกเรา

พอดีวันนี้วันเสาร์ โรงเรียนปิด แต่แม่แจ้งเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะมีคณะของพวกเรามาแจกของ ชาวบ้านเขาเลยพากันมารอ พวกผมนี่เหมือนเป็นพระเจ้าของคนพวกนั้นเลย ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เอกถึงได้ชอบทำนัก

ตอนแรกผมก็ช่วยพ่อแม่อยู่หรอก แต่ไป ๆ มา ๆ สามสาวก็เข้ามาแทนที่ แล้วผมก็ถูกเตะให้มาอยู่กับพี่เอกแทน เรายืนแจกของด้วยกันสองคน (แยกกันครับ ผมกับพี่เอกแจกขนม พวกพี่ผู้หญิงแจกพวกสมุดดินสอ พี่โอ๊คกับพี่ปิงแจกหนังสืออ่านเล่น พี่มอกับพี่โอมแจกพวกข้าวสารอาหารแห้ง ส่วนพ่อกับแม่และสามทโมนแจกพวกเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม)

พอเราแจกของกันครบ ก็มีตัวแทนเด็ก ๆ ออกมาร้องเพลงกับเต้นให้พวกเราดู พวกที่เหลือก็นั่งกินขนมกันแก้มตุ่ย บ้างก็ช่วยกันร้องเพลงประกอบ น่ารักดี ผมก็ช่วยปรบมือด้วย ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะมองน้อง ๆ ยกมือขึ้นหมุน ๆ แล้วโยกเอวซ้ายขวาในจังหวะไม่พร้อมเพรียงกัน อีกคนโยกซ้าย อีกคนโยกขวา น่ารักน่าเอ็นดูดี ครูหนุ่มดอยทำหน้าที่ให้จังหวะจากกลองกระติกน้ำพลาสติก ชาวบ้านบางคนก็คว้าหม้อไหกะละมังถังถาดมาช่วยกันเคาะให้จังหวะ ดูพื้น ๆ แต่มีเสน่ห์ดีครับ

หลังจากการแสดงจบ พวกเราก็เริ่มเก็บข้าวของบางส่วนขึ้นรถ ผมกำลังเก็บขยะอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลนัก เดาไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย ตัวเล็ก ๆ หน้ามอม ๆ ผมสะกิดให้พี่เอกมอง พี่แกอมยิ้ม หันไปหยิบขนม สมุดหนังสือ ของใช้ของเล่นมาเซตใหญ่ แล้วเราสองคนก็พากันเดินเข้าไปหาเด็กน้อยคนนั้น 

ผมย่อตัวลงจนเสมอตัวเด็ก ในขณะที่พี่เอกก็ทำตามบ้าง เด็กน้อยทำท่าหวาดกลัว

“ไม่ต้องกลัวพวกพี่นะ”
ผมยิ้มอบอุ่น หันไปรับของจากมือพี่เอกมายื่น เด็กน้อยรีบรับไปหอบไว้กับอก วิ่งลิ่ว ๆ หนีไป ผมหันไปมองพี่เอก   

“พี่เอกทำเด็กกลัว”

“นายนั่นแหละ”
พี่มันเถียง ผมกำลังจะเถียงต่อ แต่ได้ยินเสียงคนโวยวายด้านหลัง ผมกับพี่เอกหันไปมอง ก็เห็นพี่โอมกับพี่มอ กำลังแย่งกันป้อสาวแม้ววัยละอ่อนคนหนึ่ง น่ารักใช้ได้เลยครับ มิน่าล่ะ พวกพี่มันถึงได้แย่งกันจีบ 

ผมอมยิ้ม ส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา ขนาดมาทำบุญทำทานกันนะเนี่ย

ผมกับพี่เอกลุกเดินกลับเข้าไปในกลุ่ม พวกสามทโมนรีบลากพ่อกับแม่เดินเข้ามาหาทันที หนึ่งในสามทโมนยื่นกล้องมาให้ ผมรีบรับมาถือไว้ กลัวลูกชายพังครับ (เมื่อกี้ตอนเก็บของ ผมฝากกล้องไว้กับพ่อน่ะ ไหงมาอยู่กับพวกทโมนได้เนี่ย)

“เมื่อกี้คุณพ่อถ่ายภาพพี่เอกกับพี่กายด้วยนะ” สาวน้อยคุยโวใหญ่

ไปเป็นพ่อลูกกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ 

“เนอะคุณพ่อคุณแม่”
เนียนครับเนียน แม่พยักหน้า ลูบหัวสามสาวด้วยความเอ็นดู

ผมเข้าใจเจตนาของน้อง ๆ ทันที เพราะดูจากระยะที่พ่อกับแม่ยืนอยู่คู่กันโดยไม่กัดกันแล้ว ถือว่าพัฒนาไปได้เยอะครับ สามทโมนหันมายักคิ้วให้ ผมอมยิ้ม ขยับริมฝีปากพูดคำว่า “ขอบคุณ” ให้เห็นกันแค่สี่คน   

พอบ่ายโมงกว่า ๆ พวกเราก็บอกลาเด็ก ๆ และชาวบ้านเพื่อเดินทางกลับ หลังจากนี้ พวกเราจะตรงไปวัดกันครับ ไปไหว้พระที่ดอยสุเทพกัน

*** ***
To Be Con..
ง่วงมาก รีบมาลงก่อนสติจะดับ...zzz

ออฟไลน์ a_n

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ติดตาม ตอนหน้าต่อ

ออฟไลน์ am_am

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ ไม่อยากตามไปอ่านที่อื่น
ชอบอ่านที่เล้าเป็ดอ่ะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ดีจังวันเกิด ได้ไปบริจาคของให้เด็กๆด้วย

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
รอตอนต่อไปจ้า :pig4:

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
ชอบเรื่องนี้มากครับ รอมาต่อนะ :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love ♥ [34] ดอยสุเทพ..ความสุขเพียงเล็ก
[เอก...☼]
 



รถของพวกเรากำลังเชิดหัวขึ้นสู่ดอยสุเทพ เราเหมารถตู้กันมา บอกตามตรงว่าผมไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของไอ้ตัวเล็กมัน

จะว่าผมเป็นคนไม่ใส่ใจก็ได้ หรือยังไม่ได้หาข้อมูลของมันเก็บไว้ก็ถูก ผมรู้ตอนไอ้เป้มันโทรมาบอกว่าแม่ชวนมางานเลี้ยงวันเกิดไอ้ตัวเล็ก แล้วให้ชวนเพื่อนที่เคยไปบ้านกายครั้งที่แล้วมาด้วย ตอนแรกแม่จะออกค่ารถให้(เหมารถตู้มากัน) แต่พวกผมขอมาเครื่องกันดีกว่า(แต่ละคนมีเงินจ่ายครับ รวย ๆ กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋ว)

พอไอ้สามป่วนมันได้ข่าว ก็รีบออดอ้อนขอตามมาด้วยให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น

ผมมีเวลาแค่วันกว่า ๆ ในการหาของขวัญให้มัน เดินหาอยู่นานครับ แต่ไม่เจอ สุดท้ายเลยสั่งทำบางอย่างให้มันแทน
และตอนนี้ ผมกำลังมองคนที่เดินหอบแฮก เหงื่อโซมกายอยู่ข้าง ๆ เพราะยังไม่ทันถึงดอยดี ไอ้โอมมันดันเสนอไอเดียให้พวกเราเดินขึ้นดอยกัน ไม่ไกลครับ แค่สามกิโลจากจุดที่รถจอด(มันให้รถขับขึ้นไปรอด้านบนก่อน)

แต่ขอบอก ทางขึ้นเขา ไม่ไกลก็เหมือนไกล
ไอ้คนออกความเห็นมันก็เดินหอบแฮกเหมือนกัน แต่ก็ยังกลั้นใจพาขาอันอ่อนล้าเดินขึ้นเขาต้อย ๆ

“ไหวไหม”
ผมถามไอ้ตัวเล็ก หยิบผ้าเช็ดหน้ามายื่นให้ มันรับไปซับแล้วยิ้มกลับ

“ขอบคุณฮะ”

“โอ๊ย พี่เป้ ไม่ไหวแล้ว แบกผมที”
ไอ้เต้ยมันขาล้าแล้วครับ คนแรงน้อยแบบมันเดินมาถึงนี่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว

“มาเองก็เดินเอง”
ไอ้เป้มันตอบกลับเรียบ ๆ สงสัยไอ้เต้ยจะหมั่นไส้เลยกระโดดขี่หลังพี่มันแทน

“นี่!! เดินเองสิ”
ไอ้เป้มันพยายามแกะมือน้องมันออก

“ไม่เอา พี่เป้แบก”

“หนัก!!”
ไอ้เป้บ่น ไอ้เต้ยกระชับมือที่คอพี่มันแน่น แนบหน้าไว้กับลำคอพี่มัน

“นะ แบกผมหน่อย”
มันบอกเสียงเบาคล้ายคนกำลังจะจากลาไกล ผมฟังยังรู้สึกวูบโหวง แล้วไอ้เป้ล่ะ มันจะรู้สึกขนาดไหน สุดท้าย มันก็ยอมให้น้องมันขี่คอดี ๆ

“หนัก” มันบ่น 

“ผมน้ำหนักลดไปตั้งห้ากิโลเชียวนะ น่าจะเบากว่าแต่ก่อนอีก”
ผมสังเกตเห็นเหมือนกัน ว่าไอ้เต้ยดูซูบ ๆ ไป

“ทำไม”
ไอ้เป้มันถามเสียงเครียด

“เหงา กินอะไรไม่ค่อยลง”
มันบอกเสียงอ่อน กอดคอพี่มันแน่นขึ้น ไอ้เป้นิ่งเงียบไป แต่ผมว่า ใจมันกำลังร้องไห้อยู่แน่ ๆ

“ผมรักพี่นะ”
ไอ้เต้ยบอกพี่มันเสียงเบา แต่ไร้เสียงตอบรับใด ๆ กลับมา

ผมกับกายเป็นคู่สุดท้ายที่เดินตามหลัง โดยมีไอ้เต้ยกับไอ้เป้เดินนำหน้าเราไปเรื่อย ๆ ผมมองพวกมันด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนหันมามองคนข้างตัวบ้าง มันแทบจะเดินลิ้นห้อยแล้ว

“อ่อน”
ผมว่าใส่ มันเชิดหน้าทำท่าฮึดฮัด

“ผมไม่ได้แรงควายอย่างพี่นี่”
ผมอมยิ้มไปกับคำต่อว่ามัน

“เร็ว ๆ หน่อยซิคะ!! พวกพี่ ๆ เต่ากันจริงเชียว”
พวกไอ้อ้อนเอามือป้องปากโบกมือไหว ๆ นำหน้าอยู่บนเนินทางโค้งนู้นครับ พ่อกับแม่ที่น่าจะแรงน้อยกว่าพวกเรา กลับเดินลิ่วนำโด่งไปก่อนเพื่อน สองคนนี้เขาแข่งกันเดินเร็วครับ ส่วนพวกน้อง ๆ มันก็วิ่งเล่นกันไป แวะดูต้นไม้ดอกไม้ข้างทางกันไป

หันกลับมามองคนลิ้นห้อยอีกที ผมผ่อนจังหวะฝีเท้าให้ช้าลง คว้ามือมันมาจับ แล้วเดินเคียงไปกับมัน

“เอ้า ซ้าย ขวา ซ้าย…ซ้าย ขวา ซ้าย”
ผมก้าวขาเป็นจังหวะ มันขำใหญ่

“พลทหารกาย ขืนชักช้า เดี๋ยวก็ถูกทำโทษหรอก”
มันส่งค้อนให้ผมที เร่งความเร็วตามจังหวะที่ผมนำ

พ่อแม่และพวกทโมนเดินนำหน้า ช่วงกลาง ๆ เป็นเพื่อน ๆ ผม ตามด้วยไอ้เป้กับน้องมัน และมีผมกับกายรั้งท้าย ไอ้เป้จงใจเดินช้า ๆ คงไม่อยากให้มันและน้องมันเป็นที่สนใจของคนอื่นเท่าไหร่ ยกเว้นผมกับกายที่รู้เรื่องกันดีอยู่แล้ว 

มันก้าวเท้าเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนอยากจะรักษาช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด มันคล้องแขนมาด้านหลัง รัดน้องมันไว้ ไม่ต่างกับไอ้เต้ยที่กอดคอพี่มันไว้ ซบหน้าข้างลำคอพี่มัน

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาหมองเศร้าคละเคล้าความสุขเพียงเล็กน้อย

มันมีความสุขกับช่วงเวลาอันน้อยนิด แต่ก็เศร้า เพราะอีกไม่นาน ช่วงเวลาเหล่านี้ก็จะหมดไป
ผมกระชับมือขาวที่จับอยู่แน่น จับมันไว้ แล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน อยากเอามันขี่หลังเหมือนกันครับ แต่มันคงไม่ยอม   

“เอ้ย!! ไอ้สองคู่นั้นน่ะ รีบ ๆ เดินเด๊ะ เดี๋ยวดอยสุเทพก็หายไปหรอก”
ดอยสุเทพบ้านแป๊ะมึงอะดิ จะหายไป

ผมกระชับมือไอ้ตัวเล็กให้เดินเร็วขึ้น สักพักพวกเราก็มายืนหอบแฮก หาน้ำหาท่ากินกันตรงทางขึ้นวัด ข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน มีรถขายผลไม้ และน้ำดื่มต่าง ๆ ผมซื้อน้ำตะไคร้ดื่ม ส่วนไอ้ตัวเล็กมันเอาน้ำมะพร้าว

มีแม่ค้าเดินเข้ามาขายพวงมาลัยให้เรา พวงละยี่สิบบาท แต่แม่บอกให้ไปซื้อข้างบนดีกว่า สิบบาทเอง พวกเราเลยขนย้ายตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนตีนบันไดทางขึ้นวัด(ขนาบสองข้างทางด้วยพญานาคตัวยาวเฟื้อย)

พวกไอ้อ้อยทำหน้าเมื่อยทันทีที่เห็น

พวกมันค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดกันสองสามก้าว แล้วก็พัก แล้วก็ก้าวกันต่อ ผมกับไอ้ตัวเล็กเดินคู่กันไปเงียบ ๆ พ่อกับแม่เดินลิ่ว ๆ นำไปนู้นแล้ว ตามติดด้วยสามสาวที่เริ่มหมดแรงอ้อนพ่ออ้อนแม่กันยกใหญ่ 

“เหนื่อยฉิบ ไม่น่าบ้าจี้ตามไอ้โอมมันเลย” อิงเริ่มบ่น “กูก็ลืมไปว่าต้องมีเดินขึ้นบันไดด้วย” 

ไอ้โอมหันมายิ้มเหนื่อย ๆ ให้

“พวกมึงรู้รึเปล่า ว่าพวกมึงอะ ได้บุญเยอะกว่าคนอื่น ๆ ยิ่งลำบาก บุญยิ่งเยอะนะโว้ย”
มันหันหัวเรือกลับมาช่วยพวกสาว ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยกัน ผู้ชายคนอื่น ๆ ก็ลงมาช่วยด้วยเหมือนกัน เว้นแต่ผมกับไอ้เป้ เพราะไอ้เป้ลากน้องมันอยู่ ส่วนผมอยากเดินคู่ไปกับไอ้ตัวเล็กมันมากกว่า

ผมมองไปยังปลายทาง
กว่าจะถึง สงสัยหอบแดกกว่าเดิมแน่ ๆ
...
...
...
ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด พวกเราก็มาถึง ผมหยุดฝ่าเท้าตรงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะไอ้ตัวเล็กมันหยุดถ่ายภาพ มันยืนเล็งกล้องนิ่ง ๆ อยู่นานจนพ่อกับแม่และน้อง ๆ พากันหอบดอกไม้ธูปเทียนมายื่นให้ ผมรับมาถือไว้ แล้วบอกให้พวกเขาขึ้นไปกันก่อน ส่วนผมก็ยืนรอไอ้ตัวเล็กมัน

ผมมองไปรอบ ๆ คนเยอะน่าดู วันนี้วันเสาร์ด้วย หันมามองไอ้ตัวเล็ก มันยังยืนเล็งกล้องอยู่ ผมเขยิบหลบไปยืนอยู่ข้าง ๆ จะได้ไม่ขวางทางคนอื่น

ไอ้ตัวเล็กมันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ขยับมือเพียงนิดเพื่อหามุม และขยับนิ้ว เพื่อลั่นชัตเตอร์

ผมว่ามันไม่อึดเรื่องการเคลื่อนไหว แต่ถ้าเรื่องให้นิ่งมันทำได้ดีนะ

สักพักมันก็ลดกล้องลง หันมามอง

“อ้าว แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”

“ไปกันหมดแล้ว”
มันยิ้มแหะ ๆ รับดอกไม้ธูปเทียนจากมือผมไป

“ไม่ต้องรอผมก็ได้ กว่าจะถ่ายได้ บางทีมันใช้เวลานาน”
อันนั้นกูรู้อยู่แล้ว

ผมไม่ได้ตอบ เดินเคียงมันขึ้นไปด้านบน พวกเพื่อน ๆ คงไหว้พระกันเสร็จแล้ว เพราะเห็นพวกมันกำลังสนุกสนานกับการหามุมถ่ายรูปกันอยู่ ในขณะที่พ่อกับแม่ถูกพวกทโมนลากให้ไปเติมน้ำมันตะเกียงอีกด้าน

เราเดินไปจุดธูปเทียนกันด้านซ้าย ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พวกไกด์ก็แนะนำนักท่องเที่ยวกันด้วยภาษานั้น ๆ ที่ได้ยินบ่อยก็ ญี่ปุ่น อังกฤษกับจีน

เราจุดธูปและเทียนพร้อมกัน เดินเอาเทียนไปปักไว้ที่ฐาน แล้วเดินถือธูปไปนั่งคุกเข่าบนพรมแดง ผมแหงนหน้าขึ้นมององค์พระ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน 

ขอให้ผมและคนที่ผมรักทุกคน มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง
พอผมขอพรเสร็จก็นั่งคอยไอ้ตัวเล็กที่ยังคงหลับตาตั้งจิตขอพรอยู่ พอมันเสร็จ ผมถึงได้ลุกพามันเดินไปปักธูปลงกระถางเดียวกันและจุดเดียวกันกับมัน แล้วพวกเราก็กลับมากราบพระอีกสามครั้ง เป็นอันจบกระบวนการ

พวกเราเดินหยอดตู้ทำบุญกันอีกนิดหน่อย พวกสาว ๆ ชอบเสี่ยงเซียมซีกัน แต่ของผมไม่ เพราะผมถือคติ สิ่งที่เชื่อได้มากที่สุด คือจิตใจและการกระทำของตัวเองนี่แหละ

“ไปถวายสังฆทานกัน”
มันชวน ผมพยักหน้าเดินไปซื้อเครื่องสังฆทานที่เขาเตรียมไว้ให้ แล้วเราก็พากันเดินไปถวายสังฆทาน พระที่นี่ดูใจดีและอบอุ่นครับ สวดด้วยภาษาเหนือ แถมยังให้พรซะยาวยืด ผมก้มหน้าต่ำตอนพระท่านรดน้ำมนต์แล้วเคาะกบาลมาสามที 

“ขอให้มีแต่ความสุขและความเจริญนะโยม”
ผมน้อมรับลงกระหม่อมพอ ๆ กับคนข้างตัว แล้วเราก็พากันเดินไปเติมน้ำมันตะเกียง พอจบกระบวนการไหว้พระ เราถึงได้พากันเดินลงมาที่โซนด้านล่าง

“ถ้าอยากให้ชีวิตประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ก็ต้องตีระฆังให้ดัง ๆ”     
ไอ้ตัวเล็กมันบอก

“แล้วตีแบบไหนถึงจะดัง”

“ก็ตีดัง ๆ”

“ยังไง”
ผมถามมันกวน ๆ มันเลยไปหยิบไม้มาอันหนึ่ง แล้วตีให้ดู ผมยิ้มเย็น ดึงไม้จากมือมันมาถือ

“พี่มีเทคนิค ตีให้ดังโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ”
แล้วผมก็ทำให้ดู ไอ้ตัวเล็กอ้าปากค้าง ทึ่งไปกับเสียงกังวานใสแต่ดังสะท้านไปทั่วจนผู้คนหันมามอง

ผมหัวเราะหึ ๆ ในใจ

“ทำยังไงอะ!”
มันรีบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยสอนเทคนิคไป มันลองทำดู แต่เสียงก็ยังดังเท่าเดิม ผมเลยเดินไปยืนขนาบอยู่ด้านหลัง จับหลังมือมันไว้ ผมสอนให้มันวางมือให้นิ่งที่สุด ขยับมือให้น้อยที่สุด แต่ปล่อยพลังของร่างกายทั้งหมดไปที่ปลายไม้ แล้วผมก็จับมือมันลงระฆังด้วยจังหวะเพราะพริ้ง

เสียงมันก้องกังวานเป็นสองจังหวะ อาจจะเพราะมีสองแรงมือ มันยิ้มที่ระฆังที่มันทำเสียงดังขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องตีแรงจนเจ็บมือ

“เก่งจัง ขนาดตีระฆังก็ยังเก่ง”
มันชม ผมอมยิ้ม แล้วปล่อยให้มันเป็นอิสระ

“เรื่องบางเรื่อง ถ้าเราจับให้ถูกจุด ก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากก็ทำสำเร็จแล้ว”
มันมองผมด้วยสายตาชื่นชม คล้าย ๆ กับสายตาที่มันมองไอ้คุณชรินทร์นั่นแหละ ผมงี้เขินเลย 

“เอ้ย!! ไอ้พวกนั้นน่ะ มาถ่ายรูปกัน”
ไอ้อ้อยมันตะโกนเรียก ผมกับไอ้ตัวเล็กหันไปมอง พวกนั้นกำลังสนุกกับการถ่ายรูปกันใหญ่ เห็นสี่สาวกำลังกระโดดสูงกลางอากาศ โดยมีไอ้ปิงเป็นมือถ่าย ผมกับกายรีบเดินไปสมทบทันที

ดีไอ้ตัวเล็กมันพกขาตั้งกล้องมาด้วย พอมันจัดมุมเสร็จ พวกเราก็รีบมุดเข้าเลนส์กล้องแล้วจัดการโพสต์ท่าตามใจข้าทันที
พ่อกับแม่หันไปชนกันนิดหน่อย แล้วต่างคนก็ต่างดีดตัวออกห่างจากกัน

เออเนอะ…คนเรา 

พอถ่ายรูปกันจนหนำใจ พวกเราก็พากันยกโขยงลงบันไดพญานาค ขาลงง่ายครับ พวกสาว ๆ พากันวิ่งลิ่ว ๆ ส่วนพวกหนุ่ม ๆ เดินเหล่สาวกันไป

ไอ้พวกนี้ในวัดในวาก็ไม่ว่างเว้น(ได้ข่าวว่ามึงก็เป็น)

พวกเราเดินไปยังโซนขายของที่ระลึกตรงตีนบันไดด้านขวามือ แอมเกาะแขนแม่ ส่วนไอเกาะแขนพ่อ แล้วก็มีไอ้อ้อนเกาะแขนคนทั้งคู่อยู่ตรงกลาง สามสาวพากันออดอ้อนราวกับเป็นพ่อแม่ของตัวเองจริง ๆ ส่วนไอ้ตัวเล็กก็เดินไปหยุดถ่ายภาพไป โดยมีผมเดิน ๆ หยุด ๆ อยู่เป็นเพื่อน

มันหยุดขาไว้ เล็งกล้องไปยังพ่อกับแม่และสามทโมนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูพวงกุญแจทำมือของแม้วสูงวัย 

“พ่อกับแม่อยากได้ลูกสาวมานาน สมใจพวกเขาล่ะ”
ผมหันไปมอง

“เอาเลยพี่ยกให้”

“ผมเอาจริง ๆ นะ แล้วพี่จะเสียใจ”

“เอาไปเลย แถมข้าวสารอีกสิบกระสอบ”
ลดแลกแจกแถมครับรุ่นนี้ ไม่รับคืนสินค้าด้วย มันหัวเราะใหญ่

ผมหันไปมองไอ้เป้กับไอ้เต้ย เห็นไอ้เต้ยมันลากแขนพี่มันไปที่ร้านขายของที่ระลึก คว้าหยิบหมวกแม้วมาใส่ให้พี่มัน ไอ้เป้มันส่ายหน้า เพราะดูแล้วคงไม่หล่อ

เอาน่าเป้ ปล่อยวางสักวัน

พวกเราเดินดูของกันด้านบนเสร็จก็ไปต่อกันที่ด้านล่าง ได้ของไปฝากคนกรุงเทพเพียบ

หิวครับ ตอนนี้หิวมาก กว่าจะเดินดูของกันหมด ก็เกือบห้าโมงกว่า เสียพลังงานไปเยอะ แม่เลยชวนพวกเราไปกินหมูกระทะกันย่านนิมมานเหมินทร์กัน

พวกเรามากันเยอะ ร้านเขาแทบพัง อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คิดเป็นรายหัว หัวละ 119 บาท คุ้มสุด ๆ เพราะของกินเพียบ เราได้โต๊ะยาวเป็นวาเหมาทั้งแถบ น้อง ๆ ผมมันวิ่งไปหยิบขนมมากินกันก่อน เป็นนิสัยไปแล้วครับ ชอบกินของหวานก่อนของคาว

ไอ้เต้ยมันเดินไปหยิบตะกร้าใส่ของมาสองใบ แล้วยื่นให้พี่มันถือ ส่วนตัวมันก็เดินหยิบนู้นหยิบนี่ใส่ตะกร้า แต่ของส่วนมากก็เป็นของโปรดของไอ้เป้มันนั่นแหละ ไอ้เป้มันมองน้องมันด้วยสายตาอ่านไม่ออก

มันคงจะรู้สึกผิดที่ทำกับน้องมันแบบนั้นเหมือนกัน

“เลือกของที่นายชอบบ้างสิ”
ไอ้เต้ยหันมามองด้วยรอยยิ้ม

“อะไรที่พี่ชอบ เต้ยก็กินได้หมดแหละ”
มันพูดเอาใจพี่มัน หันไปคีบอาหารต่อ

ผมที่กำลังมองคนทั้งคู่อยู่ชะงัก เพราะตรงหน้ามีตะกร้าใส่ผักยื่นมาให้สองใบ

“ช่วยผมถือที”
ผมก็รับมาถือไว้ เดินตามมันต้อย ๆ มันถามว่าผมอยากกินอะไร ผมก็บอกมันไปสี่ห้าอย่าง

“พี่ต้องกินแบบนี้แหละ คุ้มสุด”

“มื้อเย็นพี่ไม่กินเยอะเหมือนมื้อเช้าหรอกนะ”

“กินเยอะก็ออกกำลังกายเยอะ ๆ สิ” มันแนะ

“อื้ม..เป็นความคิดที่ดี”
ผมทำสายตากรุ้มกริ่ม มันเสหน้าไปทางอื่น เลือกหยิบผักมาใส่ตะกร้าซะพูน ผมหัวเราะหึ เดินตามมันไป

ผมถือสอง มันอีกสอง พอของครบ ก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ผมนั่งข้างไอ้ตัวเล็ก ฝั่งตรงข้ามเป็นไอ้เป้กับไอ้เต้ย สี่คนต่อหม้อครับ ยกเว้นหม้อของพ่อกับแม่ที่มีสามสาวร่วมกินด้วย พวกน้อง ๆ พากันแย่งคีบอาหารให้พ่อกับแม่กินใหญ่

“ป๋าต้องกินเยอะ ๆ นะ จะได้มีแรงทำน้องให้พี่กาย”
พวกมันทำเนียน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่เลิกกัน แม่ทำท่าจะค้าน ไอ้อ้อนมันสอดขึ้นมาอีก

“ม๊าก็ต้องทานเยอะ ๆ นะคะ บำรุง น้องจะได้ผิวสวย ๆ เหมือนอ้อนไง”
ชมตัวเองก็เป็นเนอะคนเรา

แล้วพวกมันก็พากันนั่งประเคนอาหารให้พ่อกับแม่กิน สองคนนั้นเลยต้องแกล้งเนียนเป็นผัวเมียกันไปก่อน คงไม่อยากให้เด็ก ๆ เสียความรู้สึก

แต่พ่อกับแม่ตกหลุมพรางพวกมันแล้วล่ะครับ

“มึงอย่ามาแย่งของกูเด๊ะ!!”
ไอ้มอมันแย่งหมูกับไอ้โอมมัน เรื่องอื่นมันสามัคคีกันดี ยกเว้นเรื่องกินนี่แหละ ไม่แข่งก็ตีกันตลอด

พ่อกับแม่นั่งกันคนละฝั่งตรงหัวโต๊ะ มีอ้อนนั่งต่อจากพ่อ ส่วนแม่โดนประกบคู่ แอมกับไอ ถัดจากไอเป็นผมแล้วก็กาย ข้างไอ้กายเป็นไอ้โอ๊คไอ้ปิง ฝั่งตรงข้ามเป็นไอ้มอกับไอ้โอม ที่ยังแย่งหมูกันไม่หยุด ที่เหลือเป็นสาว ๆ ครับ

ปกติ พวกผู้หญิงกลุ่มผมจะรักษาหุ่นกันอยู่แล้ว แต่อย่าให้ได้เข้าร้านบุพเฟ่
กินกันเหมือนเห้ลงมาก

“นี่พอได้แล้ว พี่กินไม่หมดหรอก”
ไอ้เป้มันปราม เพราะไอ้เต้ยมันตักของกินให้ซะพูนจาน

“นายน่ะกินซะบ้าง น้ำหนักลดไปตั้งเยอะ”
มันคีบของกินบางส่วนคืนน้องมัน ไอ้เต้ยยิ้มแป้นด้วยความดีใจ คีบกินอาหารที่ได้จากพี่มัน

ผมกำลังจะคีบผักมาใส่จาน อยู่ ๆ ก็มีตับชิ้นโตมาวางแหมะอยู่บนจาน

“ของโปรดพี่”
มันพูดแล้วคีบกินของมันเองต่อ

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้เป้ ก่อนคีบสิ่งที่มันให้มากิน แล้วไอ้ตัวเล็กก็หันไปคีบไก่ไปให้ไอ้เต้ย คีบหมูให้พ่อ และคีบต้นหอมให้แม่
ผมควรจะดีใจดีไหมเนี่ย

“กายพี่ให้”
หันไปมองด้านข้าง ไอ้โอ๊คมันคีบหมูย่างไว้บนจานไอ้ตัวเล็ก ผมคิ้วขมวด

“คีบเพลินไปหน่อย”
มันให้เหตุผล จานมันพูนไปด้วยหมูย่างจริง ๆ นั่นแหละ

ผมไม่ได้ใส่ใจ หันไปแย่งหมูย่างกับไอ้เป้มันต่อ

“พี่เป้”
ไอ้เต้ยมันหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้พี่มัน แล้วก้มลงไปกินต่อ

ไอ้เป้มันก็นั่งกินไปเงียบ ๆ ถ้าเป็นผม คงรู้สึกทรมานไม่แพ้กัน ถ้าคนที่เรารักแต่บอกไม่ได้มานั่งเช็ดเหงื่อให้แบบนิ้

ผมถอนใจเบา ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็มีมือขาว ๆ พร้อมผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาซับเหงื่อที่หน้าผากให้ ผมหันไปมอง มันรีบชักมือกลับ วางผ้าเช็ดหน้าไว้บนตัก หยิบตะเกียบข้างจานมาคีบหมูที่สุกแล้วบนเตาย่างกินต่อ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผ่อนคลายออก 

มึงจะทำให้กูหวั่นไหวไปถึงไหนวะเนี่ย 
........
......
.....
....
...
..
,
พอหนังท้องตึง พวกเราก็ขนขบวนกันออกจากย่านนิมมาน แล้วไปต่อกันที่ถนนวัวลายเพื่อละลายทรัพย์ในกระเป๋า เป็นแหล่งช็อปคล้ายถนนคนเดินวันอาทิตย์นั่นแหละ ตั้งอยู่ที่ถนนวัวลาย เขาเริ่มวางของขายกันตั้งแต่ห้าโมงเย็น ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ถึงถนนเส้นนี้จะสั้นและคนไม่เยอะเท่าถนนคนเดินวันอาทิตย์ แต่ก็เยอะอยู่ดี

พวกเราเริ่มเดินกันตั้งแต่ปากทางเข้า พวกทโมนเดินประกบพ่อกับแม่เหมือนเดิม ผมไม่แน่ใจว่าพวกน้อง ๆ ต้องการช่วยให้พ่อแม่คืนดีกัน หรืออยากอ้อนเอาของ หรืออยากกันพวกท่านออกจากกาย เพื่อให้ผมได้มีเวลาอยู่กับกายสองคนนาน ๆ

หรือบางทีอาจจะทั้งสามอย่างรวมกันก็ได้ ตามคอนเซ็ปต์ ‘ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสามตัว’
ผมไม่ได้พูดเองนะ เป็นคติของพวกทโมนเขาน่ะ

พวกเราเดินดูของกันไปเรื่อย ๆ ก่อนหยุดกันที่หน้าร้านขายสตรอเบอร์รี ไอ้ตัวเล็กหยิบมาแจกให้ผมกับเพื่อน ๆ ผมคนละแก้ว ส่วนมันถือไว้สองพอ ๆ กับแม่และพ่อนั่นแหละ

มันบอกว่าชอบ

ผมอมยิ้มเดินดูข้าวของข้างทางไป พวกไอ้สาว มันยืนดูผ้าไหมไทย คงอยากได้ไปฝากคนที่บ้าน ส่วนอิงยืนดูเขาทำเมี่ยงคำ ก่อนเหมามาเซตใหญ่แล้วแจกจ่ายให้พวกเรา งานนี้ซื้อนู้นซื้อนี่กินกันไม่หยุด นี่ขนาดว่ากินหมูกระทะกันมาแล้วนะเนี่ย

ผมเดินตามไอ้ตัวเล็กมัน เห็นมันเดินไปหยิบเสื้อลายวัยรุ่นมาถือไว้ เป็นเสื้อสีขาว มีไซส์สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย ของผู้ชายเขียนเอาไว้ว่า ‘เพราะเรา’ ส่วนของผู้หญิงเขียนไว้ว่า ‘รักกัน’ พอซื้อเสร็จมันก็เอาไปยื่นให้กับพ่อแม่ทันที

ถ้าพ่อกับแม่เห็นลาย จะยอมใส่กันไหมน่ะ

ผมเห็นร้านขายภาพถ่ายฝีมือเด็กมอต้น ผมรีบลากมันเดินไปตรงนั้นทันที เป็นน้องผู้ชายอายุแค่ 13 ปี ชื่นชอบการถ่ายรูปมาตั้งแต่สิบขวบ แล้วกล้องที่ใช้ ก็เป็นกล้องจากมือถือ เพราะยังไม่มีงบไปซื้อกล้องจริง ๆ

เห็นบอกทำภาพมาขาย เพื่อต้องการรวบรวมเงินเอาไว้ซื้อกล้องจริง ๆ ใช้   

ไอ้ตัวเล็กมันคุยจ้อกับน้องเขาใหญ่ ฝีมือดีครับ ภาพไม่คมชัดเท่ากับกล้องจริง ๆ แต่มุมมองและบรรยากาศของภาพสวยงามมาก
สำหรับเด็กน้อยวัยแค่นี้ ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเจ๋งแล้วครับ ที่สำคัญ ยังสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้ตัวเองอีกต่างหาก ไอ้ตัวเล็กมันเหมามาเกือบหมดแผง โดยผมเป็นคนจ่าย (คืองบมันหมดระหว่างทาง พ่อกับแม่หายไปไหนแล้วไม่รู้ มันเลยขอยืมผมแทน) ผมก็แงะกระเป๋าตัวเองจ่ายไป แล้วก็ถือของให้มันด้วย จะได้ให้มันดูข้าวของได้สะดวก ๆ

มันแลกอีเมลกันนิดหน่อย เอาไว้ติดต่อกันในฐานะคนรักการถ่ายภาพเหมือนกัน หมดจากร้านถ่ายภาพ เราก็ไปยืนดูน้อง ๆ ฟ้อนรำบ้าง คนแก่ฟ้อนรำบ้าง มันก็ทำบุญไปน่ะนะ(ด้วยเงินผม)

ดีใจครับ ที่มันขอยืมผม เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมันดี

พวกเราพากันเฮโลไปหยุดอยู่ที่ร้านโปสการ์ด แล้วเขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเอง แล้วก็คนอื่น ๆ ที่เราต้องการ สนุกครับ ผมเขียนส่งให้ตัวเองใบหนึ่ง ที่เหลือก็ส่งให้พ่อกับแม่ น้อง ๆ รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้ตัวเล็กด้วย

เดินไปได้สักพัก เราก็หยุดมองกลุ่มนักร้องคนตาบอดที่นั่งเรียงกันบนพื้น ผมหยิบเงินมายื่นให้ไอ้ตัวเล็กทันทีอย่างรู้งาน

เก่งครับคนเหล่านี้ แม้ร่างกายจะพิการ แต่ใจยังสู้ ไม่เพียงทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ยังทำให้ผู้คนที่ได้มาพบเห็น มีทั้งรอยยิ้มและกำลังใจกลับบ้านไปด้วย 

พวกเราออกเดินกันต่อ ผมหยิบ ๆ จับ ๆ ดูพวกงานฝีมือซะส่วนใหญ่ ก่อนที่มันจะเดินไปหยุดอยู่ร้านร้านหนึ่ง มันยืนมองอะไรบางอย่าง ก่อนเดินหายเข้าไปภายใน ผมก้าวเท้าตามมันไปติด ๆ

“พี่แพ้พวกเงินหรือเปล่า”
มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า มันหันกลับไปคุยอะไรกับเจ้าของร้านนิดหน่อย ก่อนหยิบบางสิ่งมาถือไว้ แล้วหันมาทางผม

สิ่งที่มันโชว์ต่อหน้าคือสร้อยคอรูปพระอาทิตย์ ลูกเล่นและลายสวยดีครับ เป็นงานฝีมือที่น่าจะทำยากพอควร

“ผมให้”
ผมนิ่ง ก่อนพยักหน้าทีหนึ่ง

“ก้มหน่อย” มันสั่ง
ผมก้มหัวลงต่ำจนหน้าเราจะชนกัน ผมแกล้งเคลื่อนปากไปแตะแก้มมันเบา ๆ มันรีบเอียงหน้าหลบหนี ผมอมยิ้ม มันพยายามปรับสีหน้าให้นิ่งอยู่

คงกำลังอาย

เป็นแบบตะขอครับ เส้นสายทำด้วยเชือกไม่อับชื้น ไม่ระคายและไม่อึดอัด ราคาแพงน่าดู แต่ผมก็ยอมให้มันซื้อให้ ไม่ใช่เพราะราคา แต่เพราะมันเป็นของที่มาจากมันต่างหาก

“ขอบใจ”

“เท่ดี คิดแล้วว่าต้องเหมาะ”
มันชม ผมทำหน้านิ่ง ๆ ยื่นกระเป๋าเงินให้มันไปทั้งใบเลย มันก็รับไปถือไว้ ผมรู้ว่ามันจำได้ว่ามันใช้ไปเท่าไหร่แล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก อยากใช้ใช้ไปเถอะ

บอกแล้ว ถ้ากับเมีย ผมยอม

เอ๊ะ?
กูคิดอะไรอยู่วะ

ผมเดินออกมาจากร้านเครื่องเงิน โดยมีบางสิ่งติดคอมาด้วย

รู้สึกหน้าตัวเองจะบาน ๆ ยังไงบอกไม่ถูก

ผมซื้อกางเกงเลมาด้วยสองสามตัว เอาไว้ใส่นอน จริง ๆ ชอบแบบเอวรูดมากกว่า ถอดง่ายดี มันซื้อด้วยสองสามตัวเหมือนกัน
ไป ๆ มา ๆ พวกเราก็วงแตก ตอนนี้ใครอยู่ตรงไหนกันแล้วก็ไม่รู้ เดี๋ยวค่อยโทรหากันอีกที บอกตามตรง ปกติผมไม่ชอบเดินตามใครเพื่อช็อปปิ้งแบบนี้หรอก แม้แต่กับน้อง ๆ หรือคนที่เคยคบ ๆ กันมาก็เถอะ แต่ไม่ใช่กับกาย

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตัวมัน หรือเพราะสถานที่ที่เราเดินกันนั้นไม่ใช่ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือรองเท้าที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของผมกันแน่

ผมถึงได้มีความสุขขนาดนี้

หรือคุณว่าไง?

*** ***

TBC...
ปล. 1 มาช้าไปหนึ่งอาทิตย์ขออภัยด้วยจริง ๆ เดินทางออกตวจตลอดทั้งเดือนเลย
ปล. 2. ใครอ่านอยู่เม้นท์บอกกันนี้ดนุง :impress2:
ปล. 3. เค้าไปงานมินิตลาดฟิควันที่ 28 มีนานี้ด้วย นั่งเล่นอยู่บูธA8 เอาหนังสือเรื่องนี้ไปลงประมาณยี่สิบกว่าชุด ใครอยากได้ ไปเจอกันได้ขอรับ ^^
ปล. 4. ตอนที่ 35 มาศุกร์หน้า(ถ้าไม่ติดเดินทาง T^T)   

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love ♥ [35] ถนนวัวลาย
[กาย...♥]



ผมคิดอยู่เสมอ ว่าพี่เอกคือพระอาทิตย์ และตอนนี้ผมเห็นพระอาทิตย์แล้วครับ ผมเดินตรงเข้าไปดูทันที พี่เอกเดินตามเข้ามาติด ๆ ผมมองสิ่งที่อยู่ในตู้โชว์ มันทำจากเงินแท้ครับ ผมหันไปถามพี่แกว่าแพ้เครื่องเงินหรือเปล่า

พี่แกบอกไม่แพ้ ผมเลยหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู มันเป็นสร้อยคอ จี้เงินแท้เนื้อบริสุทธิ์ เป็นงานฝีมือตามออเดอร์ อันที่ผมถืออยู่ เป็นของที่ลูกค้าชาวต่างชาติเคยสั่งทำเอาไว้ แต่ยกเลิกกะทันหัน เพราะเจ้าของดันต้องไปในที่ที่ห้ามใช้ของพวกนี้ เป็นงานที่ทำด้วยมือทุกขั้นตอน เชือกเป็นเชือกแบบพิเศษ ยืดหยุ่น ไม่อมน้ำ ไม่ชื้น ไม่เป็นเชื้อรา เหมาะกับพวกนักกีฬามีเหงื่อดี

ราคาไม่ถูกเลย แต่เพราะมันเป็นของที่สั่งทำพิเศษนี่แหละ ผมเลยเลือกให้พี่เอก

พี่มันคงรำคาญที่ผมยืมเงินหลายรอบ เลยยกกระเป๋าเงินมาให้ทั้งใบเลย ผมยืมไม่เกิน 5000 บาทหรอกครับ ผมจำได้

“อึดอัดไหม” ผมถาม พี่เอกส่ายหัว ผมยิ้มแล้วเราก็พากันเดินออกจากร้านเพื่อไปดูข้าวของอย่างอื่นกันต่อ หันซ้ายหันขวา มองไม่เห็นใครแล้วครับ ไกลออกไปลิบ ๆ เห็นพ่อกับแม่แล้วก็สามทโมนเดินดูของกันอยู่ พวกหนุ่ม ๆ ก็นู้น ด้านซ้าย ส่วนสาว ๆ

หายครับ

ผมพาพี่เอกไปหยุดอยู่ร้านขายกางเกงของชาวเชียงใหม่ พี่มันอยากได้แบบเอวรูด แต่ที่นี่มีแต่เอวมัด เราซื้อกันคนละสามตัว เดินไปอีกห้าหกร้านถึงเจอกางเกงแบบเอวรูด เราก็ซื้อกันอีก คนถือของก็พี่เอกนั่นแหละ

จริง ๆ ผมอยากช่วยถือ เกรงใจพี่มัน แต่พี่เอกยืนยันจะถือเอง เพื่อให้ผมเลือกของได้ถนัด ๆ แล้วก็ช่วยเลือกเผื่อพี่มันด้วย ผมก็โอเค

สรุปได้เสื้อแบบบ้าน ๆ มากันคนละสามตัว พี่แกเน้นสีเข้ม ๆ อย่างสีดำ แดงเลือดหมู และน้ำเงิน ส่วนผมเน้นสีอ่อน ๆ สบายตา อย่างสีครีม ขาว และฟ้า  สีพวกนี้เวลาใส่แล้วหัวมันโล่งดี

เดินไปสักพัก ผมเริ่มหิวน้ำ เราเดินไปที่ซุ้มขายน้ำ ถามพี่แก พี่แกบอกไม่หิว ผมเลยซื้อมาแก้วเดียว เป็นเป๊บซี่ครับ

ผมเดินดูของไปดูดน้ำในแก้วไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ พี่แกก็ก้มลงมาดูดน้ำจากแก้วผมเฉยเลย ผมชะงัก ก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้พี่มันดูดดี ๆ   

ไหนมึงบอกไม่หิว

ผมเผลอจ้องมองริมฝีปากได้รูปที่กำลังคาบหลอดอยู่นั้น ไม่ได้คิดลึกนะครับ แต่แอบคิดเล็ก ๆ ว่าพี่มันกำลังจูบผมทางอ้อมอยู่

แม่ม คิดอะไรเป็นแต๋วไปได้กู

เราเดินไปหยุดดูสาวน้อยกำลังนั่งตีขิม ผมยกกล้องขึ้นมาหามุมทันทีโดยมีพี่เอก ยืนหิ้วของรออยู่ข้าง ๆ 

พี่มันความอดทนสูงดีครับ ขนาดผมยืนถ่ายตั้งนาน ก็ยังยืนรอได้โดยไม่ต่อว่าหรือรั้งให้ผมหยุดถ่ายสักคำ   

ที่นี่มีขนมจุกจิกขายเยอะ บางอย่างเขาก็ยื่นให้ชิมฟรี ๆ ผมเดินไปหยิบขนมถ้วยฟูมาสองชิ้น ก้มหัวขอบคุณ แล้วก็เดินชิ่งหนีมา ผมเอาใส่ปากตัวเองชิ้นหนึ่ง แล้วเอาอีกชิ้นป้อนพี่เอก

หาของกินฟรีครับ
พี่แกขำใหญ่

“งก” พี่มันว่า ผมส่งค้อนให้พี่แกไปที 

“เขาเรียกชิมก่อนตัดสินใจ”
พี่มันพยักหน้าหงึก ๆ ทำหน้าประมาณว่า เชื่อก็ได้

จริง ๆ ถ้าของอันไหนรสชาติถูกใจก็ซื้อครับ แต่ของที่ไม่ต้องชิมก็ซื้อเนี่ย คือสตรอเบอร์รี เชื่อไหม ผมกินไปสองแก้วแล้ว แต่พอเห็นอีกร้านคนกำลังมุงซื้อกันอยู่ ผมก็เข้าไปต่อแถวเพื่อซื้ออีก เอาแก้วใหญ่เลยครับ แก้วละ 20 บาท ผมกินไปจิ้มป้อนพี่เอกไป

รายนี้ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ อ้าปากรับลูกเดียว

เหมือนหมาเลยแฮะ

พี่มันเด่นครับ เดินไปสาว ๆ ก็พากันมองจนเหลียวหลัง ส่วนผมเฉย ๆ เพราะผมหลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ฮ่า ๆ

ยิ่งใส่เสื้อยืดพร้อมแจ็คเก็ตสีดำแบบนี้ยิ่งเท่เข้าไปใหญ่ เข้ากับจี้รูปพระอาทิตย์ที่ผมให้พอดีเลย

ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคุณยายที่กำลังฟ้อนรำโชว์นักท่องเที่ยวอยู่กลางถนน คุณยายใส่ชุดคนเหนือ ผ้าถุงสีเลือดนก คาดผ้าสไบครีมที่หัวไหล่ ทัดดอกไม้ไว้ที่หู รำช้า ๆ โดยมีคุณตานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ทำหน้าอ่อนโยน บรรเลงดนตรีอยู่เคียงข้าง

คุณยายยังคงร่ายรำอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะเนิบ ๆ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ผมที่กำลังถ่ายรูปอยู่ดี ๆ ถูกรวบเอวเอาไว้แล้วดึงไปด้านหลังจนชิดอกแข็ง ๆ ของใครบางคน ผมรีบเอี้ยวหน้าไปมอง

พี่เอกน่ะเอง

พี่แกดึงผมออกมาจากกลุ่มน้อง ๆ นักเรียนที่กำลังเดินขบวนกันครับ

สงสัยผมมัวถ่ายรูปเพลิน เลยไม่รู้ว่าพวกน้อง ๆ กำลังจะเดินผ่าน เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน น่าจะสักประมาณมอปลาย เดินขบวนเพื่อรณรงค์ลดโลกร้อน หลายคนใส่ชุดนักเรียนถือป้าย บางคนใส่ชุดคอสเพลย์เป็นตัวต้นไม้ เป็นถุงกระดาษบ้าง เป็นถุงพลาสติกที่เขียนไว้ด้านหน้าของชุดว่า

‘ใช้หนูน้อย ๆ ก็ได้ เพราะหนูไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน’
เห็นแล้วผมยิ้มเลย มีอีกหลายชุดครับ 

ผมยืนเบียดกับพี่เอกเพื่อให้น้อง ๆ เดินผ่านไปได้สะดวก ๆ แต่ก็ยังมิวายยกกล้องขึ้นมากดถ่ายด้วย

เห็นแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ เพราะน้อง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยเราเจริญขึ้นเหมือนกัน พอลดกล้องลง ก็เห็นภาพที่ทำเอาผมฉีกยิ้มไม่หุบเลย

พ่อกับแม่ครับ

กำลังยืนเลือกโคมไฟที่ร้านขายโคมไฟกันอยู่
คงจะเอาไปแต่งบ้านใหม่ ผมอมยิ้ม ยกกล้องขึ้นมากดถ่าย ลืมคุณยายที่กำลังฟ้อนรำไปเลย

ผมถ่ายเอาไว้ทุกช็อต ตั้งแต่ภาพของคนสองคนกำลังเถียงกัน ภาพแม่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเลือก ภาพพ่อที่แอบมองด้านข้างของแม่ ภาพแม่ที่เหลือบมองพ่อเป็นพัก ๆ เวลาพ่อเผลอ และภาพของคนทั้งคู่ที่จับโคมไฟอันเดียวกันไว้ แล้วช่วยกันเช็ครายละเอียดว่ามีตำหนิอะไรไหม (เป็นหลักการซื้อของของบ้านเราเองครับ) ซ้ำยังแย่งกันจ่ายเงินอีกต่างหาก

สุดท้าย พวกเขาก็หารกันคนละครึ่ง ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ

“พวกท่านน่ารักกันดีนะ”
ผมหันไปมองคนที่ก้มกระซิบข้างหูผมเมื่อกี้

ใกล้ครับ
ใกล้มากจนผมเริ่มหวั่นไหว และผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่มันยังกอดเอวผมอยู่ ผมรีบเขยิบตัวออกมาจากอ้อมแขนพี่มัน มองไปรอบ ๆ คนก็มองมาที่พวกเรากันใหญ่

นี่กูมายืนให้พี่มันกอดนานแค่ไหนแล้ววะ

ดีนะ ที่พ่อกับแม่ไม่เห็น ผมแกล้งยกกล้องขึ้นมาแพนสะเปะสะปะแก้เขิน จนแพนไปเห็นใครอีกคู่ที่ยืนอยู่หน้าร้านขายไอติมโบราณแบบเป็นแท่ง ๆ

พี่เป้กับไอ้เต้ยครับ ผมเห็นไอ้เต้ยมันถือไอศติมไว้สองมือ กระทิรสหนึ่ง อีกรสเป็นเผือก แล้วก็กินมันทั้งสองอันเลยสลับกันไปมา พี่เป้ส่ายหัวใหญ่ คงหน่ายกับความโลภของมัน ไอ้เต้ยมันยื่นให้พี่เป้กินอันหนึ่ง พี่เป้ก็รับมุขก้มกัดจากมือมันไปคำ

แอบเขินเล็ก ๆ แฮะ
ผมเบี่ยงตัวกล้องไปทางอื่น เห็นพวกพี่สาวกำลังเลือกกำไลใส่กันจนเต็มแขน พี่อิงหอบขนมไว้เต็มสองมือ พี่กิ๊ฟได้พวกงานศิลปะ แต่เน้นชิ้นใหญ่ ๆ เป็นหลัก

โห ทำเอาผมนึกถึงตุ๊กตาหมีผมเลย พี่แกนี่ชอบอะไรใหญ่ ๆ จริง ๆ

มิน่าล่ะ ถึงได้เลือกฝรั่งมากกว่าคนไทย ผมขำออกมาเบา ๆ

“ขำอะไร”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถาม

“ขำพี่กิ๊ฟ ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่กิ๊ฟชอบอะไรใหญ่ ๆ”
พี่มันมองไปยังเป้าหมายที่ผมพูดถึงทันที เห็นพี่กิ๊ฟหอบของแต่งบ้านชิ้นเบ้อเริ่มอีกหลายชิ้นเอาไว้ในมือ

“ก็จริง”

“ไม่แปลกใจเลยที่พี่แกจะชอบฝรั่ง” พี่มันหันมามองด้วยความสงสัย

“ก็ฝรั่งอะตัวใหญ่กว่าคนไทยตั้งเยอะ”

“ก็จริง” พี่มันเห็นด้วย “ใหญ่กว่าเห็น ๆ” พูดจบพี่มันก็หันมามองตาผม

“แต่ของพี่ก็ไซส์พอ ๆ กับฝรั่งนะ”
พี่มันบอกต่อนิ่ง ๆ       

กูไม่รู้ว่ามึงจงใจพูดให้กูคิดลึกไหม แต่ว่ากูขอก้มหน้าก่อน แสงไฟมันแรง หน้ากูกำลังจะไหม้

มาพูดให้กูคิดไปถึงเรื่องใต้ร่มผ้าอยู่เรื่อย

ผมรีบหยิบกล้องมาแพนไปที่อื่นหลบหนีสถานการณ์ล่อแหลม เห็นพี่อ้อยกำลังเลือกชุดแซกลายดอกอยู่ ของพี่แกได้เสื้อผ้าซะส่วนใหญ่ แล้วผมก็แพนไปหาพวกพี่ ๆ ผู้ชายบ้าง

เห็นพี่มอกับพี่โอมกำลัง เอ่อ…

ม่อสาวอยู่ครับ

แม่ม…

ยังได้อีกนะ มีการแลกเบอร์โทรกันด้วย ผมอมยิ้ม มองหาอีกสองหนุ่ม เห็นพี่ปิงยืนเลือกหนังสือเก่า ๆ มือสองอยู่

อ้าว…แล้วพี่โอ๊คล่ะ
ผมกวาดตามองหา ก่อนเลนส์กล้องจะวิ่งไปชนกับสายตาของใครบางคนที่มองตรงมาทางผมพอดี

ผมค่อย ๆ ลดตัวกล้องลง ยิ้มให้พี่แกที แต่พี่โอ๊คไม่ได้ยิ้มตอบ หันไปสนใจอย่างอื่นแทน

สงสัยจะมองไม่เห็นผมกับพี่เอก

ผมหันไปหาพี่เอก เห็นพี่มันมองไปทางพี่โอ๊คเหมือนกัน พี่เอกทำหน้านิ่ง ๆ แปลก ๆ ยังไงพิกล

“พี่เอก มีอะไรหรือเปล่า”
พี่มันก้มหน้ามองผม มองจริง ๆ จัง ๆ ก่อนเงยหน้ามองตรงไปด้านหน้าอีกที ผมมองตามสายตาพี่แก ก็ไปปะทะกับพี่โอ๊คอีกที
ตอนนี้ พี่เอกกับพี่โอ๊คมองตากันอยู่

อะไร พวกมึงสองคน มองหน้ากันแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะสปาร์คกันเอง

สักพัก พี่มันก็ก้มกระซิบบางอย่างข้างหูผม

“กาย…”
น้ำเสียงทุ้มหล่อนั้นพาเอาผมขนลุกซู่เลย 

ผมว่าใกล้ไปไหม ไม่ต้องกระซิบข้างหู ผมก็ได้ยิน

“พี่อยาก…”

อยาก..
อยากอะไร มึงพูดดี ๆ นะ นี่มันที่สาธารณะ ผมยืนลุ้น หัวใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ

“อยาก…”
อยากอะไร รีบพูดมาให้เคลียร์

“...อยากเข้าห้องน้ำ พี่ปวดฉี่”

แป่ว..

มึงก็ทำเอากูคิดลึกไปติ๊ดหนึ่ง 

เข้าใจแล้ว ที่มึงต้องกระซิบเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวนี่เอง ผมพยักหน้าเดินตามพี่เอกไป แต่รู้สึกพี่มันจะเนียนไปไหม ผมมองแขนที่พาดไว้บนหัวไหล่ตัวเอง พี่มันหันมามอง

“พี่เมื่อย”

“งั้นผมช่วยถือ” ผมจะรับของมาถือเอง แต่พี่เอกไม่ยอม 

“ไม่ต้องหรอก ขอพี่พักเมื่อยแป๊บ” แล้วพี่มันก็วางแขนไว้บนไหล่ผมไปตลอดทั้งเส้นทางจนถึงห้องน้ำในวัด ค่าเข้า 5 บาท ผมรับของมาถือไว้ แล้วให้พี่แกเข้าก่อน พอแกออกมาผมถึงได้เข้าบ้าง ปวดนิด ๆ แล้วเหมือนกัน

“เดินต่อไหม” พี่มันถาม ผมส่ายหน้า เหนื่อยแล้วครับ ได้ของเยอะแล้วด้วย พอเหอะ เปลืองงบ

“งั้นก็ไปชวนพวกนั้นกลับกันดีกว่า”
ผมพยักหน้า เดินตามพี่แกไป
 
.......
.....
...
..
.
“พี่เอกกลับกันยังคะ พวกหนูเมื่อยแล้ว” พวกทโมนวิ่งเข้ามาหา ข้าวของเต็มมือเหมือนกัน พ่อกับแม่เดินคู่กันตามหลังมาติด ๆ

“อะไรครับนั่น” ผมแกล้งถามของชิ้นใหญ่ที่ถูกห่อเอาไว้ด้วยกระดาษขาวล้วนในถุง พ่อทำหน้านิ่ง ๆ แม่เลยเป็นฝ่ายตอบแทน

“ของขวัญอีกชิ้นให้กายน่ะ”

“จากใครเหรอครับ” ผมถามต่อ

“จากพ่อ/จากแม่” โห พร้อมเพรียงกันมาก
ผมอมยิ้ม

“เหรอ ว้าว ดีใจจัง พ่อกับแม่ซื้อให้ ผมจะรีบกลับไปแกะเลย” ผมเดินเข้าไปใกล้ จับ ๆ ห่อนั้นเพื่อเช็คดูว่ามันคืออะไร พ่อกับแม่ก็พากันลูบหัวผมกันใหญ่

พ่อยังคงความเป็นสุภาพบุรุษเสมอครับ แม้ปากจะกัดกับแม่ แต่มือก็ยังแย่งของจากแม่ไปถือเองจนหมด (เหมือนพี่เอก)

“แล้วเราล่ะ ไม่ซื้ออะไรเลยเหรอ” พ่อถาม

“เพียบฮะ” ผมบุ้ยหน้าไปทางพี่เอกที่เดินไปหาพี่เป้พอดี ไอ้เต้ยมันเข้าห้องน้ำอยู่ครับ พ่อกับแม่มองตาม ของเยอะมาก ฝั่งซ้ายของผม ฝั่งขวาของพี่แก

“ว้าวว พี่เอก สร้อยเส้นนี้ใครซื้อให้เนี่ย สวยจัง” เจ้าสามจุ้นยังคลอเคลียพี่มันอยู่ 

“พี่กายใช่ม้า” น้องมันถามเองตอบเองเสร็จสรรพ ผมทำหน้าผะอืดผะอม หันมากระซิบบอกแม่

“แม่ ผมยืม 5000 คืนพี่เอก ยื้มพี่เขามาจ่าย”

“กายนี่นิสัยไม่ดี ไปยืมเขาทำไมลูก” แม่ปราม

“ก็งบผมหมดระหว่างทาง มองหาแม่ไม่เจอนี่ โดนพ่อฉุดหายไปไหนก็ไม่รู้”
พ่อสะดุ้งโหยง

“พ่อเปล่าฉุด แม่เขาเดินตามมาเอง” นั่น ตามมุขผมอีก
แม่หันขวับไปมอง

“ใครเดินตามนายกันไม่ทราบ”
แล้วทั้งสองคนก็พากันก่อสงครามเล็ก ๆ

เฮ้อ!! คิดว่าสงครามจะสิ้นสุดแล้วนะเนี่ย   

คนที่ยื่นเงินให้ผมเป็นพ่อครับ ผมรีบรับมา แล้วเดินไปหาพี่เอกทันที แต่เดินไปได้แค่สองสามก้าว ก็หยุด แล้วเดินกลับมาหาพ่อกับแม่ใหม่

“อ้าว ทำไมไม่เอาไปให้เขาล่ะ” พ่อถาม ผมยิ้มแหะ ๆ ล้วงหยิบกระเป๋าเงินพี่เอกออกมาจากกระเป๋ากล้องตัวเอง

“ผมลืมไปว่าพี่เอกมันยกกระเป๋าเงินให้ผมถือไว้ตั้งแต่ครึ่งทางแล้วล่ะ” แล้วผมก็หยิบเงิน 5000 ใส่ลงไป

“นี่เขาไว้ใจขนาดให้กระเป๋าเงินเรามาถือเองเลยเหรอ” ผมเงยหน้ามองพ่อที่เป็นคนถาม (ทำไมตรูไม่สูงอย่างพ่อบ้างฟะ) ผมพยักหน้ารับ

“ผมเป็นคนดีครับพ่อ แม่สอนมาดีไม่ให้เอาของของคนอื่น” ชมแม่ไปเปาะหนึ่ง “แล้วผมก็ช็อปอย่างมีเหตุผล เพราะพ่อสอนมาดีครับแม่” ก่อนชมพ่อให้แม่ฟังอีกที

ต่างคนต่างอายครับ โดนชมกันซึ่ง ๆ หน้า ผมยิ้ม เดินกลับไปหาพี่เอกอีกที ทิ้งให้พวกแกสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

“พี่เอก” ผมยื่นกระเป๋าเงินคืน “ผมคืนให้แล้วนะ 5000”
พี่เอกพยักหน้า ไม่ว่าอะไร พยักหน้าอีกทีให้ผมเก็บประเป๋าเงินไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านในของแจ็คเก็ตแก ผมก็จับยัดทันที ควานหา
อยู่พักครับ ไม่รู้กระเป๋ามันอยู่มุมไหน

อ้อ…เจอแล้ว

“เฮ้ย พวกมึง สวีทกันดูบ้างว่านี่มันที่สาธารณะ” ไอ้พี่โอมมันแซว

“แถวนี้ไม่มีใครเขาคิดอกุศลเหมือนมึงหรอก”

“คิดน้อยไปน่ะสิ หัดดูซะบ้าง”
ผมกับพี่เอกหันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นหลายคนมองมาที่เราสองคนยิ้ม ๆ บางคนก็ชี้ชวนให้เพื่อน ๆ มองมาที่เรา เด็กสาวบางคนถึงกับกรี๊ดเลย

“อะไรวะ ก็แค่เก็บกระเป๋าตังค์” พี่เอกทำท่าหัวเสียใส่

“มึงก็รู้ว่ามึงอะเด่น” ครับ แล้วพี่ไม่เด่นเลย

“แล้วไอ้กายมันก็ดูน่ารัก”

เอ่อ.. ขอเป็นหล่อแทนได้ไหม

“พอพวกมึงมายืนคู่กัน”
ครับ แล้วไง

“มันก็คู่รักกันดี ๆ นี่เอง”
ผมยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ พอได้สติ ถึงได้เขยิบออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ จะกลับไปหาแม่ก็ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน จะไปหาไอ้เต้ย มันก็กำลังเดินเข้ามาสมทบพอดี ผมเลยทำได้แค่ยืนก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ พี่มันเท่านั้น

“กลับกันเถอะ” พี่เอกชวนช่วยตัดความเขินผมทิ้งไป ทุกคนพยักหน้า คงเหนื่อยกันแล้ว วันนี้ลุยมาทั้งวัน

พวกเราหอบข้าวของไปโยนตุบไว้ในบ้านกันคนละมุมสองมุม แล้วพากันแยกย้ายไปอาบน้ำอาบท่า ที่บ้านแยกสัดส่วนได้ดีครับ มีสามห้องนอนเหมือนบ้านในกรุงเทพ มีห้องครัว ห้องรับแขก ห้องทำงานแม่ ส่วนที่เหลือ แม่ก็เอาภาพศิลปะมาตกแต่ง
สวยครับ ใครว่าบ้านผมที่กรุงเทพสวยแล้ว ผมว่าบ้านหลังนี้สวยกว่าหลายเท่า ถ้าพวกนิตยสารบ้านและสวนมาเห็นนะ ต้องรีบวิ่งมาขอถ่ายรูปลงหนังสือกัน  แน่ ๆ 

แม่เตรียมพร้อมเสมอครับ พอรู้ว่าพวกพี่ ๆ จะมา ก็จัดเตรียมห้องนอนเอาไว้เรียบร้อย เป็นห้องนอนรับแขกแบบรวม ไม่มีเตียง แต่เอาฟูกคล้ายผ้าห่ม(แบบพับม้วนเก็บได้)มารองยิงยาวเป็นทาง ผ้าห่มก็เป็นผ้าแพรครับ แม่บอกเอาไว้รับแขกที่มากันเยอะ ๆ (แม่เขาเอาไว้เผื่อพวกแฟนคลับแม่มาเที่ยวด้วย)

แม่กับพ่อถูกสามลิงชวนไปนอนห้องเดียวกัน โดยพวกลิงจะตามไปนอนด้วยเป็นห้าคน ส่วนพวกพี่ ๆ นอนห้องเดียวกันหมดครับ มีแอร์พร้อมเลยสบายแฮไป

ผมได้นอนในห้องส่วนตัว พวกทโมนถีบพี่เอกให้มานอนกับผม ส่วนไอ้เต้ยของตายครับ มันต้องนอนกับผมอยู่แล้ว โดยลากเอาพี่เป้มานอนด้วย

กว่าพวกเราจะอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ ก็ปากันไปห้าทุ่ม พวกทโมนคงหลับกันไปหมดแล้ว ผมอาบน้ำเสร็จเป็นคนสุดท้าย พอออกมา ก็ไม่เห็นใครในห้องแล้ว หายไปหมดเลย ทั้งพี่เป้ พี่เอกแล้วก็ไอ้เต้ย

“หายไปไหนกันหมดนะ” ผมใส่ชุดนอนของชาวเชียงใหม่เดินออกจากห้องไป เหมือน ๆ จะได้ยินเสียงพูดคุยกันด้านนอก ผมเดินออกไปดู อมยิ้มบาง เพราะเห็นทุกคนไปยืนออกันบนดาดฟ้า

คงจะนอนไม่หลับ หรือยังไม่อยากเข้านอนกันตอนนี้ ผมเดินขึ้นบันไดไปสมทบ

“เจ้าของวันเกิดมาแล้ว” พวกพี่ ๆ ถือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์กันไว้คนละขวด

“เบา ๆ ไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้” พี่มอมันบอก

“ไม่ชวนกันนี่สิ จะโกรธมากกว่า” เสียงพ่อผมครับ เดินขึ้นมารั้งท้ายด้วยแม่

“น้อง ๆ ล่ะ” ผมถาม

“หลับไปแล้ว อาบน้ำเสร็จก็พากันนอนกองหลับปุ๋ยเลย”

“เด็กอนามัยน่ะฮะ” ผมพูดยิ้ม ๆ พ่อกับแม่ก็พากันยิ้มด้วย
ผมว่าพ่อกับแม่มีความสุขกับน้อง ๆ นะ ผมคงเติมเต็มในบางส่วนที่ขาดหายไปไม่ได้ พ่อกับแม่อยากมีน้องสาวให้ผมอีกสักคน แต่บังเอิญเลิกกันเสียก่อน เลยอด 

“แน่ใจนะป๋า ว่าจะเสียคนด้วยกัน” ไอ้พี่มอมันพูด ยื่นเครื่องดื่มให้ขวดหนึ่ง พ่อรับมาถือไว้

“หึ ๆ จิ๊บ ๆ”

“ขอแม่ด้วยสิ” แม่ผมยื่นมือไปขอบ้าง

“แน่ใจนะครับ” ไอ้พี่มอมันถามอีกที แม่พยักหน้ารับมาถือไว้บ้าง แล้วพวกเราก็เริ่มละเลงเครื่องดื่มครับ เฮฮากันใหญ่ เราเปิดเพลงกันเบา ๆ คลอสร้างบรรยากาศคล้ายผับมีระดับด้วย

ผ่านไปสักพัก ผมก็เดินออกมายืนพิงกำแพงในมุมมืด จ้องมองทุกคนที่กำลังสนุกสนานกัน ก่อนตัดสินใจหันหลังเดินกลับไปที่ห้อง แล้วหยิบกล้องเอามาถ่ายภาพทุกคนเก็บไว้

พอถ่ายจนหนำใจ ผมก็กลับมายืนยิ้มจ้องมองทุกคนอีกครั้ง กระทั่งรู้สึกถึงความอุ่นที่แผ่นหลัง ผมหันไปมอง

“พี่เอก”

“ไม่ไปดื่มกับเขารึไง”

“อยากอยู่เหมือนกันแต่ไม่อยากเมา เดี๋ยวอดดูของดี” ผมบอก พี่มันเลยยื่นขวดที่พี่แกดื่มอยู่มาให้ผม

“พี่ก็ไม่อยากดื่มมาก เมาขึ้นมาแล้วกายจะลำบาก”
ผมรีบหลุบเปลือกตาหลบสายตานิ่ง ๆ แต่แฝงความนัยเอาไว้ทันที

“แบ่งส่วนของพี่ไปกินหน่อยละกันนะ” ผมพยักหน้า กำลังจะเอื้อมไปรับขวดมาดื่ม แต่พี่แกดึงออก แล้วยกขึ้นดื่ม ผมยืนรอสักพักพี่แกก็ดึงขวดออกจากปากแล้วก้มลงประกบปากผมทันที

ผมยืนตาโตจ้องมองภาพเบลอในระยะใกล้ตื่น ๆ

พี่มันรู้รึเปล่า ว่าพวกเรายืนกันอยู่ด้านนอก ทั้งเพื่อน ๆ แล้วพ่อแม่ก็ยังอยู่

พี่มันไม่สนครับ ส่งผ่านหยาดน้ำสีสวยเข้าปากผมก่อนปล่อยออก พี่มันยิ้ม ผมรีบก้มหน้า เช็ดคราบเครื่องดื่มที่ปากด้วยหลังมือเบา ๆ 

ไอ้หน้าด้าน ไอ้หน้ามึน ไอ้หื่น อยากด่าครับ แต่ด่าไม่ลง

ได้ยินเสียงหัวเราะจากพี่มันเบา ๆ แล้วพี่มันก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในกลุ่ม ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมคนเดียว ดีนะ ที่คนอื่นไม่เห็นเพราะมัวแต่เม้าท์กันอยู่ 

ผมหันกลับไปมองผู้คนสนุกสนานกันอีกที ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านบน

ดาวคืนนี้สวยดีแฮะ
*** ***

TBC..

รถล้มก่อนวันเกิดอีกปี ระมัดระวังขนาดไหนก็ไม่รอด T^T ปีนี้หัวเข่ากับขาขวารับศึกหนัก ดูจะหนักกว่าทุกปีด้วยเพราะไม่ได้เป็นคนขับเอง ไถลไปข้างหน้าอีกนิดคือไปนอนใต้ท้องรถบัส ดีว่ารถบัสเบรกทัน(ห่างแค่เมตรเดียว) ตอนแรกคู่กรณีเดินหน้ามู่ทู่เข้ามาทำท่าจะเอาเรื่องและค่าเสียหาย(ที่น่าจะหลายตัง) ทั้งที่ตูนั่งเข่าเยินอยู่ข้างถนน แต่ไม่รู้ผู้ร้าย(แฟน)ไปคุยกับเขาอีท่าไหน(คุยกันคนละภาษาด้วย = =) เขาถึงไม่เอาเรื่อง(นั่งอ้าปากค้างงุนงงมาก = =) ผู้ร้ายยกรองเท้าให้เขาไปเพราะรองเท้าเขาขาด เดินเท้าเปล่ากลับมาพาไปหาหมอ - - สงสารน้องสวยมาก(มอไซต์) สีข้างกับกระจกเยินพอ ๆ กับเจ้าของ ผู้ร้ายไม่เจ็บมาก แต่ก้นกระแทกบ่นเจ็บตูด หันมาตำหนิเบา ๆ ก่อนขึ้นรถ
"ผมขับรถมาดี ๆ แล้วมาถีบตูดผมทำไม"
คือ..กูทำมึงไหม!! = [ ] =
อยากวัดถนนทำไมไม่บอกกูก่อน กูจะได้เตรียมใส่กางเกงยีนขายาวรองเท้าผ้าใบมา เห็นไหม ผิวกูบางขนาดไหน กว่าจะหาย ไหนจะรอยแผลเป็นอีก แล้วนี่กูเจ็บขนาดนี้ ถามสิ!! ใครเดือดร้อน? มึงไม่มีตุ๊กตายางเล่นไปอีกหลายวันแน่ ๆ!! 
 
แอบบ่นเบา ๆ รีบมาลงนิยายเพราะกลัวพรุ่งนี้มือบวมจนแตะคอมมิได้ ^^
อ่านให้สนุกนะขอรับ ^^

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


Kiss Love ♥ [36]
อดทน
[เอก...☼]


ผ่านพ้นวันเกิดไอ้ตัวเล็กมาได้แค่ชั่วโมงเดียว ตอนนี้เวลาตีหนึ่งของวันอาทิตย์แล้วครับ แต่ละคนเริ่มสลายตัวกลับห้องใครห้องมัน พ่อที่เมาได้ที่คว้าจูงมือแม่เดินเซ ๆ กลับห้อง พวกเราพากันอมยิ้ม

สงสัยเป็นแผนไอ้มอมัน นี่มันคิดจะมอมเหล้าพ่อกับแม่รึไง ถ้าไม่มีพวกทโมนอยู่นะ ผมว่าพ่อกับแม่มีสิทธิ์คืนดีกันเร็วขึ้นนะเนี่ย

ไม่นานบนดาดฟ้าก็เหลือแค่ผมกับไอ้ตัวเล็กแล้วก็ไอ้คู่สองพี่น้องเท่านั้น ดูเหมือนพวกเราจะกลายเป็นแผนกเก็บกวาดของกลุ่มไปแล้วจริง ๆ จะเก็บไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้ (ตามแม่บอก) แต่นิสัยไอ้กายมันครับ ถ้าทำอะไรไม่เรียบร้อย ดูท่ามันจะเข้านอนไม่ได้ สรุปผมก็ต้องอยู่ช่วยมัน โดยมีไอ้สองพี่น้องเป็นลูกมืออีกแรง

ช่วงเวลาแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ไอ้เป้จะญาติดีกับน้องมัน มันสองคนช่วยกันเก็บขวดเปล่าลงถุงดำ ผมเก็บแก้วใส่กะละมังกับกาย แล้วเราสองคนก็เดินเอาไปไว้ในครัว

ไอ้เต้ยมันคงง่วงแล้ว ตาปรือเดินลอย ๆ ผมเลยไล่ให้ไอ้เป้พาน้องมันเข้านอน เพราะที่เหลือมีแค่ล้างจานกับแก้วเท่านั้น ไอ้เป้พยักหน้าเดินพาน้องมันกลับห้อง

ผมยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้ตัวเล็ก ด้านหน้าของเราเป็นอ่างล้างจานแบบสองช่อง ได้ยินเสียงแก้วกระทบกันดังก๊องแก๊ง สลับกับเสียงน้ำจากก๊อกดังซู่ 

ผมยืนเงียบ มองมือขาวที่กำลังไล้ฟองน้ำฟองฟอดไปกับแก้ว ก่อนรับมาล้างน้ำเปล่า นำไปคว่ำไว้บนชั้นอีกที ใบหน้าของมันแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ

“มีความสุขมากไหม” ผมถาม มันเงยหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมอง

“ฮะ มีความสุขมาก” แล้วก็ก้มลงไปล้างแก้วต่อ “มีทั้งเพื่อนสนิทมาอยู่ด้วย มีทั้งพวกพี่ ๆ มีทั้งพ่อและแม่ แล้วก็พี่เอก” มันพูดไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ

ผมชะงักมองมันจากมุมสูง มันไม่ได้สนใจหันมามอง ยังบรรจงหยิบแก้วใบต่อไปมาล้างต่ออย่างเบามือ

ผมละมือจากอ่างตัวเองไปยืนทาบอยู่ด้านหลังมัน โอบมันไว้ด้วยร่างกายใหญ่โตของตัวเอง เอื้อมมือไปจับหลังมือมันที่มีฟองน้ำอยู่ ในขณะที่มืออีกข้างก็จับหลังมือมันที่ถือแก้วไว้ มันเงยหน้ามอง ผมเลยก้มจูบมันเบา ๆ มันไม่ได้ขัดขืนอะไร

หวานครับ

ผมชอบรสจูบของมัน หวานละมุนแปลก ๆ
ผมค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก

“พี่เอก”
มันเรียกผมเสียงเบา

ผมก้มจูบมันอีกทีโดยไม่ล่วงล้ำ ถอนปากออกมาขยับมือล้างแก้วในอ่างไปพร้อมกับมัน

เราใช้เวลาล้างแก้วกันแต่ละใบนานพอควร จนหมดทุกใบ ผมถึงได้จับมือมันล้างกับน้ำเปล่า มันไม่พูดอะไร ทำตามสิ่งที่ผมนำจนจบกระบวนการ

ผมจับมือมันเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่มันใส่อยู่ ก่อนจับมันหันมาเผชิญหน้า มันไม่ได้เงยหน้ามองผมแม้แต่น้อย ผมค่อย ๆ คลี่แกะผ้ากันเปื้อนออกจากตัวมันไปวางไว้ข้าง ๆ วางสองมือค้ำอ่างคร่อมร่างมันไว้ในอ้อมแขน ไอ้ตัวเล็กเงยหน้ามอง ผมเลยใช้โอกาสนี้ครอบครองริมฝีปากมันอีกครั้ง

คุณคิดว่าผมทำทุกอย่างด้วยจิตใจสงบนิ่งเหมือนภายนอกใช่ไหม

แต่เปล่าเลย...

ทุกอย่างที่ผมทำ พาเอาหัวใจผมเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะผลักผมออกรึเปล่า แต่ถึงจะผลัก ผมก็ยังถือคติ 'ด้านได้อายอด'อยู่ดี 

แต่ถ้ามันโอนอ่อน ก็หวานหมู

ปากมันหวานมาก หวานจนผมอยากจูบมันแบบนี้ไปตลอดทั้งค่ำคืน 

รสจูบผมร้อนแรงขึ้นตามระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น แต่คนที่ทนไม่ได้ก่อนคือกาย มันยกสองมือขึ้นมาโอบรอบคอผมไว้ รั้งไม่ให้ตัวมันทรุดลงไปกับพื้น ผมเลื่อนมือหนึ่งมาโอบเอวมันไว้ ดึงเบา ๆ เข้าหาตัว

ผมไม่เคยจูบใครด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจโดนแผดเผาด้วยเพลิงร้อนแบบนี้มาก่อน ผมเคยผ่านช่วงเวลาเร่าร้อนของชีวิตมาแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงเซ็กส์ มันไม่ได้โอบล้อมไปด้วยความหวานละมุนและอบอุ่นแบบนี้

ร่างกายผมร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังมันเบา ๆ มันรีบถอนริมฝีปากออก

“พอ พี่เอก”
มันห้ามเสียงพร่า ร่างกายเราตื่นตัวกันเต็มที่ ผมไม่อยากหยุด แต่ก็เข้าใจว่าเพราะอะไร ผมกัดฟัน อดทนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สั่งใจให้ค่อย ๆ คลายมือออก ปล่อยมันให้เป็นอิสระ

“กายไปนอนก่อนเถอะ”

“แล้วพี่จะไปไหน”
มันเบรกผมทันทีที่ผมกำลังจะเดินออกจากครัว

“ไปสงบอารมณ์หน่อย”
ผมบอกแค่นั้น แล้วเดินไปทางหลังบ้าน ตอนแรกก็ว่าจะเข้าห้องน้ำนั่นแหละ แต่ไม่อยากทำ อารมณ์นี้ ถ้าจะปล่อย อยากปล่อยข้างในตัวมันมากกว่า

ผมเลือกที่จะเดินไปสงบอารมณ์บนดาดฟ้า ผมไม่ได้เปิดไฟ เพราะต้องการที่มืด ๆ ให้น้องผมได้นอนสงบ ผมยืนนิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าภายใต้ซุ้มไทรไม้   

ผ่านไปเกือบสิบนาที ผมก้มมองน้องชายตัวเองแล้วทอดถอนใจ

มันไม่ยอมลง T^T

“ตายอดตายอยากอะไรนักหนาวะ”
ผมด่ามันแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกที

เอาวะ อีกสักสิบนาทีไม่ลงค่อยไปเอาออกในห้องน้ำก็ได้

ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที มันก็ยังไม่ยอมลงครับ ร่างกายคนหนุ่มนี่มันจริง ๆ
ผมตัดสินใจหันหลังหวังจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่ชะงักขาไว้ เพราะหันไปเจอใครบางคนเข้าพอดี มันยืนนิ่งมองหน้าผม ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำมองบางส่วนด้านล่างของผม

กู อนาถตัวเองจัง

“พี่ขอตัวไปเอามันลงก่อน”
ผมบอกหน้าด้าน ๆ ขี้เกียจอายแล้วครับ

ยังไม่ทันได้ก้าวเดินไอ้ตัวเล็กก็เขยิบมายืนอยู่จนชิด มันมุดหน้ากับอกผม ขยับมือทำอะไรสักอย่างขยุกขยิกด้านล่าง 

สักพัก น้องผมที่ปวดอยู่ภายในร่มผ้าก็ออกมาเริงร่าภายนอก

“กาย”
ผมเรียก แต่ไม่มีเสียงใดตอบรับ นอกจากใบหน้าที่ยังมุดอยู่กับอก ผมยืนนิ่ง ครางฮือเมื่อรู้สึกถึงมืออุ่น ๆ กำลังสัมผัสส่วนนั้น

ผมไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้กำลังเพลิดเพลินกับสองมืออุ่น ๆ ของมันอยู่ สักพักมันก็ย่อตัวลงต่ำ แล้วครอบครองน้องผมไว้ในปาก
ผมจับหัวมันไว้ทันที ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำ มันไม่ปริปากพูดอะไรสักอย่าง ใช้ปลายลิ้นตวัดเลาะเล็มดึงเสียงครางออกมาจากลำคอผมไม่หยุด

อึดอัดครับ อึดอัดเอามาก ๆ

ผมแทรกปลายนิ้วเข้ากับเส้นผมมัน คลึงเบา ๆ ระบายความเสียวซ่านที่บังเกิด ถึงรอบข้างจะมืดสนิท แต่ผมก็จิตนาการออกว่าริมฝีปากแดง ๆ และปลายลิ้นเล็ก ๆ นั้น สัมผัสผมแบบไหนอยู่

ความอดทนผมใกล้สิ้นสุด ผมถอนปากมันออก ดึงมันขึ้นมาจูบ ดันมันไปชิดกับแพง คลี่ปลดกางเกงมันลงจนถึงครึ่งเข่า จับมันพลิกหันหน้าเข้าหากำแพง ดึงฐานให้อยู่ระดับพอเหมาะ แล้วจัดการสอดผสานร่างผมกับมัน 

คับ แน่น อึดอัด วาบหวาม

ความรู้สึกทั้งหมด ถูกอัดแน่นวิ่งวนจนเต็มไปทั่วท้องน้อย ผมลูบไล้แผ่นอกมัน ในขณะที่อีกมือ สอดปลายนิ้วเข้าไปในปากมัน ผมยังจำรสปากที่มันกลืนกินน้องผมได้ดี และผมอยากให้มันกลืนกินนิ้วผมด้วย

ภายใต้แสงจันทร์นวลสวยประดับเคียงด้วยดวงดาวนับล้านด้านบน ผมได้ยินเพียงเสียงของใบไม้กำลังหวีดหวิวยามเสียดสีกับสายลมอ่อน คลอเคล้าไปกับเสียงหอบและครางเบา ๆ ของไอ้ตัวเล็กมัน

“อ๊า..พี่เอก”
ผมจูบซับไปที่หลังคอมัน ก่อนเลื่อนสองมือมาจับสะโพกมันไว้ เร่งจังหวะเร็วขึ้นนำพามันไปสู่ทางฝันขั้นสุดท้าย

ผมแทบจะโกยลูก ๆ ของผมทุกตัวเข้าไปในร่างกายมัน เข้าไปให้หมด เพื่อยึดมันไว้ให้เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว
ยึดมันไว้ ไม่ให้มันไปไหนจากผมได้

ผมถอนตัวเองออก จับมันสวมกางเกง ผมรู้ครับ ว่าลูก ๆ ของผมยังอยู่ข้างใน และคงจะไหลออกมาในไม่ช้า แต่ก็อยากให้มันเก็บเอาไว้ก่อน ผมใส่กางเกงให้ตัวเอง จูงมันเดินไปที่ชิงช้า ทิ้งตัวลงนั่งแล้วดึงมันมานั่งบนตัก โอบมันไว้ในอ้อมแขน ซุกหน้ากับซอกคอมันอย่างผ่อนคลาย

“ขอบใจนะ”
ผมกระซิบบอก มันไม่ได้ตอบโต้อะไร ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น พิงหลังเข้ากับพนักชิงช้า ดึงมันมาพิงหน้าอกผมไว้ จูบซับแก้มมันเบา ๆ ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเคียงมัน

เรานั่งดูดาวกันจนตีสองครึ่งถึงได้พากันกลับห้อง

ภายในมีเตียงอยู่แค่ตัวเดียว ไอ้สองพี่น้องเลยพากันนอนพื้นแทน (มีฟูกหนารองรับอีกที) ไอ้เต้ยซุกหน้ากับอกกว้าง โอบกอดพี่มันไว้ ไม่ต่างกับไอ้เป้ที่ทำแบบเดียวกัน 

ไอ้ตัวเล็กมันอาบน้ำอีกรอบ ส่วนผมนอนรออยู่บนเตียง ผมปิดไฟกลางห้องแล้ว เหลือไว้แค่ไฟที่หัวเตียงอ่อน ๆ เพราะไม่อยากให้แสงรบกวนคนนอนอยู่ด้านล่าง พอไอ้ตัวเล็กอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวลงนอน ผมรั้งมันมากอดทันที โอบมันไว้อย่างหวงแหน

ยิ่งนานวันผมยิ่งหวงและห่วงมันมากขึ้น

มันเป็นผู้ชายธรรมดา

อันนี้ผมรู้

แต่มันก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครหลงใหล ผมคงต้องกางปีกเพื่อปกป้องมัน และกีดกันมันจากคนอื่นที่จะเข้ามาหาด้วย
ไม่ใช่แค่ไอ้คุณชรินทร์เท่านั้น แต่กับใครบางคน...

ที่ใกล้ตัวผมมากกว่าที่คิด   
 





ตีสามกว่าแล้ว ดวงตาผมยังคงเบิกโพลง ในขณะที่ไอ้ตัวเล็กหายใจสม่ำเสมอไปแล้ว ผมก้มมองมันท่ามกลางความมืด จูบซับแก้มมันไปที

นึกถึงสายตาของเพื่อนสนิทที่ทอดมองมายังไอ้ตัวเล็ก

สายตาแบบนั้น

ทำไมผมไม่เคยเอะใจมาก่อน

สายตาที่อันตราย

ผมรู้ว่าคนอย่างมันคงไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะหยุดตัวเองไว้เหมือนไอ้เป้ หรือรุกเหมือนไอ้คุณชรินทร์

ผมไม่รู้เลยจริง ๆ

แต่ผมจะไม่ยอมให้คนคนนี้ ไปอยู่ในมือของคนอื่นแน่นอน






ผมถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ลึก ยังง่วงอยู่เลย ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่ง เห็นไอ้ตัวเล็กนั่งอยู่ข้างเตียง กวาดมองไปรอบ ๆ เจ็ดโมงกว่าจะแปดโมงแล้ว ในห้องมีเพียงผมกับกาย ไอ้เป้กับไอ้เต้ยคงลงไปกันก่อนแล้ว ผมจับหลังคอตัวเองนวดเบา ๆ คล้ายจะปลุกให้ตัวเองตื่น เพิ่งจะได้หลับตอนใกล้รุ่งนี่เอง อยากนอนต่อ

“ตื่นเถอะพี่เอก พวกเราต้องไปกาดหลวงกัน”
ไอ้ตัวเล็กรีบชวนเมื่อผมทำท่าจะล้มตัวนอนลงจริง ๆ ผมหันไปมอง

แล้วจะให้กูไปด้วยทำไม 

“พวกทโมนให้มาปลุก”
มันไขความสงสัย ผมพยักหน้า ลุกออกจากเตียง เดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำไป แต่ยังไม่ทันถึงดี ผมก็เดินวกกลับมามอร์นิ่งคิสมัน ไอ้ตัวเล็กทำหน้าเหวอ ผมหัวเราะหึ ๆ เดินกลับเข้าห้องน้ำไป

พอออกมา ก็คิดว่าจะได้เจอมันรออยู่ กลับกลายเป็นพวกไอ้มอไปซะได้

“มึงอาบน้ำเป็นคุณชายไปได้ รีบ ๆ เด๊ะ พวกกูหิว”

“อ้าว ไม่ได้ไปหาซื้ออะไรมาทำกินกันหรอกเหรอ”
เพราะดูเหมือนทุกคนจะไปกันหมด ไม่น่าจะขนไปซื้อกับข้าวกันเยอะขนาดนี้

“พ่อกับแม่รบกันตั้งแต่เช้า กลัวครัวพัง พวกเราเลยตัดสินใจจะไปหาอะไรกินกันแถว ๆ ริมปิง”
ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วพวกเราก็ขนขบวนกันออกจากบ้าน เรานั่งรถแดงไปกันครับ เหมายกคันเลย ประมาณเก้าโมง พวกเราก็มานั่งกันอยู่ในร้านอาหารบรรยากาศดีริมน้ำแล้ว

มื้อนี้กินแบบผู้ดีหน่อย พ่อกับแม่ยังรบกันอยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนเห็นเดินจูงมือกันเข้าห้อง ก็คิดว่าคืนดีกันแล้วซะอีก พวกทโมนติดพ่อกับแม่แน่นหนึบ ดูท่าจะชอบพวกท่านกันจริง ๆ นะเนี่ย

ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก อาหารคาวหวานมาละลานตาเต็มโต๊ะไปหมด มื้อเช้ากินที่ร้าน มื้อเที่ยงจะทำกินกันเอง ส่วนมื้อเย็นจะพาไปกินขันโตก แล้วพากันเดินเล่นที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์กันต่อ

“ป๋ากับม๊า อ้อนอยากมาอีกอะ เมื่อไหร่จะมาได้คะ”
ยังไม่ทันจะกลับเลย มันอ้อนจะมาใหม่ซะแล้ว

“จะมาเมื่อไหร่ก็ได้นี่ ถ้าแม่อยู่น่ะนะ เพราะแม่จะเดินทางขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างกรุงเทพกับเชียงใหม่ แต่ช่วงนี้คงอยู่เชียงใหม่มากกว่าแหละ เพราะกายโตแล้ว อยู่คนเดียวได้” พอแม่พูดจบ ไอ้ตัวเล็กก็หน้าบูดขึ้นมาทันที

“พูดเหมือนกันหมด ทั้งพ่อทั้งแม่ เหตุผลของคนชอบทิ้ง”
พ่อกับแม่รีบหันไปลูบหัวปลอบใจมันกันคนละข้าง ก่อนต่างคนต่างชักมือกลับ เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังทำสิ่งเดียวกันอยู่

ตอนนี้ไอ้ตัวเล็กนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ โดยมีผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมันอีกที (ตอนแรกพวกน้อง ๆ จะให้ผมนั่งกับมันนั่นแหละ แล้วให้พ่อกับแม่นั่งคู่กัน แต่แม่รู้ทันเลยนั่งข้างไอ้กายแทน ผมเลยระหกมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างที่เห็นนี่แหละ) 

“พ่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วไง แม่เขาจะอยู่เชียงใหม่ก็ให้เขาอยู่ไป กายไปอยู่กับพ่อก็ได้เนอะ”
พ่อมันชวน แม่หันขวับไปมองทันที

“ลูกฉัน ฉันดูแลเองได้”

“อ้าว ก็คุณจะมาอยู่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ ให้ลูกอยู่คนเดียวน่าสงสารออก มาอยู่กับผมนี่แหละดีแล้ว ส่วนคุณจะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป” แล้วคุณพ่อก็เอาลูกชายไปซุกไว้ที่อก นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นพ่อผมกระชากออกนานแล้ว

“ลูกฉัน ฉันมาอยู่แค่เดือนละไม่กี่อาทิตย์ก็กลับ นายไม่เกี่ยว”
แล้วแม่ก็กระชากไอ้ตัวเล็กไปซุกอกตูม ๆ นั้นเหมือนกัน ผมไม่ได้ลามกนะ แต่คิดว่าถ้ากายเป็นผู้หญิง หุ่นคงสวยเหมือนแม่แน่ ๆ

แค่นี้ในสายตาผม มันก็ดูสวยแล้ว ไม่ได้สวยแบบผู้หญิง แต่ดูดีแบบผู้ชายตัวเล็ก ๆ น่ะนะ โดยเฉพาะเวลาแก้ผ้า หุ่นมันได้รูป จับถนัดมือดี ผิวก็ขาว มีร่องสองจุดตรงเอวด้านหลังด้วย ผมเห็นบ่อย ๆ กับผู้หญิง แต่ไม่ค่อยเห็นในผู้ชายเท่าไหร่

“ไม่เป็นไร ผมเกรงใจ ปล่อยให้คุณดูแลคนเดียวมานานแล้ว ผมดูแลเองได้”
แล้วพ่อก็แย่งกายกลับไปอีกรอบในขณะที่แม่ยังยึดเอาไว้อยู่ ไอ้ตัวเล็กทำหน้าเจ็บ ๆ ผมเห็นแล้วก็สงสาร

“พ่ออ่า แม่อ่า ผมไม่ใช่ตุ๊กตานะ จะได้แย่งกันไปแย่งกันมา ผมเจ็บแขน”
มันครวญ พ่อกับแม่รีบปล่อยมือทันที ทุกคนพากันมองยิ้ม ๆ

ปล่อยรุ่นใหญ่เขากัดกันไปครับ ผมหันไปมองไอ้เป้กับน้องมัน

“พี่เป้ เอากุ้งอีกตัวไหม”
ไอ้เป้หันมามองน้องมัน

“เห็นไหมในจานพี่มีกี่ตัว”
มันไม่ตอบ แต่ถามกลับ ไอ้เต้ยใช้ส้อมนับจำนวนกุ้งในจานพี่มัน

“เจ็ดตัว”

“ให้คนอื่นกินบ้างสิ”
มันเขกหัวน้องมันที ไอ้เต้ยบู้หน้า ตักกุ้งจากจานพี่มันกินตัวหนึ่ง แล้วหยิบอีกตัวให้แม่ที่นั่งอยู่ข้างกัน ด้านข้างของพ่อเป็นเจ้าอ้อน ส่วนผมขนาบสองข้างด้วยแอมกับไอ 

“ขอบใจเต้ย”
แม่ลูบหัวมันเบา ๆ

พวกเรากินไปเฮฮากันไป พวกสาว ๆ เม้าท์แตกเข้าขากันได้ดีกับแม่ของกาย ในขณะที่พ่อก็เข้ากันได้ดีกับพวกผมเหมือนกัน 
ไม่ใช่แค่หน้าเด็กเท่านั้น แต่ทัศนคติและความคิดยังเปิดกว้างกันอีกต่างหาก

“กินบ้างก็ได้นะคะพี่เอก นั่งอมยิ้มอยู่นั่นแหละ หรือว่ามองอย่างอื่นแล้วอิ่มกว่า”
ไอ้แอมข้างผมมันแซว

“อะ อาหารตาไม่อิ่มเท่าอาหารจริง ๆ หรอก กิน ๆ”
แล้วไอ้ไอก็ตักกุ้งตัวโตให้ผมตัวหนึ่ง ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่พวกมันไปที

“สาว ๆ เชียงใหม่นี่งามกันทุกคนเลยวุ้ย”
พอหนังท้องตึง หูไอ้มอก็เริ่มดำ มันเริ่มสอดส่องมองหาเหยื่อควบคู่กับไอ้โอมมัน

ผมกินไปเหลือบมองคนตรงหน้าไป บางครั้งก็เห็นมันแอบมองผมอยู่เหมือนกัน ผมเอื้อมตักของโปรดให้เจ้าไอ พลันสายตาไปปะทะกับใครบางคนที่ไม่ได้มองผม แต่กำลังมองคนตรงหน้าผมอยู่ ผมละสายตากลับมามองกายอีกที

โอ๊ค มึงจะหยุดอยู่แค่นี้ หรือมึงคิดจะเดินหน้าต่อ

บางทีผมคงต้องเปิดอกคุยกับมันตรง ๆ
แต่ผมจะบอกมันในฐานะอะไร ก็ในเมื่อผมกับกายยังไม่ได้ตกลงที่จะมีฐานะอะไรเกินเลยไปกว่าเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกันธรรมดา

“พี่เอก เป็นไรหรือเปล่า”
ไอ้ตัวเล็กมันถามเรียกสติผมคืน ผมยิ้มนิด ๆ ตักข้าวเข้าปาก

เอาเถอะ ทิ้งไว้สักพัก บางทีผมอาจรู้ใจตัวเองมากขึ้น และไอ้โอ๊คอาจไม่เข้ามาก้าวก่ายมากไปกว่านี้

ผมหวังว่านะ     



หลังจากมื้อเช้า แม่ก็พาพวกเราทัวร์เชียงใหม่ ส่วนมากก็พาไปไหว้พระ เดินดูสถานที่สำคัญ ถึงพวกผมจะเคยมาเที่ยวกันบ้าง แต่บางสถานที่พวกเราก็ยังไม่เคยเที่ยว

ไอ้กิ๊ฟมันออกความเห็นว่า เที่ยวเชียงใหม่เที่ยวให้สนุกต้องขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมือง เป็นความคิดที่ดีครับ หลังจากชมวัดกันอีกสองที่ พวกเราก็หันหัวเรือไปเดินกาดหลวงเพื่อหาซื้อข้าวของมาทำมื้อเที่ยงกินกัน แล้วตอนบ่ายพวกเราจะแปลงร่างเป็นสิงห์นักบิดตะลอนเมืองเชียงใหม่กัน

และไม่ต้องให้สาธยาย ว่ามื้อเที่ยงจะเป็นมื้อที่วุ่นวายขนาดไหน เมื่อพ่อกับแม่พร้อมใจกันลุกขึ้นมาทำอาหาร เพราะงั้นเราเลยได้เห็นสงครามย่อยในห้องครัวกันอีกระลอก

สนุกครับ บอกได้คำเดียว สนุกมาก

ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับไอ้ตัวเล็กมัน มีความสุขที่เห็นพวกน้อง ๆ มีความสุข มีความสุขที่เห็นเพื่อน ๆ มันเฮฮา และมีความสุขที่เห็นไอ้เป้มันยิ้มได้อีกครั้ง แม้จะไม่ยาวนานเท่าที่ควรก็เถอะ


*** ***
To Be Con..
หายไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมาเหมือนเดิมแล้วขอรับ ใครอ่านอยู่ ยกมือบอกกันโหน่ยยยย กลัวร้างงงง T^T

ออฟไลน์ karaoke

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาแล้ววววววววววว :mew1: :hao6:

ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :mew1: :mew1:

คิดถึงน้องกาย

หมั่นใส้พี่เอก    :angry2:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด