ใ
Kiss Love ♥ [34] ดอยสุเทพ..ความสุขเพียงเล็ก
[เอก...☼]
รถของพวกเรากำลังเชิดหัวขึ้นสู่ดอยสุเทพ เราเหมารถตู้กันมา บอกตามตรงว่าผมไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของไอ้ตัวเล็กมัน
จะว่าผมเป็นคนไม่ใส่ใจก็ได้ หรือยังไม่ได้หาข้อมูลของมันเก็บไว้ก็ถูก ผมรู้ตอนไอ้เป้มันโทรมาบอกว่าแม่ชวนมางานเลี้ยงวันเกิดไอ้ตัวเล็ก แล้วให้ชวนเพื่อนที่เคยไปบ้านกายครั้งที่แล้วมาด้วย ตอนแรกแม่จะออกค่ารถให้(เหมารถตู้มากัน) แต่พวกผมขอมาเครื่องกันดีกว่า(แต่ละคนมีเงินจ่ายครับ รวย ๆ กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋ว)
พอไอ้สามป่วนมันได้ข่าว ก็รีบออดอ้อนขอตามมาด้วยให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น
ผมมีเวลาแค่วันกว่า ๆ ในการหาของขวัญให้มัน เดินหาอยู่นานครับ แต่ไม่เจอ สุดท้ายเลยสั่งทำบางอย่างให้มันแทน
และตอนนี้ ผมกำลังมองคนที่เดินหอบแฮก เหงื่อโซมกายอยู่ข้าง ๆ เพราะยังไม่ทันถึงดอยดี ไอ้โอมมันดันเสนอไอเดียให้พวกเราเดินขึ้นดอยกัน ไม่ไกลครับ แค่สามกิโลจากจุดที่รถจอด(มันให้รถขับขึ้นไปรอด้านบนก่อน)
แต่ขอบอก ทางขึ้นเขา ไม่ไกลก็เหมือนไกล
ไอ้คนออกความเห็นมันก็เดินหอบแฮกเหมือนกัน แต่ก็ยังกลั้นใจพาขาอันอ่อนล้าเดินขึ้นเขาต้อย ๆ
“ไหวไหม”
ผมถามไอ้ตัวเล็ก หยิบผ้าเช็ดหน้ามายื่นให้ มันรับไปซับแล้วยิ้มกลับ
“ขอบคุณฮะ”
“โอ๊ย พี่เป้ ไม่ไหวแล้ว แบกผมที”
ไอ้เต้ยมันขาล้าแล้วครับ คนแรงน้อยแบบมันเดินมาถึงนี่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว
“มาเองก็เดินเอง”
ไอ้เป้มันตอบกลับเรียบ ๆ สงสัยไอ้เต้ยจะหมั่นไส้เลยกระโดดขี่หลังพี่มันแทน
“นี่!! เดินเองสิ”
ไอ้เป้มันพยายามแกะมือน้องมันออก
“ไม่เอา พี่เป้แบก”
“หนัก!!”
ไอ้เป้บ่น ไอ้เต้ยกระชับมือที่คอพี่มันแน่น แนบหน้าไว้กับลำคอพี่มัน
“นะ แบกผมหน่อย”
มันบอกเสียงเบาคล้ายคนกำลังจะจากลาไกล ผมฟังยังรู้สึกวูบโหวง แล้วไอ้เป้ล่ะ มันจะรู้สึกขนาดไหน สุดท้าย มันก็ยอมให้น้องมันขี่คอดี ๆ
“หนัก” มันบ่น
“ผมน้ำหนักลดไปตั้งห้ากิโลเชียวนะ น่าจะเบากว่าแต่ก่อนอีก”
ผมสังเกตเห็นเหมือนกัน ว่าไอ้เต้ยดูซูบ ๆ ไป
“ทำไม”
ไอ้เป้มันถามเสียงเครียด
“เหงา กินอะไรไม่ค่อยลง”
มันบอกเสียงอ่อน กอดคอพี่มันแน่นขึ้น ไอ้เป้นิ่งเงียบไป แต่ผมว่า ใจมันกำลังร้องไห้อยู่แน่ ๆ
“ผมรักพี่นะ”
ไอ้เต้ยบอกพี่มันเสียงเบา แต่ไร้เสียงตอบรับใด ๆ กลับมา
ผมกับกายเป็นคู่สุดท้ายที่เดินตามหลัง โดยมีไอ้เต้ยกับไอ้เป้เดินนำหน้าเราไปเรื่อย ๆ ผมมองพวกมันด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนหันมามองคนข้างตัวบ้าง มันแทบจะเดินลิ้นห้อยแล้ว
“อ่อน”
ผมว่าใส่ มันเชิดหน้าทำท่าฮึดฮัด
“ผมไม่ได้แรงควายอย่างพี่นี่”
ผมอมยิ้มไปกับคำต่อว่ามัน
“เร็ว ๆ หน่อยซิคะ!! พวกพี่ ๆ เต่ากันจริงเชียว”
พวกไอ้อ้อนเอามือป้องปากโบกมือไหว ๆ นำหน้าอยู่บนเนินทางโค้งนู้นครับ พ่อกับแม่ที่น่าจะแรงน้อยกว่าพวกเรา กลับเดินลิ่วนำโด่งไปก่อนเพื่อน สองคนนี้เขาแข่งกันเดินเร็วครับ ส่วนพวกน้อง ๆ มันก็วิ่งเล่นกันไป แวะดูต้นไม้ดอกไม้ข้างทางกันไป
หันกลับมามองคนลิ้นห้อยอีกที ผมผ่อนจังหวะฝีเท้าให้ช้าลง คว้ามือมันมาจับ แล้วเดินเคียงไปกับมัน
“เอ้า ซ้าย ขวา ซ้าย…ซ้าย ขวา ซ้าย”
ผมก้าวขาเป็นจังหวะ มันขำใหญ่
“พลทหารกาย ขืนชักช้า เดี๋ยวก็ถูกทำโทษหรอก”
มันส่งค้อนให้ผมที เร่งความเร็วตามจังหวะที่ผมนำ
พ่อแม่และพวกทโมนเดินนำหน้า ช่วงกลาง ๆ เป็นเพื่อน ๆ ผม ตามด้วยไอ้เป้กับน้องมัน และมีผมกับกายรั้งท้าย ไอ้เป้จงใจเดินช้า ๆ คงไม่อยากให้มันและน้องมันเป็นที่สนใจของคนอื่นเท่าไหร่ ยกเว้นผมกับกายที่รู้เรื่องกันดีอยู่แล้ว
มันก้าวเท้าเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนอยากจะรักษาช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด มันคล้องแขนมาด้านหลัง รัดน้องมันไว้ ไม่ต่างกับไอ้เต้ยที่กอดคอพี่มันไว้ ซบหน้าข้างลำคอพี่มัน
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาหมองเศร้าคละเคล้าความสุขเพียงเล็กน้อย
มันมีความสุขกับช่วงเวลาอันน้อยนิด แต่ก็เศร้า เพราะอีกไม่นาน ช่วงเวลาเหล่านี้ก็จะหมดไป
ผมกระชับมือขาวที่จับอยู่แน่น จับมันไว้ แล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน อยากเอามันขี่หลังเหมือนกันครับ แต่มันคงไม่ยอม
“เอ้ย!! ไอ้สองคู่นั้นน่ะ รีบ ๆ เดินเด๊ะ เดี๋ยวดอยสุเทพก็หายไปหรอก”
ดอยสุเทพบ้านแป๊ะมึงอะดิ จะหายไป
ผมกระชับมือไอ้ตัวเล็กให้เดินเร็วขึ้น สักพักพวกเราก็มายืนหอบแฮก หาน้ำหาท่ากินกันตรงทางขึ้นวัด ข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน มีรถขายผลไม้ และน้ำดื่มต่าง ๆ ผมซื้อน้ำตะไคร้ดื่ม ส่วนไอ้ตัวเล็กมันเอาน้ำมะพร้าว
มีแม่ค้าเดินเข้ามาขายพวงมาลัยให้เรา พวงละยี่สิบบาท แต่แม่บอกให้ไปซื้อข้างบนดีกว่า สิบบาทเอง พวกเราเลยขนย้ายตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนตีนบันไดทางขึ้นวัด(ขนาบสองข้างทางด้วยพญานาคตัวยาวเฟื้อย)
พวกไอ้อ้อยทำหน้าเมื่อยทันทีที่เห็น
พวกมันค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดกันสองสามก้าว แล้วก็พัก แล้วก็ก้าวกันต่อ ผมกับไอ้ตัวเล็กเดินคู่กันไปเงียบ ๆ พ่อกับแม่เดินลิ่ว ๆ นำไปนู้นแล้ว ตามติดด้วยสามสาวที่เริ่มหมดแรงอ้อนพ่ออ้อนแม่กันยกใหญ่
“เหนื่อยฉิบ ไม่น่าบ้าจี้ตามไอ้โอมมันเลย” อิงเริ่มบ่น “กูก็ลืมไปว่าต้องมีเดินขึ้นบันไดด้วย”
ไอ้โอมหันมายิ้มเหนื่อย ๆ ให้
“พวกมึงรู้รึเปล่า ว่าพวกมึงอะ ได้บุญเยอะกว่าคนอื่น ๆ ยิ่งลำบาก บุญยิ่งเยอะนะโว้ย”
มันหันหัวเรือกลับมาช่วยพวกสาว ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยกัน ผู้ชายคนอื่น ๆ ก็ลงมาช่วยด้วยเหมือนกัน เว้นแต่ผมกับไอ้เป้ เพราะไอ้เป้ลากน้องมันอยู่ ส่วนผมอยากเดินคู่ไปกับไอ้ตัวเล็กมันมากกว่า
ผมมองไปยังปลายทาง
กว่าจะถึง สงสัยหอบแดกกว่าเดิมแน่ ๆ
...
...
...
ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด พวกเราก็มาถึง ผมหยุดฝ่าเท้าตรงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะไอ้ตัวเล็กมันหยุดถ่ายภาพ มันยืนเล็งกล้องนิ่ง ๆ อยู่นานจนพ่อกับแม่และน้อง ๆ พากันหอบดอกไม้ธูปเทียนมายื่นให้ ผมรับมาถือไว้ แล้วบอกให้พวกเขาขึ้นไปกันก่อน ส่วนผมก็ยืนรอไอ้ตัวเล็กมัน
ผมมองไปรอบ ๆ คนเยอะน่าดู วันนี้วันเสาร์ด้วย หันมามองไอ้ตัวเล็ก มันยังยืนเล็งกล้องอยู่ ผมเขยิบหลบไปยืนอยู่ข้าง ๆ จะได้ไม่ขวางทางคนอื่น
ไอ้ตัวเล็กมันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ขยับมือเพียงนิดเพื่อหามุม และขยับนิ้ว เพื่อลั่นชัตเตอร์
ผมว่ามันไม่อึดเรื่องการเคลื่อนไหว แต่ถ้าเรื่องให้นิ่งมันทำได้ดีนะ
สักพักมันก็ลดกล้องลง หันมามอง
“อ้าว แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”
“ไปกันหมดแล้ว”
มันยิ้มแหะ ๆ รับดอกไม้ธูปเทียนจากมือผมไป
“ไม่ต้องรอผมก็ได้ กว่าจะถ่ายได้ บางทีมันใช้เวลานาน”
อันนั้นกูรู้อยู่แล้ว
ผมไม่ได้ตอบ เดินเคียงมันขึ้นไปด้านบน พวกเพื่อน ๆ คงไหว้พระกันเสร็จแล้ว เพราะเห็นพวกมันกำลังสนุกสนานกับการหามุมถ่ายรูปกันอยู่ ในขณะที่พ่อกับแม่ถูกพวกทโมนลากให้ไปเติมน้ำมันตะเกียงอีกด้าน
เราเดินไปจุดธูปเทียนกันด้านซ้าย ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พวกไกด์ก็แนะนำนักท่องเที่ยวกันด้วยภาษานั้น ๆ ที่ได้ยินบ่อยก็ ญี่ปุ่น อังกฤษกับจีน
เราจุดธูปและเทียนพร้อมกัน เดินเอาเทียนไปปักไว้ที่ฐาน แล้วเดินถือธูปไปนั่งคุกเข่าบนพรมแดง ผมแหงนหน้าขึ้นมององค์พระ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน
ขอให้ผมและคนที่ผมรักทุกคน มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง
พอผมขอพรเสร็จก็นั่งคอยไอ้ตัวเล็กที่ยังคงหลับตาตั้งจิตขอพรอยู่ พอมันเสร็จ ผมถึงได้ลุกพามันเดินไปปักธูปลงกระถางเดียวกันและจุดเดียวกันกับมัน แล้วพวกเราก็กลับมากราบพระอีกสามครั้ง เป็นอันจบกระบวนการ
พวกเราเดินหยอดตู้ทำบุญกันอีกนิดหน่อย พวกสาว ๆ ชอบเสี่ยงเซียมซีกัน แต่ของผมไม่ เพราะผมถือคติ สิ่งที่เชื่อได้มากที่สุด คือจิตใจและการกระทำของตัวเองนี่แหละ
“ไปถวายสังฆทานกัน”
มันชวน ผมพยักหน้าเดินไปซื้อเครื่องสังฆทานที่เขาเตรียมไว้ให้ แล้วเราก็พากันเดินไปถวายสังฆทาน พระที่นี่ดูใจดีและอบอุ่นครับ สวดด้วยภาษาเหนือ แถมยังให้พรซะยาวยืด ผมก้มหน้าต่ำตอนพระท่านรดน้ำมนต์แล้วเคาะกบาลมาสามที
“ขอให้มีแต่ความสุขและความเจริญนะโยม”
ผมน้อมรับลงกระหม่อมพอ ๆ กับคนข้างตัว แล้วเราก็พากันเดินไปเติมน้ำมันตะเกียง พอจบกระบวนการไหว้พระ เราถึงได้พากันเดินลงมาที่โซนด้านล่าง
“ถ้าอยากให้ชีวิตประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ก็ต้องตีระฆังให้ดัง ๆ”
ไอ้ตัวเล็กมันบอก
“แล้วตีแบบไหนถึงจะดัง”
“ก็ตีดัง ๆ”
“ยังไง”
ผมถามมันกวน ๆ มันเลยไปหยิบไม้มาอันหนึ่ง แล้วตีให้ดู ผมยิ้มเย็น ดึงไม้จากมือมันมาถือ
“พี่มีเทคนิค ตีให้ดังโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ”
แล้วผมก็ทำให้ดู ไอ้ตัวเล็กอ้าปากค้าง ทึ่งไปกับเสียงกังวานใสแต่ดังสะท้านไปทั่วจนผู้คนหันมามอง
ผมหัวเราะหึ ๆ ในใจ
“ทำยังไงอะ!”
มันรีบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยสอนเทคนิคไป มันลองทำดู แต่เสียงก็ยังดังเท่าเดิม ผมเลยเดินไปยืนขนาบอยู่ด้านหลัง จับหลังมือมันไว้ ผมสอนให้มันวางมือให้นิ่งที่สุด ขยับมือให้น้อยที่สุด แต่ปล่อยพลังของร่างกายทั้งหมดไปที่ปลายไม้ แล้วผมก็จับมือมันลงระฆังด้วยจังหวะเพราะพริ้ง
เสียงมันก้องกังวานเป็นสองจังหวะ อาจจะเพราะมีสองแรงมือ มันยิ้มที่ระฆังที่มันทำเสียงดังขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องตีแรงจนเจ็บมือ
“เก่งจัง ขนาดตีระฆังก็ยังเก่ง”
มันชม ผมอมยิ้ม แล้วปล่อยให้มันเป็นอิสระ
“เรื่องบางเรื่อง ถ้าเราจับให้ถูกจุด ก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากก็ทำสำเร็จแล้ว”
มันมองผมด้วยสายตาชื่นชม คล้าย ๆ กับสายตาที่มันมองไอ้คุณชรินทร์นั่นแหละ ผมงี้เขินเลย
“เอ้ย!! ไอ้พวกนั้นน่ะ มาถ่ายรูปกัน”
ไอ้อ้อยมันตะโกนเรียก ผมกับไอ้ตัวเล็กหันไปมอง พวกนั้นกำลังสนุกกับการถ่ายรูปกันใหญ่ เห็นสี่สาวกำลังกระโดดสูงกลางอากาศ โดยมีไอ้ปิงเป็นมือถ่าย ผมกับกายรีบเดินไปสมทบทันที
ดีไอ้ตัวเล็กมันพกขาตั้งกล้องมาด้วย พอมันจัดมุมเสร็จ พวกเราก็รีบมุดเข้าเลนส์กล้องแล้วจัดการโพสต์ท่าตามใจข้าทันที
พ่อกับแม่หันไปชนกันนิดหน่อย แล้วต่างคนก็ต่างดีดตัวออกห่างจากกัน
เออเนอะ…คนเรา
พอถ่ายรูปกันจนหนำใจ พวกเราก็พากันยกโขยงลงบันไดพญานาค ขาลงง่ายครับ พวกสาว ๆ พากันวิ่งลิ่ว ๆ ส่วนพวกหนุ่ม ๆ เดินเหล่สาวกันไป
ไอ้พวกนี้ในวัดในวาก็ไม่ว่างเว้น(ได้ข่าวว่ามึงก็เป็น)
พวกเราเดินไปยังโซนขายของที่ระลึกตรงตีนบันไดด้านขวามือ แอมเกาะแขนแม่ ส่วนไอเกาะแขนพ่อ แล้วก็มีไอ้อ้อนเกาะแขนคนทั้งคู่อยู่ตรงกลาง สามสาวพากันออดอ้อนราวกับเป็นพ่อแม่ของตัวเองจริง ๆ ส่วนไอ้ตัวเล็กก็เดินไปหยุดถ่ายภาพไป โดยมีผมเดิน ๆ หยุด ๆ อยู่เป็นเพื่อน
มันหยุดขาไว้ เล็งกล้องไปยังพ่อกับแม่และสามทโมนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูพวงกุญแจทำมือของแม้วสูงวัย
“พ่อกับแม่อยากได้ลูกสาวมานาน สมใจพวกเขาล่ะ”
ผมหันไปมอง
“เอาเลยพี่ยกให้”
“ผมเอาจริง ๆ นะ แล้วพี่จะเสียใจ”
“เอาไปเลย แถมข้าวสารอีกสิบกระสอบ”
ลดแลกแจกแถมครับรุ่นนี้ ไม่รับคืนสินค้าด้วย มันหัวเราะใหญ่
ผมหันไปมองไอ้เป้กับไอ้เต้ย เห็นไอ้เต้ยมันลากแขนพี่มันไปที่ร้านขายของที่ระลึก คว้าหยิบหมวกแม้วมาใส่ให้พี่มัน ไอ้เป้มันส่ายหน้า เพราะดูแล้วคงไม่หล่อ
เอาน่าเป้ ปล่อยวางสักวัน
พวกเราเดินดูของกันด้านบนเสร็จก็ไปต่อกันที่ด้านล่าง ได้ของไปฝากคนกรุงเทพเพียบ
หิวครับ ตอนนี้หิวมาก กว่าจะเดินดูของกันหมด ก็เกือบห้าโมงกว่า เสียพลังงานไปเยอะ แม่เลยชวนพวกเราไปกินหมูกระทะกันย่านนิมมานเหมินทร์กัน
พวกเรามากันเยอะ ร้านเขาแทบพัง อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คิดเป็นรายหัว หัวละ 119 บาท คุ้มสุด ๆ เพราะของกินเพียบ เราได้โต๊ะยาวเป็นวาเหมาทั้งแถบ น้อง ๆ ผมมันวิ่งไปหยิบขนมมากินกันก่อน เป็นนิสัยไปแล้วครับ ชอบกินของหวานก่อนของคาว
ไอ้เต้ยมันเดินไปหยิบตะกร้าใส่ของมาสองใบ แล้วยื่นให้พี่มันถือ ส่วนตัวมันก็เดินหยิบนู้นหยิบนี่ใส่ตะกร้า แต่ของส่วนมากก็เป็นของโปรดของไอ้เป้มันนั่นแหละ ไอ้เป้มันมองน้องมันด้วยสายตาอ่านไม่ออก
มันคงจะรู้สึกผิดที่ทำกับน้องมันแบบนั้นเหมือนกัน
“เลือกของที่นายชอบบ้างสิ”
ไอ้เต้ยหันมามองด้วยรอยยิ้ม
“อะไรที่พี่ชอบ เต้ยก็กินได้หมดแหละ”
มันพูดเอาใจพี่มัน หันไปคีบอาหารต่อ
ผมที่กำลังมองคนทั้งคู่อยู่ชะงัก เพราะตรงหน้ามีตะกร้าใส่ผักยื่นมาให้สองใบ
“ช่วยผมถือที”
ผมก็รับมาถือไว้ เดินตามมันต้อย ๆ มันถามว่าผมอยากกินอะไร ผมก็บอกมันไปสี่ห้าอย่าง
“พี่ต้องกินแบบนี้แหละ คุ้มสุด”
“มื้อเย็นพี่ไม่กินเยอะเหมือนมื้อเช้าหรอกนะ”
“กินเยอะก็ออกกำลังกายเยอะ ๆ สิ” มันแนะ
“อื้ม..เป็นความคิดที่ดี”
ผมทำสายตากรุ้มกริ่ม มันเสหน้าไปทางอื่น เลือกหยิบผักมาใส่ตะกร้าซะพูน ผมหัวเราะหึ เดินตามมันไป
ผมถือสอง มันอีกสอง พอของครบ ก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ผมนั่งข้างไอ้ตัวเล็ก ฝั่งตรงข้ามเป็นไอ้เป้กับไอ้เต้ย สี่คนต่อหม้อครับ ยกเว้นหม้อของพ่อกับแม่ที่มีสามสาวร่วมกินด้วย พวกน้อง ๆ พากันแย่งคีบอาหารให้พ่อกับแม่กินใหญ่
“ป๋าต้องกินเยอะ ๆ นะ จะได้มีแรงทำน้องให้พี่กาย”
พวกมันทำเนียน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่เลิกกัน แม่ทำท่าจะค้าน ไอ้อ้อนมันสอดขึ้นมาอีก
“ม๊าก็ต้องทานเยอะ ๆ นะคะ บำรุง น้องจะได้ผิวสวย ๆ เหมือนอ้อนไง”
ชมตัวเองก็เป็นเนอะคนเรา
แล้วพวกมันก็พากันนั่งประเคนอาหารให้พ่อกับแม่กิน สองคนนั้นเลยต้องแกล้งเนียนเป็นผัวเมียกันไปก่อน คงไม่อยากให้เด็ก ๆ เสียความรู้สึก
แต่พ่อกับแม่ตกหลุมพรางพวกมันแล้วล่ะครับ
“มึงอย่ามาแย่งของกูเด๊ะ!!”
ไอ้มอมันแย่งหมูกับไอ้โอมมัน เรื่องอื่นมันสามัคคีกันดี ยกเว้นเรื่องกินนี่แหละ ไม่แข่งก็ตีกันตลอด
พ่อกับแม่นั่งกันคนละฝั่งตรงหัวโต๊ะ มีอ้อนนั่งต่อจากพ่อ ส่วนแม่โดนประกบคู่ แอมกับไอ ถัดจากไอเป็นผมแล้วก็กาย ข้างไอ้กายเป็นไอ้โอ๊คไอ้ปิง ฝั่งตรงข้ามเป็นไอ้มอกับไอ้โอม ที่ยังแย่งหมูกันไม่หยุด ที่เหลือเป็นสาว ๆ ครับ
ปกติ พวกผู้หญิงกลุ่มผมจะรักษาหุ่นกันอยู่แล้ว แต่อย่าให้ได้เข้าร้านบุพเฟ่
กินกันเหมือนเห้ลงมาก
“นี่พอได้แล้ว พี่กินไม่หมดหรอก”
ไอ้เป้มันปราม เพราะไอ้เต้ยมันตักของกินให้ซะพูนจาน
“นายน่ะกินซะบ้าง น้ำหนักลดไปตั้งเยอะ”
มันคีบของกินบางส่วนคืนน้องมัน ไอ้เต้ยยิ้มแป้นด้วยความดีใจ คีบกินอาหารที่ได้จากพี่มัน
ผมกำลังจะคีบผักมาใส่จาน อยู่ ๆ ก็มีตับชิ้นโตมาวางแหมะอยู่บนจาน
“ของโปรดพี่”
มันพูดแล้วคีบกินของมันเองต่อ
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้เป้ ก่อนคีบสิ่งที่มันให้มากิน แล้วไอ้ตัวเล็กก็หันไปคีบไก่ไปให้ไอ้เต้ย คีบหมูให้พ่อ และคีบต้นหอมให้แม่
ผมควรจะดีใจดีไหมเนี่ย
“กายพี่ให้”
หันไปมองด้านข้าง ไอ้โอ๊คมันคีบหมูย่างไว้บนจานไอ้ตัวเล็ก ผมคิ้วขมวด
“คีบเพลินไปหน่อย”
มันให้เหตุผล จานมันพูนไปด้วยหมูย่างจริง ๆ นั่นแหละ
ผมไม่ได้ใส่ใจ หันไปแย่งหมูย่างกับไอ้เป้มันต่อ
“พี่เป้”
ไอ้เต้ยมันหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้พี่มัน แล้วก้มลงไปกินต่อ
ไอ้เป้มันก็นั่งกินไปเงียบ ๆ ถ้าเป็นผม คงรู้สึกทรมานไม่แพ้กัน ถ้าคนที่เรารักแต่บอกไม่ได้มานั่งเช็ดเหงื่อให้แบบนิ้
ผมถอนใจเบา ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็มีมือขาว ๆ พร้อมผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาซับเหงื่อที่หน้าผากให้ ผมหันไปมอง มันรีบชักมือกลับ วางผ้าเช็ดหน้าไว้บนตัก หยิบตะเกียบข้างจานมาคีบหมูที่สุกแล้วบนเตาย่างกินต่อ
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผ่อนคลายออก
มึงจะทำให้กูหวั่นไหวไปถึงไหนวะเนี่ย
........
......
.....
....
...
..
,
พอหนังท้องตึง พวกเราก็ขนขบวนกันออกจากย่านนิมมาน แล้วไปต่อกันที่ถนนวัวลายเพื่อละลายทรัพย์ในกระเป๋า เป็นแหล่งช็อปคล้ายถนนคนเดินวันอาทิตย์นั่นแหละ ตั้งอยู่ที่ถนนวัวลาย เขาเริ่มวางของขายกันตั้งแต่ห้าโมงเย็น ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ถึงถนนเส้นนี้จะสั้นและคนไม่เยอะเท่าถนนคนเดินวันอาทิตย์ แต่ก็เยอะอยู่ดี
พวกเราเริ่มเดินกันตั้งแต่ปากทางเข้า พวกทโมนเดินประกบพ่อกับแม่เหมือนเดิม ผมไม่แน่ใจว่าพวกน้อง ๆ ต้องการช่วยให้พ่อแม่คืนดีกัน หรืออยากอ้อนเอาของ หรืออยากกันพวกท่านออกจากกาย เพื่อให้ผมได้มีเวลาอยู่กับกายสองคนนาน ๆ
หรือบางทีอาจจะทั้งสามอย่างรวมกันก็ได้ ตามคอนเซ็ปต์ ‘ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสามตัว’
ผมไม่ได้พูดเองนะ เป็นคติของพวกทโมนเขาน่ะ
พวกเราเดินดูของกันไปเรื่อย ๆ ก่อนหยุดกันที่หน้าร้านขายสตรอเบอร์รี ไอ้ตัวเล็กหยิบมาแจกให้ผมกับเพื่อน ๆ ผมคนละแก้ว ส่วนมันถือไว้สองพอ ๆ กับแม่และพ่อนั่นแหละ
มันบอกว่าชอบ
ผมอมยิ้มเดินดูข้าวของข้างทางไป พวกไอ้สาว มันยืนดูผ้าไหมไทย คงอยากได้ไปฝากคนที่บ้าน ส่วนอิงยืนดูเขาทำเมี่ยงคำ ก่อนเหมามาเซตใหญ่แล้วแจกจ่ายให้พวกเรา งานนี้ซื้อนู้นซื้อนี่กินกันไม่หยุด นี่ขนาดว่ากินหมูกระทะกันมาแล้วนะเนี่ย
ผมเดินตามไอ้ตัวเล็กมัน เห็นมันเดินไปหยิบเสื้อลายวัยรุ่นมาถือไว้ เป็นเสื้อสีขาว มีไซส์สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย ของผู้ชายเขียนเอาไว้ว่า ‘เพราะเรา’ ส่วนของผู้หญิงเขียนไว้ว่า ‘รักกัน’ พอซื้อเสร็จมันก็เอาไปยื่นให้กับพ่อแม่ทันที
ถ้าพ่อกับแม่เห็นลาย จะยอมใส่กันไหมน่ะ
ผมเห็นร้านขายภาพถ่ายฝีมือเด็กมอต้น ผมรีบลากมันเดินไปตรงนั้นทันที เป็นน้องผู้ชายอายุแค่ 13 ปี ชื่นชอบการถ่ายรูปมาตั้งแต่สิบขวบ แล้วกล้องที่ใช้ ก็เป็นกล้องจากมือถือ เพราะยังไม่มีงบไปซื้อกล้องจริง ๆ
เห็นบอกทำภาพมาขาย เพื่อต้องการรวบรวมเงินเอาไว้ซื้อกล้องจริง ๆ ใช้
ไอ้ตัวเล็กมันคุยจ้อกับน้องเขาใหญ่ ฝีมือดีครับ ภาพไม่คมชัดเท่ากับกล้องจริง ๆ แต่มุมมองและบรรยากาศของภาพสวยงามมาก
สำหรับเด็กน้อยวัยแค่นี้ ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเจ๋งแล้วครับ ที่สำคัญ ยังสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้ตัวเองอีกต่างหาก ไอ้ตัวเล็กมันเหมามาเกือบหมดแผง โดยผมเป็นคนจ่าย (คืองบมันหมดระหว่างทาง พ่อกับแม่หายไปไหนแล้วไม่รู้ มันเลยขอยืมผมแทน) ผมก็แงะกระเป๋าตัวเองจ่ายไป แล้วก็ถือของให้มันด้วย จะได้ให้มันดูข้าวของได้สะดวก ๆ
มันแลกอีเมลกันนิดหน่อย เอาไว้ติดต่อกันในฐานะคนรักการถ่ายภาพเหมือนกัน หมดจากร้านถ่ายภาพ เราก็ไปยืนดูน้อง ๆ ฟ้อนรำบ้าง คนแก่ฟ้อนรำบ้าง มันก็ทำบุญไปน่ะนะ(ด้วยเงินผม)
ดีใจครับ ที่มันขอยืมผม เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมันดี
พวกเราพากันเฮโลไปหยุดอยู่ที่ร้านโปสการ์ด แล้วเขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเอง แล้วก็คนอื่น ๆ ที่เราต้องการ สนุกครับ ผมเขียนส่งให้ตัวเองใบหนึ่ง ที่เหลือก็ส่งให้พ่อกับแม่ น้อง ๆ รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้ตัวเล็กด้วย
เดินไปได้สักพัก เราก็หยุดมองกลุ่มนักร้องคนตาบอดที่นั่งเรียงกันบนพื้น ผมหยิบเงินมายื่นให้ไอ้ตัวเล็กทันทีอย่างรู้งาน
เก่งครับคนเหล่านี้ แม้ร่างกายจะพิการ แต่ใจยังสู้ ไม่เพียงทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ยังทำให้ผู้คนที่ได้มาพบเห็น มีทั้งรอยยิ้มและกำลังใจกลับบ้านไปด้วย
พวกเราออกเดินกันต่อ ผมหยิบ ๆ จับ ๆ ดูพวกงานฝีมือซะส่วนใหญ่ ก่อนที่มันจะเดินไปหยุดอยู่ร้านร้านหนึ่ง มันยืนมองอะไรบางอย่าง ก่อนเดินหายเข้าไปภายใน ผมก้าวเท้าตามมันไปติด ๆ
“พี่แพ้พวกเงินหรือเปล่า”
มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า มันหันกลับไปคุยอะไรกับเจ้าของร้านนิดหน่อย ก่อนหยิบบางสิ่งมาถือไว้ แล้วหันมาทางผม
สิ่งที่มันโชว์ต่อหน้าคือสร้อยคอรูปพระอาทิตย์ ลูกเล่นและลายสวยดีครับ เป็นงานฝีมือที่น่าจะทำยากพอควร
“ผมให้”
ผมนิ่ง ก่อนพยักหน้าทีหนึ่ง
“ก้มหน่อย” มันสั่ง
ผมก้มหัวลงต่ำจนหน้าเราจะชนกัน ผมแกล้งเคลื่อนปากไปแตะแก้มมันเบา ๆ มันรีบเอียงหน้าหลบหนี ผมอมยิ้ม มันพยายามปรับสีหน้าให้นิ่งอยู่
คงกำลังอาย
เป็นแบบตะขอครับ เส้นสายทำด้วยเชือกไม่อับชื้น ไม่ระคายและไม่อึดอัด ราคาแพงน่าดู แต่ผมก็ยอมให้มันซื้อให้ ไม่ใช่เพราะราคา แต่เพราะมันเป็นของที่มาจากมันต่างหาก
“ขอบใจ”
“เท่ดี คิดแล้วว่าต้องเหมาะ”
มันชม ผมทำหน้านิ่ง ๆ ยื่นกระเป๋าเงินให้มันไปทั้งใบเลย มันก็รับไปถือไว้ ผมรู้ว่ามันจำได้ว่ามันใช้ไปเท่าไหร่แล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอก อยากใช้ใช้ไปเถอะ
บอกแล้ว ถ้ากับเมีย ผมยอม
เอ๊ะ?
กูคิดอะไรอยู่วะ
ผมเดินออกมาจากร้านเครื่องเงิน โดยมีบางสิ่งติดคอมาด้วย
รู้สึกหน้าตัวเองจะบาน ๆ ยังไงบอกไม่ถูก
ผมซื้อกางเกงเลมาด้วยสองสามตัว เอาไว้ใส่นอน จริง ๆ ชอบแบบเอวรูดมากกว่า ถอดง่ายดี มันซื้อด้วยสองสามตัวเหมือนกัน
ไป ๆ มา ๆ พวกเราก็วงแตก ตอนนี้ใครอยู่ตรงไหนกันแล้วก็ไม่รู้ เดี๋ยวค่อยโทรหากันอีกที บอกตามตรง ปกติผมไม่ชอบเดินตามใครเพื่อช็อปปิ้งแบบนี้หรอก แม้แต่กับน้อง ๆ หรือคนที่เคยคบ ๆ กันมาก็เถอะ แต่ไม่ใช่กับกาย
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตัวมัน หรือเพราะสถานที่ที่เราเดินกันนั้นไม่ใช่ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือรองเท้าที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของผมกันแน่
ผมถึงได้มีความสุขขนาดนี้
หรือคุณว่าไง?
*** ***
TBC...
ปล. 1 มาช้าไปหนึ่งอาทิตย์ขออภัยด้วยจริง ๆ เดินทางออกตวจตลอดทั้งเดือนเลย
ปล. 2. ใครอ่านอยู่เม้นท์บอกกันนี้ดนุง
ปล. 3. เค้าไปงานมินิตลาดฟิควันที่ 28 มีนานี้ด้วย นั่งเล่นอยู่บูธA8 เอาหนังสือเรื่องนี้ไปลงประมาณยี่สิบกว่าชุด ใครอยากได้ ไปเจอกันได้ขอรับ ^^
ปล. 4. ตอนที่ 35 มาศุกร์หน้า(ถ้าไม่ติดเดินทาง T^T)