Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)  (อ่าน 680421 ครั้ง)

ออฟไลน์ waiman

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบอกว่า เรื่องนี้ ชอบมากๆๆๆๆถึงขนาดมีหนังสือเก็บไว้ แถมยังตามไปอ่านทุกเว็ป เลย :impress2:

ออฟไลน์ live_evil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รออ่านอยู่น้าาาา มาต่อไวๆค่า  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
รออ่านอยู่ครับ. ชอบๆ สนุกครับ

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [37]
ขี่รถชมเมือง.. ดูพระอาทิตย์ตก.. ณ ถนนคนเดิน
[กาย...♥]



ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่ได้เป็นคนขับ

พวกเราตกลงกันไว้ว่าช่วงบ่ายจะขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมืองกัน ตอนแรกก็ว่าจะเช่ากันคนละคัน แต่ดู ๆ ไปแล้ว พวกเรามีมากันทั้งหมด 17 คน ถ้าขับกันคนละคัน (ยกเว้นพวกทโมน เพราะยังเด็กกันอยู่) แต่ก็ยังเยอะอยู่ดี ตำรวจเห็นคงเข้าใจผิดคิดว่าพวกเราเป็นแก๊งซิ่งกวนเมืองแน่ ๆ

สรุปพวกเราเลยตกลงกันที่สองคนต่อหนึ่งคัน

มาตอนนี้พวกทโมนถึงคราวต้องแยกร่าง เพราะต้องแบ่งกันไปนั่งซ้อนพวกพี่ ๆ  ผู้หญิง น้องอ้อนเลือกซ้อนพี่อิง น้องไอเลือกซ้อนพี่อ้อย ส่วนน้องแอมเลือกซ้อนพี่สาว มีพี่กิ๊ฟคนเดียวได้ฉายเดี่ยว เพราะน้อง ๆ ไม่เลือกสักคน ดูจากความเฮ้วของพี่แกแล้ว คงซิ่งน่าดู แล้วพี่เอกเองก็ไม่ยอมปล่อยให้พวกน้อง ๆ ไปกับพี่กิ๊ฟด้วย กลัวพี่แกพาไปดริ๊ฟระหว่างทาง

และที่สำคัญไปกว่านั้น พี่กิ๊ฟเลือกมอเตอร์ไซค์ตัวผู้ครับ ปล่อยให้พี่แกขับไปคนเดียวดีกว่า

แม่ต้องซ้อนพ่ออย่างช่วยไม่ได้ เพราะเหลือที่เป็นผู้หญิงอยู่แค่คนเดียว ให้ไปซ้อนพี่กิ๊ฟก็คงไม่ไหว (อยู่กับพ่อน่าจะปลอดภัยกว่า)

พี่โอมเป็นสารถีเช่นเคย ผมเคยคิดนะว่าพี่มอเนี่ยขับรถเป็นไหม เห็นไปไหนมาไหน มีพี่โอมเป็นม้าใช้ตลอด

“ขับเองทำไม มีเพื่อนไว้ใช้ก็ใช้ไปสิ”
เหตุผลพี่มันครับ พี่โอมก็ยอมนะ

เหอ ๆ แต่แลกกับเบอร์สาว ๆ ที่พี่มอมี ฮ่า ๆ

สมน้ำสมเนื้อกันดี

พี่ปิงซ้อนท้ายพี่โอ๊ค ผมเลยระเห็จมาอยู่กับพี่เอกอย่างช่วยไม่ได้ (ไม่ขับเองครับ เพราะผมอยากถ่ายรูป) ใจจริงอยากไปกับพ่อ แต่ถ้าทำงั้น แม่ก็ต้องมานั่งกับพี่เอก

คงไม่เหมาะ

ตอนแรกผมก็นั่งซ้อนท้ายดี ๆ นั่นแหละ แต่มองไม่เห็นวิวด้านหน้าเท่าไหร่ พี่เอกเลยให้ผมมานั่งตรงหน้าแกแทน

พ่อกับแม่ขับรถไปทะเลาะกันไป

“ขับให้มันเบา ๆ หน่อยสิ!! กระชากแบบนี้ เคยขับสองแถวมาก่อนรึไง”

“เปล่า สองแถวไม่เคย เคยขับแต่รถเมล์เขียว”
พ่อตอกกลับ เลยได้ขนมตุ๊บตั๊บจากแม่ไปที

“เอ้านั่งดี ๆ นะคุณ ตกไปผมไม่ลงไปเก็บนะจะบอกให้”
พ่อแกล้งกระชากรถเบา ๆ พาเอาแม่ร้องว้ายรีบเกาะเอวพ่อแน่นหนึบ

ผมอมยิ้ม

พ่ออะ มุขเยอะ แกล้งแม่ตลอด

เหมือนใครวะ?
ผมนั่งนึก แต่นึกไม่ออก เลยยกกล้องมาถ่ายภาพพ่อกับแม่ไปอีกสองสามช็อต หันไปมองคันที่ขับเคียงข้างเรามา เป็นไอ้เต้ยกับพี่เป้ครับ

เดาซิครับ ใครเป็นคนขับ

พี่เป้?

ผิด

ไอ้เต้ยต่างหากที่ขับ ส่วนพี่เป้นั่งซ้อน

สาเหตุไม่ใช่เพราะพี่เป้ไม่อยากขับ แต่ไอ้เต้ยมันอ้อนขอขับเอง

คือ..มัน เพิ่งหัดขับน่ะ ไปเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถ(ทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์) ยังไม่ได้ไปสอบใบขับขี่ ยังดีที่รถมอเตอร์ไซค์คันที่เช่ามาเป็นแบบออโต้ มันเลยพอขับได้บ้าง มันนั่งหน้ามีพี่เป้คอยประคองอยู่ด้านหลัง ขนาดตัวต่างกันน่าดู ขับไปได้ไม่นานมันก็ปล่อยให้พี่เป้เป็นคนขับเอง แล้วมันก็นั่งดูวิวเฉย ๆ แทน

โธ่ กูก็คิดว่ามึงจะขับไปจนสุดทาง

แต่ถ้าปล่อยให้มันขับจริง ๆ เต่าคงแซงครับ เล่นบิดแค่ 20

หันกลับไปที่พวกพี่ ๆ ผู้หญิงกันบ้าง

สามทโมนกลายร่างเป็นเจ้าหนูจำไม ถามนู้นถามนี่กันไม่หยุด พวกน้อง ๆ น่ารักครับ ซนกันขนาดไหนก็ทำให้พี่ ๆ รักได้
ส่วนพี่กิ๊ฟ ไม่ต้องถามถึงฮะ ซิ่งหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ (ได้ข่าวมาว่าแกชอบขับรถแข่งด้วย สุดยอดจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้)

ปล่อยเขาไป นึกได้ เดี๋ยวก็ขับกลับมาหาพวกเราเองแหละ

“เฮ้ยมึง น้องคนนั้นสวยว่ะ แวะขอเบอร์หน่อยดิ”
ไอ้พี่มอตบหลังพี่โอมป้าบ ๆ สั่งให้รถจอด

“มึงไม่เห็นรึไง ผัวเขานั่งอยู่ข้าง ๆ น่ะ”

“อ้าว กูก็คิดว่าพ่อซะอีก”

“พ่อเตี่ยมึงดิ จับเอวกัน”

“อ้าวเหรอ กูไม่เห็น”

“ตัด ๆ หาเหยื่อใหม่”

เอ่อพี่ ๆ ครับ พวกเรามาเที่ยวเชียงใหม่เพื่อดูภูมิประเทศ ไม่ใช่สรีระเพศนะครับ = =

หันไปดูคู่สุดท้าย พี่โอ๊คขับรถเงียบ ๆ ไปตามทาง โดยมีพี่ปิงนั่งดูวิวไปเงียบ ๆ เหมือนกัน สองคนนี้เขาเป็นคู่เงียบ แตกต่างกับพี่โอมกับพี่มอที่เป็นคู่โวยวาย แล้วก็หันกลับมามองตัวเอง

พี่เอกขับรถไปเงียบ ๆ ไม่ต่าง ช่วงจังหวะไหนผมอยากถ่ายรูป พี่แกก็จอดให้

“โอม ๆ น้อง ๆ กลุ่มนั้นน่ารักว่ะ เฮ้ย พวกมึงไปก่อนนะ กูขอแวะหาน้องเขาหน่อย”
แล้วพวกพี่มันก็พารถจอดข้างทาง ก้าวลงจากรถ เดินดุ่ย ๆ ไปหาน้อง ๆ น่าจะเป็นเด็กมอปลายนะ ตกใจน่าดูตอนสองหนุ่มปราดเข้าไปหา แต่สองคนนั้นเขามีหน้าตาเป็นอาวุธครับ

วิธีการอาจเถื่อนไปบ้าง แต่บัตรผ่านพวกพี่มันดี

หลุดไปสอง ผมมองซ้ายมองขวาหาพ่อกับแม่ ไม่เห็นครับ พอหันกลับไปด้านหลัง

อ้าว..
พ่อจอดรถ ย่อตัวลงเช็คล้ออยู่ ผมรีบสั่งให้พี่เอกเบรกรถ เลี้ยวสวนเลนกลับไปดู คนอื่น ๆ ก็จอดรอเหมือนกัน (ตอนผมถ่ายรูปก็จอดรอ)

ไม่รู้จะจอดกันทำไม = =

“รถพ่อยางรั่วน่ะ”

“ชิ เพราะคุณเป็นคนเลือกนั่นแหละ บอกให้เอาอีกคันก็ไม่เอา”
แม่รีบยิงหมาไปกัดก่อน พ่อทำหน้าเซ็ง เดินไปถามคนแถวนั้นว่ามีร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ไหม ยังดีที่ไม่ไกลครับ พ่อเดินกลับมาหาเราอีกที

“พ่อจะเอารถไปให้เขาเปลี่ยนยางก่อน พวกกายขับเที่ยวไปก่อนก็ได้ รอบคูเมืองนี่แหละ จะได้ไม่หลง แล้วค่อยเจอกันอีกที แต่ถ้าหลงกันจริง ๆ ก็เจอกันที่ร้านรถเช่าหรือที่บ้านเลยก็ได้”
พ่อหันไปจูงมอเตอร์ไซค์ โดยมีแม่เดินบ่นง้องแง้งตามหลัง

“ดูซิ แทนที่จะได้ขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิวกับลูก ๆ”

“เอาน่าคุณ ซ่อมเสร็จ ผมจะพาทัวร์ตามใจเลย”
พ่อรับผิดครับ เพราะแกเป็นคนเลือกรถคันนี้จริง ๆ พวกผมมองตามจนพ่อเข้าร้านซ่อม ถึงได้พากันสตาร์ทรถ ออกเดินทางกันต่อ
ขับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังทะเลาะกัน ผมหันไปมอง

ไอ้เต้ยครับ มันอยากขับรถเองอีกที แต่มาคราวนี้พี่เป้ไม่ยอม มันก็พยายามยื้อจะขับเองให้ได้ พี่เป้ก็ปัดมือมันออก

สักพักพี่เป้ก็จอดรถ คุยอะไรกันสองคน พี่เป้ทำหน้าเครียด ไอ้เต้ยก็ทำหน้าเหมือนเด็กเอาแต่ใจ พวกเราไม่ได้สนใจที่จะจอดรอ เพราะถึงยังไง พี่เป้ก็ขับตามมาได้อยู่แล้ว ผมมองจนลับสายตาก่อนหันกลับมาสนใจวิวด้านหน้าต่อ

สวยดีครับ

เชียงใหม่เป็นเมืองที่สวยงามเอามาก ๆ ทั้งผู้คนและสถานที่โบราณที่สอดแทรกไปกับบ้านเรือนทรงสมัยใหม่ ร้านค้าร้านอาหารบางส่วน ยังคงพยายามรักษาความเป็นล้านนาเอาไว้ แม้จะดูทันสมัยไปบ้างตามกาลเวลา แต่พอมิกซ์ออกมาแล้วก็ดูสวยงามอยู่ดี   
สักพักสาว ๆ ก็พากันวี้ดว้าย เพราะมีตลาดนัดเสื้อผ้าและเครื่องสำอางแบรนด์เนมมาเปิด

“เฮ้ย จอดดิ กูจะเอาดิออร์”
พี่อิงรีบตบไฟเลี้ยว แล้วเพื่อนอีกสองคนก็ตบไฟเลี้ยวตามกันไป สามทโมนตาวาวเลยครับ เพราะมีเครื่องสำอางจากเกาหลีมาเปิดด้วย พวกน้อง ๆ คงใช้กันอยู่

“พวกมึงไปก่อนไม่ต้องรอ พวกกูคงสิงกันยาว”
พี่อ้อยบอก เพราะพอจอดรถ พวกเราถึงได้เห็นว่ามีบูธมากมายมาเปิดลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลกัน (ขนาดว่ารวย ๆ กันนะเนี่ย เห็นของถูกยังตาวาว = =)   

พอสาว ๆ หลุดออกนอกเส้นทาง ตอนนี้เลยเหลือแต่ผมกับพี่เอกแล้วก็พี่โอ๊คกับพี่ปิง

ขับไปได้อีกพักเดียว พี่ปิงก็ตบไหล่ให้พี่โอ๊คหยุดรถเมื่อเจอร้านหนังสือหายากเข้า พี่โอ๊คไม่อยากหยุด แต่ทนแรงรบเร้าจากพี่ปิงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจอดข้างทางไปอีกราย

ผมหันไปมอง
เห็นพี่โอ๊คมองมาทางพวกผมใหญ่ คงเสียดายที่ไม่ได้ขับรถเที่ยวแบบกลุ่มต่อ

“สรุปเหลือรถเราคันเดียว”
ผมบอกคนขับ พี่เอกก้มมอง

“อ้าว เหรอ”
โห พี่ครับ เพิ่งรู้ตัวรึไง

พี่เอกขับรถไปเรื่อย ๆ ส่วนผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน (กล้องผมดีครับ จับภาพได้เร็ว ขับรถอยู่ก็ถ่ายได้) แต่ถ้าเจอมุมไหนสวยมากจริง ๆ พี่เอกก็จะจอดรถให้เลยโดยที่ผมไม่ต้องบอก แล้วพี่แกก็นั่งคอยจนผมถ่ายเสร็จ 

พอขับรถจนรอบทั้งนอกเวียงและในเวียง พี่เอกก็พารถเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ภายในเวียง ชมวิวบ้านคนวัดวาอารามไปเรื่อย ๆ พี่เอกขับรถช้า ๆ บางทีก็ช้ามากจนรถส่าย (ผมเห็นเต่าวิ่งแซงไปตั้งสองตัวแน่ะ = =) ขับเข้าซอยนู้นทะลุออกซอยนี้ สนุกดี ซอยไหนตันก็วนรถกลับ

“พี่หิวแล้ว อยากกินน้ำ” พี่มันบอก

“งั้นแวะซื้อน้ำหรือหาร้านดี ๆ นั่งก็ได้”
พี่เอกพยักหน้า ขับไปสักพักก็เจอร้านกาแฟน่านั่ง พี่มันรีบตีโค้งเข้าจอดทันที

พี่เอกสั่งน้ำสตรอเบอร์รีปั่นมากิน (กินได้แต๋วมาก) ส่วนผมเป็นน้ำมะพร้าวปั่น ผมนั่งกดเช็คภาพที่ถ่ายไปเรื่อย ๆ สักพักพี่แกก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ โน้มตัวซะชิดจนเหมือนกอดผมไว้กลาย ๆ

สงสัยอยากดูใกล้ ๆ ผมเลยขยับเลื่อนแบ่งภาพให้ดูดี ๆ

“ถ่ายเก่งจัง”
พี่มันชม ผมอมยิ้ม กดเลื่อนภาพไปเรื่อย ๆ จนเจอภาพที่พวกทโมนถ่ายเอาไว้(หรือพ่อถ่ายนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว) ภาพนี้เป็นภาพที่เราสองคนกำลังยื่นขนมให้เด็กดอยเมื่อวาน

มุมกล้องสวยดี

พอไล่ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นภาพตัวเองกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงโดยมีพี่เอกกอดไว้อีกที ผมลดกล้องลงก้มดูดน้ำแก้เขิน
พี่มันหัวเราะหึ ๆ เลื่อนเก้าอี้กลับไปนั่งดี ๆ เหมือนเดิม..




ตอนนี้พี่เอกขับรถพาผมออกมานอกตัวเมืองแล้วครับ วิ่งตามเส้นทางที่จะไปเชียงราย ขับมาไกลเหมือนกัน ก่อนจอดสนิทไว้ข้างทาง ผมก้าวลงจากรถ ตรงหน้าเป็นท้องทุ่งนาหลายผืนทอดต่อ ๆ กัน ผมยืนงงว่าพี่แกจะพาผมมาที่นี่ทำไม

พี่เอกก้าวลงจากรถมายืนอยู่ข้าง ๆ ชี้ให้ผมดูพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตัวต่ำลงเรื่อย ๆ 

“พี่จะให้พระอาทิตย์กับกาย”
พี่มันเขยิบใกล้เข้ามาอีก จนหัวพี่มันจะแนบกับหัวผม ยื่นมือออกไปกลางอากาศ แบมือไว้ แล้วผมก็เห็นพระอาทิตย์วางอยู่บนมือ     พี่เอกจริง ๆ ผมหัวเราะออกมาทันที

เอากับพี่มันหน่อย

ผมทำท่ารับมาใส่มือตัวเอง เราสองคนพากันหัวเราะ แล้วผมก็ขอถ่ายรูปพี่เอกตอนพี่เอกจับพระอาทิตย์เอาไว้อีกที ก่อนยื่นกล้องให้พี่แกถ่ายผมบ้าง

ผมทำแบบเดียวกับพี่เอก จับพระอาทิตย์เอาไว้ ในหลากหลายอิริยาบถ พี่เอกอยากทำตามบ้าง

แล้วเราสองคนก็พากันปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อจับพระอาทิตย์เอาไว้ในมือ มีภาพสุดท้ายนั่นแหละ ที่ผมวางกล้องไว้บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ตั้งให้มันถ่ายอัตโนมัติ แล้วผมกับพี่เอก ก็ช่วยกันโอบอุ้มพระอาทิตย์เอาไว้ในมือพร้อมกัน

เวลาเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ท้องฟ้าสีขาวกระจ่างเริ่มกลายเป็นสีส้มอมแดง ตอนนี้ผมสามารถจ้องมองพระอาทิตย์ดวงโตได้เต็ม ๆ ตาแล้ว พี่เอกเดินไปนั่งบนเบาะ ผมเลยเดินตามไปหวังจะนั่งตรงพื้นที่ที่ว่าง แต่พี่แกดึงผมไปนั่งบนตักแทน ตอนแรกก็ว่าจะลุกออกนั่นแหละ อายคนที่กำลังขับรถสวนไปสวนมา

แต่พระอาทิตย์ตรงหน้ากำลังจะลาลับ ผมเลยยอมนั่งนิ่ง ๆ เฝ้ามองพระอาทิตย์ถูกท้องทุ่งนากลืนกิน

ในบางครั้งผมก็ยกกล้องขึ้นมากดถ่ายบ้าง โดยมีอ้อมแขนของพี่เอกกอดไว้ที่เอวหลวม ๆ   

สิ้นแสงสุดท้ายของวัน ความอบอุ่นภายนอกเริ่มจางหาย แต่ความอบอุ่นภายในยังคงอยู่ โดยเฉพาะตรงหัวใจ ที่มีหัวใจของใครอีกคนกำลังเต้นในจังหวะเดียวกัน

เวลายังคงเดินต่อไป แต่ผมกับพี่เอกยังนั่งอยู่ที่เดิมท่าเดิม ปล่อยให้ความมืดโอบล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ

“พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว” ผมบอก

“เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาใหม่ในอีก 12 ชั่วโมง”

ผมหันไปมองคนพูด ก่อนยิ้ม

“ก็จริง” ผมหันกลับมามองท้องฟ้าอีกที “งั้นผมก็สามารถมองพระอาทิตย์ตกแบบนี้ได้ทุก ๆ 24 ชั่วโมงสินะ”

พี่เอกก้มมอง หัวเราะออกมาเบา ๆ

“มองมากไม่เบื่อรึไง”

“ไม่หรอก พระอาทิตย์มีเสน่ห์จะตาย มองกี่ทีกี่ทีก็ยังสวย แล้วอีกอย่าง พระอาทิตย์ที่มองเมื่อวาน มันก็แตกต่างจากพระอาทิตย์ที่มองวันนี้ และที่สำคัญ ถ้าเราเปลี่ยนสถานที่มอง พระอาทิตย์ก็จะยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น มีตั้งหลายมุมให้มอง ผมถึงได้ชอบมองพระอาทิตย์ที่สุดไง” ผมพูดยิ้ม ๆ

“เหมือนอย่างที่กายชอบมองพี่ใช่ไหม”

ผมหุบยิ้มทันที

แม่ง ดึงเข้าหาตัวเองเก่งฉิบ

ผมนั่งนิ่งครับ ไม่โต้ตอบอะไรกลับไป ได้ยินเสียงพี่มันหัวเราะถูกใจผ่านลำคอเบา ๆ

เรารีบเอารถไปส่งที่ร้านเช่า แล้วกลับไปรวมตัวกันที่บ้าน เพราะมื้อเย็นเราจะไปหาอะไรกินกันที่คุ้มขันโตก 

หิวเหมือนกันครับ ท้องพากันร้องจ๊อก ๆ ไม่เกินสองทุ่มพวกเราก็เดินทางมาถึง (แม่โทรมาจองที่ไว้ก่อนแล้ว) ผมเคยมาทานข้าวกับแม่ที่นี่บ่อย ๆ (แม่ชอบการแสดงของที่นี่น่ะ) อาหารน่ากิน แต่รสชาติอาจไม่ถูกปากคนชอบอาหารรสจัดเท่าไหร่ เมนูยืนพื้นก็แคบหมูน้ำพริกหนุ่ม

การแสดงเริ่มไปแล้วบางอย่าง ผมก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปทุกคนเก็บไว้เหมือนเดิม ก่อนหันไปถ่ายคนที่กำลังร่ายรำอยู่ 
ผมชอบดูการแสดงแบบนี้นะ สวยดี

นางรำเคลื่อนไหวร่างกายด้วยจังหวะเชื่องช้าประกอบเครื่องดนตรีพื้นบ้านแสดงสดในจังหวะเชื่องช้าไม่ต่าง การร่ายรำและจังหวะดนตรีแบบนี้สามารถทำให้คนที่กำลังร้อนอยู่ สงบลงได้

ผมว่าใครที่กำลังเครียดหรือมีเรื่องที่คิดไม่ตก ลองมาใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่สักวันสองวันดูสิครับ รับรองได้ ว่าจิตใจคุณจะสงบและได้ความคิดดี ๆ กลับบ้านไปแน่ ๆ

เหมือนเดิมฮะ พอท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินเที่ยว พวกเราไปสตาร์ทกันที่ปากทางเข้าถนนคนเดิน

“กาย เดี๋ยวพ่อจะพาคนแก่ไปนวดก่อนนะ สงสาร กลัวสังขารจะไม่รอดถึงพรุ่งนี้” ปากครับ ปากพ่อผม

“ฉันยังสาวอยู่ย่ะ แค่อยากผ่อนคลายไม่ได้เมื่อย”

“เอ้า ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นบ่นว่าอยากนวด ถ้าไม่ใช่พวกขี้เมื่อยก็ต้องเป็นพวกคนแก่นั่นแหละ”
พ่อผมยังหาเรื่องไม่หยุด เลยได้ขนมตุ๊บตั๊บไปกินอีกรอบ(โดนบ่อยนะเนี่ย วันนี้)

“ไปก่อนนะ กายเดินเล่นไปละกัน อยากนวดอยู่เหมือนกัน”

สรุป แก่ด้วยกันทั้งคู่

แม่ส่งสายตาด่าทอพ่อ แล้วคนทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังซอยที่มีหมอนวดนั่งคอยอยู่ พอหันกลับมา ไม่เหลือใครอยู่แล้วครับ มีพี่เอกอยู่แค่คนเดียว

“อ้าว ไปไหนกันหมดแล้วล่ะฮะ”
พี่เอกพยักหน้าไปตรงหน้าแทนคำตอบ เห็นพี่ปิงลากพี่โอ๊คเดินลิ่ว ๆ นำไปนู้น ให้เดาคงไปหาร้านหนังสือแน่ ๆ ส่วนพี่มอกับพี่โอม ตอนแรกก็คิดว่าม่อสาวอยู่ ที่ไหนได้ เดินเลือกของกันอยู่ข้างทางโน่นแน่ะครับ พวกพี่อ้อยก็หายเข้ากลีบเมฆ ยกเว้นพี่กิ๊ฟที่มีสามทโมนเกาะติดแจ 

ผมขมวดคิ้ว

อ้าว ไหงทโมนไปอยู่กับพี่กิ๊ฟได้หว่า?

สรุป ผมต้องเดินกับพี่เอกสองคน วันนี้คงไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ดูแล้วล่ะ เพราะส่วนมาก ก็จะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว

เราสองคนเดินเคียงกันไปเงียบ ๆ ก้าวช้า ๆ เหมือนต้องการเก็บเกี่ยวบรรยากาศมากกว่าเดินดูข้าวของจริง ๆ

ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่เอกใส่สร้อยที่ผมซื้อให้ตลอดเลย ตอนนอนก็เหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่าพี่แกจะถอดเก็บไว้บ้าง

แอบภูมิใจเล็ก ๆ แฮะ
คิดไปถึงของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่พี่เอกให้ ผมยังไม่ได้แกะดูเลย ยังมีของขวัญอีกหลายชิ้นด้วยที่ยังไม่ได้แกะ คงต้องหิ้วกลับไปแกะที่กรุงเทพ ยกเว้นตุ๊กตาของพี่กิ๊ฟน่ะนะ เพราะพี่แกบอกให้ทิ้งไว้ที่นี่ เอาไว้กอดแทนพี่เอกมัน

แอบเขินแฮะ

ผมแวะซื้อสตรอเบอร์รีกิน ตอนนี้พี่เอกเป็นง่อยครับ มือก็ไม่ได้ถืออะไร แต่ให้ผมป้อนสตรอเบอร์รีไปตลอดทาง

ที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์จะมีการแสดงเยอะกว่าถนนคนเดินวันเสาร์ ผมชอบดูนะ มีงานศิลปะกับภาพวาดเยอะดี เราแวะดูเขาวาดรูปล้อเลียน เก่งกันจัง ขีด ๆ เขียน ๆ แป๊บเดียว ก็ได้ภาพที่มีใบหน้าคล้ายตัวเองแต่มีรูปร่างแคระแกรนแล้ว

เห็นมีดารามาเดินกันด้วย แต่ผมไม่ได้ปลื้มใครเป็นพิเศษ เลยปล่อยพวกเขาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าเป็นพี่เชนละก็ผมอาจจะกรี๊ดก็ได้

พูดปุ๊บ เสียงมือถือก็ดังขึ้น ผมล้วงหยิบมากดรับ

“อายุยืนจริงจัง ผมแค่คิดถึงนิดเดียว โทรมาซะละ” ผมแซว

“อ้อ ก็เห็นดาราเยอะ แต่ผมไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษเลยไม่ได้สนใจ แต่กำลังคิดอยู่ว่าถ้าเป็นพี่เชนมาเดินแถวนี้ตอนเรายังไม่รู้จักกัน ผมคงจะรีบวิ่งเข้าไปขอลายเซ็นแน่ ๆ”
ผมพูดยิ้ม ๆ แต่รู้สึกเหมือน ๆ จะมีรังสีอะไรบางอย่างส่งตรงมาจากคนข้าง ๆ ผมหันไปมอง เห็นพี่เอกยืนทำหน้านิ่ง ๆ ผมเลยหันกลับมาคุยต่อ

“อยู่ถนนคนเดินน่ะ…เชียงใหม่”

‘ไปไม่ชวนพี่บ้าง’ พี่เชนพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจไม่จริงจัง

“กะทันหันเหมือนกัน”

‘แล้วเดินกับใคร’

“อ้อ มากันหลายคนครับ แต่ตอนนี้เหลือผมกับพี่เอกสองคน นอกนั้นหายหมด”
พี่เชนหัวเราะร่วน

คุยกันสักพักผมก็วางสาย พอหันไปหาพี่เอก พี่แกไม่อยู่แล้วครับ เดินลิ่ว ๆ นำไปนู้น ผมรีบเดินตาม
เห็นอะไรน่าซื้อรึไง ถึงรีบขนาดนั้น

ผมเดินเร็วขึ้นหวังตามให้ทัน แต่คนเยอะครับ จากที่เห็นแผ่นหลังไว ๆ เผลอแผล็บเดียวแผ่นหลังกว้างนั้นก็หายไปแล้ว

จริง ๆ พี่เอกเป็นคนตัวใหญ่ ไปไหนมาไหนด้วยกันจะหาตัวง่าย แต่ที่นี่เต็มไปด้วยคนต่างชาติที่ตัวใหญ่พอ ๆ กัน บรรยากาศก็สว่างกึ่งมืด

ผมเพิ่มจังหวะให้ฝ่าเท้าเร็วขึ้น เดินแหวกว่ายผู้คนเพื่อตามหา
แต่ไม่เจอ

ผมหยุดอยู่กับที่ หมุนตัวยืนเคว้งกวาดมองไปรอบ ๆ 

ความวูบโหวงเกิดขึ้นในใจ

ผมไม่ได้กลัวหลง เพราะถึงยังไง บ้านผมก็อยู่ที่นี่ และพี่เอกก็โตแล้ว คงไม่ได้หลงไปไหน

แต่ตอนนี้ ผมยืนอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว เพื่อนที่เคยรายล้อมหายไปหมด สิ่งยึดเหนี่ยวของผมตอนนี้คือพี่เอก

แต่สิ่งยึดเหนี่ยวของผมหายไปแล้ว

รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจที่โดนทิ้ง

“นายไม่ใช่เด็กแล้วนะกาย”
ผมเตือนตัวเองเบา ๆ

ที่นี่ไม่ใช่ป่า ต่อให้ไม่มีพี่เอก ผมก็หาทางรอดได้

อารมณ์นี้น้อยใจครับ น้อยใจที่ถูกทิ้ง

แม่ม เป็นผู้ชาย แต่มาน้อยใจหาเหี้ยอะไรวะ

ผมปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป แล้วเดินดุ่ม ๆ เที่ยวคนเดียวมันซะเลย

ไม่อยากเดินด้วยก็บอกกันดี ๆ สิวะ
จากความน้อยใจเริ่มเปลี่ยนเป็นความโกรธนิด ๆ ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนไปหยุดอยู่หน้าลานการแสดง ซึ่งตอนนี้มีเด็ก ๆ กำลังเต้นอยู่บนเวที ผมยืนดูไปเรื่อย ๆ

ทั้งที่การแสดงกำลังสนุก แต่ผมกลับไม่รู้สึกสนุกแม้แต่น้อย ตอนเดินอยู่กับพี่เอก แค่เดินเฉย ๆ ก็มีความสุขแล้ว แต่พอไม่มีพี่เอก แม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะสนุกขนาดไหน ผมกลับไม่รู้สึกไปกับมันสักนิด ติดจะเซ็ง ๆ ด้วยซ้ำ

ผมถอนหายใจแรง ตัดสินใจหันหลัง ไปชนอกกว้างของใครบางคนเข้าเต็ม ๆ

*** ***

To Be Con...
ชอบตอนชมพระอาทิตย์ที่สุดแล้ว พระอาทิตย์นั้นขึ้นและตกทุกวัน ในขณะที่คนบางคนมองเลยผ่านไป แต่ใครหลาย ๆ คนกำลังเฝ้ามองมันด้วยความผาสุข บางครั้งนั่งมองคนเดียวกับเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว บางครั้งกับคนรัก บางครั้งกับผองเพื่อน หรือครอบครัว
พระอาทิตย์มีเพียงหนึ่งเดียวก็จริง แต่หากเปลี่ยนมุมที่มอง เราก็จะเห็นพระอาทิตย์ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป #คนรักก็เช่นกัน(เกี่ยวกันไหม = =) 

ไรท์ทอค :
ุคุกเข่าค้อมคำนับให้เหล่าท่านผู้กล้าที่ออกมาเผยตัวว่ายังติดตามข้าอยู่ ข้าคิดว่าข้ายืนอยู่ท่ามกลางเมืองร้างเสียแล้ว
จริง ๆ ข้าต้องลงนิยายตั้งแต่เมื่อวาน แต่ยืนเลียไปติมเพลินไปหน่อย(พอดีมีงานวัด = =) ไอติมทำให้สมองทำงานช้า ตื่นขึ้นมาด้วยความคิดว่าวันนี้คือวันศุกร์(ทั้งที่จริงคือวันเสาร์ = = ) แล้วศุกร์ข้าละหายไปไหน (กรีดร้องรุนแรง = [ ] =)

เอาเป็นว่า...
ข้าขอบคุณเหล่าท่านผู้กล้าเม้นท์ทั้งหลาย
..
สงกรานต์แล้ว ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน ใครเดินทางก็ขอให้ปลอดภัยทั้งไปและกลับ ใครดื่มขอให้เมา ใครเศร้าขอให้หาย สุขภาพร่างกายแข็งแรง รวย ๆ ๆ ๆ ๆ สาธุ
..
อยากบอกทุกคนเหลือเกิน /รักนะ มว๊วบเหม่งแรง ๆ คนละที
..
บ้านข้าร้อนมาก เอาเทียนวางไว้ เทียนละลายหลอมรวมกันเป็นก้อน งงว่าแมวมันนอนกันไปได้ยังไง = = ข้าต้องนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำไว้ตลอดเวลา ไม่งั้นร้อนตาย   

#สาดน้ำใส่ทุกคนดังตู้มมม

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love ♥ [38] หึงนะเว้ยเฮ้ย!
[เอก...☼]
 



หงุดหงิดอีกแล้วครับ หงุดหงิดเอามาก ๆ อยู่กับผม แต่มันดันไปคิดถึงไอ้คุณชรินทร์ หนำซ้ำมันยังโทรมาตอกย้ำให้ผมรู้สึกด้อยค่าลงไปอีก

อุตส่าห์ทำหน้านิ่ง ๆ บูด ๆ ให้มันรู้ตัว มันก็ยังไม่รู้อีก ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด เลยพาลเดินหนีมา ก่อนที่ผมจะใส่อารมณ์กับมัน
เดินมาได้สักพัก เริ่มรู้สึกผิด มองกลับไปก็ไม่เห็นมันแล้ว สงสัยผมจะเดินมาไกลไป ทั้งมือถือทั้งเงิน ผมก็ฝากไว้ที่มันหมดเลย มีเศษเงินติดกระเป๋าไม่ถึงร้อย

อะไรกูจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้วะ

มองหาตู้โทรศัพท์ สมัยนี้เขาใช้มือถือกันหมดแล้ว หาตู้ไม่เจอสักเครื่อง (หรืออีกนัย มองหาไม่เจอครับ ร้านรวงเยอะ)
ผมรีบเดินกลับไปยังเส้นทางเดิม กวาดตามองหา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ผมเริ่มร้อนรน หรือว่าจะสวนทางกัน ผมเดินกลับทางเก่าอีก เพราะคิดว่ามันคงจะเดินไปไหนได้ไม่ไกล

ผมเดินวนหาอยู่อย่างนั้น

โมโหให้ตัวเองครับ

แม่ง!!
กูไม่น่าทำตัวเป็นพระเอกขี้หงุดหงิดเดินหนีมันเลย สุดท้ายก็เป็นตัวเองเองที่ซวยหามันไม่เจอ

ผมไล่สายตาไปแทบจะทุกจุดของพื้นที่ การตามหาใครสักคนท่ามกลางฝูงชนมากมายภายใต้แสงสว่างอันน้อยนิดแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย   

ผมเพิ่มจังหวะการเดินให้เร็วขึ้น ก่อนชะลอฝีเท้าลงเมื่อหันไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าเวทีการแสดงที่มีเด็ก ๆ กำลังเต้นกันอยู่

ความดีใจล้นไปทั่วทั้งอก รู้สึกเหมือนหัวใจที่หล่นหายไปเมื่อกี้ถูกเก็บกลับมาอีกครั้ง ผมรีบเดินกึ่งวิ่งไปหามันทันที

ทั้งที่การแสดงกำลังสนุก แต่มันกลับยืนมองนิ่ง ๆ ทอดดวงตาเหม่อลอยออกไปไกล ความรู้สึกผิดวิ่งชนผมอีกครั้ง ผมผิดเองที่หึงมันเกินเหตุ ทั้งที่มันอาจไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับไอ้คุณชรินทร์มันแท้ ๆ

แต่ผมแค่หวงและห่วงมัน อยากครอบครองมันไว้คนเดียว

ผมก้าวช้า ๆ ไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังมัน ใช้ร่างกายของตัวเองบดบังมันไว้จากผู้คนรอบข้างจนมิด มันยังไม่รู้ตัว ผมยืนอยู่อย่างนั้น จนการแสดงจบลง

เสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วปลุกมันให้ตื่นจากภวังค์ มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันหลังกลับมาชนหน้าอกผมเต็ม ๆ

“ขะ ขอ…”
คำพูดมันหายไปดื้อ ๆ มันทำหน้าแปลกใจ ก่อนเบะหน้าหน่อย ๆ คล้ายกับพวกทโมนตอนกำลังงอน ผมยืนมองทุกการกระทำของมันนิ่ง ๆ

แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งทำกับผู้ชายด้วยกันเองแน่นอน

มันเดินหนีครับ!

เดินลิ่ว ๆ ไม่รอผมเลย ผมรีบก้าวตามมันไป ตัวมันเล็ก เลยหลบหลีกผู้คนได้ดีกว่า มันเดินกลับไปยังทางเข้า ผมก็มุดร่างใหญ่ ๆ ของตัวเองแทรกผู้คนตามไป

นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นลูกเด็กเล็กแดงนะ พ่อจะชนให้กระเด็นเลย มันเริ่มเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ จนผมชักจะเกรงใจผู้คนไม่ไหว เดินชนไม่สนใครแล้ว

ผมก้าวเร็วไปคว้าแขนมันไว้ ผู้คนรอบข้างหันมามองกันใหญ่ ผมลากแขนมันเดินลิ่ว ๆ ออกจากพื้นที่ทันที

“ปล่อย!!”
มันสั่งด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สะบัดแขนแรงจนหลุด หันหลังหวังเดินกลับเข้าไปในงานอีก ผมคว้าแขนมันไว้ ลากไปขึ้นรถตุ๊ก ๆ ที่จอดเรียงกันอยู่ 

“พี่ไป….”
รถตุ๊ก ๆ ออกตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนข้าง ๆ ผมจะไม่ยอมไปด้วย

“พี่ครับจอดรถด้วย”
มันสั่ง คนขับทำท่าจะจอดตาม

“ไม่ต้องครับพี่ ขับไป น้องผมมันงอนนิดหน่อย”
พี่คนขับทำหน้าปั้นยาก มองหน้าเราสองคนไปมาผ่านกระจก

“พี่ครับ จอด”
มันไม่ยอม พี่คนขับผ่อนจังหวะเครื่องยนต์ช้าลง ทำหน้าลำบากใจ คงไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี

“ขับไปพี่ ผมเป็นคนจ่ายเงิน” ผมสั่งพี่แกเสียงเข้ม “ส่วนนายถ้ายังไม่หยุดอีก พี่จะปิดปากนายตรงนี้”
มันปิดปากเงียบ กัดกรามแน่น จ้องหน้าผมเขม็ง (แบบงอน ๆ น่ะนะ)

เล่นเกมจ้องตากันได้ไม่นาน รถก็จอด มันรีบกระโดดลงรถทันที (บ้านมันอยู่ไม่ไกลครับ จากถนนคนเดิน นั่งรถตุ๊ก ๆ ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง)

มันรีบเดินไปไขประตูเข้าบ้านไปเลย ผมหันไปขอบคุณพี่คนขับ ยัดเงินทั้งหมดที่มีตอนนั้นให้พี่เขาไป แล้วเดินตามไปกระชากแขนไอ้ตัวเล็กไว้ 

“ปล่อย!!”
มันสะบัดแขนแรง ผมรู้ว่ามันคงเสียใจกับสิ่งที่ผมทำ

และผมเอง ก็เสียใจเหมือนกัน

“พี่ขอโทษ”
มันชะงักกับคำพูดผม ทำท่าลังเล คงกำลังคิดอยู่ว่างอนผมเรื่องอะไร

“พี่อยากไปไหนก็ไปสิ ไม่เกี่ยวกับผมนี่”
แล้วมันก็ตอบออกมาในที่สุด พยายามบิดข้อมือให้หลุดออก

“อย่างอนพี่สิ”

“ไม่ได้งอน!!”

“งั้นก็น้อยใจ”
มันชะงักไปนาน

“ไม่จำเป็นที่ผมต้องรู้สึกแบบนั้นนี่”
มันบิดข้อมือออก คราวนี้ผมรวบเอวมันมากอดเลย

“นี่!! พี่เอก ปล่อย!!”
มันขัดขืนใหญ่

“พี่ขอโทษที่เดินหนี”
มันกัดฟันแน่นเหมือนพยายามอดทนอดกลั้นอะไรสักอย่าง ก่อนเงยหน้าช้อนสายตาเขวี้ยง ๆ มาใส่         

เออเนอะ…

เวลาผู้ชายงอนก็ทำหน้าแบบนี้ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย

“แล้วพี่เป็นอะไร”
มันถามกลับ ผมคลายอ้อมแขนออกมาเสยผมตัวเอง เสหน้าไปทางอื่น

จะให้ผมยอมรับได้ยังไง…

ว่ากำลังหึงมันอยู่

แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมด้วยที่จะไปกะเกณฑ์เวลาที่มันคุยกับใคร

แต่ใครคนนั้น ต้องไม่ใช่คนที่จ้องจะงาบมันอยู่

ผมหันใบหน้านิ่ง ๆ ไปมองมันอีกที เขยิบตัวเข้าไปชิดจนมันต้องก้าวถอยไปด้านหลัง

“แล้วนายคุยอะไรกับไอ้คุณชรินทร์มัน”
รู้ครับ ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่อดไม่ได้ที่จะถาม

“ก็คุยกันธรรมดา”
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง ๆ มองหาความนัยแฝง ผมถอนหายใจแรง เสหน้าไปด้านข้าง

แล้วกูจะไปถามคำถามงี่เง่ากับมันทำไม

คราวนี้หงุดหงิดใส่ตัวเองแทน
แทนที่จะสร้างภาพดี ๆ ให้มันเห็น มีแต่จะทำให้มันแย่ลง

“พี่เอก”
ผมหันกลับมาตามเสียงเรียก มันยืนก้มหน้าอยู่

“ผมไม่รู้ว่าพี่เชนเขาคิดอะไรกับผมรึเปล่า แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าพี่ชายที่เคารพรักคนหนึ่งเท่านั้น”
มันบอกแค่นั้นแล้วหันหลังเดินขึ้นห้องไป ทิ้งให้ผมยืนประมวลผลอยู่ตรงจุดเดิม

ผมยืนคิดอยู่นาน…

แดกหญ้าอยู่ครับตอนนี้
..
..
เคี้ยวเอื้องตามควายไปได้หลายนาทีถึงได้ยิ้มออก
..
..
เข้าใจจุดประสงค์ของคำพูดของมันแล้วครับ ผมรีบวิ่งลิ่ว ๆ ขึ้นห้องตามมันไปทันที

มันกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนแรกก็ว่าจะเคาะเรียก แต่คิดอีกที แล้วผมจะคุยอะไรกับมัน ผมเลยยืนรอมันอยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ กะจะถามว่ามันรู้ใช่ไหมที่ไอ้คุณชรินทร์คิดจะจีบมัน

ผมเดินไปเดินมาเป็นหมาติดสัดอยู่ไม่นานมันก็เดินออกมา แต่ทานโทษครับ มันคงรีบเข้าไปอาบจัดเลยไม่ได้เอาชุดเข้าไปด้วย

หรือไม่…

มันก็ไว้ใจว่าไม่มีผมอยู่ในห้อง

หรือไม่…
มันคงไม่คิดว่าผมจะขึ้นมาเร็ว

มันเดินออกมายืนอยู่ต่อหน้าผม(ที่ยืนคอยมันอยู่หน้าห้องน้ำอีกที) ในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันเอวไว้หลวม ๆ 

แล้วคุณคิดว่าหมาที่กำลังติดสัดอยู่จะทนได้รึไง
ผมจับมันดันไปติดกำแพงด้านหลังแล้วกดจูบมันทันที ไอ้คำถามที่ว่าจะถาม ยัดใส่ลิ้นชักไปก่อน มันดิ้นรนใหญ่ ผมรวบเอวมันมาชิดตัว สัมผัสไปทั่วบั้นเอวและแผ่นหลังเปียกชื้นของมัน

ผมทนไม่ไหวแล้วครับ มันมาพูดเรื่องน่ารัก ๆ ให้ผมฟัง แล้วยังมาใส่ชุดยั่วกันอีก(จงใจหรือไม่…ผมขอเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน)

ตอนนี้ตบะแตก แล้วผมก็สำเร็จโทษมันไปหนึ่งที ต้องรีบกินครับ เพราะเดี๋ยวพวกนั้นจะกลับมาก่อน

หลังจากกินมันไปหนึ่งจาน ผมก็ปล่อยให้มันได้แต่งตัว แล้วก็ลากมันลงไปข้างล่าง ขืนอยู่ที่นี่ต่อ ไม่แคล้วผมต้องกินมันอีกหลายรอบแน่ ๆ ยังไม่อยากให้ใครโผล่มาเห็นหรือได้ยินเสียงร้องอู๊อ๊าของมัน

ผมอารมณ์ดีแล้ว ไม่อยากจะถามเรื่องที่อยากถามให้เสียอารมณ์

พวกเรานั่งดูหนังจากช่องทรูวิชั่นส์ไปเรื่อย ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากทางหน้าบ้าน พวกนั้นคงกลับมากันแล้ว

“ไอ้ห่าเอก มึงพาไอ้กายกลับมาก่อนไมไม่โทรบอกกันบ้างวะ มือถือก็ไม่รับ”

“โทษที กูทิ้งมือถือไว้บนห้อง”
พวกมันพยักหน้าเหนื่อย ๆ พวกหนุ่ม ๆ ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ แต่สาว ๆ นี่สิ เพียบครับ

“พี่เอก อ้อนไปหัดรำไทยมาด้วยล่ะ สนุกมากเลย”

“ใช่ ๆ พี่น่าจะได้มาเห็นนะ แย้ดิ้นยังสวยกว่าอีก”
ไอ้แอมมันแซว

“แต่อ้อนรำเก่งกว่าไอละกัน”

“พอกันนั่นแหละ รายนั้นก็รำเหมือนหางจิ้งจกถูกทิ้ง”
ดูมันด่ากันแต่ละอย่าง ปกติน้องผมเป็นพวกคุณหนูครับ ไม่น่าจะด่ากันได้ดุเดือดขนาดนี้ ผมหันไปมองพี่เลี้ยงคนใหม่

ไอ้กิ๊ฟ ไอ้ห่า กูฝากน้องกูไว้ไม่กี่ชั่วโมง น้องกูเสียคนหมด ผมด่ามันทางสายตา มันทำหน้ายียวนกลับ

“ไมมึงกลับเร็วล่ะ”
มันถาม ผมไม่ได้สนใจตอบ แต่เบี่ยงหน้าไปดูพ่อกับแม่ที่ขนซื้อข้าวของอะไรกันมาเยอะแยะเต็มไปหมด ไอ้ตัวเล็กรีบลุกไปช่วยพ่อแม่หิ้วของ ใจจริงผมอยากไปช่วย แต่ปล่อยให้พ่อแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพังดีกว่า เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางกลับกันแล้ว

เรามีเรียนกันช่วงบ่าย สาย ๆ ตีเครื่องกลับก็ทัน

“อะไรครับเนี่ย เยอะแยะเลย”
ไอ้ตัวเล็กมันถาม

“ของแต่งบ้านน่ะ เห็นสวยดีเลยซื้อมา”
แม่บอก แล้วไอ้ตัวเล็กก็ช่วยแม่มันคัดแยกของเอาไปเก็บไว้ในที่ที่ควรเก็บ พวกเพื่อน ๆ ผมพากันเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าไม่ต่างกับพวกทโมน

“น่ารักกันดีนะ ครอบครัวนี้”
ไอ้กิ๊ฟมันพูดขึ้นมาลอย ๆ ผมที่กำลังมองพวกน้อง ๆ วิ่งขึ้นบันไดไปหันมามอง   

“อืม”
ผมมองของที่มันหิ้วมา

“แล้วมึงจะหิ้วกลับยังไงไหว ของเยอะแยะ”

“กูมีเพื่อนไว้ทำไม ให้พวกมึงช่วยกันหิ้วคนละชิ้นสองชิ้นก็จบ”

เจริญครับ มึงนี่จะฉลาดไปไหน
มันเป็นผู้หญิงคนเดียว ที่ผมไม่กล้าจะต่อกรด้วย ทั้งฉลาดทั้งเจ้าเล่ห์ แถมยังคาดเดายากว่ามันคิดอะไรอยู่ มันยิ้มพราวและเริ่มใช้สายตากรุ้มกริ่มมองผม

“แดกไปกี่รอบแล้ววะ”
มันถาม ผมจ้องหน้า เพื่อล็อกหาคำถามให้ตรงจุดอีกที

“รอบเดียว”
มันยิ้มพอใจเมื่อได้คำตอบ

“งั้นไอ้ตรงนี้ก็เป็นของวันนี้งั้นสิ”
มันชี้ไปที่อกเสื้อตัวเอง ต่ำกว่าไหปลาร้าลงมานิดหนึ่ง

อึ้งแดกครับ

มันปล่อยหมัดฮุก หัวเราะหึ ๆ เดินจากไป

มึงนี่ร้ายฉิบ ขนาดกูทำด้านในยังเห็นอีก ผมรีบเดินไปหาไอ้ตัวเล็ก คือจะไปดูว่าเห็นรอยจริง ๆ หรือเปล่า

มันก้ม ๆ เงย ๆ กับถุงข้าวของมากมายบนโต๊ะ ส่วนพ่อกับแม่กำลังทะเลาะกันเรื่องการจัดวางข้าวของครับ ต้องรีบจัด เพราะพ่อจะบินกลับพรุ่งนี้พร้อมพวกเราเหมือนกัน (คงไม่อยากอยู่กับแม่สองต่อสอง)

“วางไว้ตรงนี้สิ”
พ่อบอก แย่งแจกันทรงสี่เหลี่ยมอาร์ต ๆ ไปไว้บนโต๊ะริมห้อง

“บ้ารึไง ต้องตรงนี้สิ”
แต่แม่เอามาวางไว้บนโต๊ะที่ไอ้ตัวเล็กกำลังหยิบของออกจากถุงอยู่

“ตรงนี้เดี๋ยวก็โดนชนล้ม”

“ที่นี่ไม่ได้มีเด็กสามขวบมาวิ่งเล่นนะ จะได้ชนล้ม”
แม่เถียงต่อ

“คุณไง”
พ่อสวนกลับ แม่ควันออกหูทันที

“ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนคุณนี่!!”

“ครับ งั้นคนที่เคยมาชอบคนปัญญาอ่อน ก็ต้องปัญญาอ่อนกว่าน่ะสิ”
อึ้งครับ แม่ยืนอึ้งไปหลายวิ อ้าปากพะงาบ ๆ จะด่าอะไรสักอย่างแล้วหุบลง อ้าปากจะด่าต่อ แล้วก็หุบลง ผมหันมามองไอ้ตัวเล็ก

ผมรู้ละ…
มันได้ท่าทางแบบนี้มาจากใคร

พ่อยิ้มกริ่มเมื่อปล่อยหมัดฮุกได้สำเร็จ หยิบแจกันไปวางแหมะไว้ตรงจุดที่ตัวเองต้องการทันที

แต่ตามความเห็นของผม จุดของแม่สวยกว่าเยอะ

“กาย ตรงไหนสวยกว่ากัน”
พอเถียงไม่ได้ แม่ก็หันมาขอความเห็นจากลูกชาย มันมองไปยังสองจุดที่พ่อกับแม่เลือก

“บ้านหลังนี้เป็นของผมใช่ไหม”
พ่อกับแม่พากันพยักหน้าคนละที มันเลยชี้ไปอีกมุม เป็นส่วนที่ไม่เกะกะระราน แต่คงเป็นส่วนที่คนไม่คิดจะเอาแจกันไปวางไว้    แน่ ๆ

“ตรงนั้น”
ผมขมวดคิ้วมองว่ามันจะวางได้ยังไง ข้างฝาเนี่ยนะ?

“พ่อช่วยหาไม้หรืออะไรก็ได้ มาตีให้มันยื่นออกมานิดหน่อยแล้ววางแจกันลงไป มันจะสวยสุด ๆ เลยแหละ แปลกตาด้วย ส่วนอุปกรณ์อันนี้ต้องถามแม่ เพราะผมไม่ชำนาญพื้นที่”
แล้วมันก็ทิ้งงานไว้ให้พ่อกับแม่มันทำ หันมาก้มหน้าหยิบของออกจากถุงต่อ

ผมอมยิ้ม พ่อกับแม่ทำท่าขัดใจ

“เพราะเจ้าของบ้านสั่งหรอกนะ”
แม่สะบัดผมยาวเดินดุ่ม ๆ ออกไปทางหลังบ้าน 

“ผมก็ทำเพราะลูกเหมือนกัน”
แล้วพ่อก็เดินตามแม่ไป

ได้ยินเสียงของคนทั้งคู่เถียงกันไปตลอดทั้งเส้นทาง กระทั่งเสียงนั้นเงียบไป

ไอ้ตัวเล็กมองตามขำ ๆ

“เจ้าเล่ห์”
ผมว่าไปที มันตวัดสายตาค้อนขวับทำหน้างอน ๆ ใส่ ผมหมั่นไส้เลยเดินไปรวบมันมากอด ก้มหอมแก้มมันไปฟอดใหญ่ มันรีบดิ้น ดีดตัวออกจากอ้อมแขนผมไปยืนอยู่ห่าง ๆ

“ทำอะไร เดี๋ยวพ่อกับแม่มาเห็น!”
ผมยิ้ม ไม่ตอบอะไร จ้องมองคนตรงหน้าอีกที ผมขมวดคิ้ว

วันนี้ไอ้ตัวเล็กมันใส่เสื้อยืดครับ แต่เป็นเสื้อยืดแบบมีกระดุม แค่สามเม็ดเท่านั้น เป็นแบบคลายตัวง่าย และตอนนี้มันก็หลุดออกจากกันหมด จนเห็นรอยแดง ๆ ต่ำกว่าไหปลาร้ามัน

ผมขมวดคิ้วมองอยู่อย่างนั้นจนมันก้มหน้ามองตาม มันรีบรวบจับ ทำท่าจะกลัดกระดุมลงหลุม ผมคว้าจับข้อมือมันไว้ ดึงมันเข้ามาใกล้

ผมจับเสื้อมันไว้ทั้งสองข้าง มันปล่อยมือลง คงคิดว่าผมจะกลัดกระดุมให้

แต่เปล่าครับ…

ผมแหวกคอเสื้อมันกว้างขึ้น แล้วก้มลงไปสร้างอีกรอยไว้อีกฝั่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองผลงานตัวเอง มันยังยืนอึ้งอยู่

“นายเป็นของพี่ จำไว้กาย” 
แล้วผมก็หันหลัง เดินจากมาพร้อมรอยยิ้ม

ปล่อยมันไว้ครับ ให้มันคิดถึงผมมาก ๆ 

หึ ๆ

*** ***
TBC...
แอบหวานกันเบา ๆ มีพี่เชนโผล่มาให้กระชุ่มกระชวย (ถึงจะมาแค่เสียงก็เถอะ - , . -) รักพี่กิ๊ฟ ...

ออฟไลน์ live_evil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แสดงตัวค่าาาา มาอ่านยุนะ แต่ไม่ค่อยเม้น เป็นนักอ่านเงา 5555+
 o18 o18

ออฟไลน์ Sbatandty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรื่องนี้เค้าอ่านในเด็กดีจบแล้วง่าาาาาาาาาาาาาาา
ชอบกาย กายน่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :


Kiss Love ♥ [39]
เดินทางกลับ..วันฝนตก
[กาย...♥]


พวกเรากำลังเดินทางกลับ นึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วก็อดอายไม่หาย ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองจะงอนพี่เอกหนักขนาดนั้น งอนเป็นผู้หญิงเลย ยิ่งคิดยิ่งอยากย้อนเวลากลับไปไม่งอน

แล้วดูดิ ทำให้กูต้องพูดอะไรเลี่ยน ๆ แบบนั้นออกมา พี่มันจะคิดว่าผมคิดเองเออเองไหมนะ

ก็พี่มันทำท่าหึง(รึหวง)ขนาดนั้น ผมก็เลยบอกให้แกสบายใจ

สรุป.. กูโดนฟัดอีก
ดีที่พี่มันกินแค่รอบเดียว คงกลัวคนอื่นกลับมาเห็น

ตอนหยิบเสื้อผ้ามาใส่ ไม่ได้ส่องกระจกเลยไม่รู้ว่าพี่มันทิ้งรอยไว้ (ปกติไม่ได้สนใจอยู่แล้ว) ตอนอยู่ในห้องครัว ไอ้ตอนแรกก็คิดว่ามันจะติดกระดุมให้ ที่ไหนได้มาสร้างรอยเพิ่มให้อีก รีบปิดแทบไม่ทัน

ครั้งหน้าจะไม่ใส่แล้ว เสื้อมีกระดุมเนี่ย

แต่ผมดีใจครับ
สามวันมานี่เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด จะว่าไปก็มีความสุขทุกวันนั่นแหละ และตั้งแต่วันที่พี่เอกก้าวเข้ามาในชีวิต ดูเหมือนความสุขของผมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

แม้บางครั้งจะต้องเจ็บตัวเพราะพี่มันก็เถอะ

ตอนนี้ผมยืนยิ้ม มองพวกพี่ ๆ กำลังบอกลาแม่กันอยู่ ส่วนผม จะลาเป็นคนสุดท้ายครับ 

ไม่นานพวกพี่ ๆ ก็เข้าไปข้างในกันหมด เหลือผมไว้กับพ่อสองคน

“เจอกันที่กรุงเทพนะแม่”
แม่พยักหน้าเดินเข้ามากอดหลวม ๆ ผมกอดตอบ แล้วแม่ก็หอมแก้มผมเบา ๆ ที ผมหอมกลับบ้าง

“เป็นเด็กดีนะลูก”

“อยู่แล้ว มีแม่กับพ่อดี ๆ ทั้งคน” ผมชมกลับ

“ชิ! แม่ดีกว่าอยู่แล้ว”
ยังครับ ยังไม่วายแอบกัดเบา ๆ

“เขาว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรอก ลูกดียังไง พ่อมันก็ต้องดีกว่าหลายเท่า”

น้าน คนนี้ก็ชมตัวเองได้อีก

“ลูกหล่นไม่ไกลต้น ดูลูกให้ดูแม่ ไม่ใช่ดูพ่อ” แม่ยังเถียงต่อ

“ถ้าเป็นลูกสาวก็น่าอยู่หรอก แต่ลูกชายต้องดูพ่อ” คนนี้ก็ไม่ยอม

“จะลูกชายหรือลูกสาว ก็ลูกฉันเหมือนกัน เพราะงั้นต้องเหมือนฉัน”

“เหมือนผมสิคุณ”

“เหมือนฉัน!”

“เหมือนผม!”

“เหมือนฉัน!!”

“พอเถอะครับ” ผมรีบเบรกคนทั้งคู่ไว้ทันที

 “ดูแลตัวเองนะฮะ อย่าปั่นนิยายเพลินจนลืมทานข้าวล่ะ”
แม่พยักหน้ารับ ทั้งที่สายตายังจิกพ่อไม่หาย

“ปั่นเพลิน ๆ ไปเลยก็ได้ ตีนกาจะได้ขึ้นเยอะ ๆ คราวนี้ผมจะได้หนุ่มขึ้น แต่คุณแก่ลงเรื่อย ๆ”
เพราะปากพ่อผมเป็นงี้แหละ สองคนนี้เลยแข่งกันทำตัวเด็ก

“หึ ๆ ฉันสาวกว่าคุณละกัน ไม่งั้นคงไม่มีหนุ่ม ๆ มาตามจีบกันเป็นพรวนหรอก”
อันนี้แม่พูดจริงครับ ผมคอนเฟิร์ม พ่อเลิกคิ้วสูง

“โห ตาต่ำชะมัด” นั่นแหละครับ ปากพ่อผม

“หึ คุณเองก็เคยตาต่ำมาแล้วครั้งหนึ่งนี่” แม่ยวนกลับ

ผมล่ะหน่าย

“รีบ ๆ กลับไปหาแม่แตงเลยไป๊ แล้วไม่ต้องกลับมาอยู่เมืองไทยให้รกหูรกตาฉันกับลูกเลย”
ผมว่าแค่แม่คนเดียวนะฮะ เพราะผมอยากอยู่กับพ่อ

“ไปแน่ อกตูม ๆ ดีกว่าอกเหี่ยว ๆ แถมยังสาวกว่า สดกว่าคุณเยอะ”
นี่ก็อีกคน เลิกแล้วยังเอาเขามาเป็นตัวล่ออีก

“ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่า”
ผมรีบเบรกสงครามกลางสนามบินลง พ่อพยักหน้าเพราะเวลาใกล้แล้วจริง ๆ เดินไปได้สองสามก้าว ผมก็วอล์คแบ็คกลับไปหาแม่อีก เอามือป้องหูกระซิบเบา ๆ

“พ่อเลิกกับคุณแตงตั้งหลายเดือนแล้วละแม่”
ทิ้งไว้แค่นั้น แล้วผมก็เดินไปดึงแขนพ่อที่ทำหน้าเอ๋ออยู่เข้าประตูไป

หันกลับไปมองนิดหนึ่ง เห็นแม่ยืนอึ้งอยู่กับที่ 

ปล่อยแกไปครับ

เรื่องของพ่อกับแม่ ลูกต้องเกี่ยว ฮ่า ๆ ๆ


ผมนั่งกับพ่อสองคน พี่เอกนั่งกับพี่กิ๊ฟ ทโมนแยกไปนั่งกับพี่ ๆ ผู้หญิง พี่โอมกับพี่มอ สองคนนี้แพ็คติดกันตลอด ไม่ต่างกับพี่โอ๊คกับพี่ปิงนั่นแหละ

ผมนั่งติดหน้าต่างเครื่องบิน ยิ้มให้ท้องฟ้าที่มีปุยเมฆขาวลอยละล่อง พ่อที่นั่งด้านนอกโน้มหน้ามามองด้วย

“คิดถึงตอนเด็ก ๆ เนอะ”
ผมเอี้ยวหน้าไปมอง

“ฮะ?”
พ่อหันมายิ้ม

“กายเคยบอกว่าอยากเป็นกัปตันเครื่องบิน”

ผมเนี่ยนะ?
ผมเลิกคิ้ว ชี้นิ้วใส่หน้าตัวเองแทนคำถาม พ่อพยักหน้า

“พ่อเลยซื้อเครื่องบินให้ลำหนึ่ง”
พ่อเล่าในขณะที่ดวงตายังจ้องมองปุยเมฆด้านนอก 

“ลูกเล่นอยู่เดือนเดียวก็ทิ้ง แล้วบอกว่าไม่เอาแล้ว กายจะเป็นช่างภาพแทน”
ผมหันไปมองหน้าพ่ออีกที

“แต่ผมไม่ได้ทิ้งนี่”
ผมค้านก่อนพ่อจะพูดอะไรต่อ

พ่อแค่ยิ้ม

“ลูกจะทิ้งไม่ทิ้ง จะรักไม่รัก จะอยากได้อยากเป็นอะไรพ่อไม่ว่าหรอก…” พ่อเงียบไปนาน แต่ผมรู้ว่าพ่อยังพูดไม่จบถึงได้เงียบความสงสัยเอาไว้ พ่อยิ้มอ่อนโยน “พ่อแค่จะบอกว่า พ่อจะเป็นคนหนึ่ง ที่สนับสนุนและอยู่เคียงข้างกายเสมอ”

ถ้าพื้นที่มันกว้างกว่านี้ ผมคงกระโดดกอดคอพ่อไปแล้ว ผมทำได้เพียงยิ้มแล้วหอมแก้มพ่อเบา ๆ เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง พ่อหัวเราะ ก่อนเงียบไป

“พ่อเชื่อมั่นในตัวลูกนะ เชื่อทุกเรื่อง เพราะลูกพ่อเก่ง”
พ่อลูบหัวผมอีกที ก้มกระซิบพูดอะไรบางอย่างให้เราได้ยินกันสองคน

“แม้กระทั่งเรื่องการเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างด้วย”

ผมจ้องหน้าพ่อ ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง พ่อยิ้มนิด ๆ จิ้มนิ้วมาตรงไหปลาร้า ผมก้มมอง

กรรม…
กระดุมหลุดตอนไหนวะ(ไม่อยากใส่ครับ แต่ตัวนี้แม่ซื้อให้ บอกให้ใส่เลยวันนี้)

ผมค่อย ๆ เงยหน้าร้อนผ่าวขึ้นมอง รู้สึกผะอืดผะอมเหมือนกินปูไม่ได้แกะกระดองไปสักสองตัว พ่อเพียงยิ้ม

“พ่อรู้ว่าใครเป็นคนทำ แล้วก็เคารพทุกการตัดสินใจของลูกด้วย”
พ่อนิ่งไป ผมก็นิ่งไป

“พ่อแค่อยากให้ลูกมีความสุข อันนั้นเรารู้ใช่ไหม”

ผมนิ่งไม่ได้ตอบอะไร

กลัวครับ กลัวพ่อพูดต่อว่าให้หยุดทุกอย่างลงเดี๋ยวนี้

พ่อลูบหัวผมเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น มันอุ่นจากกลางกบาลลงสู่หัวใจ

“ทำทุกอย่างตามที่ลูกเห็นควรนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะอยู่ตรงนี้กับลูกเสมอ”

“พ่อ…”
ผมครางเรียกเสียงแผ่ว

พ่อเอามือกอดอกเอียงหน้ามากระซิบบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง

“สารภาพว่าแต่ก่อนพ่อเองก็เคยชอบผู้ชายเหมือนกัน”

ผมอึ้งมองพ่อกลับตาโต

“แต่ตอนนั้นพ่อเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงน่ะ”

ผมอ้าปากค้าง

“ชอบอยู่เป็นเดือน ๆ พอรู้ความจริงช็อกไปนาน แต่มันก็รักไปแล้ว กว่าจะตัดใจได้ใช้เวลาตั้งปี”
ผมมองหาสิ่งที่พ่อต้องการจะสื่อ

“บางเรื่อง เราก็ห้ามสิ่งนี้ไม่ได้” พ่อจิ้มไปที่หัวใจตัวเอง “แม้พ่อจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย แม้จะผิดหวัง แต่พ่อก็ยังห้ามตรงนี้ไม่ให้รักเขาไม่ได้” พ่อจิ้มลงไปอีกสองทีเพื่อตอกย้ำตรงจุดเดิม

เรานิ่งกันไปนาน

“แล้วตอนนี้…”
ผมหยุดคำถามไว้ให้พ่อเป็นคนต่อคำตอบเอาเอง

“เขาแต่งงานมีลูกไปแล้ว พอเรียนจบ ต่างคนต่างแยกกันไป เจอกันอีกทีห้าปีให้หลัง หล่อขึ้นเป็นกอง เราเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้”

ผมมองพ่อตาปริบ ๆ

“อย่าทำตาแบบนี้ได้ไหม เห็นแล้วนึกถึงแม่เราชะมัด”
พ่อเปลี่ยนอารมณ์เร็วใช้ได้ ผมหัวเราะหึ ๆ หอมแก้มพ่อไปที

“เมื่อกี้ผมหอมแก้มแม่ไป เอามาแบ่งพ่อครับ”

พ่อทำหน้าเหวอ

ผมหันกลับไปมองเมฆต่อ ไม่มองว่าพ่อจะทำหน้าแบบไหนหลังจากรู้ว่าต้องถูกแก้มของใครบางคนหอมเข้าให้(ทางอ้อม)
ตอนนี้ดีใจครับ อย่างน้อย ผมก็รู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่คอยอยู่เคียงข้างผม ไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่คัดค้าน และคอยเป็นกำลังใจให้ผมเดินหน้าด้วยลำแข้งตัวเอง

ด้วยความสุขที่ตัวเองก่อขึ้น

“ผมรักพ่อนะฮะ”
ผมหันไปบอก พ่อที่ยื่นหน้ามามองมองเมฆเหมือนกันหันมามอง พ่อไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา แต่กอดคอผมไว้ มองเมฆขาวด้วยกันสองคน









ง่วงครับ

ง่วงเอามาก ๆ

ผมนั่งหาวรอบที่สิบของวันในคลาส อาจารย์พูดไปไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย

“มึงจะหาวอะไรนักหนาวะ”
ไอ้เต้ยมันคงรำคาญ

“ก็กูง่วง อากาศมันน่านอน”

ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงนิดหน่อย ฝนคงตกแน่ ๆ วันนี้ ผมเริ่มเลื้อย ฟุบหน้ากับโต๊ะจนบางสิ่งที่ห้อยคอผมอยู่ ตกกระทบกับพื้นโต๊ะดังแกร๊ง ไอ้เต้ยหันมามอง

“อะไรวะ”
มันพยักหน้ามายังสิ่งที่ผมห้อยอยู่

“จี้”

“กูหมายถึง มันคืออะไร”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจับ

“ของขวัญที่พี่เอกให้น่ะ”

มันทำสายตากรุ้มกริ่ม ยื่นมือมาจับไปดู

มันเป็นจี้ครับ จี้ที่ทำจากทองคำแท้ (พี่มันลงทุน) แผ่นบาง ๆ มีตัวหนังสือสลักไว้ในนั้น

‘19 &15’

และถ้าพลิกด้านหลัง มันจะเขียนคำพูดที่ทำเอาผมเขินทุกทีที่ได้อ่าน

‘You're mine’

พี่มันประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนมาก

ไอ้เต้ยขมวดคิ้วนิดหน่อยกับตัวเลขบนนั้น มันยังไม่เห็นด้านหลังครับ

“อะไรวะ 19 กับ 15”

ผมดึงสิ่งที่มันจับไว้มายัดใส่คอเสื้อตัวเองเหมือนเดิม มันทำท่าคิด ก่อนยิ้มออกมา

“มึงห้ามพูดนะ!”
ผมชี้นิ้วปราม มันหัวเราะหึ ๆ

“พี่เอกเน่า”
ขอเตะปากมันสักทีจะได้ไหม มีสิทธิ์ไรมาว่าคนของกู 

ผมแกะของขวัญชิ้นที่เหลือตั้งแต่กลับมาจากเชียงใหม่แล้วครับ แต่ละชิ้น พาเอาประทับใจน่าดู ทุกคนรู้แบบกะทันหัน แต่กลับหาของขวัญได้ถูกใจผมกันไม่น้อย

แต่ที่ทำให้ผมประทับใจที่สุด คงมาจากคนที่พรากเอาจูบแรกผมไป

ผมหันไปมองสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนอีกครั้ง ไอ้ที่ง่วง ๆ อยู่เมื่อกี้ หายไปเลย

พี่เอกนี่ เป็นแม้กระทั่งยาแก้ง่วงแฮะ

สรรพคุณเขาดีจริง ๆ
 






และแล้ว ฝนมันก็เทโครมลงมา

ผมยืนแกร่วอยู่คนเดียวหน้าคณะ ไอ้เต้ยวิ่งไปหาพี่มันทันทีที่คลาสเลิก มันบอกจะไปดักพี่มันไว้เพื่อกลับด้วยกัน (พี่เป้กลับมาโหมดเดิมอีกแล้วครับ)

ฝนตกผิดฤดูแบบนี้ จะไปทำงานไงวะเนี่ย ถ้าวิ่งตากฝนไปเสื้อผ้าคงเปียกหมด เสื้อน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะใช้ของที่ร้าน แต่ผมต้องใส่กางเกงตัวนี้ทำงานด้วย แล้วตึกที่ผมเรียนกับถนนที่แท็กซี่วิ่งผ่านมันก็ไกลกันพอควร วิ่งไปตอนนี้คงไม่รอด   
ผมมองนาฬิกาอีกที สายมากแล้วด้วย

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

ผมกระชับกระเป๋าเป้กับอกแน่น(ของสำคัญใส่ไว้ในถุงก๊อปแก๊บหมดแล้วครับ) ห่อตัววิ่งลิ่ว ๆ ฝ่าสายฝนไปยังท้องถนน น้ำฝนห่าใหญ่ สาดซัดรุนแรงพาเอาเสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด แถมยังเจ็บไปทั่วทั้งตัวอีกต่างหาก

น้ำฝนหรือลูกเห็บวะเนี่ย

วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมอง รถคันนั้นวิ่งช้า ๆ มาจอดเทียบด้านข้าง ไม่เห็นหรอกว่าใครเป็นคนขับ เพราะฝนแรงมากจนกระจกหน้ารถฝ้าไปหมด ผมรีบหลบขึ้นไปบนทางเดิน เพราะคิดว่าตัวเองคงเดินกินเนื้อที่มากไป

ประตูรถเปิดออก แล้วคนภายในก็โผล่ออกมาพร้อมร่มดำ เดินตรงมาทางผม

“พี่โอ๊ค”

“ทำไมมาเดินตากฝนแบบนี้ล่ะ”
เสียงพี่แกถามแข่งกับเสียงฝน ขากางเกงพี่โอ๊คเปียกหมดแล้ว

“ขึ้นรถก่อนเถอะ”
พี่มันไม่รอให้ผมตอบ ลากแขนผมไปเปิดประตูรถยัดผมเข้าไปนั่ง ส่วนพี่แกก็วิ่งตุบ ๆ ไปประจำที่แก
ผมตัวสั่นทันทีที่สัมผัสแอร์เย็นภายใน หยาดน้ำมากมายร่วงหล่นจากเสื้อผ้าและเส้นผมตกสู่พื้นกับเบาะนั่ง 

“ขอบคุณครับพี่”

“ทำไมไม่รอให้ฝนหยุดก่อนค่อยออกมา เปียกแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
พี่มันดุเหมือนคนแก่

“ผมต้องรีบไปทำงานน่ะ สายแล้วด้วย แต่โทรบอกเขาแล้ว”

พี่มันพยักหน้าเข้าใจ

“ที่ร้านมีชุดเปลี่ยนไหม”

ผมพยักหน้ารับ ชะงักไปนิด ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ

พี่มันทำหน้างุนงง 

“ยังไงกันแน่ มีหรือไม่มี”
บ๊ะ!! เปลี่ยนโหมดเป็นโหดก็เป็นวุ้ย

“มีเสื้อ แต่ไม่มีกางเกง”

พี่มันก้มมองกางเกงที่เปียกโชกของผม

“ลาสักวันไม่ได้รึไง”

ผมส่ายหน้า

“ผมอยากไปทำ แต่เปียกแบบนี้ คงต้องกลับบ้านไปเอากางเกงก่อน”
ขืนทำงานในสภาพลากน้ำเสิร์ฟกาแฟคงไม่ไหว พี่มันพยักหน้า ขับรถพาผมตรงกลับบ้าน
ผมนั่งตัวสั่น จนพี่โอ๊คต้องหรี่แอร์ให้เบา พี่มันเปิดเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ให้ด้วย เพลงแนวโปรดครับ รถตรงหน้าแทบไม่ขยับ สงสัยข้างหน้าจะเกิดอุบัติเหตุ

“พี่ว่า…กว่าเราจะกลับถึงบ้าน แล้วไปทำงาน เราคงไปช่วยเขาล็อกกุญแจร้านมากกว่า”
พี่มันหันมาบอก เคาะนิ้วกับพวงมาลัยตามจังหวะของเสียงเพลง

ผมยิ้มแหะ ๆ นั่งหนาวยิ่งกว่าเดิม พี่โอ๊คเอื้อมปิดแอร์ให้เหลือแต่พัดลม หมุนกระจกลงนิดหนึ่งไม่ให้กระจกรถเกิดฝ้า แต่มันก็ยังหนาวอยู่ดี

พี่โอ๊คหันมามอง ขมวดคิ้วอยู่สักพัก ก่อนทำสิ่งที่ทำให้ผมนั่งอึ้งไปนาน

ผมจ้องมองเสื้อนักศึกษาที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า เป็นเสื้อที่พี่แกเพิ่งถอดให้ผมเมื่อตะกี้นี้เอง

น่าอิจฉาชิบ กล้ามอกงี้เป็นมัด ๆ เลย

“ไม่เป็นไรพี่ ผมทนได้”

“ทนได้ตอนนี้ แต่อีกไม่กี่นาทีคงไข้กิน”
พี่มันบอก ผมจำต้องพยักหน้า ไม่อยากป่วยเหมือนกัน ช่วงนี้มีสอบด้วย พี่แกนั่งโป๊ท่อนบนเขยิบตัวรถเคลื่อนไปข้างหน้าอีกนิด

ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงกับเสื้อตัวนี้ดีระหว่าง…

หนึ่ง เอามาเช็ดตัว

สอง ถอดเสื้อตัวเองออกแล้วใส่เสื้อตัวนี้แทนกันหนาว

และสาม สวมทับไปเลยกันลมจากแอร์

สรุป ผมจะเอามาใส่แทนเสื้อตัวที่เปียก

ผมวางเสื้อพี่โอ๊คไว้ตรงคอนโซนกลาง ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อจะได้ถอดกระดุมเสื้อได้ง่าย ๆ แต่ถอดไปได้แค่ห้าเม็ด รถที่กำลังเคลื่อนที่ไปด้านหน้า เบรกตัวลงกะทันหันจนหัวผมคะมำหน้าผากทิ่มคอนโซลหน้าเต็ม ๆ

คงเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดไว้ด้วยแหละ

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคนไม่คาดเข็มขัดถึงได้พุ่งหลาวออกไปนอกตัวรถได้ นี่ขนาดรถขับช้า ๆ นะ ยังเจ็บขนาดนี้ นี่ถ้าขับเร็ว ผมคงได้ไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นถนนเป็นแน่ ผมดันตัวกลับมานั่งที่เดิม จับหน้าผากมายู่หน้าครางโอ๊ย

เจ็บวุ้ย

ดีนะที่มีพรมนุ่ม ๆ ขวางเอาไว้อีกชั้น ไม่งั้นหัวคงแตกแน่

“พี่ขอโทษ พอดีมีมอไซด์ปาดหน้าน่ะ”
พี่มันรีบหันมาขอโทษขอโพย

รถติดพอดีครับ ดูท่าจะติดนานด้วย พวกมอเตอร์ไซค์มันวิ่งได้ พากันปาดซ้ายปาดขวากันใหญ่

ความเจ็บพาเอาขอบตาผมเริ่มร้อนผ่าว 

“ไม่เป็นไรฮะ”
บอกไปทั้ง ๆ ที่กัดฟันเสียงสั่น มันเจ็บอะ ปวดตุบ ๆ เลย มะนาวขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้

พี่โอ๊คมองเส้นทางตรงหน้า พอเห็นว่าน่าจะติดยาว พี่มันเลยดึงเบรกมือไว้ แล้วจับหน้าผมหันไปมอง

“แดงเลย อีกพักมันคงช้ำแน่ ๆ แต่ไม่โนหรอก”
พี่มันแตะเบา ๆ ผมหัวหดเพราะความเจ็บ พี่โอ๊คหันไปควานหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักตรงหน้าผม ไม่นานก็หยิบได้ยาหม่องตราถ้วยทองมาหนึ่งอัน

โห พี่ รถออกหรู มียาหม่องตราถ้วยทองตลับส้มด้วย

“ของย่าพี่เอง”
พี่มันไข

ผมพยักหน้า เงยหน้าผากดี ๆ ให้พี่มันแต้มยาให้ พี่โอ๊คคุ้ยยาหม่องมาปื้นใหญ่ ป้ายลงตรงรอยช้ำวนนิ้วเบา ๆ นวดมัน เหลือบตามองหน้ารถอีกนิดหน่อย เผื่อรถเคลื่อนตัว ก่อนหันกลับมามองผมอีกที

ได้ยินเสียงรถหวอด้วย รถคงชนกันจริง ๆ

น้ำจากปลายเส้นผมของผมหยดหนึ่ง ร่วงแหมะลงมาเกาะค้างไว้ที่ปลายจมูก พี่แกเลื่อนสายตาลงต่ำ ในขณะที่มือยังนวดวนอยู่

ผมมองตามสายตาพี่แก

กูจะดูตลกไหมฮึ มีน้ำอยู่บนจมูกเนี่ย

มันจะเหมือนมีสิวไหม

ผมมองตามสายตาพี่แกไปเรื่อย ๆ ดวงตานั้นเคลื่อนต่ำลงไปหยุดไว้ที่ริมฝีปาก

น้ำคงไม่ได้หยดไปที่ปากกูใช่ไหม

พี่มันจ้องอยู่อย่างนั้น มือที่นวดวนอยู่เริ่มช้าลงเรื่อย ๆ

หรือว่าปากกูจะซีดเหมือนผีจูออนวะ

แล้วสายตาพี่แกก็เลื่อนต่ำลงไปกว่านั้น ตอนนี้เสื้อผมถูกแกะกระดุมไปแล้วห้าเม็ด แรงชนเมื่อกี้ พาเอาแขนเสื้อข้างหนึ่ง หลุดร่นไปทางด้านซ้ายจนหัวนมผมโผล่ มันถูกความเย็นจนแข็งเป็นไตแล้ว

ผมนิ่งครับ ถ้าคนตรงหน้าเป็นพี่เอก ผมคงรีบปิด แต่กับพี่โอ๊คไม่ต้อง เพราะไงก็เป็นผู้ชาย ผมเงยหน้าจากหน้าอกตัวเองมามองพี่โอ๊คอีกที ดวงตาแกตีนิ่งอยู่ที่ดวงตาผม นิ่งจนผมเองยังรู้สึกแปลก ๆ

เอ่อ… อย่ามองกูเหมือนที่พี่เอกมองแบบนั้นได้ไหม

ผมเม้มปาก คลี่ออกและเลียมันเบา ๆ พี่มันมองผมนิ่งค้าง จังหวะมือช้าลงจนแทบจะกลายเป็นแตะไว้เฉย ๆ

แม่ง สายตาน่ากลัวว่ะ

“ผมว่าพอแค่นี้ก็ได้ฮะ”
ผมรีบดึงตัวเองกลับ กำลังจะเอามือลูบหน้าผากตัวเองเพื่อเช็คแต่พี่แกจับข้อมือผมไว้ก่อน

“อย่าจับ เดี๋ยวเผลอไปขยี้ตาเข้า”
พี่มันจับข้อมือผมค้างไว้ตรงหน้า

ข้อมือกูไม่ได้เล็กนะ แต่มือพวกมึงใหญ่เองต่างหาก กำรอบเลย ผมพยักหน้าเข้าใจ ขยับมือเบา ๆ ให้แกปล่อย

รถเคลื่อนตัวพอดีครับ

รอดไป

แต่สายตาเมื่อกี้นี้

บอกตามตรง เป็นสายตาที่ทำให้ผมหวั่นใจยังไงแปลก ๆ ผมไม่อยากให้ใครใช้สายตาแบบนี้กับผมเลย
นอกจากพี่เอกคนเดียวเท่านั้น

*** ***
TBC
นึกภาตาม - , . - น้องกายเอ็กซ์
#ขอบคุณทุกเม้นท์ค่า ^^

ออฟไลน์ Silvercrowkk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กายยย. ลูก...  ปาดเลือดกำเดา....
พี่โอ๊คอะะ. เชียรๆๆๆๆ

#ได้กลิ่งหมามาหึ่งๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [40]
หึง...หวง
[เอก..☼]


 
“ไอ้เอก ทำไรอยู่วะ”

“เต้นระบำแก้ผ้ามั้ง”
ผมบอกแม้ไม่ได้เงยหน้ามองคนถาม

“กวน”

ผมช้อนตามอง ไอ้มอครับ มันยืนทำหน้าขัดใจอยู่แถว ๆ ประตู

“มีผู้หญิงมาหาหน้าห้องแน่ะ…เมียอีกคนของมึงอะ”

“กูไม่เคยมีเมีย”

“อ้าว เหรอ เห็นมึงคั่วอยู่ตั้งนานสองนาน ก็คิดว่ามึงจะเลือกคนนี้เป็นเมียซะอีก” มันบอกต่อ

“เออ ลืมไป ตอนนี้มึงคั่วไอ้กายอยู่นี่หว่า แล้วกายเขาอยู่ในฐานะอะไรของมึงวะ กิ๊ก?” มันพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ

คือที่เป็นแบบนี้จะโทษมันก็ไม่ได้ ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนดี นอกจากแฟนคนแรกแล้ว ผมไม่เคยยกใครขึ้นมาเป็นแฟนอีกเลย แม้จะมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิต แต่ก็อยู่ในฐานะคนดูใจกันเท่านั้น เหมือนที่ผมคบกับกายตอนนี้แหละ

ซึ่งส่วนมาก ก็ดูใจกันได้ไม่เกินสามเดือนก็เลิก ไม่ผมเบื่อ ก็อีกฝ่ายท้อถอยไปเองเพราะความบ้างานและเฉยชาของผมเอง ผู้หญิงบางคนเข้าใจ แต่ผู้หญิงบางคนไม่ และยังคงตื๊อไม่เลิก ผมจึงชอบควงผู้หญิงที่ตื๊อให้น้อย และบอกก่อนว่าผมไม่ใช่คนดีอะไร คบได้ก็ได้ คบไม่ได้ก็จบ

กลุ่มผมถึงได้เป็นกลุ่มคนที่เจ้าชู้ติดโพลมหา’ลัยไง

ผมไม่ได้เป็นพวกม่อแหลกเหมือนพวกไอ้มอ แต่ผมไม่เคยปฏิเสธสาว ๆ (เน้นว่าสวยและอึ๋มเท่านั้น) เลยดูเหมือนผมเป็นคนที่นิ่งที่สุด

แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดีที่สุดเสมอไป

“ต่าย?”
คนนี้ผมคบได้สองเดือนกว่า ๆ กินอร่อยช่วงแรก แต่เบื่อ ๆ ช่วงหลัง

“บอกไปว่ากูไม่ว่าง ทำงานอยู่”

“กูบอกแล้ว แต่เขาจะรอ”

“งั้นก็ปล่อยให้รอไป”

“มึงนี่น้า ใจร้ายกับผู้หญิงชะมัด”

“มึงอยากได้ก็จีบไปดิ กูยกให้”

“ไอ้เลว เขาชอบมึงไม่ได้ชอบกู”

“แต่กูไม่ได้ชอบน้องเขา”

มันถอนหายใจแรง

“ก็จริง”
บังคับอะไรบังคับได้ แต่บังคับใจให้รักหรือไม่รักกับใคร ยากครับ

ตั้งแต่มีรักแรก ผมก็รู้ว่าผมคงจะรักใครอีกครั้งยากขึ้นแน่ ๆ หรือถ้ามีจริง ก็คงจะรักจริงหวังแต่งเลยล่ะ

“งั้นกูไปบอกน้องเขาให้ละกัน”

ผมพยักหน้า ก้มปั่นงานต่อ

ผ่านไปร่วมสองชั่วโมง ผมยืดเส้นยืดสาย เย็นแล้ว ไอ้ตัวเล็กคงกำลังทำงานอยู่ เมื่อวานฝนตกหนักมาก ไม่รู้ว่ามันไปทำงานยังไง

ผมก็มัวแต่ยุ่ง ๆ กับงานที่สภาจนไม่ได้โทรถาม

แต่ผมไม่ใช่พวกตามห่วงใครมากมายอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกที่ผมคบด้วย นอกจากนี้ดและคิดถึงมากจริง ๆ น่ะนะ

ผมยังไม่รู้ว่าจะจัดมันไว้ในประเภทไหนของความสัมพันธ์ดี ผมว่าคงต้องให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

ผมเดินออกมาจากห้อง เห็นต่ายนั่งอยู่บนม้านั่งยาวริมระเบียง

“พี่เอก”
ต่ายรีบเดินเข้ามาคล้องแขนทันที ผมแกะออกเพื่อให้ต่ายรู้ระยะห่างระหว่างเรา ต่ายทำหน้าเสีย

“มีอะไร ทำไมยังไม่กลับ เย็นแล้วนะ”
ผมบอกด้วยความเป็นห่วง

“คิดถึงพี่เอก”
ต่ายยิ้มจนเห็นฟันครบทุกซี่ เพราะรอยยิ้มนี่แหละ ผมถึงได้เลือกคบด้วย

“เย็นแล้ว ไปทานข้าวกันไหมคะ”

“พี่จะกลับไปทานที่บ้าน”
ผมบอกตามจริง

“ให้ต่ายไปด้วยได้ไหมคะ”
น้องถามมาตรง ๆ ซึ่งถ้าผมอยากฟันใครสักคนตอนนี้ ผมคงรับปาก แต่ตอนนี้ไม่อยากครับ ไม่มีอารมณ์

ปกติเห็นนมตูม ๆ แบบนี้ ผมจะของขึ้นแล้ว แต่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนที่เคยทิ้ง หรือเพราะสาเหตุอื่น

ต่ายยังไม่หยุดกระตุ้นอารมณ์ผมด้วยการเบียดหน้าอกอึ๋ม ๆ เข้ามาชิด

มึง ชิดมากเดี๋ยวของกูก็ขึ้นหรอก

“พี่เอก…”
น้องเรียกเสียงเบาปนเซ็กซี่

แหมะ ยิ่งเห็นปากแดง ๆ แบบนี้แล้วอยากจูบ
แม้ปากจะแดงเพราะ ลิปกลอสมันวาวก็เถอะ น้ำหอมกลิ่นเย้ายวนลอยคลุ้งไปทั่ว อดพาเอาหัวใจหวั่นไหวไม่ได้

ผมชอบผู้หญิงที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้นะ ยั่วยวนดี

น้องผมมันกระตุกนิดหน่อยกับหน้าอกที่เบียดชิดมากขึ้น ตอนนี้ไม่มีคนแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็น
สักพัก ต่ายก็โอบคอผมไว้ เคลื่อนริมฝีปากมากดจูบเบา ๆ

นุ่มครับ
ริมฝีปากนุ่มเอามาก ๆ แต่เหนียวกลอสกับรับรสหวานของกลอสนิดหน่อย ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

สรุป ผมตวัดปลายลิ้นรับรสจูบหวาน ๆ นั้นทันที

ผมคงเหมือนแมว พอปลาย่างเดินเข้ามาให้กินถึงที่ มีหรือแมวจะยอมทิ้งโอกาสนั้นไป ถึงจะร้างไปนาน แต่ถ้าถ่านยังมีไฟ มันก็คุเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ผมจูบกับต่ายอยู่นานสองนาน ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคน ที่ยืนมองผมตาค้างอยู่เงียบ ๆ ห่างออกไปไม่เกินสิบเมตรบนทางเดินเดียวกัน ผมรีบดีดตัวออกห่างจากคนที่กอดอยู่ทันที

หัวใจผมหล่นวูบไปอยู่ปลายเท้า

คนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ หลุบตาลงต่ำ กำกระดาษในมือแน่นจนมันยับไปแถบ สักพัก มือที่กำแน่นก็ค่อย ๆ คลายออก แล้วเจ้าตัวก็ก้าวช้า ๆ มาหาผมด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

หัวใจผมเต้นโครมคราม กลัวระเบิดจะลง

“อาจารย์ชาติให้เอานี่มาให้เซ็น”
มันพูดเรียบ ๆ ยื่นกระดาษมาให้ ผมรับมาถือไว้ กวาดตามองผ่าน ๆ หยิบปากกาที่เหน็บกระเป๋าเสื้อมาเซ็นให้

“ขอบคุณครับ”
มันยื่นมือมารับ
“ขอโทษฮะ ที่รบกวน”
มันพูดเสียงเรียบ หันหลังเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คำถามแรก…
มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เวลานี้มันต้องไปทำงานแล้วนี่

และคำถามที่สอง…
มันไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เห็นเลยรึไง

“กาย”
ปากผมเร็วกว่าความคิด คนที่กำลังก้าวห่างออกไปชะงักเท้าค้างไว้กับที่ มันไม่ได้หันมามอง

“วันนี้ไม่ได้ไปทำงานรึไง เวลานี้ต้องอยู่ที่ร้านแล้วนี่”
มันหยุดยืนอยู่นานมาก ก่อนหันมามอง

“พอดีวันนี้ผมติดทำรายงานเลยขอเข้าช้าหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยทำยาวอีกที”
มันตอบแค่นั้นแล้วหันหลังเดินลิ่ว ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว

ผมอยากก้าวไปดึงแขนมันไว้

แต่รู้สึกผิด

แล้วกูจะรู้สึกผิดไปทำไมวะ

ผมไม่ใช่คนดีที่จะรู้สึกแบบนี้ ควงผู้หญิงสองสามคนพร้อมกันก็บ่อย รถไฟชนกันก็บ่อย นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น

แต่ส่วนมากทุกคนจะวีนแตกหรือไม่ก็ปะทะคารมกันบ้าง ไม่ใช่นิ่ง เงียบ และเดินจากไปเหมือนมัน

ไม่เคยครับ ไม่เคยมีใครเงียบกับผมแบบนี้มาก่อน

คิดไปคิดมาก็เริ่มหงุดหงิด

อะไรวะ จะหึงจะหวงกันบ้างสักนิดไม่ได้รึไง

กูจูบหญิงต่อหน้ามึงนะเว้ยเฮ้ย ทีมึงคุยกับผู้ชายนิดหน่อย ควันก็ออกหูกูแล้ว นี่กูจูบหญิงนะ ถ้ามึงไม่มา กูลากเขาเข้าห้องไปฟันแล้ว มึงจะวีน จะพูดจาด่าทอกูหน่อยก็ได้ ไม่ใช่เดินหนีแบบนี้

“เอ่อ พี่เอกคะ”
ต่ายเรียกผมหวาด ๆ คงเพราะผมเริ่มขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่สบอารมณ์

“เรามาต่อกันดีกว่านะคะ”
ต่ายหันมาเชิญชวนด้วยน้ำเสียงยั่วยวน ผมก้มมองใบหน้าน่ารักนั้น ตวัดกลับไปมองใครอีกคนที่ก้าวจากไป

ก้มมองคนตรงหน้าอีกที แล้วตัดสินใจ…

กดจูบอีกครั้ง

เอาวะ กินก่อนละกัน

ผมยืนจูบอยู่ตรงนั้นก่อนลากน้องเดินเข้าห้องไป


ผ่านไปได้แค่สิบนาที ผมก็หยุดทุกกิจกรรมลง หยุดไว้แค่จูบเท่านั้น

มันหมดอารมณ์กลางทาง

จูบไป ก็นึกถึงแต่รสจูบของไอ้กายไป

ลูบไล้แผ่นหลังบางไป ก็นึกถึงแต่แผ่นหลังเนียนเรียบของมันไป

ฟังเสียงครางหวาน ๆ ไป แต่ดันนึกถึงเสียงครางกระท่อนกระแท่นของมันไป

สรุป สติกูกระเจิง

ผมก้มติดกระดุมเสื้อที่อกอึ๋มทะลักออกมาจนล้นกลับที่เดิม

“พี่เอก ทำไมละคะ”

“พี่นึกได้ว่ามีธุระ”
ผมตัดบทแค่นั้น เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจ

รมณ์เสียครับ น้องผมหดหมดแล้ว และผมต้องไปหามัน หาไอ้คนที่ทำให้อารมณ์ผมเป็นแบบนี้

ผมเดินไปที่รถ สตาร์ทเครื่อง นำรถออกอย่างรวดเร็ว ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้มันคงกำลังเดินทางอยู่ ผมวนรถออกมาได้แค่หน้าตึกก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน จ้องมองแผ่นหลังของคนที่ผมคุ้นเคย ที่ตอนนี้กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับใครบางคน

แค่แผ่นหลังผมก็จำได้แล้วว่าเป็นใคร และคนที่มันยืนอยู่ด้วย เป็นหนึ่งในคนที่ผมไม่อยากให้มันเข้าใกล้ที่สุดในตอนนี้

“ไอ้โอ๊ค”
ผมครางเรียกเสียงเบา กำลังจะตะบึงรถเพื่อไปรับมันไปทำงาน แต่ก็ช้ากว่า เมื่อไอ้โอ๊คโอบแผ่นหลังมัน แล้วดันเข้าไปในรถ ผมกำพวงมาลัยแน่น

หัวใจผมเหมือนมีเพลิงสักสิบลูกโหมอยู่

“ไอ้โอ๊ค…ไอ้กาย”
ที่มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม เพราะมันก็มีคนอื่นเหมือนที่ผมมีหรือเปล่า

ผมกำพวงมาลัยแน่นขึ้น รู้สึกแน่นไปทั่วทั้งอก ผมขับรถตามมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ตามติดมาก เพราะเดี๋ยวมันจำได้ เส้นทางที่ไป คือร้านที่ไอ้ตัวเล็กมันทำงานอยู่

ยังดีที่มันไม่ได้พาออกนอกเส้นทาง 

ผมขับรถตามหลังมัน เว้นระยะห่างให้มอเตอร์ไซค์เกาะกลุ่มกันอยู่ อย่างน้อยจะได้ไม่เป็นที่สนใจ และผมก็ยังมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวรถนั้นได้

รถจอดติดไฟแดง ผมมองตรงไปด้านหน้า และสิ่งที่เห็นพาเอาผม ต้องกำพวงมาลัยแน่นอีกครั้ง
ไอ้โอ๊คมันโน้มตัวไปหาไอ้ตัวเล็กแล้วก็ทำท่านั้นอยู่นานมาก ก่อนผละออก

ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ว่าพวกมันกำลังจูบกันอยู่

ผมเคลื่อนตัวรถไปข้างหน้าช้า ๆ ตามจังหวะของรถราที่กำลังติดไฟแดง ความร้อนโหมไปทั่วจนผมแทบจะระเบิดและพร้อมที่จะแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุลลงตรงนี้ 

พอถึงร้าน ผมเห็นไอ้โอ๊คเดินประคองมันไปหลังร้านด้วยความห่วงใย 

ผมจอดรถอยู่ไม่ไกลพวกมัน เลือกจุดอับสายตา แต่สามารถมองเห็นภายในตัวร้านได้ ทุ่มหนึ่งแล้ว มันทำงานอีกสองชั่วโมงก็กลับ

ผมเลือกที่จะคอย คอยเวลาเพื่อดูอะไรต่ออีกนิดหน่อย

ก่อนตัดสินใจที่จะทิ้งมัน หรือเก็บมันไว้ต่อ

ผมนั่งคอย คอยอยู่อย่างนั้น ตรงนั้น นั่งมองมันทำงาน ผ่านฟิล์มดำเลือนลางของกระจกรถ มองรอยยิ้มที่มีฉาบใบหน้ามันไว้บาง ๆ

มันไกล แต่ก็ยังเห็นมันได้ชัดเจน

จนผ่านไปถึงสามทุ่มหน่อย ๆ ผมเห็นมันออกมาในชุดนักศึกษาเหมือนเดิม และตลอดระยะเวลาที่มันทำงาน ไอ้โอ๊คก็มานั่งเฝ้ามันตลอด ผมเห็นพวกมันมองตากันด้วย

มันเดินมาหาไอ้โอ๊ค ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินมาที่จอดรถ ซึ่งก็คือคันที่อยู่เยื้องกับผมไปด้านหน้า ผมขับรถตามรถของพวกมันไปเรื่อย ๆ เหมือน ๆ ตัวเองจะเป็นโรคจิต ผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน ถ้าใครไม่ต้องการผม ผมก็ไม่ง้อ

แต่ผมยังไม่เคยเป็นที่ไม่ต้องการ เลยไม่รู้ความรู้สึกมันเป็นไง แต่ตอนนี้ผมว่าผมกำลังรับรสความรู้สึกนั้นแล้ว และผมกำลังหึงหวงมัน

รถจอดหน้าบ้าน ผมจอดห่างออกไป ก้าวลงจากรถ ยืนรอจนกว่าไอ้โอ๊คจะออกมา มันหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง
เป็นครึ่งชั่วโมงที่ผมทรมานเป็นที่สุด

ตอนนี้พวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่

อยู่ในท่าไหน

มันจะครางแบบไหน ถ้าไม่ใช่ผม

ตัวมันจะสั่นไหม

มันจะครางเรียกชื่อใคร

ผมหรือไอ้โอ๊ค

ไอ้เชี่ย!!
นอนกับไอ้โอ๊ค มันคงจะครางเรียกชื่อมึงหรอกนะ ผมด่าตัวเองในใจ

ผมหลับตาลงแน่น นึกถึงเรือนร่างมันที่ผมเคยสัมผัส นึกถึงทุกความรู้สึก และสายตามันที่ทอดมองมาที่ผมด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม

แค่คิดร่างกายผมมันก็ร้อนรุ่มขึ้นมาทันที

ผมยืนกำหมัดแน่น

และประตูหน้าบ้านก็เปิดออก ไอ้ตัวเล็กทำหน้าเหมือนคนหมดแรงเดินออกมาส่งไอ้โอ๊คที่รถ มันยกมือเกลี่ยแก้มเนียนที่ผมชอบหอมนั้นประจำ ไอ้ตัวเล็กยิ้มให้เบาบาง แล้วไอ้โอ๊คก็หันหลังเดินขึ้นรถขับจากไป

มึงฟัดกันจนกายโทรมขนาดนั้นเลยเหรอวะ

ไอ้ตัวเล็กมองตามรถคันนั้นจนลับสายตา หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป ผมก้าวตามมันไปเงียบ ๆ เหมือนที่ผมเคยทำ

ไม่รู้ว่ามันเป็นพวกรู้ตัวช้า หรือว่าผมเป็นพวกย่องเบาจัด ๆ กันแน่ มันถึงยังไม่รู้ตัว แล้วถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมล่ะ มันจะถูกทำอะไรไหม

แต่ก่อนมันอยู่กับแม่ แต่ตอนนี้มันอยู่คนเดียวแล้ว อันตรายรอบด้าน

แต่มันกลับไม่ระวัง ไม่ระวังอะไรเลย

ไม่ว่าจะคนอื่น…หรือกับตัวผม

ทันทีที่มันเปิดประตูออก ผมก็ผลักบานประตูแทน มันหันมามองหน้าตื่น

“พี่เอก”
ผมดันประตูปิดลง เขยิบเข้าไปชิด ใช้สายตากวาดมองไปทั่ว ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“พี่เคยบอกว่าไง”
ผมใช้เสียงเย็นกับมัน

“อะ อะไร”
มันถามกลับกุกกัก ก้าวถอยไปด้านหลัง

“นายเป็นของพี่กาย นายเป็นของพี่”
ผมกระชากมันเข้ามาใกล้ แล้วกดจูบสุดแรง

คนคนนี้เป็นของผม และผมจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปได้เป็นอันขาด

*** ***

To Be Con..
ไอ้พี่เอกกกกกกก ทำไมทำกับน้องกายแบบเน้!!!!!


ออฟไลน์ monsterkim

  • I think therefore I am. = เพราะฉันคิด ฉันถึงมีอยู่
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
พี่เอก พี่อย่าทำอะไรกายนะ กายไม่ผิดซักหน่อย ในเมื่อพี่ทำกับคนอื่นได้อะแล้วทำม้ายทำไมน้องกายจะทำไม่ได้

แล้วที่จริงน้องกายก็อาจจะไม่ได้ทำอะไร? อย่างนั้นจริงๆก็ได้(มั้ง)

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ติดตามมมมมมมมมมมม

สงสารกายอ่าาาาาา
 :ling1:
พี่เอกเหันแก่ตัวชะมัด

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
หน้า 17 แล้ว ..

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
พระเอกเรื่องนี้ควรด่าว่าอะไรดีอ่ะ ตัวเองทำได้แต่อีกคนทำไม่ได้
คบไว้ในฐานะอะไรเนี้ย ที่ระบายความใคร่แต่ก็ให้การดูแล
ให้ความหวังแต่ก็พร้อมจะทิ้งเสมอ พอคบ3 เดือนก็เลิกเลย
จะว่าเลิกก็ไม่ได้เพราะสถานะไม่ชัดเจน
ตามไปอ่านที่อีกเว็บแม้จะชอบอ่านที่นี่มากกว่าก็ตาม

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
เอกเห็นแก่ตัว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [41]
โรคจิต
[กาย...♥]


ผมครางด้วยความเจ็บปวด เมื่อพี่เอกเบียดชิดร่างลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผมทำได้เพียงครางพร่า ร้องขอความเห็นใจ สองขาผมถูกจับแยกออกกว้าง ในขณะที่ท่อนล่างถูกกระหน่ำลงมาจากคนที่ทำให้ผมร้องไห้วันนี้

“พี่เอก”
ผมครางด้วยน้ำเสียงแหบแห้งหลับตาลงรับแรงกระแทกกระทั้นที่กระชั้นเข้ามาไม่หยุด แรงโหมรุนแรงที่เต็มไปด้วยเพลิงร้อน
พี่เอกทำแบบนี้ทำไม ทั้งที่พี่ก็มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว แล้วทำไม ยังมาทำแบบนี้กับผมอีก

น้ำตาผมไหลพรากจากดวงตาร่วงหล่นลงมาข้างแก้ม เสียงครางแหบแห้งผมดังก้องไปทั่ว แต่คงไม่ดังเข้าหู ของคนที่ยังโหมแรงอยู่ด้านบน พี่มันจับผมพลิกคว่ำลงกับโซฟา แล้วจัดการสอดใส่เข้ามาอีกครั้ง

“เจ็บ!”
ผมร้องขอความเห็นใจ แต่สิ่งที่ได้คือแรงกระแทกที่เพิ่มมากขึ้น ผมจำต้องกางขาออกกว้างเพื่อให้สิ่งนั้นเข้ามาได้โดยที่ตัวเองไม่เจ็บปวดมากไปกว่านี้

เหมือน ๆ พายุจะหยุดลงหลังจากความอุ่นซ่านแผ่ขยายไปทั่วทั้งภายใน ผมหอบแฮ่ก หายใจเข้าปอดแทบไม่ทัน เหน็ดเหนื่อยไปกับความเสียวซ่านผสมเจ็บปวดที่ได้รับ

แล้วสิ่งที่อยู่ภายในก็กระตุกเบา ๆ ผมครางตามสิ่งนั้น ก่อนพี่มันจะเอื้อมมือมาอุดปากผมไว้ แล้วจัดการกระหนำความร้อนเข้ามาอีกครั้ง

เจ็บครับพี่เอก

ผมเจ็บ

ไม่ใช่ที่ร่างกาย

แต่เป็นหัวใจผม

ที่มันเจ็บ

ที่พี่เห็นผมเป็นเพียงแค่เครื่องระบาย

ที่ไม่เคยพอสำหรับตัวพี่

เคยอ่านแต่ในนิยายที่พระเอกข่มขืนนางเอกจนสลบ ตอนนี้ผมรับรสนั้นด้วยตัวเองแล้ว ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าของอีกวัน

ระบม…
เป็นความรู้สึกเดียวที่รับรู้ได้ในตอนนี้ ผมขยับตัวเบา ๆ ตัวร้าวเป็นไงผมรู้ซึ้งอีกครั้ง มันเจ็บไม่ต่างกับวันแรกที่ผมโดนพี่มันพรากจิ้นไปเลย พี่มันกอดผมไว้ในอ้อมแขนแน่น ผมขยับตัวเพิ่มอีกนิดพี่มันก็สะลึมสะลือตื่นตาม คงเจ็ดโมงแล้ว เพราะเป็นเวลาตื่นนอนของผม

พี่มันเหวี่ยงตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้ ซุกหน้ากับซอกคอผมรุนแรง ฟันคมไล่งับไปทั่วจนผมเจ็บไปหมด

“พอ…”
ผมคิดว่าผมใช้เสียงทั้งหมดที่มีนะ แต่ทำไมมันถึงได้เบาหวิวโรยแรงขนาดนี้ พี่เอกชะงัก หยุดการกระทำก้าวร้าวมามอง
ผมกำลังร้องไห้อีกแล้ว ผมคิดว่าน้ำตาผมมันหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วซะอีก ไปกับการกระทำของพี่เอก ไปกับภาพที่เห็น
ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้ คงเป็นตอนที่พ่อเลิกกับแม่ พ่อหอบเสื้อผ้าเดินทางออกจากบ้านไป ผมจำได้ว่าร้องไห้หนักมาก ร้องไปเป็นวันเลย ผมเลยสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ร้องอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะเข้มแข็ง

แต่แล้วเมื่อวาน ผมกลับร้องไห้ขึ้นมาดื้อ ๆ ร้องทั้ง ๆ ที่ไม่อยากร้อง ร้องไปกับภาพที่เห็น

ผมยืนมองคนสองคนจูบกันอยู่นาน ไม่ได้อยากมอง แต่ขามันแข็งจนก้าวไม่ออก จนพี่เอกมันเงยหน้าขึ้นมาเห็น ผมถึงตั้งสติได้ ผมพยายามระงับก้อนอะไรบางอย่างที่คั่งค้างอยู่ที่อก ก้าวช้า ๆ ไปยื่นกระดาษงานให้

ผมไม่น่ารับหน้าที่นี้เลย อุตส่าห์ดีใจ เพราะจะได้เจอพี่เอกอีกครั้ง แต่ผมเสียใจ เมื่อสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

พี่มันไม่สำนึกอะไร ถามกลับผมด้วยน้ำเสียงธรรมดา ผมหันหลังพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย น้ำตาที่ผมไม่คิดจะให้พี่มันได้เห็น ผมไปยืนหลบอยู่หลังกำแพงตรงบันได

หันกลับไปมองอีกที เพื่อจะได้เห็นว่าพี่มันจูบกับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง แล้วก็พากันเดินเข้าห้องไป ผมได้แต่ยิ้มกับตัวเอง

ก็รู้ ๆ กันอยู่ ว่าตัวเองคงไม่ได้เป็นคู่นอนเพียงคนเดียวของพี่มัน

ผมจับจี้ที่คอผมแน่น มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่เอกทำให้ผม หรือพี่มันจะทำสิ่งนี้ให้กับคู่นอนทุกคน

‘You're mine’
แล้วคำคำนี้ พี่แกมีไว้ให้ผมคนเดียว หรือมีไว้ให้ใครหลาย ๆ คน ผมไม่รู้ ผมเดินไร้แรงลงมาจากตึก จนพี่โอ๊คเข้ามาทักด้วยความตกใจที่เห็นผมเดินร้องไห้ลงมา พี่มันพยายามปลอบใหญ่ ผมก็ได้แต่ยืนร้องไห้ไปเงียบ ๆ ให้พี่มันปลอบ

ผมไม่ได้สะอื้น ไม่ได้ปล่อยโฮ ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา แค่ปล่อยให้น้ำในดวงตาไหลรินลงมาเฉย ๆ เหมือนกับเปิดก็อกให้น้ำมันไหล ชำระล้างความเสียใจให้หายไป

พี่โอ๊คพยายามเช็ดน้ำตาให้ผมตลอด ผมปล่อยให้พี่แกเช็ดไปเรื่อย ๆ จนถึงร้าน ผมถึงได้เรียกสติตัวเองกลับมา และดึงน้ำตากลับเข้าไปภายใน พี่โอ๊คนั่งรอเป็นเพื่อน และอาสาจะพากลับ ผมไม่ว่าอะไร สวมหน้ากากที่พ่อเคยให้เอาไว้

หน้ากากแห่งความอดทน

พ่อบอกว่า ถ้าอ่อนแอมาก ๆ และอยากจะเข้มแข็งแต่มันทำไม่ได้ ก็ให้หยิบหน้ากากนี้ขึ้นมาสวม และคิดว่าตัวเราไม่ใช่ตัวเรา ให้เวลามันผ่านไป แล้วค่อยถอดหน้ากากออก

ตอนแรกผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมรู้ความหมายที่พ่อต้องการจะสื่อแล้ว วันนี้ผมหยิบหน้ากากอันนั้นมาสวมและทำงานไปเรื่อย ๆ จนครบสองชั่วโมง

พอเลิกงาน พี่โอ๊คก็พาผมกลับ พี่แกถามผมตอนเข้าบ้านว่าไหวไหม

เพียงคำถามเดียว หน้ากากที่ผมสวมมาตลอดสองชั่วโมงถูกกะเทาะออก ผมร้องไห้อีกครั้ง โดยมีพี่โอ๊คยืนโอบผมเอาไว้ ให้อกกว้าง ๆ เป็นที่พักพิง ลูบหัวปลอบประโลม ไล้น้ำตาที่ไหลไม่หยุดออกไป

พี่แกไม่ถามถึงสาเหตุที่ทำให้ผมร้องไห้แม้แต่นิดเดียว สิ่งที่แกทำ คือเฝ้าปลอบใจผม จนผมดีขึ้น

ผมขอเวลาอยู่คนเดียว ผมต้องการกำจัดความรู้สึกแย่ ๆ นี้ทิ้งไป

ผมต้องการมีความสุข เพราะงั้น ผมต้องขอเวลาเพื่อเขี่ยความทุกข์ทิ้งไปก่อน พี่โอ๊คเข้าใจ แม้จะเป็นห่วง แต่ก็ยินยอมที่จะจากไป

แต่ทันทีที่ผมเปิดประตู ต้นเหตุแห่งความทุกข์ของผม ก็มายืนอยู่ตรงนี้

ตามมาอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่ด้านหลังผม ใช้ปลายมีดกรีดแทงผมผ่านสายตาคมเข้ม ผ่านคำพูดเยือกเย็น กรีดแทงลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ผมดับสลายลง แล้วใช้เรือนร่างสูงใหญ่นั้น เป็นดั่งก้อนหินทับถมลงมาสร้างความปวดร้าวให้ผมตลอดทั้งค่ำคืน
ผมมองคนที่ชะงักเพราะเห็นน้ำตาที่กำลังไหลพรากของผม ผมกัดฟันเม้มปากแน่น หลุบเปลือกตาลงต่ำหนีดวงตาที่กำลังสับสนนั้น

ผมไม่สน ผมไม่แคร์ คนที่ไม่คิดจะแคร์ผม และเห็นร่างกายนี้เป็นเพียงแค่เครื่องระบายอารมณ์อีกต่อไป

“ไป…”
ผมพูดเสียงเบา
“ออกไป..."
ผสมพร่าเลือน แรงกดที่ข้อมือผมเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก ผมช้อนตามอง

ดวงตาคมที่กำลังสับสนเมื่อกี้แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ผมหลุบเปลือกตาลง ปิดแน่นเพื่อกรีดน้ำตาออกไปให้หมด

“ออกไป”
ผมบอกอีกครั้ง

“ไอ้โอ๊คมันมีดีอะไร”
พี่มันถามกลับเสียงเครียด ผมช้อนตามอง เห็นพี่มันบดกรามแน่น จ้องตาผมเขม็ง

แล้วพี่โอ๊คมาเกี่ยวอะไรด้วย

“ปล่อย”

“พี่ถามว่าไอ้โอ๊คมันมีดีอะไร!!”
พี่มันตะคอกถามจนผมสะดุ้ง น้ำตาผมไหลพรากลงมาอีกครั้ง

“พี่เอก…”
ผมครางเรียกเสียงแผ่ว
“ปล่อย...”
ร้องขอด้วยน้ำเสียงแหบพร่ายิ่งกว่าเดิม

“กาย!!”
พี่มันตะโกนเสียงดัง ซุกหน้ากับซอกคอผมอีกครั้ง
“นายเป็นของพี่นะกาย ของพี่!!”

“ผมไม่ได้เป็นของพี่!!”
ผมตะโกนกลับ ใบหน้าที่ซุกอยู่เงยขึ้นมามองด้วยความไม่พอใจ

“นายเป็นของพี่!!”
พี่มันกระชากเสียงกลับ

“แต่พี่ไม่ได้เป็นของผม…”
ผมหยุดเสียงตัวเองไปนาน
“...เพียงคนเดียว”
ก่อนคำพูดสุดท้ายจะหลุดออกมาตาม แต่มันก็แผ่วเอามาก ๆ จนผมไม่แน่ใจว่าพี่เอกจะได้ยินไหม ผมกลืนน้ำลายในคอเบา ๆ

“ปล่อยผมได้แล้ว ปล่อยผมไป พอแล้วพี่เอก ปล่อยผมไปเถอะ พี่มีคนคอยอยู่เคียงข้างพี่ตั้งเยอะ ผมไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น”
ผมบอกไป แม้น้ำเสียงจะแหบแห้งและโรยแรงแล้วก็ตาม พี่มันจ้องผมกลับ

ม่านน้ำที่กำลังไหลหล่นในดวงตาผม ทำให้ใบหน้าพี่เอกพร่าเลือนไปชั่วขณะ

อยากเช็ดมันออก อยากกำจัดมันทิ้งไป

สัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ

แต่ตอนนี้…

สองแขนผมถูกกดไว้

มือยังไร้อิสระ

เช็ดก็ไม่ได้…หยุดร้องก็ไม่ได้ ไม่มีพี่โอ๊คอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครมาช่วยเช็ด ผมเลยได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงอยู่อย่างนั้นเป็นทาง
ผมมองไม่เห็นพี่เอกแล้ว ภาพตรงหน้ามันขาวโพลนไปหมด

แต่แล้วอยู่ ๆ แขนผมข้างหนึ่งก็รู้สึกเบาหวิว แรงกดหนักเมื่อกี้หายไปแล้ว ก่อนจะรู้สึกว่านิ้วของใครบางคนกำลังเช็ดน้ำตาออกให้เบา ๆ ผมกะพริบตาไล่หยาดน้ำอีกเม็ดทิ้งไป ใบหน้าคมเข้มหลังม่านน้ำขาว ๆ แลดูอ่อนโยนจนน่าแปลกใจ

“พี่ไม่ได้นอนกับผู้หญิงคนนั้นนะกาย”
พี่มันพูดแค่นั้น ผมกะพริบตามองอีกที

ไม่ได้นอนได้ไง เห็นลากเข้าห้องกันขนาดนั้น

“ไม่จำเป็นต้องโกหกผมหรอก”

“พี่ไม่ได้นอนกับเขา พี่แค่ลากเขาเข้าห้องหวังทำ แต่พี่ทำไม่ได้”
พี่มันก้มจูบซับน้ำตาข้างซ้ายที่กำลังไหลรินของผม

“เพราะในหัวพี่มีแต่ภาพของกาย”
ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองคนตรงหน้า

“พี่จะไปนอนกับใครได้ล่ะตอนนี้”
พี่มันเลื่อนไปจูบซับที่น้ำตาอีกข้าง

“เพราะเวลาจะนอนกับใคร ก็เห็นคนคนนั้นเป็นนายไปซะหมด”
พี่มันยกหน้าขึ้นมามองตาผม

หา!!

เป็นกูเนี่ยนะ?

เห็นพวกผู้หญิงไซส์ 36 เป็นอกแบน ๆ เนี่ยนะ!!

“ถึงจะมีนมใหญ่ ๆ มาลอยอยู่ตรงหน้า แต่ภาพที่พี่คิดถึง มีแค่หัวนมเม็ดเล็ก ๆ เท่าเม็ดองุ่นนี้เท่านั้น”
คำพูดมาพร้อมกับการกระทำ พี่เอกก้มกัดหัวนมผมเบา ๆ จนผมผวาเฮือก

มึงไม่ต้องสาธิตเสมือนจริงขนาดนี้ก็ได้

“พอสัมผัสใคร ก็จะนึกถึงแต่เรือนร่างนี้”
คำพูดมาพร้อมกับการกระทำอีกแล้ว พี่เอกลูบมือผ่านร่องเอวผมเบา ๆ ไปที่ข้างสะโพก บีบแรงที่แก้มก้นจนผมผวาเฮือก เผลอหลับตาลงด้วยความวาบหวาม

เฮ้ย! กูไม่ได้อ่อนไหวนะ

กูแค่ชินมือ!

ผมปรือตามองคนหื่นตรงหน้า

“พอจูบกับใคร…”
พี่มันหยุดนิ่ง จ้องมาที่ปากผม จนผมต้องเม้มแน่นเพื่อหลบหนี ก่อนคลายออกมาเลียมันเบา ๆ เพราะความเมื่อย

“พี่ก็นึกถึงแต่รสจูบของกาย”
แล้วพี่มันก็ก้มจูบผมอีกทีเบา ๆ และโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนผมครางสะท้าน วาบหวิวจนครางหนักตามมา

พี่มันดึงหน้าขึ้นมาจ้องตาผมอีกครั้ง

“พอฟังเสียงใครคราง แต่ในหัวพี่ กลับจำได้แค่เสียงครางของนายเพียงคนเดียว”

กูว่ามึงอาการหนักแล้วนะ

ผมนอนนิ่งครับ ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป นอกจากกะพริบตาแสดงความปัญญาอ่อนของตัวเองออกมา

“พี่บอกความรู้สึกของพี่ตรง ๆ ไม่ได้นะกาย แต่ตอนนี้ในหัวพี่มีแต่เรื่องของนาย…เรือนร่างของนาย...และเสียงของนาย”

เอ่อ ให้กูพาไปหาจิตแพทย์ไหม มึงเข้าขั้นโรคจิตแล้วนะ

“และพี่ไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องนายด้วย”
พี่มันพูดเนิบ ๆ เคลื่อนมือที่กำลังยุบยับร่างกายผมมาเล่นบทโหดของป๋าพิศาลต่อ สองมือใหญ่กดต้นแขนผมแน่น สายตาที่เคยนุ่มนวลเมื่อกี้ แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงร้อน

“แต่นายกลับยอมยกร่างกายนี้ให้คนอื่นง่าย ๆ”

“ผมเปล่า”
ผมปฏิเสธทันที พี่มันส่งสายตาด่าทอ

“แล้วที่พี่เห็นล่ะ คืออะไร”

ผมงงครับ

“แล้วพี่เห็นอะไร”
ผมถามกลับ

กูจะได้ตอบมึงถูก

“เห็นไอ้โอ๊คมันกอดนายที่มหา’ลัย”

“นั่นเพราะผมกำลังร้องไห้ พี่โอ๊คเขาเลยปลอบ”

พี่มันนิ่งไป

“แล้วบนรถตอนติดไฟแดงอีก”

ผมพยายามนึก ตอนไหนวะ ถ้าใกล้สุดก็คงเป็นตอนพี่โอ๊คเช็ดน้ำตาให้ผม

“พี่โอ๊ค คงกำลังเช็ดน้ำตาให้ผมอยู่”
เพราะตอนนั้นใกล้ที่สุดแล้ว แรงบีบที่มือผมหนักขึ้นไปอีก

มันจะโมโหอะไรเนี่ย!

ก่อนจะคลายออกเมื่อผมเบ้หน้าแสดงความเจ็บปวด

“ไหนจะให้มันมานั่งมองตาเยิ้มในร้านกาแฟอีก”

“นั่นเพราะพี่เขาเป็นห่วงผม เลยอาสาจะมาส่งตอนผมเลิกงาน”

“แล้วหายเข้ามาในบ้านกันตั้งนานสองนาน”

“เพราะผมร้องไห้อีกครั้ง จนพี่เขาต้องคอยปลอบไง”
ผมหลุบเปลือกตาลงต่ำ

สรุป กูมีแต่ร้องไห้กับร้องไห้ใช่ไหมเนี่ย ทำตัวแต๋วแตกไปได้

แต่เดี๋ยวนะ…

มึงเห็นกูตั้งแต่กูลงมาจากชั้นบน

งั้นพี่มันก็ไม่ได้จึกอะดึ๋ยกับผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ เพราะจำได้ว่าไม่กี่นาทีเอง คนอย่างพี่เอก ถ้าคิดจะเอาใคร คงไม่ได้เอาแค่สิบนาทีแน่ ๆ (ถ้าสิบชั่วโมง น่าเชื่อถือกว่าอีก)

แอบดีใจครับ

แต่เดี๋ยวนะ…

พี่มันเห็นพี่โอ๊คเช็ดน้ำตาให้ผมในรถ…

งั้นก็แปลว่า พี่มันก็ขับรถตามมาตลอดน่ะสิ

โรคจิตได้อีก
คิดในแง่ร้ายไว้ครับ แต่แอบดีใจหน่อย ๆ โดนพี่เอกตามเชียวนะ

แต่เดี๋ยวนะ…

พี่มันเห็นพี่โอ๊คมานั่งมองผมตาเยิ้ม (จริง ๆ มองธรรมดานั่นแหละ พี่แกคิดไปเองมากกว่า) แล้วพี่เอกมองมาจากมุมไหน ในร้านก็ไม่เห็นมี หรือว่าพี่มันจะแอบมองผมจากมุมอื่น

โรคจิตได้อีก (แต่ดีใจอีกแล้วครับ)

ขอเดี๋ยวอีกรอบนะ…

พี่มันเห็นพี่โอ๊คหายเข้ามาในบ้าน แล้วพี่มันก็ตามผมมาตอนพี่โอ๊คกลับไปพอดิบพอดี

สรุป…

พี่มันตามผมมาตลอดทางงั้นเหรอ

“พี่ตามผมมา”
ผมถามหลังจากตั้งสติได้ พี่มันชะงัก

สรุป…
มึงเองก็เพิ่งรู้ตัวใช่ไหม ว่าตามกูมา

“ใช่”
แล้วมันก็ยอมรับง่าย ๆ

มึง เล่นตัวหน่อยก็ได้ เถรตรงไปไหน

“โรคจิต”
โอ้ ปากมึงหนอ ไอ้กาย

เห็นพี่มันกระตุกยิ้มมุมปาก ประหนึ่งยอมรับข้อกล่าวหานั้น มันทำหน้าเหี้ยม ก้มมาจนเกือบชิด ตวัดปลายลิ้นบ่งบอกความจิตออกมาเต็ม ๆ

ผมชักเริ่มหวาด ๆ แล้วครับ หรือว่าพี่เอกจะเป็นโรคจิตจริง ๆ

“สรุป นายไม่ได้มีอะไรกับใคร”

“มี”
ผมตอบสั้น ๆ แรงกดหนักที่แขนแรงขึ้นจนผมเบ้หน้า ดวงตาคมที่ทอแสงอ่อนลงเมื่อกี้ โหมเพลิงขึ้นมาใหม่

มึงขี้โมโหไปไหม เดี๋ยวก็เป็นความดันหรอก

“ใคร!!!”
พี่มันกระชากถามเสียงเข้ม ผมเม้มปากแน่น อดทนต่อความเจ็บที่กดมา

มึงนี่โรคจิตเห็น ๆ

ซาดิสม์ ขี้หึง ขี้โมโห ขี้ตู่ ขี้หกเบ้ ๆ (อันหลังไม่เกี่ยวล่ะ = =)

“เจ็บ…”
ผมครางห้าม แต่พี่มันกลับบีบแขนผมแรงยิ่งกว่าเดิม

“ใคร!!”
พี่มันกระชากถามอีกที ผมกัดฟันมองตาเพื่อวอนขอความเห็นใจ

“ก็โรคจิตที่ให้สร้อยเส้นนี้กับผมมาไง”
พี่มันชะงักครับ ชะงักไปนาน ก่อนคลี่ยิ้มราวเทพบุตรที่ทำเอาผมขนลุกซู่

“งั้นก็พี่น่ะสินะ”
พี่มันกระซิบบอก ก้มลงมางับคอผมเบา ๆ

“มีเรียนช่วงบ่ายใช่ไหม”
พี่มันถาม

“งั้นเวลาที่เหลือ โรคจิตจะได้ใช้ให้คุ้ม”
แต่ไม่คิดจะเอาคำตอบจากผมเลยสักนิด

ครับ แล้วผมก็ถูกโรคจิตฟัดจนเยิน

เกิดมาเป็นไอ้กาย กูล่ะกลุ้ม

*** ***
อ่านไปอมยิ้มไป(แก้มตุ่ย) พี่เอกนี่นอกจากจะหื่นแล้วยังเป็นโรคจิตอีก คึก ๆ
โดยส่วนตัวแล้วชอบพระเอกนิสัยเสียนะมันเร้าใจให้ความรู้สึกแบบพี่พิศาล ตบจูบ ตบกัด ตบฟัดไรงี้
ขอบคุณเข้ามาอ่านนะคะ ดีใจ :impress2:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [42]
นี่เมียกู!!
[เอก...☼]


สรุป 
คนที่ทำมันร้องไห้…ก็คือผม

คนที่ทำมันเสียใจ…ก็คือผม

และคนที่ได้ครอบครองมันไว้

ก็คือผม…เพียงคนเดียว

ดีใจครับ

แต่ผมเสียใจที่ทำมันเจ็บ(หลายรอบแล้วนะเนี่ย) สาเหตุมาจากความหึงหวงของผมทั้งนั้น นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ ถ้าเป็นแฟนกันจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมา ผมจะขี้หึงขนาดไหน

ตั้งแต่จบรักครั้งแรกไป ผมก็ไม่คิดจะคบใครจริงจังอีก เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพวกขี้หึงสุด ๆ ขนาดนี้

โรคจิตก็เท่านั้น

ขี้โมโหอีกต่างหาก

หื่นก็ได้โล่

นี่ตกลงมันเห็นทุกรูขุมขนของความเลวของผมหมดเลยนี่หว่า

ผมจูบซับหน้าผากมันอีกรอบ ตอนใส่จังหวะให้ร่างกายช้า ๆ ลมหายใจผมยังหอบกระชั้น เหน็ดเหนื่อยราวกับคนวิ่งมาราธอนมาแสนไกล แม้แอร์ภายในจะเย็นฉ่ำ แต่ร่างกายกลับชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ

หยดน้ำเม็ดแล้วเม็ดเล่าจากตัวผม ไหลร่วงใส่แผ่นหลังขาวเนียนเหมาะแหมะจนตัวเปียก

มันมีเสน่ห์ครับ มีเสน่ห์จนผมอยากกินไม่รู้จักอิ่ม

ผมกลายเป็นพวกตัณหาจัดไปแล้ว

“พอ…พี่เอก”
มันครางห้ามเป็นครั้งที่ล้านได้ แต่ผมก็ไม่คิดจะหยุด เพราะหลังจากมันครางห้าม มันก็จะเปลี่ยนเป็นครางหวาน แล้วบีบแขนผมแน่นบ่งบอกความเสียวซ่านจากรสรักที่ผมเฝ้าประเคนให้

เทคนิคไหนที่ว่าเด็ด ๆ จุดไหนที่ว่าเจ๋ง ๆ ผมงัดมาใช้หมด มีร้อยผมให้พัน มีหมื่นผมให้แสน อยากทำให้มันมีความสุข สมกับที่ต้องอดทนมารองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของผม

มันครางสะท้านร่างกระตุกเกร็ง เมื่อผมนำพามันไปถึงปลายทางครั้งสุดท้าย

พอแล้วครับ ไม่อยากให้มันสลบไปอีกรอบ

“กาย นายเป็นของพี่นะ”
ผมพลิกมันหันมาเผชิญหน้า กระซิบบางคำ แทนอีกคำที่ผมยังไม่พร้อมจะบอก

เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ จะรีบบอกมันแล้วกัน

มันตาปรือ ทำท่าจะหลับ ผมยิ้ม ถอนร่างตัวเองออก อุ้มมันเดินเข้าห้องน้ำไป 

บริการหน่อย ใช้คุ้มแล้วนี่

“กายเป็นเมียพี่แล้วนะ ห้ามให้ใครมาแตะร่างกายนี้เด็ดขาด”
ผมกระซิบข้างหู มันเบิกตากว้าง ผมอมยิ้ม กอดมันไว้ แล้วอาบน้ำให้อย่างดี

มันขืนครับ คงอาย แต่ผมอะด้าน

แล้วเราก็มานั่งกินข้าวเที่ยงกันในบ้านของมันนั่นแหละ ผมลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ไหว เพิ่งรู้ว่าวันนี้มันไม่มีเรียน (ปกติมี แต่วันนี้ไม่ต้องเข้า เพราะอาจารย์ไม่เช็คชื่อ) แล้วมันจะไปทำงานเพื่อชดเชยเวลาที่มันลาไปเมื่อวาน

“ไหวแน่เหรอ”
ผมถามด้วยความเป็นห่วง คือถ้าเรียน มันแค่นั่งเฉย ๆ ผมถึงได้เล่นมันเต็มที่ แต่ถ้าทำงาน มันต้องเดิน แล้วสภาพเดี้ยง ๆ แบบนี้จะไหวไหมนี่

“ไหวไม่ไหวก็ต้องไหว” มันพูดเสียงแหบ

“แล้วทำไมไม่บอกพี่”
มันตวัดสายตาค้อนผมยกใหญ่

“แล้วพี่ฟังผมรึไง” มันเริ่มบ่นครับ

อย่านะ!!

อย่าเป็นเหมือนคุณแม่นะ

แล้วมันก็เงียบไป สงสัยมันจะอ่านใจผมได้

ผมไม่ชอบผู้หญิงขี้บ่นครับ ฟังแล้วเบื่อ จะรีบทิ้งทันที

มันเงียบลง ก้มหน้ากินเอากินเอา ไม่พูดอะไรต่อเลยแม้แต่คำเดียว

ผมนั่งรอมันบ่นต่ออยู่

เฮ้ย!! ต่อว่ากูอีกสักหน่อยก็ได้(เอาไงแน่วะกู) กูเลวนะเว้ยเฮ้ย ทำมึงเจ็บ ทำมึงเสียงาน ทำมึงหิวข้าวด้วย

“นี่ ไม่คิดจะต่อว่าพี่อีกหน่อยรึไง”
ผมให้สิทธิ์ มันช้อนตามอง

“ด่าไปก็เท่านั้น ผมไม่ชอบด่าใคร”
แล้วมันก็เงียบไปอีก

แม่ะ ดีวุ้ย งี้อยู่ด้วยกันได้

แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมไม่ชอบพวกขี้บ่น หรือมันอ่านใจผมออก

“ไม่อยากนิสัยเหมือนแม่” แล้วมันก็เฉลยโดยที่ผมไม่ต้องถาม “มีเมียแบบนี้ คงอยากทิ้งวันละหลาย ๆ รอบ”
ผมยิ้มแก้มบานเลย

“ยิ้มอะไร” มันถาม

“ยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าเป็นเมียพี่”
ชะงักเลยครับ ช้อนมันชะงักค้างกลางอากาศ จ้องหน้าผมเขม็ง แล้วแก้มมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสี 

โห น่ารักมากเลยเหอะน้อง

กูเคยเห็นแต่ผู้หญิงอาย เพิ่งเห็นผู้ชายอายก็ตอนนี้แหละ

จริง ๆ ผมไม่ใช่พวกชอบแกล้ง แต่เวลาแกล้งมันแล้ว สนุกดีครับ หน้ามันจะแดง พูดไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูก น่ารักดี

แล้วมันก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ ไม่พูดอะไรเลย

หรือไม่ มันก็เถียงไม่ออก
 
ผมขับรถไปส่งไอ้ตัวเล็กที่ร้าน โทรไปบอกไอ้เป้ว่าไม่เข้าเรียน มันจะตามมาอีกทีหลังจากจบคลาส ผมไปนั่งรอมันที่โต๊ะเดียวกันกับที่ไอ้โอ๊คมันนั่งรอเมื่อวานนั่นแหละ

นี่ ๆ นั่งทับที่มันซะเลย ฉี่ได้ฉี่ไปแล้ว ประกาศถิ่นครับ ถิ่นใครถิ่นมัน

ตัวนี้เมียกู ใครอย่าแตะ

แง่งงง!!!

ตอนนี้ผมนั่งกอดอก แยกเขี้ยวแง่ง ๆ ใส่ตัวผู้ทุกตัวที่เหล่ไอ้ตัวเล็ก

พอประกาศว่ามันเป็นเมีย(แม้จะไม่ใช่แฟน – เอ๊ะ ยังไง) ผมก็ยิ่งแผ่รังสีหมาหวงก้างมากขึ้นไปอีก

แต่ตอนนี้สงสารมันครับ เห็นมันเดินด้วยท่าทางเจ็บ ๆ กูก็ล่อมันซะระบมตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นไหวก็บุญแล้ว ผมเลยเดินไปที่เคาน์เตอร์ แล้วขอคุยกับผู้จัดการ วันนี้พนักงานน้อยครับ จะให้มันหยุดก็ไม่ได้

สรุป ผมเลยขอทำด้วย แล้วให้มันพัก บอกไปว่ามันไม่สบาย

“แหม ได้กายมาช่วยนี่ดีนะ เดี๋ยวคนนู้นคนนี้อาสามาช่วย เยอะแยะเลย”

ผมขมวดคิ้ว

“ใครครับ”

ผู้จัดการทำท่าคิด

“ก็มีคุณพัฒน์”

อ๋อ พ่อมัน

“คุณชรินทร์”

อ้าว เฮ้ย!! มาได้ไง

“แล้วก็อีกคนที่อาสาจะช่วย แต่พอดีกายเขาห้ามไว้ เลยไม่ได้ช่วย”

“ใครครับ”

กูถามเป็นคำถามเดียวรึไง

“คุณโอ๊คน่ะ”

ผมกำหมัดแน่น

ตัวผู้เป็นแพเชียว

พวกมึงคิดจะแย่งคนของกู…รอไปก่อนเหอะ

“กายเขาเป็นที่รักของคนอื่นน่ะ”
ผมบอกผู้จัดการไปงั้น

แต่มันเป็นคนของกูโว้ย!!
ก่อนประกาศกร้าวบอกทุกคนทั่วหล้าในใจ

“อืม อันนั้นเห็นด้วย งั้นฝากคุณด้วยนะ วันนี้เขาหน้าซีดกว่าเมื่อวานอีก คงไม่สบายจริง ๆ”
คุยกันง่ายครับผู้จัดการคนนี้ ผมเลยระหกไปห้องแต่งตัว เอาชุดของไอ้เป้มาใส่ หุ่นมันเท่า ๆ กับผม(แต่ผมตัวสูงกว่ามันห้าหกเซ็น)

พอไอ้ตัวเล็กมันเห็นผมในชุดพนักงานเสิร์ฟ มันมองผมอึ้ง ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

หล่อใช่ไหมน้อง

แล้วมันก็หน้าแดง เสมองไปทางอื่น

เออ…วุ้ย

อายได้น่ารักเป็นบ้า

งั้นวันนี้ กูจะทำตัวหล่อลากไส้ ให้มึงหลงกูจนโงหัวไม่ขึ้น ยกเว้นตอนก้มหน้าลงไปครางหวานอย่างเดียวอะนะ

อกุศลได้อีกกู

มันไม่ยอมพักครับ ดื้อยังไงก็ดื้ออย่างนั้น แต่ผมไม่ปล่อยโอกาสให้มันได้ทำงานหรอก

พอลูกค้ามา ผมก็รีบเดินนำหน้าหล่อ ๆ ไปรับออเดอร์แทน พอมันจะเดินไปรับของที่เคาเตอร์ ผมก็เดินตัดหน้าไปรับของมาเสิร์ฟแทน พอมันทำท่าจะค้าน ผมก็แค่ชี้หน้า แล้วมันก็ต้องหุบปากลง 

เอ้อ มึงหุบไปเลย อ้าตอนอมของกูก็พอ

รู้สึกผมจะหื่นไปไหม?

ผมคิดว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ดีนะ ลูกค้าเยอะขึ้นทันตาเห็น (เพราะอะไรวะ) และดูจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ และที่แปลกไปกว่านั้น

พวกนั้นกำลังถ่ายรูปผมอยู่

แล้วก็พากันกรี๊ด กรี๊ดแบบจริง ๆ จัง ๆ ด้วย กรี๊ดเหมือนเห็นพวกดาราเกาหลี แล้วจำนวนคนในร้านก็แน่นขึ้นจนผู้จัดการร้านต้องโทรเรียกสมุนทั้งหลายที่หยุด ๆ กันไปให้มาช่วย

พวกน้อง ๆ ยังกรี๊ดกันไม่หยุด แล้วน้องคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า

“หนูรู้ว่าไม่อยากให้รบกวนเวลาส่วนตัว แต่ไม่ไหวแล้ว พี่เอกคะ ขอลายเซ็นหน่อย”
น้องยื่นกระดาษสีชมพูหวานแหววมีรูปหัวใจประปรายมาให้พร้อมปากกาแลนเซอร์แท่งละห้าบาท ผมมองงง ๆ

“ผมว่าอย่าดีกว่า ผมเป็นแค่พนักงานร้านกาแฟธรรมดา”

“กรี๊ดดดดด”

โอ๊ย!! กูเบื่อเสียงกรี๊ดพวกนี้จริงเชียว

“อ๊ะ! พี่กาย พี่คือพี่กายใช่ไหมคะ หนูขอลายเซ็นด้วย”

อ้าว เฮ้ย ๆ!! อย่ายุ่งกับคนของกู ออโต้ครับ พวกผู้หญิงทำท่าจะเข้ามาหากาย ผมกลัวมันเจ็บ เลยโอบตัวมันไว้ เหวี่ยงหนีไปอีกทาง

“กรี๊ดดดดดดดดดด”
คราวนี้เสียงกรี๊ดกระหึ่มยิ่งกว่าเดิม

เอ่อ กูว่ามันไม่ปกติละ

ผมกับกายมองหน้ากัน

“ไม่ทราบว่ามากรี๊ด ๆ พวกพี่กันทำไม”
ผมถามตรง ๆ

ยืมมาดของท่านประธานใหญ่มาใช้ครับ

“ก็พวกหนูเป็นแฟนคลับบอร์ด ‘GooGuy’ น่ะค่ะ”

งงครับ มันคืออะไร ผมทำหน้างง ๆ แต่คนข้าง ๆ ผมทำหน้าอึ้ง ๆ

อะไรคือกูกายกันวะ

ไอ้ตัวเล็กข้างผมยิ้มแหะ ๆ โค้งขอโทษทุกคนแล้วลากผมไปหลังร้าน ตอนนี้คนอื่น ๆ ถูกเรียกมากันแล้ว ไอ้เป้กับไอ้เต้ยก็มาแล้วเหมือนกัน พวกมันพากันตกใจน่าดูที่เห็นจำนวนคนมากมายขนาดนี้

“ขอโทษฮะ”
มันยกมือขึ้นพนมมือจรดหน้าผากค้างไว้กลางอากาศ

“เรื่องอะไร”

“ก็ความวุ่นวายข้างนอก”

ผมเลิกคิ้วงงเต็ก

“พี่จำได้ไหมเรื่องบอร์ดที่ผมบอก”

ผมระลึกอยู่ชาติเศษก่อนถึงบางยี่ขัน(บางอ้อมันเชยไปแล้ว)

“ทำไม”

“ก็คงเพราะภาพนั้นแหละ ผมเห็นจำนวนแฟนเพจกับแฟนคลับเยอะผิดหูผิดตา แต่ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ประกาศเตือนทุกคนว่าห้ามยุ่งกับคนในภาพเด็ดขาด ไม่งั้นจะลบทุกภาพทิ้ง”
มันยิ้มแหะ ๆ ผมจ้องหน้ามันเขม็ง

จริง ๆ ก็ความผิดผมด้วยที่ยอมให้มันลง ผมไม่รู้ว่าภาพมันก๊อปปี้หรืออันก๊อปปี้ แต่เมื่อลงเน็ต ก็มีพวกที่ใช้เทคนิคนำภาพไปต่อยอดได้เหมือนกัน (ผมก็เคยทำเป็นบางครั้ง ง่ายจะตาย)

“จริง ๆ ผมล็อกภาพไว้แล้ว แต่คงมีบางคนก๊อปไปลงที่อื่นด้วย”

มันยิ้มหน้าเสีย ผมถอนใจแรง มันทำหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม

จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก ถ้ามันไม่ถึงที่สุดน่ะนะ ชื่อเสียงมีได้มันก็หายได้ ดังไม่นานคนก็ลืม ถ้าไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหายน่ะนะ

ผมอมยิ้มจ้องหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของมัน

“พี่เคยบอกว่าไง”

มันเงยหน้ามอง แล้วก็คงงงกับคำผม

“พี่บอกว่า พี่จะถูกผู้คนใช้สายตาโลมเลีย มันเสียหาย และตอนนี้ พวกเขาตามติดพี่มาถึงตัว เสียหายยิ่งกว่าเดิม”

มันหน้าซีดครับ ซีดแบบซีดเผือด คงไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองจะสร้างความลำบากใจให้ผมขนาดนี้

“จ่ายค่าตัวพี่มา”

มันทำหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม

“ขอโทษครับ ผมจะลบทุกภาพออก แต่ถ้าพี่จะเอาค่าเสียหายจริง ๆ ก็อย่าคิดแพงนะฮะ ผมจะรีบหาเงินมาจ่ายให้”
มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ซื่อหรือบื้อวะ

ผมกระเถิบไปยืนตรงหน้ามัน ก้มลงจนปากชิดใบหู

“ไม่แพงหรอก”

มันเงยหน้ามอง

“แค่ตัวนายทั้งตัว”

ครับแค่นั้นแหละ

ผมจูบมันเบา ๆ ที หันหลังเดินอารมณ์ดีจากมา

ได้แล้วครับ ได้ข้ออ้างอีกข้อ ในการยึดมันไว้แล้ว

ปล่อยให้คนอื่นได้โลมเลียผมทางสายตา แต่ผมได้กินไอ้กายมันทั้งตัว โดยที่มันจะปฏิเสธอะไรผมไม่ได้เลย

ฮ่า ๆ ๆ ผมเลวได้อีก

จริงไหม?

*** ***
TBC..
จะมีพระเอกคนใด กะล่อนได้โล่เท่าพระเอกคนนี้ได้อีก?

สอบถามจ้าา ใครรู้วิธีลงนิยายแบบถูกต้องในเล้าแนะนำทีค่าา แล้วทำไงให้ขึ้นสถานะที่หน้าหลักว่า "New" คนอื่นอัพเดทขึ้น new หมดของข้าน้อยไม่มีอยู่คนเดียว รู้สึกเหมือนจะลงผิดวิธีไรงี้แหละ รบกวนด้วย ขอบคุณค่ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2015 20:43:07 โดย memew »

ออฟไลน์ ลูกสมุนตัวเอฟ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ sodawan1

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love : 43
พี่เอก.. พี่เอก.. พี่เอก       
 กาย....♥

ในโลกนี้จะมีใครเจ้าเล่ห์ไปกว่าผู้ชายที่กำลังกระซิบข้างหูผมตอนนี้อีกไหมครับ

ขี้หึง โหด หื่น หน้าด้าน เจ้าชู้ ขี้โมโห ขี้ตู่

ผมขอเพิ่ม ‘เจ้าเล่ห์‘ เข้าไปอีกข้อ

แต่ผมทำอะไรไม่ได้ครับ แพ้ทางตลอด ตั้งแต่เสียจูบแรกให้พี่มันไปแล้ว

แม่ม

เสียจิตจริง ๆ 


“พี่เอกกกกกกก”
พอออกไปด้านนอก ก็เห็นพวกทโมนพากันวิ่งหน้าตั้งฝ่าวงล้อมสาว ๆ เข้ามาหาพี่มัน พี่เอกก็งงที่เห็นพวกทโมนมาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน

“พอดีพวกแฟนคลับพี่เขาส่งทวิตเตอร์บอกทุกคนน่ะค่ะ ว่าพี่อยู่ที่นี่”
น้องมันเฉลยครับ ผมถึงบางอ้อทันที

งั้นที่ทุกคนแห่มาเพราะทวิตเตอร์ตัวเดียวน่ะสินะ

“พี่กายร้ายอะ ขโมยพี่หนูมา”
น้องทำท่าเง้างอด

กูไม่ได้ขโมย มันมาของมันเอง

“พี่ทำกายเขาเดินแทบไม่ได้น่ะ เลยมาทำงานแทน”
มึงจะจริงใจกับน้องมึงไปไหม โกหกบ้างอะไรบ้าง เห็นแก่หน้าบาง ๆ ของกูหน่อยเหอะ

พวกน้อง ๆ รู้ครับ พากันทำสายตากรุ้มกริ่มเชียว ผมทำเป็นไม่สนใจ รีบเดินเลี่ยงไปทำงานของตัวเองต่อ ต้องเดินเบา ๆ ครับ ยังเจ็บอยู่
สักพัก พวกน้อง ๆ ก็วิ่งไปทางหลังร้าน แล้วก็วิ่งออกมาอีกทีพร้อมผ้ากันเปื้อนลายเดียวกับผมคาดไว้ที่เอว สามสาวในชุดนักเรียนน่ารัก กลายเป็นพนักงานเสิร์ฟชั่วคราวของร้านไปแล้ว

ปกติที่นี่ไม่มีพนักงานเสิร์ฟผู้หญิงหรอกครับ มีแต่ผู้ชาย ส่วนพวกผู้หญิงจะรับหน้าที่อื่นไปทำแทน อย่างพี่อร(อายุเยอะสุด)เป็นแม่บ้านดูแลทำความสะอาดเบื้องหลัง ซักผ้า เก็บกวาดทำความสะอาดรอบ ๆ ร้าน ส่วนพวกโต๊ะเครื่องดื่ม พนักงานเสิร์ฟต้องเป็นคนทำครับ พี่เอกับพี่นุ้ยทำเครื่องดื่ม พี่เนเน่เป็นแคชเชียร์สลับกับพี่โฟน

ลูกค้าเยอะครับ ใครมาของานทำตอนนี้ ผู้จัดการรับหมด พวกน้อง ๆ ก็สนุกกันใหญ่ แต่วิ่งวุ่นกันซะเยอะ จนผมที่ควรจะอยู่นิ่ง ๆ ต้องเดินเจ็บ ๆ ไปดูแลอีกระลอก โดยมีพี่เอกเดินตามตูดผมมาอีกที

“นี่หยุดเดินได้แล้ว” พี่มันปราม

“หยุดได้ยังไงล่ะพี่ พวกน้อง ๆ ทำอะไรกันไม่ค่อยเป็น เห็นไหม”
ผมเถียงแกกลับ แต่เบา ๆ ครับ เพราะรอบด้านยังมีสาว ๆ มายืนมองกันอยู่ ผมกับพี่เอกเริ่มชินกับเสียงแชะ ๆ รอบด้านแล้วด้วย

เอาเถอะ ถือว่าหาลูกค้าให้ร้านละกัน

“กาย!”
พี่มันทำเสียงเครียด ก้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากพี่มันแทบจะชิดหน้าผากผมอยู่รอมร่อ

“กรี๊ดดดดดดดด!!”
ไม่ใช่เสียงแปดหลอดที่ไหนหรอกครับ เสียงพวกสาว ๆ น่ะ จะได้ยินทุกครั้งที่พี่เอกมันเข้ามาใกล้ ๆ ผม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะกรี๊ดกันไปทำไม 

หรือเพราะความหล่อมันคูณสอง?

หึหึ คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนครับ

“โอ๊ย อ้อนเหนื่อย”

“แอมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

“ไอเมื่อยแขนแล้ว ถาดหนักมากกก”
สาวสามเริ่มบ่นกระง้องกระแง้งกันแล้วครับ ผมเลยเดินเข้าไปหาน้อง ๆ ลูบหัวปลอบใจเบา ๆ

“ไม่ไหวก็พักกันก่อนก็ได้ ฝืนทำมาก ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเมื่อยยิ่งกว่านี้นะ”
พวกทโมนยิ้มแป้น พากันเกาะแขนผมแน่นหนึบ

“รักพี่กายที่สุดเลย”
แล้วผมก็โดนอ้อนครับ ท่ามกลางสายตาประชาชีนั่นแหละ

“ทำไมวันนี้คนเยอะจังฮึ”

ผมหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงนุ่ม ๆ ของคนที่เดินหน้าหล่อแทรกฝูงชนเข้ามา

“ป๋าาา”

เปล่าครับ ไม่ใช่เสียงผม

เป็นเสียงของสามทโมนเขาน่ะ พวกน้อง ๆ ผละจากผมวิ่งไปกอดป๋าทันที ส่วนผมระงับอารมณ์ดีใจไว้ฮะ ค่อย ๆ เดินไปหาพ่อแบบเนียน ๆ

เจ็บตูดวุ้ย

“ทำไมเดินแบบนั้นล่ะลูก”
แก่แล้วหูตายังไวอีกนะ

ผมทำหน้าจืด กูจะอธิบายยังไงดีวะเนี่ย กำลังจะบอกพ่อว่าหกล้มมา(ท่าคลานด้วย) แต่ไอ้ตัวต้นเหตุมันเดินหน้าหล่อมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของผมก่อน   

พ่อมองหน้าจืด ๆ ของผมทีสลับกับคนที่ยืนทำหน้านิ่ง ๆ ด้านหลังที

เหมือน ๆ พ่อจะรู้สาเหตุแล้วฮะ

ไม่ต้องทำสายตาอย่างนั้นก็ได้ ผมอาย

พี่เอกทักทายพ่อนิดหน่อย ก่อนเดินไปทำงานต่อ

คนเยอะครับ ดีที่ผู้จัดการสั่งของมาตุนไว้ กี่แก้วก็บ่ยั่น พี่เอกับพี่นุ้ยนี่มือแทบพันกัน จนพี่เป้ต้องอาสาเข้าไปช่วยอีกแรง โดยมีไอ้เต้ยเกาะหนึบไปเป็นลูกมืออีกที

ปกติเวลาไม่มีลูกค้า พี่เป้จะชอบเข้าไปขลุกอยู่กับพี่เอเพื่อดูวิธีทำ หรือบางทีก็ไปช่วย ๆ ทำบ้าง จนรู้สูตรแทบจะทุกอย่าง ทำแทนได้สบายฮะ ส่วนไอ้เต้ย รายนั้นทำอะไรไม่เป็นหรอก ไปเป็นลูกมือหยิบจับข้าวของอย่างเดียว

สรุป ข้างนอกมีผม พี่เอก สามสาว (ที่เริ่มบ่นว่าเมื่อยแล้ว) และพวกพี่ ๆ ที่ถูกโทรเรียกตัวมากะทันหันสามคน พี่โจ พี่ไนท์ และพี่เก่ง

พ่อนึกสนุกครับ เดินไปหาผู้จัดการ ผู้จัดการยื่นผ้ากันเปื้อนให้ทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร(ที่ร้านมีเยอะครับ)

หล่อครับ พ่อผม แกคงเพิ่งกลับมาจากคุยกับลูกค้า วันนี้พ่อผมใส่เชิ้ตสีฟ้านวลแบบหนุ่มออฟฟิศ กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าหนังสีดำ และตอนนี้ก็มีออฟชั่นเสริมเป็นผ้ากันเปื้อนมีโลโก้ของทางร้านคาดไว้ที่เอว เซตผมเท่เสยไปด้านหลัง แบบที่ผมชอบให้พี่เอกชอบทำนั่นแหละ
จริง ๆ พ่อจะทำผมทรงนี้ก็ต่อเมื่อต้องไปติดต่อธุระสำคัญ ๆ จริง ๆ (เพราะทำแล้วหล่อกว่าเดิม ลูกค้าเห็นแล้วหลงเสน่ห์ แม้คนที่ไปติดต่อด้วยจะเป็นผู้ชายก็เถอะ)

ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย ๆ หรอก(พ่อไม่ค่อยชอบโชว์เหม่ง เห็นบอกว่าดูแก่ ไว้ผมทรงวัยรุ่นปิดคิ้วปิดตาหน่อย ๆ ดูหน้าเด็กกว่า)

เวลาพ่อทำผมทรงนี้ทีไร ผมถึงได้ชอบไง เหอ ๆ ถ้าพี่เอกรู้ คงไม่น้อยใจนะ

พ่อเขาชำนาญครับ เดินถือสองถาดไปเสิร์ฟ ยิ่งรู้ว่าพวกที่มาเป็นพวกที่ปลื้มภาพที่ผมถ่ายกับภาพพี่เอกแล้วด้วย พ่อยิ่งบริการดีเป็นสิบเท่า
สนุกครับ บอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ผมนี่ทำงานแทบลืมเจ็บ แต่ข้างกายผมมักจะมีพี่เอกยืนอยู่เคียงข้างเสมอ ซึ่งตอนนี้
เราสองคนทำงานคล้ายพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารระดับห้าดาว โดยพี่เอกทำหน้าที่ถือถาดเครื่องดื่ม ส่วนผมทำหน้าที่ยกเสิร์ฟให้ลูกค้าอีกที ผมยิ้มไมตรีให้ลูกค้า ส่วนพี่เอกทำหน้าเป็นปูนปลาสเตอร์เหมือนเดิม 

“กรี๊ดดดดด”
และนี่คงแทนคำว่าขอบคุณ

เราต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มอีกเป็นลัง ๆ เลย เพราะไม่พอ นอกนั้นเหลือเฟือครับ คิดว่ายอดขายวันนี้ คงครอบคลุมไปได้ทั้งเดือน ผู้จัดการร้านยิ้มหน้าบานเลย

 
หมดแรงครับ กว่าจะต้อนให้ลูกค้าออกจากร้านได้หมดก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ผู้จัดการเลื่อนประตูลง กลับป้ายหน้าร้านเป็น ‘Close’ เป็นอันจบพิธี พวกเรานั่งหอบแดก สามสาวแทบจะเป็นลมล้มพับ

คุณแม่โทรตามแล้ว แต่สาว ๆ ยังดื้อขออยู่ต่อ แล้วสัญญาว่าจะลากพี่เอกกับผมกลับไปด้วย

แล้วกูไปเกี่ยวอะไรด้วยวะเนี่ย

“โทษทีนะ หิวกันน่าดู เดี๋ยวจะโทรสั่งหมูกระทะมาให้กิน”
ผู้จัดการร้านเดินตัวลอย ๆ ไปหาโทรศัพท์ วันนี้แกเหนื่อยไม่แพ้กัน เพราะต้องลงมารับลูกค้าด้วยตัวเอง 

ไม่เกินครึ่งชั่วโมง(โห ทำอย่างกับพิซซ่า) หมูกระทะห้าเซตใหญ่ ๆ ก็มากองอยู่ตรงหน้า พร้อมอุปกรณ์ครบเซต พวกเราแค่ตั้งเตา รอหม้อเดือด และซัดไม่เหลือซาก

ผมมานั่งตีพุง หลังจากผ่านสงครามกระเพาะพิฆาตไปยี่สิบนาที กินกันเหมือนห่าลงครับ หิวกันจัด ๆ

“สนุกดี”
พ่อบอก ผมหันไปมอง

“ถ้าแม่อยู่น่าจะสนุกกว่านี้”

พ่อทำหน้าบู้บี้(รู้ละ ผมทำหน้าแบบนี้เหมือนใคร)

“ได้ทะเลาะกันร้านพังน่ะสิ”

ผมหัวเราะร่วน มันก็จริง

พ่อยกนาฬิกามอง

“ดึกแล้ว กลับกันเลยไหม”
พ่อชวน แต่สามทโมนรีบแย้ง

“ไม่ได้ค่ะ หนูสัญญากับป๊ากับม๊าไว้แล้ว ว่าจะพาพี่เอกกับพี่กายกลับบ้านให้ได้วันนี้”

พ่อเลิกคิ้วสูงกับคำนั้น แต่สามสาวทำท่าตั้งปราการจนพ่อไปไม่เป็น

“ไปค้าง…” พ่อถามสั้น ๆ

“ค่ะ/ค่ะ/ค่ะ”
แล้วสามสาวก็พร้อมใจกันตอบอีกที พ่อหันมามอง ผมทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม พ่อหัวเราะหึทีเดียว เดินมากระซิบข้างหูผม

“เข้าบ้านสามีไปแล้วเหรอลูก”

“ป๋า!!!”

พ่อหัวเราะร่วน เดินไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินกลับมาหาผมอีกที

“งั้นพ่อกลับละ จะนอนกับเรานี่ต้องจองคิวก่อนใช่ไหม” พ่อแซวต่อ

พี่เอกมันยังตีหน้านิ่ง

เฮีย พ่อรู้นานแล้วล่ะเฮีย ไม่ต้องเก็กก็ได้

ผมเดินไปส่งพ่อที่รถ โดยมีสามสาวเดินตามมาส่งด้วย และเหมือนเป็นประเพณีของบ้านเราไปแล้ว ไปไหนมาไหนต้องบอกลาหรือทักทายกันด้วยการหอมแก้ม พวกทโมนรีบเอียงแก้มให้พ่อหอมใหญ่ ผมล่ะขำ

พ่อก็รับมุขซะเต็มประดา

“วันหน้า พากันไปค้างที่บ้านบ้างสิ”
พ่อชวนพวกน้อง ๆ สามทโมนพากันตอบรับเสียงใส

“บ้านไหน” ผมถาม

“อ้าว ก็บ้านเราไง”

ผมเลิกคิ้ว ก่อนทำสายตากรุ้มกริ่มมอง

“ยอมเข้าบ้านได้ง่าย ๆ แล้วเหรอฮะ”
พ่อเบ้หน้า

“ยังไงบ้านนั้นพ่อก็เป็นคนซื้อ แล้วแม่ก็โอนให้เราเรียบร้อยแล้วนี่”

ผมอมยิ้ม

“ครับ ๆ”

แล้วพ่อก็ก้าวเท้าขึ้นรถขับจากไป

ไปแล้วครับหนึ่ง พวกพี่ ๆ คนอื่น ๆ ก็ทยอยกลับกันแล้วเหมือนกัน

“พี่เป้ เต้ยเหนื่อย ขอไปนอนด้วยคนนะ”
ไอ้เต้ยมันอ้อนพี่มัน พี่เป้โหมดเงียบ(ไอ้เต้ยกับผมพากันเรียกงี้) ปรายตามองนิดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรครับ พี่แกคงเหนื่อย ไอ้เต้ยก็คงจะเหนื่อยไม่แพ้กัน เพราะวันนี้มันทำงานหนักด้วย(ปกติเป็นคุณหนูตลอด) สงสารเหมือนกัน พี่เป้ไม่ตอบปฏิเสธ แต่เดินลิ่ว ๆ นำไปที่รถ ไอ้เต้ยรีบวิ่งตามไปทันที

พวกเราบอกลาผู้จัดการ แล้วก็พากันยกโขยงกลับบ้าน 

หลังจากก้าวขึ้นรถ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว เหมือน ๆ จะได้ยินเสียงน่ารัก ๆ ของพวกทโมนเอ่ยเรียก รู้สึกตัวอยู่นะ แต่ไม่อยากลืมตาตื่น มันเบลอ ๆ ง่วง ๆ  มึน ๆ ยังไงบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ สักพักแผ่นหลังก็สัมผัสถึงความนุ่มสบายของพื้นเตียง 

ได้ยินเสียงพ่อกับแม่พี่เอกด้วย อยากลุกไปทักทายนะ แต่ไม่ไหวครับ ง่วง เพลีย เหนื่อยเหลือเกิน

รู้สึกเย็น ๆ ไปทั่วทั้งหน้า ลำคอ แขนและขา มันเย็นสบายจนผมต้องเอียงหน้าหน่อย ๆ ให้ความเย็นนั้นซึมซับเข้ามาได้มากขึ้น แล้วหลังจากนั้นสติผมก็จางหายไป


ไม่อยากตื่นครับ มันง่วงสุดติ่งจริง ๆ ผมกระแซะสิ่งที่ผมกอดไว้แน่น มุดหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมุดได้ ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรแข็ง ๆ มาทิ่มที่หน้าท้อง ผมปรือตามอง

สิ่งแรกที่เห็น คือแผงอกกว้างของใครบางคน ผมค่อย ๆ แหงนหน้าไล่สายตาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนไปสบเข้ากับดวงตาคมเข้มที่ทอดมองผมอยู่ก่อนแล้ว ต่ำลงมาอีกนิด ริมฝีปากหยักได้รูปกำลังคลี่ยิ้มบางเบาส่งมาให้

“พี่เอก”

“น้องพี่มันตื่นขึ้นมาทักทายแต่เช้าแน่ะ”

เบลอครับ นี่พวกทโมนเข้ามากันตั้งแต่เช้าเลยเหรอ ผมหันไปมองที่หน้าประตู แต่ไม่เห็น พอมองไปรอบ ๆ ห้องก็ไม่เห็นใครอีก หันกลับมาที่เดิม ก็เห็นพี่มันอมยิ้มขำ ๆ ชี้นิ้วจึก ๆ ไปด้านล่าง ตรงกลางระหว่างเราสองคน ไปยังจุดที่มีอะไรแข็ง ๆ ทิ่มผมไว้นั่นแหละ

ผมตื่นแทบจะทันที มันอายครับ อายฉิบหาย

ผมรีบคลายอ้อมกอดผลักตัวเองออกเบา ๆ แต่พี่มันดึงผมกลับไปที่เดิม พลิกตัวนอนหงายแล้วดึงผมขึ้นไปนอนคว่ำไว้บนตัวแก

คือ…

ส่วนนั้นของพี่มันก็กำลังแข็งโป๊กน่ะนะ

“พี่เอก ไม่เจ็บรึไง”
ผมถามตามจริง ผมโดนยังเจ็บเลย พี่มันส่ายหัว

“เสียวมากกว่า”

ด้าน!!

ด้านมากมาย

ผมอ้าปากค้าง อยากด่าพี่มันสักสิบประโยค

“จ่ายค่าตัวได้แล้ว”
พี่มันทวง ผมทำหน้างง

พี่มันชี้มือไปข้างล่างอีกที ผมเอี้ยวหน้าไปมอง ก่อนหันกลับมาทำตาปรอยเพราะร่างกายยังเมื่อยไม่หายเลย

“ผมไม่ไหวแล้วนะ”

“พี่รู้”
มึงรู้ แล้วยังจะให้กูอะจึ๋ง ๆ กับมึงอีกนะ

“พี่ไม่ได้ให้กายใช้ไอ้นี่นี่”
พี่มันบีบแก้มก้นผมที
“แต่ให้ใช้ไอ้นี่ต่างหาก”
แล้วเลื่อนมือมาแตะที่ปากผมเบา ๆ

ให้กูโม๊กให้แต่เช้าเนี่ยนะ

“พี่ไปปล่อยในห้องน้ำไม่ได้เหรอ”
ผมต่อรอง ธรรมชาติผู้ชายครับ ตั้งได้ตอนตื่น ลดได้ด้วยมือ ผมก็เป็น แต่ไม่ทุกเช้าแบบเฮียแก

“ค่าตัว”

แม่ม…ทวงจริงวุ้ย

ผมกัดปากแน่น ด่าพี่มันทางสายตา ก่อนค่อย ๆ กระเถิบตัวลงไปทำหน้าที่ของตัวเอง

เช้าวันนี้ คงเป็นเช้าที่ผมรู้สึก…

เมื่อยปากเป็นที่สุด

แต่ก็ตัวเบาครับ ไม่เหนื่อยร่างกายดี ผมเดินเข้าห้องน้ำต่อจากพี่มัน พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เดินออกมา พี่เอกหายไปแล้ว ผมมองหาชุดนักศึกษาของตัวเอง

มันหายไป...

กูมีเรียนช่วงเช้านะเว้ยเฮ้ย

ผมหยิบเสื้อเชิ้ตที่ใส่นอนเมื่อคืนมาใส่ พี่มันก็ชอบให้ผมใส่ชุดนี้จริงจัง ชอบอะไรนักหนาก็ไม่รู้

ผมรีบเดินตรงไปยังหน้าประตู จะออกไปถามว่าชุดของผมอยู่ที่ไหน แต่ผมคงทะเล่อทะล่ามากไปหน่อย เปิดประตูออกไปชนใครบางคนเข้า ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะมีคนมายืนขวางเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าประตูห้องนอนแบบนี้

ตัวผมเด้งกลับเข้าไปในห้องอีกที ในสภาพนั่งกึ่งนอนหงาย ชายเสื้อเชิ้ตร่นสูงจนเห็นต้นขา ยังดีที่กายน้อยไม่โผล่(ไม่มีชั้นในครับ หายหมด)

เนื่องจากรีบ กระดุมเลยปิดไว้หลวม ๆ สองสามเม็ด ด้านบนจึงเลื่อนหลุดจนหัวนมโผล่ แต่ตอนนี้เจ็บตูดครับ ไม่ได้ห่วงนมหรือกายน้อยที่จะโผล่หรือไม่โผล่ เจ็บร้าวไปทั่วทั้งช่วงล่างเลย

แม่ม เอากูแต่ละที ไม่บันยะบันยังเลย

ผมยันสองมือไว้ด้านหลังพยุงตัวขึ้นดี ๆ(แต่ก็ยังนั่งกึ่งนอนหงายอยู่ดี) ผมเงยหน้ามอง ก็เห็นพี่เอกยืนทำหน้าแปลกใจอยู่ในชุดเสื้อยืดโปโล พี่มันมองผมอึ้ง ๆ

นี่มึง ช่วยกูก่อนได้ไหม แล้วค่อยตะลึงในความหล่อของกูทีหลัง

“พี่เอก...”
ผมครางเรียก

มึงรับผิดชอบหน่อยสิ

ผมเบะหน้าหน่อย ๆ

แอบนอยด์ครับ ดูดิ ยังไม่สนใจจะช่วยผมอีก

กูเจ็บอยู่นะ

มันยังยืนอึ้งครับ

ไอ้เวรตะไล ไอ้คนเห็นแก่ตัว ไอ้คนเห็นแก่ได้ หื่น กินแล้วทิ้ง ผมนั่งด่าพี่มันทางสายตา หน้าก็ยังเบะ ๆ อยู่

มึง กูใช้โหมดนี้กับพ่อแม่กูเท่านั้นนะ เห็นใจกูหน่อยดิ

สักพัก ก็มีใครอีกคนเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ พี่เอกมันอีกที

เอ่อ…

กูว่ากูเจ็บตูดนะ แต่สงสัยกูต้องยกตูด พาตาไปหาหมอแล้วล่ะ

เพราะตอนนี้ผมเห็นพี่เอกมายืนทำหน้าแปลกใจอยู่ตรงหน้าสองคน ผมอ้าปากค้าง ทำตาปริบ ๆ

“พี่เอก…พี่เอก”
ผมชี้หน้าพี่เอกคนแรกเลื่อนไปหาคนที่สอง พยายามกะพริบตาอีกที เผื่อมันเป็นภาพซ้อน

“อะนี่ ฝากด้วยนะ”
แล้วก็มีพี่เอกอีกคนเดินมายื่นของบางอย่างให้พี่เอกคนที่สอง

คราวนี้ผมคงต้องไปนอนที่โรงพยาบาลแล้วจริง ๆ

เพราะมีพี่เอกถึงสามคน

“กาย”
แต่คนที่มาหลังสุด เป็นคนเรียกชื่อผม

“พะ พี่เอก…พี่เอก…แล้วก็พี่เอก…มีพี่เอกสามคน!!”

ตาย ๆ กู กูตายแน่ ๆ แค่คนเดียว กูก็จะตายแล้ว เจอพี่เอกสามคน กูขอตายก่อนดีกว่า

*** ***
TBC..
ฮ่าๆ น้องกายรีบยกตูด(ช้าๆ)พาตาไปหาหมอด่วนเลย

ช่วงนี้อยู่ในโหมดอารมณ์ดี หลังจากดาร์กมานาน
อ่านกันให้สนุกนะขอรับ (ว่าแต่ ยังมีคนอ่านกันอยู่ไหมเนี่ย หรือรอไม่ไหวตามไปอ่านที่เด็กดีกันหมดแล้ว? 

แต่เราก็ยังมุ่งมั่นจะลงต่อไปจนจบ ไว้เป็นทางเลือกให้คนอ่าน  

ปล. ฝากนิยายใหม่ไว้ด้วยนะคร้าาา เพิ่งลงตอนแรกไป หวังว่าจะชอบ ^^
ทาสแค้น : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47105.new#new

ออฟไลน์ nat-teen-nat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แฝดสามมมมม
รออ่านต่อค่ะ :z2:

ออฟไลน์ เด็กหญิงผมซอยปลาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ว้าววว เอามาลงที่นี่แล้วว ติดตามๆๆๆ  :m1: :oni1:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

Kiss Love ♥ [44]
คนเหม่อ
[เอก...☼]



ผมยืนขำ ตอนเห็นไอ้ตัวเล็กมันจ้องผมทีสลับกับไอ้อาร์ตและไอ้อิฐที ส่วนน้องผม พวกมันยืนเอ๋อครับ คงงงว่ากายเป็นใคร

“พะ พี่เอก…พี่เอก…แล้วก็พี่เอก…มีพี่เอกสามคน!!”
มันชี้นิ้วไล่มาทีละคน

ผมขำยิ่งกว่าเดิม

“พี่มีคนเดียว ที่เหลือเป็นตัวก๊อปปี้”
บอกแล้วว่าผู้ชายบ้านนี้เหมือนกันอย่างกับแกะ(สำหรับคนนอกนะ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ จะแยกออก เพราะนิสัย รสนิยม และการแต่งตัวของพวกเราค่อนข้างจะต่างกัน)

“พี่เอก”
มันครางเรียกอีกที

ผมยืนขำอยู่ ส่วนพวกน้อง ๆ กำลังยืนมองมันอึ้ง ๆ

ผมสำรวจคนที่ล้มอยู่อีกที ตอนนี้มันใส่เสื้อเชิ้ตตัวเมื่อคืนอยู่ เพราะชุดมัน ผมถอดเอาไปให้ป้าหวิงซักแล้วตั้งแต่เมื่อคืน(กางเกงในก็ด้วย) เพราะงั้นทั้งเนื้อทั้งตัวมัน จึงมีแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว ไม่รู้ทำไมมันถึงได้มาล้มอยู่ในสภาพนี้ได้

มันนั่งกึ่งนอนหงายอยู่ที่พื้น ทำหน้าเหวอ ๆ กระดุมติดแค่สามสี่เม็ดลวก ๆ จากด้านล่าง (นิสัยมันอีก ชอบติดกระดุมจากด้านล่าง) เสื้อมันร่นจนเห็นหัวนมเม็ดเล็กด้านซ้ายจนถึงหัวไหล่ขาว ๆ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นหนุ่มเหนือ มิน่า ตัวถึงได้ขาว) ตัวมันเพรียวครับ ไม่ใช่พวกออกกำลังกายหนักเหมือนผม หรือพวกน้อง ๆ ผม (ที่หุ่นพอ ๆ กับผมแล้วตอนนี้)

ขาขาว ๆ ของมันโผล่พ้นออกมานอกชายเสื้อ ที่ให้ผมเดา ผมว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างในแน่ ๆ

มึง ถ้ามึงขยับอีกนิด กายน้อยมึงโผล่แน่ แล้วเสื้อที่มันใส่ก็เป็นเสื้อแขนยาวไซส์ใหญ่เกินตัว ปลายแขนเสื้อคลุมนิ้วมือมันจนมิด

เห็นแล้วบอกได้คำเดียว…

เซ็กซี่เป็นบ้า 

และที่สำคัญ…

รอยคิสมาร์คเป็นแผง (ที่น้องผมมันยืนอึ้งไม่กระดิก เพราะอย่างนี้แหละ)

ต่อให้โง่แค่ไหน เห็นขนาดนี้ก็ต้องมองออก ผมยืนนิ่ง กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะรีบเข้าไปประคองมัน หรืออยู่นิ่ง ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจ เพื่อไม่ให้ไอ้สองตัวนี้รู้ดี

ยังไม่ทันได้ขยับทำอะไรไอ้อาร์ตก็เคลื่อนตัวลงไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้าคนล้ม 

“นายคงเป็นคนต้นคิดทำของขวัญให้พี่ใช่ไหม”
มันพูดเสียงนุ่ม

ไอ้ตัวเล็กพยักหน้าหงึก ๆ มองไอ้อาร์ตตาเขม็ง มันคงกำลังสงสัยว่าทำไมหน้าตาถึงได้เหมือนผมไม่มีผิดเพี้ยนขนาดนี้ (สำหรับคนนอกครับ อยู่กับไปสักพักจะเห็นความแตกต่างเอง)

“พี่อาร์ต”
มันครางคาดเดา ไอ้อาร์ตพยักหน้า จับแขนไอ้ตัวเล็กลุกขึ้นยืน

ตัวมันเล็กครับ พอมายืนอยู่กับพวกผมนี่เหมือนคนแคระเลย มันมองพวกผมสลับกันไปมา พวกเราก็มองมันเหมือนกัน
นี่ถ้าไอ้สองตัวนี่ไม่อยู่นะ ผมจับมันปล้ำไปแล้ว

เอ็กซ์ชะมัดยาด

ยิ่งช่วงหลัง ๆ มานี่มันยิ่งเอ็กซ์เซ็กส์แอพพิลพุ่งกระฉูด (คงเพราะผมจับมันปล้ำบ่อย ๆ)

ไอ้อาร์ตมองตาผมเพื่อขอคำตอบในสิ่งที่มันกำลังคิด ผมทำท่าอึดอัด ไม่ได้ตอบอะไรออกไป มันก็ไม่ถามอะไรต่อเหมือนกัน

“ขอบใจนะ สำหรับของขวัญ”
มันหันไปพูดกับกาย ไอ้ตัวเล็กมองหน้ามันก่อนส่งยิ้มน่ารักไปให้

เฮ้ย ๆ อย่ายิ้มแบบนั้นให้คนอื่นเดะ!! ยิ้มให้กูคนเดียวก็พอ! ผมหน้าหงิกทันที แล้วมันก็หันมาทางผม

“พี่เอก ชุดผมล่ะ”

“พี่ส่งซัก ตอนแรกว่าจะขับรถพาไปเอาที่บ้านก่อนเข้าคลาส แต่พ่อเรียกตัวด่วน พี่ต้องเข้าออฟฟิศ เอ่อ..ยังไง จะให้ลุงสนขับไปส่ง”

แม่ง กูก็ไม่น่าเอาชุดมันไปซักเลย

“ลุงสนออกไปส่งแม่ตั้งนานแล้วพี่”
ไอ้อิฐมันบอก

ผมยืนนิ่งมองสภาพมัน ขมวดคิ้วคิดหนัก เอาไงดีวะ ไปส่งเองคงไม่ทันนัดกับพ่อแน่ ๆ

“เดี๋ยวไปส่งให้ก็ได้” ไอ้อาร์ตมันอาสา "ผมกับอิฐว่าจะออกไปหาเพื่อน เดี๋ยวขับรถพากายไปส่งที่บ้านแล้วพาเลยไปส่งที่มหา’ลัยให้”

“เอ่อไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวผมไปแท็กซี่เอาก็ได้”
ไอ้ตัวเล็กแทรกขึ้นมาเสียงอ่อน

“แต่งตัวแบบนี้เนี่ยนะ!!”
ผมเผลอกระชากเสียงดังจนมันสะดุ้ง

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันไม่ดูสภาพตัวเองเลยรึไงว่าตัวเองอยู่ในชุดวาบหวิวขนาดไหน เสื้อที่มันใส่อยู่ ก็โชว์ต้นขาขาวเต็ม ๆ แล้วก้นมันก็ได้รูป เสื้อพลิ้ว ๆ เลยทิ้งตัวลงมาเน้นลำตัวมันได้พอดิบพอดี

มึง ต่อให้แมนขนาดไหน มาเห็นแบบนี้ ก็หวั่นไหวได้ล่ะวะ

ผมมองหน้าไอ้อาร์ต ทำหน้าลำบากใจ มันพยักหน้าบอกให้ไว้ใจมันได้

ผมพยักหน้าส่ง ๆ

“ฝากด้วยนะ พี่รีบไปก่อน”
ผมบอกแค่นั้น หันหลังเดินจากมา ไม่ได้หันไปมองอีกว่าสองคนนั้นจะอะไรยังไงกับกายต่อ

แอบกลัวนิดหน่อยว่ามันจะหวั่นไหว เพราะสองคนนั้นหน้าตาเหมือนผมเอามาก ๆ

แต่ไปด้วยกันสามคนแบบนั้น คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง


วันนี้พ่อเรียกเข้าออฟฟิศ คงมีลูกค้ารายใหญ่มา และพ่อมักจะลากผมมาด้วยเสมอเพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนในบริษัทและคู่ค้าคนสำคัญต่าง ๆ

“นี่อาวิทย์นะลูก”
พ่อแนะนำชายสูงวัยบุคลิกหน้าตาท่าทางดูดีตรงหน้า ผมสวัสดีตามมารยาท และด้านหลังอาวิทย์ เป็นหญิงสาวในชุดลำลองติดแบรนด์ดัง

สวยพอควรครับ ผมมองนิดหนึ่ง ยิ้มให้พอเป็นพิธีแล้วหันมามองอาวิทย์ต่อ

“ส่วนนั่นลูกสาวอาวิทย์ น้องเอิร์ท”
พ่อแนะนำต่อ ผมยิ้มเหมือนเคย น้องหน้าแดงปลั่งตอนผมสบตา

ตกหลุมเสน่ห์ผมอีกคนแล้วครับ

แต่เสียใจด้วยนะน้อง เพราะพี่ถูกไอ้กายคว้าไปแล้ว

เป็นเรื่องปกติครับ เวลาไปเจอคู่ค้าหรือลูกค้า บางทีบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ก็จะพากันประเคนลูกสาวมาแนะนำกันยกใหญ่ ผมก็รับไว้มอง

เวลาผมกินสาว ๆ จะไม่กินคนที่เกี่ยวข้องกันทางธุรกิจเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของทางบริษัทครับ

แล้วคุณอาวิทย์ก็ผลักน้องเอิร์ทมาให้อยู่กับผมเพียงลำพังในห้องรับรอง ส่วนอาแกก็ลากพ่อผมเข้าไปคุยธุระกันในห้องทำงาน

พ่อผมก็รู้ครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผมอยู่ดี

“พี่เอก มาช่วยงานคุณลุงบ่อยเหรอคะ”
น้องถาม ผมพยักหน้าทีเดียว

ปกติผมไม่ใช่พวกมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศอะไรอยู่แล้ว ออกจะเงียบ ๆ นิ่ง ๆ เฉย ๆ ชา ๆ ด้วยซ้ำ น้องก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะชวนผมคุย
พอผมนิ่งมาก ๆ เข้า น้องเขาก็หน้าเจื่อนแล้วเงียบไป แต่ก็ยังนั่งอยู่ใกล้ ๆ ผมไม่สนอยู่แล้ว เพราะตอนนี้กำลังนึกถึงใครบางคนอยู่

“พี่ขอตัวก่อนนะ”
ผมขอตัว ลุกออกจากเก้าอี้ ล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก เดินเลี่ยงไปยืนอยู่หน้ากำแพงกระจกใส ที่ด้านนอกเป็นวิวของตึกสูงต่ำเหลื่อมล้ำต่างสไตล์ 

“ถึงไหนแล้ว”
ผมถามทันทีที่ปลายทางรับสาย

“ใกล้แล้ว” มันตอบ

“อย่าไปหลงเสน่ห์อาร์ตกับอิฐเข้าล่ะ ถึงยังไงก็เป็นแค่ตัวก๊อปปี้ของพี่”
ผมบอกมันขำ ๆ มันเงียบไปพัก ก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ

ผมคุยกับมันต่ออีกสองสามคำก็วางสาย อยากให้ถึงตอนเย็นเร็ว ๆ จะได้กลับไปกอดมันต่อ ยิ่งคิดถึงตอนที่มันล้มเมื่อเช้านี้แล้ว อยากฟัดมันไม่หาย

“เอ่อ พี่เอก คุณพ่อให้มาชวนไปทานข้าวด้วยกันน่ะค่ะ”
น้องเอิร์ทเดินเข้ามาชวน ผมเพียงพยักหน้ารับ เดินไปหาผู้ใหญ่พร้อมน้องเขา คุณอาวิทย์ทำหน้าดีใจใหญ่

คงกะจะให้น้องรวบผมแน่ ๆ

ไม่นานนักเราก็เดินทางมาถึงร้านอาหารในโรงแรมสุดหรูย่านเดียวกัน อาหารมาพร้อมนานแล้ว คุณพ่อคุยธุระกับคุณอาวิทย์อย่างออกรส ส่วนผมถือแก้วไวน์ไว้ในมือ ทอดดวงตาผ่านอากาศไปหาใครบางคน

สรุปกูคิดถึงมันเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ

“พี่เอก ทานนี่ซิคะ อร่อยนะ”
น้องเอิร์ทพยายามเทคแคร์ผม ผมเพียงพยักหน้า ตักอาหารที่น้องให้มาเข้าปากเท่านั้น น้องหน้าแดงใหญ่

เห็นแล้วก็นึกถึงไอ้ตัวเล็กขึ้นมาอีก

โอ๊ย!! อยากกลับบ้านไปฟัดมันโว้ย!!


“เป็นไร ดูสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”
พ่อถามตอนเรานั่งรถกลับออฟฟิศ น้องเอิร์ทกับอาวิทย์แยกตัวไปอีกทางแล้ว

“เปล่า”
โกหกพ่อมันบาป อย่าทำนะครับ แต่ให้ยอมรับได้ไงว่าคิดถึงผู้ชายอยู่

“โกหก”

นั่น..รู้อีก

ผมทำท่าอึดอัด สารภาพเสียงแผ่ว

“ก็กำลังคิดถึงใครบางคนอยู่ ตอนนี้ผมเหมือนคนบ้าเลย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพของคนคนนั้น เฝ้าแต่คิดถึง เสียงก็วนเวียนอยู่เต็มหัวไปหมด”
ผมพูดเหมือนตัวเองเป็นคนป่วย พ่อหัวเราะหึ ๆ

“เหมือนพ่อตอนหนุ่ม ๆ”

ผมหันไปมอง เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย

“กับใคร”

“แม่แกไง”

ผมหัวเราะร่วนเลย

“งั้นพ่อคงเข้าใจความรู้สึกผม”
ผมแหงนหน้าพิงหัวกับเบาะรถ

พ่อไม่พูด แต่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ แทน

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นครับ ไอ้ต้นแบบเสียงหัวเราะหึ ๆ น่ะ มาจากคนคนนี้นี่เอง

หลังจากคุยธุระกับพ่อเสร็จ ผมก็เดินทางกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาแล้วเดินทางมามหา’ลัยต่อ ผมต้องเข้าเรียนเหมือนคนอื่น ๆ พอหมดคาบก็ไปทำงานที่สภาต่อเป็นเรื่องปกติ

ผมที่กำลังจะเดินผ่านตึกมนุษย์ หันไปเห็นใครบางคนกำลังนั่งหงอยอยู่บนม้านั่งในสวน แต่ตอนนี้มันฉายเดี่ยวครับ ผมมองหาใครอีกคนที่ผมอยากเจอ เพราะปกติพวกมันจะตัวติดกันตลอด

พอไม่เห็นก็กะว่าจะเดินผ่านไปเลย แต่พอเห็นหน้าเหม่อ ๆ ของมันแล้วก็อดก้าวเข้าไปหาไม่ได้ มันไม่ได้สนใจเลยว่าผมเดินเข้ามาใกล้ จนผมนั่งลงข้าง ๆ นั่นแหละ มันถึงได้หันมามอง

“อ้าว พี่เอก มาได้ไงครับเนี่ย”
คลานมาตามกำแพงมั้ง

มันเปลี่ยนสีหน้าเป็นสดใสทันที แต่ก็ยังปิดบังความไม่สบายใจผ่านดวงตาเอาไว้ไม่มิด ผมถอนหายใจ ลูบหัวมันเบา ๆ มันมองอึ้ง ๆ

“ไหวไหมเรา”

มันมองผมด้วยความแปลกใจ คงไม่คิดว่าคนเย็นชาอย่างผมจะมาทำอะไรกับมันแบบนี้

“ผมรู้แล้วว่าทำไมกายถึงได้ชอบพี่”
กูพูดกับมึง แล้วกายมาเกี่ยวไรด้วยวะ

ผมชักมือกลับมานั่งกอดอกไว้เฉย ๆ มันหัวเราะเบา ๆ

“พี่เอก ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
ปากมันเอ่ยถาม แต่ดวงตากลับเหม่อลอยออกไปไกล ผมครางในลำคอให้มันหนเดียว

“พี่รักกายไหม”

ผมอึ้งกับคำถามมัน

ความเงียบปกคลุมไปทั่ว ก่อนที่ผมจะตัดสินใจบอกคำตอบออกไป

“พี่ตอบไม่ได้หรอกนะว่ารักมันหรือเปล่า”
ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้ มันก็นิ่งรอฟังเหมือนกัน

“แต่พี่ยุ่งกับใครไม่ได้แล้วตอนนี้”
ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้อีกครั้ง

“และจะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับมันด้วย”

ไอ้เต้ยมันยังเงียบอยู่

“แล้วถ้าให้พี่เลือกใครคนใดคนหนึ่ง ระหว่างเพื่อนสนิท กับคนที่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะรัก พี่จะเลือกใคร”
มันถามคำถามที่พาเอาผมงงเลย

แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะผมไม่รู้คำตอบของคำถามชวนงงของมัน

“อดทนไว้นะ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเอง”
ผมลุกขึ้น ลูบหัวมันอีกทีก่อนเดินจากมา

คนที่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะรักงั้นเหรอ...



วันนี้คงเป็นวันที่ผม เจอคนเหม่อมากสุดในรอบประวัติศาสตร์ ผมกำลังจะเดินเข้าห้องสภา แต่หน้าห้องมีใครบางคนมายืนเหม่อมองวิวกลางสนามบอลอยู่ ผมเลยเปลี่ยนใจเดินไปหามันแทน

“เป็นไรมึง”

“เปล่า”
เป็นคำโกหกที่ผมฟังจนเอียน ผมตบไหล่มันเบา ๆ หันหลังกำลังจะเดินเข้าห้อง

“เอก”
เสียงมันหยุดเท้าผมไว้ ผมหันไปมอง

“มึง…”
เหมือนมันจะถามอะไรสักอย่าง ก่อนหยุดนิ่ง มันทำหน้าอึดอัด เดินผ่านผมไปพร้อมพูดอะไรบางอย่างที่ทำเอาผม ก้าวขาแทบไม่ออก

“อย่าทำกายร้องไห้อีกนะ กูขอร้อง”
มันเดินเข้าห้องไปแล้ว แต่ผมยังยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม

แล้วมึงคิดว่ากูไม่เสียใจรึไง ที่ทำมันร้องไห้ 




“กริ้วววววว ข่าวดี ๆ ๆ ๆ ๆ”
ไอ้โอมมันชูสองมือเหนือหัวเหมือนนักบอลได้ลูกโทษ ทุกคนหันไปมอง

“พ่อไอ้กิ๊ฟมันได้ข่าวแว่ว ๆ มาว่า มีหนุ่มมาติดไอ้กิ๊ฟ พ่อมันดีใจใหญ่ เลยให้พวกเราบังคับให้ไอ้กิ๊ฟพาไอ้หนุ่มคนนั้นไปให้ท่านดูตัวให้ได้”

“แล้วมันข่าวดีตรงไหนวะ”

“แหม พวกมึงก็ พ่อไอ้กิ๊ฟมันบอกว่า ถ้าทำได้ จะเป็นเจ้ามือพาเที่ยวฟาร์ม กินเที่ยวช็อปไม่อั้น แถมด้วยรถรับส่งฟรี โหย โปรโมชั่นดีขนาดนี้ ไม่สนใจกันรึไง”

หูผมกระดิกทันที

จริง ๆ พวกผมชอบเที่ยวต่างจังหวัดกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีใครคิดออกค่าใช้จ่ายให้แบบนี้ ก็หวานหมูครับ (แม้จะรวยแต่ก็ยังงก 555)

“แล้วมึงจะไปลากแฟนไอ้กิ๊ฟมาได้ไง”
ไอ้มอมันถามเพื่อนมันต่อ

“งานนี้ต้องให้ไอ้เอกไปคุยว่ะ แค่บอกมันว่าพวกเราอยากไปเที่ยว ให้ลากไอ้ฝรั่งติดตัวมาด้วยก็พอ”
เป็นความคิดที่ดีครับ แต่คนเดือดร้อนคือกู ทุกคนหันมาฝากความหวังไว้ที่ผมกันหมด

เอาไงดีวะ

แต่ก็สงสารลุงเกียรติเหมือนกัน รายนั้นคงหวั่นว่าจะได้ลูกสะใภ้มากกว่าลูกเขย

สุดท้ายผมก็รับปากครับ อีกอย่างจะได้เที่ยวด้วย

“มึง ถ้ามึงทำได้ มึงก็เอากายไปด้วยดิ”
ไอ้โอมมันเสริม

มึง ไม่ต้องเอาคนของกูเข้ามายุ่ง...เพราะถึงมึงไม่พูด กูก็จะเอามันไปด้วยอยู่แล้ว

ช่วงนี้ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้หรอก

พวกขี้ขโมยมันเยอะ

ผมตวัดสายตามองใครบางคนที่นั่งเงียบอ่านรายงานอยู่อีกมุม

แล้วมึงล่ะโอ๊ค มึงคิดยังไงกับกายกันแน่...

*** ***
TBC...

ขอบคุณกั๊บ >/< 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2015 18:19:26 โดย memew »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด