ตอนที่๔
กลางดึกอันเงียบสลัด หลายสิ่งดูสงบนิ่งภายใต้ความมืดแต่ไม่ใช่กับสัณหวัช ตอนนี้เขาสติแตกวิ่งวนไปทั่วป่า
ราวกับคนสติไม่สมประกอบร้องเรียกหากฤตนัยจ้าละหวั่น เขากลัวมาก มันมืด เขามองไม่เห็นพยายามคล้ำทาง
ไปเรื่อยๆ กิ่งไม้ หนามเกาะเกี่ยวตัวเป็นระยะแต่เขาไม่ได้หยุดยังคงวิ่งต่อไป ทิศไหนไม่รู้เป็น ทิศไหน
มันมั่วไปหมดเหมือนวิ่งอยู่ในเขาวงกต เขาปวดหัวและล้าไปทั้งตัว นี้เช้าแล้วหรือยัง???? ทำไมยังมองไม่เห็นทาง
ไม่มีแสงสักที บางทีที่ตรงนี้ ที่เขายืนอยู่อาจลึกจนเกินไป เขาควรจะใจเย็นและเดินต่อไป อยากจะหันหลังกลับ
แต่ทำไม่ได้แล้วเขาจำทางไม่ได้ และตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปทางไหน สัณหวัชชั่งใจอยู่สักครู่
คิดกับปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ ระหว่างหาทางกลับห้าง หรือเดินหน้าต่อตามกฤตนัย เขาควรจะทำอย่างไร??
ป่านนี้ธนุสจะตื่นและพบว่าเขากับกฤตนัยหายตัวไปแล้วหรือยัง หรือพัชรพลกำลังวางแผนกับพรานอ่ำตามหาพวกเขา
อยู่หรือเปล่า แต่พัชรพลยังมีพวกต่างกับกฤตนัยที่ไม่มีใคร.......... สุดท้ายสัณหวัชก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อตามหากฤตนัย
เขารู้ที่หมายของกฤตนัยมันคงไม่ยากนัก แต่เพราะความมืดทำให้เขากลัว สัณหวัชพยายามนิ่งอยู่กับที่เพื่อที่
จะไม่ให้ตัวเองหลงไปมากกว่านี้และรวบรวมสติ เขาหยิบเข็มทิศออกมาและหาทิศของกลางป่าสถานที่ที่กฤตนัย
เดินทางไปมันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปตี 4 แล้วสัณหวัชวิ่งวนในป่ามาเกือบๆ 2 ชั่วโมง
เขาควรจะพักผ่อน และพอรุ่งเช้าค่อยคิดหาทางไปต่อ สัณหวัชแอบหวังไว้ในใจว่าทุกอย่างจะเรียบง่ายเหมือนในละคร
เขาจะได้เจอกับกฤตนัยแล้วประสบการณ์ครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องตลกที่เอาไว้คุยกันในกลุ่ม ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาส
ออกจากป่าแห่งนี้อีกเลยก็ตาม เขารู้ดี
เสียงดังคล้ายฝีเท้าที่ย่ำลงบนใบไม้ดังอยู่รอบๆตัวเขา สัณหวัชบีบตัวเองเข้ากับโค่นต้นไม้ใหญ่ มันอาจจะช่วย
บังตัวเขาจากสัตว์แต่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเลย เหมือนฆ่าตัวตาย!! เขาคิดกับตัวเอง เขาเสียใจนิดๆหลัง
จากที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการเดินป่า ลึกๆแล้วเขาคิดว่าตัวเองคงไม่รอด
นี่คือเรื่องจริงมันไม่ใช่ละครที่สุดท้ายแล้วจะมีคนมาช่วย หรือพระเอกจะได้ยินเสียงนางเอกถึงแม้จะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม
คืนทั้งคืนเขาตะโกนเรียกกฤตนัยจนเจ็บคอ ได้รสเลือดนิดน้อยแต่เขายังร้องต่อ มันน่ากลัวมากในวินาทีนั้น
คล้ายๆกับเด็กอนุบาลที่หลงกับพ่อแม่ในซุปเปอร์มาเกตแล้วพยายามเดินวนตามหาจนทั่วแต่หายังไงก็หาไม่เจอ
จนสุดท้าย รปภ ก็มาช่วยไว้ แต่ในป่าแบบนี้จะหา รปภ ได้ที่ไหน สัณหวัชเคลิ้มจนใกล้จะหลับเต็มทีแต่เพราะความกลัว
กับบรรยากาศ เขาทนฝืนตัวเองไว้ จนสุดท้ายเมื่อความง่วงมาถึงขีดสุดเขายอมแพ้และหลับไป
_______________________________________________
“ เจอไหมพราน ” พัชรพล ธนุส และพรานอ่ำ ต่างแยกกันออกตามหาทั้งสัณหวัชและกฤตนัยกลางดึก
หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปสักระยะหนึ่ง เป็นพรานอ่ำที่ตื่นขึ้นแต่ไม่พบกฤตนัยที่น่าจะเฝ้ายามอยู่ซ้ำสัณหวัชยังหายไปอีกคน
“ ไม่วะ ” พรานอ่ำส่ายหน้าก่อนจะตอบอย่างเหนื่อยๆ
“ ธนุส เป็นไงเจอนัยกับวัชไหม ”
“ ทางนี้ก็ไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนกัน ” ธนุสหอบแห่กข้างชายทั้งสอง
“ ข้าว่าเพื่อนเอ็งคงไปไกลแล้วละ รอพรุ่งนี้เช้าค่อยตามหาเอ็งว่ายังไง ”
“ ไม่...หาตอนนี้เลยไม่ได้หรือพราน ถ้าเกิดเพื่อนผมเป็นอะไรไป.... ”
“ ถ้าพวกเอ็งสองคนอยากตายก็เชิญ แต่ข้าไม่เอาด้วยแค่ออกมาตามหามันกลางดึกก็อันตรายจะแย่ ขืนไปไกลกว่านี้
มีหวังหลงทางกันพอดี ” พวกเขาออกตามหากฤตนัยและสัณหวัชไม่ไกลจากห้างเท่าไรนัก เพราะดึกมากและ
เพราะความมืดทำให้ยิ่งลำบากและอันตราย ลำพังแค่พรานอ่ำคนเดียวคงพอเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าให้สองคนนี้ไปด้วย
เขาไปมั่นใจในความปลอดภัย
พัชรพลกลับขึ้นห้างด้วยอาการกระสับกระส่าย เขารู้สึกห่วงเพื่อน อยากออกไปตามหาแต่ถ้าทำอย่างนั้นเขาเองก็อาจจะหาย
ไปอีกคนก็ได้ จึงได้แต่เชื่อพรานอ่ำ เขาคิดอยู่ทั้งคืนถึงเหตุผลหลายๆข้อที่ทำให้สองคนนั้นหายไป แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
กฤตนัยและสัณหวัชต่างก็ปกติดีในสายตาของเขา ไม่มีท่าทางแปลกอะไร
“ หรือเขาสองคนจะแอบออกไปจากป่าแล้ว ” ธนุสเองก็คิดหนักไม่ต่างจากพัชรพลเพียงแต่ความคิดความอ่าน
การใช้เหตุผลอาจจะต่างกันมากก็เท่านั้น
“ ไม่น่าจะใช่เพราะถ้าเขาไม่อยากอยู่ในป่า แล้วทำไมถึงยังขอรวมการสำรวจครั้งนี้ละ ”
“ ก็อาจจะเกิดกลัวทีหลัง ป่านี้น่ากลัวจะตายจะมืดจะสว่างแทบไม่ต่างกัน ” ธนุสยกเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้
“ แต่กฤตนัยไม่ใช่คนอย่างนั้น หมอนั้นไม่ใช่คนที่จะกลัวอะไรง่ายๆส่วนสัณหวัชเองก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าจะกลัวอะไร
ตั้งแต่เดินทางกันมา มีก็แต่อาการเหนื่อยจากการเดินทางก็เท่านั้น” พัชรพลยกเหตุผลมาหักล้างกับความคิดของธนุส
เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าคนอย่างกฤตนัยจะกลัวเรื่องแค่นี้ มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“ ผมว่าบางทีสองคนนั้นอาจจะออกไปด้วยกัน เราน่าจะคอยดูตอนเช้าอาจจะกลับมาทั้งคู่ หรือไม่ก็ใครคนหนึ่ง ” พักหลัง
กฤตนัยและสัณหวัชสนิทกัน เขาเห็น น่าจะไปด้วยกัน ทำธุระอะไรบางอย่าง ตอนนี้พัชรพลคิดได้เพียงแค่นั้น
นอกจากการสำรวจเขาไม่เห็นว่าจะมีเป้าหมายอื่นอีกแล้ว
ธนุสรับหน้าที่เฝ้ายามต่อหลังจากที่ขึ้นห้างมาแล้ว พัชรพลพยายามข่มตาให้หลับตอนนี้เวลาราวๆตีสาม พรานอ่ำเอง
หลับตั้งแต่ขึ้นห้างมา พัชรพลเข้าใจเพราะพรานอ่ำต้องนำทางมันทำให้เขาเหนื่อยแล้วยิ่งมาเจอเรื่องแบบนี้ยิ่งเหนื่อยขึ้น
อีกเท่าตัว ในป่านั้นมืดมากจริงๆ เขายอมรับว่าไปตามหากฤตนัยและสัณหวัชไม่ห่างจากห้างสักเท่าไร ถึงจะใจแข็ง
แต่ก็ต้องรู้สึกกลัวกันบ้าง แล้วสองคนนั้นจะเป็นอย่างไร สัณหวัชจะเป็นอย่างไรบ้าง
___________________________________________
ในเช้าวันใหม่ตอนนี้ก็ใกล้จะหกโมงเช้าเต็มที แต่มองยังไงๆก็ไม่ใช่ ป่านี้ค่อนมืดทึบ แสงส่องลงมาได้ไม่เต็มที่
คงเป็นเพราะใบไม้ที่ปกคลุมทั่วทั้งป่า เช้าๆยังนี้คล้ายๆกับมีหมอกบางๆจับอยู่ตามยอดไม้ พัชรพลสังเกตตั้งแต่
เมื่อวานที่ออกสำรวจแล้วว่าป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์มากจริงๆ ต้นไม้ขึ้นแนบชิดติดกันสะจนแน่นไปหมด แทบจะพูด
ได้เลยว่าหากหลงกันไปไม่มีทางหาเจอได้แน่นอนเพราะต้นไม้บังไว้หมด
ทุกคนตื่นขึ้นด้วยอาการไม่สู้ดีหนัก ธนุสเองยังคงดูงัวเงียเหมือนคนหลับไม่เต็มอิ่มไม่เว้นแม้แต่พรานอ่ำเอง ไม่มีใคร
พูดอะไรกันเหมือนอย่างทุกวัน พวกเขานั่งแยกกันทานอาหารเช้า จนเริ่มเก็บของ ตอนนี้ถึงเวลาต้องตัดสินใจ
กับเรื่องที่เกิดขึ้น พัชรพลไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาสับสันระหว่างทำงานให้เสร็จก่อนหรือจะออกตามหาเพื่อนของเขาก่อน
กระเป๋าเป้พร้อมเครื่องมือต่างๆถูกสะพายขึ้นบนบ่าเรียบร้อย แต่ทั้งกลุ่มไม่มีคนขยับ พรานอ่ำเองก็มีเพียงหน้าที่นำทาง
ไปจุดหมายแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้นำจะยังเลือกจุดหมายไม่ได้
“ ผมไม่รู้ ” พัชรพลเอยขึ้นเขาต้องการคำแนะนำ
“ อะไร ” ธนุสมองพัชรพลด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ พรานอ่ำเองพอจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ ผมไม่รู้ว่าจะทำการสำรวจต่อหรือตามหาสองคนนั้นดี ”
“ แล้วแต่เอ็งข้ามีหน้าที่นำทาง เรื่องที่หมายเป็นเรื่องของพวกเอ็ง ”
“ ผมอยากตามหาพวกเขาแต่ผมไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน ” พัชรพลเข้าตาจน เขามองไปที่ธนุสต้องการความเห็น
แต่เขาส่ายหน้า ธนุสเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ นาคา ”
ทั้งพัชรพลและธนุสต่างก็มองไปยังพรานอ่ำ เขาไม่เข้าใจที่พรานอ่ำพูด
“ อะไรนะพราน ”
“นาคา ไอ้หนุ่มนั้นถามข้าเรื่องนาคา ”
“ ใครลุง นัยใช่ไหม” พัชรพลลนลาน เขาอยากรู้เต็มที คำพูดของพรานทำให้เขานึกถึงคำพูดของสัณหวัชก่อนหน้านั้นได้
“คุณพลผมว่าพักนี้ นัยมีท่าทางแปลกๆคุณคิดเหมือนผมไหม”สัณหวัชถามความเห็นของพัชรพลถ้ามีคนสังเกตเห็น
เหมือนกับเขานั้นก็หมายความว่า กฤตนัยกำลังพยายามทำอะไรอยู่อย่างแน่นอน
“ไม่นี่ ผมว่าเขาก็ปกติดี”
“งั้นหรอครับ ผมว่านัยกำลังจะทำอะไรบ้างอย่าง ผมเห็นเขาจัดกระเป๋าไว้ด้วย”
“คุณคิดมากไปหรือเปล่า กระเป๋านั้นก็คงสำหรับเดินทาง”“แต่นัยพูดอะไรบ้างอย่างกับผมเกี่ยวกับนาคา ผมกลัวว่าเขาจะตามหามัน”
“ นาคา ใช่ก่อนหน้านั้น วัชพูดเกี่ยวกับเรื่องนาคา เขาบอกว่านัยมีท่าทางแปลก เขาคิดว่านัยจะตามหามันแต่ตอนนั้น
ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะเห็นว่านัยเองก็มีท่าทีปกติ ”
“ ไอ้หนุ่มมันถามข้ามาหลายวันแล้ว เรื่องนาคาไหนจะเรื่องทางไป เรื่องเผ่ากินคนอีก ”
“ แล้วลุงไม่แปลกใจบ้างหรือไง ”
“ ข้าจะรู้ได้ไงละวะ มันถามมาข้าก็ตอบใครจะไปรู้ว่ามันจะบ้าตามหาจริงๆ ”
“ แล้วเอายังไงลุง ”
“ เรื่องของพวกเอ็งไม่เกี่ยวกับข้า แต่บอกไว้ก่อนถ้าจะให้ข้าเข้าหามันในป่านั้นข้าไม่ไปนะโว้ย ”
“ ลุงช่วยผมหน่อยนะ ”
“ไม่โว้ย พวกเอ็งก่อเรื่องกันเองแก้กันเองก็แล้วกันข้าไม่ยุ่งด้วย ” พรานอ่ำพูดทีจริงทำท่าจะเดินกลับ แต่พัชรพล
รั้งเขาเอาไว้สะก่อน
______________________________________
กฤตนัยเดินทางมาทั้งคืน เขาพยายามตามทิศทางของเข็มทิศและคำแนะนำของพรานอ่ำ ถึงจะมองเห็นทาง
ไม่ถนัดนักแต่ก็คิดว่าตัวเองคงไม่หลง แสงจากกระบอกไฟฉายอันเดียวที่มีอยู่เป็นเครื่องช่วยนำทางในขณะนี้
แต่เขาเห็นแค่ในวงแคบๆเท่านั้น นาฬิกาดิจิตัลแสดงเวลาเวลาตีห้ากว่าๆ เขาเหนื่อยเต็มที่ เมื่อวานทั้งเดินทาง
สำรวจ หนำซ้ำเขาไม่ได้นอนทั้งคืน กฤตนัยมองหาพื้นที่ที่กว้างพอที่จะก่อกองไฟกับเอนตัวลงนอน เขาไม่ต้องการ
ที่จะหลับจนลึกเกินไปเผื่อว่าแถวนั้นอาจจะมีสัตว์ใหญ่อาศัยอยู่เขาจะได้รู้สึกตัว กาแฟจึงเป็นเครื่องดื่มอย่างแรก
ที่เขานึกถึงมันคงจะทำให้เขาตื่นตัวได้บ้าง กฤตนัยนั่งลงข้างกองไฟที่เพิ่งก่อเสร็จ เขารู้สึกว่าตัวเองบ้าอยู่ลึกๆเหมือนกัน
ที่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างนี้ ตอนนี้ทุกคนคงกำลังตามหาเขาอยู่ แต่ถ้าเขาบอกก็คงไม่มีใครเห็นด้วยเหมือนสัณหวัช
พวกนั้นคงจะรู้ว่าเขาออกตามหานาคาจากปากของสัณหวัชแล้วแน่ๆ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเจอหรือเปล่า
แค่จะไปยังสถานที่นั้นแท่นหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายพีระมิดที่ที่เป็นทั้งที่อยู่และที่เซ่นสังเวยแก่นาคา
ตามคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้านและพรานอ่ำ แต่ไม่มีใครสักคนที่จะกล้ายืนยันว่ามันมีอยู่จริง เหลือเพียงรูปเก่าๆ
ที่เขาแทบจะมองไม่ออก มันเก่ามาก บางทีอาจจะมีคนวาดเอาไว้เล่นๆแล้วเกิดมีคนคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
แล้วไหนจะเรื่องของเผ่ากินคนอีก แต่อันที่จริงเรื่องเผ่ากินคนดูเหมือนจะน่าเชื่อได้มากกว่าเรื่องนาคา แต่ไม่รู้ทำไม
เขาถึงอยากตามหา จนป่านนี้เขายังนึกเหตุผลดีๆสักข้อในการตามหานาคาไม่เจอ เหตุผลที่ดูที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็น ‘อยากรู้’
แล้วถ้าเกิดว่าทั้งสองเรื่องมันมีอยู่จริงแสดงว่าเขาก็เข้าใกล้เต็มที่ ถ้านับจากจุดที่ตั้งเป้าหมายในการสำรวจเอาไว้
ต้องเดินทางจากห้างราวๆครึ่งวันละก็ กลางป่าที่ลึกที่สุดก็คงอีกสองถึงสามวันไม่เกินนั้นถ้าพรานอ่ำบอกมาไม่ผิด
พรานอ่ำบอกว่าป่าแถบนั้นไม่เคยมีใครเข้าไปแม้แต่พรานเองก็เถอะมันจึงดูรกมาก คงจะลำบากน่าดูถ้าเขาจะเข้าไป
ในป่าอย่างนั้นแต่เดินมาจนถึงตอนนี้จะหันหลังกลับก็คงไม่ทันสะแล้ว กฤตนัยเอนตัวลงนอนเขาอยากพักสักงีบ
รอสายๆค่อยออกเดินทางต่อ เขาแอบหวังไว้นิดๆว่าจะได้เจอกับนาคาตัวจริงและตัวเป็นๆ
-ตอนแรกคิดไว้ว่าตอนนี้จะให้เจอกับเผ่ากินคนก่อนแต่ถ้าเกิดว่าแต่งไปแล้วมันจะยาวมาก ก็เลยตัดแค่ตรงนี้แต่ตอนหน้าได้เจอแน่ๆครับ
-แต่งไปแต่งมารู้สึกว่าเรื่องนี้ป่วงเต็มที มีข้อผิดพลาดหรืออยากเเนะนำอะไรก็บอกเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ
-ขอบคุณนักอ่านที่อ่านนิยายของผมนะครับ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและทุก+ที่กดให้ขอบคุณมากครับ ^^