ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ  (อ่าน 19361 ครั้ง)

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
 :กอด1:เข้ามาเป็นกำลังใจนะ

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
อ้างถึง
"เรื่องนี้ผมได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องมาเพื่อโพสไว้ที่เล้าเป็ดเท่านั้น"

แล้วนามปากกาคนแต่งล่ะคะ?  ขนาดเรื่องที่มีชื่อบอกไว้ตรงหัวเรื่องชัดเจนว่าคนแต่งเป็นใครยังเข้าใจผิดได้ว่าผู้โพสเป็นคนแต่ง แล้วแบบนี้จะมีใครรู้ล่ะคะเนี่ยว่าคนแต่งกับคนโพสคนละคนกัน ไม่ลงชื่อไว้ด้วยแบบนี้ก็เหมือนไม่ให้เครดิตคนแต่งอยู่ดีน่ะแหละค่ะ


แล้วก็..ตรงที่เป็นอักษรสีขาว ปรับเป็นดำได้ไหมคะ ไออ่านจากมือถือแล้วมันอ่านไม่ได้น่ะ

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
เจิ่มไว้ก่อนเดี่ยวมาอ่านตอนนี้ไม่ไหวแล้วง่วงนอนมาก :z3: :t3: :t3:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อ่านแล้วแอบเครียดเหมือนกันนะเนี่ย

chamin

  • บุคคลทั่วไป
แวปเข้ามาดูทางโทรศัพท์ และแอบตอบกลับทางคอมพิวเตอร์


@ roseen
     :กอด1: ขอบคุณมากนะครับ

@ เกริด้า(๐-*-๐)v
     :L2: ขอบคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำและกำลังใจที่มอบให้ ได้แก้ไขให้แล้วนะครับ ส่วนที่บอกให้เปลี่ยนสีนั้น
     ผมเปลี่ยนไว้ให้แล้วนะครับ แต่จะเปลี่ยนไว้ให้ถึงแค่วันที่ 26 และจะเปลี่ยนให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะครับ

@ Noi
     หลับฝันดีนะครับ  :t3:

@ yeyong
     ไม่เครียดหรอกครับ


แวปหายไปจากกระทู้  :m32:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2012 23:22:31 โดย chamin »

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
ในฐานะที่ไอเป็นคนโพสเหมือนกันเลยเข้ามาบอกสักหน่อยน่ะค่ะ เพราะขนาดไอขึ้นชื่อพี่(คนแต่ง)เขาไว้ตั้งแต่ลงเรื่อง+พี่เขาก็ยังมาเคยเอานิยายมาลงเองด้วย+มาคุยเล่นด้วย ยังเคยมีคนคิดว่าไอเป็นคนแต่งได้เลยนะ ไอก็เลยอยากให้คุณรู้ไว้หน่อยน่ะค่ะ ^^

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
เข้ามาอ่านค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 16

            “นนท์ ... ปีนี้วันหยุดปีใหม่  วันที่  31  ธันวา  เป็นวันอังคาร  แล้วก็วันที่  1  มกรา เป็นวันพุธ  วันจันทร์ที่  30  เค้าจะหยุดเรียนให้เราป่าววะ”  ผมถามนนท์  ขณะที่นนท์กำลังทำการบ้าน  โดยที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงนอนคับ  เพราะว่าวันนี้เป็นวันพฤหัสที่  26  คับ  ถ้าเกิดว่าหยุด  พรุ่งนี้ตอนเย็นเลิกเรียนแล้ว  จะได้เตรียมตัวกลับบ้านถูก

            “น่าจะหยุดนะ  แต่ถึงไม่หยุด  กุว่าก็มีคนมาเรียนไม่กี่คนหรอก  นอกนั้นคงโดดกลับบ้านกันหมด”

            “กูว่าหนึ่งในคนที่มาเรียนก็ต้องเป็นเมิงนั่นแหละ  ชิ...  มาก็มาคนเดียวที่ไหนหล่ะ  ลากกุมาด้วย  แทนที่จะได้นอนเล่นอยู่ที่บ้าน นาน ๆ”  ผมทำเสียงกวน ๆ  คับ

            “ป่าวนี่  ไม่ได้บังคับใครซะหน่อย  ถ้าอยากมาด้วยก็ค่อยมา  ไม่มาด้วยก็ไม่ได้ว่า  ปล่อยให้กุมาคนเดียว  กลับคนเดียวก็ได้  ไม่ต้องห่วงกุหรอก”  นนท์ทำเสียง งอน ๆ  คับ

            “อ่า...  ค้าบบบบบ  มาค้าบบบบ  นนท์ไปไหนกฤษไปด้วยค้าบบบบ  ไม่บ่นแล้วค้าบบบบบ”   ผมอ้อนคับ

            “อืม...ดีมาก  หยั่งงี้ค่อยน่ารักหน่อย”  นนท์หันมายิ้มหวานให้ผมคับ  ^^

            สรุปแล้วก็มีประกาศให้วันจันทร์ที่  30  ธันวาคม เป็นวันหยุดราชการคับ  ผมกับนนท์ก็เลยกลับบ้านกัน  เย็นวันศุกร์ที่  27  นั้นแหละคับ  พอเรากลับไปถึงบ้าน....

            “เออนี่ลูกกฤษ  ลูกนนท์  ปีใหม่นี้พ่อกับแม่จะไป ฝาง อะลูก  ลูกสองคนสนใจมั้ย”  แม่ผมถามในวงอาหารเย็นคับ  ผมมองหน้านนท์ให้นนท์เป็นคนตัดสินใจคับ

            “ไปคับแม่  นนท์อยากไปคับ  นนท์ยังไม่เคยไปเลย”  นนท์ตอบแม่คับ  แม่ผมก็ยิ้มกับท่าทางตื่นเต้นของนนท์

            “แล้วเราอะ  เจ้ากฤษว่าไง”  คราวนี้เป็นพ่อผมถามคับ

            “ก็เล่นไปกันหมด  จะทิ้งลูกกฤษ ตาดำ ๆ  อดตายอยู่บ้านคนเดียวหรอคับ  555  ก็ดีเหมือนกันคับ  จะได้ไปกราบของพรหลวงปู่ด้วย  นี่ก็ตั้งแต่สงกรานต์ปีที่แล้วรึป่าวคับพ่อ  ที่ลูกไม่ได้ไปกราบหลวงปู่เลย  ก็มีแต่พ่อกับแม่ไปกันสองคน  ไม่เคยชวนลูกเล้ยยยยย...”  ผมยิ้มแล้วตอบพ่อคับ

            “อ่าว  ไอ้นี่  ก็พ่อกับแม่ต้องไปดูสวนส้มนี่หว่า  พูดยังกะแกว่างให้พ่อชวนหยั่งงั้นอะ ... เป็นอันว่าเดินทางพรุ่งนี้เลยนะ  จะได้อยู่กันหลาย ๆ  วันหน่อย”  พ่อผมเป็นคนสรุปคับ

หลวงปู่ที่ผมพูดถึง  ก็เป็นคุณพ่อของคุณพ่อผมนั่นแหละคับ  แรกเริ่มเดิมทีท่านเป็นพ่อค้าคนเมืองขึ้นล่องค้าขายเชียงใหม่-กรุงเทพเป็นประจำ  เก็บหอมรอมริบตั้งเนื้อตั้งตัวแล้วก็ไปสู่ขอคุณย่าผมที่เป็นลูกสาวกำนันมาเป็นเมีย  สองคนผัวเมียช่วยกันทำมาหากินจนในที่สุดก็เก็บเงินได้ก้อนนึง  เลิกกิจการค้าขายไปซื้อที่ดินทำสวนส้มที่อำเภอฝาง  โดยส่งลูกชายคนเดียวเข้าเรียนคณะเกษตรศาสตร์  มช  เพื่อน ๆ  เริ่มสงสัยแล้วใช่มั้ยคับว่าไหนบอกว่า พ่อผมเป็นครู  เอาเป็นว่า  พ่อผมจบเกษตร  แล้วไปสอบบรรจุเป็นครูประถม  สอนมันทุกวิชาเลยคับ  ตอนนั้นการศึกษาไทยก็ประมาณนี้แหละคับ พ่อเล่าให้ผมฟังว่า  ตอนนั้นย่าอยากให้พ่อเป็นครู  แต่ปู่อยากให้พ่อเรียนเกษตรเพื่อมาดูแลสวนส้ม  ย่าบอกว่าปู่สมหวังตามต้องการแล้วที่พ่อผมจบเกษตร  ต่อไปก็ต้องเป็นครูตามที่ย่าต้องการบ้าง  ปู่เลยตามใจย่า  โดยที่พ่อผมก็ไม่ได้ขัดอะไรคับ^^ 

พ่อผมประจำอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ  สวนนั่นแหละคับ  เลยได้ประโยชน์  2  ทาง  นอกจากจะสอนหนังสือได้เงินเดือนครูแล้ว  ยังได้ใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา  มาช่วยที่สวนด้วย  ส่วนแม่กับพ่อก็มาเจอกันตอนที่พ่อมาเรียนต่อครูจิง ๆ  จัง ๆ  คับ  (ประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นสูง [ปก.ศ.สูง])  เรียนจบก็แต่งงานกัน  จนมีไอ้กฤษกับน้องแพรออกมานี่แหละคับ  ตอนผมอายุประมาณ  2  ขวบ  ย่าผมก็จากไปด้วยโรคมะเร็งตับคับ  ปู่ผมเลยยกทุกอย่างให้พ่อ  แล้วก็บวช  เราย้ายมาอยู่บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้เพราะยายยกที่ดินผืนนี้ให้แม่(ที่ตรงนี้เคยเป็นสวนกล้วยมาก่อนคับ)  ยายอยู่กับป้าผมที่ลำพูน  ส่วนตาผมก็พลีชีพเพื่อชาติตั้งแต่สมัยไปรบกับพวกเวียดกงแล้วคับ  กลับมาแต่เถ้ากระดูกและยศที่ได้เลื่อนเป็นนายร้อยเอก  ยายผมเลยได้เป็นคุณนายหม้ายของผู้กองผ่านศึก  พ่อผมพาแม่ทำเรื่องย้ายเข้ามาที่โรงเรียนในเขตใกล้ ๆ  นี้  (แต่อยู่กันคนละโรงเรียนนะคับ)  แล้วก็มาปลูกบ้านที่นี่เพื่อให้ลูก ๆ  ได้มาโตใกล้ ๆ  เมือง จะได้มีที่เรียนดี ๆ (แม่เป็นคนเล่าให้ฟังคับ)  ส่วนเรื่องสวนส้มก็ให้คนเก่าคนแก่ของปู่ดูแลไปคับ  โดยที่พ่อกับแม่ผมก็ขึ้นล่องดูแลอยู่เป็นประจำ...

รุ่งขึ้น  เราออกจากบ้านประมาณ  7  โมงคับ  โดยที่กินข้าวเช้ากันก่อน  พ่อบอกให้เอารถไป  2  คันเลย  โดยที่คันแรกพ่อขับ  โดยมี แม่กับไอ้เหม่ง เป็นคนโดยสาร  ส่วนอีกคัน ก็เป็นผมกับนนท์คับ (ตั้งแต่เป็นแฟนกันมา  ผมเป็นคนขับตลอดคับ  จิง ๆ  นนท์บอกว่า ถ้าขี้เกียจก็บอก  เดี๋ยวจะมาช่วยขับ  แต่ผมไม่ขี้เกียจหรอกคับ  มีความสุขซะอีก  ขับรถให้แฟนนั่ง  อิอิ)  พ่อบอกว่า  ไปใครไปมัน  ไม่ต้องขับตามกันครับ  นัดกันที่บ้านสวนเลย

“ไกลมั้ยวะ ฝาง อะ”  นนท์ถามผมคับ  หลังจากที่รถค่อย ๆ  เคลื่อนออกจากบ้าน  เราออกทีหลังพ่อกับแม่คับ  เพราะว่านนท์อาสาเป็นคนตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้าน แล้วก็ล็อคบ้าน

“ก็ข้ามหลายอำเภอเหมือนกันนะ  ถ้าขับจิง ๆ  จัง ๆ  ไม่แวะ  ไม่เที่ยว  ซักบ่ายโมงคงถึงอะ”  ผมตอบนนท์ยิ้ม ๆ  คับ

“ไม่ต้องรีบก็ได้มั้ง  แวะเที่ยวไปเรื่อย ๆ  ละกันนะ”  นนท์เปิดเก๊หน้ารถหยิบแว่นกันแดดส่งให้ผม  แล้วก็ยิ้มหวานคับ

“ได้ค้าบ  ไอ้คุณนนท์ที่รัก  เดี่ยวไอ้กฤษจะพาเที่ยวให้สะบั้นหั่นแหลกเลยคอยดูสิ”  ผมยิ้มตอบบ้างคับ

ผมพานนท์แวะนั่นแวะนี่  เที่ยวตามรายทางที่คิดว่า  ไม่ค่อยไกลจากถนนหลักที่มุ่งสู่ปลายทางมากนัก ไปเรื่อย ๆ  คับ  หลังจากที่กลับจากพิดโลกคราวนั้น  ผมกับนนท์ก็ไม่ได้มีโอกาสเที่ยวกันแบบนี้เลยคับ  ตอนนั้นนนท์เป็นเจ้าภาพนำเที่ยว  ทีนี้เป็นถิ่นผม  ผมเลยถือโอกาสทำตัวเป็นไกด์บ้าง  มีความสุขดีคับ  เพราะเรื่องยุ่ง  ๆ  หลาย ๆ  เรื่องที่ผ่านมา  ทำให้เราไม่มีเวลาสวีทแบบนี้นานแล้ว  ผมกับนนท์เลยพยายามตักตวงในช่วงที่มีโอกาสแบบนี้ให้ได้มากที่สุด  โดยที่ไม่ค่อยแคร์สายตาคนรอบข้างมากนัก (แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าเกลียดเกินงามนะคับ  อย่าคิดลึกกัน)  เพราะว่าไม่ใช่ที่ที่เราอยู่เป็นประจำ  ก็ถือซะว่า “เจอกันครั้งเดียว”  เหอะ ๆ

เราถึงฝางประมาณ  บ่าย 3  โมง  โดยที่พ่อ  แม่แล้วก็น้องแพรถึงก่อนแล้วคับ  นนท์โทรบอกแม่แล้วว่าให้กินข้าวไปก่อนเลย  เพราะว่าเราแวะเที่ยวแวะกินมาเรื่อย ๆ แล้ว  แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ขำ ๆ  หาว่าเราสองคนเป็นพวกบ้าเที่ยวเฉย ๆ  แหะ ๆ

“หวัดดีคับอ้ายพงษ์  เป็นจะไดพ่องคับ  สบายดีก่อ”  ผมเปิดกระจกลงยกมือไหว้ชายไวกลางคนคนนึงที่กำลังดูคนงานขนเข่งส้มขึ้นรถอยู่คับ 

“หวัดดีคับนายน้อย...  โอ้ยยยยยย  อะหยั่งมาใหญ่เวยแต๊ว่า  อ้ายหันคราวแล้วนี่ยังตั่วน่อย ๆ  อยู่เลย  หันแฮ๋มเตื้อนี่เป็นหนุ่มแล้วน่อ”  พี่พงษ์หันมาทักทายผมคับ

“โค๊ะ!!!  อ้ายพงษ์อะ  ผมบอกหลายเตื้อละ  ว่าอย่าฮ้องผมหยั่งอั้น  ฮ้องผมว่ากฤษบ่ดายก็ได้เลาะ”  ผมยิ้มทำเสียงเขิน ๆ  คับ  เพราะไม่ค่อยชินที่มีใครมาเรียกผมว่า “นายน้อย” 

“555  คับ ๆ ๆ  ขอโทษคับ  อ้ายบ่ได้ป๊ะคุณกฤษเมินแล่ว  อ้ายลืมหน่ะ  มันติดปากคับ 555”  พี่พงษ์เกาหัวหัวเราะคับ

“ปะเด๋วผมเอาคัวขึ้นเฮือนไปเพี่ยวก่อนเน่อ  เด๋วจะลงมาอู้เล่นโตย  อ้ายพงษ์ยะการไปเต๊อะคับ  ผมบ่กวนละ”  ผมโบกมือเล็ก ๆ  แล้วก็ปิดกระจก  ขับรถต่อ มุ่งหน้าไปที่เรือนไม้ที่อยู่สุดลายถนนคับ

“ใครวะ  ดูท่าทาง  รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ กับ แม่ ไหงไปเรียกเค้าเป็น “อ้าย” หยั่งงั้นอะ” นนท์ทำหน้างง ๆ  แล้วถามผมคับ

“อ๋ออออ  พี่พงษ์อะ...  พี่พงษ์แกเป็นลูกชายของคนในสวนที่ปู่กุส่งเรียนเกษตรเหมือนกันพ่อกุนี่แหละ  แต่คนละสถาบันนะ  จิง ๆ  แล้ว  พี่พงษ์อายุน้อยกว่าพ่อกุไม่กี่ปีหรอก  แต่กุก็เรียกเป็นพี่  เพราะว่ากุเห็นคนงานคนอื่น ๆ  เค้าเรียกกัน  กุเลยเรียกตามเค้าอะ  แหะ ๆ”  ผมหันไปตอบไอ้คุณนนท์ที่พยักหน้าตามอย่างเข้าใจคับ

“เออ...  เห็นเค้าเรียกเมิงว่าอะไรนะ... “นายน้อย”  เลยหรอวะ  แลดูคุณหนูหว่ะ  555  โอ้ยยยยยย.... กุก็เพิ่งรู้นี่แหละ  ว่าแฟนกุเป็นถึง ”นายน้อย” เลยทีเดียว  555”  ไอ้นนท์ได้ทีแขวะผมคับ

“เหอะ ๆ  ที่จิง  กุก็ไม่ได้อยากให้เค้าเรียกกุแบบนั้นหรอก  แต่เค้าก็เรียกกุแบบนั้นทั้งสวนเลย  เค้าเรียกกุแบบนั้นมาตั้งแต่กุเด็ก ๆ  ละ  เค้าเรียกปู่กุว่า “พ่อเลี้ยง”  เรียกพ่อกุว่า “นาย”  เรียกแม่กุว่า “นายแม่” แล้วเลยลามปามมาเรียกกุกับไอ้เหม่งว่า “นายน้อย” อีก  ซึ่งกุไม่ชอบเลย  เพราะกุคิดว่า  กุก็เป็นแค่เด็กคนนึง  แต่บอกใครไปแล้ว  ก็ทำตามแค่ตอนบอกแค่นั้นแหละ  พอซักพักก็กลับไปเรียกเหมือนเดิม  กุก็เหนื่อยจะบอกแล้วเหมือนกัน  แหะ ๆ”  ผมตอบด้วยท่าทางเหนื่อยใจคับ


chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 17

แล้วเรา  2  คนก็เข้ามาถึงตัวบ้านคับ  ผมกับนนท์ก็ช่วยกันขนของลงเข้าไปเก็บไว้ในห้อง  แม่ผมชวนไปตลาดคับ  ไอ้นนท์ไปด้วยโดยที่นนท์บอกให้ผมพักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้คับ  บอกว่าผมขับรถมาเหนื่อยแล้ว 

“เดี๋ยวกุขอไปสวัสดี   ทักทายลุง ๆ  ป้า ๆ ที่เคยช่วยกันเลี้ยง  ช่วยกันเล่นกับกุตอนกุเด็ก ๆ  หน่อยนะ”  ผมขออนุญาตนนท์คับ

“อืมมม  ไปดิ  อย่าลืมเอาของฝากที่เราเอามาไปฝากลุง ๆ  ป้า ๆ  ด้วยหล่ะ  แต่ยังไงก็อย่าถะเหลไถลมากนักนะ  ขับรถเหนื่อย ๆ  ก็กลับมานอนพักผ่อนซะ  เดี๋ยวตอนเย็นจะทำของโปรดให้กิน”  นนท์ทำตาหวานคับ...  ก็เพราะนนท์เป็นนนท์หยั่งงี้ไงคับ  ผมถึงหลงหัวปักหัวปำอยู่นี่ ^^

ผมก็เอาของฝากที่ผมซื้อกับนนท์ระหว่างทางที่มาไปฝากลุง ๆ  ป้า ๆ  คับ (ทีแรกผมชวนนนท์เอามาให้ด้วยกัน  แต่นนท์บอกว่า  นนท์ไม่รู้จักใครเลย  เลยให้ผมเอามาคนเดียว)  ผมก็สวัสดีทักทายไปตามเรื่องตามราวของผมแหละคับ  ซักพักผมก็ขอตัวกลับขึ้นบ้านไปพักผ่อน  ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน  ก็เห็นพ่อกับพี่พงษ์  ยืนคุยกันอยู่คับ  เหมือนพ่อกำลังสั่งอะไรพี่พงษ์อยู่ซักอย่าง  ผมมารู้ทีหลังว่าพ่อให้พี่พงษ์จัดการเรื่องเลี้ยงปีใหม่คนงานคับ  จัดงานวันอาทิตย์ที่  29  ใครอยากอยู่ร่วมก็ได้คับ  หรือใครจะกลับบ้านก็ได้ ไม่ได้ว่ากันคับ 

ตอนกลางวันของวันอาทิตย์ที่  29  พ่อพาเราทุกคนไปกราบนมัสการหลวงปู่ที่วัดคับ  เป็นวัดป่าที่อยู่ไกลออกไปประมาณ  8  กิโลคับ  ดูหลวงปู่ก็ยังแข็งแรงสดชื่นดีคับ  แบบว่าไม่ค่อยเหมือนคนอายุเฉียด ๆ  70  เลย  ตอนไปถึง  ยังเห็นหลวงปู่กวาดใบไม้ที่ลานวัดอยู่เลยคับ  พอหลวงปู่เห็นเรา  ก็ชี้มือบอกให้เราขึ้นไปที่กุฏิเลย...

สนทนาสวัสดีปีใหม่กันได้ซักพัก  พ่อกับแม่เลยขอลงไปกราบหลวงปูอาจารย์เจ้าอาวาสด้วย(ตอนที่พ่อผมเป็นครูใหม่ ๆ  ก็มีหลวงปู่เจ้าอาวาสนี่แหละคับ  ที่ไปช่วยสอนที่โรงเรียนด้วย  เพราะครูไม่พอคับ  พ่อผมเลยนับถือเป็นผู้มีพระคุณคนนึง  ส่วนไอ้เหม่งก็ตามพ่อกับแม่ไปด้วยคับ  แต่ผมกับนนท์ขอนั่งคุยกับหลวงปู่ต่อ หลังจากที่คณะที่จะลงไปข้างล่างลงพ้นบันไดไป  ผมก็ถามสนทนากับหลวงปู่เรื่องสัพเพเหระ  ไปเรื่อย ๆ  คับ  บางทีหลวงปู่ก็สอยบ้างอะไรบ้าง  ตามประสาหลวงปู่กับโยมหลานนั่นแหละคับ  จนเวลาผ่านเท่าไหร่ผมก็ไม่ได้สังเกต  หลวงปู่เงียบไปพักนึง แล้วก็พูดขึ้นคับ...

“สองคนนี้ตั้งใจฟังปู่นะ...เวลาที่เราสามารถมีความสุขกับชีวิตร่วมกัน  ก็เพราะเราทำบุญมาด้วยกันในชาติปางก่อน  ก็ขอให้เราตักตวงมันไว้ให้มากเท่าที่ทำได้  แต่อย่ายึดติดกับมันมากนัก  อย่าลืมว่า  ไม่มีความสุขใดในทางโลกที่อยู่จีรังยังยืน  พอถึงเวลาที่เรามีความทุกข์  ก็ขอให้ตั้งสติให้มั่น  เผชิญหน้ากับความทุกข์เหล่านั้นด้วยสติ  อย่าใช้อารมณ์  แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้  อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด  สัตว์โลกทั้งมวลย่อมเป็นไปตามกรรม  แล้ววันนึง  หลานทั้ง  2  จะได้เห็นในสิ่งที่ปู่พูดในวันนี้  แต่เหนือสิ่งอื่นใด  ก็ขอให้หลานทั้งสองมีความสุขในชีวิตคู่นะ”  หลวงปู่ยิ้ม  แล้วก็หลับตาเข้าสู่สมาธิ  ผมมองหน้านนท์โดยที่มีคำพูดของหลวงปู่ก้องอยู่ในหู ”...ขอให้หลานทั้งสองมีความสุขในชีวิตคู่นะ...”  ผมยิ้มให้นนท์แล้วนนท์ก็ยิ้มตอบผม  แล้วเรา  2  คนก็กราบลาหลวงปู่ลงมาข้างล่างคับ  สวนกับพ่อ  แม่ แล้วก็ไอ้เหม่ง ที่กำลังขึ้นไปกราบลาหลวงปู่เหมือนกัน  ซักพักพ่อ แม่ แล้วก็ไอ้เหม่งก็ลงมาคับ  เราเลยเดินทางกลับบ้านสวน

พอวันที่  30  เราก็เดินทางกลับ  โดยที่  2  วันที่อยู่ที่บ้านสวน  นอกจากออกไปกราบหลวงปู่แล้ว  เราไม่ค่อยได้ออกไปไหนหรอกคับ  ส่วนมากผมจะพานนท์ปั่นจักรยานเที่ยวรอบ ๆ  สวน  ไปสวัสดีคนนู้นคนนี้  บางทีก็ไปช่วยเค้าเก็บส้มคับ  สนุกดี ^^...

แล้วคืนวันที่  31  ธันวาคมก็มาถึง  แม่กับนนท์ทำกับข้าวมื้อใหญ่กินกันที่บ้าน  หลังจากกินฉลองปีใหม่จนพุงกางแล้ว  ก็แยกย้ายกันจะไปพักผ่อน

“ซัก  5  ทุ่ม  45  ลงมาเจอกันที่หน้าทีวีนะทุกคน”  พ่อผมพูดก่อนที่ทุก ๆ  คนจะแยกย้ายกันไป

“คับผม”  ผมกับนนท์ตอบรับพร้อมกันคับ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปห้องใครห้องมัน  วันนี้รู้สึกอากาศจะหนาวกว่าทุก ๆ  วันคับ  พอเข้าไปในห้อง  นนท์ก็เดินไปที่ประตูกระจกบานเลื่อนตรงระเบียง  เปิดผ้าม่านออก  แล้วยืนพิงประตูกระจกมองออกไปข้างนอก  ผมวางของที่โต๊ะหัวเตียง  แล้วก็เดินไปกอดนนท์จากข้างหลังคับ  นนท์เอียงคอมาซบลงที่ไหล่ซ้ายของผม  แล้วก็เอามือขวาอ้อมขึ้นมาเกาะท้ายทอยผมแล้วเกาเบา ๆ  ผมเลยเอาคางเกยที่ไหล่ขวาของนนท์

“ถ้าเกิดว่าวันนึงกุไม่อยู่กับเมิงแล้ว  เมิงจะคิดถึงกุป่าววะ”  นนท์ถามผมคับ

“ถามอะไรของเมิงเนี่ย...”  ผมทำเสียงงง ๆ  คับ

“เมิงเข้าใจคำว่า “ถ้า”  ป่าวเนี่ย...ก็ถามดูเฉย ๆ  อะ...ไม่ได้หรอ”  นนท์ทำเสียงค้อน

“คิดถึงสิ  คิดถึงมากด้วย  แต่กุจะไม่ยอมให้วันนั้นมันเกิดขึ้นหรอก  แม้ว่ากุจะต้องแลกด้วยอะไรที่กุมีก็ตาม  กุจะไม่ยอมเสียเมิงไป”  ผมตอบมั่งคับ

“กุรักเมิงนะกฤษ   รักเมิงมากด้วย  เมิงเป็นคนเดียวที่กุเหลืออยู่  กุอยากจะขออะไรเมิงอย่างนึงอะ  ให้กุได้มั้ย”

“หลาย ๆ  อย่างก็ได้  แค่เมิงอยู่กับกุแบบนี้ตลอดไป  เมิงอยากได้อะไรที่กุหาให้เมิงได้  กุให้เมิงหมดใจเลย  เพราะกุก็รักเมิงมากเหมือนกัน”

“กุอยากให้เมิงสัญญากับกุได้มั้ย  ว่าถ้าวันนึงกุขอให้มึงทำอะไร  เมิงต้องทำตามที่กุบอก  กุขอแค่เรื่องเดียวเท่านั้น  แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก  ถึงเวลา  แล้วกุจะบอกเมิงเอง”

“ทำอะไรวะ”  ผมถามต่อด้วยความสงสัยคับ

“ก็บอกว่าไม่ใช่ตอนนี้ไง  ฟังภาษาคนรู้เรื่องป่าวเนี่ย  ไอ้นี่นิ  555”  นนท์หัวเราะออกมาคับ

“..................................”  ผมเงียบไม่พูดอะไรต่อ

“เอานา...ไม่มีไรหรอก  ไม่ต้องคิดมาก  ตราบเท่าที่เรามีกันและกันแบบนี้  มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยมีอะไรหยั่งกูแล้วแหละ  เมิงคือส่วนที่กุขาดมาทั้งชีวิตของกุ  กุคนนึงแหละที่จะไม่ยอมเสียเมิงไป  ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรที่กุมีเหมือนกัน”  นนท์หันกลับมาจ้องหน้าผมคับ

“นี่จะปีใหม่แล้ว  เรามาลองเรียกกันแบบเพราะ ๆ  ดูมั้ย”  ผมยิ้มแล้วเสนอคับ

“เช่นยังไงวะ”  นนท์ขมวดคิ้ว  ทำหน้างง ๆ  ที่ผมดูยังไงก็น่ารัก ^^

“อืมมมมม  ก็อย่างเช่น  ใช้แทนตัวว่า  ตัวเอง  กับเค้า  อะไรหยั่งงี้อะ”

“แอ๊.......น่ารักไปอะ  กุกระดากหว่ะ  เห็นหน้าเมิงแล้วกุเรียกไม่ลงหรอก  เหอะ ๆ”  นนท์ตอบขำ ๆ  คับ

“รึจะเป็นเรียกเป็นชื่อไปเลย  เช่น  กฤษอยากกินกับข้าวฝีมือนนท์อะ  นนท์ช่วยทำให้กฤษกินหน่อยได้มั้ย  อะไรหยั่งงี้อะ”  ผมเสนอต่อไปอีกคับ

“กุก็ว่ามันดูกระดาก ๆ  อยู่ดีนั่นแหละ  เรียกแบบเดิมก็ดีแล้ว  กุว่านะ  คำพูด มันไม่ได้สำคัญเท่ากับการกระทำหรอก  กุรักเมิง  เมิงรักกุ  กับนนท์รักกฤษ  กฤษรักนนท์  กุก็ว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ  ในเมื่อเราเคยชินกับสิ่งที่ดีอยู่แล้ว  เราจะพยายามเปลี่ยนมันทำไมหล่ะ  จิงมั้ย”  นนท์ยิ้มทำตาหวาน  พร้อมกับ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า  หยิบถุงเท้าออกมา  2  คู่  แล้วเดินไปนั่งที่เตียงนอนคับ  ผมเลยเดินมานั่งข้าง ๆ  นนท์แล้วก็ล้มตัวลงไปนอน

“อืมมมม  นั่นสินะ  แค่เรารักกัน  ก็พอแล้วแหละ  555”  ผมหัวเราะเห็นด้วยกับนนท์คับ  แหะ ๆ 

นนท์ยกเท้าผมขึ้นมาพาดบนตักนนท์  แล้วก็ใส่ถุงเท้าให้ผมทีละข้าง  โดยที่ผมห้ามขัดขืนคับ  เพราะจะโดนนนท์ดุ  จิง ๆ  แล้ว  ตั้งแต่เข้าหน้าหนาวมาเวลาที่ผมนอนหลับไปโดยที่ลืมใส่ถุงเท้านอน  ตื่นเช้ามาผมก็จะเห็นถุงเท้าสวมอยู่ที่เท้าผมทุกเช้าแหละคับ  นนท์จะเตือนผมตลอดว่า  อย่าลืมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน  มันจะได้อุ่น ๆ  หลับสบาย  หลัง ๆ  มาบางวัน  นนท์ก็จะเป็นคนหยิบถุงเท้ามาให้ผมใส่ก่อนนอนบ้าง  รึบางวันเห็นผมเคลิ้มกำลังจะหลับ  นนท์ก็จะเป็นคนสวมให้ผมเองคับ  โดยที่วันไหนที่ผมขัดขืนหรือดื้อก็จะถูกนนท์ดุบ้าง  ตบกะโหลกบ้าง  จนหลัง ๆ  ผมไม่ขัดขืนแล้วคับ  แหะ ๆ  ^^  นนท์ใส่ให้ผมเสร็จ  นนท์ก็ใส่ให้ตัวเองบ้างคับ  ผมเคยจะใส่ให้นนท์เหมือนกัน  แต่ผมก็โดนดุว่า  มันไม่ใช่น่าที่  แหะ ๆ  เป็นไงหล่ะแฟนผม  ประเสริฐเลิศล้ำค้ำจุนโลกแค่ไหน  555

นนท์ใส่ถุงเท้าเสร็จก็ล้มตัวลงมานอนหนุนแขนผมที่กางรออยู่แล้ว  โดยที่ขาของเรา  2  คนยังเหยียบอยู่ที่พื้นห้องอยู่คับ  (นึกออกกันมั้ยคับ แบบว่านอนโดยที่หย่อนขาลงจาเตียงอะ)  เรา  2  คนนอนอยู่ในท่านี้นานเท่าไหร่ไม่รู้

“กฤษ  ได้เวลาลงไปข้างล่างแล้วอะ  ปะ  ไปกัน”  นนท์ชวนผม  พร้อมกับลุกขึ้นนั่งคับ  โดยที่ผมยื่นสองมือออกไปให้นนท์ดึงผมลุกขึ้นนั่ง  นนท์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือมาดึงผมลุกขึ้นนั่ง  ผมยังไม่ยอมลืมตาเลยคับ  นนท์เลยตบกะบาลผมทีนึง...

“อะไรวะ  ขี้เซาจิง ๆ  เลยเมิงเนี่ย  555”

“กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียว  ขอล้างหน้าก่อนแป๊บนึงนะ”  ผมขยี้ตา  แล้วลุกขึ้นเกาะแขนซ้ายของนนท์แล้วเอียงหัวซบลงที่ไหล่

“พาไปหน่อยดิ”  ผมอ้อนต่อคับ

“ไป ๆ ๆ ๆ ๆ  ขี้อ้อนแบบนี้ไงกุถึงต้องใจอ่อนอยู่ทุกวันเนี้ยยยย...”  แล้วนนท์ก็พาผมไปล้างหน้าคับ  ล้างหน้าเสร็จ  ผมกับนนท์ก็ลงมาสมทบกับคนอื่น ๆ  ทีหน้าทีวีที่กำลังออกอากาศบรรยากาศการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่อยู่คับ  พอผมนั่งลงที่โซฟา  ผมก็เห็นแม่เดินออกมาจากในครัว  พร้อมกับถือถาดที่มีแก้วนมวางอยู่  5 แก้ว  ซึ่งแต่ละแก้วก็มีควันลอยเล็ก ๆ  อยู่เหนือแก้ว  เพราะแม่จัดการอุ่นเอามาเสิร์ฟ  กินแก้หนาวคับ  ^^

“...10…9…8…7…6…5…4…3…2…1…สวัสดีปีใหม่ค้าบบบบบบบบบบ”  เสียงพิธีกรในทีวีนับถอยหลังและกล่าวสวัสดีปีใหม่  พร้อมกับเสียงพลุที่มีทั้งเสียงในทีวี  และเสียงพลุจิงที่จุดอยู่แถว ๆ  บ้าน

“สวัสดีปีใหม่คับคุณพ่อ  คุณแม่”  ผมเป็นคนชิงพูดก่อนคับ

“สวัสดีปีใหม่ค้าบบบบบ”  ตามด้วยไอ้คุณนนท์ที่รักยกมือขึ้นไหว้พ่อกับแม่

“สวัสดีปีใหม่คะคุณพ่อ  คุณแม่  พี่กฤษ  พี่นนท์”  แล้วก็ไอ้เหม่งคิวต่อไปคับคับ

“สวัสดีปีใหม่นะคับ  น้องแพร”  นนท์ตอบไอ้เหม่งคับ

เรานั่งดูบรรยากาศปีใหม่ในสถานที่ต่าง ๆ  ที่ถ่ายทอดสดในทีวีได้ซักพัก  เราก็แยกย้ายขึ้นไปนอนคับ  โดยขณะที่เรากำลังจะเดินขึ้นบันได  นนท์ก็มากระซิบที่ข้างหูผมคับ

“รู้สึกข้างบนจะมีของขวัญปีใหม่รออยู่นะ  อยากได้ก็ตามมาเอา”  แล้วนนท์ก็วิ่งขึ้นไปข้างบนบ้าน  เปิดประตูเข้าห้องไปคับ  ผมรีบตามเข้าไป  ล็อคประตูเสร็จสรรพ  แล้วก็ทำการรับของขวัญปีใหม่จากไอ้คุณนนท์ที่รักของผม O_o เอาเป็นว่าของขวัญชิ้นนี้ถูกใจผมจิง ๆ  คับ  555+

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 18

          หลังจากวันปีใหม่ผ่านพ้นไปได้ไม่นาน  พื้นดินที่ว่างของคณะก็มีการใส่ปุ๋ยพรวนดินทำเป็นแปลงดอกไม้เพื่อนำไม้ดอกไม้ประดับมาลงปลูก ให้บานทันฉลองวันแห่งความสำเร็จของพี่ ๆ  บัณฑิตที่จบไปแล้ว  แล้วกลับมารับพระราชทานปริญญาบัตร 

ก่อนหน้าที่จะมีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร  ก็จะมีงานรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ...   ของพี่ ๆ  ในตอนกลางวัน  และมีงานแสดงความยินดี  และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของพี่ ๆ  ที่จบไปแล้ว  ที่ได้ถูกส่งไปทำงานใช้หนี้ภาษีประชาชนตามพันธสัญญาที่ได้ทำไว้ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่คณะนี้  ในตอนกลางคืน  สำหรับงานเป็นการจัดสำรับกับข้าวหรือที่เรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า “ขันโตก”  ให้กับพี่ ๆ  โดยที่ให้พี่ ๆ  บัณฑิตนั่งกับน้อง ๆ  ในสายรหัสเดียวกัน  และพูดคุยแลกเปลี่ยนไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบกัน  หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี

สายรหัสผม  เป็นพวกที่ชื่อขึ้นต้นด้วย  ก.ไก่ คับ  เลยมีสมาชิกครบ  เพราะบางปี  จำนวนนักศึกษาไม่เท่ากัน  เลยทำให้สายรหัสท้าย ๆ  บางสายขาดไปในบางรุ่น

“เออกฤษ  พี่มีเรื่องจะถามหว่ะ  ถ้าตอบไม่ได้ไม่เป็นไรนะ  ไม่ต้องตอบก็ได้”  พี่รหัสปี  4  ที่นั่งอยู่ข้าง  ๆ  ผมถามผมเบา ๆ คับ  พี่ปี 4  จะค่อนข้างสนิทกับน้องปี 1  เพราะเป็นพี่เชียร์น้องเชียร์กัน  โดยที่พี่ปีอื่น ๆ  ก็นั่งคุยไปกินไป   ส่วนมากจะคุยกับพี่บัณฑิตคับ  แต่ยกเว้น  คู่สนทนาที่กำลังเกิดขึ้นนี้... 

“คับพี่ ว่าไงคับ”  ผมตอบรับคำพี่เบา ๆ...  ผมทำตัวไม่ค่อยถูกคับ  เวลาที่ไปนั่งอยู่ท่ามกลางพี่ ๆ  ปีสูง ๆ  ที่ใส่เสื้อกาวน์นั่งล้อมวงกันอยู่  แลดูผมตัวลีบเล็กลงเหลือกระจี๊ดเดียว  ทีแรกตอนประชุมสายรหัสใหม่ ๆ ผมไม่กล้าคุยกับใครในสายรหัสนอกจากพี่ปี  2  ที่ยังแลดูอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน  ก็ผมยังอยู่ปีหนึ่งอยู่นี่คับ  แต่พอเจอกันบ่อยเข้าก็คุยกันมากขึ้น  สนิทกันทุกคนคับ  เพราะว่ามันบุคลิกคล้าย ๆ  กันคือ  ฮา ๆ  บ้า ๆ  บอ ๆ  คับ  แหะ ๆ ^^

“มีเพื่อนพี่ถามพี่ว่าน้องกฤษกับน้องนนท์เป็นอะไรกันรึป่าว  พี่เลยบอกเค้าไปว่าไม่รู้  เห็นเค้าบอกว่า  เวลาเค้าไปเดินหลังมอ  จะเห็น  2  คนนี้ไปด้วยกันตลอดเลย”  พี่สาวแสนดีของผมถามเบา ๆ  แทบจะกระซิบ  ส่วนผมแทบช็อค!!!!!

“อืมมมมม....  พี่จะเอาความจิง  รึว่าเอาแบบไม่จิงดีหล่ะ  แหะ ๆ”  ผมใจดี  ยิ้มสู้คับ

“เอาความจิงดิวะ  แต่จิง ๆ  แล้ว  ไม่บอกก็ได้นะ  พี่ไม่ได้บังคับ”  แหมมมม  ถามขนาดนี้แล้ว  ยังมาพูดหยั่งงี้อีกนะเจ๊

“ไม่เป็นไรหรอกคับพี่  พี่ก็เหมือนพี่สาวผมคนนึง  ถามได้คับ  แต่ว่าต้องสัญญากับผมก่อนว่าจะไม่เอาน้องเอานุ่งไปขาย”   นั่นไง...ผมก็บ้าจี้จะตอบคำถามของคุณพี่ที่รักไปด้วยคับ  แหะ ๆ

“อืมมมม  นา  พี่ไม่ขายหรอก  แต่ให้ฟรีไม่นับนะ  555”  พี่ปุ๋ยคงเห็นแววตาช็อคของผมเลยแกล้งแหย่ผมต่อ

“พี่ปุ๋ยอ่า  อย่านะ  อย่าทำร้ายน้องหยั่งงั้น  แหะ ๆ“  คราวนี้ผมเองคับที่ยิ้มเฝื่อน ๆ  หน้าแดง

“อั่นแน  ทำหน้าเขินแบบนี้  แสดงว่าใช่จิง ๆ  ด้วย....อืมมมมนะ  พี่เข้าใจ  พี่เข้าใจ”  อาร้ายยยยย  ชั้นยังไม่พูดอะไรเลย

 “เข้าใจอะไรพี่  ผมยังไม่เห็นได้พูดอะไรเลย”  ผมยังยอกย้อนต่อคับ

“เอานา  เอาเป็นว่าพี่เข้าใจเรื่องที่พวกแกเป็นอะไรกัน  แต่พี่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนึงหว่ะ”  อะ...เอาเข้าไป  ซักมาให้หมดเลยเจ๊  ไม่ต้องสนใจหรอกว่าน้องมันจะอายรึป่าว

“เรื่องอะไรอะพี่”  ไอ้ผมก็ยังบ้าจี้ไปถามต่ออีกนะ  แหะ ๆ

“อั่นแนะ....  ไม่ปฏิเสธซักคำเลยนะ  ไอ้น้องชาย  555  ...  คือแค่พี่ไม่เข้าใจว่า...เอ่อ  พวกแก  2  คนก็ดูแมน ๆ  ห้าว ๆ  แนว ๆ  กันทั้ง  2  คนแบบนี้  แล้วใครเป็นตัวผู้ตัวเมียวะ“  จ๊ากกกกกกกก........  ถามกันตรง ๆ  หยั่งงี้เลยหรอ!!!

“โถ่เจ๊!!!  ผมไม่ใช่หมานะ  แล้วเจ๊ถามไรของเจ๊เนี่ยยยย  555”  ผมหัวเราะกลบเกลื่อนอาการช็อครอบที่ 2  คับ

“เออหว่ะ  ขอโทษ ๆ  จิง ๆ  มันเป็นเรื่องส่วนตัวแฮะ  พี่ไม่ควรถาม  เอาเป็นว่า  พี่ไม่ได้พูดละกันนะ  แหะ ๆ”  น่าจะรู้ตัวตั้งแต่คำถามแรกแล้วนะเจ๊ -*-!

“เหอะ ๆ  พี่ปุ๋ยอ่า  อย่าไปเล่าให้ใครฟังหล่ะ  กลัวคนอื่นเค้าจะรับไม่ได้อะ  คนอื่นเค้าไม่เหมือนเจ๊นะ  ที่จะได้ไม่รู้สึกรู้สา  ถึกทึนทนทานกับเรื่องที่อ่อนไหวต่ออารมณ์แบบนี้ได้”

“แอแร๊ยยยยยยย  นี่แกว่าชั้นด้านหรอ”

“แหะ ๆ  น้องไม่ได้พูดน้า 555.......” 

ก็เลยกลายเป็นว่า  คนที่รู้เรื่องของผมกับนนท์ก็เพิ่มขึ้นมาอีก  1  คน คนอื่น ๆ  ก็แค่สงสัยคับ  แต่ไม่กล้าถาม  หรือถ้าถามผมก็แค่หัวเราะ  เหอะ ๆ ๆ  เฉย  ไม่ได้พูดเป็นนัยให้รู้แบบที่ผมพูดกับพี่ปุ๋ย  ผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดถูกคิดผิดที่ทำให้พี่เค้ารู้แบบนี้  แต่ไม่เป็นไรคับ  ก็ในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป  อะไรจะเกิดในวันข้างหน้าก็ค่อยว่ากัน...

เมื่อถึงวันงานจริง  นักศึกษาชั้นปีที่  1  ได้รับมอบหมายหน้าที่(บังคับ)สำคัญในการแต่งชุดพิธีการเข้าร่วมกิจกรรมในตอนเช้าที่หอประชุมใหญ่  ชุดพิธีการที่ผู้ชายจะต้องแต่งขาวล้วนทั้งเสื้อและกางเกง  ผูกไทด์สีม่วง สวมรองเท้าดำ  ส่วนผู้หญิงต้องสวมเสื้อขาวปิดกระดุมคอ  ส่วนกระโปรงใส่ทรงสอบสีม่วง  และสวมรองเท้าคัดชูหนังสีดำ  มันเป็นชุดนึงที่ผมชอบ  เพราะดูแล้วแลดูรักสถานบันดี  555  หลังจากกิจกรรมช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง  เมื่อพี่ ๆ  บัณฑิตกลับออกมาจากหอประชุม  พี่ก็จะเดินทางไปที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์รวมของซุ้มถ่ายรูปที่คณะต่าง ๆ  ได้สร้างขึ้นเพื่อกาลนี้โดยเฉพาะ  และที่สำคัญ  คือเป็นที่ตั้งของวิหาร(ศาลา)  ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานประจำมหาวิทยาลัย  ให้พี่ ๆ  ได้มาสักการะในวันสำคัญแบบนี้กัน

บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความยินดี  ความสุข  เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม  แว็บหนึ่ง  ผมเห็นนนท์ส่งยิ้มให้ผม  ขณะที่นนท์ถือช่อดอกไม้เดินเข้าไปถ่ายรูปในซุ้มกับพี่บัณฑิต  ผมส่งยิ้มตอบ  แล้วเดินฝ่าฝูงชนอันแออัดจอแจเข้าไปหานนท์  ที่ตอนนี้ถ่ายรูปเสร็จแล้ว  นนท์เห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็หลีกหนีจากฝูงชนเดินออกมาหาผม

 เรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้สีต่าง ๆ  ผมยกกล้องถ่ายรูปขึ้น  นนท์รู้งานยิ้มหวานสู้กับแสงแดดที่แรงกล้าให้ผมได้เก็บภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก  พอดีที่พี่ปุ๋ย  โผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบ โดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว

“อั่นแน....  แอบมาสวีทกันอยู่นี่นี่เอง   พี่เค้าให้มาตามไปถ่ายรูปรวมอ่า  ไปกันยัง”

“ขออีกรูปได้มั้ยคับพี่  อะ..นี่  พี่ปุ๋ยถ่ายให้หน่อย”  ผมส่งกล้องถ่ายรูปให้พี่ปุ๋ย  แล้วเดินอ้อมแปลงดอกไม้ไปอีกฟากนึงที่นนท์กำลังยืนอายหน้าแดงอยู่  เพราะนนท์ไม่คิดว่า  พี่ปุ๋ยจะแซวต่อหน้าแบบนี้  แล้วนนท์ถึงกับช็อคห่อไหล  พร้อมกับเสียงอุทานปิดปากของพี่ปุ๋ย  เมื่อผมเดินเข้าไปแล้วกอดนนท์จากด้านหลังแล้วเอาคางเกยที่ไหล่ของนนท์

“เอ๊าพี่  ถ่ายดิ  เร็ว ๆ  เดี๋ยวก็มีใครมองผ่านมาทางนี้ก่อนไม่ได้สวีทกันพอดี  เห็นพี่ว่าผมสวีทไง  เดี๋ยวจะสวีทให้ดู”  ผมแกล้ง  พี่ปุ๋ยคับ  แหะ ๆ  ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมบ้าอะไรที่กล้าทำแบบนั้น  ทั้ง ๆ  ที่คนก็ไม่ใช่น้อย ๆ  นะ  เพียงแต่ว่า  แปลงดอกไม้ตรงนี้มันค่อนข้างแดด (แต่ถ่ายรูปแล้วสวยคับ  ผมลองดูแล้ว)  คนเลยเลี่ยง ๆ  ออกไป  แต่ถ้ามองเข้ามาก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น  ถ้าเป็นทุกวันนี้  มันเรียกว่า  “ไม่แคร์สื่อ” รึป่าวอะ  แหะ ๆ

“แว้กกกกกก...  ทำอะไรเกรงใจคนโสดหยั่งเจ๊มั่งดิวะ  ไอ้พวกนี้นี่  เอ้า...1…2…3”  แชะ  เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น 

“ขอบคุณค้าบ  พี่สาวสุดที่รักของน้อง  555”  ผมเดินอ้อมแปลงดอกไม้กลับไปรับกล้องจากพี่ปุ๋ยคับ  พี่ปุ๋ยเลยตบกะโหลกผมทีนึง

“ทำอะไร  ระวังหน่อยดิวะ  เดี๋ยวก็เป็น Topic  ขี้ปากชาวบ้านหรอก  แกอะมันไม่เท่าไหร่  แกมันพวกหน้าด้าน  แต่สงสารนนท์มัน  ดูซินั่นหน่ะ  หน้าแดงหมดแล้ว  ชั้นก็เตือนแกได้เท่านี้แหละ  ทุกวันนี้ยิ่งมีคนสงสัยเยอะ ๆ  อยู่”  พี่ปุ๋ยเตือนผมคับ  ขณะที่นนท์กำลังเดินอ้อมแปลงดอกไม้มาหาผมกับพี่ปุ๋ย

“หวัดดีคับพี่ปุ๋ย”  นนท์ยกมือไหว้สวัสดีพี่ปุ๋ย  แล้วก็ยิ้มหวานแบบอาย ๆ  คับ

“เออนนท์  เวลาที่ไอ้นี่มันทำอะไรบ้า ๆ  แบบนี้ก็อย่าไปยอมมันมาก  ไอ้นี่มันหน้าด้าน  ไม่ได้น่าทะนุถนอมเหมือนน้องนนท์ของพี่”

“ของผม... ไม่ใช่ของเจ๊   อย่ามาโมเม”  ผมทำตาเขียวใส่พี่ปุ๋ยคับ  ไอ้นนท์ขำก๊ากออกมา

“เออ ๆ ๆ ๆ  ไปละ  รีบตามไปหล่ะ  อย่าให้พี่เค้ารอนาน”  พี่ปุ๋ยพูดเสร็จก็เดินฉับ ๆ ๆ ๆ   ออกไปคับ

“เมิงอายป่าววะที่กุทำเหมือนเมื่อกี๊นี้”  ผมถามยังไม่ทันจะสิ้นเสียงสุดท้าย  ไอ้นนท์หยิกที่แขนผมแล้วทำตาเขียว

“เมิงจะทำอะไร  ช่วยนัดกุก่อนนิดนึงได้มั้ยยยยย  กุรู้ว่าพี่ปุ๋ยรู้เรื่อง  แต่กูก็อายเป็นนะเฟ่ย  ให้กุตั้งตัวก่อนบ้างอะไรบ้างงงงง”  นนท์ยังหยิกต่อโดยไม่ยอมปล่อยมือ  ผมทำหน้าเจ็บบิดไปบิดมา

“อ่า...ขอโทษค้าบบบบบบ  ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้วค้าบบบบบบ”  ผมทำเสียงอ้อน ๆ  รู้สึกผิดคับ  นนท์ยอมปล่อยมือในที่สุด

“แต่ก็ชั่งมันเหอะ  จิง ๆ  ก็อายพี่ปุ๋ยเท่านั้นแหละ  กลัวเค้าจะมองเมิงไม่ดีอะ  ส่วนตัวกุเอง  กุก็ไม่ค่อยแคร์อะไร  ถ้าจะมีคนที่กุต้องแคร์  ก็มีแต่เมิงเท่านั้นแหละ  ปะ  ไปได้แล้ว  เดี๋ยวพี่เค้ารอนาน...  เจ็บป่าวอะ  ขอโทษนะ  แหะ ๆ  ดูดิแดงเลย  เดี๋ยวกลับไปทายาให้นะ”  นนท์ยิ้มหวานแล้วก็ผลักหลังผมให้ออกเดินกลับไปทางฝูงชนอีกครั้งคับ

วันนี้ถึงจะค่อนข้างเหนื่อยเพราะต้องวิ่งไปวิ่งมาถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้  แต่ผมก็มีความสุขคับ  มีความสุขตั้งแต่ประโยค  “...กุก็ไม่ค่อยแคร์อะไร  ถ้าจะมีคนที่กุต้องแคร์  ก็มีแต่เมิงเท่านั้นแหละ...”  ตกเย็นเราออกไปกินข้าวกับสายรหัสคับ  พี่บัณฑิตพาไปเลี้ยง  เราไปกันคนละที่  แล้วก็กลับมาเจอกันที่หอ  โดยที่นนท์กลับมาถึงก่อนผม  อาบน้ำอาบท่าเสร็จ  นนท์ก็เอายาหม่องออกมาทาตรงที่นนท์หยิกผม  จากสีแดงมันเริ่มมีสีเขียวปน ๆ  แล้วคับ  แหะ ๆ  นนท์ทาไปขอโทษไป  ทำหน้ารู้สึกผิดจนผมก็พลอยอดหดหู่ไปด้วยไม่ได้  ผมก็เลยปลอบว่าไม่เป็นไร  เพราะผมเป็นคนผิดเอง  ถูกลงโทษบ้างจะได้เข็ดหลาบ  พอดีกับที่ไอ้พี่บอย  รูมเมทนินจา (ผลุบ ๆ  โผล่ ๆ)  ของเราโทรมาหาผม  บอกว่า  ตอนนี้อยู่ที่เยาวราช  ถามผมกับนนท์ว่าจะกินเกาลัดจีน  หรือเกาลัดญี่ปุ่นดี  จะซื้อกลับมาฝาก  ผมเปิดลำโพงคุย  ไอ้นนท์เลยบอกให้ซื้อมาทั้งคู่เลย  แหะ ๆ  ของฟรีคับ  555 (จิง ๆ  พี่บอยเป็นคนใจดีคับ  ไปไหนมาไหน  มักจะมีของมาฝากผมกับนนท์เสมอ ๆ)  วางสายไป  ผมอนุมานได้ว่าวันนี้พี่บอยไม่กลับมานอนหอชัวร์  ผมมองหน้าสบตากับนนท์แป๊บนึง  แล้วผมก็จู่โจมนนท์ทันที  นนท์ก็ไม่ขัดขืนคับ  ช่วยผมทำกายภาพบำบัด.....  O_o!  เพื่อเร่งการหายของแผลรอยหยิกที่นนท์ทำไว้  แหะ ๆ 

            ในที่สุด  การเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่  1  ก็กำลังจะจบสิ้นลง  เมื่อการสอบวิชาสุดท้ายกำลังจะหมดเวลาทำข้อสอบ  และหลังจากนี้  คือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยที่จะตักตวงความสุขจากการพักผ่อนให้เต็มที่  หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาเป็นเวลากว่า  1  ปี  และเตรียมตัวที่จะย้ายจากวิชาวิชาพื้นฐานที่เรียนเก็บหน่วยกิตในมอ  มาเป็นตัวบังคับที่ต้องข้ามมาเรียนที่คณะ

            “เฮ้อออออออ....สอบเสร็จซะที  เราจะกลับบ้านกันวันไหนดีวะ”  ผมถามนนท์ขณะที่เดินสะพายกระเป๋าออกมาจากห้องสอบสถิติ  วิชาสุดท้ายของภาคเรียนนี้  โดยที่มีนนท์นั่งรอผมอยู่หน้าห้องสอบ  เพราะนนท์ทำข้อสอบเสร็จก่อนที่จะหมดเวลา  ส่วนผมนั่งตรวจแล้วตรวจอีก  เพราะวิชาสถิติ  เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความละเอียดในการคำนวณ  ซึ่งผมไม่ค่อยจะมี  เลยต้องดูให้นาน ๆ  หน่อย  แหะ ๆ

            “แล้วแต่เมิงดิ  อยากกลับเมื่อไหร่ดีอะ  จิง ๆ  กลับวันนี้เลยก็ดีนะ  กลับไปเอารถ  พรุ่งนี้จะได้ย้ายของออกจากหอในเลย”  นนท์เสนอความคิดเห็นคับ  เมื่อหมดชั้นปีที่  1  คณะของผมต้องย้ายเข้าไปพักที่หอพักคณะที่อยู่บริเวณด้านหลังของคณะคับ

            “อืมมมม  ก็ดีหว่ะ  ปะ  กลับกันดีกว่า”  นนท์ลุกขึ้นเดิน  ผมกอดคอนนท์แล้วก็เดินมาหยั่งงั้นจนถึงหอ  มันก็ดูไม่ได้น่าเกลียดอะไรหรอกคับ  ดูแบบเป็นเพื่อน ๆ  กอดคอกันมากกว่า ดูเผิน ๆ  ไม่มีใครรู้หรอกว่า  ไอ้  2  ตัวนี้เป็นอะไรกัน  อิอิ

            เก็บของเสร็จผมก็พานนท์ซ้อนรถมอไซค์กลับบ้าน  แล้ววันรุ่งขึ้น  ก็ขับถกลับมาที่หอพัก  เพื่อย้ายของออกจากหอในกลับไปเก็บไว้ที่บ้าน.....  ขณะที่ผมกำลังขนของขึ้นรถอยู่นั้น  ไอ้เต  ประธานรุ่น (หัวหน้าแก๊งค์)เดินมากับไอ้วัท  ประธานเชียร์  ก็เดินเข้ามาคุยกับผมกับนนท์ 

            “วันพูก  ฮาเขาจะไปแอ่ว ดอยอินท์ กันอะ  คิงเขา  2  คนไปโตยกันก่อ”  ไอ้วัทเป็นคนชวนคับ

            “แล้วไปกันกี่คนอ่า  มีไผไปพ่อง”  ผมเจรจา  โดยที่ตอนนี้  เราทั้ง  4  คนเดินมานั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนหน้าหอแล้วคับ

            “ก็มีฮา  มีเต  มิกกี้  ยอด  ต้า  กัน  หน่อย  แก้ม  แอ๊ม  กุล  แล้วก็ชวนคิงเขา  2 คนเนี่ย”  ไอ้วัทพูดต่อคับ

            “แล้วไปกันยังไงวะ”  นนท์เป็นคนซักบ้างคับ

            “เราว่าจะขับรถขึ้นไปอะ  คันนึงให้เป็นรถผู้หญิง  หน่อยเป็นคนขับ  นั่งไปกับแก้ม  กุลแล้วก็แอ๊ม  คันนึงเป็นรถกระบะของไอ้วัทมัน  ก็ให้พวกผู้ชายนั่งกันไป  พ้อมกับสำภาระจำเป็น

            “แล้วนอนกันอย่างใดอ่า  กางเต็นท์กันก๋า”  ผมถามต่อคับ

            “ก็ว่าจะลองติดต่อขอเช่าบ้านพักดูก่อนอะ  ถ้าได้ก็นอนบ้าน  ถ้าไม่ได้ก็นอนเต็นท์  ยังไงก็เตรียมไปด้วยอยู่แล้ว”  เตตอบต่อคับ 

            “ว่าไงวะนนท์”  ผมมองหน้านนท์ให้นนท์เป็นคนตัดสินใจ  ส่วนผม  ยังไงก็ได้คับ  นนท์ไปไหน  ผมไปด้วย  ^^

            “อืมมม  ยังไงก็ขอคุยกับพ่อกับแม่ก่อนอะ  วันนี้ค่ำ ๆ  เดี๋ยวโทรหาอีกทีละกันนะ”  นนท์ตอบเตกับวัทคับ

            “เออออ  ไหน ๆ  คิง  2  คนก็มาแล้ว  อย่าฮื่อเสียเที่ยว  ถ้าอยู่ว่าง ๆ  เวิ่น ๆ  จ้วยฮาขนของน่อยบ๋อ  ขน  2  คนนี่อิดขนาดเลยบะเฮ่ย  ของมันนักอ่า”  ผมได้ที  ใช้เพื่อนต่อคับ   555

            “เออ ๆ ๆ ๆ คิง  2  คนนี่หนา  แล้วหยั่งมาฟั่งเพี่ยวของปิ๊กบ้านเหียอะ  บ้านก็บ่าได้ติดหนี้ ธ.ก.ส. บ่าใจ้ก่า  เปิ้นบ่มาย้ายเสาบ้านหนีลุ”  ไอ้วัทกัดผมคับ

            “บะห้านี่บะเฮ่ย  ลูกเปิ้นมีป้อมีแม่  ป้อแม่เปิ้นกึ๊ดเติ๋ง  เลยต้องฟั่งปิ๊กบ้าน  บ่ใจ้ละอ่อนใจแตกป้อแม่บ่สนใจ๋เหมือนคิงเลาะ  แล้วคิงจะจ้วยกาว่าบ่จ้วย  ถ้าบ่จ้วยก็ปิ๊กหอไปหลับเหียไป”  ผมกัดคืนบ้างคับ

            “เออ ๆ  ฮาบ่เถียงคิงละ  ไป ๆ  พาขึ้นไปกะ  ฮาจะจ้วยขน  จะได้ปิ๊กไปหาป้อหาแม่”  ไอ้วัทเหมือนจะยอม  แต่ก็แอบกัดเล็ก ๆ  คับ

            “ปะ  ไปกัน”  นนท์ขำผมเถียงกับไอ้วัทคับ  นนท์บอกว่า  ถ้าเถียงกันด้วยภาษาไทยกลางนี่จะดูเครียด ๆ  กัน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้ภาษาถิ่นแล้ว  มันจะขำ ๆ  คับ  จิง ๆ  ผมก็ไม่ได้จิงจังอะไรหรอกคับ  เถียงกันกัดกันวันละนิด จิตแจ่มใสคับ  กัดเอาฮา  ไม่ค่อยมีสาระนัยสำคัญอะไรหรอกคับกับไอ้พวกเพื่อน ๆ  พวกนี้

            เตกับวัทช่วยผมกับนนท์ขนของจนเสร็จ  แล้วก็ขอตัวกลับหอไปอาบน้ำนอน  หลังจากที่สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน  ไอ้สองตัวนี้ก็อาบน้ำแล้วไปขลุกอยู่ร้านเกมจนสว่างคับ  รุ่งเช้าค่อยกลับมา  พอดีตรงที่ผมจอดรถเป็นทางผ่านไปหอของไอ้  2  คนนี้พอดี  มันเลยเดินเข้ามาทักทาย  เลยถูกผมใช้ต่อ  ผมมารู้ก็ตอนที่มันขอตัวกลับนั่นแหละคับ  เพราะมันบอกว่าจะกลับไปนอน  เพราะเมื่อคืน  ไม่ได้นอน  เล่นเกมทั้งคืนเลย  555  เป็นไงหละ  เพื่อนผมแต่ละคน  แสบ ๆ  ทั้งนั้น  แต่เรียนเก่งชิบหายวายวอดเลยคับไอ้พวกนี้  เรียนไปเล่นไปก็ได้คะแนนมากกว่าผมที่นนท์เคี่ยวเข็นให้อ่านหนังสือเกือบทุกวันด้วยซ้ำ

            ผมกลับถึงบ้าน  ขนของเข้าไปเก็บในที่ที่มันควรจะอยู่แล้วผมก็ลงมาคุยกับแม่ที่กำลังนอนตะแคงบนโซฟาดูทีวีอยู่คับ

            “แม่คับ  เพื่อนมันชวนไปเที่ยวดอยอินทนนท์อะคับ  ลูกกับนนท์เลยว่าจะมาขออนุญาตแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนคับ”  ผมนั่งลงโซฟาอีกตัว แล้วเอ่ยปากขออนุญาตพร้อมกับส่งขนมกินเล่นที่วางอยู่ตรงโต๊ะรับแขกส่งเข้าปาก

            “ไปกันกี่คนหล่ะลูก  แล้วไปกันยังไง”  แม่ผมถามคับ  พร้อมกับกินขนมไปด้วยอย่างสบายอารมณ์  หลัง ๆ  มาแม่เริ่มปล่อยผมเที่ยวบ้างแล้วคับ  แม่บอกว่าแม่ไว้ใจมากขึ้น  เพราะมีนนท์คอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนแม่  แม่รู้คับว่าผมกับนนท์ไม่ข้องแวะกับแอลกอฮอล์อยู่แล้ว  แต่ว่าผมจะเป็นประเภทบางทีก็ป้ำ ๆ  เป๋อ ๆ  ไม่ค่อยรอบคอบคับ  แม่เลยเป็นห่วง  พอแม่เห็นนนท์ที่เป็นคนละเอียดรอบคอบมาเป็นเงาอยู่ใกล้ชิดผม  แม่เลยเบาใจห่วงผมน้อยลง ทั้งที่แม่หารู้ไม่  ว่าลูกนนท์คนดีของแม่  ตกเป็นลูกสะใภ้แม่ไปเรียบร้อยแล้ว

            “ถ้ารวมลูกกับนนท์  ก็เป็นโหลนึงพอดีคับ  เป็นผู้ชาย  8  คน  ผู้หญิงอีก  4  คน”  ผมตอบแม่ยิ้ม ๆ  คับ  หันไปมองนนท์ที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วย  หลังจากที่จัดการกับข้าวของในห้องซักพักใหญ่

            “นนท์ว่าไงอะลูก  อยากไปรึป่าว”  แม่ผมถามนนท์ ขณะที่นนท์หย่อนก้นลงนั่งพื้นหน้าโซฟาตัวยาวที่แม่นอนตะแคงอยู่คับ

            “นนท์ก็อยากไปเหมือนกันคับแม่  คงสนุกดีเหมือนกันไปกันหลาย ๆ  คน”  นนท์ยิ้มหวานตอบแม่คับ

            “อืมมมม  โอเค  เอาเป็นว่าแม่อนุญาต  แล้วจะไปกันเมื่อไหร่หละ”  นั่นไงคับ... ถ้านนท์บอกว่าไม่อยากไปเนี่ย  แม่ก็คงจะไม่อนุญาตผมแบบนี้หรอกคับ  555

          “โอ้ยยยย  หมั่นไส้จิง  ถ้าลูกนนท์ไม่บอกว่าอยากไปเนี่ย  ลูกกฤษจะได้ไปมั้ยเนี่ย  คุณแม่.......”  ผมแขวะแม่คับ  ^^

            “พูดมากเดี๋ยวเหอะเจ้ากฤษ  แม่จะไม่ให้ไป  จะให้นนท์ไปคนเดียว... ตกลงจะตอบได้ยังว่าจะไปวันไหน  ฮะ...ว่าไงกฤษ”

            “พรุ่งนี้คับแม่  ผมว่าจะขับรถไปเองด้วยอีกคันนึง  เพราะว่ารถที่พวกเพื่อน ๆ  จะเอาไปเป็นรถกระบะ  ลูกกับนนท์คงจะได้นั่งหลังคับ  บนดอยท่าทางจะหนาวแล้วก็คงจะหมอกจัดอยู่  เดี่ยวเจ้าลูกนนท์ของคุณแม่จะไม่สบายเอาคับ”  ขั้นตอนต่อไปของผมคือ  ขอเอารถไปคับ

            “อืมมมม  ดีเหมือนกัน  แต่ยังไงก็ขับระวัง ๆ  นะลูก  ถึงทางมันจะไม่ลำบากมากนัก  แต่ถ้าขับรถเหนื่อยก็พักก่อนนะลูก  แม่เป็นห่วง”  ยังไง้ยังไง  ถึงจะไว้ใจแค่ไหน  แม่ผมก็ไม่ทิ้งลายแม่ดีเด่นแห่งชาติคับ  ^^


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






chamin

  • บุคคลทั่วไป
ครั้งนี้โพสให้ 3 ตอนเลยละครับ เผื่อเน็ตเน่าอีก

@ เกริด้า(๐-*-๐)v
   
    ขอบคุณมากๆครับคุณนักโพสรุ่นพี่^^  ส่วนเรื่องเปลี่ยนสี ในตอนที่ 5 นั้นผมขอเปลี่ยนกลับเป็นสีขาวเหมือนเดิมนะครับ
เพราะคำที่พี่เขาพิมพ์มาในต้นฉบับค่อนข้างที่จะเห็นภาพพอสมควร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านโยบายเกี่ยวกับบท NC ของเล้า
จะเป็นอย่างไร ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ  :m5:

@ nongrak

     :กอด1: ยินดีต้อนรับครับ

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
รับเรื่องใหม่ :mc4:
ขอเวลาตามอ่านให้ครบก่อนนะครับ
เหมือนจะได้กลิ่นไอเศร้าๆ นะ
+1

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ก็น่ารักดีนะคับโคตรอิจฉาคับผมคงไม่มีโอกาสได้เจอมันหรอกความรักเพราะไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความรัก

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
อดคิดตามที่หลวงปู่พูดไม่ได้ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้เหรอ
แต่ก็เนอะ ช่างเหอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ตอนนี้ขอให้รักกันมากๆล่ะกันนะกฤษ-นนท์

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ตอนนี้ยังไม่มีอะไร
แต่ก็แอบหวั่นกับอนาคตข้างหน้า

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้เน็ตในคอมช้ามากๆเข้าเล้าไม่ได้เลยคร้บ ขอลงให้พรุ่งนี้นะคร้บ นี่ใช้โทรศัพท์แอบมาบอกข่าวครับ

Bench

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ beery25

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 808
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-0
คนที่รักกันเขาดูแลใส่ใจกันมากจนน่าอิจฉา กฤษได้แฟนดีมากๆๆ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ติดตามครับ ความรักนีจะชั่วนิรันด์หรือไม่นะถ้าไม่ผมคงเศร้าใจมากแน่ๆสงสารนายเอกมากแน่ๆเพราะไม่มีใครนอกจากญาติที่พิษโลกอ่ะ

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 19

            เนื่องจากบ้านผมก็ค่อนออกมาทางที่จะเป็นเส้นทางที่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์  ถึงจะเป็นถนนคนละสาย  แต่ก็จะเสียเวลามากถ้าจะใช้ในมอเป็นจุดนัดพบ  เพื่อน ๆ  ทุกคนเข้าใจข้อนี้ดี  เราเลยนัดพบกันที่ตลาด อำเภอสันป่าตอง (เป็นทางผ่านคับ)  ตอน  7  โมงเช้า  ผมกับนนท์มาถึงก่อนเพราะจากบ้านผม  มายังจุดนัดพบ  ใกล้กว่าขับรถมาจากในมอ  เวลาผ่านไปประมาณ  10  นาที  รถ  2  คนก็ขับตามกันเข้ามาในที่จอดรถตลาด  สังเกตได้ว่ากลุ่มวัยรุ่นชายฉกรรจ์ที่นั่งมาในกระบะรถนั้น  คือเพื่อนเราเอง  แหะ ๆ

            ผมกับนนท์เดินตรงไปที่รถที่กำลังจอดสนิทเพื่อคุยปรึกษาวางแผนการเดินทางและหาจุดนัดพบครั้งต่อไป  เพราะถ้าขับตามกันจะเสียเวลามาก  อีกอย่างนึงคือ  ในรถแต่ละคัน  จะมีเจ้าถิ่นนั่งไปด้วยอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นก็จะตัดปัญหาเรื่องหาที่นัดพบไม่เจอออกไปได้เลย

            “คิงเขาหยั่งมาจ๊าบะ  ฮาเขามาคอยเมินแล่วหนา”  ผมเปิดฉากเฉาะไอ้วัท  สารถีรถกระบะ  ขณะที่มันเปิดประตูรถออกมา

            “โอ้ยอ้ายยยยยย  นี่ยังบ่าถึงเวลานัดเตื้อเล้ย  ฟั่งไปหาป้อคิงก่า  หาข้าวหาปลากิ๋นก่อนกะ...  อีหล้าเหย  หาเสบียงเลยลูก”  ไอ้วัทกัดผมคืน  แล้วก็หันไปสั่งให้สาว ๆ  เข้าตลาดไปซื้อเสบียงคับ

            ”มึง  2  คนนี่  เมื่อไหร่จะเลิกปัญญาอ่อนกันซักทีวะ   555...  แล้วแฟนเมิงไม่ไปด้วยหรอวะ  วัท“  ก็ตามเคยแหละคับ  ไอ้คุณนนท์ที่รัก  ขำตลอดเวลาที่เห็นผม  กัดกับไอ้วัท

            “อ๋ออออ  กลับบ้านไปแล้ว  เห็นว่ามีธุระที่จะไปทำเลยมาไม่ได้  เที่ยวเสร็จนี่  กุก็ว่าจะไปเยี่ยมว่าที่พ่อตาแม่ยายเหมือนกันหว่ะ  เมื่อคืนโทรมา  บ่นว่าคิดถึง  เหอะ ๆ”  ไอ้วัทหันไปตอบนนท์คับ  ไอ้นี่มันมีแฟนอยู่แล้ว  แต่อยู่กันคนละคณะ  รักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม  เข้านอกออกในที่บ้านฝ่ายหญิงได้ตลอด  เพราะว่าพ่อแม่เค้าไว้ใจ  เห็นว่าผู้ใหญ่ของทั้ง  2  ฝ่ายรู้จักกัน

            “โค๊ะ...สำคัญตัวเก่าน่ออออ  ไผเอาคิงไปเป็นลูกเขยนี่หนา  ฮาว่าบ้านคงจะเป็นอัปมงคลบะเห้ยยยย  555”  ผมได้ทีกัดต่อโดยไม่ลดละ  โดยมีไอ้คุณนนท์ที่รัก  หัวเราะอย่างไม่ลดละเช่นกัน  แหะ ๆ

            “เอ้ออออ  ว่าไป  บะตั่วสลีบ้านสลีเมือง  ไปไหนขอฮื่อเจริญ ๆ  เต๊อะป้อคุณเหยยยย ขึ้นดอยคราวนี่ขอฮื่อได้เมียวอกโตยยยย”  ไอ้วัทยกมือใส่หัวแล้วก็เดินทำหน้าเบื่อหน่ายเข้าไปในตลาดตามเพื่อน ๆ  คนอื่น ๆ  ที่ตอนนี้เดินเข้าไปหมดแล้ว  ผมมองหน้านนท์ที่กำลังขำอยู่ก็ถึงกับสะอึก  กับคำของไอ้วัท ที่ว่า “...ขอให้ได้เมียลิง...”  ผมก็หัวเราะก้ากออกมาคับ  นนท์เลยตบกะโหลกผมทีนึง

            “ขำเหี้ยอะไรของเมิงฮะ ไปได้แล้ว  ไปหาเสบียงบ้าง  เดี๋ยวเถอะ  กุจะปล่อยให้อดตาย  ไอ้ห่าวัทนั่นก็เหมือนกัน  กุอยู่ดี ๆ  ก็มาว่ากุเป็นลิง  แค้นนี้กุต้องชำระ” นนท์พูดเสร็จก็เดินนำหน้าผมเข้าไปในตลาดคับ

            เราใช้เวลาที่ตลาดสันป่าตอง ประมาณ  20  นาที  รวมเวลาที่เรามาประชุมที่รถเพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ  แล้ว  เราก็ออกเดินทางต่อไปคับ  พร้อมกับเสบียงเท่าที่จำเป็นของแต่ละคน  ใช้วิธีการ  มีเสบียงกลางสำหรับการนอนค้างแรมคืนเดียวคับ  เตรียมเฉพาะมื้อค่ำกับมื้อเช้าของวันถัดไป  มื้อกลางวันก็หากินตามสถานที่ท่องเที่ยว  ซึ่งน้ำหนักส่วนใหญ่จะตกไปที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าคับ  ไม่รู้อันที่มันขนกันไปเนี่ย  มันจะเอาไปกินหรือเอาไปอาบ  นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงคับที่ไม่อยากนั่งรถกับไอ้พวกนี้  เพราะผมกับนนท์ไม่ดื่ม  ถ้าเกิดว่ามันกินกันตอนกลางคืนที่เราค้างบนดอยกัน  รุ่งเช้ามาถ้ามันไม่สร่าง  แล้วมันเกิดคึกอย่างเที่ยวต่อขึ้นมา  ผมกลัวมันจะพาลงเหวคับ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าทิ้งเพื่อนนะ  ก็จะพยายามเตือนเท่าที่ทำได้  แต่ก็หยั่งว่าแหละคับ  คนเรามันชอบไม่เหมือนกัน  ผมก็เข้าใจพวกมันอยู่  เรียนเหนื่อย ๆ  มาเป็นเทอม  อยากมาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ  ถ้าผมจะบอกว่าอย่ากินนะหยั่งงี้  มันก็ไม่ค่อยถูกคับ  ก็ผมไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่มันนี่นา  ทำได้มากสุดก็แค่เตือนว่า  ทำอะไรก็พอประมาณ  ก็เท่านั้นแหละคับ

            เรามาถึงจุดนัดพบที่  2  ประมาณ  เกือบ ๆ  10  โมงคับ  ผมขับรถไม่รีบร้อนคับ  กินลมชมวิว  หยอกล้อเล่นหัวกับนนท์ไปด้วย  มีความสุขดีคับ  แหะ ๆ

            จุดนัดพบของเราก็คือ  “น้ำตกแม่ยะ”  เขตอำเภอ จอมทอง  เขาบอกว่า  ใหญ่เป็นอันดับ  2  เลยนะ  รองจากน้ำตกทีลอซู ของจังหวัดตาก  แต่ความจิงเป็นยังไงก็ไม่ค่อยใจคับ  แหะ ๆ  จากจุดจอดรถ  จะมีร้านค้าขายอาหารอยู่คับ  เราต้องซื้อแล้วก็เดินถือเข้าไปปูเสื่อกันที่บริเวณน้ำตกที่ห่างออกไปประมาณ  600  เมตร  ก็เป็นพวกเพื่อน ๆ  ผู้หญิงแหละคับที่จัดการเรื่องอาหารการกิน  โดยพวกผู้ชายก็มีหน้าที่แค่ขนเข้าไปแค่นั้นแหละคับ  ผมถามว่า ทำไมนนท์ไม่จัดการเรื่องอาหารเอง  นนท์บอกว่า  ให้ผู้หญิงทำไปคับ  เพราะไม่มีใครรู้ว่านนท์ทำอาหารเป็น (อร่อยด้วย แหะ ๆ)  จะได้ไม่เป็นการไปก้าวก่ายหน้าที่ของสาว ๆ  จนเกินไป

            “กูว่าอย่าเพิ่งเปิดขวดเลยหว่ะ  มันต้องขับขึ้นดอยอีกตั้งหลาย  10  กิโล”  ไอ้เต  หัวหน้าแก๊งค์เสนอแนวคิดคับ

            “ชั้นก็ว่างั้นแหละ  เมาก่อนไม่สนุกนะเว่ย  ถ้าจะกิน  ให้มันฟ้ามืดก่อน  ตอนนั้น  ถึงไหนก็ถึงกัน”  สาวหน่อยสนับสนุนคับ

            “ไผว่าฮาจะกิ๋น  ฮาถือลงมาออกกำลังกายบ่ดาย”  ไอ้วัทแก้ตัวคับ  พร้อมกับยกกลับขึ้นไปไว้ท้ายรถเหมือนเดิม

            “แอ๊...บะวอก  ออกกำลังกายบ้านคิงกะ  ยกลังเบียร์  555”  ผมได้ทีกัดไม่ยั้งคับ  แล้วทุกคนก็ฮาขึ้นพร้อมกัน

            เนื่องจากอาหารที่เราสั่งมันต้องรอคับ  ไก่ย่าง  ยังไม่เสียบไม้เลยคับแหะ ๆ  แต่เราก็ไม่ได้รีบนี่คับ  เลยให้ร้านเค้าทำไปเรื่อย ๆ  เสร็จแล้วค่อยตามเข้าไปเสิร์ฟ  เราใช้เวลาตอนรออาหารเล่นน้ำกันคับ  ปลายหนาวเข้าร้อนแบบนี้  น้ำออกน้อย ๆ  ไปหน่อยคับ  แต่ด้วยความที่อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน  ก็ไม่ค่อยแคร์ว่าน้ำจะเยอะจะน้อยหรอกคับ  เล่นเหมือนเดิม  555

            “กฤษ  กุอยากแก้แค้นไอ้สาระเลวที่ว่ากุเป็นลิงหว่ะ  ถึงมันจะไม่รู้ว่ามันกระทบกุก็เหอะ  กุก็แค้นอยู่ดี”  นนท์กระซิบผมขณะที่กำลังเล่นน้ำอยู่คับ  ส่วนไอ้จำเลยโดยบังเอิญเพราะปากหมาไม่เข้าหูแฟนผม  กำลังโพสท่าถ่ายรูปอยู่บนขอนไม้

            “ทำไงวะ  เอาดิ  กุเอาด้วย  กุหมั่นไส้เหมือนกันหว่ะ  555”  ผมร่วมมือด้วยคนคับ

            “เดี๋ยวเมิงหันหลังชนกับกู  เอาแขนเกี่ยวกันไว้ แล้วก้มตัวเมิงลงไปข้างหน้า  ยกตัวกุขึ้น  เดี๋ยวกูถีบตกขอนแม่งเลย  เหอะ ๆ”  โอ้โห  แค้นฝังหุ่นจิง ๆ  คับ  ท่าทาต้องมีคนสังเวยตีนจิง ๆ  แล้วหล่ะ

            ซักพัก  ผมกับนนท์ก็ค่อย ๆ  ขยับเข้าไปใกล้ ๆ ไอ้วัทมากขึ้น  ในขณะที่ไอ้นี่ก็กำลังบ้าครั่งกับการถ่ายรูปบนขอนไม้อย่างเมามัน  ผมทำตามแผน  ยกนนท์ขึ้น  แล้วนนท์ก็ถีบเข้ากลางตูดไอ้วัทอย่างจัง  ด้วยแรงส่งของความแค้นฝังตีน  และจากที่มันไม่ได้ตั้งตัว  ทำให้ไอ้วัทกระเด็นตกขอนไม้ทันที  โดยไม่ให้เสียโอกาส  เพื่อน ๆ  ที่ถือกล้องก็เก็บภาพประทับใจครั้งนี้อย่างสนุกมือ  พร้อมกับเสียงหัวเราะระเบิดขึ้นรอบ ๆ  ตัว

            ไอ้วัทตั้งตัวได้ก็วิ่งเข้าใส่ผมกับนนท์  พร้อมกับผมและนนท์ที่ตั้งสติได้  วิ่งขึ้นฝั่งกันเพื่อหลบตีน  นนท์ถึงฝั่งก่อนคับ  ส่วนผมซวยกว่า  โดนไอ้วัทกระโดดกอดคอจากด้านหลังดึงผมล้มลงไปในน้ำ  ซักพัก  ก็ไม่รู้ตีนใครเป็นตีนใคร  นับไม่ถ้วนคับ  เข้ามาจากทั่วทุกสาระทิศ  แว่ว  ๆ  ได้ยินเสียงหัวเราะของสาว ๆ  กับไอ้นนท์ที่รักของผมดังมากจากฝั่ง  โดยไม่คิดที่จะเข้ามาช่วยผมที่ถูกรุมกระทืบเลย (จิง ๆ  มันไม่เจ็บหรอกคับ  มันเป็นแค่การเอาเท้าเขี่ยผมไปมาเฉย ๆ  ไม่ให้ผมลุกได้ก็เท่านั้น  แล้วก็มีคนมาจี้เอวผมทำให้ผมดิ้นทุรนทุรายเหมือนโดนกระทืบจิง ๆ แหะ ๆ)

            “กระทืบมันเลย  กูเห็นมันถีบเมิงเมื่อกี๊นี้”  นอกจากจะไม่ช่วยแล้วที่รักของผมยังมีน้ำใจใส่ไข่ป้ายสีผมอีกคับ

            “พอแล้ววววววว  กูเหนื่อย  ไอ้พวกเพื่อนเลว อย่าให้ถึงทีกุมั่งละกัน  เดี๋ยวเหอะ  กุจะเอาคืน...”  ผมตั้งตัวลุกขึ้นได้  ส่วนไอ้พวกที่รุมสหบาทาผมเมื่อกี๊นี้ก็วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทางคับ  ส่วนบนฝั่งก็ขำไม่หยุดไม่หย่อน  พอเห็นอาหารเดินมาเสิร์ฟ  ผมเลยขึ้นจากน้ำตามไอ้พวกเพื่อน ๆ  ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  เตะตูดมันได้คนละทีสองทีพอบรรเทาความแค้นได้บ้าง  แล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้แห้งเพื่อมากินข้าวคับ  ก็มีนนท์นั่นแหละคับ  ที่เตรียมเสื้อผ้าแล้วก็พวกผ้าเช็ดตัว  หรืออะไรที่จำเป็นไว้ให้ผมอยู่แล้ว...

            “ตกลงว่าได้บ้านพักป่าววะ”  นนท์ถามขึ้นขณะที่ทุก ๆ  คนกำลังเริ่มลงมือกินข้าวคับ

            “ออ  ได้ ๆ  เป็นโฮมสเตย์อะ  อยู่ตรงหมู่บ้านของชาวเขาที่อยู่ในบริเวณโครงการหลวงอะ  มี  2  ห้องนอน  แล้วก็มีลานหน้าบ้านด้วย  เอาไว้นั่งก่อกองไฟ สังสรรค์กัน  แหะ ๆ”  กุลเป็นคนตอบคับ  เพราะเธอคนนี้เป็นคนรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องที่พัก

            เราจัดการกับอาหารกลางวันจนเกลี้ยงโดยใช้เวลาไม่มากนัก  แล้วก็เก็บของเดินทางออกจากน้ำตกมุ่งหน้าสู่จุดนัดพบต่อไปคือ  ที่พักของเรานั่นเอง  เพื่อเอาสัมภาระไปเก็บก่อนที่จะไปเที่ยวต่อ...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 20

            เมื่อเข้าที่พัก  บรรยากาศของทิวเขาและสายหมอกของยามบ่าย  และความกรุณาของเจ้าของบ้านที่จะนำพวกเราชมสวนชมไร่  ทำให้เกิดไอเดียใหม่ในการเดินชมโครงการหลวงคับ  เดินไปเรื่อย ๆ  ตามที่เจ้าของบ้านพาไป  เก็บภาพบ้าง  ซื้อผลิตภัณฑ์บ้าง  ตามความสุขส่วนบุคคลของแต่ละคนคับ

            เรากลับเข้าที่พักก็ประมาณเกือบ ๆ เย็น  จิง ๆ  แล้วที่บ้าน  เจ้าของบ้านเค้าเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว  ใจดีมากเลยคับแหะ ๆ  ผมก็เลยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตกินกับข้าวฝีมือสาว ๆ  ในคณะที่ผมก็ไม่รู้ว่า  จะทำกับข้าวอร่อยได้ครึ่งของแฟนผมรึป่าว  ^^

            ลุงเจ้าของบ้านบอกว่า  แถว ๆ  นี้  เค้าจะมีระเบียบว่า  2  ทุ่มเค้าจะงดการใช้ไฟฟ้า  เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จทุกคนจึงต้องแยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัวคับ  แล้วแต่สะดวก  แล้วก็กลับมารวมกันที่ลานหน้าบ้านที่ตอนนี้ได้กลายเป็นลานรอบกองไฟไปเรียบร้อยแล้วคับ  โดยมีตาต้า  (ผมคิดว่าชื่อมันเหมาะกับความสามารถมันนะแหะ ๆ)  เป็นมือกีตาร์โปร่งในกางขับกล่อมพวกเราทุก ๆ  คนรอบกองไฟ  ส่วนกลุ่มที่เป็นพวกสิงห์น้ำเมา  ก็เริ่มกระดกกันยกใหญ่แล้วคับ  เบียร์  4  ลังที่พวกมันขนขึ้นมา  3 ทุ่มครึ่ง  มันซัดกันไป  เหลือแค่ครึ่งโหลเองคับ  เพราะผมจะเป็นคนยกลังลงมาให้พวกมันจากท้ายรถ  ผมรู้คับว่ามันซัดกันไปเท่าไหร่แล้ว  โดยมีพวกผู้หญิงแจมบ้างแต่ก็ไม่ได้กินแบบเทน้ำอาบเหมืนพวกผู้ชายคับ  ส่วนผมก็คอยสลับเป็นมือกีตาร์บ้าง  เฉพาะเพลงที่เล่นได้  ก็มีไอ้คุณนนท์หวานใจไทยแลนด์ของผม  ร้องเพลงสบตากันไป (แบบเงียบ ๆ  เดี๋ยวมีคนสังเกตเห็นคับ  แหะ ๆ) 

            พอเบียร์เริ่มหมด  มันก็เริ่มไม่มีอะไรทำแล้วสิคับ  จิง ๆ  พวกผู้หญิงตั้งวงจั่วตั้งแต่เปิดขวดแรกแล้ว  แต่เนื่องจากพกขึ้นมาแค่สำรับเดียว  พวกที่ไม่มีเครื่องดื่มจะรับประทานแล้วก็เริ่มไม่มีอะไรทำ  ประกอบกับที่กึ่ม ๆ  ได้ที่แล้ว  พวกผู้หญิงเลยไล่พวกมันเข้าไปนอนคับ  มันก็ว่าง่าย  เพราะพวกที่ไม่ได้เมาให้เหตุผลว่า  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะคับรถไม่ไหว  ส่วนที่เหลือก็มี  พวกผู้หญิง  4  คนที่อาศัยแสงสว่างจากกองไฟในการเรียนพิเศษคณิตศาสตร์กันอยู่  แล้วก็มีผม  นนท์  ต้า  มิกกี้  ช่วยเก็บศพพวกที่ไม่รู้เรื่องแล้ว  เราก็นั่งคุยกันต่อไปเรื่อย ๆ  คับ  จนในที่สุด เราก็เริ่มตั้งสภากองไฟ  เพราะผู้หญิงก็เริ่มเบื่อที่จะจั่วแล้วคับ  หน่อยกับกุลขอตัวเข้าไปนอนด้วย  เพราะบอกว่าเหนื่อย  สรุปรวบยอดแล้ว  ตอนนี้เหลือ  ผม นนท์  ต้า  มิกกี้  กุล  แล้วก็แอ๊มคับ

            “กติกาของเรามีอยู่ว่า  ไม่ว่าเพื่อนจะถามเรื่องอะไรในวันนี้  ให้พูดความจิงแล้วต้องสัญญาว่า  เรื่องที่อยู่ในที่ประชุมวันนี้จะต้องไม่ถูกแพร่งพรายออกไป  ใครทำผิดข้อตกลง...ขอให้เรียนไม่จบพร้อมเพื่อน  โอเคมั้ย  ใครไม่ใจพอ  ลุกไปนอนได้เลย  ไม่ว่ากัน”  สาวกุลตั้งตัวเป็นประธานสภา  โดยที่ไม่มีเสียงคัดค้าน  และถือว่าทุกคนยอมรับข้อตกลง

            “งั้นกุขอถามเรื่องที่กุสงสัยมานานแล้ว  แต่ไม่กล้าถามซักที...  ต้า”   ไอ้ต้างานเข้าแล้วคับ  แอ๊มเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นก่อน

            “อืมว่าไงวะ”  ต้ายิ้มแห้ง  ทำตาโต

            “กุถามเมิงจิง ๆ  เหอะ  ทำไมเมิงเลิกกับแฟนเมิงวะ  ทั้ง ๆ  ที่เค้าเป็นถึงดาว  เป็นลีดคณะอีกต่างหาก (คนละคณะคับ)  เวลากุเจอเค้าก็น่ารักดีอะ  กุเลยสงสัย ๆ  นิดนึง”  แอ๊มถามต่อคับ

            “อืมมมมม...  มันไม่ใช่แนวกุอะ  กุยอมรับว่าเค้าสวยนะเว่ย  น่ารักมาก  เป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดที่กูเคยคบเป็นแฟนมา  เค้าดีกับกูทุกอย่าง  กุเลยรู้สึกว่า   กุกลัวจะทำเค้าเจ็บมากกว่า  แล้วกุจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต  กุเปิดใจคุยกับเค้าหลาย ๆ  เรื่อง  เราไม่ได้โกรธกัน  เราไม่ได้เกลียดกัน  แต่เราสมัครใจที่จะแยกทางกันไป  ทุกวันนี้ก็โทรคุยกันบ้างตามแต่โอกาส”  ต้าตอบยิ้ม ๆ  ทำตาเศร้า ๆ  คับ

            “กุไม่เข้าใจหว่ะ  รึว่าเมิงมีคนใหม่วะ”  กุลซักบ้างคับ

            “อืมมมมม  จะว่ามีคนใหม่ก็ไม่ค่อยถูกหรอก  เพรากุชอบของกุมาตั้งนานแล้ว  กุชอบตั้งแต่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนมัธยมปลาย  แต่ก็ไม่เคยบอกรึว่าพูดกันให้รู้เรื่อง  พอขึ้นมหาลัยมา  เราไม่ค่อยได้คุยกัน  เพราะเค้าเหมือนจะออกห่างกุไป  ด้วยอะไรก็ไม่รู้  ทั้ง ๆ  ที่เราต้องเห็นหน้ากันทุกวัน  แต่เราก็เหมือนไกลกันออกไปเรื่อย ๆ  ประกอบกับที่แฟนเก่ากุเข้ามาในชีวิต  เพราะเราเรียนบางวิชาด้วยกัน  เราเลยสนิทกันมากขึ้น  ก่อตัวเป็นความผูกพัน  จนวันนึงกุเองก็อึ้งเหมือนกันที่เค้ากล้าบอกว่าชอบกุทั้ง ๆ  เค้าเป็นผู้หญิง  กุเลยตัดสินใจคบกับเค้า  เพราะกุกลัวเค้าเสียใจ  และกุกลัวเสียเพื่อนดี ๆ  อย่างเค้าไป  กุก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นกุคิดถูกรึคิดผิด  จนในที่สุด  กุก็รู้ว่า  กุคิดผิด  เพราะเหมือนเค้าจะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า  เหตุผลที่กุคบกับเค้าคืออะไร  เค้าก็จะพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า  ถึงเราไม่ได้เป็นแฟนกัน  เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้  จนวันนึงกุเลยตัดสินใจเปิดอกคุยกับเค้า  เค้ายิ้มตลอดเวลาที่เราคุยกัน  เค้าให้กำลังใจกุตลอดระหว่างบทสนทนา  กุรู้สึกผิดมากที่คนดี ๆ  อย่างเค้าต้องมาเจอคนเลว ๆ  อย่างกุ  แต่ถ้ากุคบกับเค้าต่อไป  กุก็คงจะรู้สึกผิดมากกว่านี้”  ต้าอธิบายยืดยาวคับ

            “อืมมมมม  กุเข้าใจหว่ะ  ดีแล้วแหละที่เมิงเลิกกับเค้า  เอานา  อย่างน้อยก็จากกันไปด้วยดี  แล้วตอนนี้  เมิงได้บอกคนที่เมิงชอบให้เค้าได้รู้รึยังหล่ะ”  นนท์พูดบ้างคับ

            “กุยังไม่เคยบอกเลยอะ  แล้วกุก็คิดว่า  กุคงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ให้ตายไปกับกุ  เพราะกุกลัวว่า  ถ้ากุบอกเรื่องนี้กับเค้าไปแล้ว  กุอาจจะต้องเสียใจไปมากกว่านี้  บางที  กุอาจจะเสียเค้าไปเลยก็ได้”  ต้าทำเสียงเศร้าเหมือนจะร้องไห้คับ

            “กุว่า  เมิงลองบอกเค้าดูมั๊ย  บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายหยั่งที่เมิงคิดก็ได้”  ผมพูดบ้างคับ  แล้วก็หันไปมองนนท์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  ผมแว็บนึง  คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับนนท์บ้างคับ  เลยโดนนนท์แอบหยิกที่ต้นขา  โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

            “กุควรจะบอกจิงหรอวะ  ไม่รู้สิ  เอาไว้ก่อนละกัน  ถ้ากุมีโอกาสแล้วกุจะบอกเค้าเองนะ  ผลเป็นยังไง  เดี๋ยวกุจะมาเล่าให้ฟังทีหลัง”  ต้าเริ่มยิ้ม ๆ  คับ

            “โอเค ๆ  พอแค่นี้ก่อน  กุยังไม่อยากเห็นน้ำตาลูกผู้ชายหว่ะ”  ประธานสภากองไฟสรุปเรื่องของต้า   โดยที่ไม่ถามต่อว่าคนคนนั้นที่ต้าชอบคือใคร

            “ต่อไป  ไอ้กฤษ  ไอ้นนท์  ไอ้มิก  ทำไมเมิง  3  ตัวยังไม่มีแฟนซักทีวะ  หน้าตาแต่ละคนก็ไม่ใช่ว่าจจแย่  ไม่สนใจสาวโสดหยั่งกุมั่งหรอ”  แอ๊มเปิดประเด็นที่  2  ที่ออกแนว  ถามคำถามเดียว  แต่ต้องมีคนตอบถึง  3 คน

            “เหี้ย...  ทำไมถึงกุเร็วนักวะ  กุยังเก็บข้อมูลของคนอื่นยังไม่ครบเลย”  ผมโวยวายก่อนคับ

            “ไม่รู้แหละ  เมื่อมีคนถามก็ต้องมีคนตอบ  ถ้าไม่ตอบ  ก็.....”  ทีนี้เป็นกุลบ้างคับที่ขู่

            “โอเค ๆ  ยังไงกูก็ยังอยากจบพร้อมเพื่อนอยู่  ถึงกุจะโง่ก็เหอะ   แหะ ๆ”  ผมตัดบทก่อนที่กุลจะขู่ถึงคำแช่งรอบที่  2 

            “กูให้เกียรติเมิงก่อนไอ้กฤษ  ข้อหาที่เมิงโวยวาย”  แอ๊มมอบงานให้ผมแล้วคับ  ผมมองหน้านนท์แวบนึง  เห็นนนท์ทำหน้าไม่ค่อยแน่ใจว่าจะบอกดีหรือไม่ดี   ผมเลยต้องหยั่งเชิงพวกมันดูก่อนคับ  แล้วผมก็เริ่มต้นเล่าบ้าง

            “เอาเป็นว่า  กุไม่ได้โสดหยั่งที่พวกเมิงคิดละกัน”  ผมพยายามนึกว่าจะทำยังไงดีคับ

            “เอาแล่ว ๆ ๆ ๆ ๆ   มีแฟนไม่ยอมบอกเพื่อนบอกฝูงนะเมิง”  ไอ้มิกกี้เริ่มพูดมั่งคับ  หลังจากที่มันก้มหน้ามองพื้น  ฟังเรื่องของต้ามาพอสมควรแล้ว

            “เอางี้ดีกว่า  กุให้เมิงถามกุเป็นคำถามเล็ก ๆ  เดี่ยวกุจะตอบแค่ว่าใช่  หรือไม่ใช่  กุให้  10  คำถาม  ก็แล้วแต่ความสามารถของพวกเมิงที่จะได้อะไรจากกุบ้าง  แล้วกุก็ไม่ต้องผิดข้อตกลงด้วย”  ผมเริ่มเห็นทางออกที่จะเลี่ยงแล้วคับ

            “แหม  ไอ้ปลาไหล  กุจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไปเหอะ...  กุเริมก่อนละกัน”  สาวกุลประธานสภาให้เกียรติเปิดเป็นคำถามแรก

            “แฟนเมิงเป็นเพื่อนในคณะใช่หรือ  ไม่ใช่”  นั่นไงคับ  คำถามแรกก็ตัดได้เหลือแค่นิดเดียวเอง

            “ใช่  1”  ผมตอบคับ

            “ต้า  กุวานหยิบกระเป๋าถือกุที่อยู่บนระเบียงบ้าน  ตรงหัวเมิงให้หน่อยดิ  กุจะเอา List  รายชื่อเพื่อน ท่าทางงานนี้กุว่ามีเฮหว่ะ.... เป็นเพื่อนที่จบจากโรงเรียนเดียวกับเมิง  ใช่หรือ  ไม่ใช่”  แอ๊ม  เอามั่งคับ

            “ไม่ใช่ 2”  ผมตอบหน้านิ่ง ๆ  แต่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วคับ

            “ไม่ใช่เพื่อนโรงเรียนเดียวกันซะด้วย  โห...เหลือผู้หญิงแค่ไม่กี่คนเองนี่หว่า  ที่เข้าข่าย”  มิกกี้พูดขึ้นขณะดูรายชื่อเพื่อนในมือแอ๊มพร้อมกับที่แอ๊มเอาปากกาตัดรายชื่อออกทีละคน

            “กุขอคำถามกันเหนียวหน่อยละกัน  กุกลัวว่าไอ้ปลาไหลเนี่ย  มันจะหลอกเราหลงทาง...  แฟนเมิงเป็นผู้หญิง  ใช่รึไม่ใช่”  ไอ้ต้าถามบ้างคับ  เป็นคำถามที่จี๊ดมาก  ผมแทบจะลุกเดินไปนอนเลยทีเดียว  ถ้าเกิดว่าผมไม่กลัวคำแช่ง

            “เฮ้ยยยย  ไอ้บ้า  ถามเหี้ยไรของเมิงเนี่ย  เปลืองคำถามหว่ะ  ก็มันออกจะแมนขนาดนี้   เมิงอะ  ถามทิ้งถามขว้าง”  กุลเริ่มโวยวายคับ

            “อ้าวววว  ใครจะไปรู้...ว่าไงเมิง  ไอ้กฤษ”  ไอ้ต้าทำหน้าจิงจังคับ

            “เอ่ออออ.....ไม่ใช่”  หลังจากที่อ้ำ ๆ  อึ้ง ๆ  อยู่ มันก็หลุดออกมาจากปากผมคับ  นนท์เริ่มก้มหน้าเอาไม้เขี่ยดิน ไปมาแล้วคับ

            “อ้าวเห้ยยยย  เป็นเรื่องแล้วสิเมิง  กุนึกว่า  ข่าวที่กุได้มาจากรุ่นพี่  จะเป็นข่าวโคมลอย  กุอุตส่าห์ช่วยแก้ข่าวให้  ที่ไหนได้  เมิงนะเมิง  ทำกุเสียหมาเลย”  แอ๊มโวยวายมั่งคับ  ส่วนทุกคนก็ถึงกับอึ้ง  มองหน้ากัน

            “คำถามที่  4  งั้นกุลองเอาข่าวที่กุคิดว่าไม่จิงมาถามมั่งดีกว่า  เผื่อฟลุ๊คโดนมั่ง....  พี่เค้าบอกว่า  เห็นเมิงกับไอ้นนท์ติดกันเป็นปาท่องโก๋ตลอด  กุก็แค่รู้สึกว่า  พวกเมิงเป็นเพื่อนสนิทกัน  เอางี้  เข้าประเด็นเลยละกัน... เมิงกับนนท์  เป็นแฟนกัน  ใช่หรือ  ไม่ใช่”  แอ๊มยิงคำถามเด็ดมาแล้วคับ  ผมเม้มปากเงียบ  ทุกคนยื่นหน้าเข้ามาทางผมโดยไม่รู้ตัว  ตั้งใจฟังคำตอบจากผม  บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหัวใจของเพื่อน ๆ  เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะเบา ๆ

            “ใช่........”  ผมอึ้ง  มองหน้าไอ้ที่รักที่อยู่ข้าง ๆ  ผมที่ตอนนี้เลิกเอาไม้เขี่ยดิน  เงยหน้าขึ้นมา  สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  แล้วตอบคำถามที่เพื่อน ๆ  กำลังรอคำตอบจากผมอยู่อย่างฉะฉาน  พร้อมกับยิ้มหน้าแดง ๆ  ให้กับเพื่อน ๆ  ทุกคน

            “เอ่าฮี้วววววววววววววว”  คราวนี้เป็นมิกกี้คับ  ที่เริ่มแซวก่อนเพื่อน

            “แล้วพวกเมิงว่าไงวะ  โกรธกุป่าว  รังเกียจมั้ย”  ผมทำเสียงเศร้าถามเพื่อน ๆ  คับ

            “เห้ย  เมิงอย่าคิดมากดิวะ  เรื่องแบบนี้  บังคับกันได้ที่ไหน”  มิกกี้ทำหน้าระรื่นออกนอกหน้ากว่าใครคับ  โดยที่กุลกับแอ๊ม  เริ่มทำหน้าเข้าใจแล้ว  หลังจากที่ช็อคเล็ก ๆ  กับคำตอบเมื่อครู่นี้

            “เอาหล่ะ  เรื่องของพวกเมิง  2  คนทำให้กุอยากจะพูดอะไรบางอย่าง  ขออนุญาต  สภาพูดบ้างได้มั้ยวะ”  มิกกี้พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากตอนเริ่มตั้งสภาคับ  เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความร่าเริงและความสุขแบบแปลก ๆ  บอกไม่ถูกคับ

            “เอาเลยเพื่อน เต็มที่”  ประธานสภาอนุญาตคับ

            “กุก็มีคนที่กุชอบเหมือนกัน  กุชอบตั้งแต่กุอยู่มอต้นแล้ว  เราเรียนกันคนละโรงเรียน  จนเมื่อเข้ามอปลาย  กุเลยพยายามสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับคนที่กุชอบ  แล้วก็จะด้วยเหตุบังเอิญรึอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้มาอยู่ห้องเดียวกัน  เราเป็นเพื่อนกัน  แล้วก็สนิทกันมากขึ้น  จบมอปลาย  เราสอบเข้าเรียนได้ในคณะเดียวกัน  มหาลัยเดียวกัน  กุคิดว่า  ถ้ามีโอกาสก็อยากจะบอกเค้าว่า  กุแอบชอบเค้ามาตั้งแต่มอต้นแล้ว  จนเป็นแรงผลักดันให้กุพยายามสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับเค้าทั้ง ๆ  ที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เหตุการณ์หลาย ๆ  อย่างเมื่อเข้ามาเรียนมหาลัย  ทำให้กุต้องห่าง ๆ  จากเค้าไป  ทั้ง ๆ  ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน  อาจจะเป็นเพราะว่า  เค้ามีแฟนแล้วก็เป็นได้  กุเลยต้องถอยออกไปแอบมองเค้าอยู่ห่าง ๆ  เหมือนเดิม  แต่ก็ยังคุยกับเค้าตามปกติแบบเป็นเพื่อน ๆ  กัน  ไม่ยอมแสดงอะไรไปที่ทำให้เค้ารู้เลยว่า  กุชอบเค้า  เพราะกุก็กลัวเหมือนพวกเมิงหลาย ๆ  คนนี่แหละ ว่าอาจจะเสียเพื่อนไปโดยไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม  มีเหตุการณ์นึง  เค้าเดินมาเล่าให้กุฟังว่า  เค้าเลิกกับแฟนเค้า แต่อาจจะเป็นเพราะวันนั้นยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม  เค้าจึงบอกกุได้แค่ว่า  เค้าเลิกกับแฟน  แล้วก็มีเพื่อนมาเรียกเค้าไปกินข้าว  แต่ก่อนที่เค้าจะจากไป  เค้าได้ทำของสิ่งนึงตกไว้บนม้านั่ง  กุเก็บของสิ่งนี้ไว้กับตัวตลอดเพราะกุจำได้ว่ามันเคยติดอยู่ที่กระเป๋าสะพายของเค้า  จนลืมคืนเจ้าของที่แท้จิงของมัน  เรื่องนี้ก็เลยยังค้างคาในใจกุอยู่แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามไถ่อะไรต่อ มันเป็นเหตุการณ์ที่กุไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง  เพราะกุรู้สึกว่า  กุสงสารเค้า  แต่กุก็แอบดีใจเล็ก ๆ  แหะ ๆ  ออกแนวเลวนิดนึง  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หน้าห้องสอบ  Final วิชา สถิติ  วิชาสุดท้ายก่อนที่จะปิดเทอม  กุไม่รู้ว่าเค้ายังจะจำของสิ่งนี้ได้รึป่าว  เค้าจะตอบกุได้มั้ย  ...”  มิกกี้เดินไปหยิบเข็มกลัดที่เป็นรูปทะเลหมอก  และมีชื่อเขียนไว้ที่ขอบด้านล่างของเข็มกลัด  ที่ติดอยู่ที่เป้ส่วนตัวออกมาให้เพื่อน ๆ  ดู...


chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่  21
       

       “ภาษาเหี้ยไรวะเนี่ย  ตัวคะยึกคะยือ”  สาวแอ๊มอุทานหลังจากที่รับเข็มกลัดจากมิกกี้ไปพิจารณาดูซักพัก

       “ไหนกุดูหน่อยดิ๊”  นนท์เดินอ้อมกองไฟยื่นมือไปขอมาดู  แล้วก็หันกลบมามองหน้าผม  ผมแปลกใจเดินไปคว้าเข็มกลัดมาตะแคงให้ตัวหนังสือสัมผัสกับแสงกองไฟ  จะได้อ่านได้ชัด ๆ

       “ชิบหายแล้วมั้ยหล่ะ”  ผมมองหน้านนท์พร้อมกับที่นนท์พยักหน้าให้ผม  แล้วอมยิ้มเล็ก ๆ  เพราะเข็มกลัดนี้  ผมจำได้ว่าเป็นของฝากที่ผมกับนนท์ซื้อมาฝากเพื่อน ๆ  ตอนที่เราไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกัน  ภาษาที่เห็นเป็นภาษาที่เค้าจารึกในศิลาจารึกอะ  คือผมซื้อมาให้เพื่อน ๆ  ที่เรียนประวัติศาสตร์กรีกโรมัน  วิชาเลือกตอนเทอม 1 ด้วยกัน  มีไม่กี่คนคับที่ได้เข็มกลัดที่  Paint  เป็นชื่อใครชื่อมันแบบนี้  ส่วนของฝากของคนอื่น ๆ  ก็เป็นของเล็ก ๆ  น้อย ๆ  น่ารัก ๆ  ตามที่นนท์เลือกให้เหมาะกับแต่ละคนคับ  มีแค่ผมกับนนท์เท่านั้นที่รู้ว่า  ของชิ้นไหนเอาให้ใครไปบ้าง  โดยเฉพาะชิ้นนี้  ที่ผมกับนนท์นั่งดูเค้า Paint  ชื่อกับตา  เลยจำได้ว่า  ชิ้นนี้  เป็นของใคร

       “เอาเลยเพื่อน  เต็มที่  จากสายตาอันแหลมคม  และการประมวลผลชั้นเลิศของกู  งานนี้กุว่าเปอร์เซ็นเกิน  100  หว่ะ”  ผมยิ้มให้กำลังใจมิกกี้คับ  แล้วผมกับนนท์ก็เดินอ้อมกองไฟกลับไปนั่งที่เดิม

       “พวกเมิงพูดเหี้ยอะไรกันอยู่เนี่ย   ให้กุรู้เรื่องด้วยหน่อยดิวะ  กุงงไปหมดแล้วเนี่ย  ไอ้กฤษ  กุรู้ว่าเมิงอ่านออก  บอกกุมา  ว่ามันเขียนว่าอะไร”  กุลเริ่มเดือดคับที่ตอนนี้เธอตามเรื่องที่หลาย ๆ  คนเข้าใจแล้ว  แต่เธอกับแอ๊มยังไม่เข้าใจ

       “กุว่า  เรื่องนี้ให้เค้าเคลียร์กันเองดีกว่าหว่ะ”  นนท์พูดยิ้ม ๆ  พร้อมกับสีหน้างง ๆ  ของ  2  สาวต่อไป

       “ว่าไงอะ  จะมีใครรับเป็นเจ้าของมันรึป่าววะ  กุกับนนท์อุตส่าห์ซื้อมาฝาก  เสือกทำหายซะงั้น  เฮ้ออออ  มันก็น่าน้อยใจนะ พอหาเจอ  ก็ไม่ยอมรับกลับไป  นั่งก้มหน้าเงียบอยู่ได้  กุโยนเข้ากองไฟซะดีมั้ยเนี่ย  555”  ผมทำหน้าทะเล้นพูดลอย ๆ  ขึ้นมาคับ

       “เฮ้ยยยย  อย่านะเว่ย  ถ้าเจ้าของเค้าไม่เอาแล้ว  ก็ไม่เป็นไรหรอก  กุเก็บไว้เองก็ได้  ในเมื่อกุเอาสิ่งที่เค้าตามหามาตลอดมาให้แล้ว  แต่เค้ายังไม่แน่ใจในตัวกุ  อย่างที่ทีแรกที่กุไม่แน่ใจในตัวเค้า  ก็ไม่เป็นไรหรอก  ให้กุอยู่ในที่ที่กุอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว  ให้กุเฝ้าดูเค้าไปหยังงี้แหละ”  มิกกี้พูดเสียงเศร้า ๆ  คับ พร้อมกับที่ผมโยนเข็มกลัดกลับไปให้มิกกี้รับมากำไว้

       และแล้วก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นคับ  นนท์ยิ้มหน้าบานบีบมือผมแน่น  หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะพร้อมกับอาการตกตะลึงของ  2  สาวเมื่อตาต้าเดินมานั่งลงข้าง ๆ  มิกกี้

       “ขอบคุณนะ  ขอบคุณสำหรับเข็มกลัด  และความรู้สึกดี ๆ  ที่กุเข้าใจมาตลอดว่า  กุคงไม่มีโอกาสได้จากเมิง”  ต้าพูดเสียงเบา ๆ  น้ำตาคลอเบ้า  พร้อมกับแบมือออกมา  แล้วมิกกี้  ก็ยิ้มตอบพร้อมกับวางเข็มกลัดกลับคืนสู่มือเจ้าของมัน

       “แล้วตกลงว่าเมิง  2  คนจะเป็นแฟนกันป่าววะ”  ผมถามคับ  แหะ ๆ  ก็มันอยากรู้นี่นา  นนท์เลยตีแขนผมทีนึง  โทษฐานทำหน้าตาอยากรู้เกินเหตุ  ^^!

       “...........................................”  ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของทั้งคู่  มีแต่อาการพยักหน้าให้เพื่อน ๆ  ทุกคนที่นั่งเป็นสักขีพยานอยู่ตอนนี้  555

       “โอ้ยยยยยยยยยยย   กุจะบ้าตาย  ใครก็ได้  ช่วยบอกกุที  ว่ากุฝันอยู่  อยู่ดี ๆ  กุก็ ๆ ได้มารับรู้ว่าเพื่อนผู้ชายกุ  4  คนหันมาแดกกันเองตั้ง  2  คู่  นี่ถ้ากุไปปลุกไอ้เต  ไอ้วัท  ไอ้ยอด  กับไอ้กันมา  มันจะได้เพิ่มอีกคู่ป่าววะ  555”  กุลหัวเราะแบบว่าช็อคสุด ๆ  คับ

       “อย่าเลยเมิง  วันนี้กุรับได้แค่นี้แหละ  ขืนไปปลุกมา  แล้วมันมีอีก  ท่าทางกุจะลมจับอะ  พอ ๆ ๆ ๆ...  กุขอเคลียร์เรื่องต้ากับมิกก่อนเหอะ”  แอ๊มเอามือกุมหน้าผากหัวเราะแห้ง ๆ  พร้อมกับหันหน้าไปที่คู่รักคู่ใหม่ของวงการเตรียมตัวซักต่อคับ”

       “แสดงว่า  มิกกี้ คือเหตุผลที่ทำให้เมิงเลิกกับแฟนเก่า  และที่เมิงบอกว่าเมิงคุยเปิดใจกับแฟนเก่าเมิง  คือเมิงไปสารภาพกับเค้าว่า  เมิงชอบมิกกี้...  กุนับถือน้ำใจแฟนเก่าเมิงจิง ๆ  เลยหว่ะ  กุยอมรับละ  ที่เมิงบอกว่าเค้าเป็นคนดี  เรื่องของเมิงถึงได้เป็นความลับมาได้จนถึงตอนนี้”  แอ๊มสรุปความต่อคับ  โดยที่ต้าพยักหน้ารับคำอาย ๆ

       “โอเค ๆ  เอาเป็นว่าจบเรื่องของพวกกุ  4  คนแล้วนะ  ทีนี้ก็ถึงตากุซักคืนมั่งแล้วหล่ะ....”  นนท์เปิดฉาก ตั้งป้อมเฉาะสาวกุลกับสาวแอ๊มบ้างคับ

       แต่เรื่องของแม่สองคนนี้ไม่มีอะไรหรอกคับ  มันก็สารภาพว่ามันชอบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยของมันแหละคับ  สองคนนี้ถึงมันจะหน้าตาแบบว่าหมวย ๆ  ดูคุณหนู ๆ  หน่อยแต่มันออกแนวบู้คับ  เหมือนคาแรคเตอร์ของลูกสาวกำนันในละครอะคับ  เวลามีคนมาจีบแล้วกวนหนัก ๆ  เข้าแล้วมันรำคาญ  มันไม่ชอบ  มันก็จะด่าเตลิดเปิดเปิงไปเลย  มันเลยกลายเป็นเรื่องขำ ๆ  ฮา ๆ  ของพวกผมไปคับ  หลังจากที่เครียดกับความจิงที่ค่อนข้างยากที่จะเปิดเผยได้  ในการสนทนาเมื่อตอนแรก

       “เอาหล่ะ  นี่ก็ดึกแล้ว...  ไปนอนเอาแรงกันดีกว่าหว่ะ  และที่สำคัญ  อย่าลืมข้อตกลงของพวกเรา  กุเชื่อใจพวกเมิงทุกคน”  แล้วประธานสภาก็ทำการปิดประชุมคับ  พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคน

       “เออออ...กฤษกับนนท์  กุรู้ว่ามึง  2  คนไม่ชอบกลิ่นเหล้ามีเต็นท์อยู่หลังรถ  2  หลังอะ  เอามาตัวนึงมากางนอนข้าง ๆ  กองไฟนี่ก็ได้นะ  ถ้าเมิงทนนอนกับพวกขี้เมาพวกนั้นไม่ไหวจิง ๆ อย่าลืมยกลงมาเผื่อต้ากับมิกอีกตัวด้วยหล่ะ  กุว่าคืนนี้  มันต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาวหว่ะ  555”   แอ๊มพูดจบก็โบกมือลาทุกคนเดินขึ้นบ้านไปนอนคับ

       “กุกับกฤษไปนอนข้างบนก็ได้  พวกเมิงกางเต็นท์นอนข้างล่างนี่แหละ  กุเข้าใจ  เออ...กางตรงข้าง ๆ  ฝั่งนี้นะ  เมิงอย่าไปกลางตรงระหว่างบ้านกับกองไฟ  เพราะแสงจากกองไฟมันจะส่องผ่านเต็นท์ขึ้นไปที่ข้างบน  กุขี้เกียจดูหนังเงาอะ 555”  นนท์พูดจบก็ลากผมขึ้นบ้านไป  โดยที่ผมไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่คับ  เพราะทีแรกผมก็วางแผนจะกางเต็นท์นอนข้างล่างกับนนท์เหมือนกัน  เผื่อว่าจะได้ออกกำลังกายยามดึกบ้าง

       “กาง  2  เต็นท์ก็ได้นี่หว่า  ทำไมต้องไปนอนข้างบนวะ  กุก็ อดดิ”  ผมทำหน้างอใส่นนท์ขณะที่กำลังถูกถูลู่ถูกังขึ้นบันไดคับ

       “ไอ้ห่า  ให้ข้าวใหม่ปลามันเค้าปรับความเข้าใจกันดิวะ  เมิงจะไปเป็น ก ข ค  ทำไมหล่ะ  ไอ้พวกขี้เมานั้นก็หลับเป็นตายมึงจะทำอะไรข้างบนก็ไม่มีใครรู้หรอก  เชื่อกูดิ”  นนท์ตบกะโหลกผมทีนึงคับ  ผมเลยได้แต่ทำหน้างอ  ตามไปแต่โดยดี

       พอผมเปิดประตูห้องนอนเข้าไป  สภาพที่เห็นก็ทำให้นนท์ถึงกับเบือนหน้าหนี  เมื่อเห็นสภาพของการนอนของ  4  หนุ่มขี้เมา  เกลือกกลิ้งสสารสีขาวเละ ๆ  ทีมองดูใต้แสงไฟฉายคล้าย ๆ  กับโจ๊ก  แต่กลิ่นร้ายกาจอย่างที่สุด

       “เมาขนาดนอนเกลือกกลั้วอ้วกตัวเองเลยหรอวะ”  ผมอุทานอย่างไม่เชื่อสายตาคับ

       “เมิงก็ดูปริมาณที่พวกมันแดกดิ”  นนท์ส่ายหน้า  พร้อมกับเดินเข้าไปหอบเอาสัมภาระและเครื่องนอนที่ยังสะอาดอยู่เดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน  ที่ต้ากับมิกกำลังช่วยกันกางเต็นท์อยู่

       “ไอ้พวกข้างบนอ๊วกหว่ะ  อย่าว่าหยั่งงั้นหยั่งงี้เลยนะ  กุขอกางเต็นท์ตรงฝั่งนู้นละกัน...  อะนี่  เครื่องนอน  กุดูแล้ว ยังสะอาดอยู่”  นนท์เจรจาคับ  ต้ายิ้ม ๆ แล้วก็เดินมารับเครื่องนอนจากนนท์ที่ยื่นให้ 

       “เบา ๆ  หล่ะ  เออออนี่...เผื่อจำเป็น  บางทีครั้งแรกมันอาจจะยากนิดหน่อย  555”  ผมแกล้งแหย่ต้าคับ  พร้อมกับยื่นของบางอย่างให้ต้า

       “ไอ้เหี้ยยยยย  คิดไรของเมิงเนี่ย”  ไอ้ต้าตบกระบาลผมทีนึงคับ  หลังจากที่เห็นของในมือผมชัด ๆ

       “จะเอาไม่เอา”  ผมทำเสียงแข็งคับ  โดยที่มีไอ้นนท์ขำ ๆ  อยู่ข้าง ๆ

       “เออ ๆ ๆ ๆ ๆ   ขอบใจที่หวังดีหว่ะ  แต่กุอาจจะไม่ได้ใช้มันก็ได้  ว่าแต่เมิงเหาะ  ไม่เก็บไว้ใช้เองหรอ”  มันทำหน้าทะเล้นบ้างคับ

       “โอ้ยยยย  อันนี้อะ  ขนาดทดลอง  เฮียมีอีก  หลอดใหญ่กว่านั้นอีกน้องเอ๊ยยย  555”  ผมตอบกวน ๆ คับ แหะ ๆ

       คืนนี้อากาศหนาวมากคับ  เพราะเป็นพื้นที่บนภูเขาสูง  เลยต้องอาศัยกิจกรรมบำบัดความหนาวบ้างอะไรบ้าง  ไม่รู้ว่าไอ้พวกมือใหม่มันจะอะไรยังไง  ชวนนนท์ไปแอบดูซักหน่อย  ก็โดนด่าซะยับเยินหาว่าเสือกเรื่องชาวบ้าน   555  ผมเลยอดดูหนังสดคับ  แต่ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยสำภาษณ์  อิอิ...^^!

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ขออภัยในความไม่สะดวกครับ :sad4:

Horizon
ขอบคุณที่มาอ่านครับ  :กอด1:
 
@ชัดเจนกาบ
ผมว่านะครับ ความรักมันอยู่รอบตัวเรานะครับ เพียงแต่ว่าเราจะเอามันมาให้อยู่กับเราได้รึเปล่าครับ
 
@yayee2
รออ่านต่อสิครับ ผมในฐานะที่อ่านจบมาก่อนจะไม่สปอยล์(พิมพ์ผิดรึเปล่าเนี่ย)นะครับแต่โดยส่วนตัวแล้ว
เรื่องนี้ได้เปิดมุมมองความรักอีกด้านให้ผมเลยนะครับ

@yeyong
ขอบคุณที่มาอ่านครับ  :กอด1:

@KrysTal
 :กอด1: จับกอดเบาๆครับ

@beery25
น่าอิจฉานะครับพี่กฤษน่ะ

ออฟไลน์ beery25

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 808
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-0
อิจฉาตาร้อนเพิ่มอีกคู่

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อ้าว!  กรี๊ดดด มีเพิ่มอีกคู่

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
 หึ หึ หึ คู่ใหม่คู่นี้ คงน่ารักไม่แพ้คู่กฤษ-นนท์นะ
นายกฤษน่ะ มีแฟนดีมากๆเลย

ออฟไลน์ topphy

  • มีสิทธิ์ไหมที่จะรักใครสักคน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
  คุ้นๆว่าเคยอ่านเรื่องนี้ที่บอร์ด gboysiam อ่ะ :laugh:

ขอบอกว่าเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องจริงและผมก็ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ

แต่ติดที่ตอนจบโคตรเศร้าอ่ะ :m15: นอนร้องไห้อยู่ตั้งหลายวัน

ปล แต่ยังงัยก็ชอบและจำเรื่องนี้ไม่เคยลืม

chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 22

            “...เห้ยยยยย  ไอ้เหี้ยยยยย...  ใครอ๊วกวะ  โอ้ยยยยย  กุเลอะหมดเลยแมร่งงงงงง...”  ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายที่ดังออกมาจากตัวบ้านคับ  ผมสังเกตดูรอบ ๆ  ตัว  นนท์ไม่ได้นอนอยู่แล้ว  เห็นแต่กองเครื่องนอนและถุงนอนที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย   ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอกคับ  เพราะว่าปกติ  นนท์ก็เป็นพวกตื่นก่อนนอนทีหลังอยู่แล้ว  แหะ ๆ  ผมเลยลุกขึ้นเก็บเครื่องนอนและพับถุงนอนที่ผมเอามาซุกอีกชั้นนึงเพราะอากาศเมื่อคืนหนาวมาก

            ผมออกจากเต๊นท์เพื่อมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเห็นนนท์กำลังถือของเดินออกมาจากห้องน้ำ

            “หนาวขนาดนี้ยังอาบน้ำอีกหรอวะ  เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”  ผมแกล้งพูดดักไว้คับ  กลัวนนท์มันจะบังคับผมอาบน้ำ  เพราะมันหนาวมากกกกกกกกก

            “เมิงไม่ต้องมาอ้างว่าจะไม่สบายเลย  ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย”  น้านนนน  ยังไม่ทันที่จะให้ผมได้ลุ้นว่าผมจะรอดหรือไม่รอดก็โดนซะแล้วคับ  ผมเลยวิ่งหนีซุกเข้าไปในเต็นท์

            “กูไม่อาบโว้ยยยยยยย  หนาวตายห่า”  ผมยังยืนยันเจตนารมณ์คับ

            “เมิงจะออกมาดี ๆ  หรือจะให้กุเอาน้ำมาสาด”  นนท์ไม่ยอม  ยังไงก็จะเอาผมไปอาบน้ำให้ได้คับ

            “ม่ายอาวววววววววววววว”  ผมตะโกนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปง  พร้อมกับเสียงนนท์รูดซิบเปิดเต๊นท์ตามเข้ามาข้างใน  แล้วก็มุดผ้าห่มเข้ามาหาผม

            “แอ๊....สกปรกหว่ะ  ถ้าเมิงหนาวไม่อยากอาบจิง ๆ  ก็ไปจัดการอาบน้ำให้ลูกชายเมิงหน่อยดิวะ  เดี๋ยวมันเน่าได้ตัดทิ้งขึ้นมาเหอะ  กุจะนั่งขำ  3  วัน  7  วัน”  นึกว่าห่วงกัน  ที่แท้ก็ห่วงกฤษน้อยนี่เอง -*-!

            “อืมมมม  ก็ได้ ๆ  ว่าแต่  เช้า ๆ  แบบนี้  มีไรกินวะ  กุไม่กินโจ๊ก  ข้าวต้มหรืออะไรพวกนี้นะเว่ย  ภาพเมื่อคืนยังติดตาอยู่เลยอะ”  ผมนึกถึงภาพเมื่อคืนแล้วก็ถึงขั้นอนาถใจคับ  แหะ ๆ

            “ก็ป้าเค้าทำข้าวต้มนั่นแหละ  แต่กุรู้ว่าเมิงคงจะกินไม่ลง  เพราะกุก็เหมือนกัน  กุเลยเอาของที่เราซื้อขึ้นมาด้วยไปทำอย่างอื่นไว้แล้วอะ  เดี๋ยวลุกไปจัดการล้างหน้าแปรงฟันซะไป  เดี๋ยวกินข้าวกัน  กุขอขึ้นไปจัดการไอ้พวกข้างบนก่อน  ทำอะไรแม่งไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน  เร็ว ๆ  หล่ะ  หิวแล้ว”  นนท์พูดจบก็จุ๊บผมทีนึงแล้วก็มุดออกไปคับ  ผมเลยลุกมาพับผ้าห่มรอบที่  2  เพราะผมมาทำเละอีก  แหะ ๆ

            ผมออกจากเต็นท์มาก็ได้ยินเสียงนนท์ปลุกพวกผู้หญิง  ผมมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบแปดโมงแล้วคับ  แต่แดดยังไม่มีเลย  ที่สำคัญมันหนาวคับ  นอนสบายมากมาย  แล้วซักพักก็เห็นนนท์กับหน่อยเดินลงมา  ยกถังน้ำกับผ้าขี้ริ้วขึ้นไปบนบ้าน  แล้วก็ตามด้วยเสียงของพวกสาว ๆ  ที่รุมด่าไอ้พวกที่มันอ้วกใส่บ้านเค้าให้มันทำความสะอาด  ออกแนวขู่ว่า  ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกินข้าวเช้า  ผมหล่ะขำคับ  แหะ ๆ  ซักพักนนท์ก็เดินลงมาปล่อยให้พวกสาว ๆ  จัดการต่อ

            “นนท์ ๆ  ...เต็นท์นู้น  เดี๋ยวกุไปปลุกให้”  ผมทำหน้าทะเล้น  เดินไปทางเต็นท์ของคู่ข้าวใหม่ปลามันคับ

            “เมิงหยุดอยู่ตรงนั้นเลยไอ้กฤษ”  ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปใกล้ที่หมาย  เต๊นท์ก็ถูกรูดซิบเปิดออกพร้อมกับ  ตาต้ากับมิกกี้ก็มุดออกมาจากเต๊นท์

            “อะไรวะแม่ง  กุเลย อดดูหนังสดเลย”  ผมกวนมันต่อด้วยเสียงที่ไม่ดังมากคับ  เพราะกลัวไอ้พวกข้างบนบ้านได้ยิน  แหะ ๆ

            “ทะลึ่ง  เมิงนี่ลามกไม่มีใครเกินจิง ๆ  เลยหว่ะ”  มิกกี้กัดผมคับ

            “แล้วมันจิงไม่จิงหล่ะ”  ผมทำหน้าตื่นเต้นอยากรู้

            “แล้วเมิงไปยุ่งเหี้ยไรกับเค้าฮ้า....  บอกแล้วไง  ว่าอย่างเสือกเรื่องชาวบ้านนนน”  เป็นไอ้คุณนนท์ที่รักคับที่ตบกะโหลกผมซะแทบหัวคะมำ  พร้อมกับเสียงหัวเราะของต้ากับมิก

            “เอาของเมิงคืนไปเลยไป”  ต้าโยนของที่ผมให้เมื่อคืนมาให้ผมคับ  ผมรีบสำรวจความเสียหายทันที

            “ทำเป็นมาว่ากุทะลึ่งหยั่งงั้น  กุลามกหยั่งงี้  แม่งล่อซะครึ่งหลอดเลยนะเมิง  555”  ผมได้ทีแขวะต่อคับ

            “เออ ๆ ๆ ๆ  ขอบใจละกัน”  ต้ายิ้ม ๆ  แล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำคับ  โดยที่มิกกี้ยิ้มอาย ๆ  ไม่พูดอะไรเดินแยกขึ้นบันไดบ้านไปสำรวจมหกรรมทำความสะอาดบ้านที่กำลังดุเดือด  เพราะพวกผู้ชายเริ่มแกล้ง  เอาเสื้อที่เปื้อนอ้วกวิ่งไล่เช็ดพวกสาว ๆ  คับ

            “เมิงว่า...มันได้กันจิง ๆ  ป่าววะ”  ผมทำหน้างง ๆ  หันไปถามนนท์คับ  นนท์คว้าของที่ต้าคืนให้ผมเมื่อกี๊ไปดู  แล้วก็มองหน้าผมยิ้ม ๆ  แล้วตอบว่า

            “จะเหลือหรอ...  แค่ใครจะเป็นใคร  เท่านั้นแหละ  555”  ผมกับนนท์หัวเราะก๊ากออกมาแล้วก็แยกย้ายกันคับ  นนท์เดินเข้าไปทางครัว  ส่วนผม  ถือผ้าเช็ดตัวจะไปเข้าห้องน้ำคับ

            ปาเข้าไป  9  โมงกว่า ๆ  นู่นคับกว่าที่ทุกคนจะพร้อมออกเดินทาง  เพราะว่านอกจากจะต้องทำความสะอาดบ้านแล้ว  ยังต้องมาทำความสะอาดเครื่องนอนที่เปื้อนอ้วกอีกหลายผืน  โดยที่พวกเชลยยังไม่ได้กินข้าวเช้าคับ  เพราะโดนพวกผู้หญิงบังคับไว้  บอกว่า  เดี๋ยวค่อยไปกินบนรถ  มีไอ้วัทที่โวยวายคนเดียวคับ  เพราะมันเป็นคนขับรถ  สาวแก้มเลยไปตักข้าวต้มมาให้มันถ้วยนึง  บอกว่าให้เวลา  3  นาที  เสร็จไม่เสร็จก็จะเก็บ  โดยมีกติกาว่า  ให้วัทถือช้อนเท่านั้น  ส่วนถ้วยข้าวต้ม  แก้มเป็นคนถือเอง  ไอ้วัทก็โซ้ยแบบไม่คิดชีวิตคับ  ก็เป็นอันว่าทันเวลาดี  แล้วก็หันกลับไปช่วยเพื่อน ๆ  ซักล้างต่อ 

            หลาย ๆ  คนอาจจะสงสัยกันใช่มั้ยคับ  ว่าเพื่อน ๆ  ผู้ชายทำไมยอมทำตามคำสั่งของผู้หญิงแบบนี้  จิง ๆ  เพื่อน ๆ  ของผม  ไม่ว่าจะจบมัธยมมาจากไหน  ถูกเลี้ยงดูมายังไง  สุดท้าย  เมื่อทุกคนผ่านระบบห้องเชียร์ไปแล้ว  นิสัยอย่างนึงที่ติดตัวออกมาคือความรับผิดชอบ  เพราะวิชาชีพที่พวกเรากำลังศึกษาอยู่นี้  จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบเป็นจรรยาบรรณพื้นฐาน  พวกเราจึงถูกปลูกฝังมาให้รู้จักความรับผิดชอบมาเป็นอันดับแรก  ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักที่เราได้เข้าทำกิจกรรมห้องเชียร์  แต่มันเป็นความทรงจำคับ  เพราะกว่าจะได้รุ่นมา  เล่นเอาเสียทั้งเหงื่อ  ทั้งน้ำตากันมาไม่น้อยเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้น  ไอ้พวกหนุ่ม ๆ  เมื่อมันรู้ว่ามันทำผิดไป  ถึงจะไม่มีพวกสาว ๆ  ที่คอยไปควบคุมให้มันทำ  ผมก็เชื่อว่าด้วยคำนำหน้าชื่อที่พวกมันใช้อยู่ทุกวันนี้  กับคำที่เจ้าหน้าที่หรืออาจารย์เรียกพวกมันเวลาที่เข้าไปคณะจะคอยย้ำเตือนให้พวกมันไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร  ยังไงซะ  พวกนี้มันก็ต้องทำการเก็บกวาดสิ่งที่พวกมันทำไว้คับ  เพียงแต่ว่าอาจจะไม่สะอาดหมดจด  จึงต้องมีพวกสาว ๆ  ไปคอยดูแลจุดที่พวกมันอาจจะไม่ได้ทำเท่านั้นเอง

            เราออกเดินทางมุ่งสู่ยอดดอยจุดที่ทุกคนขนานนามว่า จุด  “สูงสุดในสยาม”  เมื่อไปถึงก็ตามอัธยาศัยคับ  ใครอยากทำอะไรก็ทำ  เพราะมันมีหลาย ๆ  อย่างให้ดู  ทั้งสถูป  หมุดแสดงตำแหน่ง  เส้นทางศึกษาธรรมชาติในป่าพรุอ่างกา  อะไรทำนองนี้อะคับ  เวลาเที่ยวพวกผมจะเป็นแบบนี้แหละคับ  แยกกันไป  แล้วค่อยนัดเวลามาเจอกัน  ใครใคร่ทำอะไรก็ไปทำ  แต่ขอให้ตรงเวลา  ออกจากจุดแรกก็ไล่ลงมาที่พระธาตุคู่  “นภเมทณีดล”  “นภพลภูมิสิริ”  (ไม่รู้สะกดถูกรึป่าวนะคับ  แหะ ๆ)  ตรงนี้เลื่องชื่อเรื่องสวนดอกไม้กับสายหมอกคับ  สวยแบบหาตัวจับยากเลยทีเดียว  ^^

            ตอนนี้ก็เกือบ ๆ  จะบ่ายโมงแล้วคับ  ผมว่าเราใช้เวลาเร็วมากเพราะแต่ละจุดเราใช้เวลาแค่ไม่นาน  เราเลยตัดสินใจกันว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่  “น้ำตกวชิรธาร”  น้ำตกที่พลังน้ำกระทบเบื้องล่างแล้วเกิดละอองน้ำสร้างความชุ่มชื่นไปทั่วบริเวณ ถ้าหน้าน้ำหลาก  ก็ถึงขนาดว่าเข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ  ไม่ได้เลยคับ  กล้องเกิ้งเปียกหมด  เพราะของเค้าแรงจิงอะไรจิง

            อาหารก็อร่อยดีคับ  เป็นเพราะว่าบรรยากาศดี  อาการหิว  การที่ได้เที่ยวกับคนที่รัก หรือว่าอาหารอร่อยจิง ๆ  ก็ไม่รู้  กินไปคุยไปคุยไปคับ  หัวเราะเฮฮาแบบว่าไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเลยทีเดียว  ทีแรกว่าจะเล่นน้ำกันคับ  แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า  ตรงที่เป็นที่เล่นน้ำตอนนี้เค้ากำลังปรับปรุงอยู่คับ  เพราะฤดูน้ำหลากที่แล้วได้ทำให้หลาย ๆ  อย่างพังทลายลงไป  กว่าที่งบประมาณจะมาถึงก็พึ่งได้ทำนี่แหละคับ  มันมีแค่ไม่กี่จุดที่เล่นน้ำได้  เพราะที่อื่น ๆ  น้ำจะแรงแล้วก็เชี่ยวมาก  อันตรายคับ  ก็เลยอดเล่นน้ำกัน  แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเล่นนะคับ  กินข้าวเสร็จก็ขับรถลงดอยมาที่  “น้ำตกแม่กลาง”  ตรงบริเวณเชิงดอยคับ   เพื่อน ๆ  ก็เลยได้เล่นน้ำสมใจ  บางคนก็ไม่เล่นนะคับ  เช่นผมกับนนท์  เป็นต้น  แหะ ๆ  ไม่อยากเปียกแล้วคับ  เราก็เลยเดินเล่นหาซื้อแนะนู่นนี่ไปเรื่อยคับ

            และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับบ้านคับ  โดยที่ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปในตัวเมืองอำเภอจอมทอง  ไปนมัสการพระธาตุศรีจอมทอง  พระธาตุประจำปีเกิดคนเกิดปีชวด  ใครเกิดปีชวดก็ลองไปสักการะดูนะคับ  เค้าบอกว่าศักดิ์สิทธิ์คับ  ส่วนพวกผม  ถึงจะไม่ได้เกิดปีชวด  แต่ไหน ๆ  ก็ได้มากันแล้วก็ถือว่ามานมัสการให้เป็นสิริมงคลคลกับชีวิตคับ  แหะ ๆ ^^

            “เมิงอธิฐานอะไรวะ  ตั้งนานสองนาน”  ผมถามนนท์ขณะที่เรากำลังเดินกลับมาขึ้นรถคับ

            “ก็เรื่องทั่ว ๆ  ไปอ่า  ไม่รู้สิ  ช่วงนี้กุรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ  คิดถึงยายยังไงไม่รู้  รู้สึกเหนื่อยไปหมด  แต่พอได้มาเที่ยวก็สบายใจขึ้นมั่งละ”  นนท์ยิ้ม ๆ  ตอบผมคับ

            “อืมมมม  ทีหลังไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้กุฟังมั่งดิวะ  ให้กุได้ทำหน้าที่แฟนบ้าง  ไม่ใช่ให้เมิงมาคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยกุอยู่คนเดียว  โดยที่กุไม่มีสิทธิ์ทำหน้าที่แฟนของกุเลย  เมิงก็เป็นซะหยั่งงี้อะ  เอะอะอะไรก็กลัวแต่จะทำให้กุไม่สบายใจ  ถ้ากุไม่ถามก็ไม่รู้เรื่อง  ไม่รู้แหละ  ถือว่าเป็นคำสั่ง  ทีหลังมีไรต้องเล่าให้กุฟัง  เข้าใจมั้ย”  ผมทำหน้าเครียด ๆ  ดุนนท์คับ

            “ค้าบบบบบบบ  ไอ้คุณแฟน”  นนท์ยิ้มหวานแลบลิ้นใส่ผมทีนึง  แล้วก็วิ่งหนีคับ  ผมเลยวิ่งตามไปเตะตูดทีนึง  แหะ ๆ ^^

------------------------------------------------------------------------

ของฝากจากพี่กฤษ

          ไหน ๆ  เนื้อหาของตอนนี้ก็มีบางส่วนพูดถึงพระธาตุประจำปีเกิดแล้ว  เผื่อบางคนจะมีเวลาว่างอยากจะไปทำบุญบ้างอะไรบ้าง  จากต้นฉบับบเดิม พี่กฤษเลยขอฝากความรู้เรื่องพระธาตุประจำปีเกิดของความเชื่อแบบล้านนา  ตรงนี้ไว้นิดนึงละกันนะคับ  ^^ อันนี้พี่เค้าฝากมาครับ"ถูกผิดยังไงก็ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยนะคับ  ผมอ่านแปลมาจากหนังสือที่เป็นภาษาล้านนาโบราณอีกที  เลยไม่รู้ว่าสะกดถูกผิดยังไง  แหะ ๆ"

+ปีไจ้ (ชวด)       พระธาตุศรีจอมทอง        จ.เชียงใหม่

+ปีเป้า (ฉลู)       พระธาตุลำปางหลวง        จ.ลำปาง

+ปียี (ขาล)        พระธาตุช่อแฮ                จ.แพร่

+ปีเหม้า (เถาะ)  พระธาตุแช่แห้ง                จ.น่าน               

+ปีศรี (มะโรง)    พระธาตุพระสิงห์             จ.เชียงใหม่

+ปีไส้ (มะเส็ง)   พระมหาเจดีย์พุทธคยา    ประเทศอินเดีย

+ปีสง้า (มะเมีย) พระธาตุตะโกง (พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง)   ประเทศพม่า

+ปีเม็ด (มะแม)  พระธาตุดอยสุเทพ          จ.เชียงใหม่

+ปีสัน (วอก)      พระธาตุพนม                 จ.นครพนม

+ปีเร้า (ระกา)     พระธาตุหริภุญชัย           จ.ลำพูน

+ปีเส็ด (จอ)      พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  (เค้าบอกให้ปล่อยโคมบูชาคับ ^^)

+ปีไก้ (กุล)         พระธาตุดอยตุง              จ.เชียงราย


chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 23

            ช่วงเวลาของการรอเกรดออกนี่เป็นช่วงเวลานึงที่ผมไม่ชอบที่สุดในชีวิตเลยคับ  มันรู้สึกลุ้น ๆ  แปลก ๆ  อะ  ก็ผมมันเป็นพวกเรียนไม่เอาไหนนี่นา  ตั้งแต่กลับมาจากเที่ยวดอยอินทนนท์  มันก็ว่าง ๆ  คับ  ส่วนมากก็อยู่บ้านเฉย ๆ  ยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่  ก็ยังดีที่มีไอ้คุณนนท์ที่รักที่คอยดูแลเอาใจใส่ผมอยู่ไม่ห่าง  ^^!  พอเกรดออกมาก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากมายคับ  ด้วยผมบุญที่ตอนกลางภาคที่ทำไว้ค่อนข้างดี  แต่ปลายภาคทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  บางวิชานี่ต้องถือว่าดับอนาถจิงจังคับ  ผ่าน  2.5  มาได้ก็ถือว่าบุญแล้ว  เอาเป็นว่าผมไม่บอกแล้วกันคับว่าได้เท่าไหร่  แหะ ๆ  ส่วนของนนท์นี่ก็ยังทะลุ  3.8  อยู่ดีคับ   ถึงจะเห็นบ่นว่าทำข้อสอบไม่ค่อยได้ก็เหอะ

            “สงกรานต์นี้มีโปรแกรมไปไหนป่าววะ”  นนท์ถามผมขณะที่เรากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งข้าง ๆ  บ้านคับ

            “ไม่อ่า  ยังไม่ได้วางโปรแกรมเลย  ก็ตั้งแต่พลาดวิชาที่จะลงซัมเมอร์ก็ไม่มีแล้วอ่า  พูดไปแล้วยังเจ็บใจไม่หายเลยหว่ะ  ว่าแต่  มีไรอะ”  ผมตอบนนท์คับ  เรื่องเรียนซัมเมอร์เนี่ย  ก็ว่าจะลงเรียนภาษาอังกฤษให้มันเสร็จ ๆ  ไปคับ  จะได้ไม่ต้องเก็บมาหนักหัวตอนปี  2  แต่เผอิญว่ามันเต็มครับ  เลยลงเรียนไม่ได้

            “พากลับบ้านพิดโลกหน่อยดิ  อยากกลับไปอาบน้ำให้ยายอ่า  อยู่คนเดียว  ไม่รู้มีใครไปทำความสะอาดให้บ้างรึป่าว  ตั้งแต่น้าพราวคลอด  ยายน้อยก็ไปอยู่ดูแลหลานที่สุโขทัยอะ  ทั้งบ้านทั้งที่เก็บอัฐิที่วัด  สงสัยไม่มีใครดูแลแน่เลยหว่ะ”  นนท์ทำเสียงอ้อน ๆ  คับ

            “โอ้ยยยย  ไม่ต้องอ้อนหรอกจ้า...  ไปอยู่แล้ว  นนท์ไปไหน  กฤษไปด้วย  ^^”  ผมยิ้มแล้วตอบนนท์คับ  วันนี้หวานได้เต็มที่เพราะแม่มีค่ายวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน  พ่อเลยพาแม่ไป  ส่วนไอ้เหม่งก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนพิเศษคับช่วงนี้  มันบอกว่าเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนเอง  ซึ่งผมคิดว่ามันบ้าไปแล้วคับ  เพราะมันเพิ่งจะกำลังจะขึ้นมอ  5  เอง  แต่มันก็เริ่มอ่านหนังสือสอบเรียนต่อแล้วคับ  มันบอกว่า  ความหวังสูงสุดคือ  มันจะสอบทุน กพ.  ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ให้ได้ ผมเลยท้ามันว่า  ถ้าสอบได้  เงินเก็บในบัญชีผมทั้งหมด  ผมจะยกให้มันไปทำทุนเลยคับ  ทุกวันนี้มันเลยยิ่งเหมือนคนบ้า  วัน ๆ  มีแต่เรียนพิเศษกับอ่านหนังสือ  ไม่ค่อยได้เที่ยวเหมือนตอนขึ้นมอปลายใหม่ ๆ  แล้วคับ

            “เดี๋ยวกุจะเป็นคนขอแม่เองละกัน  แม่คงไม่ว่าอะไรมั้ง”  นนท์พูดไป  ทำท่าเหมือนคิดอะไรไปด้วยคับ

            “อืมมม  แม่ไม่ว่าไรหรอก  ก็เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่เฉย ๆ  นี่นา  อีกอย่าง  ลูกนนท์ออกปากขอเองแบบนี้อะ  มีหรอที่แม่กุจะขัด  555...  ว่าแต่  เราจะไปวันไหนกันดีอะ”  ผมแอบกัดเล็ก ๆ  คับ

            “ออกจากที่นี่ซักเช้าวันที่  12  ละกัน  ไปถึงก็ไปจัดการธุระเลย  ตอนค่ำ ๆ  เดี๋ยวพาไปเยี่ยมเพื่อน ๆ  เก่า ๆ  ได้ข่าวว่าสงกรานต์นี้จะกลับบ้านกันหลายคนอยู่  แล้วรุ่งเช้าก็เดินทางกลับ  ถ้าจะเที่ยวก็ค่อยเที่ยวตามทางผ่านตอนเดินทางกลับก็ได้  คือวันที่  13  มันมีงานที่วัดอะ  ไม่อยากไปวันนั้นเพราะคนมันจะเยอะมาก  ขี้เกียจพบปะผู้คนหว่ะ  เบื่อ ๆ  ยังไงไม่รู้”  นนท์ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบผมคับ

            “อืมมมม  ดูรีบ ๆ  เนอะ  แต่ก็ดีเหมือนกัน  จะได้กลับมาเล่นสงกรานต์ที่คูเมืองด้วย  แหะ ๆ”  ผมก็แปลกใจนิด ๆ  คับว่า  กลับบ้านทั้งที  ทำไมไม่อยู่นานนิดนึง  แต่ก็ในเมื่อนนท์วางแผนไว้แบบนั้น  ผมก็ไม่ขัดครับ  เพราะว่านนท์ก็ย่อมมีเหตุผลที่นนท์คิดแล้วว่าสมควรที่จะต้องเป็นไปแบบนั้น  จากการที่เห็นการวางแผนต่าง ๆ  ของนนท์มาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  ทุกอย่างจะถูกคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องดำเนินไปแบบไหนคับ  มันมีเหตุผลในตัวของมัน  และที่สำคัญ  แผนของนนท์ไม่เคยพลาดคับ (เห็นได้จากการที่ผมไม่เคยเล่นหมากรุกชนะนนท์เลย  ไม่ว่าผมจะเหลือหมากมากกว่าแค่ไหนก็ตาม  สุดท้าย  ผมก็แพ้อยู่ดี  แหะ ๆ)  ผมเลยค่อนข้างเชื่อฟังเวลาที่นนท์สั่งให้ผมทำอะไรคับ  ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนกลัวเมียนะ  ^^!

.......

            ถึงวันที่เราจะต้องเดินทาง  แม่ผมฝากถังสังฆทานไปถวายด้วย  ทีแรกแม่บ่นอยากไปด้วย  แต่เพราะแม่ไม่ว่างวันที่เราเดินทาง  เค้ามีงานรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสที่โรงเรียนพ่อกับแม่อะคับ  แม่เลยบอกว่าเอาไว้คราวหน้าละกัน  เราออกเดินทางจากที่บ้านประมาณ  7  โมงเช้า  ทำความเร็วไม่ค่อยได้คับ  เพราะหน้าเทศกาลแบบนี้  รถเยอะมากมาย  แล้วก็ต้องเกรงใจตำรวจทางหลวงที่มีจุดตรวจเป็นระยะ ๆ  ด้วยคับแหะ ๆ  แต่ก็ดีไปอีกแบบที่ทำให้เราได้ชมทัศนียภาพข้างทางมากขึ้น  มีความสุขดีคับ  นนท์ก็ชวนผมคุยตลอดทางโดยที่ไม่ยอมหลับเลย  สงสัยจะกลัวผมหลับในแล้วพาลงเหวข้างทางมั้งคับ  แหะ ๆ

            เราถึงพิษณุโลกประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ  แต่เราไม่เข้าบ้านคับ  นนท์ให้ผมขับต่อเข้าไปในตัวเมือง  ไปที่วัดใหญ่เลยคับ 

            “ทำไมไม่เข้าบ้านก่อนอะ  จิง ๆ  พรุ่งนี้ค่อยมาถวายก็ได้มั้ง  หรือไม่ก็ถวายวัดที่บ้านก็ได้นี่นา”  ผมถามด้วยความสงสัยคับ

            “ไม่รู้ดิ  กุรู้สึกว่า  วันนี้กุต้องมาที่นี่อะ  ก็ไหน ๆ  ก็ได้มาแล้วก็ถวายเลยละกัน”  แปลกคับ  เป็นครั้งแรกที่เหตุผลของนนท์คือคำว่า “รู้สึกว่า”  ซึ่งปกติ  การที่จะทำอะไร  นนท์จะให้เหตุผลได้ดีกว่านี้คับ

            “อืมมมม  ตามใจละกัน”  ผมยิ้มให้นนท์คับ แล้วนนท์ก็ยิ้มตอบผม  ยิ่งใกล้จะถึงบ้านเข้าไปเท่าไหร่  นนท์ก็ยิ่งมีท่าทางเหม่อ ๆ  ใจลอย ๆ  คับ  ผมตีความได้อย่างเดียวคือ  นนท์คิดถึงยาย  ผมก็ได้แต่จับมือแล้วก็ให้กำลังใจนนท์คับ  อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า  ณ  วินาทีนี้  นนท์คงจะเข้มแข็งมากพอแล้ว  มากพอที่ชวนผมกลับมาเยือนสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแบบนี้  แต่ตอนนี้  เหมือนกับนนท์ขอสถานที่พักทำใจซักที่ก่อน  ก่อนที่จะเข้าบ้านไปเผชิญกับความทรงจำเหล่านั้นคับ

            เราใช้เวลาในการถวายสังฆทาน  ไม่นานนักแล้วก็ออกมาหาอะไรกินกันคับ  กินข้าวเสร็จ  ก็ถึงเวลาเดินทางเข้าบ้านคับ  ระหว่างทางนนท์นั่งนิ่ง ๆ  ไม่พูดไม่จา  ตาแดง ๆ  ที่มองไปข้างหน้า  ทำให้หัวใจของผมเหมือนถูกมีดมาเฉือนด้วยอีกคน  ครั้งที่แล้วที่เรามาที่นี่  ตอนที่จะจากที่นี่ไป  นนท์ก็ยังดูสดใสกว่านี้  แต่พอกลับมาอีกคราวนี้  เหมือนนนท์ต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึกต่าง ๆ  ภายในอย่างมากมาย  ผมเห็นแล้วก็อดที่จะเศร้าไปด้วยไม่ได้คับ

            พอรถจอดที่หน้าบ้าน  ผมหันไปยิ้มให้นนท์แล้วก็บอกว่า  ถึงแล้ว  แตภาพที่เห็น  มันเหมือนภาพในภาพยนตร์ที่กลับมาเล่นซ้ำอีกครั้ง...นนท์ไม่ยอมลงจากรถซักที  เอาแต่นั่งจ้องไปที่ระเบียงบ้าน  ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก  ผมเลยเอามือซ้ายไปจับมือขวานนท์ ผมเองก็ยิ้มไม่ออกแล้วตอนนี้  นนท์ก็เอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ นนท์ก้มหน้าลงไปซักพัก  ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไร หยดมาที่มือผม  แล้วนนท์ก็เงยหน้าขึ้น

            “ขอบคุณมากนะที่รัก...  ป่ะ ขนของลงกัน”  นนท์พูดพร้อมหกับยิ้มให้ผมคับ

            เราเก็บของเสร็จก็เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด  แล้วก็พวกดอกไม่ธูปเทียนอะไรแบบนี้แหละคับ  นนท์เป็นจัดเตรียม  เตรียมอะไรต่าง ๆ  เสร็จ  นนท์ก็พาผมปั่นจักรยานไปที่วัดคับ  ทีแรกผมจะเป็นคนปั่นแล้วให้นนท์ซ้อน  แต่นนท์บอกว่าอยากจะปั่นเองคับ  ผมเลยเป็นคนถือของแล้วก็ซ้อนท้ายแทน  ระหว่างทาง  นนท์ไม่พูดจาทักทายใครก่อนเลยคับ  ถึงจะมีคนทักทายมาบ้าง  แต่นนท์ก็ได้แต่จอดรถแล้วก็สวัสดีเฉย ๆ  คับ  ไม่ได้ทักทายเฮฮาเหมือนครั้งที่แล้ว

            ถึงวัด  นนท์ก็มีแต่ยิ้มแห้ง ๆ  โดยที่ยังไม่ปริปากพูดอะไรคับ  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่เดินตามนนท์ต้อย ๆ  นนท์ออกปากซักคำให้ทำอะไรนี่  ผมแทบจะพุ่งเข้าใส่สิ่งนั้นเลยคับ  เพราะวินาทีนี้  ผมรู้สึกว่าคำพูดและเสียงของนนท์ช่างเป็นสิ่งที่มีค่ากับตัวผมเหลือเกิน  ผมไม่อยากให้นนท์เป็นแบบนี้เลย  ผมวางมือบนบ่านนท์หลังจากที่เราทำความสะอาดบริเวณที่เก็บอัฐิยายเสร็จแล้ว  และนนท์กำลังนั่งพับเพียบเอามือจับที่รูปของยายที่ติดอยู่เบื้องหน้า  น้ำตาที่ผมคิดว่านนท์คงจะกลั้นมานานตอนนี้ก็ไหลออกมาแล้วคับ  แต่ก็เป็นการร้องไห้แบบเฉพาะของนนท์อีกนั่นแหละ  มีแต่น้ำตาที่ไร้เสียง

            “นนท์คิดถึงยายจังเลยจ่ะ”  มีเพียงเท่านี้แหละคับ  ที่นนท์พูด  แล้วที่เหลือก็มีแต่ความเงียบสงัด โดยที่มีผมนั่งอยู่ข้างหลังเอามือแตะบ่าให้กำลังใจนนท์อยู่

            นนท์หันมายิ้มให้ผมแล้วก็โผเข้ากอดผม  ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวดมากมายที่นนท์กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้  เพราะผมก็ทรมานเหมือนกัน  ทรมานที่เห็นคนที่ผมรักต้องนั่งเศร้าและทุกข์ใจแบบนี้

            “ไม่เป็นไรน้า...กุอยู่นี่ทั้งคน  ร้องออกมาเหอะ  ร้องออกมาให้สบายใจ  แต่หยุดร้องแล้ว  เมิงต้องกลับมาเป็นนนท์คนเดิมของกุนะ”  ผมพูดจบนนท์ผมก็เริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของนนท์คับ มันทำให้ผมที่พยายามกลั้นน้ำตาทำตัวให้เข้มแข็งพอที่จะเป็นหลักให้นนท์ที่กำลังอ่อนแอตอนนี้ได้เกาะได้ กลั้นไม่ไหวแล้วคับ  น้ำใส ๆ  เริ่มไหลออกมาจากตาผม  แต่ผมก็ยังใช้ความเข้มแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่อันน้อยนิดกลั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้

            “ขอบคุณมากนะกฤษ  ขอบคุณที่เมิงยังเป็นเมิงคนเดิม  เป็นคนที่ดีกับกุมาตลอด  ขอบคุณที่ยังเป็นที่พึ่งให้กุยึดอยู่ได้เวลาที่กุอ่อนแอถึงที่สุด”  ผมหลับตา  พยายามให้คำพูดของนนท์ผ่านสมองผมให้น้อยที่สุดคับ  เพราะมันจะทำให้ความเข้มแข็งที่ผมอุตส่าห์ตั้งหลักได้ตอนนี้ทลายลงไปอีก  แต่มันก็เป็นไปไม่ได้คับ  น้ำตาผมไหลออกมาอีกแล้ว  นนท์คลายกอด  แล้วก็ผละออกจากอกผม  จ้องหน้าผมยิ้ม ๆ

            “ไอ้ขี้แยเอ้ยยยยยย  เห็นกุร้องนิดร้องหน่อยไม่ได้  ร้องตามกุตลอดเลยนะเมิงอะ”  นนท์พูดยิ้ม ๆ  แล้วก็เอานิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาให้ผมคับ  ผมเลยยื่นมือไปขยี้หัวนนท์

            “ทีหลังก็อย่าร้องดิ  กุจะได้ไม่ต้องร้องด้วย”  ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นนท์มั่งคับ

            “ขอโทษนะที่กุทำตัวไม่ดี  ขอโทษที่กุทำให้ไม่สบายใจ  แต่เมิงก็ไม่เคยโมโหหรือโกรธกุเลย  แค่นี้ก็ทำให้กุมีความสุขมากแล้วรู้มั้ย...  ปะ  กลับบ้านกัน”  นนท์พูดจบก็ลุกขึ้นถือตะกร้า  แล้วก็ยื่นมือมาดึงผมลุกขึ้นบ้างคับ

            ตอนนี้นนท์ดูสดใสขึ้นบ้างแล้วคับ  ถึงจะไม่ได้เต็มร้อยแบบตอนที่อยู่ที่บ้านหรือในมอ  แต่ก็ดูดีกว่าตอนมาถึงใหม่ ๆ  คับ  กลับถึงบ้าน  นนท์บอกให้ผมอาบน้ำแล้วก็ล้างห้องน้ำไปด้วย เดี๋ยวนนท์จะเป็นคนทำความสะอาดบ้านพอให้นอนได้แต่ไม่ถึงกับสะอาดมากมาย  ก็อยู่แค่คืนเดียวอะคับ  แล้วนนท์ก็บอกว่า  เย็น ๆ  จะพาไปเที่ยวบ้านเพื่อนคับ  เป็นเพื่อนผู้หญิงที่นนท์สนิทตอนมอปลาย  เห็นนนท์บอกว่า  พ่อกับแม่เค้าให้ไปกินข้าวด้วย  วันนี้นนท์เลยไม่ได้ซื้อกับข้าวมาตุนไว้คับ  ส่วนมื้อเช้า  นนท์บอกว่า  เดี๋ยวเก็บของออกไปกินระหว่างทางที่เดินทางกลับบ้านเลย

            ผมอาบน้ำแล้วก็ทำความสะอาดห้องน้ำเสร็จ  นนท์ก็เข้าไปอาบต่อคับ  จิง ๆ บ้านก็ไม่ได้สกปรกอะไรหรอกคับ  เพราะมันถูกจัดการไว้แล้วว่าจะไม่ค่อยมีคนอยู่  พื้นที่จึงเป็นที่ว่าง ๆ  ที่ข้าวของถูกเก็บเข้าตู้หมดแล้ว  ทำความสะอาดพื้นนิด ๆ  หน่อย ๆ  ก็นอนได้แล้วคับ  อีกอย่าง  ผมกับนนท์ไม่มีปัญหาเรื่องแพ้ฝุ่นด้วย  เลยยิ่งสบายไปใหญ่คับ

            บ้านเพื่อนที่นนท์พูดถึงอยู่ห่างออกไปประมาณกิโลกว่า ๆ  ผมบอกว่า  เดี๋ยวขับรถไปกันดีกว่า  แต่นนท์บอกว่าไม่จำเป็นคับ  ปั่นจักรยานไปก็ได้  นนท์บอกว่าระยะแค่นี้ที่บ้านนอก  เค้าไม่ใช้รถกันด้วยซ้ำ  ผมเลยเชื่อฟังคับ  โดยที่ขาไปผมเป็นคนปั่นจักรยาน  แล้วนนท์ก็บอกว่า  เดี๋ยวขากลับ  นนท์จะปั่นเอง

            พอไปถึงบ้านนั้น  นนท์ก็ทักทายอะไรกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแหละคับ  นนท์แนะนำผมในฐานะของเพื่อนคนนึงที่พามาเป็นเพื่อนเดินทางด้วย  ผมก็เห็นด้วยคับ  เพราะสังคมชนบทยังไม่เปิดรับกับสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้  คนบ้านนอกนี่ใจดีคับ  อัธยาศัยดี  คุยสนุกคับ  ทำอาการอร่อยด้วย  จิง ๆ  ก็มีเพื่อน ๆ  คนอื่น ๆ  มาอีกคับ  มานั่งจับกลุ่มกินเหล้ากัน  แต่นนท์บอกว่า  บางคนก็ไม่รู้จัก  บางคนก็ไม่สนิท และที่สำคัญผมกับนนท์ไม่ดื่มกันทั้งคู่เลยได้แต่ยิ้มให้พวกเขาเหล่านั้น  แต่ก็เราไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย

            ลากลับบ้านตอนโพล้เพล้จะมืดไม่มือแหล่คับ

            “นี่ไงเหตุผลที่กุอยากจะเอารถมา  มืดมามันลำบากเดินทางเห็นมั้ย”  ผมดุนนท์ขณะที่กำลังอยู่ในฐานะผู้โดยสารโดยที่นนท์เป็นคนปั่นคับ

            “ไม่เห็นจะมืดเลย  ดูดิ  พระจันทร์ออกจะดวงเบ้อเร่อ  อย่าอยู่ในเมืองดูแต่แสงไฟฟ้าจนชินดิวะ  ลองสัมผัสแสงจันทร์บ้าง  เผื่อชีวิตจะได้มีสีสัน”  นนท์พูดไปหัวเราะไปคับ  ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  เราเดินทางมาได้เกือบ ๆ  จะครึ่งทางคับ  ตอนนี้มืดแล้ว  บรรยากาศโดยรอบเป็นทุ่งนาซะส่วนใหญ่คับ  มีป่าละเมาะข้างทางและมีป่าหญ้าคาขึ้นเป็นหย่อม ๆ  แล้วผมก็ตกใจเมื่อนนท์ชี้ให้ผมดูบางอย่างข้างทาง  ซึ่งเป็นหัวโค้งคับ

            “เห้ยกฤษ  ดูนั่นดิวะ”  นนท์ชี้ให้ผมดูรถมอเตอร์ไซค์ที่นอนล้มอยู่ข้างทาง  และมีเงาดำ ๆ  กองอยู่กับพื้นถัดออกไปไม่ไกลนัก

            “เฮ้ยยยยย  คนนี่หว่า”  ผมอุทาน หลังจากที่นนท์ปั่นจักรยายเข้าไปใกล้ ๆ  ผมจึงดูออกว่าเป็นคน  แต่รถเราอยู่คนละฟากถนนนะคับ

            “เรียกรถพยาบาลเร็ว”  นนท์สั่งผมแล้วก็จอดจักรยานผมกระโดดลงจากรถ  เห็นนนท์วิ่งข้ามถนนลงไปดูคับ  ผมวิ่งตามไปโดยที่มือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย

            “ไม่มีสัญญาณหว่ะ”  ผมตอบนนท์คับ  พร้อมกับนั่งลงไปสำรวจความเสียหายที่เกิดกับคุณลุงขี้เมาคนนั้น  ผมสรุปว่าขี้เมาเพราะกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งทั่วร่างกาย

            “Pulse ยังอยู่  แต่หายใจไม่ค่อยไหวแล้ว  เลือดยังไม่แข็ง  แต่ตัวเริ่มเย็น  ต้องรีบเคลียร์แล้วแหละ  ไม่งั้นไม่รอดแน่”  นนท์ขมวดคิ้วหันมามองผมคับ  แล้วก็สำรวจหาปากแผลที่เป็นที่มาของเลือดอย่างยากลำบากเพราะมันมีแต่แสงจันทร์คับ

            “เคลื่อนไม่ได้หว่ะ  กระดูกขาหัก  ถ้าขยับมีหวังพิการแน่”  ผมตอบนนท์หลังจากที่พิจารณาดูสภาพขาขวาของลุงที่บิดอย่างผิดธรรมชาติ 

            “เฮ้ย  ทำไรวะ”  ผมได้ยินเสียงนนท์ฉีกผ้าอะไรซักอย่างคับ  แล้วก็เห็นนท์ก้มลงไปจัดการกับบาดแผล

            “เสื้อกุเองอะ  ชั่งมันเหอะ  เอาชีวิตคนก่อน  เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”  นนท์โยนเสื้อที่ฉีกเป็นเส้น ๆ  อย่างหยาบ ๆ  รีบ ๆ  มาให้ผมคับ  ผมเข้าใจทันทีว่านนท์ให้ผมทำอะไร  ผมจึงมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอะไรมาดามขาคับ

            “มีรถผ่านมาหว่ะ”  ผมลุกขึ้นโบกมือให้รถหยุดเพื่อขอความช่วยเหลือคับ  แต่แทนที่รถจะชะลอความเร็วอย่างที่ผมหวังไว้  รถกลับส่ายไปส่ายมา  และแสงไฟสว่างจ้า  2  ดวง  คือสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไป...


chamin

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 24  จบ Part I

            ผมลืมตาขึ้นมา พยายามยกตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง  แต่มันยากลำบากเหลือเกิน  ทำไมตัวผมมันถึงได้หนักหยั่งงี้นะ  เมื่อพยายามยกทั้งตัวไม่ได้  ผมก็พยายามยกหัวขึ้นสำรวจพื้นที่รอบ ๆ  คับ

            “ทีวี  ตู้เย็น  ม้านั่ง  โต๊ะ...เสาน้ำเกลือ!!!!!!!”  นี่โรงพยาบาลนี่นา  ผมพยายามนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคับ  แต่ยิ่งนึกยิ่งปวดหัว  ผมเริ่มเอามือกุมหัวที่มีผ้าคาดไว้  กลิ้งไปมาซ้ายทีขวาทีและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดคับ พร้อมกับเสียงเปิดประตูห้องแล้วเสียงฝีเท้าคนวิ่งเข้ามา

            “กฤษษษษ  ลูก  ใจเย็น ๆ  ลูก”  แม่ผมประคองไหล่ผมให้นอนลงคับ  ผมยังเอามือกุมหัวพยายามควบคุมตัวเองให้มากที่สุด  ซักพักก็มีพยาบาล  2  คนวิ่งเข้ามาดูคับ

            “น้องคะ  พักผ่อนดีกว่านะคะ  อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้  มันจะปวดหัวนะคะ”  พี่พยาบาลคนนึ่งที่ดูเด็กกว่าพยายามพูดปลอบผมคับ  โดยที่มีแม่จับมือผมไว้แน่น  แล้วน้ำตาแม่ก็เริ่มไหล  ซักพัก  ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นที่ตรงสะโพก  แล้วเรี่ยวแรงของผมก็เหมือนกับมันหายไปในทันตา  แม้แต่แรงจะลืมตาผมก็ไม่มีคับ แล้วทุกอย่างก็มืดดำไปหมด

            ....

            ผมได้สติกลับมาอีกครั้งคับแต่คราวนี้ผมรู้สึกปวดหัวน้อยลง  ผมพยายามที่จะนึกเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมถึงได้มาอยู่ที่นี่  ผมยังไม่ลืมตาคับ  เพราะผมพยายามแล้วแต่ผมสู้แสงไม่ไหว

            “คนไข้อาจจะมีอาการปวดหัวนิดหน่อยนะคับช่วงนี้  เพราะว่ามีการกระทบกระเทือนที่บริเวณศีรษะ  แต่เท่าที่เราทำการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบความผิดปกติอะไรที่น่าเป็นห่วง  นอกจากขาซ้ายที่ต้องเข้าเฝือกซักเดือนนะคับ”  เสียงผู้ชายวัยกลางคนที่ฟังแล้วดูใจดีกำลังพูดอยู่ข้าง ๆ  ตัวผมด้านขวามือคับ  ผมมั่นใจว่ากำลังคุยกับแม่ผมอยู่  เพราะผมจำกลิ่นคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของผมได้คับ  แม่ผมแน่นอน

            “แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ค่ะ”  ผมเดาไม่ผิดคับ  เสียงแม่ผมจิง ๆ  ด้วย

            “ก็รอดูไปก่อนซัก  2 – 3  วันคับ  ถ้าไม่มีอาการทางสมองอย่างอื่น  หรือว่าไม่มีการติดเชื้อของแผล  ก็กลับบ้านได้แล้วคับ”  ผมก็เดาจากสัญชาตญาณต่อว่าคงจะเป็นคุณลุงหมอใจดีที่กำลังคุยกับแม่ผมอยู่คับ

            “ขอบคุณมากนะคะหมอ”  เสียงแม่คับ

            “คับ  ยังไงผมขอตัวก่อนนะคับ”  แล้วก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคน  2  คนที่เดินออกจากห้องไปคับ

            “กฤษเอ้ยยยย  ไม่รู้เวรกรรมอะไรนะลูก”  แม่ผมพูดเสียงสะอื้นคับ  ผมลองพยายามลืมจาขึ้นคับ เห็นแม่กำลังร้องไห้  ผมก็ร้องตาม

            “แม่คับ...”  ผมเรียกแม่  แม่รีบปาดน้ำตาแล้วก็มองหน้าผมคับ

            “กฤษลูก  เป็นยังไงบ้างลูก  ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึป่าว  โถ่เอ๊ยยยย  ลูกแม่”  แม่ผมฝืนน้ำตาเอาไว้คับ  ผมได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงถุงก๊อบแก๊บเสียดสีกันดังสวบสาบ

            “พ่อจ๊ะ  ลูกฟื้นแล้ว”  แม่ผมเรียกพ่อคับ  แล้วก็เห็นน้องแพรวิ่งอ้อมปลายเท้าผมมาเกาะที่ข้างเตียง

            “เป็นไงไอ้ลูกชาย  กระดูกแข็งใช่ย่อยนี่หว่า  555  นี่ ๆ  พ่อแอบไปซื้อของที่แกชอบมาฝาก  กับข้าวโรงบาลจืดตายห่าเลยหว่ะ”  พ่อผมยิ้มแล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมคับ  แต่พ่อไม่สบตาผม  พ่อมองผมแป๊บเดียวก็เดินออกไปแกะของกินคับ  ส่วนไอ้เหม่งน้องสาวผม  ก็ไม่พูดไม่จาร้องไห้อย่างเดียวเลยคับ

            “แม่คับ...แล้วนนท์เป็นไงบ้างคับ  ตอนนี้นนท์อยู่ไหน”  ผมมองหน้าแม่แล้วก็ออกปากถามคับ  น้องแพรเดินออกจากเตียงผมไปแล้วไปช่วยพ่อผมแกะกับข้าวคับ

            “นนท์กลับบ้านไปแล้วลูก  เดี๋ยวแม่จะพามาหานะ  ตอนนี้ลูกยังเจ็บอยู่  ดูแลตัวเองให้หายดีก่อนรู้มั้ย  อย่าให้นนท์ต้องเป็นห่วง”   แล้วแม่ยิ้มให้ผมคับ  ผมก็ยิ้มตอบแม่

            พ่อจัดกับข้าวใส่จานแล้วก็เป็นหน้าที่ของน้องสาวของผมคับที่ต้องมาป้อนผม  ผมยังลุกมากไม่ได้คับ  พ่อเลยหมุนเตียงยกหนุนหลังผมให้ตั้งขึ้นพอจะกินข้าวได้  กับข้าวอร่อยมากเลยคับ  ไม่รู้ว่าเพราะผมหิวรึป่าว

            “ลูกหลับไปกี่วันคับแม่ เออ  แล้วลุงที่อยู่ตรงนั้นหล่ะคับ  เป็นไงมั่ง”  ผมถามแม่คับ

            “วันกว่า ๆ  อะลูก  แล้วก็ตื่นมาพักนึง  แต่ลูกปวดหัวนอนกลิ้งไปมา  พยาบาลเค้าเลยฉีดยาแก้ปวดกับยานอนหลับให้อีกอะ  แล้วก็เพิ่งตื่นนี่แหละ ส่วนเรื่องลุงคนนั้น  เห็นหมอบอกว่าดีที่ลูก ๆ  ไปเจอเค้าก่อน  ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วจ่ะ”  แม่ตอบผมยิ้ม ๆ  คับ

            “วันกว่าเลยหรอคับ  มิน่าหล่ะ หิวจิง ๆ  เลยคับ  แหะ ๆ”  ผมยิ้มให้แม่คับ....

ตอนนี้นาฬิกาที่ข้างฝาตีบอกเวลา  2  ทุ่มกว่า ๆ  แล้วคับ

“พ่อกับแม่ไปพักเถอะค่ะ  เดี๋ยวคืนนี้น้องเฝ้าเอง  พ่อกับแม่ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้วนะคะ  ป่วยมาอีกเดี๋ยวจะลำบาก  อาการพี่กฤษก็ดีขึ้นมากแล้ว  คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วหล่ะคะ”  น้องแพรคุยกับพ่อกับแม่คับ

“ก็ดีเหมือนกันนะแม่  ไอ้เนี่ยมันกระดูกเหล็ก ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ  หรอก  ไปนอนเอาแรงซักคืน  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”  พ่อผมเห็นด้วยคับ  และเป็นผมที่เห็นด้วยอีกคน  เพราะผมเชื่อว่า  พ่อกับแม่เหนื่อยเพราะผมมาเยอะแล้ว

“ไปพักเถอะคับ  พ่อกับแม่  ลูกไม่ได้เป็นอะไรแล้วจิง ๆ  คับ  อีกอย่าง น้องมันก็โตแล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกคับ”  ผมยิ้มให้พ่อกับแม่คับ

แม่ผมหลังจากที่อิดออดอยู่พอสมควรก็ยอมคับ  โดยที่กำชับน้องสาวผมไว้ว่าให้ดูแลผมดี ๆ  แหะ ๆ

“นี่เราอยู่ที่ไหนกันอะ”  ผมถามน้องแพรคับ

“เรายังอยู่พิดโลกอยู่อะเฮีย  ขาเฮียอะเดี้ยงอยู่  เค้าเลยยังไม่อยากส่งกลับเชียงใหม่  เดี๋ยวให้หมอเค้าเห็นว่าเฮียกลับมาหล่อเหมือนเดิมก่อน  เดี๋ยวเค้าคงให้กลับ  ดูสารรูปตอนนี้ดิ  ดูไม่ได้เลยอะ  555”  มันแกล้งกัดผมคับ  ผมเลยเอาส้มที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาเขวี้ยงใส่มัน  แต่มันหลบทันคับ  แหะ ๆ

“แล้วพี่นนท์เป็นไงมั่งอะ  ยังเจ็บอยู่รึป่าว”  ผมถามต่อคับ

“โอ้ยยยย  ไม่ต้องห่วงพี่นนท์หรอก  พี่นนท์เค้าไม่เจ็บแล้ว  ห่วงก็แต่ขาเฮียนี่แหละ  ไม่รู้มันจะเดี้ยงถาวรรึป่าว  555”  มันแกล้งผมไม่เลิกจิง ๆ  คับ 

“เดี๋ยวเหอะชั้นจะฟ้องแม่”  ผมขู่คับ

“โอ้ยยยยย  ไม่กลัวหรอกแบร่....”  มันแลบลิ้นใส่ผมแล้วก็เดินไปเปิดประตูคับ

“ไปซื้อขนมเซเว่นข้างล่างนะ  เดี๋ยวมา  เอาไรป่าว”  มันหันกลับมาถามผมคับ

“ไม่อ่า  ขอบใจ  ระวังตัวด้วยหล่ะ”  ผมตะโกนตามไปคับ

“จ้า....พี่ชาย”  แล้วน้องแพรก็ปิดประตูไปคับ  ก่อนปิดประตูน้องก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟในห้องให้ผมคับ  แล้วผมก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงแม่คับ  แต่ผมยังไม่ลืมตานะคับ  ยังนอนนิ่ง ๆ  อยู่

“เด็ก ๆ  จ๊ะ  แม่ฝากกฤษด้วยนะลูก  เดี๋ยวแม่ลงไปเอาของที่รถแป๊บนึงเดี๋ยวมา...  ป่ะยัยแพร”  แล้วแม่ผมก็ปิดประตูออกจากห้องไปคับ

“ไอ้นี่เวลามันนอนซมแบบนี้ดูไม่จืดเลยหว่ะ”  ผมจำได้ว่าเป็นเสียงสาวหน่อยคับ

“เมิงว่ามันจะเป็นไรป่าววะ  ได้ยินว่าหัวกระแทกด้วยอะ  ถ้ามันบ๊องโดนส่งเข้าสวนปรุง (โรงพยาบาลจิตเวช คับ) ขึ้นมาจิง ๆ  แล้วกุจะกัดกับใครวะ”  เสียงไอ้วัทคู่กัดผมคับ  แล้วก็ตามด้วยเสียงเพื่อน ๆ  ขำกัน  นี่ขนาดผมนอนซมแบบนี้มันยังไม่วายแช่งผมอีกนะ  เดี๋ยวเหอะให้กุหายก่อน  เดี๋ยวมีเอาคืนแน่

            “เฮ้อออออ  พูดไปแล้วก็สงสารหว่ะเคยอยู่กันเหมือนปาท่องโก๋  ขาดไปคนนึง  แล้วอีกคนมันจะอยู่ยังไงวะ  กุนึกภาพไปออกเลยหว่ะ”  เสียงสาวกุลคับ  แต่  เอ๊ะ !  อะไร  ปาท่องโก๋อะไร  ผมเริ่มรู้สึกแปลก ๆ  กับคำพูดพวกนี้แล้วสิคับ

            “นั่นดิ  แล้วพ่อกับแม่บอกมันรึยังก็ไม่รู้  เฮ้อออออ”  ทีนี้เป็นเสียงมิกกี้คับ  มันทำให้ผมทนไม่ไหวแล้ว  ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง  รู้สึกหน้ามืดต้องหลับตาตั้งสติก่อนแป๊บนึง

            “เฮ้ยยย  กฤษ  จะลุกทำไมไม่บอกวะ  พรวดพราดขึ้นมาแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก”  ตาต้าทำเสียงดุผมคับ

            “พวกเมิงพูดอะไรกัน  ใครไปไหน  อะไร   ยังไง  บอกกุมาเดี๋ยวนี้นะ  พวกเมิงมาจากเชียงใหม่นี่  แล้วนนท์หล่ะ  นนท์มาด้วยรึป่าว”  ผมขึ้นเสียงถามพวกเพื่อน ๆ  คับ  มันไม่มีใครตอบผมมองหน้ากันซ้ายทีขวาทีทำหน้าช๊อค ๆ  อึ้ง ๆ

            “นนท์...ไป...ไหน...”  ผมถามย้ำด้วยเสียงที่จะเรียกว่าตะโกนก็ได้คับ  แล้วน้ำตาผมก็เริ่มไหเมื่อความคิดบ้า ๆ บางอย่างผ่านเข้ามาในสมอง  ผมสะบัดตัวจะลงจากเตียงโดยที่ขาผมยังใส่เฝือกอยู่หยั่งงั้น  เพื่อน ๆ  เห็นก็รีบจับผมไว้  แต่ผมสะบัดออก

            “กุจะไปหานนท์  พวกเมิงไม่ต้องมายุ่งกับกุ  ปล่อยกุ  กุบอกให้ปล่อยกู  ปล่อยยยย....ฮือออออออ”  ผมถูกเพื่อน ๆ  รุมใช้กำลังรั้งผมไว้คับ  ด้วยแรงคนป่วยหยั่งผมมีรึจะสู้พวกมันได้

            “ใจเย็น ๆ  ดิวะ  ค่อย ๆ  พูดค่อย ๆ  จากันก่อนดิ  นะ  กุขอร้อง”  หน่อยเริ่มขึ้นเสียงกับผมบ้างคับ

            “ฮือออออ....กุจะไปหานนท์...พากุไปหานนท์หน่อย....ฮือออออ  พวกเมิงยังเป็นเพื่อนกุอยู่ใช่มั้ย...ฮืออออ  ถ้าพวกเมิงยังรักกุอยู่  ช่วยพากุไปหานนท์หน่อยได้มั้ยยยย  ฮืออออออ”   ผมหมดเรี่ยวแรงแล้วคับ  นอนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายเพื่อนเลย  พอดีที่พ่อกับแม่ผมแล้วก็น้องแพรเปิดประตูเข้ามา

            “มีเรื่องอะไรกันหรอลูก”  แม่ผมถามหน้าตาตื่น ๆ  คับ  แล้วก็วางของลงกับพื้นวิ่งเข้ามาหาผม

            “กฤษตื่นขึ้นมา   ก็จะลุกไปหานนท์ท่าเดียวเลยคะแม่”  สาวกุลรายงานคับ

            “แม่คับ  นนท์ไปไหนคับแม่  ทำไมนนท์ไม่มาหาผมคับ  ฮือออออ  แม่...ลูกอยากเจอนนท์   พาลูกไปหานนท์หน่อยได้มั้ยคับ ฮืออออออ....”  ผมใช้แรงสุดท้ายลุกขึ้นมาแล้วแม่ก็กอดผมไว้คับ  แล้วแม่ก็เริ่มร้องไห้  แต่คราวนี้เหมือนแม่ตัดสินใจว่าจะทำอะไรซักอย่างแล้ว  แม่ปล่อยออกมาแบบหมดตัวคับ  แล้วก็ตามด้วยเพื่อน ๆ  ผู้หญิงของผม  ส่วนเพื่อนผู้ชายก็เบือนหน้าหนี  ไม่สามารถมองภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้  ส่วนคนที่หนักที่สุด  เห็นจะเป็นน้องสาวผมคับ  เดินเข้าไปกอดแล้วก็ร้องไห้ที่อกพ่อ

            “กฤษลูก...กฤษใจเย็น ๆ แล้วฟังแม่นะลูก...นนท์ไปสบายแล้วลูก  นนท์ไม่ต้องทรมานแล้ว  ถ้าลูกรักนนท์  อย่าทำให้นนท์เป็นห่วงสิลูก  รักษาดูแลตัวเองให้หาย  แล้วค่อยไปเยี่ยมนนท์นะลูก  แม่ขอร้อง  ฮืออออออออ....”  แม่ผมร้องไปสะอื้นไปคับ    ส่วนผมหรอคับนี่เป็นการช๊อคครั้งใหญ่ครั้งแรกในชีวิตคับ  ผมมารู้ทีหลังเพราะแม่เล่าให้ผมฟังว่า  หลังจากที่ผมได้ยินว่านนท์จากผมไปแล้ว  แขนสองข้างที่ผมกอดแม่อยู่ก็ร่วงลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง  ไร้เสียงร้องไห้  ตาลอยมองออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย  น้ำตาไหลเป็นทางแบบไม่หยุด  ซักพักแม่รู้ตัวว่าผมจิตหลุดไม่ได้สติไปแล้ว  แม่ก็เรียกพยาบาลเข้ามาดูคับ 

            ซักพักผมได้สติกลับมาแล้วผมก็เริ่มอาละวาดคับ  ผมไม่พูดไม่จา  เอาแต่น้ำตาไหล  ดึงสายน้ำเกลือออกจะลุกออกไปจากที่นี่  เพราะผมอยากจะเจอนนท์คับ  ไม่ว่าใครจะว่ายังไง  ณ  วินาทีนั้น  ผมต้องเจอนนท์ให้ได้คับ  แต่ความพยายามอันโง่เขลาของผมก็ต้องสิ้นสุดลง  เมื่อผมสังเกตเห็นพ่อผมพยักหน้าให้พยาบาลขณะที่ทุก ๆ  คนกำลังช่วยกันจับผมไว้อยู่  ครั้งที่แล้วเจ็บที่สะโพก  แต่ครั้งนี้ที่ต้นแขนคับ  เห็นจะ ๆ  ว่าเข็มจิ้มเข้าไปในกล้ามเนื้อของผม  ตามมาด้วยอาการเจ็บจี๊ด ๆ  ผมเห็นยาน้ำใส ๆ  กำลังค่อย ๆ เดินทางจาก Syringe เข้าไปในร่างกายของผม ยังไม่ทันที่ผมจะได้พยายามดิ้นเป็นครั้งที่ 2 เรี่ยวแรงของผมก็เหมือนถูกกระชากออกไปจากร่างกายอีกครั้ง ผมอ่อนปวกเปียกนอนพับลงบนเตียง โดยมีพ่อกับพี่พยาบาลช่วยจัดท่านอนให้เข้าที่เข้าทาง เสียงสะอื้นร่ำไห้ของทุกคนยังก้องอยู่ในหูของผม  แล้วผมก็หลับไป...

            ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้ซึ่งความหวังและเรี่ยวแรง  ผมเห็นพ่อ  แม่ แล้วก็น้องแพรยืนเกาะขอบเตียงอยู่  แม่ยังไม่หยุดร้องไห้คับ  เช่นเดียวกันกับน้องแพร  และผมก็เพิ่งสังเกตว่าขอบตาพ่อคล้ำกว่าปกติมาก  ผมรู้สึกผิดแล้วคับ  ผมไม่รู้ว่าผมจะต่อต้านความจิงให้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา  ผมร้องไห้อีกครั้ง  ลุกขึ้นมากอดแม่ไว้  แต่ผมก็ยังทำใจกับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้  พ่อเข้ามากอดผมกับแม่ไว้อีกคน

            “พ่อกับแม่อยากให้ลูกรู้นะกฤษ  นนท์ก็เหมือนกับลูกของพ่อกับแม่อีกคนนึง  พ่อกับแม่เองก็รู้สึกสูญเสียไม่น้อยไปกว่าแกหรอก  พ่อกับแม่เสียนนท์ไปคนนึงแล้ว  อย่าให้ต้องมาเสียแกไปอีกคนเลยนะ”  พ่อผมเบือนหน้าหนีคับ  ไม่ยอมให้ผมเห็นหน้า  มืออีกข้างของผมมีน้องแพรกุมไว้แน่น  พ่อพยายามซ่อนซึ่งความเจ็บช้ำที่แสดงออกมาทางใบหน้า  แต่สิ่งที่พ่อปิดผมไม่ได้  คือน้ำเสียงของพ่อที่แสดงออกมาตอนนี้  ผมฟังแล้ว  ยิ่งรู้สึกว่า  ผมได้ทำบาปไปมากจิง ๆ  คับ 

            “พ่อกับแม่คะ  น้องขอคุยกับพี่ตามลำพังได้มั้ยคะ”  น้องบอกพ่อกับแม่คับ  ทำให้ผมคลายกอดจากพ่อกับแม่หันไปหาน้องคับ  แล้วพ่อก็พยักหน้าให้แม่  แล้วก็เดินออกจากห้องไป  พอเสียงประตูปิดลง  น้องแพรก็วางโทรศัพท์มือถือของนนท์ลงในผม

            “ครั้งนึง  พี่นนท์เคยบอกน้องว่า  ถ้าวันไหนที่พี่นนท์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เครื่องนี้แล้ว  ให้น้องเอามาให้พี่กฤษ  แล้วบอกพี่กฤษว่า  ให้เปิดดูไฟล์ที่ชื่อว่า “CnN” ค่ะ...”  ผมรีบเปิดเครื่องคับ  แล้วก็รีบหาไฟล์ชื่อที่น้องบอกเมื่อกี๊นี้  เจอแล้วคับ  เป็นไฟล์บันทึกเสียงคับ  ผมรีบเปิดเข้าไปดูทันที  แต่มันต้องใส่รหัสผ่านคับ  ผมก็รีบใส่เข้าไป  ด้วยความมั่นใจ  เพราะอะไรที่เป็นของเรา  2  คน  ทั้งคอมพิวเตอร์  โทรศัพท์มือถือทั้ง  2  เครื่อง หรือแม้กระทั่งรหัส ATM  มันมีเลขแค่  4  ตัวคับ  จะมีรหัสเหมือนกันทุกอัน  มันเป็นเลข  4  ตัวเท่านั้น  เลข  4  ตัวที่มีความหมายกับเรา  2  คน  1010  วันที่  10  ตุลาคม  วันที่เริ่มต้นคำว่า “เรา”

            น้ำตาผมไหลอีกแล้วคับ  มีน้องแพรจับไหล่ให้กำลังใจผมอยู่ไม่ยอมไปไหน  แล้วก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากโทรศัพท์  ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน  ผมก็จำเสียงนี้ได้คับ  เสียงไอ้คุณนนท์ที่รักของผมนั่นเอง

            “Test  Test  โอเค ๆ  หวัดดีค้าบบบบบบ...แหะ ๆ  จำเสียงกุได้ป่าวเนี่ย  555  กุเชื่อว่าตอนที่เมิงได้ยินเสียงกุอยู่ตอนนี้  กุคงไม่ได้อยู่กับเมิงแล้วสินะ  เอานา....อย่าคิดมากนะ  ยิ้มเข้าไว้  โลกจะได้สดใส  อย่าร้องไห้ให้มันมากนัก  ดูแลตัวเองดี ๆ  หล่ะ  อย่าทำให้กุเป็นห่วง  และที่สำคัญเมิงจำได้มั้ย  ว่ากุเคยของร้องเมิงไว้เรื่องนึง  อย่าบอกว่าจำไม่ได้นะเว่ย  ก็ตอนปีใหม่ไงที่เมิงสัญญาว่าจะทำตามที่กุขอให้ทำอะ  เอาเป็นว่าเมิงนึกออกละกันนะ  แหะ ๆ  เรื่องเดียวที่กุอยากขอร้องให้เมิงทำก็คือ  ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  กุอยากให้เมิงมีชีวิตต่อไป  มีชีวิตอยู่เพื่อพ่อ  เพื่อแม่  เพื่อน้องแพร  เพื่อกู เพื่อคนที่เมิงรักและรักเมิงทุก ๆ  คน  และที่สำคัญเพื่อคนที่ไร้โอกาสในถิ่นที่ความเจริญเข้าไม่ถึงที่รอเมิงอยู่ในวันข้างหน้า    แต่ที่สำคัญที่เมิงจะช่วยพวกเค้าเหล่านั้นได้  เมิงต้องเรียนให้จบ  กูเชื่อว่าเมิงทำได้  แม้ว่าจะไม่มีกุอยู่แล้วก็ตาม...  ถ้าเกิดว่าวันนึงมีคนที่เค้าดีกับเมิงเข้ามาในชีวิต  อย่าปิดกั้นตัวเองนะ  กุอยากให้มีคนที่ดีดูแลเมิงอย่างที่กูเคยดูแลเมิง  ไม่ใช่ว่ากุไม่รัก  แต่เพราะกุอยากเห็นเมิงมีความสุข  นั่นก็เป็นความสุขของกุเหมือนกัน...ดูแลสุขภาพตัวเองดี ๆ นะ  ที่สำคัญ...ยิ้มเข้าไว้...

...เมื่อทางเดินมีมรสุมขวางกั้น                 นึกถึงคืนวันที่เราได้ผ่านพ้นมา

มีทุกข์เพียงใดจงอย่ายอมแพ้ซักครา         เพื่อประชาเราจงสู้ไป

จะดำรง__***__นั้นให้อยู่                                    ร่วมกันเชิดชูสถาบันแดนวิไล

คือแสงสว่างส่องไปยังแดนแคว้นไกล        ทั่วทั้งเมืองไทยยังรอพวกเรา

เสียงเพลงยังย้ำเตือน  ห้องเชียร์ยังไม่ลืม  ไม่เคยลืม  ขึ้นดอยแสนไกล

สิ้นแรงเติมพลัง  ยอดดอยคือเส้นชัย         จับมือไว้  เส้นชัยชีวิตจะถึง

มือประสาน  ใจยังสู้  คือผู้ที่มีไฟ              เพื่อมวลชนไรโรคภัยพ้นความตายเจ็บปวด

เราคือ...ผู้รักษา

แม่ปิงยังรักธาร  สายธารยังไหลริน           ธงแห่งเราก็คงพลิ้วไป

ด้วยมีแรงพลัง  พากเพียรเรียนรู้ไป           จะจำไว้  หกปีที่มาศึกษา

ร่มแดนช้างยังยืนอยู่  คงคู่แดนลานนา      จดและจำทุกข์สุข รอยยิ้ม และน้ำตา

ว่าเกิดมาเป็น ___***___ไทย

...ก่อนจากกัน  โปรดจำทำตามคำสัญญา  จะรักษา  เกียรติ___***___มอชอ

กูหวังว่าเมิงยังคงร้องเพลงนี้ได้ขึ้นใจอยู่  “รักษาอุดมการณ์ไว้เท่าชีวิต”.....โอเค ๆ  พูดมาเยอะละ  กุควรจะยุติลงซะที  แหะ ๆ  ที่สุดแล้วกุก็อยากให้เมิงรู้นะ  ว่ากุรักเมิงที่สุด  และก็จะรักและอยู่เคียงข้างเมิง...ตลอดไป...”

            ผมฟังไปก็ปิดปากร้องไห้ไปคับ  จนจบผมก็ปล่อยโฮออกมา  น้องแพรก็กอดผมไว้  แล้วก็ร้องไห้เหมือนกัน  พ่อกับแม่คงได้ยินเสียงเราร้องไห้เลยเปิดประตูเข้ามาแล้วก็กอดเรา  2  คนไว้

            หลังจากรักษาตัวที่เป็นเวลาสัปดาห์เศษ ๆ  ผมออกจากโรงพยาบาลมาด้วยสภาพร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์แต่สภาพจิตใจย่อยยับจนหาชิ้นดีไม่ได้  ผมขอให้พ่อกับแม่พาผมไปเยี่ยมนนท์ที่บ้าน บ้านหลังสุดท้ายของนนท์  (นนท์ได้กลับไปอยู่ข้าง ๆ  ยายแล้วคับ)  โดยระหว่างการเดินทาง  ผมไม่สามารถที่จะพูดจาอะไรกับใครได้  ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของนนท์แล้วคับ  ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง  แม่ยื่นเอกสารทางการแพทย์ให้ผมดูฉบับนึง  เป็นของนนท์คับ  ผมก็เปิดดูอย่างใจลอยโดยไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมาย  เพราะส่วนมากก็เป็นค่าตัวเลขทางห้องปฏิบัติการซึ่งตอนที่อ่านผมก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก  แต่สิ่งที่ผมสนใจก็คือ  โรคประจำตัวคับ  เป็นโรคประจำตัวที่นนท์ไม่เคยอนุญาตให้ผมได้ล่วงรู้เลย  Hemophilia  โรคทางพันธุกรรมที่อาจจะเป็นสาเหตุของการจากไปของนนท์  มันเป็นความจิงที่เจ็บปวดเมื่อต้องมานึกทบทวนคับ    ถึงแผลที่ได้รับจะไม่ได้ฉกรรจ์มากนัก  แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้สติหรือไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันเวลา  เรื่องเศร้าแบบนี้ก็เลยตามมาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้  ผมปิดเอกสารลง  หลับตาแล้วก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้พ่อกับแม่เห็น  เพราะแค่นี้  ผมก็เชื่อว่าผมทำบาปที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจมามากพอแล้ว...

            เมื่อรถแล่นถึงที่หมาย  ผมลงไปไหว้อัฐิทั้งของนนท์และของยาย  ผมไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้แล้วคับเมื่อเห็นรูปนนท์  ผมไม่ได้มีโอกาสแม่แต่จะได้ล่ำลาหรือเห็นหน้านนท์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ  ผมยิ้มให้นนท์แล้วก็ได้แต่คิดว่า  ผมต้องมีชีวิตต่อไปคับ  ถึงผมจะไม่อยากแล้วก็ตาม แต่ด้วยคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับนนท์ ผมต้องย้ำเตือนตัวเองไว้เสมอ....  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป....  และรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของวิชาชีพ  เพื่อสร้างประโยชน์แก่มวลชนให้ได้มากที่สุด  เพื่อกุศลนี้จะได้นำผมและนนท์กลับมาเจอกันอีกในชาติภพต่อไป....

 

“...คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน  เป็นคนขีดโชคชะตา  สั่งฉันและเธอให้มา  ให้ได้พบเจอกัน

ให้ฉันได้มีโอกาส  ลิ้มรสในความชื่นบาน  ให้เรามีกัน  มีวันเวลาที่ดี

            แหละเป็นที่ฟ้าเบื้องบน  เป็นคนพรากเราเช่นกัน  ให้เวลาเพียงแค่นั้น  กลับต้องเสียเธอไป

            ฉันรู้ว่าไม่มีหวังจะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย  จะทำยังไงก็คงไม่มีหนทาง

หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไป  จะเป็นยังไง  ชีวิตคงไร้ความหมายแหละเหมือนไร้พลัง

ร่างกายที่เคยอดทน  ก็คงไม่มีกำลัง  ไม่มีความหวัง  ให้ฉันได้ชื่นหัวใจ

            แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมา  มองไปไม่เจอเธอ  แค่นึกก็ทำให้เผลอ  หวั่นและไหวในใจ

            ถ้าเราจะต้องจากกัน  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด  คงรู้ใช่ไหม  ว่าฉันจะต้องเสียใจ  เสียใจจนตาย...”


 -------------------------------------------------------------

           

 

จบสหบทที่ 1  เรื่องเศร้าใต้เงารัก

----------------------------------------------------------

“...คนเรามักจะเปรียบความรักให้เหมือนกับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่สำหรับผม  ความรักคือความรัก  ผมไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบได้  แม้แต่ลมหายใจของผมเอง...”

บางครั้งความรักก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้  แต่เราก็ต้องยืนหยัดสู้ต่อไป  ขอบคุณสำหรับการติดตามเรื่องของผมนะคับ  อาจจะสังเกตเห็นว่า  ผมใช้คำว่า จบ Part I  แสดงว่าเรื่องราวของผมยังต้องมีส่วนต่อ ๆ  ไปอีก  แต่ผมยังไม่แน่ใจนะคับว่าผมจะเขียนส่วนต่อไปเสร็จเมื่อไหร่  เพราะผมเองก็ไม่ค่อยว่าง  ถ้าวันใดวันนึง  ผมเอาเรื่องราวชีวิตส่วนต่อไปของผมมาลงให้เพื่อน ๆ  ได้ติดตามอีก  ก็อย่าเพิ่งลืมไอ้กฤษคนนี้นะคับ  แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยนะ  แหะ ๆ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด