(ต่อ)
“คุณหัวลูกชิ้น?” เสียงเรียกกับมือที่มาแตะไหร่ทำให้ผมหันไปมองคนข้างๆ
“ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก” เขาบอกพร้อมบีบไหล่ผม
“แต่นั่นแม่คุณนะ?”
“นายแคร์เหรอ?”
“แคร์สิ ก็นั่นแม่คุณ.. คุณโดนดุมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม? ผมขอโทษนะ”
จุ๊บ!
ผมเบิกตาโตเมื่อจู่ๆ ก็ถูกอีกคนขโมยหอมแก้มดื้อๆ จากนั้นก็หัวเราะชอบใจอะไรสักอย่างเบาๆ ก่อนจะคว้าคอผมกอดเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน
“น่ารักจริงๆ คุณหัวลูกชิ้นของผม” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี แต่..
“ผมชื่อยู.. เมื่อกี๊คุณยังแนะนำกับพ่อแม่คุณว่า ‘ยูริของผม’ อยู่เลย”
“งั้นยูริจังของผม”
“รู้ไหมว่าไอ้คนที่เรียกผมแบบนี้คนสุดท้ายมันไปไหนแล้ว?” อย่าให้ต้องสาธยายชะตากรรมแต่ละครที่อาจหาญเรียกผมแบบนั้นนะ
“ไปไหนเหรอ?”
“ไปเก็บของเตรียมกลับนิวยอร์ก..” เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าคนล่าสุดที่เรียกผมแบบนั้นคือ มิคุนิ หรือ มิกุมิกุ คนนั้น
“ยู..” ท่าทางที่ซึมไปของผมทำให้คุณซอลค่อยๆ หุบยิ้มลง เขาหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้ากับผม เราจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง
“มิคุมาหาเหรอ?” ก่อนจะเป็นเขาที่เปิดปาก
“ครับ” ผมหลุบตาลงพื้น เห็นคุณซอลก้มลง ปล่อยแสงดาวลงพื้น แล้วเท้าของเขาก็ขยับมาใกล้เท้าผม ผมรู้สึกถึงมือของเขาที่วางลงบนหัว
“คุยกันแล้วใช่ไหม?”
“ครับ..”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย ไม่ว่าจะนายที่ตอบรับความรู้สึกของหมอนั่นไม่ได้ หรือหมอนั่นที่เกิดความรู้สึกแบบนั้นกับนาย เรื่องแบบนี้มันห้ามกันได้เสียเมื่อไหร่ ..เพียงแต่เราควรจะรู้ตัว ว่าจุดยืนของเราอยู่ที่ไหน”
“คุณซอล..”
เขาขยับเข้ามาโอบผมทั้งตัว กระซิบบอกข้างหู
“อย่าทำเหมือนนายกำลังสับสนแบบนี้ มันทำให้ผมหวั่นไหว ..รู้ไหม?”
“ขอโทษครับ” ผมโอบตอบเขา เขากระชับอ้อมกอดแน่นๆ ก่อนจะผละออก
“วันนี้นายพูดขอโทษมาสามครั้งแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้วนะ” เขาจับหัวผมโคลงไปมาพลางยิ้มให้ “ส่วนเรื่องริต้าก็ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกลับลงมาอีกทีก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ?”
“ไม่เชื่อคอยดูสิ” คุณซอลยักคิ้วให้ ก่อนก้มลงไปอุ้มแสงดาวที่ยังแก่วรอไม่ไปไหน “อ้อ.. ริต้าชอบพวกอาหารอีสานน่ะ”
“ครับ?”
“อาหารอีสาน” คนพูดขยิบตาให้อีกทีก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนอีกคน
“อาหารอีสานเหรอ.. อืม”
“โห.. คุณพ่อบ้านซื้อวัตถุดิบพวกนี้มาจากไหนเหรอครับ?” ผมกะจะเข้าครัวมาถามลุงพ่อบ้านว่าพอจะหาวัตถุดิบมาทำอาหารอีสานได้ไหม แต่ก็ต้องอึ้งทึ่งกับเหล่าวัตถุดิบที่ไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ในเกาะอังกฤษที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเตรียมอาหารพวกนี้
“ผมไปขอแบ่งซื้อมาจากร้านอาหารไทยที่คุ้นเคยกันน่ะครับ” คำตอบของลุงพ่อบ้านทำให้ผมกระจ่างทันที
“แล้วนี่คุณพ่อบ้านจะทำอะไรมั่งล่ะครับ เดี๋ยวผมเป็นลูกมือให้” ผมเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น
“ผมไม่ทำหรอกครับ” ลุงแกพูดยิ้มๆ ทำผมงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ทำแล้วจะซื้อมาทำไมล่ะ?
“แล้วนั่น..?” ผมชี้ไปที่เหล่าวัตถุดิบ
“ผมจะซื้อมาให้คุณทำนั่นแหล่ะครับ ผมทำเป็นซะที่ไหนล่ะครับอาจารย์ คุณยังไม่เคยสอนผมทำอาหารประเภทนี้เลยนี่นา” ลุงพ่อบ้านยิ้มล้อเลียนจนผมรู้สึกเก้อไปเล็กน้อย
“เอ้อ.. งั้นจะให้ทำเมนูไหนบ้างล่ะครับ?” ผมเดินไปหยิบมากันเปื้อนมาผูกเอว ลุงแกก็ทำแบบเดียวกัน
“ไม่รู้สิครับ” คำตอบของพ่อบ้านทำผมงงอีกรอบ
“อ้าว..”
“คือเจ้าของร้านอาหารไทยนี่เขาเป็นเพื่อนผมเอง ผมบอกเขาไปว่าจะทำอาหารอีสาน เขาก็จัดการเตรียมวัตถุดิบพวกนี้ให้ แล้วก็บอกว่าคุณน่าจะรู้ว่าควรทำอะไรกับมัน”
“ผม?” ผมชี้ตัวเองงงๆ เพื่อนของลุงพ่อบ้านพูดอย่างกับรู้จักผมงั้นแหล่ะ
“คือผมเคยเล่าเรื่องของคุณให้เขาฟังน่ะ” พ่อบ้านตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร ทำให้ผมต้องร้องอ๋อขึ้นมาอีกรอบ
“งั้นผมขอดูหน่อยแล้วกันนะครับ” แล้วผมก็เข้าไปรื้อๆ คุ้ยๆ ถุงกระดาษที่ใส่พวกพืชผักสมุนไพรไทยมา ..อืมๆ อาหารอีสานก็ต้องส้มตำสินะ ขาดไม่ได้แน่นอน โอเค มะละกอก็มี พริก ขิง ข่า ตะไคร้ อะไรก็มีมาหมดเลยแฮะ ผักชีลาวก็ยังมี อืมๆ มีส้มตำก็ต้องมีไก่ย่าง จะพลาดได้ยังไง
“เป็นยังไงบ้างครับ พอจะทำได้ไหม?”
“ได้หลายเมนูเลยครับ ว่าแต่คุณพ่อบ้านมีไก่แบบเป็นตัวๆ ไหมครับ?”
“มีครับ ผมซื้อมาเมื่อวาน ยังไม่ได้เอาไปทำอะไรเลย”
“ผมจะทำไก่อย่างสมุนไพร เดี๋ยวผมจะโขลกเครื่องสมุนไพรให้ คุณพ่อบ้านเอาไปหมักไว้สักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเอาไปย่างนะครับ”
“ได้ครับ” จากนั้นเราก็แยกย้ายกันปฏิบัติการเตรียมเมนูอีสานสุดแซบกันทันที
ที่ผมตั้งใจจะทำวันนี้ นอกจากไก่ย่างสมุนไร ก็มีทั้งตำไทย ตำปู น้ำตกหมู ตับหวาน ต้มแซบกระดูกอ่อนหมู คอหมูย่างน้ำผึ้งกับน้ำจิ้มแจ่ว ลาบฟองเต้าหู้กับเห็ดเออรินจิ แกงอ่อมเห็ดภูฏาน(เห็ดนางฟ้าดำ) และตำสัปปะรด โดยที่สามอย่างหลังผมตั้งใจทำเป็นเมนูมังสวิรัตสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์อย่างคุณซอล แต่คนอื่นๆ ก็สามารถทานได้ด้วย เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ อีกต่างหาก เรียกว่าอีสานแบบจัดหนักจัดเต็มกันล่ะมื้อนี้ แซ่บแน่ฝรั่งเอ๋ย ฮ่ะๆๆ
“โหหหหหห..ว้าวๆๆๆๆ” แฝดออกปากร้องพร้อมกับทำตาโตเมื่อเห็นอาหารอีสานแบบฟูลคอร์สถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะอาหาร
“มึงทำเองหมดนี่เลยเหรอ?” ซินหันมาถามผมทึ่งๆ
“ก็มีลุงพ่อบ้านช่วยด้วย”
“สุดยอด..” ซันคราง ก่อนแฝดทั้งคู่จะนั่งลง ถือช้อนถือส้อมเตรียมพร้อมกันเต็มที่ บางทีพวกนี้ก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากเด็กเล็กๆ เท่าไหร่เลยแฮะ
“เมื่อไหร่แม่จะลงมา?” ซันร้องขึ้นเมื่อยังไม่เห็นใครในครอบครัวเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“เมื่อไหร่มาร์ตินจะลงมา?” ซินเอาบ้าง
“เมื่อไหร่ซอลลี่จะลงมา!!” ชื่อสุดท้ายประสานเสียงกันเชียว
“อะไรของพวกนาย โหวกเหวกหนวกหูอยู่ได้” และเจ้าของชื่อผมโผล่มาแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงเลยเชียว
“ว้าว..” เขาร้องเบาๆ เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะโฉบมาจุ๊บแก้มผมทีนึงแล้วจึงเข้านั่งประจำที่
“เก่งมาก ที่รัก”
“อ้วกกกกก” เสียงซันดังมาก่อน
“บรึ๋ยยยย ขนลุกชะมัด” ตามด้วยเสียงซิน
“อิจฉาล่ะสิ” อันนี้คุณซอล ไม่พูดเปล่า แต่ยังพาดมือโอบไหล่ผมด้วย
“ไม่เลยสักติ๊ด” ซินว่าก่อนคว้าซันที่นั่งใกล้ๆ ไปหอมแก้มโชว์อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไอ้ซันหาได้สนใจพี่ทั้งสองคนของมันไม่ ตอนนี้มันกำลังเอาส้อมจิ้มไก่พลิกๆ ดูว่ามีอะไรติดหนังบ้าง
“เอะอะโวยวายอะไรกันหนุ่มๆ~” น้ำเสียงร่าเริงผิดกับเมื่อตอนบ่ายของมาดามแห่งบ้านแอนเดอร์สันดังเข้าห้องอาหารมาก่อนตัวซะอีก ก่อนที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับแรกเจอลิบลับจะยื่นเข้ามา
ผมหันไปเบิกตาแปลกใจกับคุณซอล เขายิ้มให้แล้วโน้มเข้ามากระซิบใกล้ๆ
“ผมบอกแล้วเห็นไหม ที่นายเจอตอนบ่ายน่ะนางยักษ์ ไม่ใช่ริต้าหรอก คนนี้ต่างหากคือริต้าตัวจริง”
“นางยักษ์?” ผมทวนคำ
“ใช่ นางยักษ์” คุณซอลพยักหน้าจหนักแน่น
“นางยักษ์สินะ” นางยักษ์แทรกหย้าเข้ามาระหว่างพวกเราสองคน
“เหวออออ” พวกเราตกใจผงะออก แต่ก็ถูกนางยักษ์ เอ๊ย มาดามริต้าจับหัวเข้ามาโขกกันจนดังโป๊ก ท่ามกลางเสียงหัวร่องอหายของฝาแฝด
“เป็นอะไรไหม? ..เล่นบ้าอะไรน่ะริต้า ผมกับยูเจ็บน่ะ” คุณซอลลูบหน้าผากผม ทั้งที่หน้าผากตัวเองก็แดงเหมือนกัน ก่อนจะหันไปโวยวายกับแม่ตัวเองที่เพิ่งนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างกัน ส่วนคุณมาร์ตินเดินยิ้มไปนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“อยากว่าใครเป็นนางยักษ์ล่ะ?” คนพูดจิกสายตาใส่จนผมเผลอหลบวูบ
“นั่นสิ ที่นี่ไม่มีนางยักษ์สักหน่อย เนอะซิน” ซันกระโดดเข้าร่วมวง
“ช่ายยย ที่มีแต่นางฟ้าต่างหาก เนอะซันนี่” ซินพูดพลางส่งตาหวานไปให้แม่ตัวเอง
“พูดได้ดีมาก แฝดลูกรัก” มาดามยิ้มกว้างถูกใจ
“ยี่สิบปอนด์!” แฝดพูดพร้อมกัน แถมยังแบมือไปกระดิกหน้ามาดามด้วย
“นี่แน่ะ!” ก็เลยโดยฟาดไปคนละเพี้ยะ
“ชิ นางยักษ์!!” แฝดพูดพร้อมกันอีก
“เดี๋ยวเหอะ แฝดนรก!” คนเป็นแม่ชี้หน้าคาดโทษ
“น่าๆ อย่าเพิ่งตีกัน คุณดูอาหารตรงหน้านี่สิ ที่รัก” คุณมาร์ตินที่เอาแต่นั่งยิ้มมองภรรยาและลูกเลี้ยงต่อปากต่อคำกันเอ่ยขึ้นบ้าง
“ว้าววววว” มาดามออกอาการไม่ต่างจากฝาแฝดเท่าไหร่ ..คือผมว่าถึงมาดามจะหน้าตาเหมือนคุณซอลมากมายก็เถอะ แต่นิสัยนี่เหมือนพวกแฝดชะมัดเลยแฮะ
“ฝีมือยูริทั้งหมดนี่แหล่ะ” คุณซอลรีบพูดขึ้นอย่างกับกลัวใครจะแย่ง จนผมอดอมยิ้มไม่ได้ พาลนึกไปถึงตอนที่เด็ฟป์บอกว่าเขาเคยเอาเรื่องผมไปคุยอวด สงสัยจะอาการประมาณนี้ล่ะมั้ง ..จะว่าไปแล้วก็น่ารักชะมัดเลยแฮะ
“แหม.. ไม่ค่อยอยากจะอวดเลยนะซอลลี่” ไอ้ซันแซวพี่มัน
“ยิ้มมึง ยิ้ม.. ถ้าจะลอยก็ขึ้นไปก็หลบๆ แชนเดอเลียร์ข้างบนบ้างน่ะ เดี๋ยวเสียหาย มันหลายตังค์” ส่วนไอ้ซินแซวผม
“ขี้เห่อจริงๆ เลยซอลลี่ แล้วลูกมานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะ เกะกะชะมัด ไปนู่นเลยไป แล้วเอายูจังมานั่งข้างแม่” มาดามพูดพลางผลักคุณซอลออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ..ว่าแต่ ยูจัง นี่มันอะไรวะครับ?
“อะไรเนี่ย?” คนถูกไล่ที่บ่นพึมพำ แต่ก็ยอมลุกแลกที่กับผมโดยดี
“ตกประป๋องแล้ว ตกกระป๋องแน่ๆ” เสียงแฝดที่นั่งฝั่งตรงข้ามเคาะช้อนชามประสานเสียง เรียกนิ้วกลางจากพี่ชายคนโตไปคนละอัน
“แม่ก็อยากคุยกับยูจังบ้างน่ะสิ ยังไม่ได้คุยกันเลยนี่”
“ซอลลี่ลูกรักกลายเป็นอดีตไปซะแล้ว เหลือแค่อดีตซะแล้ว~” แฝดยังสามัคคีประสานเสียงกันต่อไป
“ว่าแต่ยูจังดูเกร็งๆ นะ กลัวแม่เหรอ?” มาดามถามผม
“คิดตัวเองทำอะไรไว้เมื่อตอนบ่ายล่ะ?” แต่คุณซอลเป็นคนตอบ
“นางยักษ์แผลงฤทธิ์ แผลงฤทธิ์เอาไว้~”“หุบปากนะแฝด!!” มาดามหันไปตวาดแฝดจนผมแอบสะดุ้งไปด้วย แต่ฝาแฝดกลับทำไม่รู้ไม่ชี้
“อ้อ ถ้าเป็นเรื่องเมื่อตอนบ่ายน่ะ” แล้วมาดามก็หันกลับมาพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่พูดจริงๆ นะ แม่ไม่ชอบให้เรื่องส่วนตัวมามีผลกับงาน แต่แม่ไม่ได้โกรธยูจัง ถ้าจะมีใครสักคนที่สมควรถูกโกรธก็ต้องเป็นซอลลี่ที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองต่างหาก แต่ยังไงเมื่อคิดจะคบกันรักกันแล้วมันก็ต้องช่วยดูแลกันหน่อยนะ”
“เอ่อ..ครับ”
“แม่ฝากซอลลี่ด้วยล่ะ” มาดามยิ้มให้ผมอย่างใจดี และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากยังไงไม่รู้สิ
“ครับ”
“แอมฮังกรี้ โซฮังกรี้ เรียลลี่ฮังกรี้~” “หุบปาก!!” หลังจากการประสานเสียงและการตวาดอีกครั้งของแฝดและมาดามริต้า มื้ออาการแรกของผมกับครอบครัวแอนเดอร์สันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาก็เริ่มต้นขึ้นสักที..
“เอ๊ะ ถ้วยนี้คือแกงอะไรเหรอ?” มาดามหันมาถามผม มือชี้ไปที่ถ้วยแกงที่มีผักสีเขียวๆ ดำๆ ลอยอยู่
“แกงอ่อมน่ะครับ เป็นแกงพื้นบ้านแถบอีสาน เด่นที่รสชาติเฉพาะตัวกับกลิ่นหอมของผักชีลาว รวมทั้งน้ำข้นๆ จากข้าวคั่วป่น ปกติแล้วเขาจะใส่เนื้อสัตว์ แต่ถ้วยนี้ผมใส่เห็ดภูฏานเข้าไปแทน เพราะอยากให้คุณซอลได้ทานด้วยน่ะครับ ส่วนอันนั้นเป็นลาบฟองเต้าหู้กับเห็ดเออรินจิครับ มังสวิรัติเหมือนกัน ตำสัปปะรดนั่นก็ด้วย” ประโยคสุดท้ายผมหันมาบอกกับคุณซอลที่นั่งอมยิ้มอยู่ ก่อนที่เขาจะหันไปยักคิ้วรัวๆ ให้มาดาม แล้วก็โดนมาดามบิดแขนกลับมาด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ยยย..”
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมทั้งพ่อ แม่ ลูก นั้นจะให้ความรู้สึกแบบไหน
แต่มันก็คงจะไม่ไกลจากความรู้สึกที่ผมกำลังสัมผัสได้อยู่ตอนนี้นักหรอกมั้ง..
ยายครับ ยูคิดถึงยายจัง
TBC. 
ครบแว้วววว~