Last Chapter :: Every end is a new Beginning.ที่ใครเคยบอกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ.. เป็นเรื่องจริงทีเดียว
ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณซอล มีความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัวของคุณซอล ทุกคนน่ารักและใจดีกับผมมาก(..เอ่อ อันนี้เราอาจจะยกเว้นแฝดเอาไว้คู่หนึ่ง) ผมคิดว่าผมโชคดีมากจริงๆ ที่ได้มาเจอเขาและครอบครัวของเขา
แต่ถึงแม้ว่าผมจะมีความสุขขนาดไหน สุดท้ายมันก็ต้องจบลง ไม่ต่างจากงานเลี้ยงที่ย่อมมีวันเลิกรา
พรุ่งนี้.. ผมก็ต้องกลับกรุงเทพแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ ยูริ ตื่นเช้าจังเลยนะ” เสียงคุณมาร์ตินเอ่ยทักตอนที่ผมเดินเข้ามาในสวน
ผมเห็นเขากำลังนั่งตัดแต่งกิ่งกุหลาบขาวซึ่งเป็นดอกไม้โปรดของเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดี คุณมาร์ตินเป็นชายสูงวัยที่ดูมีสภาพจิตดีมากถึงมากที่สุด ผมไม่เคยเห็นวันไหนที่เขาจะไม่ยิ้ม ไม่เคยเห็นวันที่เขาอารมณ์เสีย เขาสุภาพอ่อนโยนกับทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นลูกหลานหรือลูกจ้าง ถ้ามีเวลาว่างเขาก็มักจะเข้ามาชวนผมทำกิจกรรมนั่นนี่อยู่บ่อยๆ บางครั้งเขาก็สอนผมปลูกต้นไม้ บางครั้งก็สอนเรื่องการดูแลต้นไม้ใบหญ้าแต่ละชนิดที่เขาปลูกเอาไว้รอบบ้าน สอนให้รู้จักไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ผมชอบฟังเวลาที่เขาพูดสอนหรือเล่าเรื่องต่างๆ นานาให้ฟัง เสียงของเขาจะฟังทุ้มๆ นุ่มๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่คนเป็นพ่อคนมีล่ะมั้ง ผมเดาเอานะ เพราะความรู้สึกเวลาที่อยู่ใกล้ๆ กับพ่อนั้นผมก็จำไม่ได้แล้วล่ะ
คงเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์เขาจึงไม่ต้องออกไปทำงาน แต่อีกสักพักก็คงต้องไปเตรียมตัวไปโบถส์พร้อมกับคุณแม่ริต้าเหมือนทุกสัปดาห์
พูดถึงคุณแม่ริต้า..เอ่อ..คือ..เขาบอกให้ผมเรียกแบบนั้นน่ะ ตอนแรกผมก็เรียก ‘มาดาม’ ตามพวกเมดสาวแหล่ะ แต่คุณแม่ริต้าบอกว่าฟังแล้วมันขัดหู ให้เรียกแบบนี้ดีกว่า
คุณแม่ริต้าก็เป็นคนตรงๆ ดูเหมือนจะดุ แต่ก็ใจดี เพียงแต่ว่าถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบไม่ถูกใจก็จะพูดออกมาเลย บอกกันตรงๆ แมนๆ เป็นคนที่จริงใจมากทีเดียว(ก็แค่มาดามวัยทองขาวีน.. ซินเคยกระซิบบอกผมแบบนั้น) แม้หลายครั้งจะปากว่ามือถึงเลยก็ตาม
คือผมเคยโดนเบิ๊ดกะโหลกอยู่ทีหนึ่งน่ะ ยังจำฝังใจอยู่เลย รู้สึกตอนนั้นจะเป็นหวัดอยู่แล้วนิดหน่อย แล้วคุณซอลที่ออกไปทำงานก็โทรกลับมาบอกว่าลืมโทรศัพท์ วานให้ผมเอาออกไปให้แถวเวสต์มินิสเตอร์(บ้านเราอยู่เชลซี) ผมก็เอาออกไปให้ ขึ้นแท็กซี่ไปแล้วก็กลับ วันนั้นฝนตกพรอมแพรมแม้จะเป็นหน้าร้อน(ก็ตามสไตล์ลอนดอนแหล่ะ) พอกลับมาถึงบ้านก็โดดคุณแม่ริต้าที่เพิ่งจะกลับเข้ามาเหมือนกันแว้ดใส่ทันทีเลย บอกประมาณว่าทำไมไม่รู้จักห่วงตัวเองก่อน ซอลลี่จะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ บลาๆๆๆ ประมาณนั้นแหล่ะ อืม แล้วก็โดนตบหัวปิดท้าย มึนยิ่งกว่าเป็นหวัดอีก ฮ่ะๆๆ
สรุปคืนนั้นผมก็ไข้ขึ้น แว่วเสียงคุณซอลถูกด่าอีกชุดใหญ่หลังกลับมาถึงบ้าน หูชาไปตามๆ กันล่ะวันนั้นน่ะ
แต่คนที่โดนลงไม้ลงมือบ่อยสุดก็เห็นจะไม่พ้นแฝด เห็นคุณแม่ริต้าชอบบ่นบ่อยๆ ว่าแฝดถูกป๊ะป๋าตามใจมากไปจนนิสัยเสีย ผมก็ยังไม่เคยเจอป๊ะป๋าของแฝดและคุณซอลหรอก แต่คิดว่าคงเป็นคนที่ใจดีมากล่ะมั้ง แม้คุณซอลจะเคยบอกว่า.. ‘ก็แค่ตาลุงจอมเพี้ยน’ ก็เถอะ
ทั้งคุณมาร์ตินและคุณแม่ริต้าทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใย ความเป็นพ่อเป็นแม่ ความเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มในบางส่วนที่ขาดหาย.. ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมายายจะทำให้ผมรู้สึกขาดอะไรหรอกนะ แค่ความรักของยายก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามีไม่น้อยหน้ากว่าใครแล้ว เพียงแต่ว่าคำว่า ‘พ่อ แม่ ลูก’ ผมเพิ่งจะได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ตอนที่เจอพวกเขานี่แหล่ะ
ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาที่มอบประสบการณ์นี้ให้กับผม มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากสำหรับผมจริงๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเองก็ตื่นเช้าเหมือนกัน” ผมส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย แล้วเริ่มลงมือหวาดเศษใบไม้บนสนามหญ้าเหมือนเช่นทุกวัน
จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ทำมันมาสามวันแล้วล่ะ เพราะผมเพิ่งกลับจากแถบชนบทที่เรียกว่า ‘คอทส์วอลส์’ คุณซอลพาผมไปเที่ยวค้างคืนดื่มด่ำกับธรรมชาติและสถาปัตยกรรมอายุนับพันปีของที่นั่นสามวันสองคืนก่อนกลับมาลอนดอน ช่วงเดือนหลังเขาทำแบบนั้นตลอด ถ้ามีเวลาว่างเขาจะพาผมไปเที่ยวแทนที่จะนอนพักผ่อนเหมือนอย่างที่เคยทำ เขาพาผมไปแทบทุกที่จนเกือบแทบจะทั่วทั้งเกาะอังกฤษเลยก็ว่าได้ มีครั้งหนึ่งเขาเคยขับรถพาผมไปไกลถึงแถบชนบทในเวลส์ด้วยซ้ำ
เราพยายามจะให้เวลาทุกนาทีตราบที่ยังได้อยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าที่สุด.. เพราะเราต่างรู้ดีว่าเวลาของผมนั้นเหลือน้อยลงทุกที และเวลาว่างของท็อปโมเดลอย่างคุณซอลก็มีน้อยเหลือเกิน งานของคุณซอลไม่ใช่เพิ่งรับวันนี้เมื่อวานนี้ บางงานมีแปลนไว้ตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว จะมาเลื่อนงานเองตามอำเภอใจก็คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไอ้เรื่องเบี้ยวงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนมีความรับผิดชอบสูงอย่างคุณซอลไม่มีวันทำอยู่แล้ว หรือถึงจะทำ ก็คงไม่รอดพ้นถูกคุณแม่ริต้าจับเชือดแหงๆ แน่ล่ะว่าถ้าคุณซอลโดดงานเพราะมาอยู่กับผม ผมก็คงจะต้องถูกเชือดตามคุณซอลไปติดๆ โทษฐานไม่รู้จักห้ามปรามกันอีก
“ซอลลี่ออกไปทำงานแล้วเหรอ?”“ครับ” วันนี้คุณซอลออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า เพราะต้องไปโรม แต่เดี๋ยวดึกๆ ก็คงกลับมา เพราะเขาบอกว่าจะไปส่งผมที่สนามบินพรุ่งนี้ด้วย
“พรุ่งนี้เธอก็จะกลับแล้วใช่ไหม? น่าใจหายเหมือนกันนะ” คุณมาร์ตินรำพึงรำพันกับกิ่งกุหลาบที่ตัวเองเพิ่งตัดออก
“ครับ น่าใจหายจริงๆ” ผมถอนหายใจหนักๆ ผมคิดถึงยาย ผมอยากกลับกรุงเทพ แต่ผมก็ไม่อยากจากคนพวกนี้ไป ..ผมไม่อยากจากคุณซอลไป ช่วงเวลาเกือบสามเดือนทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับคนที่นี่มากเลยทีเดียว
“เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน อีกหนึ่งฤดูร้อนกำลังจะผ่านพ้นไปอีกแล้ว”ใช่ ฤดูร้อนนี้กำลังจะจบลงแล้ว..
และผมก็ไม่มั่นใจเอาซะเลย ว่าความรักของผมจะดำรงอยู่ต่อไปได้ในฤดูอื่นอีกหรือเปล่า
“เธอกังวลเหรอ?” เสียงของคุณมาร์ตินทำผมหลุดออกจากภวังค์
“ครับ..” ผมหันไปมองเขา ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
“บอกฉันได้ไหม?” น้ำเสียงอาทรนั้นทำให้ผมลังเลใจ
“ผม..” สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา
“กลัวว่าจะลืมทุกคนที่นี่..”“หืม ทำไมล่ะ?”
“ครั้งหนึ่งผมเคยลืมพ่อกับแม่ของผม ผมรักพวกเขา แต่ผมก็จำพวกเขาไม่ได้..” ทุกครั้งที่ผมดูรูปพวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ผมดูรูปคนแปลกหน้า มันทำให้ผมเจ็บปวด เพราะงั้นผมถึงไม่ชอบเก็บรูปถ่าย ไม่ชอบบันทึกความทรงจำ เพราะมันจะเป็นสิ่งตอกย้ำให้เจ็บปวดในวันที่ผมลืมเลือน
“นั่นเพราะว่าเธอยังเด็กเกินไป” คุณมาร์ตินพูดปลอบ ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าเรื่องที่เสียพ่อกับแม่ไปให้เขาฟังแล้ว
“ก่อนหน้านี้ผมเคยมีแฟน ผมรักเธอ แต่พอเราห่างกัน พอเวลาผ่านไป ผมก็ลืมความรู้สึกที่ว่าผมรักเธอไป..” ไม่ใช่ว่าผมไม่เสียใจตอนที่เลิกกับแฟนเก่า แต่ผมเป็นฝ่ายที่เริ่มลืมเลือนก่อน ในวันที่เธอมาบอกขอเลิกรา ผมจึงไม่มีสิทธิ์รั้งเธอเอาไว้ ..ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เธอกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกงั้นหรือ?”“..........” ใช่ ผมกลัว
“ฉันไม่รู้จักแฟนเก่าของเธอ เพราะงั้นฉันคงพูดอะไรไม่ได้ แต่ฉันรู้จักซอลลี่ดี ถ้าเด็กคนนั้นตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว แค่อุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของเวลาหรือระยะทางไม่ทำให้เด็กคนนั้นยอมแพ้ได้หรอก”“.........” คุณซอล..
“ก็เป็นคนแบบนั้นแหล่ะ ทั้งแม่ ทั้งลูก..” คุณมาร์ตินพูดยิ้มๆ
“เธอเองก็อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ไปซะก่อนล่ะ”“ผม..”
“แล้วถ้าเธอกลัวว่าจะลืมพวกเรา เธอก็มาหาพวกเราทุกฤดูร้อนสิ บ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับเธอเสมอ”
“ขอบคุณครับ” แม้จะรู้สึกซาบซึ้งใจแค่ไหน แต่ผมก็นึกคำที่ดีกว่านี้ไม่ออกจริงๆ
“มีอะไรในใจหรือเปล่า?” คนที่นอนกอดผมเอาไว้ถามขึ้นเบาๆ หลังจากเราช่วยกันโหมกระพือเพลิงพายุแห่งอารมณ์จนมันลุกโชนและมอดดับลงในที่สุด เราก็นอนกอดกันแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว
“นิดหน่อย” ผมตอบอู้อี้ ซุกหน้าลงกับอกแบนๆ บางๆ ของเขา
“ไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง” คุณซอลหัวเราะลงคอ “นายกังวลอะไร? หือ ยู? เรื่องของเรางั้นเหรอ?”
“ก็.. ครับ” ทีแรกผมจะปฏิเสธ ก็สุดท้ายก็คิดว่ายอมรับออกไปตรงๆ เลยดีกว่า จริงๆ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปหลายทีแล้ว คุณซอลเคยบอกว่ามันจะไม่มีปัญหาหรอก เขาหนักแน่นพอที่จะประคับประคองให้ความรักของเราอยู่รอดไปจนถึงฤดูร้อนถัดไป
“ยู..”
“ผมรู้ๆ แล้วผมก็เชื่อใจคุณ” ผมรู้ว่าเขาจะพูดอะไร ก็เลยรีบแทรกขึ้นก่อน “แต่ที่ผมไม่มั่นใจก็คือตัวผมเอง”
“ยู” เขาถอนหายใจยืดยาวหลังเรียกชื่อผม
อ้อ ที่เห็นเขาไม่เรียกผมว่า ‘คุณหัวลูกชิ้น’ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาสำนึกได้แล้วว่ามันไม่สมควรเรียกหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้เรากำลังอยู่บนเตียงกันไงล่ะ มีสองทางที่จะทำให้เขายอมเรียกชื่อผม หนึ่งคือยอมอยู่บนเตียงกับเขา และสองคืออยู่ต่อหน้าคุณแม่ริต้า แค่นั้นแหล่ะ นอกเหนือจากนั้นเขาก็ยังมุ่งมั่นจะเรียกผมว่า ‘คุณหัวลูกชิ้น’ เหมือนเดิม
“คุณต้องเข้าใจผมนะ” ผมช้อนตาขึ้นมองเขา “ที่ผมต้องคิดมากกว่าที่เคยคิด กังวลมากกว่าที่เคยกังวล ..นั่นก็เพราะว่าผม..เอ่อ..”
“หืม อะไร? ผมรอฟังอยู่นะ” เขาส่งเสียงกระตุ้นเมื่อเห็นผมเงียบไปเฉยๆ
“ผมหยุดคิดไม่ได้”
“แล้วเพราะอะไรล่ะ?”
“ก็เพราะผม..ผมกลัวมากกว่าที่เคยกลัว..น่ะ” ผมพูดอ้อมแอ้ม
“นั่นผมรู้แล้ว ก็แล้วมันเพราะอะไรล่ะ ที่ทำให้นายเป็นมากกว่าที่เคยเป็นมา” คนพูดยกยิ้มมุมปาก ตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
“ก็..”
“ยู” น้ำเสียงเขาคาดคั้น ทั้งที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังจะคาดคั้นเอาจากผม คนกวนประสาท
“ก็เพราะผมรักคุณมากกว่าที่เคยรักใครไงเล่า!” ผมหลับหูหลับตาตอบไป
“ฮ่าๆๆๆ” แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังลั่นตอบกลับมา
“อื้อออ..” ตามด้วยมือปากและจมูกของเขาที่เข้ามาฟัดผมอย่างหมั่นเขี้ยวอีกชุดใหญ่
“ผมสัญญา..” หลังจากฟัดผมจนพอใจ เขาก็เลื่อนมากระซิบที่ใบหู “ว่าจะพยายามมากกว่าที่เคยพยายาม”
“อืม” แล้วเขาก็ประทับริมฝีปากลงมาบนปากของผมแทนการประทับตราสัญญา
“เชื่อใจผมนะ”
“ครับ..”
“แล้วกลับมาที่นี่อีกนะคะ” เอลลี่ที่ออกมาส่งผมหน้าระเบียงมุขบอกพลางเล็ดน้ำตาที่ซึมออกมาทางหัวตา
“ฉันจะคิดถึงคุณ คุณก็อย่าเพิ่งรีบลืมพวกเรานะ” จีนพูดบ้าง
“อืม” ผมได้แต่พยักหน้า รู้สึกจุกตรงคอจนพูดอะไรไม่ออก วันนี้ผมต้องจากไปแล้วจริงๆ ผมต้องไปจากบ้านแอนเดอร์สัน ไปจากลอนดอน ไปจากผู้คนที่ผมเริ่มรู้สึกผูกพัน
“ขอพวกเรากอดคุณได้ไหม?” เอลลี่ถาม ผมอ้าแขนออกแทนคำตอบ ทั้งเอลลี่ทั้งจีนก็เลยโถมเข้ามาใส่ผม พร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ จีน เอลลี่” ผมกอดตอบแล้วบอกกับทั้งคู่เบาๆ
“พวกเราก็เหมือนกันค่ะ ยูริ”
“พอเถอะสาวๆ ยูจังไม่ได้ไปแล้วไปลับเสียหน่อย เดี๋ยวฤดูร้อนหน้าก็กลับมาแล้วล่ะ” คุณแม่ริต้าพูดขึ้นยิ้มๆ สองสาวเลยยอมผละออกจากผมไป
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ คุณพ่อบ้าน” ผมเดินไปหาลุงพ่อบ้านบ้าง
“ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณยูริเหมือนกัน สำหรับความช่วยเหลืองานในบ้านหลายๆ อย่าง รวมทั้งเรื่องที่สอนผมทำอาหารไทยด้วย ผมจะตั้งตารอวันที่คุณกลับมาที่นี่อีกครั้งนะครับ” ลุงแกจับมือผมบีบเบาๆ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
“ยูริ~” ฟรานเชสก้าเรียกผมเข้าไปกอด
“ฉันคงคิดถึงคุณแย่ รีบๆ กลับมาอีกนะ ไม่มีคุณสักคนงานของฉันก็ต้องกลับมาหนักเหมือนเดิม ซอลฟาน่ะตัวปัญหาจริงๆ คุณก็คิดเหมือนกันใช่ไหม?”
“เฮ้ๆ” เสียงคนถูกพาดพิงร้องขึ้น ผมกับแฟร้งก์หันไปมอง หันกลับมามองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะออกมาทั้งคู่
“ฉันคงคิดถึงนาย คิดถึงอาหารของนายแน่ๆ” เด็ฟป์เข้ามาตบบ่าผม วันนี้เขาขับรถมาบ้านนี้ตั้งแต่เช้า บอกว่าจะมาส่งผม
“จริงๆ แล้วก็อยากจะไปส่งที่ฮีธโทลอยู่หรอกนะ แต่พอดีติดงานน่ะ แล้วก็.. มิคุฝากมาบอกว่า เดินทางโดยสวัสดิภาพกับโชคดีนะ”
“ขอบคุณครับ ฝากขอบคุณมิคุนิด้วย ผมก็ขอให้หมอนั่นโชคดีเหมือนกัน” ผมไม่แปลกใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะคุณซอลบอกผมแล้วว่าเด็ฟป์เพิ่งกลับจากนิวยอร์ค เขาคงไปทำงานที่นั่นแล้วก็เจอกับมิคุนิเข้าล่ะมั้ง หมอนั่นถึงได้ฝากคำอวยพรผ่านมาถึงผมแบบนี้
“หมอนั่นต้องโชคดีแน่อยู่แล้วล่ะ” เด็ฟป์ขยิบตาให้ผม ท่าทางดูมีเลศนัยที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ติดใจท้วงถาม
“ลาครบแล้วก็ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวจะไปสายนะ” คุณมาร์ตินเตือน
“ไปก่อนนะครับ” ผมบอกลาจีน เอลลี่ ลุงพ่อบ้าน แฟร้งก์ และเด็ฟป์อีกครั้ง รวมทั้งแสงดาวที่จนบัดนนี้ก็ยังไม่นึกอยากญาตดีกับผมด้วย ก่อนจะตามคุณซอล คุณมาร์ติน และคุณแม่ริต้ามาขึ้นรถด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
แล้วแฝด? ..อ๋อ ที่ไม่เห็นแฝดก็เพราะแฝดกอดคอกันไปบาหลีตั้งแต่สามวันที่แล้วแล้วน่ะ ก่อนไปพวกนั้นบอกว่า ไว้เจอกันที่มหาลัยนะ ..ด้วยล่ะ
“ไม่เอาน่า เดี๋ยวนายก็ต้องกลับมาที่นี่อีก” คุณซอลที่เข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับเอื้อมมือมาโยกหัวผม ก่อนโน้มมากระซิบบอกใกล้ๆ
“คิดว่าผมจะยอมปล่อยนายหลุดมือไปหรือไง คุณหัวลูกชิ้น..”
ผมกำลังจะอ้าปากตอบโต้ว่า ‘ผมชื่อ ยู’ เหมือนทุกที แต่เขาชิงพูดต่อก่อน
“..ที่รัก”
ผมหุบปากฉับ กลืนคำที่จะพูดกลับลงคอไป
อันที่จริงแล้วมันคงไม่เลวเท่าไหร่ หากผมจะยอมเป็น ‘คุณหัวลูกชิ้น..ที่รัก’ ของเขาคนเดียว
“ครับ..”
ช่ายยย มันไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหล่ะ
“หึหึ” ผมเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ได้ยินเขาหัวเราะลงคออย่างอารมณ์ดี
ผมเหม่อมองตัวบ้านแอนเดอร์สันเป็นครั้งสุดท้าย
ผมกำลังจะไปจากที่นี่..
แต่อีกไม่นานหรอก
อีกไม่นานผมจะกลับมาใหม่
เมื่อฤดูร้อนถัดไปมาถึง..
เรื่องราวของออโรร่ากับคุณหัวลูกชิ้นก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
END
hi AURORA
ใครที่ตามอ่านนิยายของไวท์จบครบทั้ง 3 เรื่อง อาจจะมี(หลาย)คนเริ่มนึกเกลียดไวท์ ..แม่งจบได้ค้างคาใจทุกเรื่อง.. ชิมิ?
(คนอ่าน/ ก. เกลียด ม. ตั้งแต่จบเรื่องแรกแล้วล่ะหอยจุ๊บ!

)
ใจเย็นก่อนนะพี่น้อง คือเรื่องของเรื่องมันเป็นแบบนี้ จะเล่าให้ฟัง..
พอดีตอนเด็กๆ หม่ามี้ชอบซื้อนิยายแปลมาให้ไวท์อ่านน่ะ (หม่ามี้/ อย่ามาโทษกูนะ!!)
ทีนี้ไวท์ก็เลยแค้นไง ก็ไอ้พวกวรรณกรรมเยาวชนวรรณกรรมคลาสสิกของหม่ามี้แมร่มชอบทิ้งให้ ก. จิตนาการต่อเองตัลหลอดๆ
นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นเด็กเก็บกด(??) พอโตขึ้นมา ก็เลยเริ่มฟูมฟักฝึกปรือวิทยายุทธ
แล้วในที่สุด..
ในที่สุด..
ในที่สุดข้าก็กลับมาล้างแค้นนนนนนน!!!! วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

(คนอ่าน/ อิบร้า!!!!!

)
ฮ่าๆๆๆๆ โทษทีๆ พอดีช่วงนี้คิดนั่นคิดนี่มากไปหน่อย เลยรู้สึกเนือยๆ หลุดๆ ยังไงชอบกล สงสัยน็อตจะหล่นหายไปหลายตัว ก็เลยเกิดอาการอย่างที่เห็น โปรดอย่าถือสานะจ๊ะ
คือมันก็เป็นสไตล์อ่ะนะ ใครที่คิดว่าจะยังตามอ่านเรื่องต่อไป ก็ทำใจเอาไว้แต่เนิ่นๆ นะฮ้า~
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณมากๆ สำหรับคนที่ติดตามมาจนจบค่ะ (คุณคือผู้รอดชีวิต เย่!!)
ทั้งที่ความยาวราว 300 หน้าเวิร์ด แต่เล่นแต่งกันข้ามปีข้ามชาติเลยทีเดียวเชียว
สำหรับเรื่องนี้ทำให้ไวท์รู้ซึ้ง ว่าเรื่องที่ดำเดินไปโดยแทบไม่มีปมอะไรให้ลุ้นระทึกเลยนี่มันช่างยากเย็นแสนเข็ญ ตันแล้วตันอีก ตันจนคนเขียนก็ชักเบื่อ(ตัวเอง) คนอ่านก็คงหน่าย(ที่จะรอ) แต่สุดท้ายก็อุตส่าห์จบลงจนได้เนาะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ อีกครั้งค่ะ

ท้ายที่สุด.. จินตนาการสำคัญกว่าความฟินเนาะ
(คนอ่าน/ ความฟินสำคัญที่สุดในสามโลกเฟ้ยยยยยยย!!!

)
ปล. ใครสนใจหนังสือ ดูรายละเอียดได้ที่หน้าแรกค่ะ จัดตอนพิเศษไป 8 ตอนเต็ม งุงิ (ยังไม่ฟินก็ให้มันรู้ไป!)
