ตอนที่ 14
“ป้าติ๋วบอกว่าไว้ไปกินกันอีก” ผิงเอ่ยเมื่อมานั่งอยู่ข้างกับเจที่ฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะในซุ้มของเด็กวิศวะ ในมือมีขนมซองเล็กๆ ถือมาด้วย
“ไม่เอาไอ้มู่ไปด้วยนะ ถ้าเอามันไปอีกกูจะเอามันนั่นแหละทำมู่กระทะ...แม่ง” คิดถึงวันกินหมูกระทะก็ลมจะขึ้น
กูไม่กินติดมัน
เอาเกรียมๆ สิ
มันไหม้เกินไป
ย่างไม่ได้เรื่องเลยมึงนี่แล้วก็อีกสารพัดที่มันสรรหามาว่ากลางโต๊ะหมูกระทะ วันนั้นถ้าไม่เกรงใจป้าติ๋วกับลุงยอดนะ เขาจะแล่พุงแห้งๆ ของมันนั่นแหละเอาไปย่างบนเตา!
“เอาน่า...มันเป็นคนเอาแต่ใจแกก็รู้นี่”
“ไอ้นุชมันทนได้ไงวะ”
“ก็นุชมันรักของมันนี่”
“ล้านไม่เอาสักบาท อยู่กับไอ้นุชไอ้มู่แม่งทำตัวน่ารัก” เจว่าไปแล้วก็เงยหน้าหล่อๆ ขึ้น ผิงเองก็หัวเราะเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็น เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ว่า มู่ลี่ดูดีน่ารักขึ้นแถมไม่ค่อยวีนเหวี่ยงอีกต่างหาก
แต่ก็นั่นแหละ มู่ลี่ไม่เคยสนใจคำชมหรือคำด่าของใครอยู่แล้ว
“ขนมอะไร”
“ขนมปังอบมั้ง ทานมั้ย ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
“แล้วซื้อมาทำไม?” เจถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับข้อมือเล็กตรงหน้าบังคับให้ป้อนขนมใส่ปาก “ไม่เห็นอร่อยเลย”
“พี่ปีสองให้มา” ได้ยินแล้วก็แทบจะพ่นออกมา เจมองใบหน้าอ่อนใสของเพื่อน ก่อนจะหันหน้าไปมองทางอื่นเบ้ปากใส่ขนมเสียอย่างนั้น
กูลืมไปว่าผิงมันฮ๊อต
เดี๋ยวนี้ก็อย่างว่าแหละ พวกเกย์พวกไบฯ เยอะแยะ คณะวิศวะที่ว่ามีแต่เถื่อนๆ ยังมีกลุ่มนี้เยอะแยะ จะว่าไปพวกถึกๆ เถื่อนๆ ก็มีเอกโยธาฯ ของเขากับเอกเครื่องกลของไอ้คุณชะมดน้อย
ซึ่งดูจากความหล่อของตัวเองและเพื่อน...พวกผมไม่เถื่อนนะครับ...
“เสน่ห์แรงนะมึง”
“นิดหนึ่งน่า มีแต่พี่ผู้ชายให้มาว่ะ ฉันเหมือนผู้หญิงเหรอ?” เจส่ายหน้า ตอบคำถามนี้ในใจทันทีว่า
ไม่เหมือนหรอก แต่น่ารักกว่าจม“ไอ้พวกหัวงู ชอบหลอกฟันรุ่นน้อง”
“แกก็ว่าไป เดี๋ยวพวกพี่เขามาได้ยินก็โดนหรอก”
“กลัวที่ไหนวะ จริงๆ นะ ไอ้พวกนี้แม่งชอบหลอกฟันพวกน้องปีหนึ่ง เทอมที่แล้วกูยังเห็นวิ่งไล่จีบเพื่อนกูที่เรียนคอมฯ อยู่เลย พอได้แล้วก็ทิ้ง สันดานมาก”
“กูไม่เป็นไรหรอกมึง ผู้ชายเหมือนกัน” ผิงว่า หยิบขนมออกมาส่งให้เจ ซึ่งพ่อคนหล่อเบ้ปากไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พูด แต่อ้าปากรับขนมในมือนั้นเต็มคำ
“น้อยไปสิมึง หน้าตามึงไม่น่ารักเลยนะนั่น เหอะ...มึงอย่าไปหลงคารมพวกมันนะ” เจว่ามีค้อนใส่ด้วย แต่ไม่ได้มากมายเพราะเกรงใจ เกิดผิงมีอาการผีไอ้วรนุชน้อยสิงจิกเขาหน้าแหกมันจะดูไม่หล่อ...
น้อยๆ พอประมาณว่าหล่อก็พอ
“ทำไม? หวง?” เจเกือบพยักหน้า แต่ตั้งสติได้ก่อน เขาไม่ใช่ไอ้มู่นะที่จะเพลินได้ตลอดเวลา
“เยอะละ” ผิงขำกิ๊ก เหล่ตามองคนหล่อก่อนจะส่งขนมให้อีก แต่คราวนี้ยกให้ทั้งถุง
“โทษทีตกไม้เอกไป”
“ความหมายเปลี่ยนไปเยอะ”
แต่กูโอเคนะ ถ้าจะให้ตอบจริงๆ อันนี้ขอละไว้ในใจก็พอ
“เอาน่า...นิดเดียว มีเรียนมั้ย?” เจส่ายหน้า ทำหน้าเซ็ง
“แล้วมาเรียนทำไม”
มารอดูหน้ามึง
“ขี้เกียจอยู่หอคนเดียว เบื่อ”
“งั้นไปอ่านหนังสือกัน” ผิงว่าแล้วยิ้มแฉ่งก่อนจะลากให้เจลุกขึ้นมาด้วย
“ที่ไหนวะ”
“เอาเถอะน่า” ผิงว่าพร้อมกับยิ้มน่ารัก เป็นอันว่าเจต้องคว้าเป๋เบาๆ ของตัวเองมาสะพาย แล้วทิ้งถุงขนมรสชาติแย่เอาไว้
“เลี้ยงข้าวด้วยได้ปะ”
“ได้ๆ” ผิงหันมาพูด รอยยิ้มยังเปื้อนเต็มหน้าทำเอาร่างสูงมองเพลินไปเลยทีเดียว และว่าจะรู้ตัวว่าโดนจับแขนเสียพักใหญ่ก็ตอนที่ร่างบางปล่อยมือออกก่อนออกจากรั้วมหา’ลัยแล้ว
เสียดายนิดๆ จะควงแขนไปก็ไม่ว่านะ....
........................
“เมื่อไหรจะกลับมาเนี่ยชะมด”
“ก็บอกว่าเช้าพรุ่งนี้ไง วันนี้ไม่มีเรียน”
“วุ้ย!” นุชยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหงุดหงิดของอีกคนอดล้อเลียนไม่ได้ “ทำไม...คิดถึง”
“หลงตัวเองแล้วเหอะมึงอะ” ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าคนพูดจิกสายตาแบบไหนทำปากยังไงแล้วแก้มยุ้ยๆ นั้นจะแดงแค่ไหน
“ช่วยไม่ได้บังเอิญกูเป็นคนที่แฟนรักแฟนหลงน่ะนะ เลยหลงตัวเองบ้างนิดๆ หน่อยๆ”
“อิโธ่...เยอะนะมึงเย๊อะ!” มู่ทำเสียงขึ้นจมูก “แล้วมาไง”
“นั่งรถไฟต่อใต้ดินเลยเข้าเรียนเลย”
“เหรอ...เออๆ ตามใจ”
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก...กูถามไม่ได้หรือไง? มันอะไรตารางคิวมึงเยอะจัดหรือไง”
“นิดหน่อยตามประสาหล่อตาหวาน” แล้วนุชก็ขำก้ากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายทำเสียงอ้วกเข้าใส่ “เฮ้ยๆ ดีๆ นะมึง ท้องไส้ขึ้นมาไม่มีตังค์ไปขอ”
“ไอ้เหี้ย!”
“ก็จริงนี่หว่า แล้วไม่ไปเรียนหรือไง นี่มันสิบโมงกว่าแล้วนะมึง” นุชว่า สวนตัวเองนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง มองพัดลมเพดานที่ไม่ได้ใช้มานานมากแล้วอย่างกับไม่มีอะไรจะมอง
“กูนั่งอยู่ในห้องเรียนเนี่ย แม่งโคตรน่าเบื่อไม่ปิดครอสสักทีเหลืออยู่ตัวเดียว”
“พวกไอ้เจไอ้ซอล่ะ”
“ไอ้เจกูไม่รู้ ไอ้ผิงกูไม่เห็น ไอ้ซอกูก็ไม่เจอ”
“ไม่มีใครคบมึงแล้วใช่มั้ยมู่ ฮ่าๆ”
“หุบปากไปเลยไอ้วรนุชชะมดตดหมา”
“สาบานว่านี่ปากแฟนกูครับ” นุชว่าก่อนจะลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างมองหาต้นเสียงแจ้วจ้าวจากข้างบ้านที่เป็นเรือนทรงไทยเหมือนกับบ้านของเขา
“ใครบอกกูแฟนมึง อย่ามาพูดมาก”
“เอ่อ...ไม่ใช่แฟนกูลืมไป ปากเมียกู” ชัดเจน “เสียงใครวะดังชิบหาย” กวนแล้วก็บ่นให้คนจอมโวยวายได้ยิน
“ทำไมวะ? ใครเหรอ?”
“ไม่รู้ว่ะ ข้างบ้านเสียงดังมาสักพักแล้ว กูว่าจะนอนต่อเนี่ย”
“ระเบิดปาแม่งดิ แค่นี้ก่อนนะอาจารย์มาแล้ว ตื่นแล้วโทรมาด้วย”
“อือๆ บ่ายๆ แหละ”
“เออ...”แล้วสายก็ตัดไป นุชมองมือถือในมือก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ กับนิสัยไม่รอฟังคำลาของคนรักแต่ก็นะ มันเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วนี่แฟนของเขาน่ะ...อินดี้ละเกิน
“ใครว่ะ เสียงแปดหลอด” บ่นได้ก็ไม่ได้จะทำอะไรมากกว่าพยายามมองหาต้นเสียงหรอก แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจ ควานหาไอพอดของตัวเอง ว่าจะเอามาฟังเพลงตัดรำคาญ แต่ประตูห้องก็โดนเคาะเสียก่อน
“คุณนุชคะ คุณท่านให้มาปลุกค่ะ” เสียงของเด็กในบ้านเรียกไม่ดังมาก เขาแค่ถอนหายใจแล้วพูดออกไปว่า
“ด่วนหรือเปล่า ยังไม่ได้อาบน้ำ”
“ท่านบอกว่าให้คุณนุชทำธุระให้เสร็จก่อนค่ะ”
“อืม...ไปบอกแม่ใหญ่แล้วกันว่าอีกสักพัก”
“ค่ะ” หนุ่มหน้าหวานถอนหายใจเฮือก ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียงนอนแล้วเข้าไปในห้องน้ำที่มีอยู่ในห้องส่วนตัวนี้แหละ
แค่ได้ยินว่าแม่ใหญ่เรียกหา ก็ปวดจี๊ดในหัวแล้วล่ะ รู้งี้กลับหอตั้งแต่เมื่อวานก็ดี
“คิดถึงไอ้มู่ชิบ”
....................................................
เจนั่งพิงเก้าอี้หวายสีเข้มจ้องมองแก้วโกโก้เย็นตรงหน้า จากนั้นก็เลื่อนสายตาผ่านไปยังร่างบางที่ก้มหน้าก้มตาหัดแก้สูตรแคลคูลัสสองอย่างเอาเป็นเอาตาย
ก็พอเข้าใจว่าหาที่อ่านหนังสือ แต่บ้านไร่กาแฟ(เอกมัยเนี่ย) ไกลมหา’ลัยไปหน่อยมั้ย
“แกมาบ่อยเหรอวะผิง”
“อือ...เกือบทุกวัน ซื้อน้ำขวดเดียวนั่งเป็นวันยังมี” ก็พอเข้าใจนะเพราะเห็นโต๊ะข้างๆ ก็มีอาการเดียวกับผิงนั่นแหละ “แกไม่อ่านหนังสือเหรอวะ”
“พวกแคลกูไม่อ่านให้เมื่อยหรอกแทบจะซึมเข้ากระแสเลือดอยู่แล้ว จะมีก็พวกเคมี ไทย อิ้ง พวกสามัญน่ะ” ผิงพยักหน้า
“พวกโยธาต้องแม่นอยู่แล้ว พอดีเลย ติวให้หน่อยสิฉันไม่เป๊ะ”
“ข่าวว่าเทอมที่แล้วมึงล่อไป3.98”
“ก็ได้บีบวกแคลหนึ่งไง” แล้วให้ไอ้คนที่ได้เอแค่วิชาคำนวณอย่างเดียวอย่างเขาเนี่ยนะติว “เดี๋ยวติวพวกที่เหลือให้เอามั้ย”
“เอา” ณ จุดนี้ ถ้าพระเนียนปฏิเสธก็โง่บรรลัยครับ “มึงจะนั่งตรงนั้น?”
“ไม่ได้เหรอ?”
“กูไม่ถนัดมานั่งตรงนี้ดิ” ว่าแล้วก็พยักเพยิดที่เก้าอี้หวายข้างกาย ผิงเลยลุกแล้วย้ายเป้ของตัวเองออกก่อนจะมานั่งแทนที่
“โอเคเริ่มกันเลย” ผิงพูดยิ้มแป้นให้กับติวเตอร์หน้าหล่อ ซึ่งคนมองลงความเห็นได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า
แม่งน่ารักไปไหนวะ
“เรื่องแคลเนี่ยมันไม่ยากหรอกถ้าแม่นเรื่องตรีโกณ โจทย์มันก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ชอบสลับกันไปมาอย่างเอาคำตอบมาเป็นคำถาม แค่รู้จักพลิกแพลงตะแคงคว่ำหงายมันก็ใช้ได้แล้ว” ผิงอมยิ้มก่อนจะขำออกมา “อะไร?”
“แกแหละอะไร พลิกแพลงตะแคงคว่ำหงาย? นี่คือแคลคูลัส?”
“เฮ่ย...มึงอย่าซีเรียสกับมันดิ สบายๆ เว้ย ของแบบนี้นะต้องคิดให้สนุกเอาไว้เวลาทำจะได้สนุกสุดเหวี่ยง” เอิ่ม...จะพยายามไม่คิดให้มากให้ลึกนะ
“โอเคฉันจะผ่อนคลายทำตัวสบายๆ ไม่เกร็ง”
“ดีมาก...แบบนั้นแหละเดี๋ยวสนุกเอง” ทั้งสองพูดไปก็อมยิ้มกันไป ใครจะรู้ไม่รู้ยังไงไม่สนหรอกนะ เรื่องในใจน่ะ กบว.เขาห้ามเผยแพร่เด็ดขาด
“ว่าแต่...” เจมองกระดาษคำตอบที่ผิงทำก่อนหน้านั้นผ่านๆ ก่อนจะหันมามองอีกฝ่าย “แกก็ทำได้หมดนี่หว่า”
“ก็พอได้นะ เอางี้ปะ ฉันจะนั่งทำไปเรื่อยๆ ข้อไหนฉันไม่เข้าใจฉันถามแกดีมะ ไปแบบช้าๆ”
“ก็ดีนะเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เข้าที่เอง” เจว่างั้นนะ แต่ก็เท้าศอกนั่งมองผิงทำแนวข้อสอบ ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่มันอยู่ที่...
“หน้ามึงใกล้กูมากไปละ” ผิงว่าพร้อมกับใช้มือซ้ายดันใบหน้าหล่อๆ นั้นจนเกือบหงาย ยิ้มเมื่ออีกฝ่ายขำ ก่อนจะปล่อยให้เจที่บังเอิญ(?)ยกมือขึ้นมาจับมือของเขาไว้ไม่ให้ผลักอีก
“ไม่ได้ใกล้อะไรมากมายสักหน่อย”
“มันกดดันเนี่ย” ผิงว่าดึงมือที่เจยังจับไว้มาวางบนโต๊ะ เจตบมือบางนั้นเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือออกช้าๆ เน้นว่าช้า...ช้ามากๆ
“ก็ดีแล้วไง ตอนสอบมันกดดันนะมึง จะได้ชิน”
“ยังไม่อยากคิดถึงบรรยากาศนั้น”
“เอาน่า ฝึกไว้ ต่อๆ ไม่ต้องสนใจกูหรอก” เจว่าพร้อมกับกลับมานั่งท่าเดิมซึ่งก็คือเท้าศอกมองหน้าผิง
มองหน้าน่ะไม่เท่าไหร่...แต่ไอ้ความห่างแค่คืบเดียวลมหายใจแทบรดแก้มเนี่ยมันนะ...
“เดี๋ยวตอนมึงติวอิ้งให้กู...กูให้มึงมานั่งกดดันแบบนี้คืนก็ได้นะ กูอยากชินกับความกดดัน”..................................................
“หมอ...คิดถึงอะ”
เคร้ง!
ถาดสเตนเลสหล่นลงกับพื้น โชคดีที่ไม่มีอะไรที่ตกแล้วแตกไม่อย่างนั้นนะ ไอ้เจ้าของคำพูดประโยคนี้มันจะต้องหัวแตกตาม เขารักสัตว์มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าหมาในปากสวยๆ ของพ่อหนุ่มหน้าสวยนี้เขาจะต้องรักด้วย
“ขอบคุณมากครับ ว่างมากเลยเหรอ? ไม่ไปอ่านหนังสือสอบล่ะ”
“อ่านอยู่นี่ไง”
“ที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุดนะ”
“ไปห้องสมุดมาแล้วแต่อ่านหนังสือทีไรก็เห็นเป็นหน้าหมอเลยมานั่งอ่านที่นี่มันบรรเทาได้อาการป่วยอย่างนี้นิดหน่อย” พูดได้หน้าตาเฉยมาก....มากเกินไป
คนเป็นหมอรับมุกเสี่ยวพรรค์นี้ไม่ได้
แฮมรีบเก็บของแล้วเดินหนีไปด้านหลัง ปล่อยให้ผู้ช่วยสาวที่มีดีกรีเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทยืนหัวเราะคิกคักชอบใจกับมุกเสี่ยวปัญญาอ่อนนั้นไปเถอะ
“พี่ซอตลกหน้าตายมากอะ”
“มันเป็นความสามารถพิเศษน่ะนะ ว่าแต่พี่ตามหมอไปได้ปะ” สาวน้อยน่ารักพยักหน้า
เรียกว่าสาวน้อยคงไม่ผิดหรอมั้งก็มินทร์เพิ่งจะขึ้น ม.5เองนี่ แต่มาช่วยงานเอกสารกับแฮมเพราะอยากหารายได้พิเศษ เห็นบอกว่าชอบนักร้องเกาหลี จะเห็บตังค์ไปดูคอนเสิร์ตที่เกาหลี
ช่างเถอะนะ...
ซอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปด้านหลังเดินผ่านห้องตรวจที่ไม่มีหมอประจำ เขามั่นใจว่าแฮมคงเอาของมาวางไว้แล้วเดินหนีมาด้านกลังมากกว่า
“หมอ”
“...”
“หมอ...” ซอเห็นร่างสูงของแฮมยืนนิ่งอยู่กับที่ท่าทางแปลกๆ ก็เลยเรียกพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
“หมอ...มีอะไรหรือเปล่า” ซอถามอีก คราวนี้เข้าไปยืนซ้อนด้านหลังแม้อีกฝ่ายจะสูงกว่าเขาก็ก็คงไม่ถึงห้าเซ็นต์หรอก แต่นั่นไม่สำคัญที่สำคัญก็คือ...
“หมอ...”
“มะ...มะ...มะ...มะ”
“มะ? มะม่วง มะยม มะขาม มะปราง มะเฟือง?”
“แมลงสาป!” แฮมร้องตะโกน ก่อนจะหันมากอดร่างโปร่งบางของซอไว้แน่น เบี่ยงตัวหนีออกจากจุดนั้น แต่ก็ยากเต็มที่เพราะไม่สามารถปล่อยแขนออกจากร่างของซอได้
หนุ่มหน้าสวยมองไปยังถังขยะของเจ้าของคลินิก มันมีแลงสาปหนึ่งตัวเกาะอยู่ เขาไม่ได้กลัวแมลงหรอกนะ แต่มันขยะแขยง...
“อี๋...มีปีกด้วยอะ”
“ไม่เอา...ไล้มันไปพี่กลัวแมลง” แฮมร้อง แต่น้ำหน้าอย่างซอเนี่ยนะจะไล่แมลง แค่เห็นก็แทบจะอ้วก
“ผมก็แหยงนะพี่!” ซอร้อง สองแขนโอบร่างสูงเอาไว้เมื่อเห็นว่าไอ้ตัวน่าเกลียดนั้นมันเดินไปมาแถมทำท่าจะกางปีกบินอีกต่างๆ
“เอ้ยๆ ๆ ๆ มันจะบินอะพี่”
“อ้ากกก ไม่เอานะซอ พี่กลัวๆ ๆ ๆ”
“ผมก็กลัว!”
แมน...มาก...
“อะไรกันคะพี่หมอ พี่ซอ”
“แมลงสาป” ทั้งสองคนที่ยืนกอดกันอยู่ต่างพูดออกมากอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำเอาน้องสาวหน้าหมวยถอนหายใจเฮือก
“เข้ามาข้างในค่ะเดี๋ยวมินทร์จัดการเองคุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่กว่าที่ทั้งสองคนจะย้ายตัวเองออกมาจากจุดเกิดเหตุแมลงสาปก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นคนหนึ่งยังกลัวอยู่เลยกอดเสียแน่น ส่วนอีกคนไม่ได้กลัวอะไรมาก แต่เพราะอยู่กับเพื่อนที่เป็นจอมเนียนเสียมากก็เลยติดนิสัยเนียนไปด้วย
ความผิดไอ้หล่อเจครับ...
“พี่หมอคะมันไปแล้ว... ช่วงนี้ฝนตกบ่อย อากาศแบบนี้แหละที่พวกแมลงสาปมันชอบ เดี๋ยวมินทร์เอาพวกลูกเหม็นมาวางไว้ให้แล้วกันนะคะ”
“ขอบใจนะมินทร์ พี่ไม่ไหวอะ แค่เห็นก็จะเป็นลมแล้ว” คนกลัวจริงๆ พูดไปสะอื้นไป น่าสงสารจริงๆ
“โอ๋...ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไรแล้ว” ซอปลอบ ทำเอาสาวน้อยตัวเล็กอมยิ้มแล้วรีบชิ่งหนีปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่อย่างนั้นแหละ
“เกลียดมันจริงๆ นะไอ้แมลงบ้าเนี่ย ประโยชน์ก็ไม่มี คราวที่แล้วมันบินมาเกาะแขน พี่จะบ้าตาย...สะบัดก็ไม่ออก พูดแล้วก็แขยง” แฮมผละอ้อมแขนออกแล้วชี้ให้ซอดูว่าไอ้แมลงร้ายมันเกาะตรงไหนของแขน ซึ่งแน่นอนว่าซอก็ยกมือขึ้นลูบเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไว้โลกแตกก็เหลือแต่มันนั่นแหละที่อยู่บนเศษซากของโลก” แฮมเม้มปากพยักหน้า ดวงตาแดงมีน้ำตาคลอหน่วยจะไหลไม่ไหลแหล่ แล้วไอ้การที่เผลอแทนตัวเองว่าพี่กับอีกฝ่ายที่ตัวเองมักจะตั้งกำแพงใส่ก็ช่างทำให้คนฟังอดยิ้มไม่ได้จริงๆ
คุณหมอตัวสูงหน้าหล่อ สำหรับซอตอนนี้...แม่งโคตรน่ารัก!
“เกลียดฝนตกก็เพราะไอ้แมลงนี่แหละ” ซอยิ้มจับมือของแฮมไว้หลวมๆ มืออีกข้างก็ยกขึ้นแตะตรงหางตาที่ดูท่าน้ำตาจะหยดออกมาร่อมร่อแล้ว
แฮมชะงัก มองสบนัยน์ตาแวววาวนั้น หัวใจเจ้ากรรมมันเต้นรัวเร็วเสียจนอึดอัด ทั้งที่อีกฝายไม่ได้รุกคืบอะไรมากมายแท้ๆ ความอ่อนโยนที่รู้สึกได้จากสัมผัสแผ่วเบานั้นทำเอาใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“กลัวจนน้ำตาไหลแล้ว”
“ซอก็...นะ...นาย นายก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ อย่ามาว่าแต่ผม” ซอเลิกคิ้วยกยิ้มบางๆ ทันทีเมื่อได้ยินสรรพนามที่เปลี่ยนไปนั้น
“อะไรกันเมื่อกี้ยังแทนตัวเองว่าพี่อยู่เลย น่ารักออก”
“น่ารัก? คำนี้ไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ต้องมาตีสนิทนะ” แฮมพยายามทำเสียงเข้ม ดึงมือออกจากการกอบกุม ล้วงในกระเป๋าเสื้อกาวสีขาว เมินไม่มองใบหน้าสวยๆ ที่ยิ้มล้อเลียนเขาอยู่
“น่ารักก็คือน่ารัก ความหมายมันตรงตัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใช้กับใคร แต่ขึ้นอยู่กับใจเรารู้สึกว่าใครที่เหมาะกับคำนี้ต่างหาก”
“สำบัดสำนวน” แฮมประชด ไม่วายมองด้วยสายตาประชดตาม
“เอ้า...เป็นงั้นไป ไม่เอาละ ผมกับดีกว่า หิวแล้ว คนแถวนี้คงไม่เลี้ยงข้าวผมหรอก ไปนะครับ คืนนี้สี่ทุ่มนะ” ซอว่าพลางเดินผ่านหน้าคนแถวนี้ ไป ไม่วายทิ้งคำพูดให้เดาความหมายซึ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าอะไร
สี่ทุ่ม ซอมักจะมาที่ตู้โทรศัพท์หน้าคลินิกแล้วก็โทรมาคุยกับเขาทุกคืนติดต่อกันมาสามสี่คืนแล้ว... เพราะเขาไม่ยอมให้เบอร์มือถือที่เป็นเบอร์ส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้นการที่ซอโทรมาทุกคืนมันก็ชักจะทำให้เขาติดเป็นนิสัยแล้วสิ
“สี่ทุ่มมันดึกไปนะ”
“ก็กว่าผมจะกินข้าว รีดผ้า ซักผ้า นั่นนี่โน้นเสร็จก็พอดีเลยนะ”
“พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า ต้องนอนก่อนห้าทุ่มไม่อยากไปง่วงนอนตอนตรวจงาน” แฮมว่า ทุกทีคุยกัน ต่อให้กวนประสาทแค่ไหนก็ลากยาวไปถึงเกือบห้าทุ่มนั่นแหละ
“งั้น...”
“โทรมาตอนสามทุ่ม ช้ากว่านั้นไม่รับ” คุณหมอว่างั้นน่ะนะ
“แล้ววางตอนไหนล่ะ”
“ก็จะเหมือนทุกที” แค่นั้นคุณหมอตัวสูงก็ดันร่างสูงโปร่งให้เดินถอยหลังออกไปทางหน้าร้าน รีบรวบตำราเรียนของพ่อหน้าสวยใส่เป้แล้วยัดใส่มือของอีกฝ่าย
“กลับไปสิ รีบไม่ใช่หรือไง นี่จะทุ่มแล้วนะ” ซอยเหยียดยิ้ม ก่อนจะเลิกคิ้ว พยักหน้า หมุนตัวเดินไปที่ประตู ส่งยิ้มบางๆ ให้น้องมินทร์แล้วเปิดประตูออกไป
ก็ถ้าโทรมาตอนสามทุ่มวางตอนนอน ถึงจะบอกว่าก่อนห้าทุ่มก็เถอะ... ยังไงซะก็นอนเวลาเดิมเพิ่มเติมเวลาโทรอยู่ดี!
ว่ามะ...
มันเนียนกันทุกผู้ทุกคน....
อ่านแล้วพอรู้ใช่มั้ยคะว่าใครรับใครรุก...
แหะๆ นิมาเป็นพวกเขียนให้คนอ่านงงเก่งค่ะ กร้ากกกก
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ...
เจอกัน...