ตอนที่ 2“เออ มึงจะมาก็มากูอยู่ที่โรงงานนี่แหละ เออๆ”
ผมเปิดประตูห้องผู้จัดการฝ่ายการผลิตเข้ามาก็ได้ยินเจ้าของห้องกำลังคุยโทรศัพท์ก่อนจะเงยมองมาด้วยแววตาดุๆ พอรู้ว่าเป็นผมสายตาดุๆก็เปลี่ยนเป็นคาดโทษแทนเพราะผมเข้าห้องโดยไม่มีการบอกกล่าว แต่ผมนั้นหากลัวไม่ก็จะกลัวกันทำไมล่ะครับก็คนนี้น่ะอาเฮียผมเองครับ ชื่อของเฮียคือ ‘ธัชดนัย’ ส่วนผมนั้นจะเรียกว่า ‘เฮียธัช’ เฮียอายุมากกว่าผมสองปีและรูปร่างหน้าตาของเราสองพี่น้องคล้ายคลึงกันมากถอดแบบมาจากต้นตระกูลของเราเรียกง่ายๆว่าเชื้ออาตี๋ไม่ทิ้งแถว ด้วยผิวขาวโอโม่และตาตี่อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล ผิดกันนิดที่รูปร่างผมจะบางและเตี้ยกว่าเฮียธัชนิดหน่อย แต่เรื่องเสน่ห์นี่กินกันไม่ลงครับวัดได้จากปริมาณสาวๆในสต็อคของเราทั้งคู่มีจนล้นเรียกได้ว่าในหนึ่งอาทิตย์เทียวหาได้โดยไม่ซ้ำคน
“เฮียธัช ผมเอาออเดอร์ลูกค้าไต้หวันมาให้ดูว่าจะผลิตอะไหล่ให้เค้าทันมั้ย” ผมรีบยื่นแฟ้มงานในมือให้อาเฮียก่อนที่จะโดนดุโดยเอาเรื่องงานมาเบนความสนใจของเฮียธัชซะก่อน
เฮียรับไปดูและเราก็คุยกันเรื่องรายละเอียดของงานอย่างจริงจัง แม้ผมจะมีนิสัยเป็นคนขี้เล่นดูไม่เอาไหนในบางครั้ง แต่เรื่องงานนี่ผมจะจริงจังและเอาใจใส่เสมอ เพราะผมรู้ว่ากว่าจะมีโรงงานนี้ขึ้นมาได้นั้นทั้งเตี่ยและหม่าม้าต้องฝ่าฟันมาหนักแค่ไหน ดังนั้นลูกๆทุกคนคือเฮียของผมสองคนและตัวผมเองนั้นจะให้ความสำคัญเรื่องงานรองมาจากครอบครัวเสมอครับ อย่างเฮียธัชที่กุมบังเหียนการผลิตจึงเข้มงวดและจริงจังเสมอ ช่วงแรกที่ผมเข้ามาทำงานก็ได้เฮียธัชนี่แหละที่ช่วยสอนงานให้ ส่วน ‘เฮียธนิต’ ตั่วเฮียของผมจะดูแลเรื่องการตลาดโดยมีอาซ้อมาช่วยงาน แต่ช่วงนี้เฮียต้องดูแลงานเองทั้งหมดเพราะอาซ้อคนสวยของผมมีหลานชายตัวเล็กให้ผมอุ้มหนึ่งคนแล้วครับ กำลังอ้อแอ้น่ารักมากชื่อ ‘น้องธันว์’ อายุหกเดือน ทั้งเตี่ยและหม่าม้าเห่อมากไปหาหลานที่บ้านเฮียธนิตทุกวัน จนสองหมวยแฝดบ่นน้อยใจแต่ผมก็เห็นว่าน้องเล็กของผมสองคนก็เห่อหลานตัวน้อยไม่แพ้กันครับ เพราะถ้าหาตัวไม่เจอนี่ให้ตามไปที่บ้านตั่วเฮียได้เลยรับรองเจอแน่ และสองหมวยแฝดที่ผมพูดถึงเนี่ยเป็นลูกหลงของเตี่ยกับหม่าม้าครับ ชื่อ ‘ธาณิช หรือ หมวยใหญ่ และ ธนัชชา หรือ หมวยเล็ก’ สองแฝดหมวยที่น่ารักของผมเพิ่งจะอยู่มอหกปีนี้เองครับ ก่อนหน้าน้องธันว์จะเกิดหมวยใหญ่หมวยเล็กจะโดนโอ๋จากทุกคนในบ้านมากที่สุดครับ ยิ่งเฮียธัชนี่ตัวดีเลยโอ๋ยิ่งกว่าน้องธันว์ตอนนี้เสียอีก ก็อย่างว่าบ้านผมมีแต่พี่น้องผู้ชายมาตลอดพอหม่าม้ามีน้องสาวตัวน้อยให้ก็หลงน้องสาวกันหัวปักหัวปำครับ นี่แหละครับครอบครัว ‘ธนอรรถย์’ ของผมอบอุ่นมากใช่มั้ยครับ
เมื่อผมกับเฮียธัชคุยงานกันเสร็จผมก็นั่งรอเฮียเซ็นต์เอกสารให้เลยจะได้ส่งออเดอร์ให้โรงงานข้างล่างผลิตทันทีถือว่าช่วยลัดขั้นตอนไปในตัว ระหว่างนั่งรอผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าตัวเองมีสีหน้าแบบไหนจนเฮียธัชทักขึ้น
“ช่วงนี้มึงเครียดๆอะไรอยู่รึเปล่าธี เฮียว่าหน้าตาไม่แจ่มใสเลย” หน้าตาเฮียธัชเคร่งขรึมและจับตามองหน้าผมเขม็ง แต่แววตาห่วงใยที่เฮียมีให้ผมก็ทำให้รู้ว่าเฮียเป็นห่วงผมแค่ไหน ผมถอนใจยาวและตัดสินใจระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้เฮียได้รับรู้
“ดีนะที่เฮียถาม ผมอึดอัดว่ะถือโอกาสระบายกะเฮียละกัน ช่วงนี้ไอ้ฟินมันจะเป็นจะตายเพราะทะเลาะกับแฟนมันดูท่าจะหนักมาก ผม ไอ้วิน ไอ้ปรัช มน ผลัดกันไปเฝ้ามันทุกเย็นกลัวว่ามันจะคิดสั้น รักแล้วทุกข์นี่ไม่ดีเลยเนอะเฮีย เฮ้ออออ” เรื่องที่ผมหนักใจก็เป็นเรื่องเพื่อนสนิทผม ‘ไอ้ฟิน’ที่กำลังทะเลาะกับแฟนหนักมาก ผมและเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มเป็นห่วงมันมากครับ มันซึมมันเครียดจนผมกับเพื่อนๆต้องผลัดกันไปเฝ้ามันไว้ และเป็นแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วครับ ผมกลัวร่างกายมันจะทรุดเอาน่ะสิ
“เฮ้ยยย ไอ้ธี มึงอย่าทำหน้าแบบนี้สิเฮียใจไม่ดีนะโว้ย เรื่องไอ้ฟิน มึงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกเพราะเป็นเรื่องที่สองคนเค้าต้องจัดการกันเอง มึงก็ได้แต่ดูเพื่อนมึงให้ดี ที่มึงกับเพื่อนๆทำน่ะถูกแล้ว แต่อย่าไปเป็นทุกข์มากเพราะมึงก็จะแย่ด้วย”น้ำเสียงจริงจังของเฮียธัชทำให้ผมต้องคิดตามและเห็นจริงอย่างที่เฮียว่า ผมจึงส่งยิ้มกว้างไปให้คนตรงหน้าที่มีแต่ความหวังดีให้กับผมเสมอมา แม้ส่วนใหญ่เราจะแสดงความรักกันด้วยการทะเลาะกันซะมากครับพอโตก็ลดลงจนแทบไม่มีแล้ว แต่ผมรู้เสมอว่าเฮียธัชก็รักผมมากพอๆกับสองหมวยแฝดแหละครับ แต่การแสดงออกระหว่างพี่น้องผู้ชายย่อมไม่ได้อ่อนโยนเหมือนผู้หญิง
“คร้าบบบบ เฮีย ผมจะปฏิบัติตามคำแนะนำของเฮีย เฮียนี่ก็จริงจังเป็นน้า ฮ่าๆๆ” ผมส่งเสียงล้อเลียนพี่ชายตัวเองเพราะอยากจะปรับบรรยากาศระหว่างเราให้สดใสขึ้น แต่คงมากไปหน่อยจึงต้องหลบปากกาในมือเฮียที่ขว้างมาเพราะความหมั่นไส้ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะของเราสองพี่น้องดังก้องห้องทำงาน
“ฮึๆๆ นายไม่ไปเที่ยวบ้างล่ะจะได้ผ่อนคลาย” เฮียธัชถามขึ้นหลังจากเราทั้งคู่หยุดหัวเราะเหลือเพียงรอยยิ้ม แต่พอผมได้ยินคำถามหน้าไอ้คู่แค้นเบอร์หนึ่งก็ลอยมาในหัว ยิ่งรอยยิ้มกวนๆบนหน้าขาวนั่นทำเอาผมอยากจะเจอตัวเป็นๆของมันอีกสักครั้งและจะอัดให้น่วมไปเลย
“โฮ เฮียมันจี๊ดเลยเนี่ย เมื่อคืนผมก็ไปมาแต่ไปแล้วยิ่งทำให้หงุดหงิดเพิ่มขึ้นน่ะสิ มีคนสอยสาวที่ผมเล็งไว้ไปต่อหน้าต่อตาเลย ผมนะแทบอยากจะตามไปสอยมันให้ร่วงด้วยซ้ำ เฮอะ” ผมสบถแถมท้ายก่อนหย่อนก้นนั่งตามเดิมหลังจากอินจัดจนต้องลุกขึ้นท้าวมือกับโต๊ะยื่นหน้าไปเล่าให้เฮียฟัง ตอนนี้เฮียธัชทำหน้าตกใจได้ตลกมากครับแต่ผมยังขำไม่ออกเพราะยังอยู่ในอารมณ์แค้นเคืองไอ้หน้าขาวอยู่
“ฝีมือตกเหรอเรา ฮ่าๆๆ” หลังจากเฮียฟังผมและประมวลผลแล้วก็ปรับสีหน้าเป็นสมน้ำหน้าก่อนหัวเราะซ้ำเติมออกมา ทำให้ผมอารมณ์บูดหน้าบึ้งกว่าเดิม ก่อนผมจะโวยวายใส่พี่ชายไปอีกหลายประโยคโดยมีไอ้หน้าขาวเป็นจำเลยมันโดนซะเละครับงานนี้ ช่วยไม่ได้อยากมาทำให้เฮียธีโกรธทำไมกัน แต่ผมต้องหยุดคำพูดทุกอย่างลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมกดรับจึงได้รู้ว่าตัวเองงานเข้าซะแล้วครับ
“เฮีย เดี๋ยวผมขอตัวก่อนแล้วกัน ไอ้วินมันไม่ว่างผมเลยต้องไปเฝ้าไอ้ฟินแทนมันวันนี้ ไปแล้วเฮีย” งานของผมคือต้องไปเฝ้าไอ้ฟินแทนไอ้วินเพื่อนสนิทผมอีกคนที่ไม่ว่าง เฮียก็พยักหน้าให้ปล่อยผมไปปฏิบัติภารกิจช่วยเพื่อนได้
อาตี๋ธีเดินลงบันไดจากชั้นสองในตึกออฟฟิศลงมาชั้นล่างผ่านออกมาทางประตู เพื่อเดินไปด้านหน้าตึกที่มีรถสปอร์ตคันเก่งของตนจอดอยู่ก่อนปิดประตูและขับออกไป สวนทางกับรถยุโรปคันโตที่เจ้าของรถเพิ่งขับเข้ามาทางด้านหน้าของโรงงานทำให้ไม่เห็นรถสปอร์ตที่เพิ่งออกไปและสวนกันเพียงเสี้ยวนาที
“ไงมึง ไอ้หมอภีมวันนี้ลมอะไรหอบมึงมาหากูได้”
เจ้าของห้องเดินไปจับมือทักทายผู้มาใหม่ผู้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยม ที่วันนี้หมอหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานเรียบร้อยสมอาชีพด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนผูกไทด์กางเกงสแล็คดำ ประกอบกับแว่นตาบนหน้าขาวๆของหนุ่มตัวสูงยิ่งเพิ่มความดูดีและน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของมาก
“กูก็คิดถึงมึงไงไอ้ธัช มึงสบายดีนะเมื่อคืนที่นัดกันก็เสือกไม่ว่างทำเอาพวกกูหงอยไปเลยเมื่อขาดหัวโจกแบบมึง ฮึๆๆ” ผมแซวไอ้เพื่อนหน้าตี๋ว่าที่ ‘พี่เมีย’ ยิ้มๆ แต่อย่าเพิ่งให้มันรู้ดีที่สุดครับว่าตอนนี้ผมเล็งน้องชายมันอยู่ ไม่อย่างนั้นไอ้มือใหญ่ๆที่จับมือผมอยู่จะเปลี่ยนมาต่อยผมแทนได้
“ฮ่าๆๆ กูสบายดีต้องขอโทษพวกมึงว่ะที่หัวโจกแบบกูดันไม่ว่าง เนี่ยกูเพิ่งถึงไทยตีสองและต้องหอบสังขารมาเคลียร์งานต่อ มึงล่ะคืนนี้ไม่ต้องขึ้นเวรเหรอวะไอ้หมอ” เสียงหัวเราะก้องจากไอ้ธัชดังขึ้นคงเพราะถูกใจกับคำพูดของผม ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบแต่ใจผมนั้นกำลังคิดหาคำพูดให้ได้รู้ข่าวคราวอาตี๋น้อยน้องชายมันบ้าง ไม่รู้ตอนนี้จะยังทำงานอยู่มั้ยเพราะอยากเห็นหน้าขาวๆตาตี่ๆนั้นอีกครั้งครับ
“กูว่างผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาดูหน้าอาเสี่ยซะหน่อย แล้วนี่นอกจากมึงแล้วไม่มีใครช่วยงานเลยเหรอวะ” ผมส่งคำถามแบบเนียนๆแอบลุ้นว่าเพื่อนจะเอ่ยถึงคนที่ผมคิดถึงออกมาบ้าง
“ก็มีน้องชายกูนั่นแหละ มึงยังจำไอ้ธีได้มั้ยวะมันจบมาสองปีแล้วก็มาช่วยกันที่โรงงาน” คำตอบของไอ้ธัชอาตี๋คนพี่ทำเอาผมถูกใจพยายามซ่อนความดีใจไว้ไม่ให้นอกหน้าเดี๋ยวมันจะสงสัยซะก่อน
“จำได้ ‘ธี’ น้องชายมึงสร้างวีรกรรมกับกูไว้นี่หว่า ฮึๆ แล้วไม่อยู่เหรอวะเผื่อจะพาไปรื้อฟื้นอดีตกันซะหน่อย ไม่ได้เจอน้องมาแปดปีแล้ว” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นไว้เพราะคาดการณ์ว่าน่าจะได้เห็นหน้าคนที่นอนคิดถึงมาทั้งคืน
“มันเพิ่งออกไปมึงน่าจะสวนทางกับมันนะ เอาแบบนี้เดี๋ยวเราค่อยนัดเจอกันถ้าเรื่องกินฟรีน้องกูมันรีบไปอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ” ผมอดเสียดายไม่ได้เพราะคาดกันนิดเดียวเลยอดเจอหน้าอาตี๋น้อยเลย แต่ไม่เป็นไรไอ้ธัชมันเปิดทางให้ผมแบบไม่รู้ตัวแล้วครับและผมต้องรีบคว้าไว้
“เหมือนมึงน่ะสิพี่น้องคู่นี้เหมือนกันมากเรื่องของฟรีรีบตะครุบเชียว ฮึๆๆ ขอกูเช็ควันว่างก่อนแล้วกันเดี๋ยวโทรให้มึงกับน้องชายไปกินฟรี” จริงๆผมจะนัดเลยก็ได้ครับเพราะตั้งใจมาชวนพี่น้องคู่นี้ไปอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวมีพิรุธจึงแสร้งทำเป็นเช็ควันก่อน ผมไม่คิดจะหลอกไอ้ธัชมันเลยครับแต่ถือว่าผมจริงใจกับน้องชายมันก็แล้วกัน เมื่อผมกับอาตี๋ธีเป็นแฟนกันแล้วค่อยบอกมันก็คงไม่สาย อาจจะแลกกับหมัดเพื่อนสักสองสามหมัดแต่ก็ถือว่าคุ้ม ถ้าจะได้อาตี๋น้อยมาครอบครอง
เมื่อฟ้าลิขิตให้เราทั้งคู่ได้มาเจอกันแล้วก็เป็นเหมือนการชี้ทางว่านั่นคือ‘พรหมลิขิต’ หลังจากนั้นผมคงต้องเป็นฝ่ายพยายามให้เราได้เจอกันอีกนั่นคือผมต้องลิขิตให้ชีวิตอาตี๋ธีมีผมเข้าไปร่วมอยู่ด้วย จนเกิดคำว่า ‘เรา’ ขึ้นมาให้ได้
....................................................
“ไงธี ฟินมันเป็นยังไงบ้าง” เฮียธัชที่นั่งหน้าทีวีเครื่องใหญ่เอ่ยทักผมที่เพิ่งก้าวขาเข้าบ้าน
“เหมือนเดิมอ่ะเฮีย คือ ‘ซึม’ เหมือนเดิม แต่หน้าตามันโทรมกว่าเดิม ผมล่ะสงสารทั้งคู่หนึ่งเดือนแล้วเนี่ยยังไม่ดีกันเลย เฮ้อออ แล้วเฮียมานั่งทำอะไรตรงนี้รอผมรึเปล่า ฮั่นแน่ หรือคิดถึงน้องชายจนทนไม่ไหวกันแน่” ถึงแม้ผมจะเศร้าซึมไปบ้างตามอารมณ์ของคนที่ตัวเองไปเฝ้ามา แต่ไม่อยากให้อาเฮียเป็นห่วงมากนักจึงพยายามกลับมาทำตัวร่าเริงน่าหมั่นไส้ใส่เฮียธัชแทน และดูท่าจะได้ผลครับเฮียเบะปากใส่ผมทันที
“มึงนะมึง ไอ้ธีเศร้าได้ไม่นานจริงๆ กูเพิ่งถึงบ้านก่อนมึงแป๊บเดียวนี่แหละ” หลังคำพูดของเฮียผมก็เดินมานั่งที่โซฟา ผมที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฝากเฮียซื้อของก็เข้าไปนั่งข้างๆเฮียธัชและคว้าหมับเข้าที่แขนอาเฮียทันที
“เฮียลืมไรไปป่ะ ของที่ผมฝากเฮียซื้อล่ะอยู่ไหนอ่ะ” ผมอ้อนเสียงหวานใส่อาเฮีย นี่ถ้าไม่ใช่พี่ใช่น้องกันไม่มีวันเห็นผมแบบนี้หรอกครับ แต่ท่าทางผมคงอ้อนอวัยวะเบื้องต่ำของคนที่ผมเกาะแขนอยู่มาก เฮียธัชทำท่าทางขนลุกและดึงแขนกลับ
“กูขนลุกว่ะ มึงฝากซื้อของเงินก็ไม่มีมาแถมยังกล้าทวงอีกนะไอ้ธี ไปตามเฮียขึ้นไปเอาของบนห้อง” ถึงปากเฮียธัชจะว่าจะบ่นผมแค่ไหนแต่ก็ยังคงตามใจน้องชายที่น่ารักแบบผมเสมอครับ ฮึๆ
“ได้คร้าบบบ ป๋า คืนนี้หนูธีจะปรนนิบัติป๋าธัชอย่างดีเลยฮ่ะ” ผมแกล้งดัดเสียงเล็กเสียงน้อยทำตาวิบวับใส่เฮียธัชจนเฮียกลั้นขำไม่อยู่ หัวเราะก้องทางเดินระหว่างที่เรากำลังขึ้นบันไดกันเลยครับ
“ฮ่าๆๆ มึงก็ทำไปได้เนอะ เอ่อ ธีจำไอ้ภีมเพื่อนเฮียได้มั้ย เพื่อนสมัยมัธยมปลายน่ะ” ผมพยายามนึกหน้าเพื่อนเฮียที่ชื่อ ‘ภีม’ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกแต่ว่าชื่อมันคุ้นๆนะครับ ส่วนเรื่องคุ้นชื่อคงไม่แปลกก็เพื่อนเฮียนี่หน่าผมคงเคยได้ยินผ่านๆมาบ้างแหละครับ
“ภีม ภีม ภีมไหนล่ะเฮีย เพื่อนเฮียเยอะแยะผมจำไม่หมดหรอก ขนาดเพื่อนตัวเองยังลืมๆหน้าไปแล้วเลย ทำไมอ่ะเฮียภีมอะไรเนี่ยมีไรเหรอ” ปากเอ่ยถามแต่ตานี่มองหาของฝากไม่รู้เฮียไปวางตรงไหนอยากเห็นจะแย่แล้วครับ
“วันนี้มันแวะมาที่โรงงานเพราะเฮียไม่ได้ไปตามนัดพวกมันเมื่อคืน คุยไปคุยมาเลยถามถึงมึงเพราะมีวีรกรรมร่วมกันไว้และไอ้ภีมมันเลยอยากระลึกความหลังเลยมาชวนเราไว้ก่อน” เฮียธัชพูดไปมือก็ค้นของในกระเป๋าเดินทางไปด้วย ส่วนผมก็ฟังผ่านๆไม่ได้สนใจเท่าของที่เฮียกำลังหาให้อยู่
“วีรกรรมอะไรอ่ะเฮีย ว้าววว ใช่เลยเฮียรุ่นนี้แหละผมหาที่ไทยไม่ได้เลย ขอบคุณครับเฮีย” ผมส่งคำถามให้เฮียธัชแต่ความสนใจกลับถูกแย่งไปโดยนาฬิกาเรือนใหญ่ยี่ห้อดังจนหมด วีรกรรมที่เฮียว่าจะเรื่องอะไรไม่สนแล้วครับสนแต่ของตรงหน้านี่ดีกว่าไหนๆ ผมจับนาฬิกาในมือพลิกไปพลิกมาอย่างตื่นเต้นที่จะได้เป็นเจ้าของ
“วีรกรรมที่ธีไปแทรกไอ้ภีมกับคนที่มันแอบชอบไม่ให้ทะเลาะกันไง และทำให้ภีมตัดใจได้เด็ดขาด” ผมเงยหน้ามองหน้าอาเฮียอย่างงงๆว่าตัวเองไปทำตัวเป็นฮีโร่แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“จำไม่ได้อ่ะเฮีย แต่เฮียภีมอะไรเนี่ยจะนัดเราแล้วพาไปเลี้ยงป่ะ ถ้าของฟรีเมื่อไหร่ผมก็ว่าง ฮ่าๆๆ เฮียบอกผมอีกทีก็แล้วกัน ไปนะครับ ขอบคุณเฮียอีกครั้งคร้าบบบ” ผมยกมือไหว้พี่ชายพร้อมรอยยิ้มยียวนและไม่คิดสนใจวีรกรรมที่จำไม่ได้แต่นึกกระหยิ่มใจที่จะได้กินฟรีมากกว่า ก่อนจะขอตัวเฮียธัชออกจากห้องเพื่อกลับไปชื่นชมนาฬิกาเรือนงามในมือต่อที่ห้องตัวเอง ถ้าวันนี้ผมสะกิดใจเรื่องเพื่อนเฮียสักนิดผมคงไม่อยากกินฟรีแล้วก็ได้ครับไม่น่าเห็นแก่ของฟรีเลย
ส่วนธัชก็ส่ายหน้ายิ้มๆให้กับความทะเล้นทะลึ่งของน้องชายที่มีมากจนล้น แต่ก่อนจะได้จัดการตัวเองเพื่อจะได้พักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อยกขึ้นมาดูจึงได้รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เพิ่งแยกจากกันไม่นานเป็นคนโทรมา และเหตุผลที่หมอภีมโทรมาเพราะต้องการแจ้งวันนัดให้เพื่อนรับรู้ ทั้งคู่ก็คุยกันนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป
“อะไรถึงทำให้ไอ้หมอมันจะอยากเลี้ยงเหล้าเราขนาดนั้นวะ โทรมานัดซะดิบดีกลัวเราจะไม่ไปซะงั้น”
เสียงพึมพำของธัชดังเบาๆอย่างสงสัยในตัวเพื่อนสนิทที่รีบโทรมานัดทันทีหลังดูวันว่างตัวเองแล้ว แต่ธัชก็เลิกสนใจเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการทำงานในวันนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงและเลิกสนใจหาเหตุผล
........................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
เฮียภีมแกรุกเร็วจริงๆใช่ม้า ทนนอนคิดถึงตี๋น้อยแค่คืนเดียว
ก็วางแผนมาเจออาตี๋ซะแล้ว แต่ดันสวนทางซะได้เนอะ 555
ตอนนี้หมอภีมดูเจ้าเล่ห์มากยังไงไม่รู้ ถ้าธัชรู้ว่าภีมหวังมา
เป็นน้องเขยไม่รู้จะยังจะยอมให้เจอมั้ย ฮุๆๆ
ตอนหน้ามาลุ้นกันต่อค่ะว่าเฮียภีมจะได้เจออาตี๋น้อยให้สม
กับความคิดถึงที่มีมากรึเปล่า
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วค่ะ เจอกันอีกทีวันอังคารค่ะ^^

และ
