ตอนที่ 3สองขาแกร่งก้าวยาวเท่าที่จะก้าวได้ไปตามทางเดินในอาคารสีขาวหลังใหญ่ที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ หนุ่มหน้าตี๋มีใบหน้ากังวลเมื่อได้ข่าวเพื่อนสนิทที่ตนเพิ่งไปเฝ้าเมื่อวานล้มหมดสติที่บริษัท จนเลขาหน้าห้องต้องพาส่งโรงพยาบาล เมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินก็พบว่ามีเพื่อนสนิทรออยู่ก่อนแล้ว
“ไอ้ฟินเป็นยังไงบ้างมน” ผมรู้ตัวเลยว่าตัวเองกังวลเพียงใดเสียงที่ใช้ถามเพื่อนถึงออกมาแหบพร่าได้ขนาดนี้ เพื่อนสนิทที่เป็นสาวเดียวของกลุ่มหันมามองผมด้วยแววตากังวลทันที
“อยู่ในห้องฉุกเฉินว่ะต้องรอหมอออกมาก่อน” มนยังฝืนทำหน้านิ่งตอบเรียบๆก่อนยกมือตบบ่าผมให้คลายกังวล ก่อนจะขอตัวไปโทรศัพท์หาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของคนที่นอนไม่ได้สติในห้องฉุกเฉิน
ผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยในกลุ่มของผมชื่อว่า ‘มน หรือ มนทิชา’ เป็นสาวห้าวหนึ่งเดียวในกลุ่มผู้มีใบหน้าสวยเฉี่ยว บุคลิกมาดมั่นเกินชาย หน้าติดดุและไม่ค่อยมีใครได้เห็นรอยยิ้มของเธอง่ายๆ แม้แต่เพื่อนในกลุ่มยังนานๆได้เห็นกันสักที จึงทำให้ใครหลายๆคนคิดว่าหญิงสาวนามว่ามนทิชานั้นหยิ่งและห้าวเกินหญิง แต่สำหรับผมนั้นมนเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่าค้นหาก็ตรงที่ชอบเก็บตัว พูดน้อย ต่อยหนัก แต่ถ้าใครได้เห็นรอยยิ้มที่นานๆจะมีให้เห็นของมนเข้าจะหลงรักได้ง่ายๆ นี่ถ้ามนไม่ใช่เพื่อนสนิทผมจะลองเสี่ยงตายเข้ามาจีบสาวเท่คนนี้เป็นแฟนให้ได้เลยครับ
“มิคว่าไงบ้างมน” ผมเงยหน้าถามมนทันทีที่เจ้าตัวเดินเข้ามาหลังจากหายไปโทรศัพท์มาพักหนึ่ง
“กำลังมา ดูท่าทางจะตกใจใหญ่เลย” สีหน้ากังวลของมนทำให้ผมต้องปลอบโดยการโอบไหล่แล้วโยกไปมา
การที่ผมกับมนต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลในตอนนี้ก็เพราะว่าไอ้ฟินเพื่อนสนิทของผมมันล้มหมดสติในห้องทำงานของบริษัทมันเอง ไม่รู้มันจะเป็นยังไงบ้างเพราะมันหมดสติไปนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เลขาหน้าห้องมาเห็นอีกทีมันก็นอนหงายอยู่บนพื้นหน้าผากโชกเลือดกลางห้องทำงานแล้ว ก่อนมันจะถูกเลขาพาส่งโรงพยาบาล ผมกับมนก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณเลขานี่แหละครับถึงได้รีบมาส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็รู้ข่าวกันแล้วและกำลังตามมา สาเหตุที่เพื่อนผมหมดสติแบบนี้ให้เดาก็น่าจะเกิดจากการที่มันโหมทำงานไม่ยอมพักผ่อนข้าวปลาก็ไม่ค่อยกินได้แต่อ้างว่ากินไม่ลง แม้พวกผมจะผลัดกันไปเฝ้ามันแล้วแต่ก็ช่วยอะไรมันไม่ได้มากเพราะขึ้นอยู่ที่ตัวมันเองด้วย ผมได้แต่ภาวนาให้คนรักของไอ้ฟินยอมยกโทษให้มันเร็วๆและเหตุการณ์นี้น่าเป็นทุกขลาภของไอ้ฟินก็เป็นได้ครับ เพราะดูได้จากที่ ‘มิค’ แฟนตัวเล็กของมันตกใจมากเมื่อรู้ข่าวและจะรีบมาหามันตอนนี้อาจจะใจอ่อนเมื่อได้มาเห็นสภาพร่างกายของมันก็ได้
“มิคโทรมาว่าถึงหน้าโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวกูไปรับเอง มึงรอหมออยู่นี่นะ” ผมดึงแขนมนไว้ก่อนที่มนจะเดินออกไปอย่างที่พูด และอาสาไปรับมิคที่หน้าโรงพยาบาลแทน
ลับหลังหนุ่มหน้าตี๋ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกพร้อมหมอหนุ่มร่างสูงสวมแว่นในชุดกาวน์ยาวเดินออกมาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มติดมุมปาก เพราะรู้ว่าญาติคนไข้มักจะมีความกังวลเมื่อต้องรอฟังผลตรวจจากหมอ ดังนั้นรอยยิ้มของหมอจึงเป็นสิ่ง
สำคัญสามารถช่วยในเรื่องจิตใจทำให้ญาติคนไข้คลายกังวลได้
“คุณชินกรณ์ไม่เป็นอะไรมากนะครับ แค่หมดสติเพราะร่างกายขาดการพักผ่อนและขาดสารอาหาร จะมีแค่รอยแผลเปิดบริเวณขมับแต่แผลก็ไม่น่าห่วงอะไร และคงต้องรอผลสแกนสมองอีกทีครับ แต่จากการประเมินเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ญาติคนไข้สบายใจได้” ผมพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้หญิงสองคนตรงหน้าสบายใจกับอาการของคนไข้ที่เพิ่งตรวจอาการเสร็จ ดูจากท่าทางแล้วทั้งคู่คงเป็นเพื่อนของผู้ชายที่อยู่ในห้อง และเมื่อผมพูดจบทั้งคู่ดูคลายกังวลมากก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กัน ผมจึงยิ้มตอบรอยยิ้มสวยที่ถูกส่งมาให้
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยดูอาการของเพื่อนดิชั้นให้” สาวยิ้มสวยเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ และร่างของชายหนุ่มผิวเข้มหน้าตาคมคายก็ถูกเข็นออกมาเพื่อพาไปยังห้องพักพิเศษที่เลขาสาวทำการติดต่อไว้แล้วตามคำสั่งแพทย์
“คุณหมอภีมคะ ท่านผู้อำนวยการเรียกพบค่ะ” พยาบาลในชุดขาวคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเดินมาบอกผมด้วยรอยยิ้ม
“งั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมจะออกตรวจคุณชินการณ์ในช่วงเช้าอีกครั้ง” ผมรีบเอ่ยขอตัวทันทีที่รู้ว่าพ่อเรียกหาท่านคงต้องมีธุระด่วนมากเพราะปกติท่านไม่เคยเรียกหาในเวลางานแบบนี้เลยครับ ผมหมุนตัวหันหลังให้กับญาติคนไข้และเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังตึกบริหารที่ถูกแยกออกจากตัวตึกโรงพยาบาลที่ให้การรักษาทันที
แม้ฟ้าจะลิขิตให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันอีกครั้ง แต่ฟ้าก็คงยังไม่ให้หมอภีมได้เจอคนที่คิดถึงเพราะแค่หมอหนุ่มเดินออกไปหนุ่มหน้าตี๋ก็พาหนุ่มน้อยตัวเล็กผู้มีแว่นสายตาอันโตสวมติดใบหน้าเข้ามา
“ฟินเป็นยังไงบ้างมน” เสียงหวานติดแววสั่นเครือเอ่ยถามมนด้วยสีหน้ากังวลชัดเจน ผมเห็นยังอดสงสารมิคไม่ได้เลยครับ นี่ถ้าไอ้ฟินมันได้มาเห็นแฟนมันทำสีหน้าแบบนี้เข้ามันคงใจหายและคงแทบชกหน้าตัวเองที่เป็นสาเหตุ
“ไม่เป็นอะไรแล้วมิค เดี๋ยวมนเล่ารายละเอียดให้ฟังแต่ตอนนี้เราไปที่ห้องพักคนไข้ก่อนนะ”
มนเอ่ยพร้อมโอบไหล่ปลอบร่างเล็กตรงหน้าก่อนพากันเดินไปที่ห้องพักคนไข้ที่มีเพื่อนสนิทนอนรออยู่ หลังจากนั้นเพื่อนสนิททุกคนในกลุ่มก็ทยอยตามมาเมื่อรู้ข่าว ทำให้ในห้องพักคนไข้ตอนนี้จึงค่อนข้างแออัด แต่เมื่อรู้ข่าวว่าไอ้ฟินไม่ได้เป็นอะไรมากทุกคนก็สบายใจ และตกลงให้มิคได้เฝ้าไข้แฟนตัวเองดูจากท่าทางแล้วทั้งคู่คงจะได้คืนดีกันในไม่ช้า เพราะสายตากังวลปนห่วงหาของมิคที่ใช้มองฟินตลอดเวลานั่นเอง
“ไงมึง คืนนั้นกูขอโทษจริงๆที่มึงโทรมาแล้วกูไปไม่ได้ กัสไม่ค่อยสบายกูต้องดูแฟนกู” ไอ้วินหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาเอ่ยขอโทษผมทันทีเมื่อมีโอกาส ผมมองหน้ามันด้วยความหมั่นไส้ดูก็รู้ว่ามันพูดไปอย่างนั้นเองครับเพราะแววตามันไม่ได้สำนึกอย่างปากพูดเลย
“เออ ทั้งมึงทั้งไอ้ปรัช สนใจแต่แฟนตัวเองจนลืมเพื่อนแบบกู” ผมแกล้งทำหน้าบึ้งใส่เพื่อนตัวเองเพราะรู้ครับว่าพวกมันมีคนที่ต้องดูแล แถมแฟนพวกมันก็น่ารักน่าถนอมขนาดนั้นเป็นผมๆก็เลือกแฟน ฮึๆ แต่ผมรู้ว่าถ้าผมมีปัญหาเมื่อไหร่พวกมันจะไม่มีอิดออดแต่จะรีบเสนอหน้ามาช่วยแน่นอน อย่างกรณีไอ้ฟินครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ ไม่มีใครคิดจะปล่อยมันทุกข์อยู่คนเดียวรวมทั้งผมเองด้วย
“ไอ้ธีมึงเลิกทำหน้างอนได้แล้ว กูเห็นแล้วหมั่นไส้ มึงก็รู้ว่าพวกกูมีแฟนต้องดูแลมึงนั่นแหละหาแฟนเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว” ไอ้วินหนุ่มหน้าหล่อใส่ผมมาเป็นชุดเบะปากใส่อย่างน่าหมั่นไส้ ผมล่ะอยากไปบีบแก้มมันให้แตกแต่แอบเกรงใจ ‘กัส’ แฟนมันที่อยู่ใกล้ๆครับ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆมันก็หัวเราะใส่ผมกับไอ้วินใหญ่เลยที่ทำท่าเหมือนเด็กทะเลาะกัน
“เอ่อๆ กูมันคนไม่มีแฟน มนช่วยธีหน่อยไอ้พวกนี้มันแกล้งธี” ผมหันไปอ้อนเพื่อนสาวเท่ที่ยืนข้างๆกัน ก่อนจะโดนมือสาวเจ้าโบกหัวเบาๆกับกิริยางอนเกินงามของผม แหมผมก็แค่จะทำให้ทุกคนหายเครียดหลังจากเครียดเรื่องไอ้ฟินอยู่นาน
“ไปๆ พวกมึงแยกย้ายได้แล้วปล่อยให้ไอ้ฟินมันได้พักผ่อน มันจะตื่นเพราะเสียงพวกมึงนี่แหละ ส่วนมึงไอ้ธีพรุ่งนี้ไปรับกูด้วยจะได้ไม่สาย” หลังประโยคตัดบทของมนเพื่อนๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้านและปล่อยให้คู่รักเค้าได้อยู่ตามลำพัง
................................................................
เช้าวันต่อมาบรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยสดใสกว่าเมื่อวานมากเพราะคู่รักที่ผิดใจกันได้กลับมาสวีทหวานดั่งเดิม ถ้าเมื่อเช้าไอ้ปรัชไม่ได้รั้งไว้ที่หน้าประตูพวกเราคงได้ดูหนังสดจากคู่รักกันแล้วอย่างว่าครับความรักมันบังตาปิดหูจนไม่รู้ว่ามีคนจะเปิดประตูเข้าไป และบรรดาผองเพื่อนสนิทของผมพวกมันต่างควงแฟนตัวน้อยหน้าตาน่ารักพากันมาเยี่ยมคนป่วยกันครบทีม
“กูหิวแล้วว่ะ มนออกไปกับธีมั้ยไปหาอะไรมาให้พวกนี้กินกันด้วย” ผมเอ่ยชวนเพื่อนสาวคนสนิทเมื่อเริ่มหิวหลังจากนั่งคุยกันมาพักใหญ่ ปล่อยให้สามคู่รักที่เหลือรออยู่ในห้อง
ผมขับรถพามนออกมาที่ตลาดสดตอนเช้าที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล ผมเดินเลือกซื้อของกินเยอะมากเหมือนกับขนไปเลี้ยงคนเป็นสิบ เพราะคนที่รออยู่ที่โรงพยาบาลนั้นกินกันเก่งมากเห็นตัวเล็กๆแบบนั้นเถอะครับ ยิ่งมิคแฟนไอ้ฟินนี่ยิ่งกินเก่งไม่รู้ไอ้ที่กินเข้าไปมิคเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหมดเพราะตัวก็ยังเล็กเหมือนเดิม
“มึงจะซื้ออะไรเยอะแยะวะไอ้ธีกินกันไม่หมดแล้ว” มนเปิดถุงในมือดูของที่ซื้อแล้วก็บ่นผมใหญ่ ผมก็ส่งยิ้มน้อยๆให้ก่อนรับของในมือมนมาถือไว้เอง
“มนไม่รู้อะไร มิคแฟนไอ้ฟินกินเก่งมากเดี๋ยวซื้อไปไม่พอ โดนไอ้ฟินมันกินหัวกันพอดี” ผมพูดไปก็ยื่นเงินจ่ายค่าขนมไปก่อนจะเดินไปซื้อผลไม้ต่อที่ร้านข้างๆ สาวมนก็เดินตามมายืนดูผมเลือกส้มก่อนชะโงกหน้ามาใกล้เพื่อดูส้มในมือผม
“มึงเก่งเนอะเลือกส้มเป็นด้วย” ไอ้ประโยคนี้หมายความว่าไงครับเนี่ย ใครๆก็เลือกเป็นไม่ใช่เหรอกะแค่ส้มเนี่ย ผมหันไปมองหน้าสาวมนอย่างกวนๆด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“ใช่สิครับ ถึงแม้ธีจะดูเป็นคุณหนูแต่ตอนเด็กๆโดนหม่าม้าใช้จ่ายตลาดมาตลอดแหละ” ใช่แล้วครับตอนเด็กๆผมไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบคุณหนูนะครับ แต่ถูกเลี้ยงให้ช่วยเหลือตัวเองเพราะเตี่ยกับหม่าม้าต้องทำงาน กะอีแค่เลือกของสดในตลาดเนี่ยจิ๊บจ๊อยครับ ไม่อยากจะคุยว่าผมทำกับข้าวอร่อยมากใครได้ผมเป็นแฟนนี่สบายล่ะครับ ฮึๆๆ
“ใครได้มึงไปเป็นเมียนี่โชคดีแน่ๆ ฮ่าๆๆ” สาวมนพูดจบหัวเราะผมใหญ่เชียว นี่แหละรอยยิ้มพิฆาตของเพื่อนผมดูสิครับหนุ่มๆในตลาดนี่อึ้งค้างไปเป็นแถวแล้ว แต่เดี๋ยวครับไอ้ประโยคข้างต้นนี่มันอะไรใครจะเป็นเมียใคร ผมหันกลับมามองมนด้วยหน้าตาบึ้งตึงเพราะขัดใจกับคำแสลงหู
“มนหยุดพูดไปเลย ธีต้องมีเมียสิจะไปเป็นเมียคนอื่นได้ไง” มนมองผมด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่สามารถแกล้งคู่ซี้แบบผมได้สำเร็จ เมื่ออยู่กับผมบ่อยครั้งที่มนจะปล่อยตัวไม่มีมาดสาวขรึมให้เห็นแต่จะมีเพียงสาวยิ้มสวยคนนี้เท่านั้น
เสียงหยอกล้อปนเสียงหัวเราะของสาวมนทำเอาคนที่ผ่านไปมาต้องหยุดมอง เพราะหน้าเฉี่ยวยามหัวเราะตาคมกลับยิบหยีขนตาทาบปิด จมูกย่น ปากแย้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวยเป็นระเบียบ หนึ่งในนั้นมีหนึ่งหนุ่มมาดเซอร์ที่กำลังรอน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ร้านข้างๆอยู่ด้วย ติณห์จับจ้องหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ที่ร้านขายผลไม้ ซึ่งสาวยิ้มสวยกำลังหัวเราะให้กับชายหนุ่มที่มาด้วยกันซึ่งหันหลังให้อยู่ทำให้ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำสีหน้าแบบไหนเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวาน สายตาหนุ่มมาดเซอร์จ้องไม่กระพริบและยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้มาเจอภาพสดใสของสาวนิรนามในยามเช้าและนึกอิจฉาผู้ชายโชคดีคนนี้ขึ้นมาเล็กๆในใจไม่ได้ ติณห์ยืนมองอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเข้าไปทักทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยตัวเอง แต่มันก็ช้าไปเพราะทั้งคู่เดินออกไปด้วยกันซะแล้ว
“นี่กูเป็นอะไรวะ จะเข้าไปทักเค้าทั้งๆที่เค้ามากับแฟน บ้าไปแล้ว” ติณห์พึมพำกับตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงแม่ค้าร้านน้ำเต้าหูเรียกรับของที่สั่งไว้จึงตัดใจหันกลับมาจ่ายเงิน และก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
.............................................................
“ไงมึงวันนี้มาหากูได้” เสียงห้าวของหมอหนุ่มในชุดกาวน์ยาวทักเพื่อนสนิทมาดเซอร์ที่เดินหิ้วถุงน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋เข้ามาในห้องพักแพทย์
“กูเพิ่งออกจากร้าน ก่อนกลับบ้านเลยแวะมาหาเพื่อนกินมื้อเช้าว่ะ และก็เป็นมึงไอ้หมอภีม โรงพยาบาลมึงอยากเป็นทางผ่านบ้านกูนี่หว่า” ติณห์หนุ่มเซอร์ชูถุงที่เป็นมื้อเช้าที่แวะซื้อที่ตลาดมาตรงหน้าผม อีกมือล้วงกระเป๋ากางเกงส่งสายตากวนๆมาให้ด้วยมาดเท่ๆที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ
“ฮ่าๆๆ เหงาล่ะซิมึงถึงมาหากูเนี่ย” ผมเอ่ยแซวติณห์ยิ้มๆเพราะรู้เหตุผลที่แท้จริงของมันว่าความเหงาเป็นเหตุทำให้มันโผล่หัวมาหาผมได้ เพราะครอบครัวติณห์ไม่มีใครอยู่เมืองไทยไปทำธุรกิจเมืองนอกกันหมดมันจึงอยู่บ้านเพียงคนเดียว
“วันนี้น้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋เหรอ เออดีไม่ได้กินนานแล้ว แต่เดี๋ยววันนี้กูต้องรีบหน่อยเพราะต้องไปตรวจคนไข้รอบเช้าด้วย” ผมจัดการเปิดถุงน้ำเต้าหูเทใส่แก้วให้ตัวเองและเผื่อเพื่อนสนิทที่อัญเชิญตัวเองนั่งที่โซฟาตัวนุ่มข้างกันแล้ว
“กูนัดเจอไอ้ธัชแล้วนะ วันศุกร์นี้ที่ผับมึง” หลังคำพูดของผมทำให้ไอ้ติณห์เงยหน้ามองยิ้มๆด้วยสายตารู้ทัน
“ฮึๆๆ ถ้าไอ้ธัชมันรู้ว่าน้องชายมันโดนไอ้หมอภีมเจ้าเล่ห์จ้องจะงาบ ไม่รู้มันจะเป็นยังไง” เสียงหยอกเย้ากับประโยคแทงใจผมของไอ้ติณห์ทำเอาผมเกือบสำลักน้ำเต้าหูที่ยกขึ้นจิบ
“ไอ้ติณห์ มึง เฮ้อออ ให้กูจีบน้องมันติดก่อนเถอะเมื่อถึงเวลานั้นไอ้ธัชมันคงไม่กล้าทำอะไรกูมาก เพราะถึงยังไงตอนนั้นกูก็ได้เป็นว่าที่น้องเขยมันแล้ว” ผมแสร้งยกยิ้มหลิ่วตาให้เพื่อนก่อนจิบน้ำเต้าหู้อย่างสบายใจ ทั้งๆที่เรื่องนี้ผมก็แอบหนักใจอยู่ไม่น้อย
“มึงแน่ใจได้ยังไงว่าน้องจะยอมเป็นเมียมึง ธีมันแมนทั้งแท่งนะเว้ย ฮึๆๆ อีกอย่างไปกวนน้องมันไว้ขนาดนั้น ธีมันไม่เกลียดมึงไปแล้วเหรอวะ” หนุ่มมาดเซอร์ก็ไม่ยอมแพ้พูดเกทับเพื่อนแบบผมไม่ยั้งเพราะมันคงอยากเห็นสีหน้ากังวลใจของผมแน่ๆ
“เออน่า มึงคอยดูล่ะกัน” ผมตอบมันด้วยเสียงมั่นใจและหมายมั่นว่าจะต้องทำให้ได้อย่างที่พูด ต้องพิชิตใจตี๋น้อยมาเป็นของผมให้ได้ในเร็ววัน
เพื่อนสนิทที่ดูดีกันคนละแบบนั่งคุยกันสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไป และหมอหนุ่มก็ออกตรวจคนไข้รอบเช้าเมื่อมาถึงหน้าห้องคนไข้ที่ตัวเองเพิ่งรับไว้เมื่อวานจากอาการหมดสติล้มหัวกระแทก ก็ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆดังรอดออกมา เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าคนไข้หนุ่มผิวเข้มไม่ได้นั่งอยู่บนเตียงคนเดียวแต่มีหนุ่มน้อยใส่แว่นหน้าตาน่ารักนั่งแนบชิดอยู่ด้วย และไม่ต้องเดาเลยว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแบบไหน ส่วนที่โซฟาก็มีสองคู่รักนั่งคุยกันอยู่ด้วย
“สวัสดีครับคุณชินกรณ์ เช้านี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ แต่ดูท่าจะสบายดีนะครับ ฮึๆๆ” ผมเอ่ยทักทายคนไข้ด้วยรอยยิ้มและแอบส่งสายตาล้อเลียนไปให้หนุ่มน้อยน่ารักบนเตียงด้วย ทำให้คนน่ารักอายหน้าแดงรีบลงจากเตียงแทบไม่ทัน
เมื่อคนไข้พร้อมให้ตรวจร่างกายผมจึงเข้าทำการตรวจตามขั้นตอนจนเรียบร้อย ก่อนเงยหน้าส่งยิ้มให้หนุ่มผิวเข้มที่สายตาจับจ้องเพียงแต่หนุ่มแว่นตัวเล็กเท่านั้น ไม่ได้รู้ตัวหรือแกล้งไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรด้วยเลยครับ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้นี่ถ้าผมมีคนรักจะมีอาการแบบนี้มั้ยครับเนี่ย
“ร่างกายของคุณไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ จริงๆจะกลับวันนี้เลยก็ได้แต่ผมขอดูอาการคุณอีกวันนะครับ พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรติดขัดก็กลับบ้านได้” ผมรายงานอาการให้คนไข้และญาติได้รู้แล้วก็หมดหน้าที่เตรียมหมุนตัวออกจากห้อง แต่ต้องชะงักเท้าเพราะเสียงใสทักจากด้านหลัง
“ขอโทษนะครับ ใช่หมอภีมเพื่อนหมอจ๋ารึเปล่าครับ” คนที่พูดเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานเมื่อดูดีๆแล้วก็รู้สึกคุ้นตาครับ แถมคนน่ารักยังอ้างถึงเพื่อนหมอกลุ่มเดียวกับผมกันสมัยเรียนด้วย
“ครับผมภีม คุณรู้จักหมอจ๋าด้วยเหรอครับ” และการแนะนำตัวระลึกความหลังก็เริ่มขึ้น
ผมจึงได้รู้จักกับหนุ่มน้อยคนที่ทักนั้นชื่อ ‘กัส’ เป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานผิวขาวหน้าตาน่ารัก ส่วนเพื่อนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกัสที่ชื่อ ‘มาย’ เป็นสาวน้อยตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักรู้จักกับหมอจ๋าเพราะเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมปลาย และ ‘มิค’ หนุ่มน้อยใส่แว่นตาโตอีกคนที่อยู่บนเตียงกับคนไข้ของผมในตอนแรก ทั้งหมดเรียนทันตแพทย์รุ่นเดียวกันและเป็นรุ่นเดียวกับผมด้วยจึงทำให้พอคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง เพราะตอนเรียนบางวิชาสองคณะต้องเรียนด้วยกันครับ เราสี่คนยืนคุยกันจนพยาบาลที่ตามมาด้วยขอตัวออกไปก่อน แต่ด้วยสายตาอาฆาตของสามหนุ่มที่โดนตัดขาดจากบทสนทนาทิ่มแทงมาทางผมที่เป็นจุดสนใจของคนน่ารักทั้งสาม ทำให้คนโดนจ้องแบบผมเริ่มรู้ตัวแต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากขอตัวประตูห้องพักคนไข้ก็ถูกเปิดออกตามมาด้วยเสียงโวยวายของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา
“มาแล้วพวกมึง ไอ้ฟินมึงนี่เร่งกูจังไอ้ที่ซื้อมานี่มึง กิน ให้ หมด เลย ด้วยยย ไอ้ๆๆ ไอ้แว่นนน มึงนี่เองมึงอยู่นี่ได้ไงวะ”
.............................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
ในที่สุดหมอภีมก็ได้เจออาตี๋น้อยแล้วหลังจากคาดกันไปมา
ต้องมาลุ้นต่อในตอนหน้าว่าอาตี๋น้อยของเฮียภีมจะโวยวาย
ขนาดไหนเมื่อเจอคู่แค้นเบอร์หนึ่ง ส่วนตอนนี้ก็เปิดตัว
“เฮียติณห์” ว่าที่แฟนของสาวมนแล้วนะคะ ใครที่ถามถึง
คู่นี้ก็สมใจแล้วเนอะ และทั้งคู่จะออกมาเรื่อยๆค่ะ
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วค่ะ เจอธีภีมอีกทีวันพฤหัสฯน้า
ปล.2 แจ้งข่าวว่าพรุ่งนี้(วันพุธ)จะพาน้องแม็คมาอธิบายความ
ให้ได้รู้กันค่ะว่าสาวขิมมาได้ยังไง ใครที่งอนอยู่หายงอนนะคะ
มามะมาตามอ่านต่อค่ะ^^

และ

ที่ติดตามกันค่ะ