ตอนที่ 14“เฮีย เที่ยงว่างมั้ยผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ผมตัดสินใจเด็ดขาดโทรหาไอ้หมอภีมผู้ที่เป็นสาเหตุให้ผมอยู่ไม่สุขในขณะนี้ ก่อนที่ผมจะเอ่ยประโยคดังกล่าวมันก็กดรับอย่างเร็ว และมีน้ำเสียงตื่นเต้นมากก่อนตอบรับคำชวนแบบไม่มีอิดออด นี่ถ้าผมนัดมันมาฆ่าหมกป่ามันก็คงไม่รู้ตัวแน่ๆครับ การที่ผมขอนัดมันในเวลาช่วงพักเที่ยงเพื่อจะได้คุยกับมันเรื่องที่คาใจผมอยู่ ก็เรื่องผมกับมันนั่นแหละว่ามันมีเหตุการณ์อะไรให้ไอ้หมอภีมมันปักใจกับผมมากขนาดนั้น และผมก็เลือกทั้งสถานที่และเวลาเองเอาที่มีผู้มีคนแต่ก็มีความเป็นส่วนตัวระดับหนี่ง จะบอกว่าผมเข็ดกับการนัดในสถานที่ส่วนตัวก็ว่าได้ กลัวว่าจะไม่ได้คุยแต่จะโดนไอ้หมอหื่นทำอย่างอื่นซะก่อนน่ะครับ ผมไม่เคยหวาดหวั่นกับใครเท่าไอ้หมอภีมมาก่อนเลยนะ และมันก็เป็นคนแรกที่ทำผมหวาดหวั่นและหวั่นไหวเพราะใครคนหนึ่งได้มากขนาดนี้
ผมเดินเข้าร้านอาหารบรรยากาศร่มรื่นด้วยแมกไม้ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลที่ไอ้หมอภีมมันทำงานอยู่ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารไทยรสจัดรสชาติไทยแท้ๆ และมีซุ้มมุงแฝกตั้งแทรกอยู่กับต้นไม้ใหญ่เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อได้นั่งโต๊ะที่จองแล้วก็รออยู่พักเดียวไอ้หมอหน้าขาวใส่แว่นก็เดินส่งยิ้มมาให้ตั้งแต่เห็นหน้าผม ทำให้ต้องแอบเบ้ปากหมั่นไส้ในความดูดีของมันไม่ได้
“ว่าไงครับ ธีรอพี่นานมั้ยแต่พี่รีบสุดตัวแล้วนะเนี่ย” เสียงใสหน้าผ่องมาเชียวนะคุณมึง ไม่เหมือนผมที่คิดมากจนหน้าดำตาคล้ำไปหมดแล้วเนี่ย ผมพยักหน้าไปส่งๆและยื่นเมนูให้คนตรงหน้าเพื่อสั่งอาหาร
“โฮ มันน่าน้อยใจเรารึแสนคิดถึง ไม่มีล่ะจะทักทายดีๆด้วยรอยยิ้มหวานๆน่ะ” คนตัวใหญ่ตรงหน้าผมมันเปิดเมนูไปก็บ่นไปต่อว่าผมกลายๆ แต่ไอ้ประโยคที่มันพูดทำเอาผมเลี่ยนจนเสยกน้ำขึ้นดื่มมองหน้ามันแบบสยดสยอง
“เฮีย เลี่ยนอ่ะเลิกพูดกับผมเหมือนกำลังจีบสาวได้ป่ะ” ผมวางแก้วได้ก็พูดใส่หน้ามันอย่างจริงจัง แต่กลับได้รอยยิ้มกว้างมาแทน
“มันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงธีไม่ใช่สาวๆแต่พี่ก็กำลังจีบธีอยู่จริงๆนี่ครับ”
ผมอึ้งและเหวอไปเลยกับไอ้ประโยคที่ไอ้หมอภีมมันพูดออกมา จะมีใครตรงกว่ามันอีกมั้ยเนี่ย และผมก็ต้องหลบสายตาพราวของมันที่ขยันส่งมาให้ผมจังเลย จนมาสบตากับน้องผู้หญิงที่รอยืนรับรายการอาหารซึ่งเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่รู้ตัวเลย เธอจ้องผมตาโตหน้าแดงแปร๊ดไปแล้ว ซึ่งผมก็เริ่มทำหน้าไม่ถูกที่รู้ว่ามีคนอื่นได้ยินเข้า หันมามองทางไอ้หมอภีมมันก็ส่งยิ้มให้ผมอยู่ ก่อนจะเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้เธอด้วย สาวน้อยอายม้วนต้วนยืนบิดตัวไปมาเข้าแล้วสิครับ ผมจึงตัดสินใจสั่งอาหารทันทีและยื่นเมนูคืนบริกรสาวโดยไม่มองหน้า
“เดี๋ยวหนูเร่งอาหารให้นะคะ แฟนพี่จะได้อารมณ์ดีขึ้น” ผมหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าบริกรสาวกำลังพูดกับไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างและด้วยใบหน้าที่ยังแดงระเรื่อ นี่หมายความว่าไงใครเป็นแฟนใครกันครับ ผมจะทวงถามเธอแต่กลับได้รอยยิ้มสว่างส่งมาแทนก่อนหันหลังหายตัวไปอย่างเร็ว ไม่รู้ว่าเป็นนางไม้รึไงไปเร็วมาเร็วขนาดนี้
“ธีมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่เหรอครับ จริงๆรอช่วงเย็นจะดีกว่าจะได้มีเวลาเยอะกว่านี้” ไอ้หมอภีมมันจ้องผมตาเยิ้มโดยท้าวศอกวางบนโต๊ะและมือกุมประสานไว้ใต้คาง
“ผมอยากรู้ว่าอะไรทำให้เฮียติดใจผมได้ขนาดนี้ ผมไม่ใช่คนตัวเล็กน่ารักอะไรที่เห็นครั้งแรกจะทำให้เฮียมาชอบได้ผมก็ผู้ชายคนหนึ่ง หรือเราจะมีประสบการณ์เฉียดตายร่วมกันจนเฮียฝังใจกับผมกัน” ผมตัดสินใจถามมันตรงๆเพราะถ้าวันนี้ผมไม่ได้คำตอบผมต้องแย่จากการนอนไม่หลับอีกแน่นอน ไอ้หมอภีมมันถึงกับหลุดหัวเราะออกมากับประโยคยาวๆของผม แต่พักเดียวมันก็หยุดและจ้องหน้าผมอย่างจริงจังผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ
“ธีจำพี่ไม่ได้จริงๆซินะ ถึงแม้เราจะไม่ถึงกับผ่านเหตุการณ์เฉียดตายร่วมกัน แต่มันก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้พี่ประทับใจธีมากถึงกับต้องแอบดูแอบตาม จนกระทั่งพี่ ชะ.....”
“อาหารมาแล้วค่ะ” เสียงใสที่ขัดขึ้นมาพร้อมอาหารที่ถูกวางตรงหน้า ทำเอาผมที่รอลุ้นคำพูดไอ้หมอภีมถึงกับขัดใจ อยากจะโวยวายกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจกับสาวเสิร์ฟตรงหน้า แต่ก็ต้องนิ่งเฉยเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่แมนรังแกผู้หญิงเอาได้
“พี่ทานเลยค่ะจะได้อารมณ์ดี ดูซิน่าสงสารแฟนพี่ออก หน้าหงอยแล้วนั่น” ผมเงยหน้ามองสาวเสิร์ฟตัวดีอย่างงงๆ เธอหมดหน้าที่แล้วแต่ก็ยังคงพูดเจื้อยแจ้ว ‘เดี๋ยวพี่ก็ฟ้องเจ้าของร้านซะเลยนี่’
“ฮึๆ ขอบคุณนะครับน้อง แฟนพี่เค้าเป็นคนหน้าตาแบบนี้เอง แต่นั่นน่ะเสน่ห์ของเค้าล่ะ” ไอ้หมอภีมมันพูดกับสาวเสิร์ฟแต่สายตามันกลับจ้องหน้าผมด้วยสายตาวิบวับอย่างคนอารมณ์ดีแทน ‘ไหนมันหน้าหงอยตรงไหนออกจะระรื่นผิดปกติซะด้วยซ้ำ’ ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของสาวน้อยก่อนจะรับรู้ว่าเธอเดินจากไป
“เฮีย แล้วไงต่อล่ะ” ผมต้องทวงด้วยคำพูดไม่งั้นเราคงต้องเล่นเกมส์จ้องตากันต่อแน่ๆครับ
“พี่ขอทานข้าวก่อนนะครับ วันนี้คนไข้เยอะจริงๆไม่ได้พักเลย” ว่าเสร็จไอ้คนตรงหน้าก็ตักกับข้าวมาวางตรงหน้าผมเพื่อส่งสัญญาณให้ทำตามที่มันต้องการแทน ผมก็ออกจะขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ยังไงก็ต้องง้อให้มันบอกอยู่ดี จึงก้มหน้าก้มตากินๆให้มันหมดๆจะได้รู้เรื่องสักที
“ค่อยๆกินซิครับเดี๋ยวติดคอหรอก” เสียงห้าวเอ่ยดุๆขึ้นมา จนผมต้องเงยหน้ามองต้นเสียงก็พบกับหน้านิ่งๆและแววตาอ่อนโยนส่งตรงมาให้ ทำเอาชะงักทำอะไรไม่ถูกไปแวบหนึ่ง ก่อนจะเสหลบสายตาอ่อนโยนที่ทำเอาใจเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย กลับมาก้มหน้าตักข้าวกินแต่ด้วยจังหวะที่ช้าลง ผมไม่ได้กลัวมันนะครับผมก็แค่รำคาญเท่านั้นเอง ไม่อยากโดนคนแก่บ่นให้ระคายหูแล้ว
ตลอดเวลามื้อเที่ยงที่เรากินด้วยกันก็เป็นไอ้หมอหื่นที่คอยดูแลผมเหมือนผมเป็นคนพิการตักอาหารเองไม่ได้ซะอย่างนั้นครับ มันคอยดูแลเทคแคร์ผมทุกอย่างผมจะเอ่ยห้ามทีไรแต่พอได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆกับสายตาอ่อนโยนคู่นั้น ก็เหมือนมีอะไรมาอุดปากห้ามไม่ลงซะอย่างนั้นเอง ผมจึงได้แต่ก้มหน้ากินอาหารที่มันตักให้ไปเรื่อยจนหมดจาน
“เฮียเล่ามาได้แล้วอย่าโยกโย้ มันคาใจมากรู้มั้ยเนี่ย” ผมเอ่ยทันทีที่ดื่มน้ำเสร็จและพบว่ามันก็รวบช้อนแล้วด้วย ไอ้หมอภีมมองหน้าผมยิ้มๆก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง
สิ่งที่ผมรับรู้จากปากไอ้หมอหน้าหล่อตรงหน้าทำเอาอึ้ง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งแรกที่เราพบกัน ที่ผมทำตัวเข้าแทรกมันกับคนที่มันชอบเพราะทนเห็นมันโดนด่าไม่ได้ หลังจากนั้นมันก็ประทับใจและคอยตามดูคอยแอบสืบข่าวของผมจากเฮียธัช แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวหรือมีทีท่าจะจำมันได้กันครับ รู้นะว่าเป็นเพื่อนสนิทเฮียแต่ไม่คุ้นหน้ามันเลยทำไมกัน
“พี่ยอมรับกับธีว่าพี่เริ่มสนใจธีตั้งแต่ตอนนั้น และไม่รู้ว่าจากความสนใจเปลี่ยนมาเป็น ‘ชอบ’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนเรากลับมาเจอกันโดยบังเอิญอีกครั้ง แต่ความรู้สึกที่พี่มีต่อธีมันก็รุนแรงขึ้นจนใกล้เคียงกับคำว่า ‘รัก’ แล้วในตอนนี้”
ผมมองหน้าไอ้หมอภีมที่มันเอ่ยคำว่าชอบว่ารักออกมาจากปากง่ายๆ หวังจะจับผิดว่ามันก็คงพูดไปอย่างนั้นเอง แต่เปล่าเลยผมต้องผิดหวังเพราะทั้งใบหน้าที่จริงจังและแววตาที่อ่อนโยนจริงใจสะท้อนเพียงภาพผมเท่านั้น มันเป็นสิ่งยืนยันความจริงถึงสิ่งที่มันพูด ใจผมเต้นกระหน่ำอุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ผมปิดตาลงเพื่อปิดกลั้นสายตาจริงจังปนแววหวานของไอ้หมอภีม แต่อยู่ๆผมก็รู้สึกปวดรุนแรงบริเวณท้ายทอยขึ้นมาและภาพเหตุการณ์ที่มันเพิ่งเล่าให้ผมฟังมันก็มาเป็นฉากๆ มาแบบไม่ต่อเนื่องและไม่เรียงลำดับตีกันให้วุ่นอยู่ในหัว
“โอ้ยยยย ปวด” ผมกุมท้ายทอยไว้แน่นและก้มหน้าลงเกือบชิดโต๊ะร้องระบายความปวดร้าว
“ธี เป็นอะไร ธี” ผมรับรู้ได้ว่ามีมืออุ่นมากุมทับมือของตัวเองที่ท้ายทอย และพยายามประคองหน้าผมขึ้นเพื่อดูอาการ
ผมที่ยังมีอาการปวดท้ายทอยอยู่จึงต้องยอมตามแรงประคอง เงยหน้าที่ตาพร่ามัวจับโฟกัสไม่ชัดเพราะความเจ็บปวดสบตาเจ้าของมืออุ่น พบแววตาตกใจปนห่วงใยของไอ้หมอที่จ้องผมอยู่ ปากมันก็พร่ำถามว่าเป็นอะไรและจับบริเวณที่ผมเจ็บ ผมจึงซบหน้าเข้ากับไหล่หนาตรงหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆของโคโลนที่ผมคุ้นจมูกก็ลอยมาจนผมเผลอสูดเข้าปอด และไม่น่าเชื่อว่าความเจ็บปวดที่มีมันค่อยๆบรรเทาลง แต่มืออุ่นที่ลูบหัวลูบหลังก็ยังอยู่ทำเอาเพลินเผลอซบอยู่นาน และลืมเรื่องภาพเหตุการณ์ที่อยู่ๆก็โผล่มาสร้างความเจ็บปวดให้ผมไป
“ธี ยังปวดหัวอยู่มั้ย หืม ไปโรงพยาบาลกันครับ เดี๋ยวพี่ตรวจร่างกายให้” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นเหนือหัวผมทำให้ได้สติ เงยหน้าผละจากอ้อมกอดอุ่นๆของคนตัวใหญ่ ก็พบกับแววตาห่วงใยชัดเจนและมือใหญ่ก็เฝ้าเวียนวนลูบหัวผมไปมา
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องตรวจหรอก” ผมจับมืออุ่นออกจากหัวและขยับตัวออกห่างร่างใหญ่ที่มานั่งฝั่งเดียวกัน แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงห้าวที่ดุออกมาซะดัง
“ธี!! ไปตรวจกับพี่ อย่าดื้อ อาการมันแสดงออกมาภายนอกเพราะข้างในมันมีปัญหา อย่าชะล่าใจซิครับ” หลังจากหายตกใจผมก็หันหน้าหนีไอ้หน้าดุ ไม่อยากมองหน้ามันเลยครับดุได้ดุดีเห็นว่ายอมรึไงวะครับ เรานั่งเงียบกันพักหนึ่งโดยที่ผมไม่ยอมหันไปมองทางมันที่นั่งอยู่เลย จนมารู้สึกถึงมือใหญ่ที่วางแหมะอยู่บนหัวและลูบไปมา ผมจะปัดมือมันออกแต่มือข้างนั้นกลับโดนยึดไว้แทน กะว่าจะหันไปกระชากมือออกและด่ามัน แต่ทั้งหมดที่คิดจะทำต้องหยุดลงได้แต่มองสบแววตาห่วงใยของไอ้คนที่เพิ่งดุผมเท่านั้น
“พี่ขอโทษครับที่ตะคอก พี่เป็นห่วงธีนะ ไปตรวจร่างกายกับพี่เถอะครับ เชื่อพี่นะครับร่างกายธีส่งสัญญาณเตือนออกมาแล้วมันต้องมีสิ่งผิดปกติอะไรสักอย่าง ถ้าตรวจแล้วปกติพี่จะได้สบายใจ อย่าให้พี่กังวลเลยนะครับ” เสียงพูดอ่อนโยนที่ออกจากปากแดงๆของไอ้หมอภีมผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ แต่สายตาห่วงใยที่ได้สบทำเอาผมใจอ่อน ยอมพยักหน้าตกลงกับมันไปเพราะตัวผมเองก็ไม่เคยเกิดอาการปวดท้ายทอยรุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลย
ไอ้หมอภีมมันก็ยิ้มกว้างแล้วลูบหน้าลูบตาผมอย่างดีใจ สายตาผมเหลือบไปด้านข้างก็ปะทะกับสาวเสิร์ฟคนเดิมที่ยืนหลบมุมหลังต้นไม้ และเอากำปั้นตัวเองปิดปากกลั้นเสียงกรี๊ดอยู่ด้วยใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ผมจึงผละตัวออกห่างไอ้คนตัวโตและลุกไปนั่งแทนที่มันฝั่งตรงข้าม มันก็มองผมยิ้มๆไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะกวักมือเรียกสาวเสิร์ฟคนนั้นให้มาเก็บเงิน ผมก็หันหน้าหนีสายตาแพรวพราวของเธอไปอีกทางไม่อยากเห็นกลัวจะต้องทำร้ายผู้หญิงเข้าครับ แอบได้ยินเสียงใสหัวเราะคิกคักมาเชียว นี่ถ้าผมแจ้งเจ้าของร้านให้ไล่ออกจะเป็นว่าผมรังแกเด็กรึเปล่าเนี่ย
“หนูขอเป็นแฟนคลับพี่ๆนะคะ นี่ค่ะบัตรลดพิเศษ ถ้าพี่สองคนมาทานที่นี่อีกเดี๋ยวหนูให้พ่อหนูลดให้เยอะๆเลย อย่าลืมมาสวีทที่นี่กันอีกนะคะ” สาวน้อยที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นลูกเจ้าของร้าน มิน่าเธอถึงกล้าพูดกล้าทำได้ขนาดนี้ เธอยิ้มกว้างตายิบหยีเมื่อไอ้หมอภีมมันยื่นมือไปรับบัตรลดและตอบรับคำเชิญ
ส่วนผมรีบเดินหนีออกจากร้านก่อนเลย ถึงจะเห็นผมขี้เล่นเป็นกันเองและหน้าด้านเป็นบางครั้ง แต่เรื่องที่โดนทักว่าแอบมาสวีทกับผู้ชายในร้านอาหารแบบนั้นผมก็อายเป็นนะครับ ไม่เหมือนไอ้หมอบ้าหน้าทนนั่นหรอกที่ยิ้มรับหน้าชื่นตาบานได้น่ะ ผมเดินมาถึงรถตัวเองกำลังจะขึ้นรถก็โดนดึงข้อศอกเอาไว้
“ธีครับ ขับรถตามรถพี่มานะ อย่าเบี้ยวพี่ล่ะ” ผมมองหน้าเจ้าของมือนิ่งๆแต่ก็ยอมพยักหน้ารับ ไอ้หมอภีมมันยิ้มให้นิดๆและเดินกลับไปที่รถตัวเอง
ผมก็ขับรถตามหลังไอ้รถคันหน้าไป ไหนๆก็รับปากมันไปแล้วยอมๆไปเถอะครับ อาการปวดท้ายทอยที่ผมเป็นวันนี้มันทำผมกังวลนิดหน่อยเพราะก่อนหน้าผมแค่เจ็บจี๊ดๆแต่ไม่รุนแรงเหมือนวันนี้ อาการปวดมันจะเกิดเพราะเหตุการณ์ในอดีตที่ไอ้หมอมันเล่าให้ผมฟังมั้ยครับเมื่อผมคิดตามสิ่งที่มันพูดอาการก็กำเริบรุนแรงขึ้นมาเลย แถมมีภาพให้เห็นเป็นฉากๆด้วยแม้มันจะไม่ชัดเจนก็ตาม นี่หมายความว่าผมกับมันเคยอยู่ร่วมเหตุการณ์กันจริงๆใช่มั้ยเนี่ย แต่ทำไมผมจำไม่ได้ล่ะ ก่อนที่ผมจะคิดมากให้ปวดหัวอีกครั้ง รถก็มาจอดในที่จอดรถวีไอพีของโรงพยาบาลแล้วครับเพราะผมขับตามมันมาและดูเหมือนว่ามันจะคุยกับรปภ.ให้หาที่จอดให้ผมด้วย
ผมเดินเข้าโรงพยาบาลพร้อมไอ้หมอภีมที่ยิ้มหน้าระรื่นให้กับพยาบาลสาวๆที่มันเดินผ่านมาตลอดทาง จนผมอดจะหมั่นไส้มันไม่ได้ครับเลยมองหน้ามันตาขวาง อยากจะรีบตรวจรีบกลับแล้วเบื่อหน้าคนบางคนชะมัด
“ยิ้มอยู่ได้ จะทำอะไรก็รีบๆเลย ผมจะได้กลับซะที” จะว่าผมเหวี่ยงก็ได้ครับ ก็คนมันหงุดหงิดนี่หน่า อยากกลับไปทำงานแล้วด้วย
“ฮึๆ เป็นอะไรครับ หงุดหงิดอะไรรึว่า.......หึง” ไอ้สีหน้ายิ้มๆแววตาเจ้าเล่ห์กับคำพูดสั่วๆของไอ้หมอบ้าทำเอาผมยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิมแต่แอบตกใจนิดๆกับคำว่า ‘หึง’ ที่มันพูด ผมเนี่ยนะจะหึงไม่มีทางซะล่ะ
“ผมไม่ตรวจแล้ว กลับล่ะ” ผมไม่อยากเถียงหรือพูดมากเลยเลือกที่จะเดินไปที่ประตูห้องตรวจที่เพิ่งเข้ามาแทน แต่ต้องหยุดเท้าที่กำลังก้าวไว้แทบทันทีเพราะแรงกอดรัดจากด้านหลัง
“ไม่เอาครับ พี่ก็แค่เดาถ้าธีไม่หึงก็อย่าโกรธสิ แต่อยากบอกว่าพี่จะดีใจมากถ้าธีจะหึงพี่นะครับ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นข้างหูจนผมต้องเอียงหน้าหนี แต่ก็ไปไหนได้ไม่ไกลเพราะยังตกอยู่ในอ้อมกอดของไอ้หมอบ้าอยู่
“เออๆ ผมไม่กลับแล้ว เฮียรีบตรวจดีกว่าและปล่อยผมได้แล้วมั้ง” ผมพยายามแกะมือเหนียวของมันออกจากตัวขณะพูด แต่ทำยังไงก็ไม่หลุด จนผมตัดสินใจหันหน้ามามองมัน
แต่ผมคงตัดสินใจผิดมหันต์เพราะการที่ผมหันหน้ามานั้นทำให้ปากเราทั้งคู่โดนกันอย่างจัง ผมชะงักและเหลือบตามองเจ้าของปากอีกคน ไอ้หมอภีมมันก็ยิ้มซะเต็มหน้าผมก็โมโหสิครับคิดว่ามันต้องตั้งใจหาเศษหาเลยกับผมแน่ๆเลย ยังไม่ทันโวยวาย มันก็กดปากเข้าหาผมอีกที จูบครั้งนี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรก็แค่ปากแตะปากแต่มันก็ยังแอบดูดริมฝีปากผมแรงๆอีกด้วย พอมันคลายแรงกอดผมก็สะบัดตัวออกจากมันเลย ผมว่าผมมองมันอย่างอาฆาตนะครับแต่ทำไมไอ้หมอแว่นมันถึงยังยิ้มได้อีกเนี่ย
“ธีรอพี่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวแป๊บหนึ่งนะครับ”
ไอ้หมอบ้ามันไม่สะทกสะท้านแต่ยังคงยิ้มกว้างตาพราวมองผมตาไม่กระพริบ ก่อนที่มันจะเดินออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี ผมขอถอนใจแรงๆและหาที่นั่งก่อนครับ ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงซิน่าไอ้หมอเจ้าเล่ห์คนนี้เนี่ย หรือผมคงต้องปล่อยเลยตามเลยลองดูกับมันสักตั้ง ไหนๆมันก็เอ่ยปากว่ารักว่าชอบผมแล้ว และคงจะช่วยผมให้คลายสงสัยถึงสิ่งที่เคยลืมเลือนไปได้ ผมล่ะอยากรู้ว่าเมื่อแปดปีที่แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับผมกันแน่ทำไมผมถึงลืมมันไป
.............................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
อาการหลงลืมของอาตี๋นั้นมีสาเหตุ มิใช่สมองปลาทองแบบที่ธีเข้าใจ
ใคร๊ใครจะลืมอาเฮียสุดหล่อได้ง่ายๆขนาดนั้น ส่วนเรื่องที่ลืมจะมีเพียง
ครั้งแรกที่ภีมประทับใจใจตัวตี๋น้อยอย่างเดียวหรือไม่ ต้องติดตามค่ะ
แต่อย่าซีเรียสกับเรื่องนี้นะคะ เพราะโครงเรื่องมิได้มีอะไรซับซ้อน
เน้นหวาน หื่น ตามประสา เอาแค่ให้สงสัยนิดๆเอง ฮุๆๆ
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์เหมือนเดิม และอย่าลืมมาดูเฮียโปรยเสน่ห์ใส่อาตี๋น้อย
กันต่อในวันศุกร์นะคะ
