ตอนที่ 15ผมพยายามหลับตาและผ่อนคลายจิตใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่านจนเกิดความกลัว หายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อลดความตรึงเครียดในขณะนี้ ตอนนี้ผมต้องนอนหลับตาทำตัวนิ่งอยู่ในเครื่องสแกนสมองระบบคอมพิวเตอร์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงอยู่ ไอ้เครื่องนี้มันจะทำให้ใหญ่กว่านี้ก็ไม่ได้ครับทำมาซะพอดีตัวเลย ถึงผมจะไม่ใช่คนที่กลัวที่แคบแต่ยังอดรู้สึกอึดอัดไม่ได้เลยครับ ผมนอนในเครื่องสแกนนี้พักใหญ่จนเกือบเผลอหลับไป แต่ก็รู้สึกถึงแรงเคลื่อนไหวที่เครื่องมันเคลื่อนตัวผมที่นอนอยู่ออกมา ผมค่อยๆลืมตามองและภาพแรกที่ได้เห็นก็เป็นภาพใบหน้าหล่อใสของไอ้หมอภีม ที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนๆมาให้มือมันก็ช่างอยู่ไม่สุขยื่นมาลูบหัวผมไปด้วย
“เป็นไงครับคนเก่งของพี่ ไม่กลัวแล้วนะครับ” ไอ้หมอภีมส่งยิ้มล้อเลียนมาทางผมผิดกับคำพูดแสดงความห่วงใยของมัน
ผมจึงชักสีหน้าใส่ซะเลยแต่ดูท่าทางไอ้หมอภีมจะไม่สำนึกว่าผมไม่พอใจกับคำล้อของมัน กลับหัวเราะในคออย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งกันได้ส่วนมือก็ยังลูบหัวผมไปมา หรือมันจะเห็นผมเป็นมะหมาสี่ขาของมันวะครับ ผมหันหน้าหนีมืออุ่นก็พบกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงกำลังเดินเข้ามาพอดี เธอชะงักมองไอ้หมอภีมและหันมามองผมสลับไปมาก่อนทำตาโตตกใจและรีบเดินออกไปจากห้องทันที ผมจึงได้รู้ตัวว่าตัวเองนอนอยู่โดยมีไอ้หมอภีมมันโน้มหน้าเข้ามาใกล้มาก คงเป็นภาพล่อแหลมที่ทำให้ใครต่อใครคิดกันไปไกลได้มากแค่ไหน จึงพยุงตัวเองลุกขึ้นโดยมีผู้ช่วยเป็นไอ้หมอภีมนั่นแหละครับ
“เดี๋ยวรอผลสักชั่วโมงนะครับ ธีจะรอที่ห้องข้างบนหรือว่าจะรอที่ห้องพักด้านล่าง” ผมรีบเลือกข้อสองทันทีอย่างน้อยถ้าไอ้หมอหื่นมันคิดจะทำอะไรผม ผมก็จะร้องให้คนช่วยได้ทัน นี่ผมคิดแบบสาวน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ก็เพราะมันคนเดียวนี่แหละที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ‘ไอ้หมอบ้า’
ลูกเจ้าของโรงพยาบาลนี่ดีจังครับได้อภิสิทธิ์สุดๆ ไอ้หมอภีมมันโอนคนไข้ที่ต้องตรวจกับมันทั้งหมดในตอนบ่ายไปให้หมอคนอื่นเพื่อมาตรวจร่างกายผมอย่างละเอียด และเป็นคนพาผมเดินไปทั่วโรงพยาบาลด้วยตัวเองทั้งห้องเจาะเลือด ห้องเอ็กซ์เรย์ ร่วมถึงห้องสแกนสมองด้วยคอมพิวเตอร์เมื่อครู่ด้วยครับ ที่สำคัญที่สุดก็คือมันใช้อำนาจที่มีจนเหลือล้นของมันเร่งผลตรวจทุกอย่างของผมให้ออกมาเร็วที่สุด
“ธีอย่าห่วงว่าจะทำให้พี่หรือใครลำบาก เพราะจะเป็นพี่เองที่จะหนักใจที่สุด ถ้ายังไม่รู้ว่าร่างกายธีปกติรึเปล่า”
ทีแรกผมก็ออกจะเกรงใจมันและเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำตามที่มันสั่งแบบเร่งด่วนเพื่อดูผลที่มันสั่งตรวจไว้ แต่พอมาเจอประโยคนี้ของไอ้หมอภีมทำเอาผมเงียบไปเลยแบบไปต่อไม่ถูกเลยครับ ยิ่งสายตาวิ้งๆแสดงความจริงใจที่มันส่งมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ผลคือผมต้องยอมตามใจมันไปครับจะพาผมไปไหนผมก็ไป เดินตามมันต้อยๆเป็นเด็กอมมือไปแล้ว แต่ที่ยอมไม่ได้ก็ไอ้ท่าทางที่มันจะดึงมือผมไปจับอยู่หลายครั้งนั่นแหละเพราะยังไงผมก็ไม่มีวันยอมเดินจูงมือกับไอ้หมอภีมกลางโรงพยาบาลแน่ๆ แค่นี้ผมก็รับรู้ถึงสายตาอยากรู้อยากเห็นจากพยาบาลสาวๆที่จ้องผมกับไอ้หมอบ้ามาตลอดทางที่เราเดินไปด้วยกันแล้ว
ผมนั่งรอในห้องพักแพทย์ติดกับห้องตรวจโรคของไอ้หมอภีมมันคนเดียว โดยที่มันขอตัวไปเร่งผลตรวจก่อนผมว่าลูกน้องมันคงลนลานทำตัวไม่ถูกไปแล้วล่ะครับ น่าสงสารคนที่เกิดมาเป็นลูกน้องไอ้หมอบ้าอำนาจซะจริง ทีแรกผมว่าผมคงอยู่
ตรวจไม่นานแต่ที่ไหนได้ พอผลตรวจร่างกายภายนอกปกติแต่มันดันอยากรู้ภายในผมซะงั้นครับ ได้ฟังผมก็โวยทำท่าไม่ยอมหรอกครับอ้างว่าต้องรีบไปทำงานต่อ แต่มันดันโทรหาเฮียธัชแจ้งอาการปวดท้ายทอยขั้นรุนแรงของผมกับเฮียเอง เฮียธัชขอคุยกับผมและย้ำให้ผมอยู่ตรวจอย่างละเอียดกับเพื่อนสนิทของเฮียทันที ผมก็ต้องก้มหน้ายอมรับคำสั่งเฮียธัชแต่โดยดี ชีวิตตี๋น้อยที่น่าสงสารอย่างผมต้องยอมให้กับเฮียธัชตลอดแถมตอนนี้ยังมีไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกับน้องของเฮียอีกคนด้วย มันช่างน่าเศร้าจริงๆชีวิตผมเนี่ย ‘ตกเป็นเบี้ยล่างไม่พอยังต้องเป็นคนใต้ร่างไอ้หมอถึกมันด้วย’
ผมนั่งจิบกาแฟพร้อมขนมคุกกี้ที่ไอ้หมอภีมมันหามาให้ก่อนมันจะออกไปอยู่เพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งกาแฟแทบหกใส่เสื้อ เพราะประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงแบบไม่บอกกล่าว พร้อมเจ้าของมือขาวมันก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาผมและนั่งลงข้างกัน ไอ้หมอภีมจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบแต่ยังไม่ยอมพูดอะไร ผมก็แอบใจเสียแล้วครับกลัวว่าผลตรวจร่างกายผมมันต้องผิดปกติมากแน่ๆ
“อะไรเฮีย ทำไม หรือผลออกมาว่าผมเป็นมะเร็ง จริงอ่ะ แล้วผมจะอยู่ได้อีกนานป่ะวะ แล้วๆ” ผมระรัวเสียงถามอีกฝ่ายทันที ใจหายมากครับ ผมยังไม่อยากตายนะผมยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนเลยเหอะ
“ธี ไม่ได้เป็นมะเร็งอย่าเพิ่งตกใจสิครับ” มืออุ่นของไอ้หมอมันยึดหน้าผมไว้ให้อยู่นิ่งๆ เพราะผมเริ่มสติแตกไปแล้ว
“แล้วผมผิดปกติอะไร เฮียถึงต้องทำหน้าเครียดแบบนี้ด้วย” เมื่อผมตั้งสติได้ก็เลยถามสิ่งที่สงสัย อดจะขัดใจนิดๆไม่ได้กับใบหน้าเครียดๆของไอ้หมอภีม ‘มึงจะรู้มั้ยว่ากูเครียดเพราะมึงน่ะ’ ใบหน้าเครียดๆของไอ้หมอภีมเริ่มผ่อนคลายและถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะยิ้มอ่อนมาให้ผมแทนคำขอโทษ มันใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามผิวแก้มผมเบาๆทำเอาสะดุ้งก่อนเผลอจ้องมันนิ่งอย่างลืมตัว
“ธีอย่าทำหน้าตาน่ารักใส่พี่สิครับ เดี๋ยวพี่ก็อดใจไม่ไหวกันพอดี ฮึๆ” ปากแดงๆของมันคลี่ยิ้มกว้างและใช้นิ้วไล้มาที่ริมฝีปากผม ส่งสัญญาณว่ามันจะอดใจไม่ไหวเรื่องอะไร ผมที่เพิ่งรู้ตัวก็ปัดมือมันออกเบาๆและกลับมานั่งไกลจากมันนิดหน่อย พอให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน
“ธีเคยโดนใครตีที่ท้ายทอยมั้ยครับ เพราะจากผลสแกนสมองร่วมกับผลเอ็กซ์เรย์พบรอยร้าวบริเวณกะโหลกส่วนหลัง นี่อาจเป็นสาเหตุของการปวดหัวของธีนะครับ” ใบหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อพูดถึงผลตรวจ นี่คงเป็นสาเหตุให้มันรีบร้อนเข้าห้องมาสินะ ผมนึกย้อนอดีตหาคำตอบให้ไอ้หมอหน้าขาวปากแดงก่อนพยักหน้าตอบรับไป
“เคยสมัยเรียนมัธยม แล้วมันอันตรายมั้ย” ผมจ้องตาคนตัวใหญ่ที่มีใบหน้าจริงจังนั่งฟังคำถามผมอยู่
“จากการประเมินของพี่แล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ธีอาจจะมีอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ตรงนี้แหละที่พี่กังวล เพราะเมื่อกลางวันธีดูแย่มากจนพี่ใจไม่ดี” น้ำเสียงจริงจังเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาในตอนท้าย แววตาฉายแววกังวลชัดเจน
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ปวดหัวมากขนาดนั้น เฮียไม่ต้องห่วงผมหรอกน่า” ผมพูดด้วย
น้ำเสียงร่าเริงเพราะไม่อยากเห็นหน้าตาเป็นกังวลของคนคิดมากตรงหน้า แต่ดูท่าทางจะไม่เป็นผลเมื่อใบหน้าและแววตาของหมอภีมยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ถึงธีจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่พี่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีล่ะครับ แล้วอยู่ๆทำไมธีถึงปวดหัวขึ้นมาได้ล่ะ” ไอ้หมอภีมแสดงความห่วงใยผมแบบเนียนๆเอามือมากุมทับมือผมซะแน่นเลย ผมเบื่อที่จะดึงออกเพราะเชื่อได้ว่ายังไงมันก็ต้องพยายามคว้ามือผมไปกุมอีกจนได้จึงปล่อยให้มันกุมมือต่อไป
คำถามของคนที่กุมมือผมจนรู้สึกอุ่นไปถึงใจก็ทำให้ผมต้องนั่งคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทำให้ผมปวดท้ายทอยอย่างรุนแรง เรื่องที่ผมคิดอยู่ตอนนั้นเป็นเรื่องของผมกับมันเมื่อแรกเจอ มีภาพขึ้นมาในหัวแบบไม่ปะติดปะต่อสับสนไปหมด และบางภาพก็ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวกับที่ไอ้หมอภีมมันเล่าเหมือนมีเหตุการณ์อื่นๆอีก ยิ่งคิดผมก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วครับ
“ธี! ปวดหัวอีกแล้วเหรอ ไหวมั้ยครับ หรือจะให้พี่ฉีดยาแก้ปวดให้ เอามั้ย” ไอ้คนหน้าขาวที่กุมมือผมอยู่มันกระวนกระวายหันรีหันขวางแบบทำอะไรไม่ถูก ไอ้ผมที่แค่เริ่มปวดหัวคิ้วขมวดมุ่นนิดเดียวทำเอามันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“ฮึๆๆ” ผมอดหัวเราะไอ้คนขี้ตื่นไม่ได้ครับ มันเป็นหมอได้ยังไงกันเนี่ยแค่เห็นคนไข้แบบผมเริ่มปวดหัวแค่นี้เอง และเสียงหัวเราะของผมก็สามารถหยุดท่าทางร้อนรนของมันได้ ไอ้หมอภีมจ้องผมตาค้างนิ่งงันจนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองทำผิดอะไรให้มันตกใจขนาดนั้น
“พี่ดีใจจังที่ได้เห็นธีหัวเราะและยิ้มให้พี่ได้แบบนี้ จะว่าเป็นครั้งแรกก็ได้นะที่ธีส่งยิ้มจริงๆมาให้พี่” ผมอึ้งหุบยิ้มเมื่อได้ยินประโยคยาวๆของไอ้หมอภีมที่เจ้าของประโยคเปิดยิ้มกว้างได้แล้วหลังจากหายตกตะลึง ผมเป็นแบบที่มันบอกจริงๆเหรอครับ มือที่กุมมือผมไว้เลื่อนมาไล้ริมฝีปากผมแทน
“ต่อไปธียิ้มให้พี่แบบนี้บ่อยๆนะครับ” มันพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานตาพราวอย่างถูกใจ แต่มันทำให้คนที่เห็นแบบผมหน้าร้อนขึ้นทันตา และไม่มีแรงแม้กระทั่งปัดมือมันออกจากปากตัวเอง ริมฝีปากแห้งผาก ใจเต้นรัว
มืออุ่นเปลี่ยนตำแหน่งจากปากผมมาที่หัวผมแทน ไอ้หมอมันลูบไล้เส้นผมของผมเบาๆและเกลี่ยเส้นผมออกจากหน้าผาก ก่อนเอ่ยเรียกชื่อผมแผ่วเบา
“ธีครับ” จนเจ้าของชื่อแบบผมต้องเงยหน้าขึ้นจากตักมาสบตาหวานๆของมัน
ตาคู่สวยเลื่อนเข้าใกล้และผมก็รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นที่หน้าผาก ก่อนสัมผัสเดียวกันนั้นจะเลื่อนมาที่จมูกไปแก้มทั้งสองข้าง และจบที่ริมฝีปากแห้งผาก ลิ้นชื้นไล้เลียเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากของผมจนชุ่ม ก่อนจูบนิ่งนานและกระซิบชื่อผมชิดเรียวปากเหมือนออดอ้อน จนใจอ่อนยอมเปิดปากออกให้ลิ้นนุ่มเข้ามาทักทาย จูบครั้งนี้ไม่เร่งร้อนแต่กลับเชื่องช้าละมุนหวานและอบอุ่น ผมหลงลืมตอบโต้สัมผัสอ่อนหวานที่ถูกหยิบยื่นให้ จนเริ่มรู้สึกหายใจไม่สะดวกก็ทุบหลังแกร่งของคนเจ้าเล่ห์เบาๆ เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระผมก็หอบอากาศเข้าปอดตัวโยน ซบหน้าผากไว้กับไหล่กว้างและรับรู้ถึงริมฝีปากอุ่นที่แก้มไล่ไปที่ซอกคอ หูก็ได้ยินเสียงชื่อตัวเองไม่ขาดจากไอ้คนฉวยโอกาส แต่ผมยังไม่มีแรงเอ่ยห้ามหรือผลักไสมันออกจากตัว แม้แต่แขนก็ยังโอบรอบคอแกร่งไว้อยู่เลย แต่เรี่ยวแรงผมก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็วเพราะความเจ็บแปลบที่ลาดไหล่
“เฮ้ยยย” ผมผลักหน้าไอ้หมอหื่นมันออกเท่าที่เรี่ยวแรงอำนวย มือจับไหล่และความรู้สึกเย็นวาบก็แทรกผ่านบริเวณหน้าอก ก้มดูจึงรู้ว่ากระดุมผมถูกปลดเกือบหมดแล้ว ไอ้หมอภีมมันหื่นไม่เลือกที่จริงๆครับ
“ไอ้หมอหื่น เอ๊ยยยย” อยากจะต่อว่ามันแรงกว่านี้แต่ตอนนี้นึกไม่ออก หัวสมองตื้อเพราะความร้อนลามเลียไปทั้งตัว ผมก้มหน้าติดกระดุมด้วยมือสั่นๆ นึกเจ็บใจตัวเองที่เผลอตัวยอมให้มันจูบจนเกือบโดนกดในห้องพักแพทย์แล้วครับ เงยหน้าสบตาคนเจ้าเล่ห์ก็พบว่ามันมองผมตาละห้อย ไม่มีแววรู้สึกผิดมีแต่แววตาเสียดายขาดใจ ผมหันหน้าหนีมันและหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติตัวเองกลับคืน ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้หมอภีมได้อีกครั้ง
“ไม่มีอะไรแล้วงั้นผมกลับเลยนะ” ผมพูดจบและกำลังลุกขึ้นทำตามอย่างที่พูด แต่ก็มีมือมาจับข้อศอกไว้ก่อน
“เดี๋ยวซิครับ เรายังคุยเรื่องอาการปวดหัวไม่จบเลยนะครับ” ผมหันกลับมามองสบตาไอ้หมอหื่นที่รั้งตัวผมไว้
“ก็ได้ งั้นเฮียบอกมาว่าผมต้องทำอะไรบ้าง แต่คุยอย่างเดียวนะ” ผมรั้งมือมันออกจากข้อศอกตัวเองและกลับมานั่งที่เดิม มันก็หัวเราะเบาๆให้ผมได้ยินแต่ผมก็ไม่อยากสนใจ เดี๋ยวของขึ้นจนต้องหาอะไรมาปิดปากไอ้คนเจ้าเล่ห์เอาได้
เมื่อผมนั่งเรียบร้อยแล้วไอ้หมอภีมมันก็นั่งข้างกันเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่ได้แตะตัวผมและวิญญาณแพทย์ใหญ่ก็สิงมันเมื่อพูดถึงอาการและการปฏิบัติตัวหลังจากนี้ของผม ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากเพราะอย่างที่มันบอกตอนแรกว่ากะโหลกที่ร้าวนั้นไม่ได้เป็นปัญหามากนักแต่มันอาจจะส่งผลให้ผมปวดหัวรุนแรงขึ้นมาอีกได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอาการกำเริบให้ทานยาแก้ปวดที่มันจัดไว้ให้ หรือถ้าทนไม่ไหวให้โทรหามันทันทีมันจะรีบมาฉีดยาให้ผมเอง และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว เท่าที่ฟังก็ไม่ยากอะไรผมทำได้อยู่แล้ว แต่ไอ้ที่จะให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เกิดอาการนี่สิ เพราะถ้าผมไม่พยายามคิดว่ามีเหตุการณ์อะไรระหว่างเราผมก็คงจะจำมันไม่ได้ไปตลอดแต่ถ้าคิดมากก็เสี่ยงปวดหัวขึ้นมาอีก ตอนนี้ผมก็ได้แต่ปล่อยวางไปก่อนแต่จะให้เลิกคิดคงไม่ได้ และดูท่าทางผมจะลืมมันเพราะอุบัติเหตุที่ผมโดนตีท้ายทอยครั้งนั้นแน่นอนครับ ผมมีแผนการในใจแล้วว่าจะเริ่มสืบจากใคร
“ผมกลับได้แล้วใช่มั้ย งั้นลาเฮียเลยนะ ไปล่ะ” ผมที่อยากเริ่มสืบหาความจริงก็อยากกลับทันทีความอยากรู้มีมากกว่าจะเอ้อระเหยอยู่ที่นี่
“เดี๋ยวสิครับ สมใจอยากแล้วก็ทิ้งกันเลยนะ” เสียงกระเง้ากระงอดของไอ้หมอบ้านี่มันอะไรกันครับ และไอ้ความหมายประโยคที่มันพูดนี่อีกหมายความว่ายังไงกัน มันเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอที่เริ่มน่ะ ผมจ้องหน้าไอ้หมอขี้ตู่เขม็งทันที
“โอ้ววว พี่ล้อเล่นครับ ธีอย่าทำหน้าแบบนี้สิ พี่กลัวไปหมดแล้วนะครับ ฮึๆ” คำพูดสื่อว่ากลัวแต่น้ำเสียงและแววตาล้อเลียนนี่สิ มันช่างกวนอารมณ์ผมจริงๆครับ ผมเลิกต่อความกับมันดีกว่ายิ่งต่อความยิ่งเข้าเนื้อตัวเอง เลยเลือกที่จะเดินหนีไปที่ประตู
“พี่ขอโทษครับ มาพี่พาธีไปรับยาก่อนนะครับ” เสียงง้องอนมาพร้อมการจับกุมข้อมือและออกแรงลากผมมานอกห้อง
ผมรั้งข้อมือตัวเองคืนทันทีกลัวคนอื่นมาเห็นครับไม่อยากให้มันโดนลูกน้องนินทา ไอ้หมอภีมมันก็ยอมปล่อยโดยดีและมีรอยยิ้มในหน้านิดๆส่งมาให้ด้วย ผมรีบหันหน้าหนีและเดินนำไปที่ห้องจ่ายยาทันที ไม่อยากมองหน้ามันตอนนี้กลัวใจตัวเองจังครับ กลัวอดใจไม่ไหวกระทืบมันด้วยความหมั่นไส้และอิจฉาใบหน้าหล่อๆของมัน
...............................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
ตอนนี้ใครรู้สึกบ้างว่าคู่นี้น่ารักหวานเว่อร์
เฮียภีมหื่นมากตอดตี๋น้อยตลอด ตี๋น้อยก็ปล่อยตัวปล่อยใจ
ไปกับเค้าง๊ายง่ายเนอะ น่าตีจริงเชียว ฮุๆๆ
ส่วนใครที่กังวลเรื่องอาการของธี อย่าได้ห่วงค่ะเพราะ
ไม่มีไรน่าห่วง ใช่ม้า^^ แถมมีหมอส่วนตัวอยู่ทั้งคน
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วนะคะ เจอตี๋น้อยกับเฮียภีมได้อีกวันอาทิตย์ค่ะ
ปล.2 พรุ่งนี้วันเสาร์จะอัพคู่เล็กไอ้เกรียนกับเด็กดื้อนะคะ ใครรอทั้งคู่อยู่
อย่าลืมไปให้กำลังใจด้วยน้า^^http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29669.0
