Show Me Now!! ตอนพิเศษ หวานน้อยๆค่อยๆรัก“เจ้าคูล!! พ่อบอกให้วางเบาๆ เดี๋ยวกระถางก็ได้แตกกันพอดี”เสียงเอะอะนี้ดังมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนตอนนี้ใกล้เที่ยงเต็มทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนถูกเอ็ดจะทำอะไรได้ถูกใจเจ้าของเสียงสักที คูลที่เพิ่งวางกระถางต้นไม้ใหญ่ยักษ์ซึ่งไม่น่าเรียกได้ว่ากระถางลง ทรุดตัวลงนั่งหอบแฮ่ก ถูกใช้งานหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้นมาตั้งแต่เช้าที่มาถึงด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าคุณพ่อกะรอใช้เขาเต็มที่เลยนะนี่
“พ่อครับบบ คูลหมดแรง~” เด็กตัวโตบอกเสียงยานคาง ชายวัยกลางคนท่าทางเข้มงวดมองเจ้าเด็กยักษ์นั่งหอบลิ้นห้อยกระพือเสื้อไล่ความร้อนพั่บๆแล้วส่ายหน้า
“แค่นี้เหนื่อยแล้ว ใช้ไม่ได้” ท่านว่าเข้าให้
“โห~ แค่นี้ที่ไหนกันครับ คูลยังไม่ได้พักตั้งแต่เช้าแล้วนา” เด็กตัวโตโอดครวญ
“แบบนี้ใครที่ไหนเขาจะอยากยกลูกให้”
“อะไรนะครับ?”
คูลคล้ายได้ยินท่านบ่นเบาๆเลยถามขึ้น แต่ฝ่ายนั้นกลับเฉไฉไล่ไปพักทั้งยังบ่นยืดยาว แต่คูลก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะท่านก็บ่นของท่านไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่โมโหหรืออะไร เขายังสงสัยว่าทำไมมินถึงต่างจากคนเป็นพ่อนัก ใช่ คนเมื่อครู่น่ะพ่อของมิน และนี่ก็บ้านมิน เพราะที่บ้านเขามีเพียงคุณแม่คนงามเท่านั้น
คูลเดินเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างแขนในห้องน้ำ จริงๆเขาอยากอาบน้ำมากกว่าเหงื่อออกแบบนี้ไม่สบายตัวเลย
“เหนื่อยไหม?”เสียงเล็กเอ่ยทัก พร้อมผ้าสะอาดถูกยื่นมาให้เช็ดหน้า คูลอมยิ้มกับความใส่ใจนั้น เห็นอยู่หรอกว่าเจ้าตัวเล็กมันคอยชะเง้อคอมองเขามาตั้งแต่เช้าแล้ว
น่ารักจริงๆแฟนใครกันนะ“ขอบคุณ” รับผ้ามาซับน้ำจากใบหน้าและแขน
“…………..” ตัวเล็กก็ยืนมองยิ้มๆ จนคูลสงสัย
“ยิ้มอะไร?” ถามออกไปพร้อมเก็บไม้เก็บมือที่อยากเอื้อมไปหยิกแก้มป่องๆเพราะอมยิ้มตาพราวนั่น
“ท่าทางพ่อผมจะถูกใจคุณคูลมากเลย” ตัวเล็กเฉลย
“หา!!? ตรงไหนกัน? คูลว่าคูลโดนแกล้งนะน่ะ”
“ก็ว่าไป ปรกติพ่อผมท่านไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ต้นไม้ที่ท่านปลูกหรอกนะ หวงยิ่งกว่าลูกอีก แต่นี่คุณคูลได้ยิ่งกว่าใกล้อีกนะ” ว่าอย่างตื่นเต้น แต่คนฟังได้แต่ยิ้มแห้ง
“เหอะๆ คูลควรดีใจใช่ไหม?”
ตัวเล็กขำคิกกับสีหน้าแปลกๆของคูล ก่อนเอ่ยชวนไปนั่งในบ้านแล้วหาน้ำหวานเย็นๆให้ดื่มดับกระหาย จนช่วงเที่ยงเด็กตัวโตก็ได้ร่วมโต๊ะทานข้าวกับครอบครัวมิน ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่ชายคนโตและพี่สะไภ้ ทั้งยังเด็กตัวน้อยลูกของพี่ชายที่ติดมินราวตังเม ต้องคอยนั่งใกล้ๆให้คุณอาเอาอกเอาใจ เด็กตัวโตของเราเลยไม่ได้นั่งข้างเจ้าตัวเล็ก เพราะทั้งสองข้างถูกจองโดยหลานตัวน้อยของมินไปเสียแล้ว หากพี่สาวคนรองกับพี่ชายคนที่สามอยู่คงได้ครึกครื้นกว่านี้
มินเป็นลูกคนสุดท้องซึ่งห่างจากพี่ๆหลายปี ถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางความรักของทุกคนในบ้าน ถูกเอาใจตามใจสารพัด แต่มินน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยน่ารักของทุกคนเสมอ มินไม่เคยทำตัวเอาแต่ใจ ไม่โวยวาย ไม่ดูถูกคนอื่น รับฟังเหตุผล ส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูและพื้นนิสัยตั้งแต่เล็ก แต่เพราะการถูกประคบประหงมจนเกินไปก็มีข้อเสียที่มินแก้ไม่หายคือ อารมณ์อ่อนไหวง่าย หากจะเห็นมินร้องไห้นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความเป็นกันเองและอบอุ่น ความอบอุ่นของคำว่าครอบครัวที่มันหายไปจากคูลนานมากแล้ว พอได้มาอยู่ท่ามกลางครอบครัวใหญ่แบบนี้ทำให้เด็กตัวโตอดนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเอง
‘เคยมี’ ไม่ได้ เหมือนภาพวันเก่าๆทับซ้อนขึ้นมาในใจเขา ครอบครัวที่ตอนนี้เขาเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย นั่งคุยเล่นกันเล็กน้อยก่อนคูลจะขอตัวกลับ ติดสอยห้อยตามด้วยคนตัวเล็กที่จะตามกลับไปด้วย ซึ่งคนเป็นพ่อก็เอ่ยปรามว่าอย่าไปรบกวนบ้านเจ้าคูลมากนักเกรงใจเขา ตัวเล็กเลยหน้าจ๋อยจะถอยทัพกลับ
‘ก็ตอนทานข้าวคุณคูลทำหน้าเหงาๆเศร้าๆ เขาเลยไม่อยากให้อยู่คนเดียวนี่นา ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการรบกวนคุณคูลเลย แย่จัง…’พอเห็นไอ้ตัวเล็กทำหน้าจ๋อยผู้เป็นแม่เลยหาทางแก้ให้ เข้าครัวไปทำอาหารใส่ปิ่นโตเถาใหญ่ อีกทั้งขนมหวานสูตรชาววังที่หาทานได้ยากมาให้คนหน้าจ๋อยเอาไปฝากบ้านนู้น ตัวเล็กถึงได้ยิ้มออก รับปิ่นโตกับถุงขนมมาถือ ก่อนยื่นให้อีกคนถือต่อ ก็มันหนักอ่ะ
เมื่อได้เวลาสองหนุ่มจึงไหว้ลาคุณพ่อ และคุณแม่ใจดี ก่อนเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์คู่หูของเด็กตัวโต คนตัวโตเอาของไปแขวนที่แฮนด์รถ คว้าเสื้อแขนยาวของตัวเองมาสวมให้กับอีกคนที่ยืนให้สวมนิ่งๆ ตามด้วยหมวกนิรภัย ขยับดูเล็กน้อยว่าแน่นไปไหม เมื่อตัวเล็กส่ายหน้าจึงผละมานั่งคร่อมรถเตรียมพร้อมจะสตาร์ทและออกตัว โดยมีอีกคนตามมานั่งเป็นที่เรียบร้อย
รถคันน้อยเคลื่อนตัวจากไปแล้ว แม่ของมินถึงได้เปรยกับคนข้างๆที่มองตามรถคันดังกล่าวอย่างไม่วางตา
“แม่ว่าเราคงไม่ได้อุ้มหลานจากเจ้าตัวเล็กแล้วมั้งพ่อ”“เฮ่ย~คุณก็พูดไป เด็กมันเป็นเพื่อนกัน” คุณพ่อยืนกรานปฏิเสธ ทั้งที่ใจก็เริ่มเอนเอียงไปทางนั้นเสียครึ่งค่อน
ลูกน้อยที่เลี้ยงดูมากับมือไฉนเลยจะไม่รู้นิสัยใจคอ มินไม่เคยสนิทสนมกับใครจนถึงขั้นพามาบ้าน จะมีก็แต่ฟ้าใสที่คบกันมาตั้งแต่เข้า ม.ปลายใหม่ๆ ส่วนเจ้าเด็กยักษ์นั่นเพิ่งได้เจอก็เมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่ไม่เคยสังเกตเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน มันไม่ได้ต่างจากเพื่อนทั่วไปเขาทำกัน แต่มันต่างที่ความรู้สึก คนเป็นพ่อถอนใจ คู่ชีวิตที่ยืนเคียงข้างลูบแขนเบาๆ
“คูลก็เป็นเด็กดีนะพ่อ ไม่เคยพากันเถลไถลที่ไหน”
คนเป็นพ่อยังเงียบ คิ้วขมวดราวคิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่ตนกำลังคาดคะเน
“แม่ไม่ได้จะสนับสนุนให้ลูกเรารักชอบเพศเดียวกันหรอกนะ แม่แค่คิดว่าหากพวกเขาจะรักใคร่ชอบพอกันแล้วเราไปขัดขวางเข้ามันจะไปกันใหญ่ เด็กวัยรุ่นยิ่งห้ามมันก็เหมือนยิ่งยุนะพ่อ แม่ว่าให้เขาอยู่ในสายตาเราอย่างตอนนี้ยังดีกว่าแอบไปทำอะไรลับหลังเรานะ ที่มินพาคูลมาที่นี่ลูกก็คงอยากให้เรายอมรับล่ะนะ แต่อย่างเจ้ามินน่ะหรือจะกล้าพูดอะไรแบบนั้น ขี้กลัวล่ะที่หนึ่ง” คุณแม่เอ่ยถึงลูกชายคนเล็กน้ำเสียงเอ็นดูมากกว่าจะต่อว่า
“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันในสังคมหรือกับเรื่องพวกนี้น่ะ!! ”
ความกังวลของพ่อแม่ก็คงหนีไม่พ้นกลัวลูกถูกมองไม่ดี อยากให้ลูกมีความสุขมันก็ใช่ แต่หากจะทำใจยอมรับมันก็ยากเหลือเกิน
“สังคมก็ส่วนสังคมนะพ่อ เด็กๆเขาไม่ได้ไปไชโยโห่ร้องป่าวประกาศให้สังคมรับรู้เสียหน่อย แค่เรานะพ่อ… แค่เรา… เท่านั้น ที่พวกเขาอยากให้เข้าใจ”คุณพ่อถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ก่อนพูด
“วัยรุ่นสมัยนี้นี่มันวุ่นวายจริง เฮ่ย~ เลิกๆไม่คงไม่คิดมันแล้ว ปวดหัว” มือใหญ่ปัดป่ายไปมาราวจะบอกว่าสิ่งที่ตนคิดอยู่มันไม่มีสาระพอจะให้คิดจนปวดกระบาลเช่นนี้ ก่อนชวนคุณแม่คู่ชีวิตที่แสนดีเข้าบ้าน
“หนังสือธรรมะวางอยู่บนโต๊ะนะพ่อ” คุณแม่แหย่คู่ชีวิตที่หันกลับมามองแล้วทำสีหน้าเชื่อเขาเลยส่งมาให้ ก่อนจะหลุดขำออกมาทั้งสองคน คนเป็นพ่อโคลงศีรษะไปมาก่อนเดินเข้าบ้านปล่อยคุณแม่ที่ยังมีรอยยิ้มติดริมฝีปากหันกลับไปมองหน้าบ้านที่รถคันที่ลูกนั่งขับออกไปอีกครั้ง
ไม่ว่าจะอย่างไรลูกก็คือลูก แม้ทำผิดคิดร้ายมาพ่อแม่ยังให้อภัยได้ ความสุขของพ่อแม่ได้มาจากลูก หากลูกเป็นทุกข์ แม่คงเป็นสุขไม่ได้ หากแม้นหนทางข้างหน้ามันจะมีขวากหนาม แม่จะเป็นคนถากถางมันให้ลูกเอง มิน…xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
รถมอเตอร์ไซค์คันเก่งเลี้ยวเข้าบ้านของคูล ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงที่จอดรถภายในบ้าน มินขยับลงจากท้ายรถ ปลดหมวกนิรภัยส่งคืนเจ้าของ แม่บ้านที่ทำหน้าที่เปิดปิดประตูเมื่อครู่รีบรุดมาช่วยถือของให้
“โห~น้องมินซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยคะนี่?” แม่บ้านสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นข้าวของถุงใหญ่ถึงสองถุง แล้วไหนยังจะปิ่นโตเถาใหญ่นี่อีก
“มินเปล่าซื้อครับ เอามาจากที่บ้านมินน่ะ คุณแม่มินทำเอง” เอ่ยบอกอย่างภูมิใจ ก่อนเปิดๆดูของในถุงใบหนึ่งแล้วยื่นให้ทั้งถุง
“อันนี้มินให้พี่นางครับ เอาไปแบ่งกันนะ” พูดแล้วยิ้มตาหยี
“มีของพี่ด้วยหรือคะ ขอบคุณค่ะน้องมิน”
“ตัวเล็ก!” คูลเรียกมาจากหน้าบ้าน เพราะไอ้ตัวเล็กมัวแต่คุยไม่ยอมเดินตามเขามา
“ครับ” หันไปขานตอบก่อนวานแม่บ้านให้ช่วยเอาของไปเก็บให้ ส่วนตัวเองก็วิ่งดุ๊กดิ๊กตามคนเรียกเข้าบ้านไป
ทั้งคู่ใช้เวลาช่วงกลางวันไปกับการอ่านหนังสือ และทำรายงาน จนตอนเย็นคุณแม่เด็กตัวโตกลับมา ถึงได้ขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกัน กับข้าวก็เป็นของที่มินนำมาจากบ้านถึงจะอุ่นอีกทีก็ไม่เสียรส คุณแม่คนงามยังออกปากชม หลังจากทานข้าวเสร็จคุณแม่ก็นั่งย่อยด้วยการดูข่าวภาคค่ำ มีน้องมินน้อยนั่งดูเป็นเพื่อน ส่วนคูลก็นั่งทำงานที่ค้างไว้อยู่ใกล้ๆ จนคุณแม่เริ่มง่วงถึงได้ช่วยกันปิดบ้านแล้วขึ้นนอน
บนเตียงนอนกว้างของคูล เจ้าของห้องและเจ้าของเตียงนอนเอกเขนกใช้มือท้าวศีรษะมองคนตัวเล็กที่กำลังทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระอย่างตั้งใจ ตัวเขาน่ะไหว้เสร็จไปนานแล้ว แต่เด็กตัวเล็กนี่สิยังนั่งสวดมนต์ไม่เสร็จสักที สวดกี่บทก็ไม่รู้ แต่พอนอนมองไปมองมามันก็เพลินดี จนตัวเล็กก้มกราบครั้งสุดท้ายนั่นล่ะคูลถึงละสายตา ลุกขึ้นไปปิดไฟ เปิดไว้เพียงโคมไฟหัวเตียงดวงเล็ก เดินกลับมาล้มตัวลงนอนเคียงข้าง จับมือเรียวมาจุมพิตหลังมือแผ่วเบาแบบที่ชอบทำ ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองเขา ก่อนปากอิ่มสวยจะเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ
“เมื่อกลางวัน ตอนทานข้าว…ผมเห็นคุณคูลทำหน้าเศร้าๆ”
“หือ? สังเกตด้วยเหรอ?” เพราะอย่างนี้สินะถึงขอตามมาด้วย คนๆนี้มักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ แม้แต่เจ้าตัวยังไม่ทันจะสังเกตสีหน้าหรือความรู้สึกตนเองด้วยซ้ำ
‘ที่รักของคูล จะทำให้รักไปถึงไหนนะ’คนตาใสยังมองอย่างรอคำตอบ คนตัวโตจึงขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดึงอีกคนให้มานั่งซ้อนด้านหน้า แผ่นหลังบางเอนแนบไปกับอกหนา วงแขนกว้างโอบกอดร่างเล็กไว้หลวมๆ
“พอดีคูลนึกถึงพ่อขึ้นมาน่ะ คิดย้อนไปว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
“………………” ตัวเล็กนิ่งฟัง มือเรียวนั้นก็กุมมืออีกคนไว้บีบเบาๆแล้วคลาย จนได้ยินเสียงเจ้าของมือถอนหายใจยาว
“มินอยากฟังเรื่องพ่อคูลไหม?” มินเอี้ยวหน้าไปมองคนถาม มองลึกเข้าไปในนัยย์ตาคมที่มีความกังวลใจและกดดันฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา
“ถ้าคุณคูลอยากเล่า…” บอกเสียงเบา คนฟังหัวเราะหึๆก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวของคนสำคัญที่สุดในชีวิตให้อีกคนฟัง
มินนั่งฟังเงียบๆมือน้อยก็บีบมือคนเล่าไปเรื่อยๆ น้ำเสียงของคูลที่เอ่ยถึงพ่อเต็มไปด้วยความรัก ชื่นชม และเทิดทูน แต่ก็ยังแฝงความเหงาในน้ำเสียงเมื่อเอ่ยถึงอดีต ครอบครัวที่เคยมีพร้อม คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักก็ทำหน้าที่ไม่เคยบกพร่อง มุมานะเพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุข แต่ท่านทำบุญมาน้อย ถึงได้ด่วนจากไปโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่ได้บอกกล่าวหรือได้ดูใจในวินาทีสุดท้าย
“คูลยังจำได้ วันที่พ่อเสีย แม้คูลจะยังเด็กมาก ยังไม่รู้ความหมายของคำว่า ‘ตาย’ ดีด้วยซ้ำ แต่กลับต้องมาเจอมัน” คนเล่าเสียงเริ่มสั่นจนมินต้องขยับตัวเข้าไปสวมกอดแทน ฝ่ามือใหญ่ก็ลูบผมเขาเหมือนขอบใจ
“…………………………..”
“วันนั้นมันยังคงเป็นวันธรรมดาสำหรับคูล คูลยังไปโรงเรียน ไปเล่นกับเพื่อน มันก็แค่วันธรรมดาอีกวันหนึ่ง กลับมาบ้านคูลยังโทรคุยกับพ่อ ยังฝากพ่อซื้อหมูหวานข้างที่ทำงานกลับมาด้วย พ่อยังหัวเราะตอบกลับมา มันไม่ได้มีวี่แววว่าท่านจะจากเราไปเลย จนเวลาผ่านเลยไปเกินกว่าเวลาเลิกงานพ่อก็ยังไม่กลับ คูลทำได้แค่รอ รอนานจนโกรธที่พ่อไม่ตรงเวลา แม่ก็เริ่มกระวนกระวายที่ติดต่อพ่อไม่ได้ แล้วโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นมา…”คนเล่าหยุดเล่าไปเสียดื้อๆ เหมือนมันพูดไม่ออก ความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นมันจุกแน่นในอก ตัวเล็กเงยหน้าจากอ้อมอกแข็งแรง สีหน้าของคูลเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เหมือนเสียงแม่ร้องไห้ยังดังแว่วในหู แค่นึกถึงเขาก็ตัวสั่นขึ้นมา
“คุณคูล…”
สีหน้าเจ็บปวดนั้นทำให้เขาปวดใจตามไปด้วย มือเล็กโอบประคองข้างแก้ม ถูกทาบทับโดยฝ่ามือใหญ่ของอีกคน ริมฝีปากอิ่มสวยแตะเบาที่หน้าผาก ค่อยย้ายมาที่ดวงตาทั้งสองข้างอย่างที่คูลเคยทำ แม้จะดูเงอะงะ แต่กลับอบอุ่นจนน้ำตาของคนถูกปลอบที่กักเก็บไว้รินไหล ริมฝีปากนั้นยังคอยตามซับน้ำตา คำพูดปลอบโยนดังมาให้ได้ยิน
“มันผ่านไปแล้วนะครับ ความทุกข์ ความเสียใจทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว” แตะสัมผัสปลอบประโลมอ่อนโยน คนถูกปลอบรุกไล่ริมฝีปากตามประกบ ความอ่อนหวานที่มีให้ถูกแทนที่ด้วยความดื่มด่ำเคลิบเคลิ้ม
ร่างเล็กถูกผลักให้ลงไปอยู่ด้านล่าง ริมฝีปากตามติดเร่าร้อน พันธนาการที่ห่อหุ้มร่างกายถูกปลดออกอย่างร้อนรน ซุกไซ้ซุกซบ ขบเม้มอย่างใจ
“มิน มินจ๋า~ อย่าทิ้งคูลไปไหนนะ…นะ…ที่รัก” ทั้งออดทั้งอ้อน เว้าวอนให้อีกคนเห็นใจ
มือหนาป่ายปัดลูบไล้หนักมือ ร่างเล็กสั่นสะท้านตอบสนอง ลิ้นร้อนรุกไล้โพรงปากหวานหยอกเย้าปลายลิ้นเล็ก สะโพกแกร่งขยับเสียดสีร่างกายแทบลุกเป็นไฟ
“อ๊ะ!! คุ… อื้อออ”
มือใหญ่กอบกุมอกบางเค้นคลึงลูบไล้ อารมณ์หวามคุโชนโหมกระพือเร่งเร้าเอาแต่ใจ
อยากครอบครองคนนี้
อยากขบเม้มฝากรอยรัก
อยากแทรกกายเข้าหาให้ลึกที่สุด
ถอดถอน ผลักดัน เนิบช้า เร่งเร้า ถี่ระรัว
โถมกายเข้าออกซาบซ่านถึงใจ“อ๊ะ! คุณคูลลล อ๊ะ!! ม… ไม่…”
“มิน…มิน…อีกนิด…อา~อีกนิดที่รัก!!”
โอบกอดแนบกาย กระตุกสั่นสุขสมแทบสิ้นสติ ท่วมท้นอิ่มเอิบไปทั้งใจ มันไม่ใช่แค่ ‘การทำรัก’ แต่ ‘ทำเพราะรัก’ มันช่างสุขยิ่งกว่า
บทรักร้อนแรงผ่านพ้นไป เสียงหายใจเหนื่อยหอบเริ่มกลับสู่สภาวะปรกติ ร่างกายใหญ่โตจึงค่อยถอดถอน ร่างเล็กสะดุ้งน้อยๆขาเรียวเกร็งแน่นหนีบสะโพกอีกคนไว้ทุกช่วงจังหวะที่ถอนกาย ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อทุกอย่างสิ้นสุด คูลก้มลงไปกดจูบริมฝีปากเจ่อของเจ้าตัวเล็ก
"ขอบคุณครับที่รัก"
ลุกไปเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนกลับออกมาพร้อมอ่างใบเล็กใส่น้ำพร้อมผ้าขนหนู วางลงที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนแตะแขนคนตัวเล็กเขย่าเบาๆ แต่อีกคนกลับปัดออกแล้วพลิกร่างหนีไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองสักนิดว่าจะโดนทำอะไร
“ลักหลับอีกสักทีดีไหม หืม?” พูดอย่างหมั่นเขี้ยว ฟัดแก้มนิ่มหนักๆก่อนจัดการเช็ดตัวให้ ตัวเล็กครางอืออาเมื่อถูกผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดไปตามร่างกาย
เสร็จเรียบร้อยคูลก็กลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง สักพักจึงกลับออกมา ก้าวขึ้นเตียงนอนล้มตัวลงนอนเคียงข้าง รั้งร่างเล็กเข้ามากอด กดจูบหน้าผากเนียนกระซิบบอกคนที่หลับพริ้ม ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราแสนสุขในอ้อมกอดของกันและกัน
“คูลรักมินครับ”จบตอนพิเศษo รู้สึกว่าตอนพิเศษจะยาวกว่าตอนหลัก ฮะๆ
o ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกบวกหนึ่ง บวกเป็ด และทุกการอ่านด้วยค่ะ
o คุณgupalz ถ้าเราเขียนเรื่องยาวมันจะพาคุณออกทะเลน่ะสิคะ เนื้อเรื่องนี่ตามอารมณ์คนเขียนสุดๆ ไว้ถ้าเราเก่งกว่านี้คงได้มีงานเขียนเรื่องยาวกับคนอื่นเขาบ้าง
o ขอบคุณคอมเม้นต์ตอนที่ผ่านมาo yeyong , Lemon_Tea , roseen , Gemm , gupalz , bulldog17 , pizza2011 , silverphoenix , golove2 , mellowshroom , NumPing , iamnan , love2y , yayee2 , forbidden , karn49 , lighter , ไอ้หัวแห้ว , kun , seaz , icetim