ตอนที่สอง
+++Q+++
เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป และเขาก็รับฟังทุกอย่างทุกถ้อยคำ
เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ
พรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุขหรือแสนเศร้า
จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอกที.... ผมพยายามแล้ว... พยายามที่จะไม่กระโตกกระตากให้เขารู้ความรู้สึก เพราะรู้ว่าโลกแห่งความจริงไม่ได้สวยงามอย่างในนิยาย และไม่ได้ง่ายดายเหมือนในความฝัน... แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้วใครเล่าจะไม่ไขว่คว้า อย่างน้อยแม้ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ก็ดีใจที่ยังได้บอก....แต่เมื่อตัดสินใจบอกออกไปแล้วแทนที่ทุกเรื่องราวความหนักอกหนักใจจะหายไป มันกลับยิ่งทับท้นท่วมทวีกว่าเดิมอีกหลายเท่า...
ระหว่างที่ผมรอคำตอบของเขาอย่างมีความหวัง มันทั้งสุขและเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วมันก็เจ็บจุกจนแทบทนไม่ไหว เมื่อสุดท้ายผมกลับไม่ได้คำตอบที่เป็นถ้อยคำตอบรับหรือปฏิเสธออกมาตรงๆ หากแต่พีกลับตอบกลับมาด้วยการกระทำแทน
พีไม่ได้มาห้องชมรมหลังเลิกเรียนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แรกๆ ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าเขาอาจจะเขิน ไม่อยากอยู่กับผมสองต่อสองหรือยังคิดไม่ตกว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี จนกระทั่งเห็นว่าพีกลับบ้านกับผู้หญิงคนเดิมติดกันทุกๆ วันถึงได้เข้าใจ ว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้
...พีไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนผม...
จนกระทั่งเข้าช่วงสอบ พวกเราต้องงดกิจกรรมชมรมเพื่ออ่านหนังสือ ผมและพีเองก็อยู่คนละห้องจึงแทบไม่ได้เจอหรือติดต่อกันอีก ผมได้แต่บอกตัวเองให้ทำใจยอมรับว่าควรอยู่ห่างๆ เขาให้มาก เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย และควรตัดใจให้ได้โดยเร็ว แต่มันไม่ง่ายดายและรวดเร็วขนาดนั้น
หลังสอบสองวันผมจึงส่งข้อความไปให้พีหนึ่งฉบับว่า
ฟังรายการ......อยู่หรือเปล่า?
คืนนี้เราขอเพลงให้พีด้วยนะ
ฝันดีนะครับ .............................
ช่วงปิดเทอมเป็นช่วงที่ดูเหมือนจะสบายที่สุดเพราะไม่ต้องไปเรียน ที่บ้านไม่ได้เคร่งถึงขนาดจะส่งผมไปเรียนพิเศษกวดวิชา จึงอยู่แต่กับบ้าน เล่นดนตรี แต่งเพลงไปเรื่อยเปื่อย...
ได้เจอเพื่อนๆ อีกครั้งก็เป็นช่วงสงกรานต์นั่นแหละครับ พอดีที่บ้านอาร์มีบ้านพักใกล้ชายหาดที่ จ. ระยองพอดีก็เลยชวนกันไปเล่นน้ำสงกรานต์และค้างที่นั่นสักคืน...
เพราะความเหงาที่ไม่ได้เจอเพื่อนมานานทำให้ตอบตกลงไปโดยไม่ได้ถามสักคำว่ามีใครไปบ้าง แต่ก็เดาเอาว่าพีอาจจะไม่ได้ไปด้วย เขาคงอยากไปเที่ยวกันแฟนมากกว่า...
เมื่อเวลานัดมาถึง กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด อาร์ขับรถกระบะแค๊ปสองประตูมารับ นอกจากอาร์ (คนขับรถ) เอส เพื่อนในชมรมดนตรี ทีม เบล โซนเพื่อนในห้องแล้วพีเองก็มาด้วย จากบ้านพวกเราไปถึงบ้านพักของอาร์ก็ไกลพอสมควร จึงไม่มีใครอยากไปนั่งหลังรถให้ร้อนแดด ข้างหลังจึงมีแต่ถังใหญ่ (สำหรับใส่น้ำเล่นสงกรานต์) นอนแน่นิ่งและสัมภาระสำหรับค้างคืน ส่วนผู้โดยสารยัดตัวเข้าไปอยู่หน้ารถกันหมด แต่ผู้ชายสี่คนยัดกันตรงช่วงแคปก็นั่งสบายอยู่ แต่ถ้ามีคนที่ห้าก็แน่นเกินไป ผมที่อาร์มารับเป็นคนสุดท้ายก็คิดหนักว่าจะยัดตัวเข้าไปเบียดอีกคนยังไงดี ประกอบกับพีที่นั่งข้างหน้าไม่ยอมโยกเบาะแคปให้ผมเข้าไป
“ข้างหลังสี่คนก็เบียดแล้ว คิวนั่งหน้ากับพีไปเถอะ” เอสที่นั่งอยู่ข้างหลังบอก ทำให้ผมถอนใจเฮือก หันไปมองหน้านิ่งของพีที่ขยับตัวจะให้ผมเข้าไปเบียดที่เบาะหน้า ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่
“ถ้ารถเต็มเราไม่ไปก็ได้ พวกนายไปกันเถอะ” ผมตัดปัญหาเมื่อเห็นว่ารถคันนี้คงไม่มีที่เหลือพอสำหรับผม
“เฮ้ยได้ไง ไปด้วยกันเถอะ คิวตัวเล็กนิดเดียวคงไม่หนักมากหรอก นั่งตักพีมันไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว พอเข้าตลาดก็ค่อยไปนั่งข้างหลังกัน” อาร์ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก ไม่ยอมออกรถถ้าไม่มีผมไปด้วย
“งั้นถ้าลำบาก เรานั่งหลังก็ได้” ผมเสนออีกทางหนึ่งอย่างน้อยไปนั่งร้อนข้างหลังรถก็ยังดีกว่านั่งตักพีไปแหละ เพราะมันคงทรมานไม่ต่างจากถูกต้มในกระทองแดงเท่าไรนัก
ผมถอยหลังออกจากช่วงประตูรถเพื่อไปนั่งหลังรถอย่างที่พูด พร้อมๆ กับที่พีลุกขึ้นตามมา แล้วปิดประตูรถ ผมหันไปมองหน้าพีที่ยืนอยู่ข้างๆ มองมือของเขาที่จับข้อมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ
“พีลงมาทำไม” ผมถามพลางเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ถ้าคิวจะนั่งหลังรถจริงๆ เราจะนั่งเป็นเพื่อนเอง” ผมชะงักค้างกับคำพูดของเขา เคยคิดว่าการที่มีผมอยู่ใกล้อาจจะทำให้เขาลำบากหรือรำคาญใจจึงไม่คิดว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากของเขาได้ และผมคงไม่ใจร้ายพอจะลากพีให้ออกมาตากแดดร้อนๆ ข้างหลังด้วยกันได้ จึงต้องยอมขึ้นไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้าตักแทน
แค่สองชั่วโมงระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัดแต่กลับยาวนานมากกว่าร้อยปีแสงในความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าตัวเองหนักแค่ไหนและยิ่งไม่รู้ว่าจะทำให้คนข้างล่างเมื่อยหรือปวดขาหรือเปล่าจึงนั่งเกร็งตลอดทาง
“ไม่ต้องเกร็งก็ได้นะ กูไม่หนัก” เสียงพีดังอู้อี้อยู่ข้างหลัง แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเพราะทุกครั้ง ที่เขาขยับขาเปลี่ยนอิริยาบถก็พลอยหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทุกที
ระหว่างนั้นมันเกิดความรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจขึ้นว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เขาน่าจะรู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาทำให้ผมเสียใจแค่ไหนกับความเปลี่ยนแปลงไปของเขา แล้ววันนี้จะมาทำเป็นดีด้วยทำไม
อาร์พาพวกเราไปที่บ้านพักก่อนเพื่อเอากีตาร์ เต็นท์และของอื่นๆ ไปเก็บแล้วเตรียมตัวออกไปเล่นน้ำ ทันทีที่ถึงที่พักผมก็รีบเปิดประตูและออกจากรถอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรุ้สึกว่าเป็นภาระให้พีมากเกินไปแล้ว
“พี มึงรีบๆ ลุกดิวะ กูจะลง” เสียงเอสตะโกนโวยวายอยู่ในตรงที่นั่งแคปพลางเขย่าเบาะเก้าอี้ไปมาเหมือนเด็ก
“ใจเย็นดิวะ กูเหน็บกิน!!” พีตอบ ทำเสียงโอดโอย
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” เสียงเอสหัวเราะเยาะแล้วค่อยๆ ขับออกจากรถทางด้านคนขับ
ผมยังคงไม่ขยับตัวตามเพื่อนคนอื่นๆ เข้าไปชมบ้านแต่ยืนมองพีที่กำลังนวดขาตัวเองคลายความเมื่อยขบ และเมื่อพีลงจากรถผมก็เข้าไปประคองแขนเขาราวกับอีกฝ่ายพิการเดินลำบาก พีเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่ได้เห็นมานานจนดูเป็นของหายาก ผมอดดีใจไม่ได้ที่ได้เห็นมันและจะเก็บสะสมไว้ในความทรงจำตลอดไป....
หลังจากเก็บของเรียบร้อยและสำรวจบ้านพักครู่ใหญ่ พวกเราทุกคนยกเว้นอาร์ที่เป็นคนขับออกไปนั่งที่กระบะหลังรถ หลังแวะทานข้าวซื้ออุปกรณ์ได้แก่ขันน้ำ แป้ง ดินสอพอง น้ำแข็งมือ (เอามาใส่ถัง) ซื้อน้ำใส่ถังจนเต็มเราก็วนรถสาดน้ำแถวๆ ตลาดแล้วไหลไปตามทางเลียบชายหาด ซึ่งเพราะเป็นวันแรกของเทศกาล รถจึงไม่ได้ติดมากมายอะไรนักยังพอเคลื่อนไปได้เรื่อยๆ
เพื่อนๆ แลดูสนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะกันน่าดู บางทีก็ลงจากรถไปปะแป้งสาวข้างถนน ตัวผมไม่ได้ไปไหนเอาแต่ยืนเกาะถังน้ำคอยสาดสู้รถคันที่ขับผ่าน ยิ่งโดนน้ำเย็นๆ เพราะใส่น้ำแข็งมือลงไปด้วยแล้วล่ะก็โดนสาดแต่ละทีร้องซี้ดเหมือนโดนเข็มตำยิ่งต้องตักน้ำเย็นในถังตัวเองสาดคืนเป็นการแก้แค้น
ฟิ้ว....ปุ
สาดน้ำอย่างเมามันในอารมณ์จนขันกระเด็นไปตกอยู่ข้างล่าง
ผมขยับตัวจะกระโดดลงจากรถวิ่งไปเก็บขันแต่ใครอีกคนรั้งแขนไว้เสียก่อน เพราะรถที่จอดนิ่งสนิทเพราะการจราจรติดขัดเมื่อครู่เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง
“ขอบใจ” ผมหันไปบอกเจ้าของมือนั้น ปรากฏว่าเป็นพีนั่นเอง รอยยิ้มกว้างของผมจางเล็กน้อยพร้อมกับก้มหน้าลง
“อื้อ...ระวังหน่อย” เขาตอบแค่นั้นแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
รถเคลื่อนที่ไปได้ไม่ไกลนักก็หยุดลงอีกครั้ง พีปล่อยแขนผมแล้วโดดลงจากรถไปเก็บขันมาให้จนได้ ผมยื่นมาไปรับด้วยอาการเขินเล็กน้อย
เฮ้อ...ทั้งที่เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อยเท่านั้นไม่รู้ว่าจะดีใจอะไรนักหนาสิเรา....
รถเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านไปเกือบชั่วโมงได้ จึงสามารถหาที่จอดรถได้สำเร็จ เอสหิ้วเสื่อข้ามถนนไปปูที่ว่างตรงชายหาดมีคนนั่งกินลมชมวิว กินอะไรกันมากมาย
“สั่งไก่ย่างกับตำไทยปูพริกสองเม็ดให้กูด้วยนะ เดี๋ยวกูมา” พีบอกอาร์ที่กำลังจะไปซื้อหาของกิน
“สั่งให้อย่างเดียวแต่ไม่เลี้ยงโว้ย เอาตังค์มาด้วยอย่าเนียน” อาร์บอกแบมือขอเงินยิกๆ
“งกชิบหาย...” พีบ่นพลางส่งกระดาษอัรมีค่าสีแดงสดให้อาร์ไปหนึ่งใบ
“ขอบใจที่ชม” อาร์บอกกวนๆ แล้วเดินเลี่ยงไป
“คิว...ไปเป็นเพื่อนซื้อหมวกหน่อยสิ” พีหันมาชวนแล้วไม่รอคำตอบจับมือผมลากไปซะเฉยๆ ผมเดินตามเขาไปเหมือนคนสติไม่อยู่ร่องกับรอยเอาแต่มองแขนตัวเองแล้วก็หน้าร้อนผ่านขึ้นมาซะอย่างนั้น...
ขอร้องล่ะถ้ารู้ความรู้สึกกันแล้วและไม่ได้คิดเหมือนกัน ก็อย่ามาทำแบบนี้ให้ใจเต้นหน่อยเลยได้ไหม?
“อยากซื้อไปเล่นที่บ้านชะมัด....” พีบ่น ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของเขา ที่พามาหยุดอยู่ข้างๆ รถคันใหญ่ที่มีของอยู่เต็มคัน พีกำลังมองอ่างอาบน้ำเล็กๆ ที่ทำจากยางเป่าลม ผมมองตามแล้วอดยิ้มไม่ได้ โตป่านนี้แล้วยังอยากเล่นอะไรเป็นเด็ก ตัวโตขนาดนี้ขืนลงไปน้ำก็กระฉอกออกหมดพอดี
“ร้านนี้ก็มีหมวกนี่นา เอาอันนี้แล้วกันเนอะ” พีพูดเองเออเองแล้วสวมหมวกสานลงมาบนหัวผม แล้วหันไปจ่ายเงิน
“ทำไมไม่ใส่เองล่ะ” ผมถามขึ้นมา
“ฝากหน่อยไมได้เหรอ เดี๋ยวค่อยเอาคืน” ผมส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
เดินกลับมานั่งกินข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่าง คอหมูย่างที่แหว่งไปเยอะแล้วกับเพื่อนที่สวาปามสลับกับไปเล่นน้ำ
“โห...บอกให้ซื้อเผื่อ เสือกไม่เหลือไว้ให้กูเล้ย” พีบ่นพลางส่ายหน้า แต่ไม่มีใครสลด
“เดี๋ยวไปซื้อเพิ่มก่อนนะ” เขาหันมาบอกแล้วเดินออกไป
“อาร์ชวนยังไง พีถึงยอมมาด้วย” ผมหันไปสอบถามอาร์ที่นั่งเคี้ยวปีกไก่อยู่ข้างๆ
“ทำไมล่ะ ค่าน้ำมันก็ไม่ต้องเสีย ค่าที่พักก็ไม่ต้องออก ทริปดีๆ ขนาดนี้มีที่ไหน” อาร์ว่า
“แค่แปลกใจ นึกว่าพีจะไปเที่ยวกะแฟนซะอีก”
“ฮ่าๆ คิวตกข่าว มันเลิกไปแล้วนี่”
“จริงอ่ะ? ทำไมล่ะ” ผมทำหน้าตกใจเพราะไม่รู้มาก่อน
“จะไปรู้มันเหรอ อยากรู้ถามมันเองสิ” อาร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“แต่กูรู้... ไอ้พีมันเป็นเกย์มันเลยโดนทิ้งไง” โซนพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
พรวด!! ผมสำลักไก่ย่าง ไอโขลกขึ้นมาทันที
“ทำเป็นรู้ดีนะมึง เอาเรื่องจริงสิ ไม่ใช่โคมลอย” อาร์ตบกระบาลโซนไปทีอย่างหมั่นเขี้ยว
“เอ๋า ก็แล้วทำไมจะไม่จริง ก็แฟนไอ้พีเขาว่าไอ้พีมันกบจำศีลไม่มีน้ำยาเอาผู้หญิง สงสัยเป็นเกย์แหงๆ”
“ฮ่าๆ เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่กินในที่ลับไขในที่แจ้ง เดี๋ยวนี้ถ้าไม่กินในที่ลับกลับเป็นเกย์แน่ๆ ซะงั้น” อาร์หัวเราะ “กูว่าเชื่อไม่ได้ว่ะ สงสัยโกรธที่ไม่โดนฟันซะทีเลยหาเรื่องปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงมากกว่า ถ้าแม่งเป็นเกย์จริงๆ พวกเราน่าจะต้องเคยหน้าเมียมันมั่งแหละวะ” อาร์วิเคราะห์เจาะลึกเล่นเอาผมหน้าซีดเผือด ท้ายที่สุดก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องเป็นยังไงมายังไงกันแน่อยู่ดี
แต่ผมว่าถ้ามีข่าวลือแบบนี้ออกมาผมอาจจะมีส่วนทำให้เป็นอย่างนั้นก็ได้
หรือว่า....ที่พีกลับมาทำดีด้วยเพื่อทำให้ผมหลงตายใจแล้วตลบหลังแก้แค้นที่ผมเป็นต้นเหตุให้เลิกกับแฟนแถมยังโดนเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์

คิดมากไปมั้ง คงไม่บ้าบอขนาดนั้นหรอกน่า.....
“คิว.....เล่นน้ำทะเลกัน” ผมสะดุ้งเฮือก หลุดจากภวังค์แล้วหันมาตามเสียง เอสตัวเปียกมะล่อกมะแล่กเพราะเพิ่งขึ้นจากทะเลชักชวนให้ลงไปเล่นน้ำด้วยกัน
“ไม่เอาอ่ะ กลัว”
“กลัวอะไร?” เอสถาม
“ว่ายน้ำไม่เป็น” ผมตอบกลับไป โดยไม่รู้เลยว่าพลาดไปแล้วเมื่ออีกฝ่ายหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์กับอาร์...แล้วร่างของผมก็ลอยขึ้นเพราะอาร์กับเอสช่วยกัน คนหนึ่งยกไหล่ อีกคนยกขาพาไปทางทะเลแล้วก็......
ตู้ม..... ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
โอ๊ย....สาบานเถอะว่าอยู่ ม.ปลายกันแล้วเล่นอะไรอย่างเด็กประถม....
พอทิ้งผมลงน้ำเสร็จไอ้สองตัวนั่นก็เดินลงทะเลไปเล่นตรงส่วนที่ลึกกว่านี้ เพราะระดับน้ำที่โยนลงมาไม่ได้ลึกอะไรนัก ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งให้พ้นน้ำได้สำเร็จ แต่ไม่วายมีคลื่นมากระแทกอีกลูก....
“แค่กๆ” ผมไอซ้ำซาก เพราะสำลักน้ำ หูอื้อ ตาลายไปหมด
“อยากเล่นน้ำก็ไม่บอก” เสียงที่คุ้นเคยลอยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าแกมหัวเราะ ผมเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยวใส่เจ้าของเสียงนั่นเพราะอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
“รอนี่แป๊บนะ” พีว่าแล้ววิ่งขึ้นไปที่ชายหาดแล้วกลับมาพร้อมห่วงยางอันใหญ่
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวพาไปเที่ยว”
“ไม่เอาหรอก กลัว” ผมส่ายหน้าอย่างหวาดๆ ทันที
“กูไม่ทำมึงตกหรอกน่า” อีกฝ่ายยังเซ้าซี้แต่เมื่อเห็นผมไม่ขยับเขยื้อนอีกฝ่ายก็ถือวิสาสะอุ้มผมขึ้นจากน้ำแล้ววางบนบนห่วงยางแล้วไสลงไปในทะเล
“พี....ไม่เอา อย่าแกล้งเราสิ เรากลัว”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย... พามาเล่นน้ำเฉยๆ ” เขาบอกแล้วยังคงลากผมให้ลึกลงเรื่อยๆ ผมหลับตาปี๋จนห่วงยางหยุดนิ่งน้ำอยู่ที่คอของพีและเท่ากับว่าถ้าผมตกลงไปน้ำคงเกือบมิดหัว
สงสัยเรื่องที่ผมคิดคงจะจริงแล้วล่ะ พีคงแค้นเรื่องอะไรสักอย่างเลยหาทางแก้แค้นอยู่
“เราขอโทษ....ปล่อยเราไปเถอะ สัญญาว่าต่อไปจะไม่วุ่นวาย ไม่เข้าไปใกล้ ไม่เซ้าซี้กวนใจแล้ว” ผมบอกออกไปในที่สุดด้วยความกลัวจนตัวสั่น
“พูดอะไรของมึงเนี่ย ขอโทษอะไร” พีถามกลับมา ทำหน้างง
“พีเพิ่งเลิกกับแฟนใช่ไหมล่ะ”
“ถ้าใช่แล้วไงล่ะ?”
“คงไม่ใช่เพราะเราหรอกใช่ป่ะ?” ผมถามเสียงอ้อมแอ้ม
“หึ...ถ้าใช่แล้วจะรับผิดชอบไหมล่ะ?”
“.........” ผมเงียบพูดไม่ได้ออก จะให้รับผิดชอบยังไงล่ะ
“เอ้าเงียบ ไม่ตอบ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่เลยนี่” พีขู่แล้วทำท่าจะทิ้งผมล่องลอยอยู่บนห่วงยางคนเดียวจริงๆ
“พีอย่าเพิ่งไป ....” ผมร้องแล้วพยายามดึงเสื้อเขาไม่ได้ว่ายน้ำหนี จนห่วงยางเอียง ตัวเองร่วงไปข้างล่างแทน
“เฮ้ย.... ลงมาทำไม” พีโวยวายพยายามดึงผมให้ลุกขึ้นแต่ผมกลัวจมน้ำจนเอาแต่กอดคอเขาแน่น
“ยืนสิคิว ยืนดีๆ น้ำไม่ลึกสักหน่อยเห็นไหม....” พีบอกพยายามแกะมือผมออกจากคอ ครู่ต่อมาผมจึงตั้งสติได้แล้วลองยืนดู น้ำลึกไม่ถึงอกผมด้วยซ้ำ
“โธ่เอ๊ย กระต่ายตื่นตูมจริงๆ” พีบ่นแล้วหัวเราะ
“ก็ตอนแรกน้ำมันถึงคอพีนี่” ผมพยายามแก้ตัว
“ก็พีหดขาแล้วเกาะห่วงยางไว้นี่ ไม่สังเกตเลยเหรอ?” พีอธิบาย ทำผมหน้าแดงเพราะความอายที่ไม่ได้มองอะไรบ้างเลยเอาแต่โวยวายอย่างเดียว
พีว่ายน้ำไปหยิบห่วงยางที่ลอยไปอีกทางแล้วย้อนกลับมายื่นให้ผมเกาะ จึงทำให้รู้ว่าน้ำทะเลเบามากเมื่อเอามือเกาะห่วงยางแล้วปล่อยตัวตามสบายขาก็ลอยขึ้นไม่ติดพื้นซะแล้ว
“พีไม่กล้าเสี่ยงพาคิวไปลึกทั้งๆ ที่รู้ว่าคิวว่ายน้ำไม่เป็นหรอกน่า เป็นอะไรขึ้นมาไม่มีปัญญาทำใช้”
“ก็เราไม่รู้นี่นา....” ผมตอบเสียงอ่อย
“ชิ....เสียแผนหมดเลย” พีว่าทำหน้าขัดใจ
“แผน? นั่นไงว่าแล้วเชียว... กำลังวางแผนจะแกล้งเราเพื่อแก้แค้นอยู่จริงๆ ด้วย” ผมว่าทำท่ารู้ทัน
“ใช่ซะที่ไหนเล่า แค่จะถามอะไรหน่อย กะจะขู่ว่าถ้าไม่ตอบจะไม่พาเข้าฝั่งเท่านั้นเอง”
พีเนี่ยนะมีเรื่องจะถามผม พีอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผมล่ะ? ตอนนี้ผมต่างหากที่มีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับพีเต็มไปหมด
“จะถามอะไรเหรอ? ว่ามาสิ ถึงไม่ได้ขู่อะไร ถ้าพีถามคิวตอบได้หมดแหละ”
“อืม....งั้นขอถามจริงๆ อ่ะว่าคิวชอบเราเหรอ?” อ้าว....เฮ้ย!! ผมก้มหน้าลงทำหน้าอายๆ
“........ อย่าถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วได้ไหมล่ะ?” ผมบอกเสียงเบา
“รู้อะไรล่ะ ถ้ารู้แล้วจะถามเหรอ?” สรุปว่าจะให้สารภาพรักใหม่อีกเหรอ? แล้วไงล่ะ คราวนี้ต้องร้องเพลงดาวอีกกี่รอบถึงจะได้รับคำตอบ เฮ้อ....
“ก็ช็อกโกแล็ตวันวาเลนไทน์ แล้วเบอร์โทรที่เราให้อีก ยังไม่ชัดอีกเหรอว่าเราคิดยังไง?” ผมตอบเสียงดังแต่ก้มหน้าเอาหัวซบห่วงยาง
“จริงเหรอ เราคิดว่าคิวล้อเล่นซะอีก..”
อ้าว....ซะงั้น!! เอาความเศร้าของผมคืนมานะ

“มีอะไรจะถามอีกไหมจะได้ขึ้นฝั่ง ถึงตรงนี้ไม่ลึกแต่เราก็ไม่ชอบอยู่ดี....” ผมตัดบทด้วยความเซ็งจิต
“โอเคๆ คำถามสุดท้ายแล้ว คิวเป็นแบบนี้มานานหรือยัง”
“เป็นแบบไหน?”
“คิวรู้ตัวว่าชอบผู้ชายตั้งแต่ตอนไหน? นานหรือยัง”
“สำคัญมากนักเหรอ?” เมื่อผมคิดถึงคำตอบของตัวเองแล้วก็ต้องหน้าแดงขึ้นมาทันทีจนไม่อยากตอบ
“ไม่สำคัญหรอก... ก็แค่อยากรู้ เผื่อจะเอามาตัดสินใจว่าจะตอบคิวยังไงแค่นั้นแหละ แต่จะไม่บอกก็ได้นะ จะได้คิดนานๆ เปิดเทอมค่อยตอบดีป่ะ” ทำมาเป็นเล่นตัว รู้ล่ะสิว่าผมอยากฟังคำตอบจะแย่อยู่แล้ว....
เปิดเทอมเลยเหรอ? นานไปมั้ง
“ตอบก็ได้....แต่พีต้องสัญญามาก่อนนะว่าถ้าตอบแล้วจะไม่หัวเราะ” ผมยื่นเงื่อนไข
“ฮ่าๆ ขนาดนั้นเชียว สัญญาๆ ตอนไหนเหรอที่คิวหันมาชอบผู้ชายด้วยกันน่ะ”
“ก็.......ตั้งแต่ได้รู้จักพีนั่นแหละ”.........................................................
หนีความเครียดมาแต่งอะไรเบาๆ บ้าง

ได้มาอีกตอนเพราะอิทธิพลสงกรานต์
ว่าจะเขียนสั้นๆ ไปๆ มาๆ ยาวทุกที
ตอนหน้าคงจบแล้วล่ะเรื่องนี้ เพราะเรื่องไม่ซับซ้อนอะไร
