แสงสุรีย์ แนวจักรๆวงศ์ จร้า ตอนจบ 4/9/12 P 3 ^_^
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แสงสุรีย์ แนวจักรๆวงศ์ จร้า ตอนจบ 4/9/12 P 3 ^_^  (อ่าน 41339 ครั้ง)

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
แสงสุรีย์ ตอน 5


สองขัตติยะดำเนินไปตามถนนในเมืองกัญจานครอย่างเพลิดเพลิน
 ความใหญ่โตโออ่าของเมืองทำให้วรองค์เล็กรู้สึกตื่นเต้นจนเก็บอาการมิได้
ความซุกซนฉายในแววพระเนตรจนวรองค์สูงอดที่จักแย้มโอษฐ์ตามมิได้

“หลีกหน่อยๆๆ พวกเจ้าหลบไปเดี๋ยวนี้ องค์เหนือหัวกับพระมเหสีจักเสด็จมา ”

 ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยอาภรณ์เนื้อดีเอ่ยบอกกับผู้คนที่อยู่ในตลาด ชาวเมืองกัญจานครต่างกระวีกระวาด
 นั่งพับเพียบเรียบร้อยแลเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อจักได้เข้าเฝ้าองค์เหนือหัวแลพระมเหสี ผู้ซึ่งพวกเขาเคารพ

“เหตุใดผู้คนจึงดูยินดีเช่นนี้หรือ” สุรเสียงเล็กตรัสถาม

“เท่าที่พี่รู้ ท้าวกัญจานั้นทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิศราชธรรมปกครองบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์
 แลเสียสละ ชาวเมืองจึงเคารพรักพระองค์มาก”

“องค์เหนือหัวเสด็จ” ชายวัยกลางคนที่คล้ายจักเป็นกรมวังกล่าวก่อนเสลี่ยงของท้าวกัญจาแลพระนางจันทนีจักเคลื่อนเข้ามา

“แสงสุรีย์เจ้าเป็นอันใด” สุรเสียงทุ้มตรัสถามเจ้าร่างบางของพระองค์ที่บัดนี้ เครื่องหน้าสวยเต็มไปด้วยน้ำตาที่มิอาจหาที่มาได้

“เราไม่รู้ ” สุรเสียงเล็กตอบได้เพียงเท่านั้นก่อนจัก เหม่อมองเสลี่ยงทองจนลับพระเนตรไป
พระองค์ก็มิเข้าใจว่าพระองค์เป็นอันใด ทันทีที่เห็นพระพักตร์ของเจ้าเหนือหัวแลพระมเหสี
เหตุใดความรู้สึกนี้จึงเกิดขึ้นจนมิอาจห้ามอสุชลได้ ความรู้สึกทั้งรักแลน้อยใจนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งๆที่พระองค์นั้นไม่แม้แต่จักเคยพบทั้งสองพระองค์มาก่อน

“แสงสุรีย์ ไหวหรือไม่” สุรเสียงทุ้มตรัสด้วยความห่วงใย
วรองค์สูงมิใคร่สบายพระทัยนักที่เจ้าร่างบางแสนร่าเริงของพระองค์ทุกข์ตรมเยี่ยงนี้

“เรา เรา มิได้เป็นอันใดดอก ขบวนเสด็จผ่านไปแล้วเราไปเดินเล่นกันเถิด”แม้น สุรเสียงเล็กจักบอกอย่างร่าเริง
แต่ในพระเนตรนั้นกลับเต็มไปด้วยความทุกข์  ทำให้วรองค์สูงเป็นทุกข์ตามไปด้วยเจ้ารู้หรือไม่
 แสงสุรีย์แม้นทุกข์เพียงน้อยนิดของเจ้าแต่มันกลับทำให้ใจพี่นั้นร้อนราวกับโดนอัคคีแผดเผา
 พี่มิปรารถนาเห็นสีหน้าเศร้าตรมเยี่ยงนี้แม้เพียงนิด

“เจ้าอย่าโกหกพี่”

“เราบอกท่านแล้วว่าเรามิได้เป็นอันใดหากท่านยังคงถามเราเยี่ยงนี้ เห็นทีเราคงต้องกลับแล้ว”
วรองค์เล็กตรัส ก่อนจักดำเนินออกมาจากตลาด


วรองค์เล็กดำเนินออกมาด้วยพระทัยสับสน ไม่รู้ว่าจักทำเช่นไรจึงจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ใจที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ได้
ทันทีที่เห็นพระพักตร์ของเจ้าเหนือหัวแห่งกัญจานคร ความน้อยใจพลันเกิดขึ้นโดยมิรู้องค์นี่มันเรื่องอันใดกัน

“แสงสุรีย์” สุรเสียงทุ้มตรัสก่อนที่อ้อมพระพาหาแกร่งจักโอบวรองค์เล็กเอาไว้แน่น

“ท่าน ปล่อยเรานะ ท่านจะทำอันใด”

“พี่ไม่ปล่อย หากปล่อยเจ้าก็จักเดินหนีพี่อีก พี่ไม่ปล่อยเจ้าดอก” สุรเสียงทุ้มเอ่ยเย้า ก่อนจักรัด วรองค์เล็กไว้แน่นกว่าเดิม

“เรามิใช่สตรี ท่านจักทำกับเราเยี่ยงนี้มิได้”

“เรื่องนี้มันมิได้เกี่ยวว่าเจ้าเป็นสตรีหรือบุรุษ แต่มันเกี่ยวกับว่าพี่อยากกอดเจ้าให้คลายทุกข์เพียงเท่านั้น”

“ท่าน เหตุใดท่าน…..”

“พี่มิอาจรู้ว่าเจ้าทุกข์ด้วยเรื่องอันใดแต่พี่เพียงอยากปลอบโยนเจ้าเท่านั้น แสงสุรีย์หากเจ้าไว้ใจพี่ก็จงบอกพี่ได้หรือไม่
ว่าเจ้าทุกข์ด้วยเรื่องอันใด”
สุรเสียงทุ้มตรัสถาม อ้อมพาหาแกร่งแต่อ่อนโยนจนวรองค์เล็กรับรู้ได้กระแสแห่งความอบอุ่นราวกับว่าเมื่ออยู่ในอ้อมกอดนี้
พระองค์จักสามารถลืมความทุกข์ตรมทั้งสิ้นลงได้

“เรา ฮึก เราไม่รู้ เราไม่รู้ว่าตนเองเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ไม่รู้ว่าเรา ฮึก เรา….ทุกข์ด้วยเหตุอันใดแต่เราทุกข์เหลือเกิน”

“อย่าร้องไห้เลยแสงสุรีย์ พี่จักอยู่ตรงนี้อยู่ข้างๆเจ้าเอง อย่าได้กลัวสิ่งใดเลย” อ้อมพาหาแกร่งโอบกอดเจ้าร่างบางของพระองค์ไว้เพียงแค่อยากปลอบโยนให้ร่างบางนี้หายจากความทุกข์  แม้นมิได้เอ่ยสิ่งใดอีกแต่พระโอรสแสงสุรีย์กลับรับรู้ถึงความอบอุ่น
ที่ทำให้พระทัยผ่อนคลายอ้อมกอดนี้ช่างคล้ายกับพระบิดาบุญธรรมของพระองค์เหลือเกิน

“แสงสุรีย์นับจากนี้เจ้าเรียกพี่ว่าพี่ได้หรือไม่”

“ให้เราเรียกท่าน ว่าพี่ อย่างนั้นหรือ”

“ได้หรือไม่ ”

“ได้สิ พี่ฤทธิรุทร”
พระโอรสฤทธิรุทรแย้มพระโอษฐ์อย่างยินดีก่อนจักกระชับอ้อมพาหาแน่นขึ้น แม้นคำนี้จักไม่ใช่คำที่พระองค์ปรารถนาที่สุด
แต่อย่างน้อยเจ้าร่างบางก็ยอมเรียกพระองค์ว่า “พี่” แล้ว แม้นคำว่ารักจักอยู่ห่างไกลนักแต่พระองค์ยังมีเวลาอีกมาก
ที่จักทำให้ร่างในอ้อมพาหารักพระองค์





พระอาทิตย์อัสดงสะท้อนเงาของสองขัตติยะที่ทรงหลับใหลในอ้อมกอดของกันและกันเป็นภาพที่ชวนมองยิ่งนัก
หนึ่งองค์แข็งแกร่งสง่างามดังภูผา อีกองค์ช่างบอบบางราวแก้วเจียระไน แต่เวลาของทั้งสององค์จะเนิ่นนาน
อย่างที่พระโอรสฤทธิรุทรทรงคิดจริงๆหรือ ….


“แสงสุรีย์ ตื่นเถิด แสงสุรีย์” สุรเสียงทุ้มตรัสพลางเขย่าร่างบางในอ้อมพาหา

“อือ เสด็จพ่อลูกขอนอนอีกสักประเดี๋ยวนะพระเจ้าค่ะ”

เสด็จพ่อ ??? เหตุใดแสงสุรีย์จึงเอ่ยเช่นนี้หนอ เจ้าร่างบางในอ้อมกอดของพระองค์เป็นผู้ใดกันแน่

“แสงสุรีย์ ตื่นเถิด ”

“พระเจ้าค่ะ ลูกตื่นแล้ว” วรองค์เล็กงัวเงียก่อนจักลืมพระเนตรขึ้น

“เสด็จ ….. พี่ฤทธิรุทร เหตุใดเราถึงอยู่ที่นี้ได้”

“เจ้ากับพี่เผลอหลับไป นี่ก็ใกล้สองยามแล้วเราต้องเร่งออกเดินทางกันได้แล้ว”

“ นี่สองยามหรือ แย่แล้ว เสด็จพ่อต้องกริ้วเราแน่ๆ”

“เดี๋ยวก่อนแสงสุรีย์” วรองค์สูงตรัสก่อนจักจับวรองค์เล็กให้ประทับข้างๆพระองค์

“เจ้าพูดราวกับว่าเจ้าหนีใครออกมา”

“คือเรา….เรา”

“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่แสงสุรีย์ เจ้าบอกพี่ได้หรือไม่” 
พระโอรสแสงสุรีย์มองพี่ฤทธิรุทรของพระองค์อย่างอ่อนใจมาถึงขั้นนี้แล้วคงมิอาจปิดบังได้อีกได้
แต่หวังเพียงว่าเมื่อรู้ความจริงแล้วพระองค์จักไม่ถูกมองว่าเป็นอมนุษย์ก็เพียงพอแล้ว

“เฮ้อ เห็นทีเราคงมิอาจปิดบังพี่ได้อีก……….. เราคือโอรสบุญธรรมของกนธีนาค แลเป็นนัดดาแห่งท้าววิรุณปักษ์ผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำ”

“พี่ไม่แปลกใจดอกหรือ” วรองค์เล็กตรัสถามเหตุใดคนตรงหน้าจึงได้นิ่งเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแม้นในเพลานี้จักมี
เทพผู้วิเศษแลอมนุษย์อยู่มากมายแต่หากมนุษย์ธรรมดาได้ยินต่างต้องอกสั่นขวัญเสียมิใช่หรือ

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเราเป็นผู้ใด”

“พี่ มิใช่มนุษย์ดอกหรือ”

“พี่เป็นโอรสแห่งท้าวราพสูญ เจ้าผู้ครองนครเวหล ผู้เป็นใหญ่ในวงศ์ยักษาได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้าคิดว่าพี่ควรจักต้องหวาดกลัวเจ้าหรือไม่”

“ทะ ท่าน เป็นยักษ์หรือ”
สุรเสียงเล็กสั่นไหว แม้นจักเติบโตมาในวงศ์นาคาผู้เป็นกึ่งเทพแต่การได้มาอยู่ต่อหน้าวงศ์ยักษา
ที่ขึ้นชื่อถึงความโหดเหี้ยมแล้วไซร้พระองค์ก็อดที่จะหวาดกลัวมิได้

“เจ้ากลัวพี่หรือ”

“เรา…เรา”

“อย่ากลัวพี่เลยแสงสุรีย์ แม้นพี่จักเป็นยักษ์แต่หาได้คิดร้ายกับเจ้าไม่ พี่ไม่มีทางทำอันตรายกับเจ้าแม้เพียงปลายเส้นผมเจ้าเชื่อพี่หรือไม่” สุรสเสียงทุ้มตรัสอย่างใจเย็นทรงรับรู้ได้ถึงความกลัวที่วรองค์เล็กมีต่อพระองค์

“เราจักเชื่อท่านได้อย่างไร”

“พี่จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อ พี่ รักเจ้า มากนักแสงสุรีย์”

คำรักของวรองค์สูงสะกดพระโอรสแสงสุรีย์ไว้จนมิกล้าเอ่ยคำใด

“ท่านเอ่ยสิ่งใดออกมาท่านรู้หรือไม่”

“เหตุใดพี่จักไม่รู้ พี่รักเจ้า รักตั้งแต่คราแรกที่พบหน้าเจ้า แล้วเจ้าเล่าแสงสุรีย์เจ้ารักพี่หรือไม่”

“เรา…เรา ไม่รู้ ”

“เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก” พระโอรสฤทธิรุทรทรงสรวลเบาๆก่อนจักโอบวรองค์เล็กให้แอบอิงพระอุระ

“เรามิใช่เด็ก!!”สุรเสียงเล็กตรัส ก่อนจักแสดงอาการแง่งอนจนผู้ที่โอบกอดอยู่นั้นอดที่จะแย้มสรวลมิได้

“ท่านหัวเราะอะไร”
มีแต่เพียงความเงียบที่ตอบกลับมา สองขัตติยะต่างจดจ้องกันราวกับจะประกาศสงคราม

“ทำไมท่านเงียบเช่นนี้”

“พี่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าให้เรียกพี่ว่าพี่แล้วแทนตัวเจ้าว่าน้อง”

“ท่าน …มันเอาแต่ใจ”

“…..”

วรองค์เล็กจำต้องเอ่ยคำที่ถูกบังคับมิเช่นนั้นคงต้องทนอยู่กับคนบ้าใบ้ทั้งคืนเป็นแน่

“พี่ฤทธิรุทร จักปล่อยน้องได้หรือยัง”

“เจ้ายังมิเอ่ยบอกพี่เลย ว่าเจ้าคิดกับพี่เยี่ยงไรใยพี่ต้องปล่อยเจ้าเล่า”

“ท่านบังคับเรา!!”

“แสงสุรีย์ หากใจเจ้าตรงกับพี่ก็บอกให้พี่รู้เถิด”

“เหตุใดต้องถาม หากไม่รักน้องจักทำเป็นนั่งนิ่งให้พี่กอดเยี่ยงนี้หรือ ถึงอย่างไรน้องก็เป็นชาย
หากไม่รัก ก็คงไม่ทำเรื่องที่น่าอับอายถึงเพียงนี้ดอก”
สุรเสียงเล็กตรัสแม้นจักเขินอายที่จำต้องตรัสเยี่ยงนี้ หากยังคงเก็บคำไว้เกรงว่าจนถึงเพลาเช้าก็คงมิอาจหลุดจากอ้อมอุระแกร่งได้
คำรักที่ร่างบางในอ้อมอุระเอ่ยทำให้พระทัยของวรองค์สูงนั้นเต้นแรงจนมิอาจห้ามได้แม้นในชีวิตจักได้ฟังคำว่ารักมานับร้อยนับหมื่นคำหากแต่เมื่อคำว่ารัก เอ่ยออกจากเจ้าร่างบางของพระองค์นั้นกลับหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าเสียอีก

“ไปเถิด พี่จักไปส่งเจ้าเอง”

“มิต้องดอก ลืมแล้วหรือว่าน้องเป็นบุตรแห่งสายน้ำที่ใดมีสายนที น้องย่อมสามารถใช้มันกลับบ้านได้”
วรองค์เล็กตรัสก่อนจักหยิบว่านนาคานิมิตรเพื่อใช้แปลงเป็นนาคา



วรองค์เล็กร่ายมนตราที่เสด็จปู่เคยสอนสั่งก่อนที่ร่างบอบบางจักกลายเป็นนาคาน้อยกลายสีเขียวดังมรกต
ยามต้องแสงจันทร์นั้นช่างสดใสราวกับอัญมณีล้ำค่า ดวงตาสีแดงกล่ำดังย้อมด้วยเลือดก่อนนาคาน้อยจักเลื้อยกายยาว
ลงลำธารสายเล็กที่ไหลผ่าน


“แสงสุรีย์เราจักได้เจอกันอีกหรือไม่”
นาคาน้อยมิได้เอ่ยสิ่งใดแต่แววตาอ่อนโยนนั้นกลับสะท้อนถึงคำมั่นสัญญาได้เป็นอย่างดี  ก่อนร่างนั้นจักเลื้อยแลหายไปในสายน้ำ


........................................................................

มาต่อแล้วนะคะ ขอโทษจริงค่ะ ฝึกงานไม่มีเวลา และอารามณ์
จะเขียนเลย มันเหนื่อย คิดไม่ค่อยจะออก แต่ยังไงก็ขอบคุณ
นะคะ ที่ยังติดตามกันตลอดมา ^_______^
ทุกคน น่าร็อคอ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2012 22:52:36 โดย pita »

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เรื่องกำลังสนุกค่ะ ตอนแรกนึกว่าพระเอกเราจะเป็นครุฑซะแระ อิอิ

ออฟไลน์ lighter

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นึกว่าพระเอกจะเป็นครุฑเหมือนกัน

อิอิ สนุกๆๆ มาอัพไวไว นะจ้า

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
เพิ่งเห็นเรื่องใหม่
ของพิตต้าอ่า
มาตามอ่านแล้วน๊า
ยังเขียนได้สนุก
เหมือนเดิม
รออ่านตอนต่อไป :L2:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ตอนที่ 6


พระโอรส ในที่สุดท่านก็เสด็จกลับมา รู้ไหมว่าข้าพระองค์จักอกแตกตายอยู่แล้ว” เสียงทุ้มของเจ้าเต่ายักษ์เอ่ยกับผู้เป็นาย

“พี่จักอกแตกตายหรือท้องแตกตายกันแน่พี่ต้วมเตี้ยม เราเห็นว่าพี่กำลังเพลิดกับการกินมากกว่าเป็นห่วงเราเสียอีก”

“ข้าพระองค์เป็นห่วงพระโอรสนะพระเจ้าค่ะ แต่ของกินมากมายนี้เสด็จพ่อของพระองค์ประทานมาถ้าหากมันเหลือจักเป็นที่สงสัยได้นะพระเจ้าค่ะ”

“เราเชื่อแล้ว พี่ช่างเป็นห่วงเราเสียจริง แล้วเสด็จพ่อเล่าเหตุใดเรามิเห็นพระองค์เลย”

“ท่านกนธี เสด็จไปที่ทะเลตะวันออกพระเจ้าค่ะ”

“แล้วเสด็จพ่อสงสัยอันใดหรือไม่”

“ฝีมือระดับข้าพระองค์มิอาจมีใครสงสัยได้ดอกพระเจ้าค่ะ”
 เจ้าเต่าตัวอ้วนเอ่ยอย่างภูมิใจ ก่อนจะตบอกเป็นการใหญ่เพื่อยืนยันกับผู้เป็นนาย



วรองค์เล็กมิใคร่อยากสนใจเจ้าเต่าอ้วนนักจึงดำเนินออกมาด้านนอก เงาจันทร์สะท้อนลงมาในมหานทีทำให้จิตใจกระหวัดถึงอีกองค์ที่อยู่แสนไกล คำว่ารักที่ฝากไว้จักอยู่ได้ยาวนานเพียงใดหนอ

…………………………………………………………….










นานนับเดือนที่สองขัตติยะลักลอบพบกันแม้นทุกครั้งเวลาที่พบพักตร์จักแสนสั้นแต่หากเติมเต็มหัวใจสองดวงให้อิ่มเอมยิ่งนัก

“พี่ฤทธิรุทร” สุรเสียงเล็กตรัสเรียกวรองค์สูงที่ประทับเบื้องหน้า

“เจ้ามาแล้วหรือ แสงสุรีย์” วรองค์สูงตรัสก่อนจักโอบกอดเจ้าร่างบางของพระองค์เข้าสู่อ้อมพาหา

“รู้หรือไม่ว่าพี่คิดถึงเจ้ามากเหลือกิน”

“อันว่าชาติยักษาช่างเจ้าชู้ยิ่งนักคำหวานที่เอ่ยมันจักเป็นจริงเพียงใดกัน”

“เพลานับเดือนที่ผ่านมาเจ้ายังไม่รับรู้ถึงใจพี่อีกหรือ” ทรงตัดพ้อร่างในอ้อมพาหา

“น้อง น้อง….”

“ถ้าเช่นนั้นพี่จักพิสูจน์เอง ดีหรือไม่” วรองค์สูงตรัสก่อนจักเคลื่อนพระพักตร์เข้าใกล้น้องน้อยของพระองค์

“อะ อืม” สุรเสียงหวานดังลอดผ่านจุมพิตที่แสนอ่อนโยน จากวรองค์สูง ช่างเป็นการพิสูจน์ที่มีแต่ได้เสียจริง
 พระโอรสแสงสุรีย์ทรงคิด แต่ก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ใจปรารถนา เพราะพระองค์เองก็โหยหาอ้อมพาหานี้เหลือเกิน
 สองร่างเกี่ยวกระวัดส่งหมอบความรักแลความสุขให้แก่กันอย่างไม่รู้เบื่อแม้นจักรู้ว่าการทำเยี่ยงนี้เป็นสิ่งต้องห้าม
แต่กลับมิมีผู้ใดหยุดความหวาบหวามที่แสนอ่อนโยนนั้นได้ ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนาที่หอมหวานทั้งสององค์

“เจ้าช่างหวานนัก” ทรงเอ่ยเย้าวรองค์บางที่เปลือยเปล่าในอ้อมพาหา หลังจากไฟแห่งความปรารถนามอดดับลง

“ท่าน อย่าพูดนะ” วรองค์เล็กตรัสอย่างเขินอาย ก่อนจักซุกพระพักตร์กับพระอุรของอีกองค์

“เจ้าอายหรือ เหตุใดต้องอายกัน เราสองคนแค่เพียงแสดงความรักต่อกันเท่านั้นหรือเจ้ามิชอบ แต่พี่ก็ได้ยินเสียงแห่งความสุขสมของเจ้าตลอด หรือพี่ฟังผิดกัน”

“ทะ ท่าน น้องบอกว่าอย่าพูดอย่างไรเล่า” วรองค์เล็กตรัสพลิกไปอีกด้านอย่างแง่งอน

“พี่ไม่พูดแล้ว น้องอย่าโกรธ ที่พี่ทำทั้งหมดเพราะพี่รักเจ้านะแสงสุรีย์ รักมาก รักยิ่งกว่าชีวิตของพี่แล้วเจ้าเล่ารักพี่หรือไม่”

“หากน้องไม่รักคงมิทำเช่นนี้ดอกเพียงแต่น้องกลัว กลัวเหลือเกิน ” วรองค์บางตรัสเสียงแผ่ว พระองค์ทรงรู้ตลอดเวลาว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูก
ต้องแต่ก็มิอาจห้ามจิตใจได้ ได้แต่เพียงหวังว่าความอยู่เช่นนี้จักอยู่กับพระองค์ตลอดไป

“อย่ากลัวไปเลย ไม่ว่าวันข้างหน้าจักต้องพบเจอกับสิ่งใด ขอให้รู้ไว้ว่าพี่รักเจ้า แม้นเราจักต้องห่างกันไกลแค่ไหนพี่สัญญาพี่จักตามหาเจ้าให้พบให้ได้ เราสองจักไม่มีวันพรากจากกัน”
ทรงตรัสก่อนจักกอดกระชับร่างบางในอ้อมพาหาของพระองค์แน่นส่งต่อความรักที่พระองค์มีแลยืนยัน
ว่าพระองค์ทรงรักเจ้าร่างบางนี้มากเพียงใด








เวลาพลบค่ำพระโอรสแสงสุรีย์จึงเสด็จกลับก็พบเจ้าเต่ายักษ์รออยู่แล้วด้วยท่าทีร้อนรน

“พระโอรส แย่แล้วพระเจ้าค่ะ แย่แล้ว ” เจ้าเต่ายักษ์โวยวายลั่น

“แย่อันใดหรือพี่ต้วมเตี้ยม หรือว่า เสด็จพ่อจักทรงทราบเรื่องแล้ว” ตรัสถามอย่างร้อนรนไม่แพ้พระพี่เลี้ยง

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ เรื่องนั้นยังมิทรงล่วงรู้ แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่กว่านั้นอีกพระเจ้าค่ะพระโอรส”

“เรื่องอันใดหรือพี่”

“ก็เรื่อง…”

“ต้วมเตี้ยม!!” สุรเสียงหวานตวาดลั่นก่อนจักใช้สายพระเนตรปรามเต่าเจ้าปัญหาให้เงียบ

“ท่านกนธี เอ่อ กระหม่อนขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ”

“แสงสุรีย์ เจ้าตามพ่อมา” วรองค์บางเดินนำหน้าพระโอรสเข้าไปในถ้ำแก้วโกมล ก่อนจักประทับนั่งบนบังลังก์แก้ว

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วแสงสุรีย์”

“15ย่าง16 พระเจ้าค่ะ”

“ถึงเวลาที่เจ้าต้องมีคู่ครองแล้วสินะ”

“คู่ครอง เสด็จพ่อหมายถึงลูกจักต้องแต่งงานหรือพระเจ้าค่ะ”  ตรัสถามเสียงแผ่วในพระทัยร้อนรนยิ่งหนัก


“ใช่ พ่อจักให้เจ้าแต่งงานกับ ธิดาแห่งเจ้านครบาดาลทางใต้”

“เสด็จพ่อแต่ลูกอายุยังน้อยนะพระเจ้าค่ะ ลูกเห็นว่าเรื่องนี้ยังมิถึงเวลา” ทรงอ้อนวอนพระบิดา กลัว กลัวเหลือเกินว่าจักต้องสูญเสียคนรักไป

“แสงสุรีย์ อย่าได้ขัดพ่อ พ่อบอกให้เจ้าแต่งเจ้าก็ต้องแต่ง”

“เสด็จพ่อ ลูกไม่แต่งพระเจ้าค่ะ ลูกไม่แต่งเด็ดขาด!!!”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งพ่อหรือ!!!” สุรเสียงหวานตวาดลั่น น้อยครั้งนักที่โอรสจักขัดพระประสงค์

“ลูกมิกล้า เพียงแต่…”

“เพียงแต่กระไร เจ้าจักโกหกอะไรพ่ออีก เจ้าอย่าคิดว่าพ่อมิรู้ว่าตอนนี้เจ้าแอบลักลอบทำในสิ่งที่มันผิดหรือ แสงสุรีย์”     
    สุรเสียงหวานตรัสก่อนที่สายพระเนตรจักจับจ้องที่โอรสขององค์เอง

“เสด็จพ่อทรงทราบ”

“พ่อรักเจ้านะ แสงสุรีย์ ที่พ่อทำไปก็เพราะมิอยากให้เจ้าต้องทำผิดอีก จงรับคำพ่อแล้วแต่งงานเสียเถิด”

“แต่ลูกกับพี่ฤทธิรุทร รักกันด้วยใจจริงนะพระเจ้าค่ะ เหตุใดความรักจึงเป็นสิ่งที่ผิด เสด็จพ่อเอาอะไรมาตัดสินว่าความรักของลูกนั้นผิด” ว
รองค์เล็กกล่าวพร้อมกับอสุชลที่หลั่งริน เหตุใดหนอพระบิดาที่พระองค์ทรงเคารพรักจึงมิเข้าใจพระองค์เลย

“เจ้าอย่าดื้ออีกเลย จงเลิกคิดเรื่องความรักของเจ้าแล้วเตรียมตัวแต่งงานในอีก 15 ราตรีเถิด”

“ลูกมิยอม หากเสด็จพ่อทรงบังคับลูกอีก ลูกจักฆ่าตัวตาย!!!” ตรัสด้วยสุรเสียงแข็งกร้าวก่อนจักล้วงกริชจ่อพระศอขององค์เอง

“แสงสุรีย์!!” วรองค์บางตรัสก่อนจักบริกรรมคาถา



พลัน!!! ปรากฏนาคาขึ้นสองตน ตนหนึ่งใช้หางตวัดจนกริชในพระหัตบางตกลงก่อนที่อีกตนจักรัดวรองค์เล็กไว้แน่นจนมิอาจขยับวรกายได้

“จงนำลูกของเราไปขังไว้ในห้องอย่าให้ผู้ใดเข้าไปได้เด็ดขาด จนกว่าจักถึงพิธีอภิเษก”
 ตรัสสั่งนาคาแปลงก่อนจักหลับพระเนตรลง ทรงมิอยากเห็นเนตรกลมโตนั้นตัดพ้อพระองค์อีกแล้ว

“เสด็จพ่อพระทัยร้าย ทรงพระทัยร้ายเหลือเกิน ” สุรเสียงเล็กตรัสก่อนจักถูกพาออกไป

“แสงสุรีย์เอ๋ย พ่อมิอาจเห็นเจ้าทำความผิดอีกแล้ว พ่อมิอยากให้เจ้าต้องรู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิตเยี่ยงพ่อ ความรักนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน เจ้าจงอย่าได้เผชิญกับมันอีกเลย”
 รับสั่งแผ่วเบาเพียงลำพัง ต่อให้พระองค์ต้องถูกพระโอรสโกรธเกลียดไปจนตลอดพระชนชีพพระองค์ก็จักทำ
 เพื่อปกป้องคนที่พระองค์รักให้ออกห่างจากความเจ็บปวด










นครเวหล

วรองค์สูงประทับนิ่งเหนือแท่นบรรทม สายพระเนตรเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้าที่ประดับด้วยแสงดาวระยิบระยับพลางคิดถึงเจ้าร่างบางของพระองค์เหตุใดหนอ ในพระทัยของพระองค์จึงทรงว้าวุ่นเช่นนี้ สามราตรีที่มิอาจข่มพระเนตรหลับได้มันเกิดจากสาเหตุอันใดกัน

“แสงสุรีย์ คืนนี้เจ้าจะหลับฝันดีหรือไม่หนอ” ทรงตรัสคล้ายละเมอ อยากเหลือเกินที่จักโอบกอดร่างบางนั้นเอาไว้ในอ้อมพาหาตลอดคืน
อยากได้กลิ่นหอมอ่อนจากเรือนกายที่พระองค์ทรงหลงใหล

“พระโอรส ทรงบรรทมเถิดพระเจ้าค่า” ต้นห้องคนสนิทเอ่ย เพราะเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามสามแล้วแต่พระโอรสกลับทรงประทับนิ่งมิมีวี่แววว่าจักทรงบรรทมเลย

“เรานอนไม่หลับน่ะพี่ไวย เราคิดถึง แสงสุรีย์”

“อีกไม่กี่ราตรีก็จักได้พบ พระโอรสแสงสุรีย์แล้วนะพระเจ้าค่ะ เหตุใดต้องทรงกังวล”

“เราก็ไม่รู้ว่า แต่จิตใจของเราเพลานี้มันไม่ยอมอยู่เป็นสุขสักที หรือเราจักไปหาแสงสุรีย์ที่นครใต้บาดาลกันดี”

“มิได้พระเจ้าค่ะ พระองค์ก็ทรงทราบว่าองค์เหนือหัวห้ามมิให้ชาวนครเวหลทุกตน คบค้ากับชาวนครใต้บาดาลหากใครฝ่าฝืนจักต้องอาญาแผ่นดินนะพระเจ้าค่ะ”

“เรารู้พี่ไวย แต่เรามิอาจข่มตาหลับลงได้ หากใจเรายังเป็นเช่นนี้” ตรัสจบก็ทรงดำเนินออกจากพระแท่น เพื่อออกตามหาเจ้าร่างบางของพระองค์




...............................................

กลับมาแล้วค่า คิดถึง ทุกคนจังเลย
ช่วงนี้เป็นช่วงลูกผี ลูกคน เทอมสุดท้ายของการเป็น
นักศึกษา อาจจะยุ่งนิดหน่อยนะคะ  :really2:
แต่ยังไงก็จะไม่ทิ้ง แน่นอน ^______^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2012 21:38:58 โดย pita »

ออฟไลน์ jilantern

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
งืออออออ น่าสงสาร มีอุปสรรคแล้ว ~

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
เงียบเกิ๊ํนนนนนนนนนนนน

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ตมห้จอน ล้วรพฤทธินี่ช่ญติของตัวพรรึปล่ มติดตมค่

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
แย่แล้วซิ
มีอุปสรรคจนได้ :กอด1:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ตอน 7

“พระโอรส ทรงเสวยสักนิดเถิดพระเจ้าค่า” เจ้าเต่ายักษ์อ้อนวอนผู้เป็นนายที่เพลานี้ทรงมิยอมเสวยอะไรมา
สามราตรีแล้ว ร่างกายที่เคยสดใสบัดนี้ซูบผอมแลอมทุกข์ยิ่งนัก เหตุใดมันจักไม่รู้ว่าพระโอรสของมันตรอมใจ
 อนิจจา พิษรักหนอช่างร้ายนัก แต่มันจักทำอันใดได้เพราะลำพังเวทย์มนตร์คาถาก็พอมีเพียงป้องกันตัวเท่านั้น
คงมิอาจต่อสู้กับทหารนาคานับร้อยนับพันได้ หวังเพียงแค่ให้ผู้เป็นหัวใจแห่งเจ้านายตน เร่งมาช่วยในเร็ววัน

“ท่านต้วมเตี้ยม ขอรับ พระกายาหารมาแล้วขอรับ” ทหารนาคากล่าวก่อนจักนำเครื่อง คาว หวานเข้ามา

“เจ้าออกได้แล้วพระโอรสจักได้เสวย” เอ่ยบอก แต่เจ้าทหารเลวก็มิยอมออกไป

“เจ้าทหารเลว เหตุใดจึงมิฟังคำสั่งข้า!!!”

“ต้วมเตี้ยม นี่เราเอง” สุรเสียงทุ้มตรัส ก่อนที่ร่างทหารนาคาจักเปลี่ยนเป็นวรองค์สูงสง่ากำยำ อย่างที่มันเคยเห็นบ่อยครั้ง

“พระองค์ ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จมา” เจ้าเต่ายักษ์กล่าวอย่างยินดี

“เจ้าอย่าเพิ่งพูดมาก ออกไปเฝ้าประตูไว้อย่าให้ใครผิดสังเกต เข้าใจหรือไม่”

“พระเจ้าค่ะ” ต้วมเตี้ยมรับคำสั่งก่อนจักเดินออกจากห้องบรรทมไป

วรองค์สูงดำเนินเข้าไปในห้องส่วนในพลางมองผ่าน วิสูตรที่เป็นม่านน้ำบางเบา ร่างบางที่พระองค์ทรงรักยังคงหลับใหลมิได้สติ
 แต่หากร่างกายนั้นกลับดูซุบผอมแลอมทุกข์เหลือเกิน พลันในพระทัยกลับเจ็บปวดแลบีบรัดอย่างประหลาด
 พระองค์มิปรารถนาจักเห็น แสงสุรีย์ที่แสนร่าเริงของพระองค์เป็นเยี่ยงนี้เลย

“แสงสุรีย์ ตื่นเถิด” ตรัสกระซิบเพื่อปลุกเจ้าดวงใจ

“อือ พี่ต้วมเตี้ยม ออกไปเถิดเราอยากอยู่คนเดียว”

“ลืมตาเถิด แสงสุรีย์ พี่อยากเห็นแววตาสดใส ของเจ้าอีกครั้ง” ตรัสพลางโอบกอดวรองค์บางเข้าสู่อ้อมพาหาแกร่ง

“พี่ฤทธิรุทร น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่” วรองค์บางตรัสพร้อมกับอสุชลที่หลั่งริน พลางกอดกระชับวรกายนี้ไว้แน่นกลัวเหลือเกินว่าจักเป็นเพียงความฝัน

“เจ้ามิได้ฝันดอกแสงสุรีย์ พี่มาแล้ว พี่จักช่วยเจ้าเอง ”

“ฮึกๆๆ ฮื่อ เสด็จพ่อจักให้น้องแต่งงาน น้องจักทำเยี่ยงไรพระเจ้าค่ะ น้องไม่อยากแต่งงาน”


“แสงสุรีย์ เจ้าพร้อมที่จักไปกับพี่หรือไม่”

“ไปไหนหรือพระเจ้าค่ะ”

“ไปในที่ๆไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเรา ไม่มีพระโอรส ฤทธิรุทร ไม่มีพระโอรส แสงสุรีย์  มีแค่เจ้ากับพี่เท่านั้น”
รับสั่งด้วยพระทัยแน่วแน่ หากแม้นการอยู่ในฐานันดรนี้จักทำให้พระองค์ต้องผลัดพราก
ขอยอมเป็นเพียงชาวป่าธรรมดาเพื่อจักได้อยู่คู่กับเจ้าจวบจนสิ้นชีวา

“แม้นจักต้องลำบากเพียงใด น้องก็อยู่ได้หากมีพระองค์” วรองค์บางซุกวรกายเข้าสู่อ้อมพาหาแกร่งที่ทรงโหยหา
บัดนี้แม้นจักต้องเผชิญสิ่งใดก็มิทรงหวาดกลัวขอเพียงพระหัตแลพาหานี้ ประคองอยู่พระองค์ก็มิเกรงสิ่งใด















“พี่แสง กลับมาแล้วหรือจ๊ะ”

“จ้า” ร่างบางหันกลับไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตรให้เพื่อนบ้านก่อนจักขึ้นเรือนของตนไป นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยมานับขวบปีแล้วที่สองขัตติยะทรงหนีมาอาศัยที่หมูบ้านแห่งนี้ และยึดอาชีพพรานป่าแลหาของป่าขาย แม้นจักมิได้สุขกายแต่ในหัวใจกลับเบิกบานยิ่งนัก

“พี่แสงจ๊ะ มะลิเอา แกงบัวมาให้จ๊ะ แล้วพี่รุทร ยังมิกลับดอกหรือจ๊ะ” มะลิ หญิงสาวร่างบางลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านบอกก่อนจักนำแกงบัวมาให้พลางสอดสายตามองหาอีกคนที่นางแอบพึงใจอยู่ แต่ก็มิมีวี่แววของร่างสูงกำยำ

“พี่รุทรต้องเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าลึก อาจจักกลับค่ำสักหน่อยนะ มะลิ มีเรื่องอันใดหรือเปล่า”

“เปล่าจ๊ะ พี่แสงจ๊ะ มะลิขอถามสักเรื่องได้หรือไม่”

“อันใดหรือ”

“พี่รุทรมีหญิงที่พึงใจแล้วหรือยังจ๊ะ” เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยถาม แต่ผู้ถูกถามกลับทำหน้านิ่งเพราะมิสามารถตอบอันใดได้ เหตุใดจักไม่รู้ว่าร่างสูงนั้นเป็นที่หมายปองของหญิงสาวในหมู่บ้านมากเพียงใด แต่ก็ทำกระไรมิได้ ได้แต่เก็บความอึดอัดใจไว้เพียงลำพัง

“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ มะลิ มิเคยเห็นว่าพี่รุทรจะเสน่หาหญิงใดเลย เลยอดสงสัยมิได้ว่า พี่รุทรอาจจักมีนางในดวงใจแล้ว พี่แสงรู้หรือไม่จ๊ะ”

“พี่ เอ่อ พี่…”

“มีหรือไม่มันก็มิใช่การของเจ้านะ มะลิ” เสียงทุ้มที่แผงไปด้วยอำนาจเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างสูงกำยำของผู้ที่ถูกถามถึงจักก้าวเข้ามา

“พี่รุทร ถ้าเช่นนั้นมะลิ ลากลับเลยนะจ๊ะ” หญิงสาวลนลานก่อนจักกลับบ้านไป มิเคยเลยสักครั้งที่จักทนต่อสายตาที่มีอำนาจของคนร่างสูง
ได้ แม้จักหลงใหลแต่หากในใจกลับหวาดหวั่นคล้ายคนผู้นี้มีรังสีแห่งความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมา เสมอจนคนรอบข้างมิกล้าเข้าใกล้
ลับหลังร่างของมะลิ ร่างสูงนั้นกลับรั้งร่างบางเข้าในอ้อมกอดก่อนจัก สูดกลิ่นหอมจากพวงแก้มที่คุ้นเคย จนร่างในอ้อมแขนต้องเบี่ยงหน้าหลบ

“เจ้าพี่ พอแล้วพระเจ้าค่ะ”

“กลิ่นกาย เมีย พี่หอมถึงเพียงนี้เหตุใดจักต้องพอด้วยเล่า” สุรเสียงทุ้มเย้า

“ทะ ท่าน ทรงรับสั่งเยี่ยงนี้ได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ”

“ก็เจ้าเป็น เมียพี่ แล้วจักให้พี่เรียกว่าเช่นใดเล่า หืม แสงสุรีย์ พี่นึกเคืองเจ้านักเหตุใดจึงไม่บอกมะลิไปเล่าว่า พี่มีคนที่อยู่ในใจแล้ว”

“จักบอกได้เยี่ยงไร น้องมิอยากให้ เจ้าพี่ มัวหมองด้วยเหตุพระเรานั้นต่างเป็นชายทั้งคู่ ชาวบ้านคงมิอาจรับได้กระมัง”

“แสงสุรีย์ สำหรับพี่แล้ว เจ้าสำคัญที่สุด แม้นผู้คนทั้งโลกจักรังเกียจพี่ พี่มิสนใจ ขอเพียงเจ้ารักพี่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หากวันใดที่เราต้อง
จากนั้น วันนั้นคือวันที่พี่จักสิ้นลมหายใจ” สุรเสียงทุ้มตรัสหนักแน่นก่อนจักกอดวรองค์บางแน่นขึ้น

พี่จักมิยอมให้สิ่งใดพรากเราไปจากกันอีกแล้ว เจ้าดวงใจของพี่


















ปัง!!!! เสียงทุบพระแท่นบังลังก์ ดังก้องท้องพระโรงแห่งนครเวหล ก่อนที่วรองค์สูงใหญ่ โกรธเกรี้ยวจักลงมือประหารเจ้าทหารเลวผู้มาแจ้งข่าวด้วยพระองค์เอง

“ไม่ได้เรื่อง พวกเจ้ามันเลี้ยงเสียข้าวสุก!!” รับสั่งกับเหล่าเสนา อำมาตย์ที่เข้าเฝ้า พระพักตร์บึ้งตึงจากการรับฟังเรื่องขัดพระทัยแลดูน่ากลัวยิ่งหนักจนมิมีผู้ใดกล้าสบพระพักตร์

“เราให้พวกเจ้าออกตามหาเจ้าลูกชั่วนั่นมานับปี เหตุใดจึงไม่พบ นี่น่ะหรือทหารแห่งนครเวหล ที่เกรียงไกรหากความนี้แพร่ออกไป คงจัก
ถูกพวกชั้นต่ำหัวเราะเยาะเอาเป็นแน่”

“เอ่อ องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”

“ว่ามาสิ ท่านวาตุมาร แต่หากมิเข้าหูเรา ท่านย่อมว่ามันจักเป็นเช่นไร”

“เอ่อ คือ ที่เราไม่สามารถตามพระโอรสฤทธิรุทรได้ทันนั้น มิใช่เกิดจากที่ทหารแห่งองค์เหนือหัวด้อยปัญญา แต่เหตุเพราะขณะนี้มีผู้มีมนตราแก่กล้า ช่วยเหลือพระโอรสอยู่อย่างลับๆพระเจ้าค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร”

“กระหม่อน คิดว่า ต้องมีผู้คอยช่วยเหลือพระโอรสอยู่พระเจ้าค่ะ หากแม้นคาดการมิผิด อาจจักเป็นกนธีนาคา ผู้เป็นบิดาแห่งพระโอรสแสงสุรีย์เป็นแน่พระเจ้าค่ะ”

“ได้ ในเมื่อมันอยากลองดี ข้าก็จักสู้กับมันสักครา” ตรัสจบก็ทรงดำเนินกลับพระตำหนัก เพื่อทำพิธีลบล้างมนตราทันที!!!












วรองค์บอบบางลืมพระเนตรขึ้นก่อนจักถอนปัสสาสะด้วยความหนักพระทัย แสงสุรีย์เอ๋ย พ่อจักช่วยเจ้าได้เยี่ยงไรหนอ พอมิอยากเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการผลักพรากดังที่พ่อเคยเป็น

“ท่านกนธี พระเจ้าค่า พระโอรสทรงเป็นเยี่ยงไรบ้างพระเจ้าค่ะ” ร่างอ้วนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแม้นมิอาจเอื้อมจักเป็นพระเชษฐาแห่งพระโอรสแต่มันก็รักแลเอ็นดูพระโอรสของมันยิ่งนัก

“แสงสุรีย์ สบายดี เพียงแต่”

“แต่อะไรพระเจ้าค่า”

“บัดนี้กงล้อแห่งเวรกรรมได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งแล้ว เรามิรู้ว่าเราจักช่วยลูกให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้เยี่ยงไร” รับสั่งแผ่วเบา







 นานเหลือเกินกับการต้องจากคนที่รัก นานเหลือเกินกับการทำได้เพียงคิดถึงโดยมิอาจเห็นหน้า ชั่วระยะเวลา 500 ปี สำหรับเหล่านาคาผู้เป็นกึ่งเทพอาจจะสั้นแค่เพียงลัดนิ้วเดียว แต่สำหรับ ผู้ที่ต้องทนทุกข์กับความรัก มันช่างยาวนานราวกับอสงไขย


.......................................... TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
คนรักของพญานาคกนธีจะเป็นใครนะ...

 :dont2:


แล้วพี่รุทธกับน้องแสงจะต้องพลัดพราดจากกันหรือเปล่าเนี่ย  :o7:

Rina

  • บุคคลทั่วไป
ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากแสงสุรีย์กับรุทรต้องฟันฝ่ากรรมเวรอันนี้ให้ได้เอง

honeystar

  • บุคคลทั่วไป
สนุกจังเลยค่ะ
ชอบเรื่องแนวนี้
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
จะเจออุปสรรค
ไปถึงเมื่อไหร่กัน :z3:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ว้าวๆๆ มาแล้ว
กำลังสนุกเลยค่ะ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
 ตอน 8 (อดีตที่มิอาจลืม ตอน 1 กนธี ราพฤทธิ์)



“พระโอรสพระเจ้าค่ะ ทรงเสด็จกลับเถิดพระเจ้าค่ะ” เหล่าทหารนาคาทูลกับวรองค์บางที่ยังวิ่งเล่นซุกซนบริเวรชายป่า อย่างมิมีทีท่าว่าจักกลับ

“พวกเจ้านี่ เรากำลังสนุกอย่างเพิ่งมากวน” สุรเสียงหวานรับสั่งอย่างเอาแต่ใจ ไม่บ่อยนักที่เสด็จพ่อจักปล่อยให้พระองค์เที่ยวเล่นซุกซน เหตุใดจักต้องรีบกลับ ไปบำเพ็ญเพียรแสนน่าเบื่อหน่ายนั่นอีกเล่า

“แต่นี่มันใกล้ค่ำแล้วนะพระเจ้าค่ะ หากมิรีบเสด็จกลับกระหม่อมคิดว่าอาจเกิดอันตรายได้พระเจ้าค่ะ”

“ไม่มีอันใดดอก พวกเจ้าอย่าได้หลัวไปเลย” รับสั่งกับทหาร ก่อนจักดำเนินเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ความสวยงามของผืนป่าเขียวขจีช่างแตกต่างจากนครใต้บาดาลที่พระองค์ รู้จักเหลือแม้นจักมิมี แก้วมณีหรือไข่มุกแวววาว แต่หากก็งดงามไปด้วยเหล่าพฤกษาแลดอกไม้นานาพรรณ



“พระโอรส ทรงระวังพระองค์ด้วยพระเจ้าค่ะ!!!” เสียงตื่นกลัวของทหารนาคากราบทูล

ก่อนที่เสียงดังสนั่นราวแผ่นดินจักถล่มใกล้เข้ามา พระโอรสกนธีทอดพระเนตรเห็น รากษส ตนหนึ่งเดินเข้ามาหาพระองค์ตลอดทางที่ร่างใหญ่โตราวขุนเขานั้นย่างกายไปต้นไม้ล้วนหักโค่นเป็นทิวแถว แม้นจักมิอาจเชื่อสายตาแต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์นั้นหวาดกลัวเหลือเกิน

“ฮ่าๆ วันนี้สงสัยจักเป็นลาภปากของข้า มีอาหารมาให้กินมากมายถึงเพียงนี้เทียว” รากษส ผู้รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์เอ่ยก่อนจักกวาดสายตามองเหล่าทหารนาคา

เหล่าทหารนาคาพยายามต่อสู้จนสุดกำลังแต่มีหรือจักเป็นคู่ต่อสู้ของรากษสผู้มีตบะแก่กล้า เพียงไม่นานก็กลายเป็นอาหารของมันจนหมดสิ้น เหลือเพียงวรองค์บางที่ประทับมองด้วยความหวาดกลัว

“อ่า เจ้าช่างงามนัก ”

“เจ้าบังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร!!”

“ฮ่าๆ ในป่าแห่งนี้มิมีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าข้าดอก แม้นเจ้าจักเป็นเทพมีฤทธิ์แก่กล้าหากเข้ามาในป่าของข้าเจ้าก็มิอาจสู้ข้าได้ ฮ่าๆๆๆๆ” มันหัวเราะก้องก่อนจักใช้มือใหญ่โต จับวรองค์บางไว้ได้ แม้นจักทรงขัดขืนเพียงใดก็มิอาจทำได้เพราะเขตป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยมนตราจนมิอาจใช้คาถาที่ทรงร่ำเรียนมาได้

“เจ้าไปเป็นเมีย ข้าซะดีกว่า ฮ่าๆๆ”

“เจ้า ข้าเป็นชาย จักเป็นเมียเจ้าได้อย่างไร”

“หุบปาก!!! ถ้าข้าอยากได้เจ้าใครหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้”

“เราว่าเจ้าอย่าโอหังมากไปนัก เจ้ายักษ์ชั้นต่ำ” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนที่บุรุษผู้หนึ่งจักปรากฏขึ้น

“เจ้า บังอาจยิ่งนัก ข้าคือ  ผู้เป็นใหญ่แห่งป่านี้ เจ้าถือดีอย่างไรมาท้าทายข้า”

“เราไม่ได้มีเวลามาฟังเจ้าพล่ามนักดอก ตอบเรามาว่าจักปล่อยคนหรือไม่”

“โอหังนัก หากเจ้ามิอยากมีชีวิตแล้ว ข้าจักลดตัวลงไปสู้กับเจ้าสักครา” กล่าวจบเจ้ารากษสก็วาง วรองค์บางลงก่อนจะเข้าโรมรันกับบุรุษแปลกหน้าทันที

ทั้งสองต่อสู้โรมรันด้วยอาวุธแลมนตราจนดังสนั่นก้องป่า แม้นว่ารากษสจักมีร่างกายใหญ่โตแต่บุรุษแปลกหน้าก็หาได้เกรงกลัวไม่

การต่อสู้ดำเนินมาเนิ่นนานก่อนที่บุรุษแปลกหน้าจักได้โอกาสแผลงศรใส่รากษสจนได้รับบาดเจ็บ

“เจ้า!!” รากษส คำรามลั่นก่อนจักบริกรรมคาถาเรียก จักรกรด ออกมา

“เจ้าต้องตายด้วย จักรกรดของข้า” ว่าพลางสั่งจักรกรดที่ลอยคว้างกลางอากาศให้เข้าจัดการกับอีกคน แต่บุรุษแปลกหน้าหน้าได้กลัวไม่กลับยืนนิ่งเพียงยกคันศรขึ้นปัดเท่านั้น จักรกรดที่ทรงอิทธิฤทธิ์ก็กลายเป็นเพลงเศษธุลี ก่อนจักแผลงศรออกไปต้องเจ้ายักษ์รากษสจนแน่นิ่งขาดใจ ทันที


“เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“เรามิเป็นไร”

“เจ้าลุกไหวหรือไม่ เราว่าออกไปจากป่านี้ก่อนเถิด ” บอกก่อนจักพยุงพระโอรสกนธี ออกจากเขตป่า

“เอาล่ะ เราขอส่งท่านเพียงเท่านี้ คราวหน้าท่านอย่าได้เข้าไปในเขตอันตรายอีกเด็ดขาด ” บุรุษแปลกหน้าบอกก่อนจักหันกายเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อนท่าน ท่านมีนามว่าอะไร หากมีโอกาสเราอยากตอบแทนท่าน”

“เรามีนามว่า ราพฤทธิ์ ”

“ราพฤทธิ์” ตรัสทวนชื่อนั้นจนขึ้นพระทัย ก่อนจักทอดพระเนตรแผ่นหลังกว้างที่เดินลับชายป่าไป ในพระทัยเต้นรัวราวกลองศึก นี่พระองค์
เป็นอันใดหนอเหตุใดจึงมิอาจควบคุมจิตใจตนเองได้











หลายเดือนผ่านไป วรองค์บาง ทรงแทบลืมเลือนเหตุการณ์ที่ทรงเกือบสิ้นชีวาหากแต่มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่พระองค์มิเคยลืม เหตุใดจึงทรงมิอาจลบใบหน้าคมคาย นั้นออกจากพระทัยได้ คิดแล้วว้าวุ่นยิ่งนัก พระโอรสกนธีจึงกลายร่างเป็นนาคาน้อยเพื่อขึ้นไปยังเมืองมนุษย์

“ท่านจักมาอีกหรือไม่” รำพึงกับองค์เองเพียงแผ่วเบากับองค์เอง

“ท่านหมายถึงเราหรือ” เสียงทุ้มที่แม้นจักมิได้ฟังมาหลายเดือนเอ่ยขึ้น แต่กลับทำให้พระทัยของวรองค์บางเต้นรัว

“ท่าน ราพฤทธิ์”

“เราเอง ท่านยังมิได้ตอบคำถามเราเลยว่า ท่านหมายถึงเราหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยเย้า

“เรา เรา มิได้หมายถึงผู้ใด เราเพียงแค่พูดขึ้นมาเท่านั้น”

“เช่นนั้นหรือ ช่างน่าผิดหวังยิ่งหนัก เราสู้อุส่ารอพบท่านที่นี่ทุกวัน หวังเพียงว่าท่านจักคิดถึงเราบ้าง” เอ่ยคล้ายตัดพ้อก่อนจัก มองวรองค์
บางด้วยแววตาพราวระยับ จนผู้ถูกมองได้แต่เขินอาย

“เรา เรา เราจักกลับแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนสิ เรายังไม่รู้จักนามของท่านเลย” มือหนาเอ่ยก่อนจักคว้าข้อพระกรของวรองค์บางแน่น มิยอมให้จากไป

“เรา เรา ชื่อ กนธี ปล่อยเถิดเราจักกลับบ้านแล้ว ”

“เหตุใดจักต้องรีบเล่า หรือท่านมิอยากเสวนากับคนต่ำต้อยอย่างเรา ท่านนาคาผู้เป็นกึ่งเทพ”

“ท่านรู้ว่าเราเป็นนาคา เช่นนั้นก็ปล่อยเราเถิด”

“ท่านรังเกียจที่จักสนทนากับ คนต่ำต้อยเยี่ยงเราหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“มิได้ เพียงแต่ เรา ต้องรีบกลับก่อนที่จักถึงเพลาบำเพ็ญเพียร ท่านจงเร่งปล่อยเราเถิด”

“วันพรุ่งเราจักรอท่านที่นี่” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจักปล่อยข้อพระกรบางด้วยความอาลัย









จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีที่ทั้งสองคบค้าแลเป็นเพื่อนเล่นสนทนากัน หากแต่ในพระทัยวรองค์บางคล้ายมีบางอย่างที่มิใครเข้าใจนัก เหตุใดจึงทรงพระทัยเต้นแรงทุกคราเมื่อพบใบหน้าคมคาย หากแต่ยามหากใกล้ยังต้องเฝ้าคะนึงหา พระองค์เป็นอันใดหนอ

“นี่เจ้า เรามีเรื่องจักถาม” สุรเสียงหวานตรัสถามทหารคนสนิท

“อันใดหรือพระเจ้าค่ะ”

“หากเจ้าพบคนผู้หนึ่งแล้ว ใจเต้นแรงจนไม่อาจควบคุมได้ แม้นยามอยู่ไกลก็เฝ้าคะนึงหา หากเป็นเช่นนี้มันหมายความว่าเยี่ยงไร”

“หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า สิ่งนั้นเรียก ความรัก พระเจ้าค่ะ”
รัก เช่นนั้นหรือ ???





วรองค์บางเหม่อมองมหานทีกว้างด้วยพระทัยว้าวุ่น มิอาจวางปล่อยวางความรู้สึกที่สับสนนั้นออกจากพระทัยได้ รัก หรือ เราจักรัก ท่านราพฤทธิ์ได้อย่าง ในเมื่อ เราแลท่านผู้นั้นเป็นบุรุษเฉกเช่นกัน

“คิดอันใดอยู่หรือเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

“ท่านราพฤทธิ์!!”

“เจ้ายังมิตอบคำถามเราเลย ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่”

“ไม่มีอันใดดอก” ตรัสเลี่ยงที่จักตอบคำถามผู้มาใหม่

“ช่างเถิด ท่านมิอยากพูดเราก็มิอาจบังคับ หากแต่การมาของเราในครั้งนี้อาจจักเป็นครั้งสุดท้าย”

“เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น” สุรเสียงหวานตรัสถาม แต่ในพระทัยกลับหวาดหวั่นยิ่งหนัก พระองค์มิปรารถนาจักได้ยินคำลาจากร่างนี้เลย

“เราจักต้องกลับบ้านเมืองของเรา มิอาจรั้งอยู่ได้อีกแล้ว”

“ท่าน ท่าน จักต้องไปแล้วหรือ”

“กนธี ก่อนจักต้องจากกัน เราอยากจะบอกความแก่ท่าน สักเรื่องได้หรือไม่”

“จงบอกมาเถิด หากแม้นท่านให้เราบุกน้ำลุยไฟเราก็ยินดี เพื่อตอบแทนพระคุณ”

“มิต้องทำถึงเพียงนั้นดอก เราเพียงแต่อยากแจ้ง ความในใจของเราแก่ท่านให้รับรู้เพียงเท่านั้น หากแม้นท่านไม่อาจรับไว้ได้ก็จงปล่อยให้เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านก็เพียงพอ”

“กนธี……………..เรารักเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่น ราวกับจักยืนยันในคำรักที่เอ่ยบอกวรองค์บางไป แม้นอาจมิได้รักตอบกลับมาแต่อย่างน้อย ก็ได้บอกความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจให้คนตรงหน้าได้รู้เสียที
ร่างหนาหันกายกลับมิอาจทนฟังคำปฏิเสธของร่างตรงหน้าได้







“ท่านราพฤทธิ์” วรองค์บางโผเข้าซบแผ่นหลังกว้าง ก่อนที่ร่างหนาจักจากไป

“เรามิอาจบอกท่านได้ว่า สิ่งที่เรารู้สึกอยู่นี้เรียกว่า รักหรือไม่ เราบอกท่านได้แต่เพียงว่า เราตื่นเต้นนักเมื่อยามที่ได้พบหน้าท่าน แลคิดถึง
ท่านเมื่อยามห่างไกล”

“กนธี” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนที่วงแขนแกร่งจักโอบรัดวรองค์บางเข้าสู่อ้อมแขน ความอบอุ่นโอนโยนที่ได้รับดังล่องลอยอยู่ในห้วงฝัน นี่หรือสิ่งที่เรียกว่ารัก




..........................TBC 

ออฟไลน์ jilantern

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
กนธีน่าสงสารรรร

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
กนธีรักที่ไม่สมหวัง :monkeysad:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
กนธี ตอน 2 รอ สัก เที่ยง คืน นะจ๊ะ ^^

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ตอน 9 กนธี ราพฤทธิ์ ตอน จบ


คิดถึง   คำนี้ดังก้องอยู่ในพระทัยของวรองค์บางราวกับถูกสลักเอาไว้ การจากลาจากคนรัก มันทุกข์ทรมานเช่นนี้เองหรือ จากวันที่ทรงรับรู้ ความอ่อนหวานของห้วงรัก จนวันนี้ผ่านมากว่า สามเดือนร่างหนาที่เอ่ยคำรัก ก็ยังมิกลับมา หรือจักลืมว่าเคยฝากรักไว้กับผู้ใด
วรองค์บอบบางดำเนินไปตามแนวป่า อย่างเลื่อนลอย ในพระทัยว้าวุ่นจนมิอาจทนอยู่ในนครใต้บาดาลได้

“กนธี” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้น ก่อนที่วรองค์บอบบางจักรับรู้ถึงแรงกอดรัด

“ราพฤทธิ์ ท่าน ท่าน กลับมาแล้ว ”

“ใช่ เรากลับมาแล้ว ”

“ฮึก ฮื่อๆๆ ” สุรเสียงหวานสะเอื้อน ก่อนจักซุกพระพักตร์ลงบนอกกว้าง คิดถึง เหลือเกิน คิดถึงอ้อมกอด นี้หนักหนา

“ร้องไห้ทำไมหรือเจ้า”

“เรากลัว เรากลัวว่าท่านจักลืมเรา ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเรา”

“กนธี ท่านยังไม่แน่ใจอีกหรือว่าเรารักท่าน ต่อให้เราจากไปไกลแค่ไหน เราก็จักมาเพราะหัวใจของเราอยู่ที่นี่ คนเราจักมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรหากปราศจากหัวใจ ท่านว่าจริงหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนจักโอบกอดวรองค์บางแน่นให้สมกับความคิดถึง แม้นการจากกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ยัง คิดถึงกันจนแทบขาดใจ หากวันหนึ่งต้องจากกันมิได้พบพานแล้ว เราสองจักอยู่ได้อย่างไรหนอ






กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปนานนับปี แต่สายใยแห่งรักกลับแนบแน่นจนมิอาจตัดกันขาดได้ สองร่างเฝ้าคลอเคลีย เอาใจกันมิได้ขาด ทุกวันผ่านไปด้วยความอิ่มเอมใจ จนอาจลืมไปว่า ความสุขนั้น แสนจักเปราะบางเพียงใด

“กนธี ดูนี่สิ พี่ไปเก็บมาให้เจ้าชอบหรือไม่” ร่างหนาเอ่ยก่อนจักยื่นดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆให้วรองค์บางที่ประทับเคียงข้าง จนผู้รับได้แต่เอียงอาย

“เจ้าชอบหนือไม่”

“ชอบ อะ อื้อ” สุรเสียงหวานขาดหายไปหลังจากที่รอมฝีปากหนานั้นประกบลงมาก่อนจักสอดลิ้นเข้าชิมความหวานอย่างร้อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความรักและความโอนโยนจนวรองค์บางแทบคุมสติไม่อยู่




“ช่างน่าสมเพชนัก!!!”
เสียงห้าวที่แฝงไปด้วยอำนาจกล่าวขึ้นจนร่างทั้งสองต้องผละออกจากกัน

“ท่านพี่ ราพสูร” เสียงทุ้มจากร่างหนาเอ่ยด้วยความตกใจ มิคิดเลยว่าจักต้องเจอกับคนผู้นี้

“เห็นหรือยังท่าน ว่าเรามิได้ มุสา” ผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นก่อนที่ ร่างหนาในอาภรณ์สีเขียวจักดำเนินออกมา พลางมองสองร่างที่ตระกองกอดกันด้วยแววตา วาวโรจน์

“เสด็จพ่อ!!!” ครานี่เป็นสุรเสียงหวานที่ตรัสด้วยความตื่นตระหนก มิแพ้กัน

“เจ้า มันช่างงามหน้านัก เจ้าทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร กนธี ”

“เสด็จพ่อ ลูกขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ แต่ ลูกกับพี่ราพฤทธิ์รักกันด้วยใจ จริงเสด็จพ่อโปรดประทานอภัยให้ลูกด้วย” ตรัสด้วยอสุชลก่อนจักคลานไปกราบแทบบาทผู้เป็นพระบิดา

“ฮ่าๆๆๆ ช่างน่าขันนัก นี่หรือเหล่านาคาผู้อ้างว่าเป็นกึ่งเทพ แต่เหตุใด ผู้สูงส่งเยี่ยงพวกท่านจึงมาเกลือกกลั้วกับเหล่าอสูรชั้นต่ำอย่างน้องชายของข้าพระองค์ได้เล่า ท่านกนธี” เสียงห้าวเอ่ยเยาะเย้ย

“อสูร นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร ใครเป็นอสูรกัน”

“หึหึ ช่างโง่เขลานัก นี่ท่านมิรู้ดอกหรือว่าคู่รักของท่าน คือ เจ้าชาย ราพฤทธิ์ น้องชายคนเดียวของเรา ผู้เป็นใหญ่แห่งยักษาทั้งปวง ฮ่าๆๆๆ”

“พอได้แล้ว ท่านพี่ ได้โปรดเถิด” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจัก ดำเนินไปหาผู้เป็นที่รักที่บัดนี้ มองตนด้วยแววตัดพ้อ
ได้โปรดเถิดกนธี อย่ามองพี่ด้วยแววตาเยี่ยงนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่า ใจพี่จักขาดแล้ว

“กนธี ได้โปรดฟังพี่ก่อน”

“ไม่ เราไม่ฟัง ท่านหลอกเรา ท่านหลอกลวงเราได้เยี่ยงไรกัน” สุรเสียงหวานตัดพ้อก่อนที่อสุชลจักหลั่งริน ราวกับห่าฝน พระพักตร์งานที่มักแต้มรอยยิ้มนั้นเหลือเพียงร่องรอยแห่งความเศร้า

“กนธี พี่รักเจ้านะ คำว่ารักของพี่มิเคยหลอกลวง พี่รักเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ ”

“จงหยุดกล่าว วาจา ล่วงเกินโอรสแห่งเราบัดเดี๋ยวนี่ เจ้าอสูรชั้นต่ำ” สุรเสียงกราดเกรี้ยวของเจ้าแห่งนาคาตรัส

“การนี้นำความเสื่อมเสียมาสู่วงนาคา จนมิอาจอภัยให้ได้ เราคงมิอาจปล่อยเจ้าไป”

“เสด็จพ่อ!!! ได้โปรดอย่าทำร้ายคนรักของลูกเลยพระเจ้าค่ะ” วรองค์บางตรัสก่อนจักขวางพระบิดาของพระองค์ไว้  แม้นจักโกรธที่โดนหลอกลวงหากแต่รักที่มีในพระทัยนั้นกลับทำให้พระองค์มิอาจทนเห็นคนรักต้องสิ้นชีวาได้

“ทหารเอาตัวพระโอรสออกมา” สุรเสียงเข้มตรัสก่อนที่เหล่าทหารนาคาจักเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน

“ปล่อย ปล่อยเรา นะ ปล่อย พี่ราพฤทธิ์ ๆๆๆ”

“กนธี” สองร่างต่างโผเข้ากอดกันแน่นมิยอมแยกจาก แต่ก็อาจต้านแรงคนมากกว่าได้

“พี่ราพฤทธิ์ ฮึกๆๆ ฮื่อ ๆๆ”

“ฮ่าๆๆ ละคร เรื่องนี้ช่างสนุกยิ่งนัก ดูแล้วเพลิดเพลินยิ่งกว่าละครในเสียอีก” สุรเสียงห้าวของเจ้าแห่งยักษาตรัสก่อนจักสรวลลั่น ราวขบขันเสียเต็มประดา

“เหตุใดท่านจึงมิยื่นมือเข้าช่วย อนุชาท่าน ท่านราพสูร” เจ้าแห่งนาคาตรัสถาม

“เหตุใด ต้องช่วย เราเป็นอสูร มิได้มีจิตใจขาวสะอาดเมตตาเยี่ยงพวกท่านดอก เรามาที่นี่ก็เพื่อมาชมละครสนุก เพียงเท่านั้น ต่อให้ท่านสังหารราพฤทธิ์สิ้นเราก็มิได้รู้สึกอันใด ฮ่าๆๆๆ”

“ก่อนที่จักต้องตาย ข้าพระองค์อยากขอร้องท่านผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำสักคราได้หรือไม่”

“ช่างไม่เจียมตัวนัก เจ้าสิทธ์อันใดมาขอร้องเรา”

“ข้าพระองค์รู้ว่าต่ำต้อย มิอาจคู่ควรเมตตาของพระองค์ แต่สิ่งที่ข้าพระองค์จักขอร้องก่อนตาย คือ ได้โปรดอย่าลงโทษกนธีเลยนะพระเจ้าค่ะ ขอให้ความผิดทุกอย่างเป็นของข้าพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิดพระเจ้าค่ะ”



ร่างหนาเอ่ยก่อนที่แสงจากตรีสูรของผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำจักพาดพันลงมา ในห้วงสำนักสุดท้ายแห่งลมหายใจ ร่างหนาจ้องมองไปยังเจ้าหัวใจของตนที่ร้องไห้คร่ำครวญราวกับจักขาดใจ

“กนธี พี่รักเจ้า ต่อให้ชาตนี้หรือชาติหน้า พี่ก็จักขอรักเจ้าทุกชาติไป”

“ไม่!!!!” วรองค์บางตะโกนก้องเมื่อร่างของผู้เป็นที่รัก แน่นิ่งไป ราวกับดวงใจถูกกระชากออกจากวรกาย บัดนี้พระองค์ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่มิอาจประเมินได้ มันเจ็บราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงร่างกาย


ไม่มีอีกแล้วอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น
ไม่มีอีกแล้วคำหวานที่ได้รับฟังทุกคราที่พบหน้า
ไม่มีอีกแล้ว ร่างหนาที่ หยอกเย้าให้พระองค์ขบขัน ตลอดเวลา

วรองค์บางได้แต่ร่ำไห้แลปล่อยให้อสุชลไหลรินอยู่เยี่ยงนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ชีวิตของพระองค์จักดำรงอยู่เช่นไรเมื่อมีเพียงร่างกายแต่ปราศจาก “ดวงหทัย”

“ราพฤทธิ์ เจ้าพี่ ไม่ ไม่!!!”









“ท่านกนธี ท่านกนธี พระเจ้าค่ะ ท่านกนธี” เจ้าเต่าอ้วนเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเหนือหัว ด้วนแววตาตื่นตระหนก วรองค์บอบบางที่ดิ้รทุรนทุรายราวกับเสียสตินั้น เหตุใดมิยอมตื่นหนอ นายของมันเป็นอันใดกัน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“ท่านกนธี ตื่นเถิดขอรับ!!!” เจ้าเต่าตะโกนลั่น ก่อนที่วรองค์บางจักรู้สึกพระองค์

“ต้วมเตี้ยม เจ้าเองหรือ”

“พระเจ้าค่ะ พระองค์เป็นอันใดพระเจ้าค่ะ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

“เราฝันร้าย”

“แย่แล้ว ต้วมเตี้ยม แสงสุรีย์!!!” สุรเสียงหวานตรัสก่อนจัก ดำเนินออกจากพระแท่นทันที

.............................TBC

จะเกิด อะไร ขึ้น กันน้อ ฮ่าๆๆ  คงรู้กันแล้วใช่ไหมคะ
ว่าคนรักของ กนธี เป็นใคร ทันี้เรามาลุ้น คู่หลักกันดีกว่า
ว่าจะเป็นยังไงต่อ เนาะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
น่าสงสารกนธีนะ


แล้วใครจะช่วยแสงสุรีย์ได้ล่ะทีนี้...  :dont2:

honeystar

  • บุคคลทั่วไป
กนธีน่าสงสารอ่ะ แสงสุรีย์จะเป็นอะไรไหมนะ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ขอเปลี่ยนแปลง นิดหน่อย เพราะ ทีแรก คิดว่า จะเป็นเรื่องสั้น

แต่มาๆไปๆ มันดันไม่สั้น ฮ่าๆๆ

ขอเปลี่ยนเป็นเรื่องยาว นะคะ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
       ตอน 10
     
สองร่างที่ตระกองกอดกันในยามราตรีต่างหลับด้วยความสุข หากแต่วรองค์สูงกลับลืมตาโพลงในความมืดเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น รอบแนวป่า

“แสงสุรีย์ ตื่นเถิด”

“มีอันใดพระเจ้าค่ะ”

“เจ้าจงรีบไปแจ้งแก่ นายบ้านแลชาวบ้านทั้งหลายว่า ต่อให้ได้ยินเสียงอันใดก็จงอย่าออกจากบ้านเป็นอันขาด”

“มีเหตุอันใดหรือ”

“จงเร่งไปเถิด หากช้าจักไม่ทันกาล”

วรองค์สูงมิยอมตอบอันใดแต่กลับเร่งนั่งสมาธิแลบริกรรมคาถาเพื่อสร้างเขตอาคมป้องกันมิให้คนในหมู่บ้านได้รับอันตรายในที่สุดสิ่งงที่พระองค์กลัวก็เกิดขึ้นจริง!!!


“เกิดอันใดขึ้นพระเจ้าค่ะ ทรงบอกน้องเถิด” วรองค์บางของพระโอรสแสงสุรีย์ตรัสถามหลังจากแจ้งแก่ชาวบ้านแล้ว

“เราอาจจักต้องพบเจอกับเหตุการณ์ร้ายเสียแล้วเจ้า”

“เจ้าพี่หมายความว่า มีคนตามเราพบหรือพระเจ้าค่ะ”

“ใช่ ” สุรเสียงทุ้มตรัสก่อนจักรั้งวรองค์ไว้แน่น

“พี่รักเจ้านะแสงสุรีย์ ไม่ว่าอันใดจักเกิดขึ้นต่อไปนี้ ขอให้เจ้ารู้ว่า พี่นักเจ้ามากเหลือเกิน” ทรงย้ำกับคนรักและย้ำกับองค์เองว่า คนที่อยู่ในอ้อมพาหานี้สำคัญกับพระองค์มากเพียงใด

“ไปเถิด คงถึงเวลาที่เราจักต้อง พบความจริงเสียที”

“เจ้าพี่ น้องรักเจ้าพี่เช่นกัน ตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน น้องมีความสุข แม้นมันจักเป็นช่วงเวลาที่สั้นเพียงใด แต่น้องก็มีความสุขเพราะน้องได้อยู่กับคนที่น้องรัก ไม่ว่าจักเกิดอันใดก็ตาม น้องก็จักขอรักเจ้าพี่ทุกภพทุกชาติไป”




สองขัตติยะดำเนิน ออกจากเรือนพักเพื่อมาที่ชายป่า หมดเวลาที่ต้องหนีเสียที

“มาแล้วหรือ ฤทธิรุทร ลูกรัก”

“เสด็จพ่อ มิน่าลำบากเสด็จมาด้วยพระองค์เองเลยนะพระเจ้าค่ะ”
ตรัสตอบอย่างดูเชิง เพราะรู้อยู่เต็มพระทัยว่า คนตรงหน้านี้แม้นจักเป็นพระบิดาของพระองค์ แต่คงมิมีทางอภัยในสิ่งที่พระองค์ทำได้ เพราะ องค์ราพสูรมิเคยไว้ชีวิตผู้ทรยศ!!

“นี่สินะ คนรักของเจ้า หึหึ อืม ช่างงามสมกับเป็นโอรสแห่งกนธีนาคา มิน่า ถึงทำให้เจ้ายอมทิ้งฐานันดร มาเป็นชาวป่าเยี่ยงนี้” สายพระเนตรแข็งกระด้างทอดมองวรองค์บาง อย่างพินิจแต่กลับแฝงไปด้วยโทสะจนคนถูกมองสั่นสะท้าน

“แสงสุรีย์ คือคนรักของลูก ลูกยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อได้อยู่กับคนที่ลูกรักพระเจ้าค่ะ”

“หึ เจ้ารู้หรือไม่ลูกรัก เมื่อ 500 ปีก่อนมีชายที่โง่เขลาแลเชื่อในความรักคนหนึ่ง ยอมทิ้งฐานันดรต่างๆแลหนีการแต่งงานมาเพื่ออยู่กับคนรัก
แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของชายคนนั้นเป็นเยี่ยงไร”

“จุบจบของมันคือ ตาย !!! อย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ ช่างน่าขันนัก ความรักมีอะไรดีหรือ ยิ่งความรักระหว่างบุรุษด้วยกันนั้น ยิ่งมิน่าใคร่เอาเสียเลย เจ้าลองตรองดูเถิดลูกรัก ว่าจักเลือกสิ่งใด”

“โปรดอภัยให้ลูกด้วย ลูกเลือก     รักพระเจ้าค่ะ ”

“ดี หากเจ้าเลือกรัก ก็จงตายตกไปตามความโง่ของเจ้าเสียเถิด” ตรัสจบก่อนจักบริกรรมคาถา พลันปรากฏ ลมพัด อื้อ อึง เมฆดำลอยอยู่ทั่วบริเวณ พระเนตรแข็งกร้าวแดงฉาดดั่งโลหิตก่อนจักใช้จักรกรดเข้าพาดฟันต่อสู้กับโอรสแห่งตน


เปรี้ยงๆๆๆ

เสียงของจักกรดแลตรีเพรช เข้าโรมรันกันกลางเวหา จนเกิดเป็นเสียงเปรี้ยงปร้างคล้ายฟ้าจักถล่ม อาวุธทรงอานุภาพทั้งสองต่างเข้าพาดฟันโดยมิมีใครยอมใคร แต่อนิจจา ผู้เป็นโอรสไหนเลยจักเอาชนะบิดาแห่งตนได้เพียงเพลาไม่นานตรีเพรชกลับถูกจักรกรดทำลายเสียย่อยยัย





“อ๊ากกก” วรองค์สูงกระอักพระโลหิตออกมาก่อนจักทรุดลงเพราะมิอาจต้านพระเวทย์ของบิดาได้

“เจ้าพี่” วรองค์บางตระกองกอดคนรักแน่น

“แสงสุรีย์ หนีไป อย่าเป็นห่วงพี่ หนีไปเถิด”

“ไม่ น้องไม่หนี ต่อให้ต้องตายน้องก็มิทิ้งเจ้าพี่ไป”

“หึ ช่างน่าสมเพช หากพวกเจ้ารักกันมากนักก็ตามตกไปตามกันเสียเถิด”

“จักรกรด ฆ่าพวกมันซะ” ตรัสสั่งจักรกรดเข้าสังหาร สองร่างที่ตระกองกอดกันไว้นั้นทันที

“พี่รักเจ้า/น้องรักเจ้าพี่”



เปรี้ยง!!!!




สองขัตติยะต่างตระกองกอดกันแน่นแม้นจักเป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตก็จักขอตายในอ้อมกอดของกันและกัน
อานุภาพแห่งจักรกรด ฟาดฟันลงใส่อย่างมิมีปรานี แต่กลับมิอาจทำให้พระโอรสทั้งสองหวั่นไหวได้ แม้นเสี้ยวสุดท้ายแห่งลมหายใจยังคงแย้มยิ้มให้แก่กัน ความตายมิได้มีอันใดน่ากลัวสักนิด เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือความรัก

“ขอให้เราสอง ครองรักกันทุกชาติไป”
 

“หึ พวกเจ้ามันช่างโง่นัก” ตรัสเย้ยหยันก่อนจักพาเหล่าเสนายักษ์กลับนครเวหลไป













“โอ้ย!!!” สุรเสียงหวานอุทานลั่นก่อนจักกุมพระทัยที่เจ็บราวกับโดนเข็มนับพันทิ่มแทง

“ท่านกนธี เป็นอันใดพระเจ้าค่ะ” ต้วมเตี้ยมเอ่ยถามผู้เป็นนาย

“เรามิรู้ ต้วมเตี้ยยม เหตุใดเราจึงเจ็บปวดหัวใจเช่นนี้ โอ้ย!! หรือว่า จักเกิดอันใดขึ้นกับลูกของเรา” สุรเสียงหวานเอ่ยก่อนจักเร่งรุดเดินทาง
ไปยังหมู่บ้านพรานป่าที่พระโอรสของพระองค์ซ่อนตัวอยู่

เทพยดาทั้งหลายได้โปรดช่วยแสงสุรีย์ด้วยเถิด อย่าให้โอรสของเราเป็นอันใดเลย







วรองค์บางดำเนินเข้าไปในหมู่บ้านกลับพบเพียงความเงียบงันที่ผิดปกติ

“เหตุใดจึงเงียบเช่นนี้พระเจ้าค่ะ”

“ไปตามหาแสงสุรีย์ เถอะต้วมเตี้ยม” สุรเสียงหวานตรัส ก่อนจักดำเนินไปที่ชายป่า

“แสงสุรีย์!!!”


สุรเสียงหวานตะโกนลั่นก่อนจักทรุดองค์ลงเพราะมิอาจยอมรับได้กับสิ่งที่ทอดพระเนตรอยู่ ร่างสองร่างตระกองกอดกันแน่น เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาด องค์กนธีรับรู้ถึงความเย็นเฉียบที่แล่นเข้าสู่ร่างกาย จนมิอาจขยับองค์ได้ หัวใจบีบรัดราวถูกกระชากออกมา กี่ครั้งที่พระองค์ต้องทนเห็นคนที่รักจากไป กี่ครั้งที่ต้องทุกข์ทรมานอยู่เพียงผู้เดียวบนโลกที่แสนอ้างว้าง นี่มันเวรกรรมอะไรกันหนอ พระองค์เคยทำอะไรไว้หรือใยต้องพบเจอกับความทุกข์เยี่ยงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ท่านกนธี พระโอรส” เจ้าเต่าอ้วนรีบวิ่งเข้าไปประคองนายเหนือหัว ของมันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขนาดมันที่เป็นเพียงพี่เลี้ยงแลเพื่อนเล่นของพระโอรสยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ แล้วองค์กนธีเล่าจักเจ็บปวดมากกว่ามันกี่ร้อยกี่พันเท่ากัน

“ลูกเรา ตายแล้ว ต้วมเตี้ยว เรามาไม่ทัน แสงสุรีย์ทิ้งเราไปแล้ว ฮื่อๆๆ” วรองค์บางกันแสงอย่างหนักจนอสุชลแทบเป็นสายเลือด ลูกน้อยที่พระองค์ฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ สิ้นลมไปต่อหน้า พระองค์จักมีชีวิตอยู่ได้เยี่ยงไร แสงสุรีย์คือสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์อยากมีชีวิตอยู่หลังจากที่ คนรัก จากไป แต่บัดนี้ ไม่มี อีกแล้ว

“พระองค์ โถ่ หักห้ามใจเถิดพระเจ้าค่ะ อย่าทรงกันแสงอีกเลย ” เจ้าเต่ายักษ์ได้แต่ปลอบผู้เป็นนาย แต่คล้ายกับว่า วรองค์บางนั้นไม่ยินยอมรับรู้สิ่งใดเลย ยังคงปล่อยให้อสุชลหลั่งรินอยู่อย่างนั้น

“เราทำอันใดผิดหรือ เรากับลูกทำอันใดผิด เหตุใดต้องสูญเสียถึงเพียงนี้ ความยุติธรรมอยู่ที่ใด ความรักคือสิ่งที่น่ารังเกียจหรือ คนมีความรักคือคนที่สมควรตายหรืออย่างไรกัน”








“เจ้านายเจ้า กินอะไรบ้างหรือยังต้วมเตี้ยม”

“ไม่เลยพระเจ้าค่ะ องค์กนธีมิยอมเสวยอะไรมาหลายวันแล้วนะพระเจ้าค่ะ ทรงซูบผอมจนข้าพระองค์จักทนดูไม่ได้แล้ว”
องค์วิรุณปักษ์นาคา ฟังคำกราบทูลของต้วมเตี้ยมแล้วได้แต่ถอนใจ แม้นครั้งนี้จักคล้ายเมื่อ 500 ปีก่อนแต่ กลับหนักหนานักสำหรับหัวใจโอรสของพระองค์ การสูญเสียคนที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้กนธีนาคามิอาจรับความจริงได้ ตั้งแต่วันที่นัดดาของพระองค์สิ้นชีพไป กนธีก็มิยอมพูดหรือกินอะไรเลย พระองค์ผู้เป็นพ่อนั้นห่วงแทบขาดใจแต่ก็มิอาจช่วยลูกมากเพราะนี่เป็นเวรกรรมของกนธี ที่ต้องเผชิญ ได้แต่ภาวนาให้โอรสหลุดพ้นจากห่วงทุกข์นี้ได้เสียที

“แสงสุรีย์ เจ้าอยู่ที่ไหน แสงสุรีย์ ออกมาหาพ่อเถิด อย่าเอาแต่เล่นซนสิ ” วรองค์บางตรัสก่อนจักดำเนินหาลูกน้อย

“ต้วมเตี้ยม เจ้าเห็นแสงสุรีย์ไหม ไม่รู้ว่าไปเล่นซนที่ใด ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดยังไม่กลับมา”

“โถ่ พระองค์ ทรงหักใจบ้างเถอะพระเจ้าค่ะ พระโอรส สิ้นพระชนพ์ไปแล้วนะพระเจ้าค่ะ”

“บังอาจ ลูกเรายังไม่ตาย เจ้าอย่ามาพูดจาเช่นนี้ระวังจะหัวหลุดจากบ่า”

“พระองค์”

“ฮื่อๆๆๆ ฮึกๆๆ ลูกเรายังไม่ตาย แสงสุรีย์เพียงแค่เที่ยวเล่นเท่านั้น อีกไม่นานก็จักกลับมา” วรองค์บางเหม่อมองออกไปนอกถ้ำพลางตรัสแผ่วเบาถึงพระโอรส จนเจ้าเต่ายักษ์มิอาจทนดูได้ เหตุใดหนอนายเหนือหัวของมันจึงต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ นี่มันเวรกรรมอันใดกัน






นานนับเดือนที่กนธีนาคาปล่อยพระทัยให้จมจ่ออยู่กับความโศกเศร้า ไม่กิน ไม่นอน ไม่พูด กับผู้ใดเลยนับตั้งแต่วันนั้น หัวใจดวงน้อยที่แสนเปราะบางนั้นมิอาจรับได้กับเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้น สองครั้ง สองครา มิอยากอยู่อีกแล้ว มิอยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวเยี่ยงนี้เลย

“แสงสุรีย์ๆๆๆ เจ้าพี่ราพฤทธิ์ ทั้งสองกลับมาหาเราแล้วๆ ”

“กลับมาหาเราแล้วใช่หรือไม่”

พระเนตรหวานที่เต็มไปด้วยอสุชล มองไปยังสองร่าง ที่พระองค์รักจับใจ หนึ่งนั้นคือ บุรุษอันเป็นที่รัก หนึ่งคือลูกน้อยของพระองค์ ในที่สุด วันที่พระองค์รอคอยก็มาถึง

“กนธี อย่าร้องไห้อีกเลย พี่มิอยากเห็นเจ้าร้องไห้” สุรเสียงทุ้มที่แสนรักตรัสบอกอย่างอ่อนโยนก่อนพระหัตหนาจักเช็ดน้ำตาให้

“เสด็จพ่อ อย่าทรงห่วงลูกเลย พระองค์มิผิดที่ช่วยลูกไม่ได้ มันมิใช่ความผิดใคร เพราะมันคือกรรมของลูกเอง อย่ากันแสงเลยนะพระเจ้าค่ะ”

“แสงสุรีย์ เจ้าพี่ ”

“กนธี พี่รักเจ้านะ อย่าร้องไห้อีกเลย หากเจ้าร้องไห้พี่กับลูกคงมิอาจเป็นสุขได้ แม้นชาตินี้เกิดมาเพียงได้พบกันแต่หากชาติหน้ามีจริง พี่ของเกิดมาเพื่อได้รักเจ้า แลจักตามรักเจ้าทุกชาติไป”

“ลูกก็เช่นกัน หากชาติหน้าเลือกได้ ลูกขอเกิดเป็นลูกของเสด็จพ่อ เช่นกัน”


“ลูก เจ้าพี่ อย่าเพิ่งไป อย่าทิ้งเราไว้คนเดียว อย่าเพิ่งไป!!!”

“พระองค์ๆ ตื่นเถิดพระเจ้าค่ะ พระองค์”

“ต้วมเตี้ยม” วรองค์บางตรัส หลังจากรู้สึกพระองค์

“ทรงสุบินหรือพระเจ้าค่ะ”

“เราฝัน เราฝันว่าลูกกับเจ้าพี่มาหาเรา ”

“พระองค์ หักห้ามใจเถิดพระเจ้าค่ะ”

“นี่มันเช้าแล้วหรือต้วมเตี้ยม”

วรองค์บอบบางทอดพระเนตรรอบๆห่องบรรทม กี่ราตรีแล้วที่พระองค์มิอาจข่มตาหลับได้ กี่ราตรีที่ทนทุกข์ทรมานจนมิเห็นเดือนเห็นตะวัน

“เจ้าไปเตรียมสำรับเถิด เราหิวแล้ว”
“พระองค์” เจ้าเต่ายักษ์เอ่ย อย่างตกตะลึง

“ยังมิรีบไปอีก”

“พระเจ้าค่ะ” ร่างอ้วนๆกระวีกระวาดเข้าโรงครัวเพื่อบอกข่างเดียวกับเหล่าข้าราชบริพาร ในที่สุด เจ้าเหนือหัวของมันก็คลายทุกข์แล้ว มันดีใจยิ่งกว่าตนเองได้กินสาหร่าย ทั้งทะเลเสียอีก มิมีความสุขใดเทียบเท่าได้เลย

“ลูกรัก พ่อทำถูกใช่ไหมลูก”

“เจ้าพี่ น้องทำถูกแล้วใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”

วรองค์บางเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ก่อนจักแย้มพระโอษฐ์ ขึ้น เมื่อนึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก

“หากชาติหน้ามีจริง หวังเพียงว่าเราสามคนจักได้อยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุขเสียที อย่าให้เหมือนชาตินี้ที่ต้องพบเจอกับความทุกข์เลย”
วรองค์บางตรัส ราวกับฝากบอกคนที่อยู่แสนไกล หากชาตินี้พระองค์มีเวรกรรมใหญ่หลวงจักต้องเผชิญ ก็ขอรับไว้ให้มันสิ้นสุดลงในชาตินี้ แลจักหมั่นบำเพ็ญภาวนาเพื่อให้ชาติภพหน้ามิต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการสูญเสียคนรักเลย

                                           
                                                         แสงสุรียา ลาลับ ดับไปแล้ว

                                                           
                                                           เหลือเพียงแววเศร้าโศกแลโหยหา

       
                                                                           หากแม้นมี บุญ บาป ร่วมกันมา


                                                                       หวังเพียงพบ สุริยา ในเร็ววัน



......................................... TBC 

มันยังไม่ยอมจบ ฮ่าๆๆ ช่วงนี้ พิต เวิ่น มาก

จบไม่ลง อิอิ คงมีต่ออีก หลายตอน

แต่คงเปลี่ยนแนว นิดหน่อย คิดว่า คงพอจะเดาออก

กันแล้ว ^_^

ปอลอ  รักทุกคนนะ ม๊วบๆๆ





 

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
หาคู่ให้ กนธี บ้าง จะได้หายเหงา

ออฟไลน์ mumamayza

  • ลั้ลลา !! ไปวันๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หาคู่ให้ กนธี บ้าง จะได้หายเหงา

เห็นด้วยอย่างยิ่ง ท่าน นักเขียนโปรด หาคู่ หัยท่านกนธี  มิฉะนั้น ข้าพเจ้า จะฉุด นักเขียนลงใต้บาดาร  :a2:

honeystar

  • บุคคลทั่วไป
รอตอนต่อไปค่า เดาตอนต่อไปไม่ถูกเลยว่าจะเป็นยังไง
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
อะไรจะรันทดขนาดนี้

 :o7:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
น้ำตาซึม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด