Three Couple of love:Special Features:Sweet Couple
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Three Couple of love:Special Features:Sweet Couple  (อ่าน 152043 ครั้ง)

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Three Couple of love:Special Features:Sweet Couple
« เมื่อ31-12-2007 19:33:42 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ










รัก 3 รส เรื่องราวความรักของหนุ่มน้อย3คน 3บุคคลิก Three Couple of love

เรื่องราวความรักของหนุ่มน้อย 3 คน 3บุคลลิก ที่มีประสบการณ์ความรักที่แตกต่างกัน เมื่อพวกเขาได้พบกับหนุ่มๆในฝัน พวกเขาจะทำอย่างไรให้หนุ่มในฝันมาหลงรัก และแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของพวกเขา

เด็กหนุ่ม 3 คนที่เป็นเพื่อนซี้จากโรงเรียนเก่า และแยกย้ายกันไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ได้พบหนุ่มในฝันและเรื่องราวความรักก็เริ่มขึ้น





*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2010 21:42:13 โดย THIP »

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
บทที่1 at first sight

คู่ที่1

ในบ่ายวันหนึ่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแถวๆมหาลัย ผมไปหาอะไรทานให้หายหิวก่อนจะไปหาเพื่อนผมที่นัดกันไว้ เนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงวันทำให้คนในร้านเยอะกว่าปกติ ผมกำลังจะสั่งก๋วยเตี๋ยว แต่ดูเหมือนไม่มีพนักงานคนไหนสนใจผมเลย เพราะคนอื่นๆก็ต่างแย่งเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารของตนเอง
“วันนี้จะได้กินก๋วยเตี๋ยวไหมเนี่ย” ผมเริ่มบ่นกับตัวเอง                                                                                       
“สั่งอาหารอะไรดีครับ” เอ๊ะผมบ่นดังไปหรือปล่าวเนี่ย                                           
“เอาเล็ก ตก เครื่องใน เป๊ปซี่ขวดหนึ่ง” ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวพลางมองพนักงานคนนั้น 
“จะสั่งอะไรเพิ่มอีกหรือปล่าวครับ”                                                                     
“ไม่ครับ” ผมแปลกใจกับพนักงานคนนั้น ที่แต่งตัวดูดีกว่าพนักงานคนอื่นๆ คือ ใส่เสื้อเชิ้ต ผูกเนคไทด์ กางเกงเสลค รองเท้าหนัง เหมือนพวกพนักงานบริษัทมากกว่า
“รอแป๊บนึงน่ะครับ” พนักงานคนนั้นเดินจากไป ทิ้งความสงสัยไว้ให้ผม ที่จริงผมตกใจกับหน้าตาของเขามากกว่า คือ หน้าตาคมๆ ดูน่ารักดี จะเรียกว่าหล่อก็ได้ ระหว่างที่รอก๋วยเตี๋ยวผมเอาชีทบทเรียนมาอ่านคั้นเวลา
“ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งได้แล้วครับ” ยังเป็นพนักงานคนนั้นที่มาบริการผม ผมขยับแว่นตามองไม่ได้มองก๋วยเตี๋ยวนะ แต่มองพนักงานคนนั้น สงสัยผมคงหลงเสน่ห์เขาเข้าซะแล้ว
“เบน เอ้ยไปทำงานได้แล้ว ไม่ต้องมาช่วยพ่อหรอก” ลุงเจ้าของร้านตะโกนบอกพนักงานหนุ่มหล่อคนนั้น “ครับ งั้นผมไปทำงานก่อนครับพ่อ” พนักงานรูปหล่อบอกผู้เป็นพ่อ พร้อมหยิบกองเอกสารหอบออกไปทำงานด้วย ที่แท้เขาก็เป็นลูกเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวนี้เอง ผมยังคงมองเขาแม้ว่าเขาจะเดินออกจากร้านไปแล้วก็ตาม ทัดใดนั้น เสียงโทรศัพท์ชองผมก็ดังขึ้น กำลังเคลิ้มอยู่เชียวใครมาขัดจังหวะเนี่ย
“หวัดดีครับ เชียร์เหรอ อืมม เราเลิกเรียนแล้ว กำลังกินข้าวอยู่ เออๆ เดี๋ยวเจอกันนะ โอเค บาย” ไอ้เพื่อนตัวดีโทรมาเร่งแล้ว ผมมีนัดกับมันว่าจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อนอีกคนหนึ่ง
ในกลุ่มผมสมัยม.ปลาย มีด้วยกันสามคน (เป็นเกย์หมดเลยนั้นแหละ) แต่ละคนนิสัยต่างกันออกไป(แต่ที่เหมือนกันคือชอบผู้ชายเหมือนกัน) พอจบม.ปลายก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ แต่ก็ยังติดต่อกันตลอดไอ้คนที่นัดผมไว้เนี้ยหน้าตาดีมากๆ มันเป็นถึงเดือนของคณะเลยนะ คนจีบเยอะมากๆเลย แต่มันออกสาวๆหน่อยแต่ไม่มากนะครับ แสดงออกพองาม คือมันเป็นคนร่าเริงแล้วก็ชอบเล่าเรื่องอย่างว่าให้พวกเราฟัง อีกคนหนึ่งแตกต่างจากเชียร์มากเลย คือจะออกครึมๆแมนๆหน่อย ผมว่ามันเหมือนคนใบ้มากกว่า คบกับมันมาผมไม่ค่อยเห็นมันพูดเท่าไหร่เลย วันๆเห็นแต่เล่นกีตาร์ ตอนนี้มันทำงานอยู่ที่พับๆหนึ่ง(นักร้องในวงนำหน้าตาหล่อมากๆ) คนนี้แหละที่เป็นเจ้าของวันเกิด
ผมรีบกินก๋วยเตี๋ยวจะได้ไปหาเชียร์ มันโทรมาเร่งแล้ว ไปช้าเดี๋ยวโดนมันบ่น ผมว่าคงต้องมากินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้บ่อยๆแล้วแหล่ะ คือติดใจลูกชายเจ้าของร้านอ่ะครับ ลืมไปผมได้ยินพ่อเค้าเรียกชื่อนี้หน่า ชื่ออะไรน้า..... อ๋อ เบน

คู่ที่2

“โจ้เหรอ กรูเลิกเรียนแล้ว มึงมาเร็วๆน่ะ กรูรอที่ร้านเบเกอรรี่น่ะ เออ บาย”ผมวางโทรศัพท์ จิบกาแฟนั่งรอเพื่อนในร้านเบเกอรรี่ข้างๆร้านหนังสือ วันนี้ผมนัดเพื่อนไว้จะไปซื้อของขวัญให้เพื่อนอีกคน ระหว่างที่นั่งรอผมก็พลางนึกว่าจะซื้ออะไรให้มันดี เพื่อนผมมันชอบเล่นกีต้าร์ จะซื้อปิ๊กให้ก็เคยซื้อให้ไปแล้ว นาฬิกาเหรอต้องไปเลือกอีกขี้เกียจเดินดูวันนี้โคตรเมื่อยเลย เมื่อวานมีคัดหรีดยืนตั้งกาดนานมาก (ปวดหลังด้วย) ซื้อเครื่องประดับให้มันไม่ค่อยได้หรอกไอ้เพื่อนคนนี้ มันไม่ชอบแต่งตัว เห็นแต่งแค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ ออกเซอร์หน่อย มันเป็นเกย์จิงป่าวเนี่ยทำไมไม่ไม่เห็นเหมือนผมกับ ไอ้โจ้เลย อ๋อ....นึกออกแล้ว มันชอบใส่แหวน ไปซื้อแหวนให้มันดีกว่า
“เออ ขอโทดครับ น้อง” มีเสียงคนเรียกมาจากข้างหลัง ผมหันไปมองตามเสียงนั้น
“มีอะไรเหรอครับ” ผมหันไปตอบ มองกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้น ตอนแรกนึกว่าพี่ๆที่คณะเพราะหน้ามันคุ้นๆกันทุกคนเลย แต่เค้าไม่ได้ใส่ชุดนิสิตกัน
“น้องเมื่อวานมาคัดหรีดด้วยใช่ป่าว” ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดกับผม
“ครับ”
“ป่าวหรอกครับ พี่เห็นน้องหน้าคุ้นๆ ชื่อน้องชื่อเชียร์ใช่ป่าวครับ”
“ครับ” รู้ชื่อกรูได้ไงฟ่ะ
“พี่ชื่อเอกนะ เป็นศิษย์เก่าที่มาคัดหรีดเมื่อวาน”
“อ๋อ ผมก็ว่าหน้าคุ้นๆ” เป็นศิษย์เก่านั้นเอง สงสัยเรียนป.โทอยู่มั้ง ตอนคัดหรีดจะมีทั้งพี่รุ่นที่แล้ว แล้วก็รุ่นพี่ศิษย์เก่าด้วย
“เฮ้ยแล้วมึงไม่แนะนำคนอื่น ให้น้องเค้ารู้จักเหรอว่ะ” เพื่อนในกลุ่มพี่เอกเริ่มแย้ง
“อยากรู้จักน้องเค้า ก็แนะนำตัวกันเองดีว่ะ น้องเชียร์ไม่มีเรียนเหรอครับ นั่งรอใครอยู่”
“กูว่ามึงไปคุยกะน้องเค้าที่โต๊ะเลยดีกว่ามัวแต่ตะโกนอยู่นั่นแหล่ะ” เพื่อนเริ่มแซว เฮ้ย! พี่เอกแม่งเอาจิง มานั่งโต๊ะเดียวกะผมเลย
“ไม่มีเรียนแล้วครับ ผมรอเพื่อนอยู่” พี่เอกเนี่ยหน้าออกตี๋ๆ ขาวๆ สูงๆ รู้สึกว่าหล่อที่สุดในกลุ่มนั้น
“นี่รู้เรื่องที่เค้าคัดหรีดยัง” พี่เองกระซิบทำยังกะเป็นเรื่องลับมากมาย
“ไม่รู้อ่ะครับมีเรื่องอะไรเหรอครับ” ที่จริงก็อยากรู้นะ
“คือ....ถ้าอยากรู้ ขอเบอร์หน่อยดิ” อ้าว! จีบกรูเหรอเนี่ย จะให้ดีไหมเนี่ย เพื่อแลกกะหรีดคณะยอมก็ได้ฟ่ะ ผมเลยบอกเบอร์ผมให้พี่เอกไป
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวพี่โทรไปหาตอนเย็นๆน่ะ” แล้วพี่เอกก็เดินออกจากเบเกอรรี่ไปพร้อมกับเพื่อนๆ โดนหลอกเหรอกรู ไม่น่าใจง่ายให้ไปเลย
ไม่นานนัก เพื่อนผมก็มาถึง เราสองคนไม่ได้เจอกันนานเหมือนกัน เพราะหลังจากเปิดเทอมที่มหาลัยก็มีกิจกรรมมากมาย จนพวกเราไม่มีเวลานัดเจอกันเท่าไร นี้ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเรา3คนจะได้เจอกัน
“ไม่เจอกันไม่กี่เดือน หล่อขึ้นเป็นกองเลยน่ะ” โจ้ทักทายผมด้วยคำชม
“ไม่ได้หรอกตอนนี้เป็นช่วงคัดหรีดคณะ ต้องดูดีไว้ก่อนซิ”ผมพูดพลางเก็กท่าหรีด
“แล้วคัดไปกันยังหล่ะ”
“เมื่อวานเอง ผลออกพรุ่งนี้แล้ว”
“อืมม แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้างหล่ะ” โจ้ถามอย่างนี้เสมอทุกครั้งที่เจอกัน
“นี่! เรื่องเรียนช่างมันเถอะคุยเรื่องแฟนดีกว่าอิ อิ”ผมเองก็ชอบเค้าเรื่องแบบนี้ตลอด
“บ้าเหรอ ไม่ใช่แกนี่ แล้วแกหล่ะมีแฟนยังหล่ะ”
“มีมาจีบก็เยอะอยู่ แต่ยังไม่เอามาเป็นแฟนว่ะ ตอนนี้ต้องทุ่มเทกับเรื่องหรีดก่อน เมื่อกี้ก็มีพี่บัณฑิตที่คณะมาขอเบอร์ไปแล้ว”
“ไปดูของขวัญให้ไอ้ปอดีกว่า กูคิดไว้แล้วว่าจะซื้ออะไรให้มัน” ดีที่โจ้มันรีบเข้าเรื่อง ไม่งั้นคุยนอกเรื่องไปไกลแน่
“จะซื้อแหวนให้มันเหรอ”มันอาจจะคิดเหมือนผมก็ได้น่ะ
“แกจะซื้อให้มันใส่นิ้วไหนอีกหล่ะ ที่มันมีอยู่ก็ครบสิบนิ้วแล้ว” เออเนอะ ลืมนึกไปเลย
“ไปซื้อของกันเถอะแกมัวแต่คุยอยู่ได้” ไอ้โจ้ลากผมออกไป อยากคุยกะมันอีกไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่ ไอ้โจ้นี่แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย ยังเป็นคนขยันเรียนเหมือนเดิม ยังใส่แว่นตา ไม่ยอมใส่คอนเทคเลนส์เหมือนผม ถึงแม้เพื่อนผมจะดูเอ๋อๆไปหน่อย แต่มันก็ถือเป็นคนน่าตาดีแต่ควรจะหัดแต่งตัวไว้หน่อย แล้วมันจะซื้ออะไรให้ไอ้ปอเนี่ย ?

คู่ที่3

ค่ำคืนในวันพิเศษของผม แต่ในความรู้สึกกลับเหมือนทุกคืนที่ผ่านไป ผมยังคงมาทำงานในพับ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ที่ต้องมาทำงานเพราะแค่อยากเก็บประสบการณ์กับเจ้ากีต้าร์ของผม ผมเล่นกีตาร์มาตั้งแต่ม.2 พอม.ปลายผมเอากีตาร์ไปโรงเรียนแทบทุกวัน ที่มีคนบอกว่าผมไม่ค่อยพูด ไม่ใช่ผมหยิ่งหรือผมเป็นคนสุขุมอะไรขนาดนั้น แต่ผมรู้สึกว่าการใช้นิ้วดีดสายกีต้าร์ ก็เหมือนกับการที่เราพูด วันๆผมจึงเอาแต่ดีดกีตาร์
“ไอ้ปอวันนี้วันเกิดแกไม่ใช่เหรอว่ะ” เหน่งนักร้องนำของวงพูดกับผม
“อืมม” ผมตอบ ขณะที่กำลังตั้งสายกีต้าร์ไปด้วย
“แล้วแกไม่ไปฉลองที่ไหนเหรอว่ะ” เหน่งยังถามต่อ
“อืมม”
“งั้นก็ แฮปปี้ เบิรท์เดย์น่ะเว้ย” เหน่งยิ้มกว้าง
“อืมม์”
“กูไม่มีของให้มึงน่ะ เงินกูหมดแล้ว”
“อืมม์” ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่สนิทคงไม่ค่อยอยากคุยกับคนที่ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์อย่างผมหรอก แต่ไอ้เหน่งเนี่ยเป็นเพื่อนในวง ที่ผมคุยมากที่สุด เพราะคนอื่นแทบจะไม่ได้ยิมเสียงผมเลย
หลังจากเล่นเพลงจบไปแล้ว ผมตั้งใจจะกลับบ้านไปฉลองวันเกิดกะที่บ้าน ปกติพ่อแม่ก็จัดให้ทุกปี แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรมากมายเท่าไร ลืมไปว่าไอ้เพื่อนสนิทผม2ตัวมักจะเอาของขวัญมาให้เสมอ หลังจากเปิดเทอมก็แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย ไม่รู้ว่าพวกมันลืมผมไปแล้วหรือยัง
“ไอ้ปอมีคนเค้าเอาของขวัญฝากมาให้มึงว่ะ” เหน่งยืนกล่องของขวัญมาให้ผม
“ใครว่ะ” ผมถามเหน่ง
“ผู้ชายสองคนโต๊ะนู้นแน่ะ” เหน่งชี้ไปที่โต๊ะๆหนึ่ง เฮ้ย! นั้นมันไอ้โจ้ กะ ไอ้เชียร์นี่หว่า
มันมากันได้ไงว่ะ ผมรีบเดินไปหาพวกมันทันที
“แฮบปี้เบิรท์เดย์น่ะเว้ย มีความสุขมากๆน่ะ พวกกูสองคนอุส่าห์ไปหามาน่ะเนี่ย”ไอเชียร์มันดูหล่อขึ้น แต่ยังชอบทำตัวเว่อร์เหมือนเดิม
“แก่อีกขึ้นหนึ่งปี ขอให้เรียนได้เอทุกวิชาเลยน่ะ” ส่วนโจ้ก็ยังป่าวนเปี้ยนเรื่องเรียนเหมือนเดิม เพื่อนคนนี้แทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แค่ผมยาวขึ้นกว่าก่อน
“แกะดิกรูอยากเห็นมึงทำหน้าดีใจเวลาเห็นของในเนี้ย”เชียร์คะยั้ยคะยอ
ผมก็เลยแกะของขวัญของพวกมันดู ของขวัญของพวกมันคือกรอบรูปที่ดีไซน์แบบแปลกๆคือเป็นรูปกีตาร์ ตรงกลางเป็นที่ใส่รูปสองช่อง ช่องแรกมีรูปพวกเราสามคนตอนไปถ่ายในงานปัจฉิม แต่อีกช่องไม่มีรูป
“อยากรู้อ่ะดิว่าทำไมไม่ใส่รูปให้อีกช่องหนึ่ง”ไอ้เชียร์ทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“กูให้มึงเอาใว้เก็บรูปแฟนมึงไง” ไอ้นี้มันเป็นบ้าอะไรของมันเห็นชอบถามแต่เรื่องแฟน
“ปอไม่ต้องไปสนใจมันหรอก แกเอาไว่ใส่รูปอะไรก็ได้” มีแต่โจ้นี่แหล่ะที่ดูมีสาระ
“กูอยู่ดึกไม่ได้น่ะ เดี๋ยวพ่อเอาตายเลย”ไอ้เชียร์รีบออกตัวมีแต่มันนี่แหละที่มีปัญหาตลอด พ่อมันเป็นคนเจ้าระเบียบมากแต่ไหงลูกไม่เห็นจะเรียบร้อยเลย ส่วนโจ้อยู่หอพักคนเดียวเลยไม่ได้ซีเรียสเรื่องเวลา แต่เด็กเรียนอย่างมันก็ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสืออยู่ดี
ระหว่างที่พวกเราคุยกันอยู่ ผมไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง คงเป็นคนมาเที่ยวที่พับ หน้าตาเหมือนนายแบบเลย คนในร้านมองกันยกใหญ่รวมถึงผมเลย มีแต่สองคนข้างๆผมที่มัวแต่คุยกันไม่ได้สังเกตอะไรเลย ไอ้เชียร์มันคงเห็นผมมองไปทางอื่นเลยหันมาถาม
“นี่แกมองอะไรว่ะ ได้ฟังที่พวกกรูคุยกันหรือป่าว”พอมันด่าเสร็จก็หันไปมองตามผม
“เฮ้ย! ใครว่ะหล่อเนอะ” ไอ้โจ้คงหันไปมองเหมือนกัน
“นั่นมันพี่เก่งนี่หว่า” ไอ้เชียร์ร้องขึ้นมา
“มึงรู้จักเค้าได้ไงว่ะ”ผมตกใจที่มันรู้จักเลยหันไปถาม
“แหม! ที่เรื่องผู้ชายมึงถึงพูดออกมาได้ใช่มั้ย” น่านโดนมันสวนกลับ
“พี่เก่งเป็นลูกเพื่อนของพ่อกู” ไอ้เชียร์เฉลย
“แสดงว่า รวยด้วย” ไอ้โจ้เสริม เพราะพ่อไอ้เชียร์ขายเพชร เพื่อนพ่อมันก็คงขายเพชรเหมือนพ่อมัน
“เจ้าชู้มากด้วยน่ะเฟ้ย”ไอ้เชียร์เสริมอีก
ผมว่าอยู่แล้วหน้าตาดีอย่างเนี่ยไม่แปลกหรอกที่เจ้าชู้
“อยากรู้จักป่าวเดี๋ยวกูเรียกให้” ไม่ทันขาดคำ”ไอ้เชียร์กวักมือเรียกพี่เก่ง
พี่เก่งเห็นไอ้เชียร์เลยเดินตรงมาหาที่โต๊ะของพวกเรา พวกเรามองพี่เก่งตาไม่กระพริบเลย
“อ้าว เชียร์ว่าไงไม่เจอตั้งนาน หล่อขึ้นเลยน่ะ”พี่เก่งเอยทักไอ้เชียร์
“เชียร์มาฉลองวันเกิดของเพื่อน แล้วพี่เก่งมากะใครเหรอ”
“พี่นัดเพื่อนไว้”
“เพื่อนจิงอ่ะ แล้วใช่เพื่อนที่เชียร์เคยเห็นป่าว” ดูไอ้เชียร์แซวพี่เค้า คงสนิทกันมาก
“เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว แล้วนี่แฟนเชียร์เหรอ” พี่เก่งคงหมายถึงผม เพราะมักมีคนคิดว่าผมกะไอ้เชียร์เป็นแฟนกัน
“เพื่อนคร้าบ นี่เพื่อนจริงๆ ไม่เหมื่อนใครบางคนหรอก ชอบโกหกคนอื่น” ไอ้เชียร์นี่มันไม่เคยกัดใครบ้างเนี่ย
“ปากร้ายเหมือนเดิมน่ะเรา พี่ไปก่อนน่ะ” พี่เก่งขอตัวออกไปก่อน พวกเราก็ยังมองพี่เก่งที่เดินกลับไปที่โต๊ะ
“อ้าวพี่เก่งเค้ารู้เหรอว่าแกเป็นเกย์” ไอ้โจ้ถามไอ้เชียร์
“เออ ก็เค้าก็เป็นเหมือนกัน”
“เฮ้ย” ผมกะโจ้ทำตาโตตกใจหันหน้ามาหาไอ้เชียร์พร้อมกัน
“เดี๋ยวแกรอดูน่ะ เพื่อนพี่เค้าที่นัดไว้”
ไม่นานนักก็มีผู้ชายเค้ามาที่ร้าน หน้าตาดีเหมือนกันแต่ดูออกเลยว่าเป็นเกย์
“นี่แหละเพื่อนเค้า เอ๊ะ!ไม่ใช่ซิคู่ขาพี่เค้าเว้ย” ไอ้เชียร์เริ่มนินทา
“แล้วแกเคยโดยพี่เค้าจีบป่าวว่ะ” ไอ้โจ้ถามเหมือนกะที่ผมสงสัย
“ก็เคย แต่กรูไม่ชอบคนเจ้าชู้ว่ะ ไอ้คนนี้รู้สึกเจ้าประจำ ยังมีอีกหลายคน”
สักพักพี่เก่งกะเพื่อนเค้าก็ออกจากร้านไป พวกเราก็จะกลับเหมือนกัน ไอ้เชียร์มันเอารถมาเลยจะขับไปส่งพวกเรา แต่ผมขอกลับเอง เพราะบ้านผมอยู่คนละทางกะพวกมัน
พอผมส่งพวกนั้นขึ้นรถไปแล้ว ผมก็แบกกีต้าร์จะไปเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ระหว่างที่จะเรียกแท็กซี่ มีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดอยู่หน้าผม รถของพี่เก่งนั้นเอง
“น้อง เพื่อนเชียร์นี่ จะกลับบ้านเหรอพี่ไปส่งไหม”พี่เก่งเอ่ยปากชวนผม
“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธตามมารยาท
“ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นมาเถอะ”พี่เก่งเปิดประตูรถ
“ขอบคุณครับ” ผมเอากีต้าร์ไว้เบาะหลัง แล้วไปนั่งข้างหน้ากับพี่เค้า
ผมรู้สึกเขินๆที่ต้องนั่งกับพี่เก่ง คิดดูน่ะครับหนุ่มหล่อหน้าตาระดับนายแบบ อาสาขับรถไปส่งบ้าน เป็นใครก็คงพูดไม่ออกเหมือนผม พี่เก่งเห็นผมเงียบๆเลยชวนคุย
“เล่นกีตาร์อยู่ที่นี้เหรอ”
“ครับ”
“เล่นดีน่ะ ทำไมไม่ร้องด้วยหล่ะ เดี๋ยวนี้เป็นนักดนตรีเค้าต้องเก่งหลายด้าน”
“ครับ”
“เป็นเพื่อนเชียร์ตอนมัธยมเหรอ”
“ครับ”
“เชียร์คงแสบน่าดูล่ะซิ”
“ครับ”
พี่เก่งยังถามอีกหลายเรื่องแต่ผมดันตอบไปแค่คำว่า ครับ ไม่รู้เค้าเบื่อผมหรือป่าว ที่จริงพี่เก่งจะไปเที่ยวกะเพื่อนเค้าต่อ แต่เพื่อนเค้าดันมีธุระกลับไปก่อน พี่เก่งเลยต้องกลับบ้าน แต่เค้าบอกว่าอาจจะไม่กลับบ้านเพราะไปนัดเพื่อนอีกคนแทน อืมม เจ้าชู้เหมือนที่ไอ้เชียร์บอกเลย พอถึงบ้านผมรีบขอบคุณพี่เก่ง
“วันนี้วันเกิดน้องใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“แฮปปี้เบิรท์เดย์น่ะ”
“ครับ” ผมหน้าแดงเลย
“คุยกันตั้งนาน แล้วน้องชื่ออะไรหล่ะ”
“ปอ ครับ”
“แล้วคนที่ใส่แว่นหล่ะชื่ออะไร”
“โจ้ครับ”
“มีเบอร์โจ้ไหม พี่ขอหน่อยซิ”
 
----- จบตอนที่1 -----

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ มาทีเดียว 3 คู่เลยเหรอ  :mc4: :mc4: :mc4:
รออ่านอยู่ค่ะ    :m13:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ติดตามผลงานของคุณโจโจ้มานาน
ดีใจจังครับ เอาของขวัญปีใหม่มาลงเองเลย
จะติดตามนะครับ
จะบอกว่าเรื่องนี้ผมอ่านภาคสองแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านภาคแรกเลย
สนุกดี ต้องตามอ่านภาคแรกแล้ว ได้ฤกษ์สักที
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
มากันสามคู่เลยแฮ๊ะ.... ท่าทางน่าสนุกกกกก  :m1:
เอ๊ะพี่เก่งนี่ยังไง...ทำไปทำมาโจ้สเน่ห์ดีซะงั้นนนนนน
เรื่องราวความรักคราวนี้ท่าทางจะชุลมุนดีแท้น้อออออ
ติดตามเป็นกำลังใจกันต่อไปปปปปป  :mc3:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
บทที่2 นัดครั้งแรก

คู่ที่1

หลังจากเรียนช่วงเช้าแล้ว ผมกับเพื่อนๆจะไปกินข้าวเที่ยงกัน เถียงกันว่าจะไปกินร้านไหนดี ผมรีบเสนอว่าไปกินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวดีกว่า คือผมอยากไปเจอลูกเจ้าของร้าน เพื่อนๆก็ตกลง เราเลยได้ไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวสมใจผม พอไปถึงที่ร้าน ผมมองหาเค้าคนนั้น แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เจอ สงสัยวันนี้เค้าคงไม่มาช่วยแล้วละมั้ง ผมเลยนั่งเสียดายกินก๋วยเตี๋ยวไป เพื่อนๆก็เริ่มคุยกัน
“เดี๋ยววิชาต่อไปเรียนกะอาจารย์ใหม่ด้วยนะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“เห็นมีข่าวบอกว่าอาจารย์คนนี้หล่อมากด้วย”
“เพิ่งจบป.โท แล้วมาสอนเลย อายุแค่20กว่าๆเอง”
ผมเองไม่ได้สนใจเรื่องที่เพื่อนผมคุยกัน เพราะมัวแต่นึกถึงเรื่องลูกชายเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว จะถามลุงเจ้าของร้านก็ไม่กล้า เพราะไม่ได้รู้จักกันเลย ไม่เป็นไร คราวหน้าเราคงได้เจอเค้า
พอจัดการก๋วยเตี๋ยวเส็รจ ผมกะเพื่อนก็รีบไปเรียนต่อ
ระหว่างทาง โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เบอร์ใครก็ไม่รู้ ผมเลยรับรับ
“สวัสดี ครับ”
“น้องโจ้ใช่มั้ยครับ พี่เก่งนะครับ จำได้ไหม”
พี่เก่งที่เราเจอเมื่อวานนี่นา แล้วเขาโทรมาหาผมทำไม
“ครับ พี่เก่งมีธุระอะไรกับผมหรือป่าว ครับ”
“โจ้เลิกเรียนกี่โมงครับ พี่จะชวนไปกินข้าว”
ผมตกใจที่อยู่ๆใครก็ไม่รู้มาชวนไปกินข้าว
“เออ คือ ..........” ผมอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง
“ให้พี่รับที่มหาลัยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเลิกประมาณ สี่โมงครับ ผมไปหาพี่เองดีกว่า แถวมหาลัยผมรถมันติด”
ผมไม่กล้าบอกปฏิเสธ แต่ไม่อยากให้พี่เก่งมารับ
พี่เก่งนัดผมไว้ที่ห้างๆหนึ่ง และบอกให้ผมมาให้ได้ สงสัยกลัวผมไม่ยอมไป
“ถ้าผมเลิกเรียนจะรีบไปนะครับ” ผมรีบตัดบทก่อน เพราะจะถึงห้องเรียนแล้ว
พอวางโทรศัพท์ ผมรีบโทรไปหา เชียร์ เพราะต้องเป็นเชียร์แน่ๆที่ให้เบอร์ผมกับพี่เก่ง
“เชียร์! นี่แกให้เบอร์ฉันกับพี่เก่งใช่มั้ย” ผมเริ่มโมโห
“พูดอะไรของแกว่ะ กูงง”
“ก็เมื่อกี้พี่เก่งโทรมาหาฉัน ชวนฉันไปกินข้าว”
“อ้าว แล้วเค้าเอาเบอร์แกมาจากไหนว่ะ”
“ไม่ใช่แกแล้วเป็นใครว่ะ” ผมชักงงงงแล้ว
“ช่างมันเถอะ แล้วแกไปหรือเปล่าว่ะ” เชียร์กระแนะกระแหน
“ก็ไม่กล้าปฏิเสธอ่ะ ไม่ค่อยอยากไปเลยว่ะ”
“ไปเถอะ ถือว่าไปกินข้าวฟรีล่ะกัน แค่นี้ก่อนนะ กูจะไปซ้อมเชียร์ เดี๋ยวกูโทรไปหานะ”
ไอ้เชียร์รีบว่างหู ตกลงใครให้เบอร์พี่เก่งล่ะเนี่ย ผมเข้าห้องช้ากว่าเพื่อนๆ เพราะมัวแต่โทรศัพท์อยู่ โชคดีที่อาจารย์ยังไม่มา ผมต้องไปนั่งคนละแถวกับเพื่อนๆเพราะแถวที่เพื่อนๆนั่งเต็มหมดแล้ว
“ขอโทษนะครับ ตรงนี้นั่งได้ไหมครับ” ผมถามคนที่นั่งใกล้กับเก้าอี้ตัวที่ว่าง
“นั่งได้ครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบ ผมเลยนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวที่ว่างนั้น
“นายอยู่คณะอะไรเหรอ เราไม่เคยเห็นหน้านายเลย” ผู้ชายคนั้นถามผม
“เราอยู่คณะจิตวิทยา นายหล่ะ” ผมตอบ
“เราอยู่คณะแพทย์ ชื่อ เล็ง” ผมไม่แปลกใจกับชื่อของเล็ง เพราะ หน้าตาของเล็งดูออกเลยว่าเป็นคนจีน หน้าตี๋ๆผิวขาวๆ ทำไมคนจีนชอบเรียนหมอกันนะ
ผมคุยกับเล็งไปได้สักพัก อาจารย์ก็มาถึง
“โจ้ ดูอาจารย์คนใหม่ดิ หล่อจัง” ผมแปลกใจที่เล็งชมผู้ชายว่าหล่อ สงสัยเป็นพวกเดียวกันแหง่เลย แต่ที่ผมแปลกใจก็คือ......
“สวัสดี นิสิตทุกคน ผมขอแนะนำตัวก่อนน่ะครับ ผมชื่ออัครพล เรียกว่าอาจารย์เบนก็ได้น่ะครับ” ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย อาจารย์คือคนๆเดียวกับ ลูกเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวคนนั้นนั่นเอง

คู่ที่2

หลังจากผมรู้ผลแล้วว่า ผมได้เป็นลีดคณะ ผมก็ต้องซ้อมลีดบ่อยขึ้น วันนี้เป็นวันแรกเลยต้องตั้งใจหน่อย ส่วนมากลีดที่คัดมาไม่ค่อยมีแมนๆเท่าไหร่(รวมถึงตัวผมด้วย)แต่เรื่องหน้าตาเนี่ย ทุกคนหล่อๆสวยๆกันทั้งนั้น ไม่แปลกใจที่ตอนซ้อมลีดมีคนมาดูกันเยอะ ผมก็เขินๆเหมือนกันแม้จะชินกับสายตาที่คนมองดูผม แต่ผมรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ “น้องเชียร์เก่งจัง พี่เค้าสอนแป๊บเดียวเต้นได้แล้ว” พี่เอกที่มาจีบเรานี่หว่า
“เชียร์เคยเป็นลีดที่โรงเรียนเก่า ครับ”
“เหรอครับ คือพี่จะชวนเชียร์ไปกินข้าวหลังเลิกซ้อมเชียร์อ่ะครับ”
“เดี๋ยวเชียร์ต้องรีบกลับบ้านครับ พ่อไม่ให้กลับบ้านดึก”ที่จริงอยากไปแต่ต้องเล่นตัว
“ว้า.....แย่จัง พี่ว่าเชียร์ไม่อยากไปกับพี่ใช่ไหมหล่ะ” พี่เอกเริ่มงอน
“ผมไม่ได้พูดนะ พี่พูดเอง” เจอมุขเราซ่ะเลย
“เชียร์อย่าลืมนะ ว่าพี่มีสิทธิ์ให้ใครเข้า ให้ใครออกจากลีดได้”พี่เอกแม่งขู่ กะอีแค่ไม่ไปกินข้าว ทำไงดีล่ะเนี่ย ไปก็ไปว่ะ
“ด้าย..... ที่ไปด้วยไม่ใช่กลัวพี่หรอกน่ะ แค่อยากกินข้าวฟรีเฉยๆ แต่ถ้าไปด้วยแล้ว ร้านไม่หรู ไม่แพง ไม่กินน่ะ” เจอคุณหนูอย่างเราไปจะกลัวไหมเนี่ย
“พี่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะเลี้ยง อยากกินแพงๆก็ออกเองดิ” พี่เอกแม่งร้ายกว่ากรูอีก
“ตกลงอยากให้ไปหรือเปล่า” ผมทำหน้าบึ้งใส่
“ล้อเล่นครับ ไปดิ เดี๋ยวซ้อมเสร็จไปเลยนะ เชียร์จะได้กลับบ้านไม่ดึก” พี่เอกกำชับ แถมบอกให้ผมตั้งใจซ้อมลีดด้วย
พี่เอกไม่ได้มาคุ้มลีด หรือมาซ้อมให้หรอก พี่เค้าเรียนป.โทอยุ่ที่คณะผมเลยแวะมาดูรุ่นน้องซ้อมลีดบ่อยๆ
พอซ้อมเสร็จผมก็เตรียมตัวจะไปกินข้าวกับพี่เอก แต่พี่เอกยังไม่เลิกเรียนเพราะป.โทเค้าเรียนกันตอนเย็นๆ เลิกตอนหัวค่ำ ผมเลยต้องนั่งรอพี่เอก ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่ปฏิเสธพี่เค้า เพราะส่วนมากผมไม่ค่อยไปกินข้าวกับใคร ผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้าในโรงยิม กะว่าจะอาบน้ำไปด้วย ในห้องน้ำไม่มีใครอยู่เลยเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว
หลังจากที่ผมอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมออกมาดูความเรียบร้อยของตัวเองที่กระจกด้านหน้าของห้องน้ำ นี้ไม่ใช้ครั้งแรกหรอกที่ผมไปกินข้าวกับคนที่มาจีบ แต่ไม่เคยไปกินข้าวกะคนที่เพิ่งมาจีบแค่วันเดียวต่างหาก พี่เอกนี้เก่งน่ะสามารถให้คนหยิ่งๆอย่างผมไปกินข้าวด้วยได้เนี้ย ผมเองไม่ได้กลัวเรื่องไม่ได้เป็นหลีดอย่างที่พี่เอกขู่หรอก เพราะผมเป็นถึงเดือนคณะใครๆก็อยากให้ผมเป็นหลีดอยู่แล้ว แต่ผมชอบพี่เอกที่กล้ามาจีบตรงๆและไม่กลัวว่าผมจะปฏิเสธ ผมเองก็อยากรู้ว่าพี่เค้าจะทำยังไงต่อไปถ้าคิดจะมาจีบผมจริงๆ ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครอยู่ด้านหลังของผม เอาแล้วไอ้เชียร์ได้เจอผีแน่มึง ตอนนี้มันก้อทุ่มกว่าๆแล้วข้างนอกโรงยิมก็ไม่ได้เปิดไฟแล้วด้วย ทำไงดีหล่ะเนี้ย พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย ยังไม่ทันได้วิ่งก็มีมือมาจับที่บ่าของผม ผมรีบเงยดูที่กระจกทัมที ถึงจะกลัวก็ขอดูหน้าผีซะหน่อยเถอะ เอ๊ะทำไมหน้าผีมันน่าคุ้นๆว่ะ ไอ้พี่เอกนี่หว่า
“แหมๆน้องเชียร์แค่ไปกินข้าว ถึงกลับต้องอาบนน้ำเลยเหรอคับ”พี่เอกยังมาแซวผมอีก
“ตกใจหมดเลย นึกว่าผีโรงยิม”
“ผีอะไรจะหล่อขนาดนี้ รู้งี้น่าจะไปหลอกตอนอาบน้ำ เผื่อได้เห็นอาไรดีดีด้วย”
“ข้อหาทำให้ตกใจเลี้ยงข้าวเลยนะ” ผมทำเป็นแกล้งงอน
“ได้ครับ งั้นรีบไปดีกว่า เดี๋ยวมีผีจริงๆมาหลอก” พี่เอกคว้ามือผมทั้งที่ผมยังทันตั้งตัว อะไรจะรีบขนาดนั้น ผมเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรปล่อยให้พี่เอกจูงมือผมไป ตอนกลางคืนแล้ว คงไม่มีใครเห็นหรอก
ทำไมตอนที่พีเอกจูงมือผม ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะดีใจที่พี่เค้าจับมือผม หรือว่าผมก็ชอบพี่เค้าซะแล้ว

คู่ที่3

กรี๊งงงงงงงงงง..........................งง
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น บอกเวลาที่ผมจะต้องรีบออกไปเรียน ถ้าคืนไหนผมเล่นดนตรี วันรุ่งขึ้นจะไม่มีเรียนตอนเช้า เพราะผมเองไม่อยากให้การเล่นดนตรีมาทำให้เสียการเรียน แม้ใครหลายคนบอกว่าผมน่าจะเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยไปทำงาน แต่ผมคิดว่าการที่เราทำสิ่งที่เรารักก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย และผมเองก็อยากให้ทุกคนเห็นว่าถึงแม้ผมจะเล่นดนตรี แต่ผมก็ยังตั้งใจเรียนหนังสือ
ก่อนที่จะออกจากบ้านเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“น้องปอครับ พี่เก่งนะ” ผมจำเสียงพี่เก่งได้ หลังจากที่พี่เก่งขอเบอร์โจ้จากผมไป พี่เก่งเองก็ขอเบอร์ผมไปด้วย
“ครับ” ผมรู้สึกดีใจมากๆที่พี่เก่งโทรมาหาผม แต่น้ำเสียงของผมดูราบเรียบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
“พี่นัดโจ้ไว้แล้วนะ แต่เห็นเชียร์บอกว่าโจ้เค้าอยากให้พี่เลี้ยงวันเกิดของปอ พี่เลยจะชวนน้องปอไปด้วย ไปด้วนกันนะ”
“ครับ” ที่จริงผมรู้ว่าพี่เก่งอยากไปกับโจ้สองคนมากกว่า แต่ผมก็ยังดีใจที่จะได้เจอกับพี่เก่งถึงแม้ว่าคนที่พี่เค้าอยากเจอไม่ใช่ผมก็ตาม
พี่เก่งวางสายไปแล้ว แต่ผมยังอยากคุยกับพี่เก่งต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกชอบใครสักคน ถึงแม้กลุ่มของพวกผมจะมีคนมาจีบเยอะก็ตาม แต่ผมยังไม่เคยคิดจะรักใครเลย ผมยังอยากให้เวลากับตัวเองมากกว่า และที่สำคัญพวกที่มาจีบแต่ละคนออกจะเป็นพวกที่หวังจะฟันผมซะอย่างเดียว ทำให้ผมยังไม่มีแฟนซะที
พี่เก่งวางสายไปแล้ว แต่ความคิดของผมยังวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้ พี่เก่งเป้นคนที่มีเสน่ห์ไม่ใช่แค่เพียงรูปร่างที่สมสวม ไม่อ้วน ไม่ผอม มีกล้ามพอประมาณ ไม่ล่ำมากจนเกิน อีกทั้งหน้าตาที่ดูเหมือนเป็นคนแขกขาว โดยเฉพาะดวงตาที่สามารถสะกดใจใครก็ตามที่แค่เพียงได้สบตาของพี่เก่ง บุคคลิกและการพูดการจาก็ดูดึงดูดให้คนอยากเข้าไปรู้จัก และฐานะทางบ้านก็รวยมากๆ (อันหลังได้ข้อมูลมาจาก เชียร์) พูดง่ายๆพี่เก่งคือผู้ช่ายที่สมบูรณ์แบบมากๆ เสียดายที่เป็นคนเจ้าชู้ ผมอยากรู้ว่า พี่เค้าคบคนอยู่กี่คน แล้วพวกนั้นชอบมีแฟนเจ้าชู้หรือไง เพื่อนผมตอนนี้คงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่เก่งไปซะแล้ว โจ้มันเป็นคนเรียบร้อย และไม่ค่อยทันคนเท่าไหร่ ผมเป็นห่วงเพื่อนเหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกหวงๆพี่เก่ง
ผมมองดูตัวเอง เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบอันเก่า คงไม่เหมาะกับหนุ่มไฮโซมาดเนียบสุดหล่อเป็นแน่ ผมจึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ถีงแม้ว่าการออกเดทครั้งนี้จะไม่ได้มีพี่เก่งกับผมสองคนก็ตาม ยังไงผมก็ขอดูดีสักวันหนึ่งเถอะ
ผมเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตเข้ารูป กับกางเกงยีนส์ขาม้า แล้วไปคว้า รองเท้าหนัง จากชั้นวางรองเท้า ผมมองตังเอง นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้มองตัวเองอย่างชัดๆ ผมสังเกตว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมควรจะทำก่อนไปเจอพี่เก่ง ผมเอามือเสยผมอันรุงรัง เผยให้เห็นใบหน้าที่ผมเองก็ลืมไปนาน
ผมเลยตัดสินใจจะโดดเรียนวันนี้ (อย่าเอาเป็นแบบอย่างน่ะครับ) ผมออกจากบ้านและมุ่งตรงไปยังห้างที่พี่เก่งนัดไว้ ผมมองดูนาฬิกา อีก 2 ชั่วโมงจะถึงเวลานัดของพี่เก่ง ยังมีเวลาที่ผมจะไปจัดการกับตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่น ผมเองก็หวังว่ามันอาจจะทำให้พี่เก่งหันมาสนใจผมบ้าง
ผมเดินเข้าไปที่ที่ผมไม่ได้เข้ามานานหลายเดือนแล้ว ผมมองตัวเองในกระจกของที่แห่งนั้นอีกครั้ง ผมถอนหายใจ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการตกหลุมรักก็วันนี้
“เชิญด้านนี้ครับ” เสียงนั้นทำให้ผมหยุดคิดและเดินตามเสียงนั้นไป
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ได้จัดเตรียมไว้ ก่อนที่ใครจะพูดผมก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ทรงสกินเฮดครับ”

----- จบตอนที่2 -----

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เอากำลังใจมาให้ก่อน รออ่านต่อนะ :m4: :m4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ลุ้นกันทั้งสามคู่เลยวุ้ย    :m4: :m4: :m4:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เป็นเรื่องโปรดเรื่องหนึ่งของผมเลยครับ คุณ Jojoe
แล้วจะมาลง season 2 ต่อเลยป่ะครับเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
เรื่องน่ารักมากเลยครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ :m4: :m4:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
ติดจิง ๆ แล้วสิ...โดยเฉพาะยอดชายนายปอ...ลงทุนตัดผมเลยอ่ะ
โจ้ก้อไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไรเล๊ยยยยย.... ชุลมุนกันดีแท้.... :mc2:
รอกันต่อไปปปปปปปป หนุกหนาน ๆๆๆ

piyakorn

  • บุคคลทั่วไป
 :a4:เป็นกำลังใจให้ครับผม 

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
จะเกิดรักสามเส้าขึ้นหรือนี่ แถมมาเกิดกับเพื่อนสนิทอีก จะแย่หน่อยนะ
เกิดกับพวกรักจริงๆก็คงดีไป ไม่ใช่ว่าคนเจ้าชู้ คบกันแป๊บเดียวแต่มาทำลายความสัมพันธ์ของเพื่อนที่คบกันมานานปี
 :mc2: :mc2: :mc2:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
บทที่3 เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
คู่ที่1
ผมเคยได้ยินมาว่าความรักทำให้เกิดปาฏิหาริย์ และเกิดเรื่องราวต่างๆที่บางครั้งเราเองก็ไม่เข้าใจ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมกับเบน ไม่ใช่สิ อาจารย์เบนถึงได้รู้จักกันเพราะความบังเอิญ คงเป็นเพราะโชคชะตา หรือ ฟ้าลิขิต ที่ต้องมาเจอกัน แต่ผมอยากให้เป็น พรมลิขิตมากกว่า
ในชั่วโมงนั้นผมแทบไม่ได้เรียนเลย เอาแต่จ้องคนสอนตลอด เล้งคงเห็นผมมองอาจารย์ตาไม่กระพริบเลยแซวมาว่า
“นายชอบอาจารย์เหรอ” ความคิดของผมเริ่มกลับสู่โลกแห่งความจริง
“........” ผมไม่กล้าตอบพยายามทำเป็นไม่สนใจ ผมเองก็ยังไม่รู้จักกับเพื่อนใหม่คนนี้สักเท่าไหร่ ใครจะไปกล้าเล่าอะไรให้ฟังหล่ะ
“เราว่านายน่าจะตั้งใจเรียนน่ะ อย่ามัวแต่มองอาจารย์” เจ้าของเสียงไม่ได้มองมาที่ผม มือยังจดเลคเชอร์บนกระดาน
ผมมองที่สมุดของตัวเอง เวรกรรม! ผมไม่ได้จดอะไรเลย อาการหนักนะเนี้ย
“เอาหล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนน่ะครับ เดี๋ยวมาต่อชั่วโมงหน้า” อาจารย์หนุ่มรูปหล่อมองดูนาฬิกา พร้อมเก็บกองหนังสือที่นำมาด้วย แล้วรีบเดินออกจากห้องไปเลย
“เอาเลคเชอร์ของเราไปลอกนะ ค่อยเอามาคืนอาทิตย์หน้าหล่ะกัน”ผมรับสมุดเลคเชอร์จากเล็ง
“ขอบใจนะ เรายังไม่คุ้นกับการเรียนในมหาลัยนะ” ผมโกหกไป ไม่อยากให้เพื่อนใหม่รู้
“เราจะพยายามเชื่อแล้วกัน เราไปก่อนนะ บาย” เล็งเดินออกไป ปล่อยให้ผมแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่คนที่เราชอบกลายมาเป็นครูของเรา และ เรื่องที่พี่เก่งโทรมานัดไปกินข้าว ผมเองก็พอเดาออกว่าพี่เก่งคงจีบผม แต่แปลกใจว่าคนหล่อๆรวยๆอย่างพี่เก่งจะมาสนใจ คนธรรมดาที่ไม่ได้มีดีอะไรอย่างผม และถ้าผมจะคบกับพี่เก่งก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะไม่ว่าจะเป็นนิสัย สังคมของแต่ละคน พี่เก่งอาจจะเป็นคนหล่อ รวย ที่ใครๆก็อยากได้มาเป็นแฟน แต่ผมกลับไม่ได้มองเพียงแค่นั้น คนเราจะรักกันมันต้องมีอะไรมากกว่านั้นผมเองก็อธิบายไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง แต่ผมรู้สึกถึงมันได้ ถ้าคนที่ใช่ก็คือใช่ ถ้าคนที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
ในขณะที่ผมเก็บข้าวของลงกระเป๋า เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เชียร์โทรมานั่นเอง
“มีอะไรเหรอ”
“กูจะมาบอกมึงว่า กูโทรไปหาพี่เก่งแล้ว กูรู้ว่ามึงไม่อยากไปคนเดียว กูเลยบอกเค้าไปว่ามึงอยากจะกินเลี้ยงวันเกิดไอ้ปอ”
“ขอบใจมากแล้วไอ้ปอมันรู้ยัง” เชียร์ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจจริงๆ จัดการทุกอย่างให้เสร็จสับ
“พี่เก่งโทรไปบอกแล้ว แต่กูคงไปกินกับมึงด้วยไม่ได้นะ”
“อ้าว! ทำไมหล่ะ” ผมเริ่มงงงงกับเจ้าเพื่อนตัวดี
“กูมีธุระด่วน เดี๋ยวเล่าให้ฟังล่ะกันมึงไปกินกับพี่เก่งกันสองคนเถอะ กินเผื่อกูด้วยนะ ไปก่อนบาย”
“เดี๋ยวก่อนซิวะ ไอ้เชียร์......” เชียร์วางหูไปแล้ว มันจะรีบอะไรของมัน สงสัยคงเป็นธุระด้วยจริงๆ
ถึงเชียร์ไม่ไปก็ยังมีไอ้ปออยู่
ผมเลยรีบออกจากห้องเรียน เพราะใกล้เวลานัดกินข้าวกับพี่เก่งแล้ว ผมตั้งใจจะนั่งรถไฟฟ้าเพราะจะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งตัวสถานีอยู่หน้าปากซอยของมหาลัยแต่ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์ออกไป
พอมาถึงรถไฟฟ้าผมก็รีบเข้าไปในตัวเครื่องที่มีคนแน่นเต็มไปหมด
ปิ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงสัญญาณของรถไฟฟ้าเตือนให้ผู้โดยสารออกจากตัวเครื่องเพื่อจะได้ปิดประตู้ของรถไฟฟ้า
ในชั่วขณะที่ประตูกำลังปิด ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดเข้ามาในรถ ทำให้ตัวผู้ชายคนนั้นชนกับตัวของผม
“ขอโทษครับ”ผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ อ้าว! อาจารย์” ผมตกใจแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าเป็นอาจารย์เบน นี้มันเรื่องอะไรกันเนี้ย
“เอ้า เธอ นิสิตที่เรียนวิชาอาจารย์นี้” ดูอาจารย์ก็คงตกใจเหมือนกัน
ผมยกมือไหว้ อาจารย์ก็ยิ้มๆรับไหว้ผม ผมรู้สึกเขิน ทำอะไรไม่ถูกจะหันไปทางอื่นก็ไม่ได้เพราะทั้งซ้ายขวามีแต่คนเบียดไปหมด
พอถึงสถานีถัดไปก็มีคนเข้ามาในรถไฟฟ้าอีก ทำให้อาจารย์เข้ามาใกล้ผมเข้าไปอีกจนหน้าของผมเข้าไปซบหน้าอกของอาจารย์
“อ๊ะ ขอโทษครับ” ผมรีบถอยตัวออกห่างเพราะความตกใจ แต่ก็แอบดีใจเล็กๆ
“ไม่เป็นไรครับ ตอนเย็นคนเลิกงาน คนก็เลยเยอะนี้แหล่ะ”อาจารย์พยายามหาเรื่องคุยกับผม
“อาจารย์ไปไหนเหรอครับ”ผมเองก็พยายามเก็บความเขินอายเอาไว้
“อาจารย์จะไปธุระ ไปจ่ายค่าบัตรเครดิตรนะ ที่ห้าง....”
“ผมก็จะไปที่ห้าง.... เหมือนกันครับ” ไปที่เดียวกันอีก วันนี้ทำไมผมจึงต้องเจอเรื่องแปลกใจมากมาย
“งั้นเราก็ลงที่สถานีเดียวกันนะซิ ดีดี อาจารย์จะได้มีเพื่อนคุย” อาจารย์คุยกับผม คนก็ยังดันเข้ามาอีก แต่ผมจับเสาไว้เลยไม่ได้ไปชนอาจารย์อีก
“แล้ววันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง อาจารย์สอนรู้เรื่องไหมครับ” อาจารย์ยังคงชวนผมคุย ผมไม่กล้าตอบหรอกว่า วันนี้ไม่ได้ตั้งใจเรียนเพราะมัวแต่มองอาจารย์ทั้งคาบ
“ครับ ผมยังจดเล็คเชอร์ไม่ค่อยทันครับ”ผมแก้ตัวออกไป
“ถ้าไม่เข้าใจอะไรถามผมได้น่ะครับ”
“ครับผม” ผมยิ้มดีใจที่ได้คุยกับอาจารย์
“ถึงแล้ว เดินไปขึ้นรถด้วยกันสิ”อาจารย์เอ่ยปากชวน
“ครับ” ผมตอบรับ ในใจยังเขินๆอายๆ
พอลงจากสถานีรถไฟ แล้วต้องไปนั่งรถเมล์อีกสองป้ายถึงจะถึงที่ห้างที่ผมนัดพี่เก่งไว้
แต่ยังไม่ถึงป้ายรถเมล์ ฝนที่ทำท่าจะตกตั้งแต่บ่าย ก็ตกลงมาอย่างแรง อาจารย์กับผมมองหาที่หลบฝน ผมมองเห็นตู้โทรศัพท์ใกล้ๆอาจารย์ก็คงเห็นเหมือนผม ผมกับอาจารย์เลยวิ่งไปหลบฝนที่ตู้โทรศัพท์นั้น
“ตัวเปียกหมดเลย” อาจารย์ใช้มือลูบใบหน้าตัวเอง
“อาจารย์ใช้ผ้าเช็ดหน้าของผมไหมครับ” ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อาจารย์
อาจารย์ทำท่าลังเล
“ผมยังไม่ได้เอาไปเช็ดครับ อาจารย์ไม่ต้องห่วง”
“ครับ ขอบคุณนะครับ” อาจารย์รับผ้าเช็ดหน้าไป
ฝนตกแรงมาก ทำให้ผมคิดว่าผมอาจจะไม่ได้ไปกินข้าวตามที่พี่เก่งนัดไว้
“อาจารย์ยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลย” อาจารย์จ้องหน้าผม ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมา
“ผมชื่อ โจ้ครับ”ผมจ้องหน้าอาจารย์ ทำให้ยิ่งร้อนวูบเข้าไป
วันนี้ทั้งวันทำไมผมเจอแต่เรื่องที่ผมไม่คาดคิด ตั้งแต่ที่คนที่ผมแอบชอบกลายมาเป็นอาจารย์ของผม ได้ซบหน้าอกของอาจารย์อีก(แม้จะเป็นเวลาเพียง 2 วินาที) อีกทั้งได้ติดอยู่ในตู้โทรศัพท์กับอาจารย์สองคน ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมา และที่สำคัญ อาจารย์รู้จักผมแล้วด้วย ผมหวังว่าต่อไปเราคงจะได้รู้จักกันมากว่านี้
คู่ที่2
การที่เราคิดจะชอบใครสักคนหนึ่ง อย่างแรกที่คนนั้นเค้าจะทำให้เราประทับใจนั้นก็คือรูปร่างหน้าตา ต่อมาก็คือบุคลิก นิสัยใจคอ สุดท้ายก็คือนิสัยของคนนั้นพอจะเค้ากับนิสัยของเราได้ไหม นี้เป็นเกณฑ์การชอบใครสักคนของผม พี่เอกมีคุณสมบัติครบทุกประการตามเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้
ผมกับพี่เอกเดินออกมาที่ประตูด้านข้างของมหาลัย ถ้าคนมีคนอยู่แถวนั้นคงมีคนเห็นผู้ชายสองคนเดินลากกันไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ดีที่เป็นตอนหัวค่ำ เลยไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่
“พี่เอกจะไปกินที่ไหนเนี้ย ทำไมเดินมาทางประตูข้างล่ะ” ผมสงสัย เพราะประตูด้านข้างเป็นทางเดินออกไปตลาด ซึ่งอยู่ฝังตรงข้ามของมหาลัยอีกที
“เถอะน่า... เดี๋ยวก็รู้เอง” พี่เอกยังจูงมือผมเดินต่อไป
“แถวนี้ไม่เห็นมีร้านอะไรเลย”ผมเดินตามพี่เอกต่อไป
พี่เอกเดินลากผมไป พาผมข้ามถนน และเดินผ่านตลาดไปอีก ผมเหมือนเด็กที่มีพ่อเดินจูงมือนำหน้า
พอผ่านตลาดมา พี่เอกก็พาผมเข้าซอยไปในตึกแถวที่มีรถจอดเรียงราย ผมคิดว่าตึกแถวน่าจะเป็นบ้านของพวกคนในตลาด
“ถึงแล้ว แป๊บนึงน่ะ” พี่เอกพาผมมายืนตรงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง
พี่เอกปล่อยมือผม แล้วควักกุญแจออกมาเปิดประตู ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“พี่เอกพาเชียร์มาที่ไหนเนี้ย” ผมเริ่มระแวงว่าพี่เอกจะพาผมมาทำมิดีมิร้ายหรือเปล่า
“บ้านพี่เองครับ พี่จะพาเชียร์มากินข้าวที่บ้านพี่ไง” พี่เอกยิ้มเอามือลูบหัว ทำท่าเหมือนเขินๆ
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า หนุ่มตี๋สุดหล่ออดีตเชียร์หลีดเดอร์คณะที่ภายนอกดูเป็นคนมีฐานะพอสมควร จะอาศัยอยู่ที่ตึกแถวเก่าๆหลังตลาด
พี่เอกคงเดาความรู้สึกผมออก เลยลากผมเข้าไปในบ้าน
ในบ้านของพี่เอกมีพื้นที่น้อยมาก เพราะมีของวางเต็มไปหมด ประตูที่ผมเข้ามาจริงๆแล้วคือประตูทางด้านหลัง ทำให้เดินเข้ามาแล้วเห็นห้องครัวเลย
“น้องเชียร์นั่งก่อน เดี๋ยวพี่ขออธิบายอะไรก่อน” พี่เก่งกระเถิบเก้าอี้ให้ผมนั่งที่โต๊ะทานข้าวกลางห้องครัว
ผมนั่งแล้วมองดูรอบๆบ้าน ผมรู้สึกแปลกกับบ้านแบบนี้ ไม่ใช่รังเกียจนะ แต่ไม่เคยเห็นบ้านที่เป็นตึกแถว
“คือ บ้านของพี่เป็นร้านขายผัก ถ้าเชียร์เข้ามาประตูหน้าจะเห็นของที่จะเตรียมไว้ขายตอนเช้า” พี่เอกเริ่มอธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวตัวเอง พ่อพี่เอกเป็นคนจีน ส่วนแม่ของพี่เอกเป็นคนไทยแท้ พอแต่งงานก็เปิดร้านขายผักอยู่ที่ตลาดหลังมหาลัยตั่งแต่พี่เอกเกิด
ผมมองดูรูปพ่อแม่พี่เอกที่ติดอยู่บนผนัง พี่เอกมีน้องชายอีกสองคน พี่เอกเป็นคนโตของบ้าน พี่เอกบอกว่าจะเรียกพี่เอกว่าเด็กขายผักก็ได้ เพราะพี่เอกช่วยพ่อกับแม่ขายผักมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่พอเรียนมหาลัยพี่เอกก็มาทำงานนอกบ้านหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี ที่เรียนปริญญาโทก็เงินตัวเองที่เก็บมาจากการทำงานช่วงเรียนปริญญาตรี
ผมฟังเรื่องของพี่เอกทำให้ผมคิดได้ว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีก
“ชีวิตพี่ไม่ได้รันทดอะไรขนาดนั้น ไม่ต้องทำน่าเศร้าก็ได้นะ”พี่เอกคงเห็นผมทำหน้าซึ้งเลยทักขึ้น
“ก็ตั้งใจฟังอยู่ไงครับ แล้วพ่อแม่ กับ น้องๆของพี่หล่ะ”
“ป๋า กับ ม๊า นอนหมดแล้ว ที่ต้องรีบนอน เพราะต้องตื่นไปรับผักมาขายแต่เช้า ส่วนน้องๆก็คงอยู่บนห้องทำการบ้าน”
“แล้วพี่เอกไม่ต้องไปขายผักแล้วเหรอ” ผมถาม
“พี่ให้น้องๆช่วยป๋า กะ ม๊าขายผักคับ สวนพี่ก็ทำงานอยู่ที่บริษัทของเพื่อนคับ หิวแล้ว กินข้าวกันเถอะ” พี่เอกเอามือลูบทอง ลุกขึ้นไปที่หม้อไฟฟ้าที่ตั้งไว้บนเตาแก๊ส
“พี่ให้ม๊า ทำสุกี้ไว้เลี้ยงน้องเชียร์โดยเฉพาะ”พี่เอกตักสุกี้ใส่จานมาให้ผม
“ขอบคุณครับ” ผมรับสุกี้จากพี่เอก
“เป็นผักของร้านพี่เองนะ รับรองว่าไม่มีสารพิษเจือปน”
“คร้าบ” ผมชิมสุกี้ของพี่เอก อืมม อร่อยดี
“ที่พี่พาเชียร์มาบ้าน คือพี่อยากให้เชียร์รู้จักตัวพี่ และพี่ ก็อยากรู้จักเชียร์มากขึ้นด้วย คือ... เรามาเป็นแฟนกันนะ”
“อะไรน่ะ” ผมแทบจะสำลักสุกี้ ที่จริงก็พอรู้ว่าพี่เอกจะจีบ แต่ไม่คิดว่าจะขอเป็นแฟนเร็วขนาดนี้
“พี่ชอบเชียร์อ่ะครับ ถ้าเชียร์ไม่ชอบพี่ก็ไม่เป็นไรนะ เราเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกันก็ได้” พี่เอกพูดแบบง่ายๆดูเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ
“เราเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวน่ะครับ” ถึงแม้ผมจะมีคนจีบมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครขอผมคบเป็นแฟนได้เร็วขนาดนี้
“ก็พอเราเป็นแฟนแล้วค่อยๆรู้จักกันไปไงครับ” พี่เอกจ้องตาผมเพื่อรอคำตอบ ผมสบตากับพี่เอก ผมเองก็รู้สึกชอบๆพี่เอกเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากจะตัดสินใจอะไรที่รวดเร็ว เพราะถ้าเราทำอะไรโดยไม่คิดให้ดีก่อน ผมอาจจะเสียใจในภายหลังได้
“ว่าไงครับ” พี่เอกเริ่มคะยั้นคะยอ
ผมเริ่มอึดอัด อีกใจก็อยากบอก แต่คิดอีกทีก็ไม่อยากบอก ไหนๆก้มาถึงนี้แล้ว พี่เอกเค้าก็กล้าแสดงเจตนาที่เด่นชัดขนาดนี้ เอาว่ะ เป็นแฟนกันก็คงไม่เสียหายอะไร
“ได้ครับ งั้นเราเป้นแฟนกันก็ได้ครับ” พอสิ้นเสียงของผม ไฟก็ดับพร้อมเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้องไปทั่ว
คู่ที่3
การเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่เราชอบ มันอาจจะเสี่ยง เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงตัวเราเองไปแล้ว เกิดคนที่เราชอบเค้าไม่ชอบ มันก็ทำให้เรารู้สึกแย่ ยิ่งกว่านั้น คนที่เราชอบเค้าก็อาจจะรู้สึกแย่กับเราด้วยก็ได้ ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้พี่เก่งหันมาชอบผมสักนิด แต่ผมคงบังคับใจเค้าไม่ได้
“เสร็จแล้วครับ” ช่างตัดผมสะบัดผ้าคลุมออกจากตัวผม ผมมองตัวเองที่กระจกชัดๆ ผมหันซ้ายหันขวาดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่ง เพื่อไปจ่ายตังค์ และออกจากร้านไป
ผมไปยืนรออยู่ด้านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งตามที่พี่เก่งนัดไว้ ทำไมเจ้าเพื่อนตัวดีทั้งสองยังไม่มาอีกน่ะ เพราะมันใกล้เวลานัดแล้ว ผมมองไปรอบๆ เผื่อบางทีอาจจะเจอพี่เก่งนั่งรออยู่ที่ไหนสักแห่ง
สักพักโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เจ้าเพื่อนตัวดีโทรมาแล้ว
“ฮัลโหล ทำไมยังไม่มาว่ะ” ผมถามไอ้เชียร์
“เฮ้ย! โทดที กูไปไม่ได้ว่ะ กูมีธุระ แต่กูบอกไอ้โจ้แล้ว แล้วไอ้โจ้มายัง” ไอ้เชียร์พูดเหมือนสำนึกผิด
“ยัง” ผมตอบ
“แล้วพีเก่งมายัง” ไอ้เชียร์ถาม
“ยัง” ผมตอบเหมือนเดิม
“เค้าหนีมึงไปกินกันสองคนป่าวว่ะ” ไอ้เชียร์ปากร้ายจริงๆ ทำผมสะอึกทีเดียว
“......”
“ล้อเล่นน่ะ กินกันให้อร่อยน่ะ เดี๋ยวโทรมาเมาท์กันทีหลังน่ะ บายๆ” พอเชียร์วางปุ๊บ โจ้ก็โทรมาปั๊บ
“อะไรกันนักหนาว่ะ ทำไมยังไม่มาว่ะ”ผมเริ่มหงุดหงิด
“ปอ โทดทีน่ะ ฝนตกหนักว่ะ เราอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ตรงสถานีรถไฟฟ้า เราคงไปไม่ได้แล้วล่ะ” โจ้พูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนเห็นใจ
“เออๆๆ” ผมไม่ได้โกรธหรอก โจ้มันเป็นคนมีเหตุผล มันไม่ค่อยทำให้ผมโกรธสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนไอ้เชียร์ที่กวนผมตลอด
“แล้วแกอยู่ที่ไหนแล้ว” โจ้ถามผม
“ก็อยู่หน้าร้านที่พี่เก่งเค้านัดไว้” ผมตอบออกไป
“อ้าว เมื่อกี้เราโทรไปบอกพี่เก่งแล้วว่าเราไปไม่ได้ พี่เก่งเค้าบอกว่ารออยู่ในร้านแล้ว เราเลยโทรมาบอกแกให้ไปในร้านเลย”
“อ้าวเหรอ เออ ขอบใจ” มิน่าล่ะ ผมถึงหาพี่เก่งไม่เจอ
“กินข้าวให้อร่อยน่ะ ขอโทษจริงน่ะปอ” โจ้ยังไม่เลิกขอโทษ
“ไม่เป็นไร แล้วแกเปียกฝนมากป่าว ระวังเป็นหวัดไม่สบายน่ะ” ผมถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้น่ะ” โจ้ก็วางสายไป
ผมเดินเข้าไปในร้านมองซ้ายมองขวาดูว่าพี่เก่งนั่งอยู่ที่ไหน ผมมองไปด้านในของร้าน เห็นหนุ่มหล่อที่คุ้นน่าคุ้นตาผมเป็นอย่างดี ผมรีบเดินไปทันที พี่เก่งหันมามองผม แต่กลับมองเลยไปเหมือนจำผมไม่ได้ ผมรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องมานั่งทานข้าวกับ คนที่ผมชอบสองต่อสอง แต่ผมรู้ว่าพี่เก่งไม่ได้อยากทานข้าวกับผม แต่ให้ทำไงได้ล่ะ
ผมเดินมาถึงโต๊ะที่พี่เก่งนั่ง พี่เก่งเงยหน้ามองผม
“อ้าว น้องปอเหรอ ไปตัดผมมาเหรอครับ จำแทบไม่ได้แนะ”
“ครับ” ไม่แปลกหรอกที่พี่เก่งจำผมไม่ได้ เพราะเมื่อวานทรงผมของผมยังยาวจนเกือบถึงไหล่ วันนี้กลับตัดผมสกินเฮด
“นั่งก่อนสิ” พี่เก่งชวนผมให้นั่ง
ผมนั่งตรงข้ามพี่เก่ง
“ทานอะไรก็สั่งเลยน่ะ” พี่เก่งยื่นเมนูให้
“ขอบคุณครับ”
“ปอตัดผมทรงนี้ดูเท่ห์ดีน่ะ น่ารักดีครับ” พี่เก่งเอ่ยปากชมผม ทำผมเขินแทบตาย แต่ใบหน้าเคร่งครึมของผมเก็บอารมณทั้งหมดไว้ได้
“ขอบคุณครับ”
“เสียดายที่เชียร์ กับ โจ้มาไม่ได้” พี่เก่งพูดไปดูเมนูไป น้ำเสียงที่ดูเหมือนผิดหวัง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่
“ครับ” ผมได้แต่เพียงตอบพี่เก่งได้เท่านี้
หลังจากที่พี่เก่งกับผม ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว สักพักพนักงานก็นำเค้ก และร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ มาที่โต๊ะผม ไม่นึกว่าพี่เก่งจะทำเซอร์ไพรซ์ผม
“เค้กใหญ่ไปหน่อยน่ะ พี่เตรียมเอาไว้ให้โจ้กับเชียร์ด้วย” พี่เก่งยื่นมีดตัดเค้กมาให้ผม
“ครับ ขอบคุณพี่เก่งมากน่ะครับ”ผมรับมีดมาจากมือพี่เก่ง ผมตัดเค้กมาสองชิ้น ให้ตัวเอง และพี่เก่ง
“เอานี้ของขวัญจากพี่น่ะครับ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ย้อนหลังหนึ่งวันน่ะครับ” ผมรับของขวัญจากพี่เก่ง
“ค่อยเอาไปแกะดูที่บ้านก็ได้น่ะ” พี่เก่งรับเค้กจากผม
“ขอบคุณมากครับ” ผมเก็บของขวัญใส่กระเป๋า
ผมกับพี่เก่งทานเค้กกันไปได้สักพัก พี่เก่งก็เล่าเรื่องที่พี่เก่งเคยจีบเชียร์ให้ฟัง พี่เก่งรู้จักกับเชียร์ตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อพี่เก่งและพ่อของเชียร์ทำธุรกิจเพชรเหมือนกัน พี่เก่งเริ่มจีบเชียร์เมื่อปีที่แล้ว แต่เชียร์ปฏิเสธ เพราะความที่สนิทกัน รุ้จักกันในฐานะพี่น้องไม่อยากเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ แต่ผมว่าเชียร์คงไม่ชอบที่พี่เก่งเจ้าชู้มากกว่า เจ้าเชียร์มันก็ใช่ย่อย ถึงแม้มันจะมีคนมาจีบเยอะแต่ไม่เห็นคิดจะคบกับใครสักคน คงเพราะถ้าทำตัวเป็นโสด คนจะได้มาจีบเยอะ มันจะได้บริหารเสน่ห์ไปในตัว พี่เก่งคงคิดแบบเดียวกัน
พี่เก่งเองก็ยอมรับว่าตัวเองเจ้าชู้ เพราะความที่เป็นคนน่าตาดี และอยู่ในสังคมเกย์ไฮโซที่ชอบเปลี่ยนคู่ขาเป็นว่าเล่น แต่ผมยังแปลกใจไม่หาย ที่พี่เก่งเกิดมาสนใจเพื่อนของผม เพราะคนอย่างพี่เก่ง ไม่น่าจะมาชอบโจ้ที่เป็นคนเรียบร้อย ผมเลยถามพี่เก่งไป
“ทำไมพี่เก่งถึงชอบโจ้หล่ะครับ” ผมถามพี่เก่งตรงๆ
“ปอคงแปลกใจใช่ไหมหล่ะ พี่เริ่มเบื่อกับวงจรชีวิตแบบนี้ที่พี่เป็นอยู่ พอเจอใครที่ถูกใจ พี่ก็มีอะไรกับเค้า แล้วถ้าพอไปด้วยกันได้ก็ลองคบไป แต่ถ้าไม่ชอบใจกัน ก็มีแค่เซ็กส์อย่างเดียว แล้วคนที่เข้ามาในชีวิตพี่ส่วนมากไม่ได้ชอบพี่หรอก เค้าชอบ รูปร่างหน้าตา ฐานะ ของพี่มากกว่า พี่อยากคบกับคนที่จริงใจมากกว่า แล้วพี่เองไม่ชอบให้ใครมาแสดงความเป็นเจ้าของพี่ด้วย พี่เห็นโจ้เป็นคนน่ารัก ไม่น่าจะเป็นคนแบบที่พี่ไม่ชอบ ปอคงเข้าใจพี่น่ะ” พี่เก่งอธิบายทุกอย่างจนผมเข้าใจ
เรายังคุยกันอีกหลายเรื่อง จนเกือบๆถึง 4 ทุ่ม ใกล้เวลาที่ร้านจะปิด พี่เก่งเลยชวนผมไปเที่ยวต่อ ผมเองไม่ค่อยอยากไปหรอก แต่พี่เก่งเอ่ยปากชวนเลยไม่กล้าปฏิเสธ
พอมาถึงที่บาร์พี่เก่งก็พาผมไปนั่งข้างในร้าน วันนี้เป็นวันศุกร์ทำให้คนมาค่อนข้างเยอะจนแน่นร้าน ผมมองรอบๆบาร์ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาบาร์เกย์ ปกติผมไม่ค่อยไปเที่ยว เพราะส่วนมากไปทำงานที่ผับที่ผมเล่นดนตรีอยู่มากกว่า
“ว่าไง ปอ สนใจคนไหนหรือเปล่า” พี่เก่งเห็นผมมองไปทั่วร้าน คงคิดว่าผมมองดูคนที่อยู่ในร้าน
“ผมไม่ค่อยได้มาบาร์แบบนี้ครับ” ผมตอบพี่เก่งไป
“เหรอครับ เชียร์มันไม่พามาเหรอ” พี่เก่งถามพร้อมดื่มเบียร์เข้าไป
“เชียร์เค้าไปกับเพื่อนที่มหาลัยมากกว่า แต่ก็กลับมาเล่าให้ผมฟังครับ” ผมหันมาตอบพี่เก่ง
“มันก็เหมือนบาร์ทั่วไปนั่นแหล่ะ แค่ที่นี้มี แต่คนที่เป็นเกย์ วันไหนอยากมาเที่ยวก็บอกพี่ซิ เดี๋ยวพี่พามา” พี่เก่งพูดเหมือนกำลังสอนผม
ผมสังเกตว่าคนในร้านส่วนมาก มองมาทางพี่เก่ง ผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมเค้าถึงมอง
ผมคุยกับพี่เก่งไปได้สักพัก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามายืนอยู่ที่โต๊ะของผมกับพี่เก่ง
“อ้าว เก่ง วันนี้มาด้วยเหรอ ทำไมเดี๋ยวนี้ ไม่โทรไปหาเราบ้างล่ะ แล้ววันนี้มากับใครเหรอ?”
----- จบตอนที่ 3 -----

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ ท่าทางเก่งจะเจ้าชู้แฮะ  :m13: :m13:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
สนุกๆๆๆๆชอบ เหมือนได้อ่านที 3 เรื่องเลย ถูกใจมากกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Simply Blue

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-3
อิอิ มาให้กำลังใจคุณโจ้ เรื่องนี้สนุกดี
ดีใจจังที่คุณโจ้มาเอง  :a2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
แต่ละคนมีชีวิตแตกต่างกัน ของใครของมัน
เหมือนมองโลกในมุมมองต่างๆกัน
หวังว่าพี่เก่งจะกลับตัวจริงๆได้นะนั่น
 :m30: :m30: :m30:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

เข้ามาอ่านเป็นครั้งแรกครับ

มีข้อเสนอแหละ  ไม่รู้ว่าจะเรื่องมากไปปะ

ถ้าทำได้  ร้อยเรื่องต่างๆ เข้าแบบ sex and the city ดิครับ

น่าจะอ่านได้มันส์กว่านี้

หรือคุณคนเขียนว่าไงคับ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
เก่งท่าทางกร้านโลกซะขนาดนี้ แล้วโจ้จะทันไหมเนี่ย

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Three Couple of love บทที่4 ความรักเริ่มต้น

คู่ที่ 1

ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ชายหนุ่มสองคนยืนเบียดกันในตู้โทรศัพท์ ฝ่ายหนึ่งเริ่มรู้สึกแปลกๆกับหนุ่มน้อยที่เพิ่งรู้จักกันวันนี้ แต่อีกฝ่ายกับรู้สึกดีใจที่ได้ใกล้ชิดชายหนุ่มที่ตนเองรู้จักเพียงฝ่ายเดียว
ฝนตกอยู่นานเกือบชั่วโมง ผมติดอยู่ในตู้โทรศัพท์กับอาจารย์เบน ต่างฝ่ายต่างเขินเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ผมเองก็ชวนอาจารย์คุย แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก อาจารย์เองก็ชวนผมคุย ส่วนมากจะเป็นการถามประวัติมากกว่า
“เธอจบจากโรงเรียนไหนมาเหรอ” อาจารย์เอ่ยถามผม
ผมบอกชื่อโรงเรียน ตอบอาจารย์ไป อาจารย์เงยหน้ามองผมเหมือนตกใจ
“เธอจบจากโรงเรียนนี้มาเหรอ! พ่อแม่เธอทำงานอะไรล่ะ”
ผมพอเข้าใจที่อาจารย์ต้องถามว่าพ่อแม่ผมทำงานอะไร เมื่อเอ่ยถึงชื่อโรงเรียนผม เนื่องจากโรงเรียนของผม เป็นโรงเรียนเอกชนที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแพง เป็นอันดับต้นๆของประเทศ เพราะแค่ค่าเทอมต่อปีก็หลายหมื่น ยังไม่รวมค่าอื่นๆจิปาถะอีก และเป็นโรงเรียนประจำ ต้องเสียค่าหออีก เพราะอยู่ประจำนี้แหล่ะ ทำให้ผมสนิทกับ เชียร์ และปอ
“เออ คือ พ่อแม่ของผม เสียไปตั้งแต่ผมยังไม่ขวบเลยครับ” ผมไม่ค่อยอยากบอกเรื่องราวชีวิตอันรัดทนของผมเท่าไร
“แล้วเธออยู่กับใครล่ะ” อาจารย์ยังถามผมต่อไปอีก
“คือ.. เรื่องมันยาวครับ ผมโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วพอขึ้นมัธยม ท่านอธิการโรงเรียนเห็นผมเป็นเด็กเรียนเก่ง เลยให้ผมมาเรียนที่โรงเรียนนี้ครับ โดยท่านเป็นคนเสียค่าใช้จ่ายให้ผมทั้งหมด ที่จริงท่านอยากจะเป็นผู้ปกครองและผู้อุปการะให้ผม แต่ท่านเป็นบาทหลวงทำให้มีปัญหาในด้านกฎหมายและด้านศาสนา ท่านจึงให้เพื่อนของท่าน ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเพื่อนผม เป็นคนอุปการะแทน” ผู้ปกครองคนนั้นก็คือพ่อของเชียร์นั้นเอง ผมเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ตั้งหน้าตั้งตาฟังผม
“แล้วตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน?”
“ผมพักอยู่ที่หอพัก ใกล้ๆมหาลัยครับ ผมไม่อยากรบกวนใคร ผมคิดว่าผมโตแล้วน่าจะดูแลตัวเองได้ อีกปีเดียวผมก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว”
“อาจารย์พอเข้าใจเธอ เธอคงเรียนเก่งมากเลยล่ะสิ ถึงได้เป็นนักเรียนทุน”
“ครับ ผมคิดว่า ถ้าผมเป็นนักเรียนทุน เงินค่าเทอมก็ไม่ต้องเสีย จะได้ไม่รบกวนคุณพ่อของเพื่อนผมครับ”
“ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าหอ พ่อของเพื่อนเธอก็เป็นคนให้เหรอ” อาจารย์ถาม
“ใช่ครับ แต่ผมคงไม่รบกวนท่านไปตลอด พอขึ้นปี2 ผมจะหางานทำดูครับ” ผมตอบอาจารย์
“ทั้งเรียน ทั้งทำงานเธอจะไหวเหรอ” อาจารย์ถามผม คงเป็นห่วงผมมั้ง (แอบดีใจ)
“ไม่ไหวก็ต้องไหว ผมอยากใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองครับ” ผมพูดด้วยความมุ่งหมั่น
“เธอเป็นเด็กดีจริงๆ อาจารย์อยากช่วยเธอนะ ตอนนี้อาจารย์ยังไม่มีนิสิตTA เอาเป็นว่า เธอมาเป็นนิสิตTA ของอาจารย์สิ”
ผมตกใจมากๆ นี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ผมได้ใกล้ชิด ผมเลยรีบตอบตกลงอาจารย์ไปทันที
“ขอบคุณอาจารย์มากครับ”
“ไม่เป็นไร งานอาจารย์ไม่มากหรอก แต่เงินที่ได้คงไม่มากหรอกนะ” อาจารย์ยืนมือมาตบที่ไหล่ผมเบา ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความห่วงใยของอาจารย์ ทำให้ผมยิ่งชอบอาจารย์มากขึ้นไปอีก
“ฝนหายตกแล้ว กลับบ้านกันเถอะ” อาจารย์เดินออกไปนอกตู้โทรศัพท์ เงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่ใกล้ค่ำเต็มที ผเดินตามออกไปมองดูนาฬิกา เกือบชั่วโมงที่ผมติดอยู่ในตู้โทรศัพท์กับอาจารย์ อาจจะนานแต่ผมก็มีความสุข
“หอพักเธอยู่ใกล้ๆมหาลัยใช่ไหม ดีจังเลย บ้านอาจารย์ก็อยู่ใกล้ๆมหาลัยเหมือนกัน อย่างนั้นก็กลับบ้านด้วยกันนะ” อาจารย์หันมาพูดกับผม
“ครับ ผมทราบครับ” ผมตอบอาจารย์ ก็บ้านอาจารย์ คือร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมเคยไปกิน และเป็นที่ที่ผมได้เจอกับอาจารย์เป็นครั้งแรก
“อ้าว เธอรู้ได้ไงล่ะ” อาจารย์ทำหน้างง
“ก็ผมเคยไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านอาจารย์ และผมก็เห็นอาจารย์เซิรฟก๋วยเตี๋ยวด้วย”
“อ้าวเหรอ” อาจารย์ก็หัวเราะออกมา
ต่อจากนั้นผมกับอาจารย์ก็ขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยกัน อาจารย์เดินมาส่งผมที่หอก่อน แล้วค่อยเดินกลับบ้านของตัวเองไป

คู่ที่2

ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังงัวเงียกลับการซ่อมไฟเนื่องจากฝนตกหนักจนทำให้ไฟดับ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คอยส่องไฟฉายให้ สักพักไฟก็ติดเหมือนเดิม
“เรียบร้อยแล้วครับ” พี่เอกลงมาจากบนเก้าอี้ ที่ปีนขึ้นไปซ่อมหลอดไฟ
“ฟ้าผ่าแค่นี้ ไฟดับเลยเหรอ” ผมปิดไฟฉาย ส่งคืนให้พี่เอก
“บ้านนี้เป็นบ่อยแหล่ะ แหม!!!บ้านผมไม้ได้หรูเหมือนบ้านใครบ้านคนหรอกนะ” พี่เอกเหล่ตามาทางผม
“ตอนแรกนึกว่าจะพังลงมาทั้งหลัง ซะอีก” ผมก็กัดตอบไป
“มากินข้าวบ้านเค้ายังจะมาว่าอีก” พี่เอกไม่ยอมเลิก
“เชียร์ไม่ได้ว่าซะหน่อย หรืออยากโดนว่า แต่เชียร์คิดว่า พี่นะต้องโดนด่าน่าจะดีกว่า” ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน ผมเป็นคนชอบเอาชนะคนจนเพื่อนบ่นว่า เป็นนิสัยที่ไม่ดีของผม
“อะไรว่ะ เป็นแฟนกันยังไม่ถึงชั่วโมง จะโดนด่าซะแล้ว” พี่เอกเกาหัว คงไม่เคยจีบใครที่เหมือนผมละมั้ง
“เฮ้ย! นี่มัน3ทุ่มครึ่งแล้วเหรอ ที่จอดรถมันปิดแล้วอ่ะ แล้วจะกลับบ้านยังไงเนี้ย” ผมมองดูนาฬิกา มัวแต่ช่วยพี่เอกซ่อมไฟจนลืมดูเวลาไปเลย ที่จอดรถมหาลัยปิดตอน3ทุ่ม ผมรีบนึกหาทางแก้ปัญหา ถ้ากลับบ้านไปโดยไม่เอารถกลับ ป๊ะป๋า เอาตายแน่ ผมรีบนึกถึงเพื่อนรักของผมทันที ไอ้โจ้คงช่วยผมได้
“พี่ว่าค้างบ้านพี่ก่อนไหม” พี่เอกเอ่ยขึ้นมา
ผมกลับมานึกอีกที ตอนแรกผมคิดไว้ว่าจะไปค้างที่หอของโจ้แล้วอ้างว่าช่วยโจ้ทำงาน พ่อคงไม่ว่าอะไร เพราะพ่อไว้ใจโจ้มาก แต่หอพักของโจ้ปิดเวลา4ทุ่ม กว่าผมจะไปถึงที่หอ คงเลย4ทุ่มไปแล้ว นอนที่บ้านพี่เอกก็ได้ว่ะ
“ก็ได้ครับ” ผมตอบตกลง
“แหมๆ อยากนอนกับพี่ล่ะซิครับ” พี่เอกทำเสียงเล็กเสียงน้อย
พี่เอกพูดอย่างนั้นผมก็เขินนะ แต่ต้องวางฟอร์มไว้ก่อน
“อย่าคิดเชียวนะ ถึงจะบอกว่าเป็นแฟนกันแล้วก็เหอะ” ผมทำเสียงดุ
พี่เอกก็พาผมขึ้นไปที่ห้อง ห้องของพี่เอกไม่กว้างเท่าไร แต่ก็ไม่ใหญ่มาก ผมว่าห้องน้ำบ้านผมใหญ่กว่าอีกนะ พี่เอกหยิบเสื้อผ้ามาให้
“คงใส่ได้นะครับ ส่วนห้องน้ำ ใช้ห้องข้างล่างนะครับ” พี่เอกเดินออกไป สักพักก็เดินเข้ามาอีก
“จะให้ช่วยอาบก็ได้นะครับ” ทำหน้าทะเล้นอีกแล้ว
ผมทำหน้ายิ้มๆเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรในคำพูด ที่จริงเขินแทบตาย
“มีอะไรก็เรียกพี่ได้นะ พี่น้องที่ห้องนอนของน้องชายข้างๆนี้แหล่ะ”
พอพี่เอกออกจากห้องไป ผมก็รีบถอดเสื้อ ยังไม่ทันจะถอดกางเกง ประตูห้องก็เปิด
“พี่ลืมเอาผ้าขนหนูมาให้ เอ้า! ถอดเสื้อเหรอ เป็นบุญตาจริงๆที่ได้เห็นแผ่นหลังขาวของน้องเชียร์ น่าจะเข้ามาหลังกว่านี้นะ คงได้เห็นอะไรดีดีกว่านี้แน่”
ผมรับผ้าขนหนูจากพี่เอก พี่สบตาผม จากหน้าที่ทะเล้นๆเมื่อกี้ กลายเป็นหน้าตาดูเคร่งขรึม
“พี่ดีใจนะ ที่เชียร์ตกลงเป็นแฟนพี่ พี่จะพยายาม ทำให้เชียร์มีความสุขนะครับ” พี่เอกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาผมหน้าแดงจนไม่กล้าสบสายตา
“ไปอาบน้ำดีกว่า” ผมเดินผ่านพี่เอกออกไปเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่ก็แอบยิ้มอยู่ พอผมอาบน้าและแต่งตัวเสร็จ ก็ขึ้นมาที่ห้อง เห็นพี่เอกกำลังจัดที่นอนให้
“นอนให้สบายนะ หลับฝันดีนะครับ” พี่เอกยิ้มให้ผม แล้วเดินออกไป
ผมนั่งนึกในใจว่าพี่เอกนี้ถ้าไม่จน คงมีคนมาจีบเยอะเนอะ ก่อนจะนอนผมรีบโทรไปหาป๊ะป๋าอ้างโจ้ไว้ก่อน แล้วก็รีบโทรไปหาโจ้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง โจ้ก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟัง
“มีแฟนก็ดีแล้ว แต่กูกลัวว่าเค้าจะทนมึงไม่ได้มากกว่า” โจ้แอบกัด
“มีแฟนก็ยังดีกว่าไปชอบอาจารย์ล่ะหว่า ระวังนะมึง อย่าไปมีอะไรที่มหาลัย เดี๋ยวได้ลงหน้าหนังสือพิมพ์ อาจารย์หนุ่มอัดถั่วดำลูกศิษย์กลางมหาลัย” ผมแซวกลับ
“ไอ้บ้า กูเพิ่งรู้จักเค้าเองนะ” ไอ้โจ้แย้ง
“แล้วไอ้ปอ ไปกินข้าวกับพี่เก่งสองคนเหรอ” ผมถาม เพราะเห็นโจ้บอกว่าไม่ได้ไปกินข้าวกับพี่เก่งตามนัด
“อืมม ไม่รู้เป็นไงบ้าง ยังไม่ได้โทรไปถามเลย” โจ้พูด
“เออๆ เดี๋ยวกรูโทรไปถามให้ นอนแล้ว ง่วงอ่ะบายๆๆ” ผมวางหู
ก่อนที่ผมจะปิดไฟนอน ผมเหลือบไปมองเห็นรูปพี่เอกถ่ายกับน้องชาย น้องๆน่ารักเหมือนพี่เอกเลยอ่ะ ตี๋ๆกันหมดเลย ผมจูบรูปพี่เอก แล้วบอกว่า “ผมก็ดีใจนะที่เป็นแฟนกับพี่”

คู่ที่3

ท่ามกลางเสียงเพลงอึกทึกคึกโครมในบาร์แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มสองคนกำลังเผชิญหน้ากับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ แขกผู้ไม่ได้รับเชิญนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งแต่ลักษณะท่าทางดูไม่ค่อยเป็นมิตร เข้ามาโอบไหล่หนุ่มหล่อไฮโซ หนุ่มน้อยที่มาด้วยกันไม่แสดงท่าทางใดๆแต่หากว่าในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ว่าไงเก่ง เราโทรไปหาตั้งหลายครั้งแล้วนะ ทำไมถึงไม่เคยรับสายเลย”ผู้ชายคนนั้นมองหน้าคุยกับพี่เก่ง
“โน้ต เรื่องของเรามันจบแล้ว เราบอกนายตั้งหลายครั้งแล้วนะ”พี่เก่งพูดใช้น้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“เราไม่เข้าใจอยู่ดี ก็แค่เราไม่ชอบที่เก่งไปยุ่งกับคนอื่น แล้วนี้พาใครมาอีกล่ะ ไอ้คนที่พาไปนอนด้วยไปไหนล่ะ หรือเก่งหลอกทุกคนเหมือนที่หลอกกับเรา” นำเสียงของคนที่ชื่อโน้ตเริ่มดังขึ้น
“เอ๊ะ! โน้ต นายยังไม่รู้อีกเหรอทำไมเราถึงเลิกกับนาย เพราะนิสัยที่ชอบแสดงตัวว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเรา บอกไว้เลยนะเราไม่ชอบผูกมัดกับใคร ยิ่งนายแสดงกิริยาแบบนี้ ยิ่งทำให้เราไม่อยากยุ่งกับนายอีก แล้วเราจะไปไหนกับใคร หรือนอนกับใครมันก็เรื่องของเรา”
พี่เก่งด่ากลับไป ผมไม่เคยนึกว่าพี่เก่งจะโกรธได้มากขนาดนี้
“ยังไงเราก็ไม่ยอกเลิกหรอก เก่งหนีเราไม่พ้นหรอก คอยดูเถอะ” พูดจบคนที่ชื่อโน้ตก็เดินกลับไป
สีหน้าของพี่เก่งเปลี่ยนไปทันที ผมเองรู้สึกได้ว่าพี่เก่งคงไม่พอใจอย่างมาก ฟังจากการสนทนา(ที่จริงมันไม่เหมือนสนทนา เหมือนด่ากันมากกว่า) พี่เก่งกับคนที่ชื่อโน้ตคงเป็นแฟนกัน แต่พี่เก่งคงทนนิสัยขี้วีนไม่ไหวเลยเลิกกัน แต่คนที่ชื่อโน้ตคงไม่ยอม เลยตามราวีพี่เก่ง แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่เก่งนี้เป็นคนอย่างไร
“กลับกันเถอะ” พี่เก่งบอกผม และเดินออกจากร้านไป
พอพี่เก่งขึ้นรถ ผมก็ขึ้นรถตามพี่เก่งไป
ระหว่างทาง ผมกับพี่เก่งไม่ได้พูดอะไรกันเลย ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี พี่เก่งคงเห็นผมนั่งอึดอัดอยู่ เลยเริ่มชวนผมคุย
“เมื่อกี้ไม่ต้องไปสนใจนะ”
“ครับ”
“พี่เอง ไม่มีพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวมานาน พี่อยากให้ปอช่วยเป็นน้องให้พี่ได้ไหม” พี่เก่งพูดออกมาเหมือนเป็นคำถาม
“ครับ ทำไมถึงอยากให้ผมเป็นน้องล่ะครับ” ผมดีใจมากๆ แต่ก็อยากรู้ว่าทำไม
“ไม่รู้สิ พี่เห็นปอน่ารักมั้ง”พี่เก่งชมผมผมแอบยิ้มดีใจอยู่ลึกๆ
“ถ้าเป็นน้องพี่แล้ว อย่าลืมช่วยพี่จีบโจ้ด้วยน่ะ” สุดท้ายพี่เก่งก็เผยความจริงออกมา ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรอก
“ครับ” พี่เก่งขับรถมาส่งผมที่บ้าน ผมลาพี่เก่งแล้วเข้าบ้าน ขึ้นไปบนห้อง
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปออกเดทกับคนที่ผมชอบ ผมมีความสุขมากๆ ผมแกะกล่องของขวัญที่พี่เก่งให้ผม
ในกล่องของขวัญเป็นสร้อยรูปกีตาร์ ผมใส่มันทันที ผมหันกลับไปมองกรอบรูปที่โจ้กับเชียร์ซื้อให้ ผมมองดูรูปผมกับเพื่อน ผมนึกออกแล้วว่า ช่องใส่รูปที่ว่างเปล่าข้างๆรูปผมกับเพื่อน ผมจะใส่รูปใครเข้าไป

----- จบตอนที่ 4 -----


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ท่าทางคู่ที่สองจะลงเอยเร็วกว่าเพื่อนแฮะ    :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Three Couple of love บทที่5 ได้ใกล้ชิด และ ผูกพัน

คู่ที่1

เมื่อเรามีความรักทำอะไรก็ดูมีความสุขไปหมด สิ่งรอบกายเราก็ดูสวยงาม อีกทั้งเราเองก็ดูมีชีวิตชีวา

ผมตื่นแต่เช้าไปมหาลัยเหมือนทุกๆวัน ผมออกจากห้องแล้วกำลังปิดประตูและล็อคกุญแจ

"ไปมหาลัยแต่เช้าเลยน่ะ" มีเสียงหนึ่งทักผมมาจากด้านหลัง ผมหันไปตามเสียงนั้น

คนที่ทักผมคือ เล็งนั้นเอง เล็งกำลังออกจากห้องฝั่งตรงข้ามของผม และกำลังปิดประตูและล็อคกุญแจเหมือนกัน ผมแปลกใจที่เล็งดันมาพักอยู่หอเดียวกับผม อีกทั้งยังอยู่ห้องตรงข้ามกันอีกด้วย

"เล็ง นายมาอยู่ที่หอพักนี้ด้วยเหรอ ทำไมเราไม่เคยเห็นนายเลย" ผมเอ่ยถามเล็ง

"เราเพิ่งย้ามมาเมื่อวานเอง พอดีบ้านเราอยู่ไกลน่ะ เลยเข้ามาอยู่ที่นี้ จะได้เดินทางไปมหาลัยสะดวก" เล็งเดินมาใกล้ๆผม

ผมไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มให้เล็ง เล็งเดินมาใกล้ผม ชวนผมไปกินข้าวเช้าด้วยกัน ผมจึงตกลงไปกับเล็งด้วย

ผมกับเล็งไปทานข้าวที่โรงอาหาร ที่จริงผมเองก็ไม่ได้สนิทกับเล็งอะไรมาก เพราะเราอยู่กันคนละคณะ แค่เรียนวิชาเลือกด้วยกัน(วิชาที่อาจารย์เบนสอนนั่นแหล่ะ)

"เมื่อวานตอนเราย้ายของเข้ามาที่ห้อง เราว่าจะไปทักนายที่ห้อง แต่ไม่เห็นนายอยู่ที่ห้อง"เล็งถามผม

"เหรอ เมื่อวานเราติดฝน กว่าจะกลับถึงห้องก็ดึกแล้ว" ผมตอบเลี่ยงๆไป ไม่อยากบอกรายละเอียดทั้งหมดให้เล็งฟัง

"ไปกับอาจารย์ เบน มาเหรอ"ผมแทบสำลักข้าวที่กินเข้าไป ทำไมเล็งมันถึงรู้ได้เนี้ย

"คือ...." ผมไม่รู้จะตอบอะไร

"เราอยากเตือนในฐานะเพื่อนนะ เราว่านายอย่าไปยุ่งกับอาจารย์เลย เราเป็นนิสิตก็ควรทำตัวให้ถูกต้อง" เล็งเตือนผม ผมงงว่าเล้งคิดว่าผมกับอาจารย์เป็นอะไรกันเหรอ

"ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจนะ" ผมเองก็อยากอธิบายให้เล็งเข้าใจว่ามันไม่ใช่อย่างที่เล็งคิด

"นายไม่ต้องบอกเราหรอก บอกตัวเองดีกว่า เราเห็นท่าทีของนายกับอาจารย์ เราก็รู้แล้ว เราขึ้นไปเรียนก่อนดีกว่า ตอนเที่ยงมากินข้าวกับเราด้วยนะ "พูดจบเล็งก็ขึ้นไปเรียน ปล่อยให้ผมนั่งงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เล็งบอกว่าเห็นท่าทีของผมกับอาจารย์ก็รู้แล้ว ผมกลับมานึกว่าผมก็ไม่ค่อยแสดงอาการเท่าไรออกไป แต่อาจจะเป็นการเขินของผมมั้งที่ทำให้รู้ว่าผมชอบ ส่วนอาจารย์คงจะเป็นท่าทีที่แสดงความห่วงใย(หรือสงสารก้ไม่รู้)ต่อผมเมื่อได้รู้เรื่องราวในชีวิตของผม แต่ที่งงมากกว่าก็คือ ทำไมเล็งถึงสนใจเรื่องผมกับอาจารย์มากนักนะ

พอถึงตอนเที่ยง ผมแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน เพื่อที่จะไปทานข้าวกับเล้ง ผมไปนั่งรอเล้งที่โรงอาหาร เล็งยังไม่มาอีกทั้งๆที่ก็เข้าเรียนก่อนผม อาจจะเป็นเพราะเรียนวิชาแพทย์ทำให้เรียนนานกว่าวิชาของผม

"นั่งด้วยคนได้ไหม" เสียงหนึ่งทักผม

"อาจารย์เบน" ผมทำเสียงตกใจ แต่ในใจดีใจมากๆที่ได้เจออาจารย์

"ขอนั่งด้วยคนสิ" อาจารย์ยิ้มให้ผม ผมรีบกระเถิบที่ให้อาจารย์

"ทำไมอาจารย์ไม่ไปทานข้าวที่ห้องทานข้าวของอาจารย์เหรอครับ"

"ไม่ละ อาจารย์อยากทานที่นี้ คือ อาจารย์อยากเจอ โจ้" อาจารย์จ้องหน้าผมทำเอาผมหน้าแดงแต่สายตาผมก็ยังจ้องอาจารย์อยู่

"อา..จารย์..มี..อะ.ไร..กับ..ผม..เหรอ..ครับ"ผมเริ่มพูดตะกุกตะกัก

"อาจารย์คิดถึง เฮ้ย ไม่ใช่ คืออาจารย์อยากให้โจ้ไปช่วยพิมพ์งานที่ห้องให้หน่อย" อาจารย์รีบเปลี่ยนคำพูด ที่จริงตอนแรกผมได้ยินนะว่าอาจารย์พูดอะไร แต่ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไรเลยไม่แน่ใจกับคำพูดนั้น

"ครับ"ผมตอบรับอาจารย์ แล้วผมกับอาจารย์ก็คุยกันอีกหลายๆเรื่อง เราทั้งสองคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น สักพัก เล็งก็มาหาผมตามที่นัดไว้ พอเล็งเห็นผมกับอาจารย์นั่งทานข้าวด้วยกันก็แสดงท่าทางไม่พอใจ

"อ้าวเล็งมาแล้วเหรอ มาช้าจัง ไปซื้อข้าวสิ จะได้มานั่งกินด้วยกัน" ผมทักเล็ง แต่เล็งกลับไม่พูดอะไร และยังทำน่าตาบึ้งตึง เดินออกไป ผมสงสัยกับท่าทีของเล็งทำไมถึงต้องไม่พอใจเวลาที่ผมอยู่กับอาจารย์นักนะ อีกทั้งยังเตือนผมเรื่องอาจารย์อีกด้วย

"โจ้ ทานข้าวเสร็จแล้วไปพิมงานเถอะ ไม่มีเรียนตอนบ่ายใช่ไหมล่ะ" อาจารย์หันมาคุยกับผม

ผมพยักหน้าและเดินตามอาจารย์ที่เดินนำหน้าผมไปก่อนแล้ว

พอผมมาถึงห้องของอาจารย์ ผมก็แปลกใจมาก ตอนแรกก้เข้าใจว่าห้องของอาจารย์คือ ห้องพักอาจารย์ที่มหาลัย แต่ที่อาจารย์พามากลายเป็นห้องนอนของอาจารย์ที่บ้านของอาจารย์ ผมแปลกใจตั้งแต่อาจารย์พาผมเดินออกมานอกรั้วประตูมหาลัยแล้ว บ้านของอาจารย์คือร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่ผมเคยมากิน ส่วนห้องอาจารย์อยู่ด้านบน

อาจารย์ถอดเนคไทด์ และปลดกระดุมเสื้อตรงคอและตรองหน้าอก เผยให้เห็นแผงหน้าอกของอาจารย์ ผมใจเต้นมองอาจารย์ตาไม่กระพริบ ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูห้อง อาจารย์คงเห็นเลยเรียกผม

"มานี่สิ" อาจารย์เรียกผมเข้าไปหา

"ครับ" ผมตอบรับอาจารย์ และเดินไปตรงหน้าคอม

"นี้งานที่จะให้พิม สงสัยอะไรถามอาจารย์ได้นะ" อาจารย์ยืนแฟ้มงานมาให้ผม

"ครับ" ผมรับงานอาจารย์มาพิม ตอนแรกต้องพยายามไม่วอกแวก เพราะสมาธิเสียไปตั้งแต่เห็นอาจารย์ปลดกระดุมแล้ว พอผมพิมไปได้พักใหญ่ๆ เครื่องมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ พิมไม่ได้เหมือนเครื่องมันค้าง เลยหันไปบอกอาจารย์ให้ช่วยมาแก้เครื่องให้หน่อย พอผมหันไปสิ่งที่ผมเห็นก็คืออาจารย์ใส่เสื้อกล้าม กับกางเกงบอล อยากจะบอกว่าอาจารย์น่ารักมาก

"ว่าไงนะเครื่องมันค้างเหรอ มาเดี๋ยวแก้ให้" อาจารย์เดินมาที่คอมที่ผมนั้งอยู่ อาจารย์ค่อยๆโอบมือมาด้านหลังของผม แล้วเขยิบตัวมาใกล้ๆคอมแต่ถ้าใครเห็นคงคิดว่าอาจารย์กำลังกอดผมอยู่ เนื่องจากอาจารย์ยืนอยู่เลยต้องก้มตัว เพื่อจะได้เห็นคอมพิวเตอร์ทำให้แก้มของผมกับอาจารย์ แทบจะชนกัน

ถ้าใครหยุดเวลาได้ ช่วยหยุดเวลาตอนนี้ให้ทีเถอะ

คู่ที่2

ผมฝันดีมากๆ ฝันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมากอดผมไว้ ความรู้สึกเหมือนกับการกอดพ่อมากๆ แต่คนที่กอดผมไว้กลับไม่ใช่พ่อ คงเป็นเพราะความรัก แค่เรามีรัก ทุกอย่างก็ดูมีความหมายไปหมด

ความรู้สึกอบอุ่นที่ผมรับรู้ได้ เหมือนคล้ายๆที่ผมได้จากพ่อ ตั้งแต่แม่ตายไป พ่อก็คอยดูแลผมทุกอย่าง เลี้ยงผมเหมือนไข่ในหิน แต่ผมกลับอยากจะเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมทำให้พ่อเสียใจ แต่พ่อก้ให้อภัยผมทุกครั้ง แต่พ่อก็จะสอนผมอยู่ ผมกับพ่อจึงผูกพันธ์กันมาก ผมเคยคิดไว้นะว่า ถ้าจะรักใครก็ขอให้ได้เท่าพ่อ

"ตื่นได้แล้วครับ น้องเชียร์ เช้าแล้วนะ" เสียงของชายคนหนึ่ง กระซิบที่หูของผมเบาๆ

"อืมม..." ผมงัวเงียไม่ยอมตื่น แหมกำลังเคลิ้มกับความฝัน ปกติพี่เลี้ยงที่บ้านจะปลุกผมด้วยการพรมนําบนหน้าของผม ซึ่งจะทำให้ผมรำคาญ จนทำให้ผมตื่น

"จะรอเจ้าชายมาจุมพิตหรือไงครับ งั้นเจ้าชายคนนี้จะจูบแล้วนะ" เสียงนั้นใกล้เข้ามาขึ้นอีก ผมนึกในใจว่า ใครจะมาลวนลามกูเนี้ย นึกอีกที เฮ้ย ตอนนี้กูนอนที่ห้องพี่เอกนี่หว่า ผมเลยรีบตื่นลุกขึ้นมานั่งทันที

"เอ้า พอบอกว่าจะจูบรีบตื่นมาเลยนะ รู้งี้จูบไปเลยดีกว่า" พี่เอกทำหน้าตาเสียดายกับการจะขโมยจูบของผม ที่ผมรีบตื่นไม่ใช่ไม่อยากให้จูบหรอกนะ แต่เพิ่งนึกได้ว่านอนค้างบ้านพี่เอกนี่หว่า แล้วไอ้พี่เอกมาปลุกทำไมเนี้ย คือ ผมไม่อยากให้ใครมาเห็นตอนเพิ่งตื่น คงรู้กันนะครับว่าตอนเพิ่งตื่นของแต่ละคนมันน่าเกลียดกันขนาดไหน พี่เอกจะเห็นภาพอะไรของผมหรือเปล่าเนี้ย ผมรีบเช็คร่างกายดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

"ตอนน้องเชียร์นอน น่ารักดีนะครับ เหมือนเด็กเลย พี่แทบจะอดใจไม่ไหว" พี่เอกทำหน้าทะเล้นใส่

"ไปอาบน้ำดีกว่า" ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

"ครับ เดี๋ยวพี่พาไปกินข้าวนะครับ" พี่เอกเดินออกไป สักพักก็มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง น่าตาคล้ายพี่เอกมากๆ สงสัยน้องพี่เอกแน่ๆ ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย น้องเค้าเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ผม

"พี่เอกให้เอาผ้าขนหนูมาให้ครับ" หนุ่มน้อยยื่นผ้าเช็ดตัวให้ผม

"ขอบคุณครับ น้องชายพี่เอกใช่มั้ย ชื่อไรครับ" ผมรับผ้าขนหนูแล้วยิ้มให้เด็กหนุ่ม

"ชื่อ โท ครับ แล้วพี่ล่ะครับ"

"พี่ชื่อเชียร์ครับ น้องโทเรียนอยู่ชั้นไหนครับ" ผมถามคาดว่าต้องเรียนมอปลายแน่เลย เพราะน้องเค้าตัวสูงเกือบเท่าพี่เอก สูงกว่าผมอีก

"มอ หกแล้วครับ ผมไปก่อนนะครับ จะไปช่วยป๊า กับ ม้า ก่อนนะครับ" แล้วน้องโทก็เดินออกไป บ้านนี้น่ารักทั้งบ้านเลยเนอะ คงเพราะได้ความตี๋มั้ง ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอยู่ด้วย แต่ยังไม่เห็นคนสุดท้อง ไม่รุ้จะน่ารักเหมือนพี่ชายหรือเปล่า

ผมอาบน้ำแต่งตัว และลงมารอพี่เอกอยู่หน้าบ้าน พี่เก่งเดินตามมา ผมแปลกใจการแต่งตัวของพี่เก่ง คือ พี่เก่งใสเสื้อกล้าม กับกางเกงวอร์ม ยังกะจะไปออกกำลังกาย

"ไหนบอกว่าจะไปทำงานไง" ผมถามด้วยความสงสัย

"ก็ไปทำงานนี้แหล่ะ"

"แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ จะไปวิ่งที่ไหนเหรอ"

"เอ้า ยังไม่ได้บอกเหรอครับ ว่าพี่เป็นครูฝึกสอน ที่ฟิตเนส ครับ"

ผมเองก็พึ่งรู้ พี่เอกใส่ชุดนี้ก้น่ารักดีนะ เห็นกล้ามขาวๆเป็นมัดๆชัดดี

พี่เอกพาผมมาที่ร้านโจ๊ก ผมนั่งกินโจ๊ก ปกติกินแต่โจ๊กที่แม่บ้านทำให้ เลยรู้สึกแปลกๆกับการกินที่ร้านทั่วไป พี่เอกยิ้มให้ผมตลอดเวลาการกิน

"นี้จะมองทำไม กินสิเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนหรอก"ผมบอกพี่เอก

"คร้าบๆ พี่อิ่มแล้วอ่ะ"

"อิ่มได้ไงยังไม่เห็นกินสักคำ"

"ก็อิ่มอกอิ่มใจไงครับ ไม่นึกว่าจะมีคนน่ารักๆมานั่งกินข้าวด้วย"

"อยากจะอ้วก ชอบพูดอะไรเสี่ยวๆ"

"นี้ๆกินโจ๊กให้อร่อย ต้องใส่ปาท่องโก๋ ไปด้วย" พี่เอกพูดพร้อมฉีกปาท่องโก๋ใส่จานให้ผม

"คร้าบขอบคุณคร้าบ"

"แต่ถ้าอยากให้อร่อย ต้องป้อนด้วย เอาไหม"

"ไม่ต้องเลยกินเองได้"

ผมกับพี่เอกเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ผมเองไม่เคยรู้สึกดีกับใครเท่านี้มาก่อน

"ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวตอนเย็นๆจะมาดูซ้อมหลีดนะครับ" พี่เอกพาผมมาส่งที่มหาลัย

"ครับ พี่ก็เหมือนกันตั้งใจทำงานนะ เจอกันตอนเย็นนะ" ผมลากับพี่เอกแล้วคอ่ยเข้ามหาลัย

แค่อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา เพียงวันเดียว ก็มีความสุขเหมือนได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี

คู่ที่3

ความรักทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนอกจากทรงผมของผมแล้วนั้นก็คือ หัวใจที่สดชื่น มีชีวิตชีวา หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย รัก..

ผมมาที่ทำงานหรือที่ผับตามปกติ วันนี้เหน่งไม่มา ในวงเลยต้องหาคนมาร้องเพลงแทนเหน่ง

"ใครจะมาร้องเพลงแทนไอ้เหน่งว่ะ" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

"ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้เหน่งมันบอกว่าให้ไอ้ปอมันร้องแทน"

ผมตกใจ ไอ้เหน่งทำไมมันถึงให้ผมร้องแทนละ สงสัยคงเป็นเพราะตอนผมสอบร้องเพลงมั้ง ไอ้เหน่งมันเรียนเอกร้องเพลง ส่วนผมเรียนเอก ดนตรีสากล แต่ไปลงวิชาร้องเพลงเป็นวิชาเลือก ไอ้เหน่งมันชมผมบ่อยๆว่าร้องเพลงเพราะ แต่ผมเฉยๆกับตัวเองนะ ผมว่าผมไม่ได้ร้องเพราะอะไรมากมาย แค่ร้องไม่เพี้ยน กับไม่ผิดคีย์เท่านั้น กลายเป็นว่าผมต้องไปร้องเพลงแทนไอ้เหน่ง แต่ผมขอเพื่อนๆในวง ว่าขอร้องเพลงเดียวนะ คือ ผมเขินอะ(ครั้งแรกของผมเลยนะ กับการร้องต่อคนมากมาย)

พอถึงเวลาผมตื้นเต้นมากๆ จนพูดอะไรไม่ออก(ปกติก็ไม่พูดอยู่แล้ว) ผมร้องเพลงพูดไม่ค่อยเก่ง ของ ABnormal ร้องกับกีต้าร์โปร่ง(ร้องแบบ อะคูสติก)
"พูดไม่ค่อยเก่ง แต่รักหมดใจ" ผมว่าเพลงนี้เข้ากับผมมากๆ ยิ่งเหมาะกับช่วงนี้อยู่ด้วย ทำให้ยิ่งเข้ากับอารมณ์ของเพลง
พอผมร้องจบ มีคนปรบมือให้ผมเกือบทั้งร้าน ถ้าประเมินด้วยตัวเอง เมื่อกี้ผมว่าผมร้องดีกว่าที่ผ่านๆมา คงเป็นเพราะเข้าถึงอารมณ์ของเพลง อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้พี่เก่ง เสียดายนะที่พี่เก่งไม่อยู่ฟังด้วย

ผมลงมาจากเวที เพื่อให้วงต่อไปขึ้นมาเล่น

"ร้องเก่งนี้" ผมหันไปตามเสียงที่ทักขึ้นมาด้านหลัง

"อ้าวพี่เก่ง" ผมตกใจไม่เชื่อว่าจะเจอพี่เก่ง

"เมื่อกี้เท่ห์ดีนะ ไม่นึกว่าจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้" พี่เก่งเอ่ยปากชมจนผมพูดอะไรไม่ออก

"พี่เก่งมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถึงมาหาผมที่นี้"

"มาหาปอ ต้องมีธุระด้วยเหรอ พี่อยากเจอปอเฉยๆไมได้เหรอ" พี่เก่งตอบผม ผมดีใจมากๆที่พี่เก่งอยากมาหาผม

"พี่พาเพื่อนมาด้วย จะชวนเพื่อนมาดูปอเล่นดนตรีไง" พี่เก่งชี้ไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่บอกว่าเป็นเพื่อน ผู้ชายคนนั้นแต่งตัวสไตลย์เกย์มากๆ เพื่อนในความหมายของพี่เก่งคงไม่ใช่เพื่อนอย่างที่ใครๆเข้าใจ

"พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะมาอีกวันหลังนะ" พี่เก่งลาผมออกไป ผมมองพี่เก่งเดินออกจากร้านไป ผมเห็นพี่เก่งเดินโอบเพื่อนของเขาด้วย เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย ผมทำได้แต่เพียงมองพี่เก่งเดินออกจากร้านไป มือของผมลูบสร้อยคอที่พี่เก่งให้พูดในใจกับตัวเองว่า "พี่เก่งรู้มั้ย เมื่อกี้ผมร้องเพลงให้พี่นะครับ"

---- จบตอนที่ 5 ----

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชอบคู่แรกอ่ะ  :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ LonelyBoiZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
แอบมาตามด้วยคนนะคับ

เปงกำลังใจให้นะคับ  :mc2: :mc2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
 :oni2:ทักทายจากผู้เขียน :oni2:

มาสวัสดีอย่างเป็นทางการ หลังจากให้ได้ลองอ่านผลงานของผมในรอบสามปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่ถือว่าเป็นเรื่องแรกของการเริ่มต้นเขียนนิยาย ถ้ามีบางอย่างยังตะกุกตะกัก หรือขาดความสมจริง ก็ต้องขออภัยมาใน ณ ที่นี้ด้วย เคยอยากเอามาแก้ไขใหม่เหมือนกัน เพราะเรื่องนี้แต่งเมื่อสามปีที่แล้ว
แต่มาคิดดูอีกที ปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปอย่างนั้นดีกว่า เพราะมันคือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สีแล้วที่เอามาโพสต์ใหม่อีกครั้ง(3ครั้งแรกโพสต์ในบอร์ด ปาล์ม)

อย่างมีเรื่องจะรบกวนผู้อ่านอีกเรื่องหนึ่ง คือ อยากรู้ว่าใครได้อ่านเรื่องนี้ชอบตัวละครตัวไหนบ้าง และชอบคู่ไหนในเรื่องนี้ ถ้ามีวิเคราะห์ตัวละครด้วยว่าชอบเพราะอะไรจะดีมาก เพราะผมจะมาร่วมวิเคราะห์เนื้อเรื่องด้วย ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น โดยอิงจากเรื่องจริง(ยังกะวิเคราะห์ข่าว)

ป.ล. เรื่องราวของ โจ้ ปอ เชียร์ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงผสมผสานกับเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อให้สามารถแต่งเป็นเรื่องได้ ตัวละครในเรื่องก็มีตัวตนจริง

ขอให้สนุกกับเรื่องราวของสามหนุ่มนะครับ :m4:

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
ดีครับ ผมชอบคู่แรกกับคู่สุดท้ายนะครับ เพราะว่าผมเป็นประเภทพูดไม่เก่ง เลยชอบตัวละครที่มันใกล้เคียงกับตัวเอง
ส่วนความมนจริงผมว่ามันก็โอเคแล้วนะครับสละสลวยดีผมชอบ เป้นกำลังใจให้นะครับ :m4: :m4:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Three Couple of Love บทที่6 หากความรักนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เรา

คู่ที่1

หากความใกล้ชิดทำให้เรารู้จักกัน อีกไม่นานมันคงจะทำให้เกิด ความรัก...

หลังจากอาจารย์แก้คอมที่ค้างไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์หันมาพูดกับผม ขณะที่อาจารย์หันมา ผมก้หันไปมองอาจารย์เหมือนกัน ทำให้ผมกับอาจารย์มองตากัน ปลายจมูกของผมชนกับปลายจมูกของอาจารย์ ช่วงเวลานั้นเหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ อาจารย์เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ๆผม อีกไม่กี่อึดใจเดียวปากของผมกับอาจารย์จะต้องจูบกันแน่นอน

"เบน มาช่วยพ่อข้างล่างหน่อยเร็ว" เสียงเรียกของพ่ออาจารย์ทำเอาผมตกใจจนตกเก้าอี้
โครม ผมลงไปนอนกองกับพี่ อาจารย์ยังทรงตัวอยู่ได้
"เป็นอะไรมั้ย" อาจารย์ถามผม
"ไม่เป็นไรครับ" เจ็บก้นจังอ่ะ ผมไม่ได้ตอยตามความจริง ก็เล่นซะตกไปแรงขนาดนั้น
"มา ลุกขึ้นมา" อาจาสรย์เอื้อมมือไปจับมือผม ผมเองก็คว้ามือจับอาจารย์แล้วลุกขึ้นยืน
"ทำงานให้เสร็จแล้วกัน เหลืออีกนิดเดียว อาจาย์ขอลงไปช่วยพ่อก่อนนะ" พูดเสร็จอาจารย์ก็เดินลงไป
ปล่อยให้ผมฝันค้างอยู่คนเดียว ผมนึกในใจ ว่าอีกนิดเดียวแท้ๆ แต่อย่างน้อยมันก็คงทำให้ผมรู้ว่าอาจารย์อาจคิดเหมือนผม

พอผมพิมงานเรียบร้อยผม ก็ลงไปข้างล่าง ก่อนที่จะลงไป ผมไปสะดุดกับรูปภาพๆหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของอาจารย์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมนึกไปต่างๆนาๆว่าใคร พี่ น้อง เพือน หรือ แฟน ไม่เอาดีกว่า ค่อยไปถามอาจารย์ทีหลัง

ผมลงมาอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวของอาจารย์ อาจารย์เห็นผมเดินลงมา เลยรีบเข้ามาหาผม
"งานเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม"
"ครับ อาจารย์มีงานอะไรอีก ให้ผมช่วยอีกก้ได้ครับ"
"ขอบใจมากนะ เออ! คือ..." อาจารย์อ้ำอึ้ง เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
"อะไร ครับ"
"ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวอาจารย์ไปส่งนะ"
อาจารย์ขับมอเตอร์ไซด์ ไปส่งผมที่หอ ตอนที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ อาจารย์บอกให้ผมกอดแน่นๆ ผมตอนแรกอายๆ ไม่กล้ากอด จนอาจารย์เอามือของผมไปกอดอาจารย์เอง พอผมกอดอาจารย์ก็กอดอาจารย์แน่น ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นสิ่งที่ผมแทบไม่ได้มีเลยทั้งชีวิต แม้ผมจะมีผู้คนรอบข้างที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ แต่ก็ยังอ้างว้าง เหมือนอยูในโลกนี้เพียงคนเดียว

อาจารย์จอดรถเมื่อมาถึงที่หอพักของผม
"พรุ่งนี้เจอกันนะ" อาจารย์พูดและยิ้มให้ผม
"ครับ" ผมตอบรับ และหันหลังจะเดินกลับเข้าหอ
"เออ .. โจ้ เดี๋ยวก่อน" ผมหันหลังกลับไป
"มีอะไรเหรอครับ" ผมรีบหันกลับไปหาอาจารย์
"พรุ่งนี้ ไปกินข้าวกับอาจารย์ไหม"เป็นครั้งแรกที่อาจารย์เอ่ยปากชวน
"ครับได้ครับ" ผมรีบตอบโดยไม่ต้องคิด
"เดี๋ยวเลิกเรียน มาเจออาจารย์ที่ห้องพักครูนะ" อาจารย์นัดแนะ
"ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ" ผมตอบและมองอาจารย์ จนอาจารย์ขับมอเตอร์ไซด์ออกไป
ผมยืนยิ้มอยู่คนเดียว ไม่นึกเลยว่าอาจารย์ก็คิดเหมือนผม

พอผมขึ้นไปที่ห้อง กำลังจะเปิดประตูเข้าไป เล้งก็มาดักผมไม่ให้เข้าห้อง
"ทำไมวันนี้ถึงไม่กินข้าวกับเรา"

คู่ที่2

หลังจากเลิกเรียนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไปซ้อมเชียร์ตามปกติ ช่วงนี้ใกล้ถึงวันแข่ง กีฬาFreshy ทำให้ต้องซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงสัปดาห์ใกล้วันแข่ง แทบจะไม่ต้องนอนกันเลย เพราะต้องซ้อมกันหามรุ่งหามค่ำ ผมเริ่มนึกแผนการชั่วร้าย ถ้าวันไหนมีการซ้อมจนดึก(เกือบๆห้าทุ่ม) ผมก็จะอ้างพ่อว่าซ้อมหลีดดึกมาก ไม่อยากขับรถตอนดึกๆ จะไปนอนที่หอโจ้ แต่ความจริงแล้วจะไปนอนบ้านพี่เอกต่างหาก

พอซ้อมถึงช่วงพัก พี่เอกก็มาถึงมหาลัย พี่เอกกะจะเดินมาหาผม แต่เจอพวกรุ่นพี่ที่ซ้อมให้ผมเข้ามาทักซะก่อน
"พี่เอกหวัดดีครับ มาดูน้องๆซ้อมหลีดเหรอครับ"
"อืมม ช่าย มาให้กำลังใจน้องๆเค้านะ" พี่เอกเหล่ตามาทางผม
"เดี๋ยวนี้พี่เอกแวะมาหาพวกเราบ่อยจัง ติดใจอะไรหรือเปล่าครับ" รุ่นพี่แอบแซวพี่เก่ง
"55555" พี่เก่งไม่ตอบอะไรเอาแต่หัวเราะกลบเกลื่อน
โธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า ที่อยู่กับเราทำปากดีใหญ่เลย
เตเต้ กับ แมคกี้ เพื่อนที่เป็นหลีดด้วยกันเดินมาคุยกับผม ฟังจากชื่อแล้วคงรู้นะครับว่าเพื่อนผมเป็นยังไง
"นังเชียร์ แกว่ารุ่นพี่คนนี้น่ารักไหมว่ะ เคยเห็นตอนมาคัดหลีดด้วย" เตเต้ถามความเห็นจากผม
"น่าตาดูเหมือนตี๋อินเตอร์มั๊กๆ หุ่นก็บึกบึน เท่จริงๆว่ะ"แมคกี้สนับสนุน
"เฉยๆวะ กูขี้เกียจวิจารณ์ผู้ชาย" ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
"Oh My God! กูไม่อยากจะเชื่อ ว่าคุณเชียร์ เจ้าแม่นักจิกผู้ชาย จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับผู้ชายเพอร์เฟคเช่นนี้"นังแมคกี้ปิดปากทำท่าอุทาน
"แมคกี้ต้องเข้าใจหน่อยสิย่ะ ว่าคุณเชียร์เข้าเป็นถึง ดาว เฮ้ย เดือนคณะ และอีกไม่นานคงคว้าตำแหน่ง เดือนมหาลัย ก็ต้องรักษาภาพพจน์หน่อย"นังเตเต้กระแนะกระแหน่ผม ผมเอือมระอากับเพื่อนพวกนี้จริงๆ
"นี้ๆ ฉันจะไปสมัครฟิตเนสย่ะ ไปด้วยกันมั้ย"นังเตเต้เอ่ยปากชวน
"ไปๆดิว่ะ ฟิตเนสเดี๋ยวนี้เป็นแหล่งรวมผู้ชายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากจะออกกำลังกายแล้ว ยังได้บริโภคผู้ชายด้วย"นังแมคกี้เสริมอีก
"เออๆ ก็อยากสมัครอยู่ ช่วงนี้ต้องเฟริมหุ่นหน่อย เห็นบอกว่าชุดหลีดรัดหุ่นแน่เปรี๊ยดเลยนะ"ผมบอกนังพวกนั้น
ผมคุยกับเพื่อนอยู่สักพัก พี่เอกก้เดินเข้ามาหาพวกผม
"สวัสดีครับ ขออนุญาติคุยกับเชียร์แป๊บนึงนะครับ"
นังเตเต้กับแมคกี้ตะลึงพี่เอกกันใหญ่
"เดี๋ยวมานะ" ผมเดินออกจากกลุ่มเพื่อน ตามพี่เอกไป

พี่เอกพาผมมาคุยที่ร้านกาแฟข้างที่ซ้อมหลีด
"วันนี้คิดถึงพี่มั้ยครับ"นี้คือคำทักทายของพี่เก่ง
"เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าเองนะ"
"ตอบก่อนดิ ว่าคิดถึงมั้ย"
"คิดถึงดีไหมน่า" ผมแกล้งพี่เอก
"คิดถึงสักนิดก็ยังดี พี่คิดถึงเชียีร์ที่ซู้ดดดด เลยรู้ป่าว"พี่เอกทำปากจู๋
"55555 คิดถึงครับ คิดถึง" ผมอดขำไม่ได้กับท่าทีของพี่เก่ง
"คราวหน้ามาค้างบ้านพี่นะ"พี่เอกเอ่ยปากชวน
"ครับๆ แต่ให้เชียร์หาวิธีโกหกพ่อให้ได้ก่อนนะ"ผมยิ้มให้พี่เอก
"งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ เชียร์ตั้งใจซ้อมเชียร์ ขับรถดีดี และอย่าลืม ดื่มนมก่อน ห่มผ้าหม สวดมนต์ก่อนนอนและ...." พี่เอกพูดเป็นชุด
"คร้าบๆๆๆๆๆ รู้แล้วน่า"
"แล้วอย่าลืมคิดถึงพี่นะครับ" พี่เอกเอื้อมมือมาจับมือผม
"เหมือนกันครับ ตั้งใจเรียนนะ อย่าวอกแวกคิดถึงเชียร์มากนะ"ผมส่งสายตาหวานให้พี่เอก

ผมจึงแยกตัวกับพี่เอก พอผมกำลังเลี้ยวเข้าไปใต้ตึกเพื่อไปซ้อมเชียร์ต่อ ก็เห็นเตเต้กับแมคกี้แอบฟังผมคุยกับพี่เอกอยู่ พอทั้งสองคนเห็นผมก็รีบเดินเข้ามาหาทันทีและพูดพร้อมกันว่า
"เฉยๆวะ กูขี้เกียจวิจารณ์ผู้ชาย"

พอผมกลับถึงบ้าน แม่บ้านก็เดินเข้ามาหาผม "คุณหนูค่ะคุณผู้ชายให้มาเรียนว่าให้ไปพบที่ห้องรับแขกค่ะ"
"มีอะไรเหรอ"
"ไม่ทราบสิค่ะ เห็นคุณผู้ชายคุยกับแขกอยุ่ค่ะ"
ผมจึงรีบเดินเข้าไปหาพ่อ พอเข้าไปในห้องรับแขก เห้นพ่อคุยกับใครไม่รู้เพราะเขาหันหลังให้กับผม
"อ้าวเชียร์กลับมาแล้วเหรอ"พ่อเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ
"ป๊ะป๋า เรียกเชียร์มีอะไรเหรอครับ"ผมเดินเข้าไปหาพ่อ
"นี้ มาดูสิใครมา" พ่อป๊ะป๋าพูดเสร็จ ชายคนนั้นหันหน้ามาหาผม พอผมเห้นหน้าของเขาก็รู้เลยว่าเป็นใคร
"ว่าไงเชียร์ พี่กลับมาแล้ว"

คู่ที่ 3

มีบางคำที่อยากบอกกับเธอ จิตใจบางคนที่เหนื่อยเพราะคิดถึงเธอ
แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และไม่รู้ว่าเธอจะรังเกียจไหม
ยังเดาใจไม่ถูกอยากจะรู้ ที่ใครคนหนึ่งรักเธอหมดทั้งหัวใจ
อยากให้เขาคนนั้นทำอะไร เพื่อให้เธอได้พอเข้าใจว่าฉัน ..รักเธอ

พูดไม่ค่อยเก่ง แต่รักหมดใจ ถ้ารู้ว่าชอบอะไรจะหาให้เธอ
พูดไม่ค่อยเก่ง แต่ฉัน รัก เธอ อย่าปล่อยให้เพ้อให้รักเธอข้างเดียว

พอกลับมาถึงบ้านผมก็นั่งร้องเพลงอยู่คนเดียว ร้องเพลงนี้วนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ
ทำไมใครหลายคนถึงได้ใกล้ชิดกับพี่เก่ง มีแต่ผมคนเดียวที่เหมือนคนห่างไกล
คนเหล่านั้นไม่ได้รู้สึก รัก เหมือนผม เขาคงต้องการเพียง เซ็กส์ ความหรูหรา สิ่งเหล่านั้นมันเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ไม่คงทนถาวร แต่รักนี้สิ ไม่มีวันที่จะลบเลือนไป

"ปอ มีเพื่อนมาหา"แม่เรียกผม
"ครับ เดี๋ยวลงไป"ผมรีบวางกีต้าร์แล้วลงไปข้างล่าง
ผมออกไปที่ระเบียงบ้าน ผมแปลกใจที่เหน่งมาหาผมที่บ้าน
"หวัดดี เฮ้ย! ตัดผมใหม่เหรอว่ะ โคตรเท่ห์เลย"เหน่งทักผมทรงใหม่เป็นอย่างแรก
"มึงมีอะไรถึงมาหากูป่านนี้แล้ววันนี้ไปไหนทำไมไม่ยอมไปร้องเพลง" เพราะนี้มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว
"กูมีเรื่องจะคุยกับมึง มึงจะไม่ให้กูเข้าไปในบ้านเหรอ"ผมจึงเปิดประตูให้เหน่งเข้าไปในบ้าน
ผมพาเหน่งขึนไปที่ห้องของผม ไอ้เหน่งรีบกระโจนขึ้นไปนอนบนเตียงทันที
"เฮ้ย ไอ้ปอ วันนี้กูขอค้างหน่อยนะ"
"เออ ได้ดิว่ะ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับกู เรื่องอะไรว่ะ"ผมหันมาถามไอ้เหน่ง
ไอ้เหน่งลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนอน ผมเข้าไปนั่งใกล้ๆ
เหน่งหันมาคุยกับผม "เราอยากจะบอกว่า...."
ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของเหน่ง
"ว่า... แฮบปี้เบิร์ทเดย์นะเฟ้ย" ไอ้เหน่งพูดพร้อมหยิบของขัวญมาให้ ผมถอนหายใจ
"เออ .. ขอบใจ"ผมรับของขวัญมาแกะดู พอผมเห็นของขวัญผมก็ตกใจกับของขวัญชิ้นนั้น
"เป็งไงสวยมั้ย กุว่ามึงน่าจะชอ..."เหน่งต้องหยุดพูดเมื่อผมชูของขวัญชิ้นนั้นขึ้น
มันเป็นสร้อยเส้นเดียวกับที่พี่เก่งซื้อให้ผม แสงจากสร้อยของพี่เก่งไปกระทบกับสร้อยของเหน่ง
"เฮ้ย มึงมีสร้อยเส้นนี้ด้วยเหรอว่ะ"เหน่งตะโกนตกใจจนเสียงหลง
ผมไม่ตอบอะไร ไม่รู้จะพูดยังไงกับเหน่งดี
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูซื้อของให้ใหม่" เหน่งคว้าสร้อยเส้นนั้นกลับไป
ผมรีบไปแย้งสร้อยเส้นนั้นกลับมา "ไม่เป็นไร มันเป้นเรื่องบังเอิญนี้"
ผมรีบให้เหน่งไปอาบน้ำ ไม่อยากให้เหน่งคิดมาก
ผมกับเหน่งสนิทกันตั้งนานแล้ว ตอนนั้นบ้านของผมกับบ้านของเหน่งติดกัน แต่ตอนนี้เหน่งย้ายบ้านไปแล้ พอเราเอ็นติดที่เดียวกันเลยคิดตั้งวงดนตรีรวมกับเพื่อนอีกสามคน
เหน่งเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ นอกจากเพื่อนซี้ของผมทั้งสอง
แต่เหน่งไม่ได้รังเกียจอะไรในตัวผมเลยกลับทำให้เหน่งเข้าใจในตัวผม และสนิทกันมากยิ่งขึ้น

ผมล้มตัวลงนอนข้างๆ เหน่งซึ้งนอนไปก่อนแล้ว
เหน่งถามผม"สร้อยเส้นนั้นใครซื้อให้มึงว่ะ"
"......" ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
"มึงไม่ต้องบอกกูก็ได้ถ้าลำบากใจ"
"ไม่ใช่ คือ เรื่องมันยาวว่ะ" ผมเลยอธิบายเรื่องของพี่เก่งให้ฟัง
พอเหน่งได้ฟังเรื่องราวทุกอย่าง มันก็ถามผม
"แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป"
"ก็ไม่รู้วะ มึงว่ากูควรทำยังไง"ผมหันไปถามเหน่ง
"ความรักที่แท้จริง มันไม่ใช่การครอบครอง ไม่จำเป็นต้องให้คนที่เรารักมารักเรา แค่เพียงเราได้เห้นคนที่เรารักมีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ" ผมได้ฟังเหน่งพูด รู้สึกขนลุกกับคำพูดของมัน
เหน่งมันลุกขึ้นมาก้มมองลงที่ผม
"คนรักกัน มันไม่จำเป้นเสมอไปหรอก ว่าจะต้องเป้นแฟนกัน"

----- จบตอนที่ 6 -----

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด