Three Couple of love:Special Features:Sweet Couple
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Three Couple of love:Special Features:Sweet Couple  (อ่าน 151961 ครั้ง)

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

น้องปอของพี่ปั๊ดตะนากลายเป็นคาสโนวาไปแย้ว

จะดีใจ :m4:หรือเสียใจ :เฮ้อ:ดีเนี่ย


nartch

  • บุคคลทั่วไป
คู่ที่ 1 ถึงอาจารย์เบน คราวก่อนที่หนีไปแต่งงานด่าไปแล้ว "ขอโทษ"
เหตุผลพอรับได้ เพราะเข้าใจลูกชายคนจีน...แต่คืนดีเร็วไปจิง ๆ หละ  o12
คู่ที่ 2 Perfect...จบ  :m1:
คู่ที่ 3 เพิ่งจะรู้ว่า "ความเจ้าชู้" มันเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง...อยากบอกปอ
...จำเวลาที่ตัวเองเจ็บปวดจากคนเจ้าชู้ไว้บ้าง จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ  :m29:
 :pig4:
วิถีชีวิตแตกต่างกันไป...ขอให้ทุกชีวิตมีความสุขในรูปแบบที่ตนเองต้องการ
+1 ให้คนเขียน รอและให้กำลังใจกับผลงานต่อ ๆ ไป...
 :bye2:


ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
เอาใจช่วยปอตลอด แต่แล้ว ปอเปลี๋ยนไป๋  :o

มารอซีซั่นต่อไป  :oni2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ว้าวววววววววววว จบแบบแฮปปี้ด้วยน่ะเนี่ย

แล้วยังมีภาคสองด้วย ดีใจ อิอิ

[D]a[D]a [T]oo[N]

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้วภาค1

มีต่ออีก ดีใจจังเลย อิอิ

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
รอภาคต่อไปครับ  :m1: :m1:

three

  • บุคคลทั่วไป
รอภาค2ครับผมสู้ๆนะครับ :mc4:

ออฟไลน์ T@luntulA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มารอภาคสองคับบบบ

อิอิ

มาไวๆเน้อออ  :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
Three Couple of Love season 2
: Back to School part 1

บทนำ

คู่ที่1

ปัง!!! เสียงปิดประตูห้อง ทำให้อาจารย์เบนที่กำลังจัดข้าวของ สะดุ้งตกใจ
“ตกใจอะไรครับ” ผมถามและแอบขำกับท่าตกใจของอาจารย์
“เอ้า อยู่ดีดีก็โผล่มา ผมก็ตกใจดิ” อาจารย์พูดกับผม แต่ก็ยังจัดข้าวของต่อไป
ผมเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำมาดื่ม พลางหันไปมองอาจารย์เบน
“ยังจัดไม่เสร็จอีกเหรอครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าจัดมาตั้งแต่เช้าแล้ว พอผมกลับมาจากที่ทำงานก็ยังจัดไม่เสร็จอีก
“อืมม ช่าย ไม่รู้เมื่อไหร่จะเสร็จสักที” อาจารย์พูดไปจัดของไป
ผมเลยเดินไปหาอาจารย์ เพื่อช่วยอาจารย์ “ มาเดี๋ยวผมช่วย”
อาจารย์จ้องหน้าผมแล้วยิ้มให้ผม “วันนี้ไปทำงานเหนื่อยไหม”
“ก็ เหมือนเดิม คอยดูแลคนไข้ จัดยา ช่วยงานหมอ”ผมเล่าถึงการทำงานของผม ผมทำงานเป็นผู้ช่วยจิตแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง
“ที่ผมย้ายมาอยู่ด้วย ทำให้โจ้ลำบากหรือป่าว” อาจารย์ถามผม คงเพราะเห็นผมทำงานแล้ว และห้องที่ผมอยู่ก็เป็นเงินของผมด้วย
“ไม่เลย ผมเองอยากให้อาจารย์มาอยู่กับผมตลอดไปเลยด้วยซ้ำ ผมอยู่คนเดียวมาเกือบสี่ปี หลังจากอาจารย์...เออ...” ผมอ่ำอึ้งที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เรื่องราวในอดีตที่เคยทำให้ผมช้ำใจ
อาจารย์เบนเข้าใจความรู้สึกผม เลยเอามือมาลูบที่หัวของผม
“เรื่องนั่นลืมไปเถอะ ผมเองก็อยากจะลืมเหมือนกัน” สายตาของอาจารย์แสดงความห่วงใยที่มีต่อผม ผมมองสายตายนั้นที่เคยทำให้ผมรักกับผู้ชายคนนี้
เราจ้องมองกันอยู่นาน อาจารย์เบน ก็ค่อยๆเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมพร้อมยื่นปากมาใกล้กับปากของผม
ผมเองก็เขยิบตัวไปใกล้กับอาจารย์เช่นกัน และใช้ปากของผมประกบปากของอาจารย์
อาจารย์จูบผม พร้อมกอดผม ผมเองก็สวมกอดอาจารย์เช่นกัน
อาจารย์ค่อยๆผลักตัวผมนอนลงบนพื้น แต่ปากของอาจารย์ก็ยังจูบปากของผมอยู่
อาจารย์เริ่มเปลี่ยนจากจูบปากก็มาเริ่มไซร้ที่ซอกคอของผม
“อืมม อืมม อืมม” ผมเริ่มคราง พร้อมกอดอาจารย์แน่น
มือของอาจารย์ยันพื้นห้องไว้คล้ายท่าวิดพื้น แล้วก็ค่อยๆใช้ลิ้นไซร้ตามหน้าอก ท้อง และต่ำลงมาเรื่อยๆ
ตัวของผม ได้แต่ครางเพราะความเสียว มือก็ก่ายไปทั่ว จนมือของผมไปแตะกับสิ่งของสิ่งหนึ่ง
ตอนแรกผมกะจะไม่สนใจ แต่อีกใจก็อยากดูว่ามันคืออะไร ผมเลยไปคว้าสิ่งนั้นเอามาดู
“อะไรเหรอ โจ้” อาจารย์ถาม เพราะเห็นผมมัวแต่ดูหนังสือเล่นหนึ่งอยู่ แทนที่จะสนใจกับลีลาการใช้ลิ้นของอาจารย์
“หนังสือเฟรนด์ชิบ ครับ ตอนผมอยู่มัธยม ไม่ได้เอามาอ่านนานแล้ว” ผมตอบอาจารย์ ตายังคงมองภาพในสมุดเฟรนด์ชิบ
ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่ง อาจารย์เองก็ลุกขึ้นนั่งด้วยเหมือนกัน
“สงสัยอยู่ในกองหนังสือที่ผมเอาออกมาจากชั้นแน่เลย” อาจารย์หันไปมองกองหนังสือที่วางอยู่บนหน้าชั้น
ผมเปิดหนังสือเฟรนด์ชิบ แล้วมองข้อความต่างๆที่เพื่อนเก่าของผมเขียนให้ และดูรูปเก่าๆ สมัยยังใส่ชุดนักเรียนมัธยมอยู่
“ไหน ขอผมดูหน่อยสิ อยากรู้จัง โจ้ตอนเด็กๆ น่ารักเหมือนตอนนี้หรือเปล่า” อาจารย์เขยิบตัวมาใกล้ๆผม และชะเง้อหน้ามาดูหนังสือเฟรนด์ชิบ
ผมมองดูรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปถ่ายที่ผมถ่ายกับ เพื่อนซี้ของผม คือ ปอ และ เชียร์
“ทั้ง โจ้ ปอ เชียร์ ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยน่ะ” อาจารย์เห็นรูป แล้วออกความเห็น
ผมเองดูรูปก็คิดเหมือนอาจารย์ ที่ตัวเองดูเปลี่ยนไป
จากแต่ก่อน ที่ใส่แวน เรียบร้อย ไม่ค่อยทันคนเท่าไร แม้ตอนนี้จะไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเท่าไร
แต่ก็ดูดีขึ้นจากเหมือนก่อน คงเพราะโตขึ้น และรู้จักปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น
“เออ วันนี้มีจดหมายของโจ้ด้วย” อาจารย์ยื่นซองจดหมายมาให้ผม
ผมรับซองจดหมายนั้น แล้วเปิดอ่านดู
“จดหมายจากโรงเรียนตอน มัธยมครับ แจ้งมาว่าจะมีงานศิษย์เก่า” ผมหันไปบอกอาจารย์
“แล้วโจ้จะไปไหมหล่ะ” อาจารย์ถามผมพร้อมเขยิบตัวเข้ามาใกล้ และกอดผม
ผมพยักหน้าตอบ แล้วจูบอาจารย์
“แป๊บนึงน่ะครับ ขอผมโทรบอกเชียร์ กับปอก่อนน่ะ” ผมผลักอาจารย์เพื่อให้หยุดจูบผมก่อน
“ตามใจสิ ไม่ให้จูบ ผมทำอย่างอื่นก็ได้” อาจารย์ยิ้มให้ผม พร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์
ผมไม่ได้สนใจว่าอาจารย์ทำอะไร เพราะผมโทรศัพท์ไปหาเชียร์แล้ว
************************************************************************************************

คุ่ที่2

โครม!!! กองหนังสือถูกขว้างมาตรงพื้นห้อง
“นี้ ทำไมต้องเขวี้ยงข้าวของด้วยเล่า” พี่เอกตะโกนบอกกับผม
“ก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าเชียร์โกรธจะเป็นยังไง” ผมทำน่าตาขึงขัง
“แล้วจะโกรธทำไม กับเรื่องแค่นี้” พี่เอกก้มตัวลงเก็บกองหนังสือที่ผมเพิ่งขว้างไป
“เรื่องแค่นี้อะไรกัน ก็พี่เล่นอยู่ในห้องซาวน์น่า กับ ไอ้หมอนั้นแค่สองคน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร พี่นั่งของพี่อยู่เฉยๆ เขาเข้ามาหาพี่เอง” พี่เอกแก้ตัว แต่ผมไม่เชื่อ
“แล้วทำไมต้องล็อคห้องด้วย”
“พี่ไม่ได้ล็อค เขาเป็นคนล็อค เชียร์ก็รู้นี้ ว่าเขาเข้ามาที่หลัง” พี่เอกแก้ตัวอีก พร้อมเก็บกองหนังสือเอามาวางไว้ที่เดิม
มีรูปใบหนึ่งปลิวออกมาจากกองหนังสือนั้น
“แล้วทำไมไม่เปิดให้เชียร์เข้าไป ให้เชียร์เคาะเรียกอยู่ได้ตั้งนาน” ผมหันหลังให้พี่เอก พร้อมยิงคำถาม
แต่พี่เอกกลับไม่ตอบอะไรผมเริ่มโมโห เลยหันไปหาพี่เอก
“พี่เอกทำไมไม่ตอบ...” ผมกะจะว่าพี่เอกซะหน่อย แต่เห็นพี่เอกดูรูปใบนั้นที่ปลิวออกมาจากกองหนังสือ
“นี้รูปเชียร์ตอนมอปลายเหรอ น่ารักดีน่ะ ดูใสใสเด็กๆดี” พี่เอกพูดไปยิ้มไป พลางมองดูรูปอย่างละเอียด
ผมรีบเข้าไปคว้ารูปนั้นมาดู “ไหน อ๋อ รูปนี้ถ่ายตอนงานปัจฉิมนิเทศ” ผมมองดูรูปถ่ายที่ผมใส่ชุดนักเรียน และถ่ายกับเพื่อซี้ของผม คือ โจ้ และปอ
ผมว่าตอนนั้นก็ไม่ค่อยต่างไปจากตอนนี้เท่าไหร่ แต่ทุกคนบอกว่าผมเปลี่ยนไป คงเพราะตอนนี้ผมยาว แถมทำผมสีบลอนด์ และยังไว้เคราเล็กๆตามสมัยนิยมอีก
“เอาเป็นว่า พี่ไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ พี่แค่คุยกับเขาเฉยๆ เชียร์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตามใจแล้วกัน” พี่เอกพูดเสร็จ ก็ถอดเสื้อผ้า เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
“เดี๋ยวก่อนซิ พี่เอก…… ยื้อก็เหมือนเราจะยิ่งเหนื่อย รักไม่ช่วยอะไรเลย (เสียงริงค์โทนของโทรศัพท์)” ผมยังเคลียร์เรื่องที่ซาวน่าไม่เสร็จ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น โจ้ โทรมา

เชียร์ : ว่าไง
โจ้    : ไอ้เชียร์ กูมีข่าวจะบอก
เชียร์ : เรื่องอะไรว่ะ
โจ้    : มึงเป็นอะไร ทะเลาะกับพี่เอกเหรอ เสียงแปลกๆ
เชียร์ : เออ ก็แม่ง วันนี้ไปซาวน่ามา แล้วกูเปลี่ยนเสื้อผ้าช้า พี่เอกเปลี่ยนเสร็จเร็วกว่ากู ก็เลยไปรอที่ห้องซาวน่า พอกู จะตามเข้าไป กู      เห็นว่ามีคนเข้าไปในห้องซาวน่าห้องเดี่ยวกับพี่เอก แล้วล็อคประตูอีก กว่าจะออกมาเกือบยี่สิบนาที กูเคาะเรียกตั้งนาน ก็ไม่ยอมเปิด มึงให้กูคิดยังไงหล่ะ
โจ้    : ไม่มีอะไรหรอกม้าง พี่เอกเค้าออกจะกลัวมึงซะขนาดนั้น อู้ยส์ อาจารย์เบนอย่าเพิ่งซิครับ ผมคุยโทรศัพท์อยู่น่ะ
เชียร์ : อาจารย์เบนย้ายมาอยู่กับมึงแล้วเหรอ
โจ้    : ใช่ๆ อ๊ะ อ๊ะ อาจารย์เบนเดี๋ยวก่อนซิครับ
เชียร์ : เฮ้ย! นี้มึงทำไรกับอาจารย์เบนอยู่หรือว่ะ
โจ้    : ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เออ คือกูมีเรื่องจะมาบอกว่า กูได้จดหมายจากโรงเรียนเก่า ว่าจะมีงานศิษย์เก่า มึงจะไปกับกูไหม อ้ายส์!
เชียร์ : ไปดิๆ นี้มึงเป็นอะไรต้องครางเสียงดังด้วยว่ะ
โจ้    : ฝากมึงโทรบอกไอ้ปอด้วยน่ะ แค่นี้น่ะมึง ซี๊ดดด  อ้าส์!

แล้วไอ้โจ้ก็วางสายไป พร้อมเสียงครางของมัน มันจะโทรมาหาผมตอนที่มีอะไรกับแฟนทำไมเนี้ยยย!
ผมรีบกดเบอร์โทรศัพท์ของไอ้ปอ เพื่อจะรีบบอกมันถึงงานศิษย์เก่า
แต่ผมก็กดวางสายไปเมื่อเห็นพี่เอกเดินออกมาจากห้องน้ำ
พี่เอกกำลังใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เพิ่งสระมา ปกติผมจะเป็นคอยเช็ดให้เสมอ
ผมเอาเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้พี่เอก มาวางไว้ข้างๆตัวเขา(ปกติผมจะเตรียมเสื้อผ้าให้พี่เอกเสมอ รวมทั้ง กกน.ด้วย)
พี่เอกไม่สนใจเสื้อผ้าของผมเลย แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่เอง โดยเดินผ่านผมไป แทบจะไม่มองผมเลย ท่าทางคงงอนผมจริงๆ
“งอนเชียร์เหรอ” ผมเริ่มทำเสียงอ่อนลง พร้อมเดินไปหาพี่เอกที่กำลังหวีผมอยู่ พอผมเดินไปถึง พี่เอกกลับเดินไปที่เตียงนอนแทน แล้วรีบนอนทันที
ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่พี่เอกแสดงอาการอย่างนี้ ผมกลับมานึกถึงตัวเองว่า “ทำไมเรางี่เง่าอย่างนี้ว่ะ”
ผมค่อยๆเดินไปที่เตียงพร้อมลงตัวนอนข้างพี่เอก
“พี่เอก เชียร์ขอโทษน่ะ” ผมพูดแค่นี้ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก แต่ผมมั่นใจว่าผมพูดมาจากใจจริงๆ
ผมค่อยๆเอามือไปโอบร่างของพี่เอก
“เชียร์คงรู้แล้วน่ะว่า เวลาที่เราถูกคนที่เราไว้ใจที่สุด ไม่ไว้ใจเรา มันเจ็บขนาดไหน” พี่เอกพูดเสร็จก็หันหน้ามาหาผม
ตอนนั้นผมร้องไห้ไปแล้ว
“แต่พี่ไว้ใจเชียร์เสมอน่ะ” พี่เอกพูดเสร็จก็จูบหน้าผากของผม
แล้วเราก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย ผมก็นอนไปในอ้อมกอดของพี่เอก จนลืมไปเลยว่าต้องโทรไปหาไอ้ปอ ไม่เป็นไรค่อยโทรไปหามันตอนเช้าก็ได้
************************************************************************************************
คู่ที่3

เพล้ง!!!
เสียงแก้วแตกทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้มมา ผมรีบมองนาฬิกา
นาฬิกาบอกเวลา แปดโมง ทำให้ผมกระเด้งลุกขึ้นออกมาจากเตียง แล้วรีบวิ่งตรงไปห้องน้ำ
วันนี้จะเป็นวันทำงานวันแรกของผม ที่โรงเรียนสอนดนตรีแห่งหนึ่ง และคาบแรกของผม เริ่มเวลาเก้าโมง
ผมเดินไปถึงห้องน้ำ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเหน่งกำลังเก็บเศษแก้วที่ตกจากพื้น
“เฮ้ย ขอโทษ กูทำกรอบรูปมึงแตกว่ะ” ไอ้เหน่งหยิบกรอบรูป ที่เป็นทรงกีต้าร์ ยื่นมาให้ผม
โชคดีที่กรอบรูปไม่เป็นอะไรมาก ผมรักกรอบรูปนี้มากๆ
เพราะมันเป็นของขวัญวันเกิดจาก เพื่อนรักของผม และในกรอบรูปนั้น ก็มีรูปของเจ้าพวกนั้นด้วย
เป็นรูปที่ถ่ายตอนงานปัจฉิมนิเทศ ตอนนั้นตัวผมยังไว้ผมทรงนักเรียนน่าตาบึ้งตึง ตัวก็เล็กอีกต่างหาก
ต่างจากตอนนี้ที่ผม สูงขึ้น บึกขึ้นเพราะมีกล้าม และผมยาวจนด้านหน้าต้องปัดข้าง เพราะไม่งั้นไม่เห็นหน้าผมแน่
“ตอนนั้นหน้าตาแกตลกว่ะ ยังจำตอนที่กูเจอกับแกครั้งแรกได้เลยน่ะเนี่ย” เหน่งพูดไปยิ้มไป พร้อมมองดูที่รูป
แต่แล้วรอยยิ้มของเหน่งก็หายไป เมื่อรูปข้างๆของเพื่อนผม คือ รูปชายคนหนึ่งที่ผม รักมากที่สุด
“แกยังเก็บรูปเค้าไว้อีกเหรอ” เหน่งหันมามองผม ผมพยายามหลบสายตาของเพื่อนรัก
ผมแย่งกรอบรูปนั้นมา แล้วเอาไปตั้งที่เดิม
“มึงรีบแต่งตัวเลย เดี๋ยวก็ไปสอนไม่ทันกันหรอก” ผมทำเสียงดูเหมือนเป็นการออกคำสั่ง เหน่งก็ทำตามที่ผมบอก เหน่งก็ไปสอนร้องเพลงที่เดียวกับผม
ผมรีบเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำ ผมนึกถึงคำพูดของหนึ่ง
“มึงยังเก็บรูปเค้าไว้อีกเหรอว่ะ”
ผมย้อนไป นึกถึงเรื่องราวเก่าเมื่อวันนั้น วันที่ผมแยกทางกับคนนั้น

“เราเลิกกันเถอะ พี่ผิดเอง พี่อยากมีครอบครัว พี่เบื่อกับชีวิตแบบนี้แล้ว พี่..................”
คำพูดมากมาย ออกมาจากปากพี่เก่ง
ผมได้แต่นั่งเงียบ ฟังเหตุผลของพี่เก่ง ว่าทำไมพี่เค้าจึงขอเลิกกับผม
แต่ผมไม่สนใจเหตุผลพวกนั้นหรอก ผมรู้ด้วยตัวของผมเองว่า พี่เก่งไม่ได้รักผมแล้ว
ช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา ที่ผมเป็นแฟนพี่เก่ง ผมมีความสุขมาก
และไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายโดนบอกเลิก
พี่เก่งจากไป ผมไม่ได้ร้องไห้เลย ไม่ใช่ผมไม่เสียใจ แต่ผมไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวผม และไม่อยากเห็นความอ่อนแอของตัวเอง
หลังจากนั้น ผมเปลี่ยนตัวเอง ผมไปเที่ยวบ่อยขึ้น เจอใครก็มีอะไรกับเขา แต่ไม่คิดจิงจังกับใครสักคน เพราะผมไม่อยากช้ำกับความรักอีกเป็นครั้งที่สอง
ทุกคนเลยมองผมว่า ผมเป็นคนเข้าชู้ แต่ความจริงแล้ว ผมทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง

“ไอ้ปอ โทรศัพท์โว้ยยย!” เสียงไอ้เหน่ง ตะโกนมาจากห้อง
“เออๆ” ผมรีบปิดน้ำ แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่ง เดินออกไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล” ผมรับโทรศัพท์
“ปอ กูเองน่ะ” เสียงของโจ้ เพื่อนสนิทผม

ปอ : ว่าไง
โจ้ :  ไอ้เชียร์โทรมาบอกยัง
ปอ : บอกเรื่องอะไร
โจ้ : เอ้า ไอ้นี้บอกว่าจะโทรมาบอกมึงแล้วทำไมไม่โทรมาว่ะ
ปอ : แล้วเรื่องอะไรหล่ะ
โจ้ :  ก็วันเสาร์หน้าจะมีงานศิษย์เก่าที่โรงเรียน จะไปป่าว กูกับเชียร์ตกลงกันว่าจะไป
ปอ : ไปดิว่ะ จะให้พวกมึงไปกันแค่สองคนได้ไง
โจ้ :  ดีดี ไม่ได้ไปงานศิษย์เก่านานแล้วเนอะ เออ แล้ว เหน่งมาค้างที่บ้านเหรอะว่ะ
ปอ : อืมม เมื่อวานไปเที่ยวกันมา
โจ้ : ตกลงพวกมึงเป็นแฟนกันหรือป่าวว่ะ
ปอ : เฮ้ย! เป็นเพื่อนโว้ย เพื่อนมาค้างบ้านเพื่อนไม่ได้เหรอไงว่ะ
โจ้ : เออ กูถามเฉยๆ ไม่เห็นต้องโวยวายเลย
ปอ : กูต้องรีบไปทำงานแล้ว งานศิษย์เก่าวันไหนว่ะ
โจ้ : วันเสาร์นี้ งั้นเดี๋ยวให้ไอ้เชียร์ไปรับมึงที่บ้านน่ะ
ปอ : อืมม งั้นเจอกันน่ะ บาย
โจ้ : เออ บาย

ผมวางโทรศัพท์ แล้วรีบไปคว้าเสื้อผ้ามาใส่ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังอีก
ไอ้เชียร์ตัวแสบโทรมา

ปอ   : มีอะไรว่ะ
เชียร์ : อาไรกัน ทำไมต้องโมโหใส่ด้วย กูจะโทรมาบอกว่า วันเสาร์นี้จะมีงาน....
ปอ   : กูรู้แล้ว ไอ้โจ้โทรมาบอกแล้ว
เชียร์ : อ้าวเหรอ แล้วมึงไปไหม
“ไอ้ปอเสร็จยังว่ะ” เสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากนอกห้อง
ปอ   :  ไปดิ แค่นี้น่ะมึง กูจะรีบไปทำงานแล้ว
เชียร์ : อันแน่ เมื่อคืนนอนกับเหน่งล่ะซิ พวกมึงนี้จู๋จี๋ กันจริงๆ
ปอ   : กูวางนะ วันเสาร์เจอกัน
เชียร์ : ดะ เดี๋ยวก่อน

ผมวางโทรศัพท์ไปแล้ว พร้อมหยิบกีตาร์ ออกมาหาหนึ่ง ที่นอกห้อง
“โจ้โทรมาเหรอ มีไรเหรอ” เหน่งถาม
“วันเสาร์มีงานศิษย์เก่า พวกนั้นมันโทรมาชวน” ผมหันไปพูดกับเหน่ง
“แล้วมึงไปไหม” เหน่งถาม พร้อมเอาแขนมาคล้องคอผม
“ไปดิว่ะ กูอยากเจอเพื่อนเก่าๆว่ะ” ผมตอบ
“แต่ก่อนมึงมีเพื่อนด้วยเหรอว่ะ เห็นมึงชอบทำหน้าบึ้งตึง นอกจากกู กับ เพื่อนสนิทมึงสองคนนั้น ก็ไม่เห็นมีใครอยากคบกับมึงเลย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรเหน่ง เพราะสิ่งที่เหน่งพูดเป็นความจริง
ผมปิดประตูห้อง พร้อมเดินไปทีรถพร้อมกับเหน่ง

-----จบ-----

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
กลับไปโรงเรียนคราวนี้ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ หรือจะย้อนความหลังสมัยมัธยม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






three

  • บุคคลทั่วไป
 :mc4ฉลองภาค2ครับรีบมาต่อนะครับกำลังติดเลยอ่ะ :m13:

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
ต้องมีอะไรดี ๆ รออยู่ที่โรงเรียนแน่ ๆ เลย  :m1: :m1:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

คู่โจ้กับเชียร์ เริ่มมาดี แต่จะมีอะไรไม่ดีป่าวนะ

ส่วนปอนี่ท่าทางจะเจออะไรดีๆ ที่โรงเรียนซะละมั้ง


 :mc4: :mc4:


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
กลับโรงเรียนเก่า เจอรักเก่ารึเปล่าหว่า   :m4: :m4:

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
น่าสงสารปอจังเลยอ่า นึกว่าจะสมหวังแต่ก็เป็นเช่นนี้ไป

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

เข้ามารอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น อิอิ  :m22:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ตอนที่ 1 กลับมาสู่ความทรงจำครั้งเก่า

คู่ที่ 1
 
รถมอเตอร์ไซด์วิ่งมาจอดที่หน้าโรงเรียน ผมค่อยๆลงมาจากมอเตอร์ไซด์คันนั้น พร้อมถอดหมวกกันน็อกออก พร้อมส่งคืนให้คนขับ
“ขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์วิ่งมาส่งตั้งไกล” ผมยิ้มให้อาจารย์เบน ที่ขับรถมาส่งผมถึงหน้าโรงเรียน
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงไกลแค่ไหนผมก็จะไปส่งให้ โฮ้! โรงเรียนใหญ่มากเลยนะเนี่ย สมกับเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจริงๆเลยนะ” อาจารย์รับหมวกกันน็อค พร้อมทำตาโต มองเข้าไปในโรงเรียนของผม
“ผมใช่เวลาเกือบปี กว่าจะเดินรอบโรงเรียนจนครบ แต่ที่พื้นที่ดูเยอะ คงเพราะมีสนามกีฬา ด้วยหล่ะครับ” ผมอธิบายให้อาจารย์ฟัง
“ดีจังเลยนะ ได้เรียนโรงเรียนดีดีแบบนี้ ไม่เหมือนผม เป็นเด็กบ้านนอก เรียนโรงเรียนธรรมดาๆ” อาจารย์พูดซะโรงเรียนตัวเองแย่มากๆ
“ธรรมดาอะไรกัน โรงเรียนประจำจังหวัดไม่ใช่เหรอครับ โรงเรียนของผมก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าโรงเรียนอะไรอื่นๆหรอกครับ” ผมไม่เคยมองโรงเรียนตัวเองว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่ที่ทุกคนต่างมองว่าโรงเรียนของผมดีเลิศ คงเป็นเพราะความแพงของค่าเรียน นักเรียนที่เข้าเรียนที่นี้ต้องมีฐานะดี และเก่ง เพราะข้อสอบตอนสอบเข้าก็ยากมาก อีกทั้งเป็นโรงเรียนของเอกชน เรื่องความอำนวยความสะดวกในขณะที่เรียนอยู่จึงสำคัญ พร้อมเรื่องวิชาการต่างๆ ก็ต้องมีคุณภาพ เพราะต้องแข่งกับโรงเรียนอื่นๆ
“ผมกลับดีกว่า กินเลี้ยงให้สนุกนะ แล้วกลับมาเล่าให้ผมฟังบ้างหล่ะ” อาจารย์เริ่มสตารท์เครื่อง
“ครับ ขับรถดีดีน่ะ ตอนกลางคืน แถวนี้สิบล้อมันเยอะนะ” ผมพูดกับอาจารย์ด้วยความเป็นห่วง
อาจารย์เบนยิ้มให้ผม และขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไป
ผมมองตามจนไม่เห็นรถของอาจารย์ ผมจึงหันหน้าไปที่หน้าประตูโรงเรียน
งานเลี้ยงจัดที่หน้าหอพักนักเรียน ซึ่งจะมีสนามบอลใหญ่อยู่หน้าหอพัก จึงเหมาะกับการจัดเลี้ยง
ที่จริงผมควรให้อาจารย์ไปส่งถึงที่หน้างานตรงสนามฟุตบอล เพราะหน้าประตูโรงเรียน กับหอพักอยู่ห่างกันมากๆ ประมาณเกือบสองกิโลได้ แต่ที่ผมให้อาจารย์มาส่งที่หน้าประตู เพราะผมอยากเดินดูบรรยากาศเก่าๆของโรงเรียน
เวลาสามปีที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ผมเรียนรู้อะไรมากมาย นอกจากสิ่งที่ได้จากบทเรียน ผมได้รู้จักความรัก ความอดทน ความกล้า และ มิตรภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนทำให้เป็นผมจนทุกวันนี้
ผมมองทางเดินที่ทอดยาว สองข้างทางเป็นต้นชมพูพันธ์ทิพย์ที่วางตอลดตามทางเดิน
ผมหันไปมองทะเลสาบ มันยังคงกว้างใหญ่เหมือนเคย
จำได้ว่าเวลาที่ผมมีปัญหา ผมจะมานั่งร้องไห้ และมองดูปลาในทะเลสาบปนี้
ภาพความทรงจำเก่าๆ ก็เริ่มย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ในขณะที่ผมเดินไปตามทาง

มันเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ผมรู้ว่าสอบติดที่นี้ ผมทราบข่าวจากซิสเตอร์ผู้ดูแลผม ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
เด็กทุกคนในสถานสงเคาระห์ พออายุเข้าถึงวัยที่จะต้องเรียนมอปลาย ก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ คือต้องย้ายไปตามที่ต่างไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนประจำ สถานสงเคาระห์ที่อื่นๆที่รับเด็กที่โตขึ้น หรือจะเป็นครอบครัวใหม่ที่มีคนมาขอรับอนุเคาระห์ดูแล
เนื่องจากผม เป็นเด็กที่เรียนดี และมีความประพฤติที่ดี ทางซิสเตอร์ผู้ดูแล จึงได้ติดต่อมาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อให้ผมได้มาเรียนที่นั้น และเป็นที่อยู่ใหม่ของผม
ตอนที่ผมมาสอบที่โรงเรียน ผมเองก็ต้องตกใจกับความกว้างใหญ่ และความสวยงามของอาคารเรียนที่นี้
อีกทั้งเด็กๆที่มาสอบ ล้วนมาจากโรงเรียนที่มีชื่อทั้งนั้น ผมเองไม่ค่อยอยากมาเรียนที่แห่งนี้ เพราะดูแล้วไม่เหมาะกับเด็กกำพร้ายากจนอย่างผม
แต่เพราะทางซิสเตอร์ และเพื่อนในสถานสงเคราะห์ ต่างหวังให้ผมได้เรียนที่นี้
ผมเลยจำใจมาสอบ และผมก็สอบติดจริงๆ ผมย้ายข้าวของมาอยู่ที่แห่งนี้
ผมเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม และต้องอยู่โรงเรียนแห่งนี้ตลอดสามปี ตามความต้องการของท่านอธิการของโรงเรียน
วันแรกที่ผมย้ายข้าวของมาอยู่ ซิสเตอร์อนุญาต ให้เพื่อนผมมาช่วยขนของด้วย(ปกติที่สถานสงเคราะห์ไม่อนุญาตให้เด็กออกมาข้างนอก)
“แกจะทนอยู่กับไอ้พวกคุณหนูไหวเหรอว่ะ” วี เพื่อนสนิทของผมเอ่ยถามตอนที่ผมกำลังเอาเสื้อผ้าเข้าตู้
“ไม่ไหวก็ต้องไหว ไหนๆก็ต้องฝากชีวิตไว้ที่นี้แล้วนี้”ผมพูดให้กำลังใจตัวเอง
“คนอย่างแกเอาตัวรอดได้อยู่แล้วแหล่ะ ยังไงก็ขอให้โชคดีนะ”วีพูดเสร็จก็เดินเข้ามากอดผม
“แกก็เหมือนกัน ไปอยู่แคนนาดา อย่าลืมเพื่อนคนนี้นะ” ผมพูดพร้อมทั้งน้ำตาเพราะผมดีใจที่เพื่อนของผมได้มีโอกาสดีดี เพราะมันได้ไปอยู่กับครอบครัวชาวแคนนาดา ที่คอยส่งเสียมันตั้งแต่เด็ก และก็เสียใจที่จะต้องจากมันไป
“อืมม กูจะส่งจดหมายมาหานะ มึงก็เขียนมาหากูบ้างหล่ะ กูไปก่อนนะ” วีพูด แล้วก็เดินออกจากห้องไป
ผมถอนหายใจ เพื่อเตรียมตัวกับชีวิตใหม่ในสถานที่แห่งนี้ ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ผมค่อยๆมองไปรอบๆห้อง โรงเรียนนี้แปลกกว่าโรงเรียนอื่นๆ ที่นักเรียนทุกคนต้องพักที่หอพักตอนเปิดภาคเรียน จะกลับบ้านก็ต่อเมื่อปิดเทอมหรือวันหยุดพิเศษเท่านั้น
ที่นี้มีหอพักอยู่สามตึก แต่ละตึกจะเป็นของนักเรียนแต่ละชั้นปีซึ่งในตึกจะแบ่งเป็นห้องๆ ห้องหนึ่งจะอยู่ได้ 4 คน
ซึ่งทางโรงเรียนจะเป็นคนจัดให้ว่านักเรียนพักอยู่กับใคร ส่วนมากจะเป็นเด็กห้องเดียวกัน
แต่ห้องของผมอยู่สามคน คงเป็นเพราะเหลือเศษมั้ง
ภายในห้องจะมีตู้ใส่เสื้อผ้า เตียงนอน โต๊ะหนังสือ และมีห้องน้ำภายในตัว
และที่หรูที่สุกคือมีแอร์ด้วย ช่างไฮโซจริงๆ
ผมเลือกนอน ที่ริมหน้าต่าง ใกล้ๆกับประตูที่ติดระเบียง ผมมองออกไปที่ระเบียงเห็นภาพของโรงเรียนทั้งหมด
ทั้งอาคารเรียน โดมกีฬา ทะเลสาบ สนามฟุตบอล โบสถ์
ที่นี้คงไม่เลวร้ายนักหรอก
ผมค่อยๆกลับมานั่งที่เตียง วันก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่ ท่านอธิการเรียกผมไปพบ
ท่านบอกว่า ท่านจะจัดการเรื่องทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ตอนเรียน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้
แต่ที่สำคัญคือ ผมต้องมีคนอุปการะ คือ ต้องมีคนรับรองเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อจะได้สะดวกในการดูเรื่องค่าใช้จ่ายของผม
ท่านอธิการเองไม่สามารถรับผมเป็นบุตรบุญธรรมได้ เพราะท่านเป็นบาทหลวง จะมีปัญหาในเรื่องกฏหมาย
ท่านจึงให้เพื่อนของท่านเป็นคนรับรอง เพื่อนของท่านเองก็มีลูกเรียนที่นี้เหมือนกัน และเรียนอยู่ชั้นเดียวห้องเดียวกับผมด้วย และผมต้องอยู่หอห้องเดียวกันด้วย
ผมหวังว่าเพื่อนใหม่ของผมคงไม่รังเกียจเด็กกำพร้ายากจนอย่างผม
ขอให้สิ่งที่ผมหวังไว้เป็นจริงเถอะ.....
************************************************************************************************

คู่ที่ 2

ผมจอดรถที่บริเวณสนามบาส ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามฟุตบอลที่กำลังจัดเลี้ยงงานศิษย์เก่าอยู่
ตอนแรกผมกะว่าจะไปรับไอ้โจ้ กับ ไอ้ปอ แต่พวกนั้นดันมีคนมารับกันแล้ว
ผมเลยต้องมาคนเดียว ผมมองไปรอบๆโรงเรียน ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
แต่มีตึกเพิ่ม คงเพราะทางโรงเรียนเปิดแผนกหญิงเพิ่มอยู่ห่างออกไปอีกฝากหนึ่ง
แค่นี้ก็เด็กเต็มโรงเรียนจนรวยแล้วรวยอีก ยังจะเปิดเพิ่มอีกทำไมก็ไม่รู้
ผมเดินแวะเข้าไปหห้องน้ำ เพื่อเช็คสภาพตัวเองก่อนจะไปเจอหน้าไอ้เพื่อนเก่าๆทั้งหลาย
ผมมองที่กระจก ดูตัวเองที่ใส่เสื้อเชิ้ตรัดรูป ที่ซื้อมาจากอเมริกา กับกางเกงแสล็กที่เพิ่งไปซื้อมาที่สยามพารากอน
กับรองเท้าหนังที่ฝากพ่อซื้อจากเยอรมัน
เพื่อนๆคงแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของผมเป็นแน่ คงจะคล้ายกับความรู้สึกในวันแรกที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี้
วันนั้นผมยังจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมเริ่มย้อนไปนึกถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา เรื่องราวที่ผมประทับใจไม่รู้ลืม

ในวันที่นักเรียนทุกคนต้องเข้าหอ ทุกคนต่างดีใจได้มาเจอเพื่อนกันอีกครั้ง หลังจากปิดเทอมไปนาน เนื่องจากที่นี้นักเรียนส่วนมากเป็นเด็กที่ย้ายมาจากแผนกมอต้น รวมถึงผมด้วย แต่ผมไม่ใช่เชียร์คนเก่าของเพื่อนๆ ผมคือเชียร์คนใหม่ ที่อยากเริ่มมีชีวิตใหม่ที่นี้ ที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ถึงสามปี
ที่บอกว่าผมจะมาเป็นเชียร์คนใหม่ เพราะตอนมอต้น ผมคือเด็กน่าตาน่าเกลียดคนหนึ่ง เด็กที่ไม่ใครอยากคบ อยากคุย อยากเล่นด้วย เพราะความอุบาทว์ของตัวเอง มีแต่คนล้อว่า เป็นไอ้หมูตอนบ้างหล่ะ ไอ้สิวเค่รอะบ้างหล่ะ ผมเลยแยกตัวไปอยู่คนเดียว ไม่คิดที่จะคบใครแต่มีคนๆหนึ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป เค้าบอกกับผมว่า ผมสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ และผมก็ทำมันได้จริง เวลาสามเดือนครึ่ง ผมเปลี่ยนไป น้ำหนักผมลดไปสิบโล หน้าของผมทั้งขาว และ ใส ทุกอย่างของผมเปลี่ยนไป พร้อมกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น
และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยมีมาก่อน แต่ผมได้รู้จักกับสิ่งนั้น นั่นคือ ความรัก
ผู้ชายที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป คือ คนรักคนแรกของผม แต่ตอนนี้เค้าอยู่ที่อเมริกา กำลังจะเรียนจบไฮสคูลที่นั่น และผมก็หวังว่าเค้าจะรีบกลับมาหาผม

คนขับรถหอบกระเป๋าใบโตของผม เดินตามผม และพ่อไปที่ห้องพัก ตลอดตามทางเดิน นักเรียนทุกคนต่างมองมาที่ผม
“ใครว่ะ น่ารักชิบ” มีคนหนึ่งพูดซุบซิบถึงผม
“เด็กใหม่แน่เลย น่ารักว่ะ” อีกคนก็ซุบซิบ แต่ผมก็พอที่ผมจะได้ยิน
เพียงได้ยินแค่นี้ ผมก็พอจะมั่นใจว่าผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ
เมื่อผมมาถึงที่ห้อง ผมเริ่มรู้สึกตื้นเต้น ไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องจะเป็นอย่างไร
ผมพอจะรู้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้ เป็นเด็กกำพร้าจากสถานสงเคาระห์
ซึ่งคุณลุงที่เป็นท่านอธิการได้ขอรับอุปการะไว้ พร้อมขอร้องให้คุณพ่อซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับคุณลุง ช่วยรับเด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรม เพื่อแลกกับการที่ผมจะได้เข้ามาเรียนที่นี้ และที่สำคัญเด็กคนนี้สอบติดที่นี้เป็นอันดับที่หนึ่งด้วย(เม่งเก่งจริงๆ)
ผมเดินเข้าไปที่ห้องพร้อมกับพ่อ เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจัดข้าวของอยู่บนเตียง แต่พอเห็นผมกับพ่อ เขาก็รีบลุกขึ้นทันที
“วะ หวัดีครับ” เด็กผู้ชายคนนั้นยกมือไว้พ่อผม
“หวัดดีจ๊ะ เธอคือโจ้ใช่ไหม”พ่อถามเด็กคนนั้น
โจ้พยักหน้าตอบ
“ฉันคือเพื่อนของท่านอธิการ ที่จะมาเป็นคนรับรองเธอเป็นบุตรบุญธรรม นี้ลูกของฉันน่ะชื่อเชียร์”
ผมทักทายกับโจ้ด้วยการยิ้ม ผมมองดูโจ้ แล้วรู้สึกแปลกใจว่า ดูไม่เหมือนเป็นเด็กจากสถานสงเคราะห์ ทั้งน่าตา และ การพูด ดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้านกว่าที่คิดไว้ด้วย
 “ยังไงก็ฝากดูแลลูกชายฉันด้วยนะ” พ่อหันมาพูดกับโจ้อีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป แต่พ่อก็ยังไม่ลืมที่จะหอมแก้มผม
ผมมองหน้าเพื่อนใหม่อีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างเขิน เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกันดี
“เออ ให้เราช่วยเอาเสื้อผ้าเข้าตู้ไหม” โจ้เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ไม่ต้องหรอก นายจัดข้าวของของนายเรียบร้อยแล้วเหรอ” ผมรู้สึกเกรงใจ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่อยากรบกวนเพื่อนใหม่หรอก
“เราจัดเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ให้เราช่วยเถอะเพราะเสื้อผ้านายน่าจะดูเยอะกว่าเรา ตั้งสองกระเป๋าแน่ะ” โจ้ชี้มาที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของผมสองใบ
ผมเลยยอมให้โจ้ช่วยผมเอาเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเข้าตู้
ผมคุยกับโจ้อีกหลายเรื่อง จนคุยกันถูกคอและคิดว่าเพื่อนใหม่ของผม คงจะสนิทกันมากขึ้นในไม่ช้า
“ห้องเรานอนกันสามคนไม่ใช่เหรอแล้วอีกคนยังไม่มาเหรอ” ผมหันไปพูดกับโจ้
“มาแล้ว กระเป๋าวางตรงข้างๆเตียงนั่นไง” โจ้ชี้ไปที่กระเป๋าข้างเตียง ฝั่งตรงข้ามเตียงของผม กับโจ้
“เหรอ แล้วชื่ออะไรหล่ะ” ผมถามโจ้ คิดว่าโจ้คงเจอเพื่อนใหม่อีกคนแล้ว
“เรายังไม่เจอเขาหรอก ตอนเราเข้ามา ก็เห็นกระเป๋าวางไว้ตรงนั้นอยู่แล้ว และก็ไม่เห็นใครเข้ามาอีกเลย” โจ้ตอบ พร้อมหยิบเสื้อผ้าของผมเข้าตู้
“เหรอ แล้วทำไมยังไม่ขึ้นมาเอาของเข้าตู้อีกน่ะ นี้ใกล้เวลาเข้าห้องประชุมแล้วน่ะ” ผมมองนาฬิกา เพราะตามเวลาของหอพักแล้ว วันแรกของการเข้าหอพักจะมีการเรียกประชุมเพื่อแนะแนว และแนนำการอยู่ที่หอพัก
“เดี่ยวเราค่อยมาช่วยเขาจัดของตอนหลังก็ได้ ไปที่ห้องประชุมเถอะ” โจ้ชวนผมไปเข้าประชุม
ผมก็ลุกเดินตามโจ้ไปทันที ผมรู้สึกดีจริงๆ ที่เพื่อนใหม่ของผมดูเป็นคนดีและจริงใจ
แต่อีกคนหนึ่งจะเป็นยังไงน้า....
************************************************************************************************

คู่ที่ 3

ผมลงมายื่นรอไอ้เชียร์ ตรงหน้าคอนโดของผม มันบอกว่าจะมารับผมไปงานศิษย์เก่า
พอถึงเวลานัด ผมเห็นรถคันหนึ่งมาจอดตรงหน้าผม
ผมงง เพราะรถคันนั้นไม่ใช่รถของเชียร์ แล้วมันเป็นรถของใครกันหล่ะ
แต่ผมหายสงสัยเมื่อเจ้าของรถ ลงมาจากรถ แล้วเดินตรงมาหาผม
ผมมองชายคนนั้น เขาส่วมแว่นดำ ตัวสูงเท่าผม ผมสั้นเกีรยน แต่งตัวเนียบมากๆ คือใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ พร้อมรองเท้าหนังมันวาว
เขาค่อยๆถอดแว่น ผมตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้น
“บิ๊ก” ผมพูดชื่อของชายคนนั้น
“ใช่ เราเอง นึกว่าจะจำเราไม่ได้ซะอีก” บิ๊กยิ้มให้ผม รอยยิ้มของบิ๊กทำให้หน้าที่ขาวใสดูหล่อขึ้นมากกว่าเดิม
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี้” ผมถามเพราะแปลกใจที่จู่ๆ ก็เห็นคนที่ไม่เคยเจอกันมาเลยเกือบ หกปี
“อ้าว เชียร์ไม่ได้บอกเหรอว่าเราจะมารับนายไปงานศิษย์เก่า” บิ๊กพูดพร้อมเดินเข้ามาใกล้ผม ทำให้ผมได้กลิ่นน้ำหอมของบิ๊ก
“เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย แล้วนายติดต่อกับเชียร์ได้ยังไง พวกเราไม่ได้เจอกันมาเลยเกือบหกปีแล้วนะ” ผมถาม
“ก็เราเรียนอเมริกาที่เดียวกับเชียร์ไง เชียร์ไม่ได้บอกอีกแล้วเหรอ” ดูท่าทางบิ๊กจะงงมากกว่าผม
ผมไม่ได้ตอบอะไร เชียร์คงจะแก้ลงผมให้ผมตกใจเล่น ผมมองดูหน้าบิ๊กอีกครั้ง นานมากที่ผมไม่ได้จ้องแววตาคู่นั้น คนรักคนแรกของผมยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“เราว่ารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไปไม่ทันงานเริ่ม เราอยากเจอเพื่อนๆมากเลย” บิ๊กกวักมือเรียกผมให้ขึ้นรถ
ผมยิ้มรับแล้วเดินขึ้นรถ
บิ๊กจะรู้ความจริงไหมว่า ที่ผมอยากไปงานศิษย์เก่า เพราะผมอยากเจอคนๆหนึ่ง คนนั้นก็คือ บิ๊กนั่นเอง
ผมนั่งในรถข้างๆบิ๊ก ผมเริ่มนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน
สามปีที่ผมได้เจออะไรมากมาย แม้บางคนบอกว่ามันเป็นเวลาไม่นาน แต่สำหรับผมช่วงเวลานั้น
ผมจดจำมันได้ดี

วันเข้าหอวันแรกของผม อาจจะไม่มีความสุขเหมือนคนอื่น ที่ทุกคนต่างดีใจที่จะได้พบกับเพื่อนใหม่ ได้อยู่ในสถานที่ใหม่
แต่ผมไม่มีความสุขเลยกับการย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้
ผมไม่ได้โดนบังคับให้มาเรียนที่นี้หรอก ผมเป็นคนตั้งใจที่จะมาเรียนที่นี้เอง
เพราะผมอยากอยู่ที่ใดก็ได้ ที่ไม่ต้องอยู่กับพ่อกับแม่
ผมเบื่อกับการต้องมานั่งฟังพ่อ แม่ ทะเลาะกัน เบื่อกับการที่พ่อแม่ จะแย่งกันมารับผิดชอบผม
เพราะพ่อ แม่ของผม เพิ่งหย่ากัน แต่ผมอยู่ในความรับดูแลของแม่ แม่ไม่ว่าอะไรที่ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี้
แต่พ่อไม่ยอม เพราะ พ่ออยากให้ผมอยู่ใกล้ๆกับพ่อ ที่กรุงเทพฯ
ผมไม่สนใครทั้งนั้น เพราะผมตัดสินใจมาแล้ว
ผมแอบมาเข้าหอคนเดียว โดยไม่ได้บอกพ่อกับแม่ให้รู้ ผมไม่ค่อยอยากให้พ่อกับแม่เจอกันเท่าไหร่ เพราะถ้าเจอกันคงไม่วายต้องทะเลาะกันทุกที
แต่เมื่อพ่อผมรู้ ก็รีบมาหาที่หอพักทันที
ผมนั่งคุยกับพ่อ ที่ศาลาสำหรับไว้นั่งพัก ใกล้ๆกับพ่อ
“ทำไมแกถึงอยากมาเรียนที่นี้” พ่อถามผม แต่ผมไม่ตอบ
“แม่แกไม่เคยปรึกษาฉันเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ยิ่งเรื่องของแก ยิ่งไม่เคยบอกฉันสักคำ ทำไมเหรอ กลัวฉันจะมาแย่งแกไปจากอกนักเหรอไง” พ่อพูดถึงแม่ทีไร ต้องว่าแม่ทุกที
“ถ้าพ่ออยากว่าแม่ ทำไมไม่ไปพูดกับแม่เอง ผมไม่อยากรับรู้ปัญหาของพ่อกับแม่นักหรอก ผมต้องเข้าประชุมแล้ว” ผมรีบเดินไปจากพ่อ พร้อมเช็ดน้ำตาที่มันกำลังจะไหล ผมได้ยินเสียงพ่อเรียกผม มาจากด้านหลัง แต่ผมไม่หันกลับไป
ผมไม่ได้เข้าห้องประชุมหรอก ผมแอบมานั่งร้องไห้อยู่ตรงทะเลสาบที่อยู่ตรงถนนทางเข้าโรงเรียน
ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดกับผม ผมกลายเป็นเด็กบ้านแตกไปแล้ว
ผมนั่งร้องไห้จนเลยเวลาเข้าประชุม ผมจึงนั่งอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงเวลาเลิกประชุม
ตอนนี้ผมไม่กะใจจะทำอะไรทั้งนั้น

เมื่อถึงเวลาเลิกประชุม ผมนั่งมองนักเรียนที่กำลังแยกย้ายกันไปขึ้นหอพัก ผมจึงเดินตามพวกเขาไป เหมือนกับว่าผมได้เข้าประชุมด้วย
ผมพยายามทำตัวปกติ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมผมถึงร้องไห้
ผมเดินไปถึงที่ห้อง ผมตกใจเมื่อเห็นเด็กผู้ชายสองคน กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่เตียงตรงข้ามของผม ผมลืมนึกไปเลยว่า ผมต้องอยู่กับเพื่อนใหม่อีกสองคน
“อ้าวหวัดดี นายเพิ่งขึ้นมาเหรอ เราชื่อโจ้นะ ส่วนอีกคนชื่อเชียร์” เด็กผู้ชายใส่แว่น น่าตาดูดี พูดจาสุภาพเรียบร้อย เอ่ยทักผม ก่อนที่จะแนะนำคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งน่าตาน่ารักพอๆกัน ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคุณหนู ดูหยิ่งๆยังไงก็ไม่รู้
“นายชื่อไรเหรอ” คุณหนูถามชื่อผม
“เราชื่อปอ คือ เราขอนอนพักหน่อยนะเราไม่ค่อยสบายนะ” ผมรีบแยกตัวไปนอนที่เตียง ผมไม่ได้ไม่สบายหรอก แต่อารมณ์ผมตอนนี้ไม่อยากจะคุยอะไรกับใครมากกว่า
“งั้นเราไปเอายามาให้ดีกว่านะ” โจ้ดูท่าทางเป็นห่วงเป็นใยผม แล้วก็รีบออกจากห้องไป
ผมไม่สนใจ นอนหันหลังให้กับเชียร์ที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่เดิม ผมหลับตา พยายามที่จะนอนหลับ
“นายไม่สบายจริงเหรอตัวไม่เห็นร้อนเลย” เชียร์เดินมาแตะหน้าผากตั่งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมสะดุ้งตกใจลุกขึ้นมา
“นะ นาย ไม่ต้องมายุ่งได้มั้ย” ผมตะโกนใส่เชียร์ ดุเชียร์จะตกใจเมื่อเห็นผมโกรธ
“ยุ่ง อะไรกัน ก็เป็นห่วง จะมาดูว่าเป็นหวัด หรือเป็นไข้ จะได้ให้ยาถูก” เชียร์เกาหัว ท่าทางคงงงที่ผมทำไมถึงโมโห
“เราไม่ต้องการให้ใครมาสนใจเรา เราอยากอยู่คนเดียวเข้าใจไหม” ผมตะโกนใส่เชียร์ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาแทบยั้งไม่อยู่
ผมลุกจากเตียง และวิ่งไปที่ประตูเพื่อจะออกจากห้อง เป็นขณะเดียวกับที่โจ้กำลังหยิบมายามาให้ผมพอดี
ผมเลยชนกับโจ้เข้าอย่างจัง ต่างฝ่ายต่างล้มไม่เป็นท่า
“โอ้ยๆ” โจ้ร้องออกมาพร้อมจับเอว สงสัยขาผมไปชนกับเอวของโจ้แน่ๆ เพราะขาผมก็เจ็บ
แต่ผมไม่ได้ร้องโอดครวญเพราะเจ็บขา แต่ผมกำลังร้องไห้ “ฮือออ ฮือออ”
เชียร์กับโจ้ เดินมาดูผมที่กำลังร้องไห้อยู่
“นะ นายเป็นอะไร เราชนนายเจ็บมากเลยเหรอ” โจ้ถามผมนึกว่าผมร้องไห้เพราะเจ็บจากการวิ่งชนกันเมื่อกี้
“ปะ ป่าว ไม่มีอะไรหรอก” ผมรีบเช็ดน้ำตา “เราแค่ ฮือออ ฮือออ” แต่ก็ร้องไห้มาอีก
“นายเป็นอะไร มีเรื่องอะไร บอกพวกเราได้นะ” โจ้เข้ามาจับมือผม ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเพื่อนใหม่คนนี้
ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไง การได้เล่าปัญหาของผมให้ใครสักคนฟัง อาจจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้
ผมจึงเล่าถึงปัญหาของผมที่เกิดขึ้นให้โจ้และเชียร์ฟัง ดูทั้งสองคนตั้งใจฟังปัญหาของผมอย่างจิงจัง
ผมเล่าจบ โจ้ก็เข้ามาจับที่แขนผม
“ปัญหาที่เกิดขึ้น มันต้องมีทางแก้ พ่อแม่นายคงไม่ทะเลาะกันไปตลอดหรอก พวกเขาทะเลาะกันก็เพราะพวกเขารักนายไม่ใช่เหรอ”
สิ่งที่โจ้พูดทำให้ผม รู้สึกดีขึ้นมามาก และทำให้มีสติถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
“ฉันอิจฉานายนะ” เชียร์พูดกับผม
“นายอิจฉาเราทำไม” ผมสงสัย อย่างเชียร์ที่ดูเป็นคนสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่น่าจะขาดอะไร
“เราไม่มีแม่ นายโชคดีที่ยังมีแม่” เชียร์พูดออกมา ผมเห็นว่าน้ำตาของเชียร์เริ่มซึม
“เราเอง ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ ตั่งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลยด้วยซ้ำ” โจ้เองก็พูดออกมาให้ผมฟังเช่นกัน
“ดูสิ นายนะโชคดีแค่ไหนที่มีพ่อแม่” โจ้เองก็เริ่มร้องไห้
กลายเป็นว่าทั้งสองคนร้องแทนผม ผมรีบปลอมพวกนั้นทันที
“เฮ้ย โตๆกันแล้ว ไม่เห็นต้องร้องเลย พวกนายอยู่ได้โดยไม่มีพ่อไม่มีแม่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะมาร้องอีกทำไม”
ผมพูดใส่หูทั้งสองคน พวกนั้นก็หยุดร้องพร้อมเช็ดน้ำตา
“เชียร์เราขอโทษนะที่เมื่อกี้เราตะโกนใส่นาย” ผมพูดกับเชียร์ เชียร์ยิ้มรับ
“เราก็ขอโทดนะโจ้ ที่เราวิ่งชนนาย” ผมพูดกับโจ้ โจ้ก็เอามือมาแตะที่มือของผม
“ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี้ มีอะไรเราก็ต้องช่วยเพื่อน” โจ้ยิ้มให้ผม
ปรากฏว่าคืนนั้น พวกเราไม่ได้นอนกันทั้งคืน เพราะมัวแต่คุยกัน ไม่รู้ไปเรื่องกันมาจากไหน พูดกันได้ไม่จบสักที
ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีเพื่อนที่ดี และหวังว่าพวกเราจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด.....

----- จบตอนที่1-----

three

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ:อดีตเศร้าๆกันทั้งนั้นเลย :o12:

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
 :เฮ้อ: มีแต่เด็กมีปัยหาทั้งนั้น

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






[D]a[D]a [T]oo[N]

  • บุคคลทั่วไป

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เย้!!! ในที่สุด season 2 ที่เรารอคอยก็มาแย้ว   :a2:
ขอบคุณครับ คุณ Jojoe

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ถึงจะเศร้าไปนิด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าเพื่อน

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
so surprise!!!
3 rd couple - ท่าที่ยังไม่เคย<<So cool Mann!!!

ออฟไลน์ T@luntulA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อดีตขอแต่ละคนนน น่าเศร้า แต่มันก็ทำให้ได้เจอกับอะไรดีๆในวันถัดมา หุหุ

มาต่อไวๆนะคับบ รออยู่เน้ออ  :m4:

ออฟไลน์ jojoe

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ตอนที่ 2 รักแรก – แรกพบ

คู่ที่1

ก่อนเปิดเทอมหนึ่งวัน ทางโรงเรียนจะจัดพิธีการต้อนรับนักเรียนใหม่ คล้ายๆกับงานปฐมนิเทศ
นักเรียนทั้งโรงเรียนต้องเข้าร่วมพิธีไม่ว่าจะเป็นนักเรียนเก่า และ นักเรียนใหม่
เนื่องจากโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนคาทอลิก งานจึงเริ่มที่พิธีกรรมในโบสถ์
เป็นการขอพรจากพระเจ้า และเป็นการเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ของโรงเรียน
ผมตั้งใจร่วมพิธีกรรมอย่างตั้งใจ ไม่เหมือนเชียร์ที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ
ส่วนปอก็นั่งเหม่อลอย ไม่ค่อยตั้งใจร่วมพิธีเท่าไร
พอพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์เสร็จสิ้นลง
ท่านอธิการก็จะทำพิธีมอบตราสัญลักษณ์โรงเรียน ซึ่งเป็นเข็มกลัดที่ติดไว้ตรงหน้าอกด้านขวา ใกล้กับตัวอักษรย่อของโรงเรียน
และกล่าวต้อนรับนักเรียนใหม่ทุกคน
หลังจากพิธีกรรมภายในโบสถ์เสร็จสิ้นลง มาสเตอร์ผู้คุมภายในโบสถ์ก็ให้นักเรียนใหม่ยืนเข้าแถวรออกจากโบสถ์
ตอนนั้นผมสงสัยว่าทำไมตอนออกจากโบสถ์ต้องยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย เหมือนต้องทำอะไรบางอย่าง
แล้วพวกรุ่นพี่ๆที่ร่วมพิธีในโบสถ์ก็หายไปในกันหมดก็ไม่รู้
ปรากฏว่า ที่พวกผมต้องยืนเข้าแถวออกจากโบสถ์ เพราะว่ารุ่นพี่ๆไปรอต้อนรับพวกเราอยู่ด้านนอก ตรงบันไดทางเข้าโบสถ์
พวกรุ่นพี่จะยืนอยู่สองข้างทาง คอยปรบมือ และโปรยดอกชมพูพันธ์ทิพย์ ให้รุ่นน้อง ที่เดินออกมาจากโบสถ์
เป็นการแสดงการต้อนรับสู่โรงเรียนใหม่แห่งนี้
ผมรู้สึกอบอุ่นกับพิธีแบบนี้ เหมือนว่าทุกคนเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ผมมองไปสองข้างทาง รุ่นพี่ทุกคนต่างยิ้มดีใจที่ทุกคนจะมีน้องใหม่
แต่แล้วสายตาของผมก็ต้องไปสะดุดกับคนๆหนึ่งที่กำลังปรบมือ และ โปรยชมพูพันธุ์ทิพย์
รุ่นพี่คนนั้น น่าตาดีมากๆ เรียกว่าหล่อเลยก็ว่าได้ รูปร่างดี สมส่วน สูงเกือบๆ180ซม. ผิวพรรณดี ดูเป็นผู้ชายเพอร์เฟ๊คมากๆ
ผมไม่เคยเห็นใครหล่ออย่างนี้มาก่อน(ผมโตในสถานสงเคราะห์ ไม่ค่อยได้เห็นคนหล่อ และคนรวยนี้ครับ)
ผมเดินตามแถวไปเรื่อยๆแต่ตายังคงจ้องมองรุ่นพี่คนนั้น จนผมเดินไปชนกับเพื่อนที่อยู่ด้านหน้า
“อ๊ะ ขอโทษครับ” ผมรีบขอโทษ เพื่อนคนข้างหน้า
“เดินระวังๆหน่อยซิ ซุ่มซ่ามจริงๆเลย” เพื่อนคนนั้นต่อว่าผมใหญ่เลย เชียร์เห็นพอดีเลยเดินมาช่วยผม
“ก็คนเค้าขอโทษแล้วไง ยังจะมาว่าอีก แค่เดินชนแค่นี้ มันเจ็บมากหรือไง…” เชียร์ว่ากลับเพื่อนคนนั้นเป็นชุด ผมเห็นว่าถ้าเชียร์ยังคงไม่หยุดว่า ทั้งเชียร์และผมคงต้องโดนต่อยแน่ๆ
“ไปเถอะเชียร์ พอแล้ว เดี๋ยวซวยกันพอดี” ผมรีบลากเชียร์ออกจากที่เกิดเหตุทันที
ผมเข้าไปในห้องประชุม เพื่อหาที่นั่ง
ในงานปฐมนิเทศ ทางโรงเรียนมีการจัดเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ โดยจะจัดงานเป็นงานเลี้ยงแบบบุฟเฟต์
และมีการแสดงของรุ่นพี่ด้านบนเวที
เป็นครั้งเดียวที่โรงเรียนให้ทานข้าวในห้องประชุม
ผมกับเชียร์หาที่นั่งได้ก็รีบคุยกันทันทีถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อกี๊
“แกมองอะไรเหรอถึงได้เดินไปชนคนอื่นเค้า” เชียร์ถามผม
“เออ...คือ...เรา” ผมอ่ำอึ้งไม่รู้จะบอกเพื่อนใหม่อย่างไรดี ว่าผมมองผู้ชายอยู่
“แกมองรุ่นพี่หล่อๆอยู่อะดิ” เชียร์พูดออกมา พร้อมทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ ทำไมมันถึงรู้ความลับของผมได้เนี้ย
“นายรู้ได้ไง ว่าเราชอบผู้ชาย” ผมรู้สึกไม่ดีเลย กลัวเพื่อนใหม่จะรับเรื่องนี้ไม่ได้
“หน้าซีดเลยเหรอ ใจเย็นๆ ฉันก็ชอบผู้ชายเหมือนแกนั่นแหล่ะ ที่นี้เป็นโรงเรียนชายล้วน คนส่วนมากก็เป็นกันทั้งนั้น เดี๋ยวแกอยู่ๆไปก็มีแฟนเองแหล่ะ” เชียร์พูดอย่างนี้ ผมค่อยโล่งอกลงหน่อย โชคดีจริงๆที่ผมมีเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน เวลาคุยอะไรจะได้เข้าใจกัน
“นายพูดอย่างนี้แสดงว่ามีแฟนแล้วหล่ะซิ” ผมถามเชียร์ เพราะคิดว่าคนน่าตาดีอย่างมันคงมีอแฟนอยู่แล้ว
“อืมม เรามีแฟนแล้ว แต่แฟนเราตอนนี้ไปเรียนที่อเมริกา” เชียร์ยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมหยิบรูปแฟนที่อยู่ในกระเป๋าตังค์ของตัวเองมาให้ผมดู แฟนของเชียร์นาตาดี และดูรวยๆพอๆกับเชียร์ เหมาะสมกันดีจริงๆคู่นี้
“นายยังไม่ตอบเลยนะว่ามองใครอยู่” เชียร์คะยั้นคะยอถามผม
“เราไม่รู้จักเค้าหรอก ถ้าเราเห็นอีกเราจะชี้ให้นายดูแล้วกัน” ผมตอบเชียร์
“ก็ได้ๆ เราไปเอาของกินมากินกันเถอะ เราหิวแล้ว”เชียร์ทำท่าลูบท้อง ผมเองก็หิวแล้วเราทั้งสองคนเลยเดินไปหาอะไรกินกันตามซุ้มของกินต่างภายในงาน
อยู่ดีดีเชียร์หยุดเดินพร้อมหันมาคุยกับผม“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“จะสองทุ่มแล้ว ทำไมเหรอ” ผมหันไปมองเชียร์
“เวลาตอนนี้ที่เมืองไทยตรงกับเวลาเช้าที่อเมริกาไง เดี๋ยวเราขอโทรหาแฟนก่อนนะ”
แล้วเชียร์ก็ออกไปโทรศัพท์ช้างนอกห้องประชุม ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว
“พอนึกถึงแฟนลืมเพื่อนเลยนะ” ผมแอบแซวเชียร์
************************************************************************************************

คู่ที่2

ผมเดินออกจากห้องประชุม ไปนั่งตรงศาลาริมน้ำถัดจากห้องประชุมไปนิดหน่อย
ผมรีบกดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ของแฟนผม
“ฮัลโหล ว่าไงที่รัก” เสียงจากปลายสายที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีกล่าวทักผม
“ตื่นยังพี่แจ๊ค วันนี้ไปทำงานไม่ใช่เหรอ” ผมพูดกับแฟนผม

พี่แจ๊ค: ยัง รอเชียร์มาปลุกอยู่เนี้ย
เชียร์  : งั้นก็ตื่นได้แล้วรีบไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก
พี่แจ๊ค: ถ้าพี่ไปอาบน้ำจะคุยกับเชียร์ได้ยังไง อีกอย่างขี้เกียจไปทำงานล้างจานด้วยเบื่ออ่ะ
เชียร์  : ทนๆไปเหอะ เดี๋ยวเค้าให้พี่ไปเสริฟแล้วไม่ใช้เหรอ
พี่แจ๊ค: พี่อยากไปเป็นบ๋อยแล้ว จะได้ฝึกภาษาด้วย อีกอย่างเงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้น
เชียร์  : แล้วพี่จะอยู่จนจบปริญญาตรีเลยเหรอ
พี่แจ๊ค: ใช่ ทำไมเหรอ คิดถึงพี่ใช่ไหมหล่ะ
เชียร์  : ตั้งห้าปีเชียวนะ(ทำเสียงเศร้า)
พี่แจ๊ค: ก็มาอยู่กับพี่ซิ พอเรียนจบมอหก ก็มาเรียนกับพี่เลยดิ
เชียร์  : พอเชียร์ไปอยู่ พี่อยู่กับเชียร์แค่สองปี แล้วอีกสองปีเชียร์จะอยู่กับใคร
พี่แจ๊ค: งั้นพี่เรียนปริญาโทต่อ จะได้อยู่เป็นเพื่อนเชียร์
เชียร์  : พูดจริงๆนะ เชียร์เองก็อยากไปเรียนเมืองนอกเหมือนกัน
พี่แจ๊ค: คร้าบ พี่สัญญาครับ แล้วเป็นไงบ้างที่โรงเรียน
เชียร์  : ก็ดี เพื่อนที่นอนห้องเดียวกันน่ารักมากๆเลย
พี่แจ๊ค: คนที่มาจากสถานสงเคราะห์นั่นเหรอ
เชียร์  : ใช่ๆ น่าตาน่ารักดีนะ ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กกำพร้าเลย
พี่แจ๊ค: เฮ้ยๆ ชมคนอื่นน่ารักต่อหน้าพี่หมายความว่าไง
เชียร์  : บ้าเหรอเชียร์ไม่คิดอะไรกับโจ้หรอก
พี่แจ๊ค: แล้วเพื่อนอีกคนหล่ะ
เชียร์  : อ๋อ ไอ้ปอเหรอ ก็เงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจา
พี่แจ๊ค: อืมม ดีที่มีเพื่อนดี ตั้งใจเรียนแล้วกันนะ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ
เชียร์  : ครับ พี่เองก็ตั้งใจเรียนเหมือนกันนะ ตั้งใจทำงานด้วย
พี่แจ๊ค: คร้าบ ที่รัก รักเชียร์นะ
เชียร์  : รักพี่แจ๊คเหมือนกัน บ้ายบาย

ผมก็วางสายและก็ยิ้มดีใจที่ได้คุยกับแฟนของผม ผมรีบเดินไปที่ห้องประชุม ไปตรงที่นั่งที่โจ้กำลังกินข้าวอยู่
“ว่าไงยิ้มมาเชียว” โจ้แซวผม
“ก็ไม่มีอะไร คุยกันเหมือนทุกๆครั้งนั่นแหล่ะ เดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อนนะ” ผมกำลังจะลุกไปหยิบของกิน ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเอาจานข้าวมาให้ผม
“นี้ครับสำหรับน้อง” รุ่นพี่คนนั้นยิ้มให้ผม แต่ผมรู้สึกว่ายิ้มนั้นดูแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
“เออ เอามาให้ผมทำไมครับ” ผมถาม เพราะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของพี่เค้าคืออะไร
“ก็รุ่นพี่บริการให้รุ่นน้องไงครับ” พี่คนนั้นเขยิบตัวมาใกล้ผม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมหยิบเองได้” ผมรีบเดินหนีพี่คนนั้นไปทันที
อะไรกันเนี้ย อยู่ไม่กี่วันเจอพวกโรคจิตแล้วเหรอเนี้ย
ผมหยิบจานข้าวและตักอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินไปหยิบน้ำ ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งยื่นแก้วน้ำมาให้ผม
“นี้ครับ สำหรับน้องใหม่”รุ่นพี่คนนั้นท่าทีไม่ต่างจากรุ่นพี่คนที่แล้วสักเท่าไหร่
“ขอบคุณครับ” ผมรับแก้วน้ำจากรุ่นพี่
“น้องอยู่หอตึกไหนเหรอครับ” รุ่นพี่ถามผม
“ผมอยู่ตึกกาเบีรยล์ครับ”
“ว้า...แย่จัง พี่อยู่ตึกไมเคิล แล้วน้องนอนห้องไหนครับ” รุ่นพี่ยังไม่เลิกตอแยผมอีก
“เออ ผมขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะครับ อีกอย่างผมหิวข้าวแล้วด้วย” พูดเสร็จผมรีบเดินหนีไปทันที
ผมเดินมาที่โต๊ะ โจ้เห็นผมทำหน้าบูด เลยถามผม
“ทำไมกลับมาหน้าตาเป็นอย่างนี้หล่ะ”
“ก็เม่ง พวกรุ่นพี่หื่นๆชอบมาจอแจกับเรา เราไม่ชอบอ่ะ” ผมพูดพร้อมกับหม่ำข้าวเข้าไปหนึ่งจาน และก็หยิบแก้วน้ำเพื่อที่จะดื่ม
จู่ๆก็มีใครก็ไม่รู้มาสะกิดผม ผมหันไปหาเจ้าตัว เห็นรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆผม คนนี้น่าตาดีกว่าพวกเมื่อกี้หน่อย
แต่ผมก็ไม่ชอบให้ใครมาจอแจกับผมอยู่ดีไม่ว่าจะน่าตาดียังไงก็ตาม
“พี่ครับผมขอกินข้าวอย่างสงบได้ไหมครับ ผมเบื่อมากกับพวกรุ่นพี่ที่จ้องจะฟันรุ่นน้อง ถึงผมจะเป็นเกย์แต่ก็ไม่ยอมให้ใครฟันง่ายๆนะครับ” ผมอัดอั้นจากพฤติกรรมของรุ่นพี่พวกนี้ เลยด่าออกมาเป็นชุดเลย รุ่นพี่คนนั้นซวยจริงๆที่ต้องมาเป็นคนรับคำด่าจากผม ที่จริงผมน่าจะด่าสองคนก่อนหน้านี้ด้วยนะ
พี่คนนั้นทำหน้าเหว่อๆตกใจเล็กน้อยกับคำด่าของผม แต่แล้วเค้าก็หัวเราะออกมา
ผมสงสัยว่าพี่เค้าหัวเราะอะไร
“ไอ้น้อง เมื่อกี้ที่พี่สะกิดน้องนะ พี่จะบอกว่า น้องกินแก้วน้ำของพี่ ของน้องนะอยู่ด้านโน้น”
อ้าว เวรกรรม เราดันด่าพี่เค้าไปซะแล้ว
“พี่ไม่อยากฟันน้องหรอกครับ อีกอย่างพี่ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย” พี่คนนั้นพูดกับผม แต่ประโยคหลังพูดกระซิบข้างหูผม
“พี่ไปก่อนนะครับ น้องเกย์ผู้น่ารัก” รุ่นพี่คนนั้นล้อผมกลับ พร้อมเดินไปโต๊ะอื่น
แปลว่าเราน่าแตก ผมอายมาก ไม่รู้จะทำยังไง
โจ้แอบขำผมอยู่ข้างๆ ผมเลยหันไปจ้องหน้ามัน
“ขำไรว่ะ ไม่เคยเห็นคนน่าแตกเหรอไง” ผมทำหน้าดุพร้อมกลับไปกินข้าวเหมือนเดิม
“ทีหลังแกด่าอาไรก็ดูตาม้าตาเรือหน่อยซิว่ะ” โจ้เตือนผม
ผมไม่พูดอะไรยังคงก้มหน้าก้มตากินต่อไป ไม่ได้หิวหรอก แต่อายจนไม่กล้าเงยหน้า
“นี้ๆเชียร์ เราว่าพวกเราลืมอะไรไปหรือเปล่า” โจ้หันมาคุยกับผม
“อาไรของแก ลืมอะไร” ผมหงุดหงิด แต่แล้วผมก็วางช้อนซ้อมหันหน้าไปหาโจ้ และพูดพร้อมกัน
“ไอ้ปอหายไปไหนว่ะ”
************************************************************************************************

คู่ที่3

ผมแยกตัวออกมาเดินเล่นที่ข้างนอกห้องประชุม ผมเดินไปเรื่อยๆมองดูทะเลสาป ที่ล้อมรอบห้องประชุม
ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบที่มีคนเยอะๆ
ผมชอบอยู่คนเดียว ชอบเล่นกีตาร์คนเดียว แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถเอากีตาร์มาได้ เลยทำได้แค่นั่งมองดูทะเลสาบเฉยๆ
ที่ด้านหลังที่นั่งตรงริมทะเลสาบ จะมีห้องเก็บของที่เก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดบริเวณนั้น
ผมไปนั่งพิงที่นั่น ระหว่างที่ผมนั่งอยู่เพลินๆ ก็มีคนออกมาจากห้องนั่น
ตอนแรกผมตกใจนึกว่าพี่ เลยไปแอบอยู่ด้านข้างของห้อง
แต่คนนั้นไม่ใช่พี่ เพราะเขาคือมาสเตอร์ที่โรงเรียน
ผมเคยเห็นเขา เพราะเขาเป็นคนที่คุนหอของผม
ผมสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี้
ผมเลยเดินไปที่ประตูที่มาสเตอร์ออกมา
ผมแปลกใจว่าทำไมมาสเตอร์ออกมาจากห้องนั้นแล้วทำไมไม่ปิดประตู
แต่แล้วผมก็หายสงสัยเมื่อมีใครคนหนึ่งออกมาจากห้องนั้น
ก้มหน้าก้มตากำลังรูดซิปกางเกงของตัวเอง
เมื่อคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เฮ้ย นายเป็นใคร มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เด็กหนุ่มน่าตาดูดี ถามผม
“เราน่าจะถามคำถามนี้กับนายมากกว่า” ผมยืนตอบกลับไป
“เออ คือ เรา...” เด็กหนุ่มนั้นหน้าซีด อ้ำอึ้งกับคำตอบ
“เราชื่อปอ นายหล่ะ” ผมเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบ เลยเป็นคนเริ่มบทสนทนา
“เราชื่อบิ๊ก เออ...เรื่องเมื่อกี้ ที่เรากับมาสเตอร์ เออ...” บิ๊กพูดอ้ำๆอึ้งๆ
ผมตั้งใจจะรอฟังสิ่งที่บิ๊กจะพูด บิ๊กเดินมาหาผมและจับมือผม
“ขอร้องหล่ะ นายอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ ถ้ามีใครรู้ เรากับมาสเตอร์ โดนไล่ออกแน่ๆ ขอร้องหล่ะ เราขอร้องจริงๆ” บิ๊กจับมือผมแน่น
สีหน้าของบิ๊ก ดูวิตกกับเรื่องนี้มากๆ จนผมเองต้องรีบรับปาก
“ได้ๆ เราไม่บอกใครหรอก เราไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว” ผมพยายามยิ้ม เพื่อให้บิ๊กมั่นใจว่า ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแน่นอน ถึงยังไงผมก็ไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครฟังอยู่แล้ว เรื่องน่าเกลียดๆแบบนี้ไม่น่าเล่าสักเท่าไรหรอก
“ขอบใจนายมากเลยนะ แล้วนานทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้” บิ๊กปล่อยมือผมและถามคำถาม
“เราไม่ชอบที่ๆคนเยอะๆ เลยออกมาเดินเล่น แล้วก็มาเจอนาย กับมาสเตอร์คนนั้นพอดี” ผมพูดกับบิ๊ก
“เหรอ เหมือนเราเลย เราก็ไม่ค่อยชอบที่ๆคนเยอะๆเหมือนกัน”
ระหว่างที่ผมกำลังพูดกับบิ๊ก ผมได้ยินเสียงคนเดินมาจากด้านหลัง คงมีใครออกมาจากห้องประชุม
บิ๊กก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน เลยรีบหาที่ซ่อนตัวเพราะไม่อยากให้ใครเห็น
“เราหลบก่อนนะ ไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าเราอยู่นี้ เดี๋ยวไว้คุยกันที่หลังนะ” พูดเสร็จ บิ๊กก็หลบเข้าไปในห้องเก็บของเหมือนเก่า
โดยมีผมบังประตูห้อง ที่ไม่ได้ล็อคกุญแจไว้
ผมหันหน้าไปหาคนที่กำลังเดินมา ปรากฏว่า เป็นโจ้ กับ เชียร์
“ไอ้ปอ แกมาทำอะไรที่นี้ว่ะ เดินตามหาซะทั่ว” เชียร์พูดกับผม พร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ไปกินข้าวเถอะ เราตักกับข้าวมาให้แล้ว นายยังไม่กินอะไรไม่ใช่เหรอ” โจ้เดินมาโอบไหล่ผม
ผมไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนยังไง เลยต้องเดินไปกับพวกมัน
แม้ผมจะเดินใกล้ถึงห้องประชุมอยู่แล้ว ผมก็หันหลังกลับไปมองห้องเก็บของห้องนั้น
ผมเห็นบิ๊กออกมาจากที่นั่น และวิ่งกลับไปที่หอพัก
ผมยิ้มเพราะเห็นว่า คนที่ผมเพิ่งรู้จักเอาตัวรอดไปได้แล้ว
“ปอ ยิ้มไรว่ะ” เชียร์หันมาพูดกับผม ผมรีบหันหน้ากลับมา ทำหน้าตาเคร่งขรึมเหมือนเดิม
“เห็นแกยิ้มแล้วค่อยดีใจหน่อย เห็นน่าตาบูดบึ้งมาทั้งวันแล้ว” โจ้พูดกับผม พร้อมยิ้มแสดงความดีใจที่เห็นผมหายเครียดแล้ว
“ท่าทางบรรยากาศข้างนอกคงทำให้แกหายเครียดหล่ะซิ” เชียร์พูดกับผม
ผมพยักหน้ายอมรับ และเดินเข้าไปในห้องประชุมกับเพื่อนของผม   

----- จบตอนที่2 -----

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
แต่ละคน มีลุ้นทั้งนั้นเลยวุ้ย   :m4: :m4:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ตอนเด็กก็น่ารักไปอีกแบบน่ะเนี่ย  :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด