----------
แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดรับ
“ครับ เทียนไขพูด"
((เจอน้องรึยังลูก?))
...คำและน้ำเสียงปลายสายทำให้หัวใจผมแทบจะหล่นวูบ.. แต่แม้ว่าน้ำเสียงของยายที่ถ่ายทอดออกมาทางโทรศัพท์จะฟังดูหม่นหมองและไร้ชีวิตชีวาจนน่าเป็นห่วงแค่ไหน ผมก็ทำได้เพียงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งงันเหมือนเดิม..
“...ยังไม่เจอเลยครับยาย"
((...ต้องแจ้งตำรวจดีมั้ยเทียน? ยายใจไม่ดีเอาซะเลย...))
“ไม่เป็นไรหรอกครับยาย...ใจเย็นๆก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะเดินหาให้ละเอียดแถวๆนี้ต่อ” ผมรู้...ว่าสิ่งที่ผมพูดมันอาจจะไม่น่าเชื่อถือมากพอ.. “...ผมสาบาน...ผมต้องหาน้องเจอแน่ๆผมสาบาน เพื่อนผมก็ช่วยหาอยู่ด้วยฮะ"
((จ้ะ)) ปลายสายรับคำ..ที่ถึงแม้จะอ่อนแรงแต่ก็ได้ยินชัดเจนมากพอที่ผมจะวางใจ ((ยายจะเชื่อเทียนนะ))
"แต่...ถ้าน้องกลับถึงบ้านแล้วโทรบอกผมด้วยนะครับ"
((เทียนเองก็ระวังตัวด้วยนะลูก))
“ครับ บาย"
..พระอาทิตย์..เหลือแสงสว่างเพียงริบหรี่คล้ายใกล้จะตกดิน.. ผมวิ่งมาจนสุดทางฟุตบาทแล้วถอนหายใจ รถรามากมายวิ่งไปวิ่งมาบนท้องถนน..จนผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ก้านธูปวิ่งลงไปทั้งอย่างนี้เลย...แต่ดูเหมือนแถวนี้จะไม่มีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วก้านธูปก็ถูกสอนมาตลอดเกี่ยวกับการข้ามถนน น้องของผมเป็นเด็กดีดังนั้น...
..นี่ผมคิดอะไรอยู่.. รอบด้านมืดเกือบสนิท มีฝูงชนเดินมาประปราย..ใต้สะพานอรุณอมรินทร์ในเวลานี้เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งกบดานของเหล่าโฮมเลสไร้บ้าน รถขนผักจอดเรียงรายไม่เป็นระเบียบ ถัดจากมุมอับนี้ไปร้อยกว่าเมตรเป็นตลาดนัดกลางคืนที่ผู้คนพลุกพล่าน ระยะห่างเพียงนิดเดียวกับความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน
แถวโรงพยาบาลใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักอาศัยผมมาราวๆ5ป้ายรถเมล์ ไม่ได้ไกลเกินจะเดินทางแต่ก็ไม่ได้ใกล้เลยเมื่อนึกถึงเด็กชายตัวเล็กวัย5ขวบเดินเตาะแตะมาถึงตรงนี้....
ก้านธูป..อยู่แถวนี้แน่หรือ?
...หรือผมคิดผิดที่เชื่อใจอักษร อัครมณฑา..? "โธ่ว้อย..!!”
ผมก้มหน้าก้มตาลงมาจ้องมือถือ แล้วกดโทรออกหาเบอร์ล่าสุดได้ไม่ยากเย็น
ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดดดด
ปิ๊บ ((ครับเทียน))
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”
((ตรงป้ายรถเมล์สะพานพระปิ่นครับ....ผมพยายามเดินหาน้องธูปแล้วแต่....))
เสียงรถราคับคั่งนั่นทำให้ผมแน่ใจ กอปรกับจังหวะการหายใจที่ถี่กระชั้นและรุนแรงแบบนั้นทำให้ผมรู้...ว่าปลายสายไม่ได้โกหก..โดยที่ไม่ต้องนึกถึงดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกนั่นเลยแม้แต่น้อย...
ผมถอนหายใจ รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ระแวงเขาเมื่อครู่
“งั้น...เดี๋ยวผมลองเดินไปเรื่อยๆดู"
((คุณอยู่ตรงไหนแล้วครับ?))
“ผมอยู่...เชิงสะพานอรุณน่ะ ว่าจะเดินต่อไปถึง...ช่วงวัดระฆัง...”
((โอเคครับ ผมว่าพวกเด็กๆคงไปได้ไม่ไกลนักหรอก))
“...นี่...” ((ครับ?))
“คุณคิดว่า...ธูปจะเป็นอะไรมั้ย?” ..ทำไม..ผมต้องถามอะไรออกไปอย่างนั้นด้วยนะ..
เกิดความเงียบ..มันคงเป็นวูบเดียวเท่านั้นแหละครับเพียงแต่ว่าผมกลับรู้สึกเหมือนมันเนิ่นนานซะเหลือเกิน
ก่อนที่เขาจะตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับเทียน พวกเราต้องหาน้องก้านธูปเจอแน่ๆ" น้ำเสียงนั่นดูมั่นใจแบบที่ปกติเขาใช้พูด และให้ตายสิ..ในตอนนั้นผมคิดว่าดีชะมัดเลยที่คนพูดคือ อักษร อัครมณฑา..เลขานุการคนเก่งของสภานักเรียนที่...วางใจได้แทบจะทุกเรื่อง..
ผมกลืนน้ำลาย เปลี่ยนเรื่อง "พวกเด็กๆที่คุณพูดถึงนี่เป็นแบบไหน?”
((เอ..? ก็...ดูจะโตกว่าน้องก้านธูปนิดหน่อยน่ะครับ ผมคิดว่าเค้าคงมาเล่นด้วยกันนะ?))
“...ถ้าเป็นเด็กแถวบ้าน...จะมาเล่นทำไมแถวนี้ล่ะ?”
((ผมแค่พูดให้คุณไม่คิดมาก....))
..ทำไมต้องทำเสียงอ่อยด้วยฟะ.. “อ..เอาล่ะๆ ผมว่าเรามาเจอกันก่อนดีกว่าค่อยตัดสินใจว่าจะเอายังไง?”
((ครับ! งั้นคุณอยู่ตรงนั้นก่อนนะฮะเดี๋ยวผมรีบไปหา))
“โอเค..”
ตุ๊บ!!!! พลันเสียงอะไรบางอย่างตกลงพื้นก็ดึงดูดความสนใจของผมขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือได้ชะงักงันนักแล ผมเงียบลงเพื่อเดินไปตามเสียงหัวเราะต่อกระซิกกัน...ฟังดูเหมือน...เด็ก? เพียงแต่ตรงนี้เต็มไปด้วยรถขนผักมากมายที่จอดไม่เป็นระเบียบ เสียงเหล่านั้นดังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน..
“ไอ้ฝรั่ง!!!” คำนั้นทำให้หัวใจผมเต้นระรัวขึ้นมาดื้อๆ น้ำเสียงของเด็กเล็กๆที่เหมือนถูกกล่อมหูให้หยาบคายทุกวัน..และแสดงอาการงี่เง่าออกมาโดยรู้ตัวแบบนั้นผมรู้จักดี.
.รู้จักดีเกินไปซะด้วย... “ม...ไม่...” “แกก็เหมือนพี่ชายแกน่ะแหละ!!”
“เหมือนกันหมดทั้งบ้าน ไอ้ขี้นก! สารเลว..!”
“ไม่ใช่นะ..!” ผมอยากจะให้ตัวเองหาต้นตอของเสียงพวกนั้นเจอเร็วๆในที่แห่งนี้ แทบไม่มีใครผ่านมา..ที่จริงคือไม่มีใครเลยมากกว่านอกจากเสียงชวนรำคาญพวกนั้น ผมหายใจแรง..รู้สึกเหมือนโทสะขับเคลื่อนไปทั่วร่างอย่างห้ามไม่ได้..
และทันใดที่ผมเจอกลุ่มเด็กอายุไม่น่าเกิน10ขวบราวๆ5-6คนที่เป็นต้นตอของเสียง ทุกอย่างก็แทบจะระเบิดออกมาจากอก
“ทำอะไรน่ะ!!!!” ผมร้องออกไป..ลั่น..ทั้งๆที่รู้ว่านั่นเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เคราะห์ดีที่เจ้าเด็กแสบพวกนั้นพากันตกใจจนลืมที่จะวิ่งหนี..ที่จริงพวกมันทั้งหมดไม่ฉลาดพอ ไม่ได้ฉลาดเลยสักนิดที่ทำเป็นตัวแข็งทื่อระหว่างที่ผมย่างสามขุมเข้าไปใกล้..
..กลิ่นฉุน..ของยูเรียและของเหลวประเภทอื่นๆคละคลุ้ง.. ผมสรุปที่มาของพวกมันได้ทันที แล้วใช้สายตาจ้องมองไอ้เด็กสารเลวเรียงตัว..และไปหยุดอยู่ที่ร่างเล็กๆคุ้นตาที่นอนหมอบอยู่ที่พื้น..นั่นเป็นต้นตอของกลิ่น..และสภาพของน้องทำให้ผมอยากจะเป็นฆาตรกรโดยไม่สนใจเลยว่าจะต้องติดคุกไปอีกกี่สิบปีหรือโดนประหารชีวิตก็ตาม
อีกก้าวหนึ่งก่อนใครคนนั้นจะไหวตัวทัน มันหันหลังออกวิ่ง..แต่ช้าไป..
พลั่ก!! ผมคว้าคอเสื้อเด็กคนหนึ่งแล้วเหวี่ยงไปกระแทกรถกระบะขนผักที่จอดอยู่ใกล้มือ เท่านั้นแหละพวกมันแตกหือเหมือนนกแตกรัง วิ่งกระจายกันไปคนละทิศพร้อมเสียงร้องดังลั่น
“ไอ้ฝรั่งมาแล้วว้อย!!”
“ยักษ์"
“ไอ้ยักษ์กินคน!!”
ผมไม่ต้องเสียเวลามากเลยที่จะจับพวกเขาไปกระแทกกองรวมๆกับตรงล้อรถกระบะ ตรงนั้นไม่มีใคร..และโชคดีของผมซะเหลือเกินที่มันคงไม่มีใครผ่านมาในอีกเร็วๆนี้ พวกมันทั้งหมดตัวสั่นเทิ้ม..แต่เสียงที่ผมได้ยินเพียงเสียงเดียว..คือเสียงร้องไห้ของธูป..เด็กชายที่ผมลืมไปว่าแม้เขาจะมีผมสีดำสนิทแต่ก็มีดวงตาสีน้ำข้าวแบบที่ผมมีเหมือนกัน...
“ออกไปนะ ฉันจะฟ้องแม่แน่!!” ใครสักคนกล้ามากที่ตะโกนลั่นแบบนั้น
..ก็ดี..จะได้รายงานให้เสร็จสรรพเลยว่าพวกมันทำอะไรลงไปบ้าง.. “ยืนอยู่ตรงนี้" ผมชี้นิ้วสั่ง
"อย่าขยับไปไหน" แน่นอนที่เด็กๆย่อมถูกหลอกง่ายอยู่แล้วครับ ผมใช้จัดนั้นให้เกิดประโยชน์ขณะเดินไปหาก้านธูป
น้องเงยหน้าเปื้อนโคลนขึ้นมาจากพื้น ทั้งน้ำตาไหลพราก..
“พี่..เทียน...ฮึก....” ผมไม่ได้พูดอะไร ผมไม่รู้ว่าในกรณีนี้ต้องพูดอะไร..เพียงแต่ใช้สายตาสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายอย่างคร่าวๆ แผลถลอกปอกเปิก ดินโคลนเปื้อนตามเนื้อตัวและเสื้อผ้า เหนือสิ่งอื่นใดคือ..กลิ่นปัสสาวะรุนแรงที่เปียกชุ่มแทบทั้งตัว
“พี่...เทียน....” ผมจะเอื้อมมือไปลูบหัวก้านธูปเพื่อปลอบประโลม แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบ
“....อย่า...จับ.....” “ธูป...”
“มันเหม็น...” น้องของผมเป็นเด็กดี..เด็กดีแบบที่เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นแบบนี้
...และโดนรังแกแบบเดียวกับที่ผมเคยโดนเมื่อครั้งในอดีต... .....เพียงแต่ตอนนั้น....ผมไม่มี..... 'พี่ชาย' ..... “ไอ้เลวเอ้ยยยย!!!!!” ผมร้องออกมาอย่างสุดจะกลั้น ขีดความอดทนขาดผึงตอนที่ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กที่ตัวโตที่สุด มันตกใจจนร้องไห้ออกมาทะลักทลายในขณะที่คนอื่นพาลกันยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตะลึง...
...ผมไม่มีเวลามานั่งบรรยายสภาพแวดล้อมเท่าไหร่..เพราะสิ่งที่ผมทำมีเพียงอย่างเดียวคือแค่ออกหมัด...........
“อย่านะครับ!!!”
ผลัวะ!!! หมัดลุ่นๆกระแทกผิวหนังรุนแรงจนคนถูกกระทำเบี่ยงหน้าไป วินาทีเดียวกับที่มือที่กำคอเสื้อเด็กคนนั้นอยู่ของผมปล่อยลงทันที ร่างโปร่งผอมแทบจะเซล้มแต่ก็พยายามฝืนยืนต่อได้ทัน
ผมจ้องเข้าไปในนั้น..ไปในดวงตาใสแป๋วเหมือนทารกที่ไม่มีมีความโกรธแฝงอยู่เลยสักนิด..
พวกตัวแสบวิ่งฮือกระจายกันออกไปในวินาทีต่อมา แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะตามเก็บมันเรียงตัว..ผมถอยหลังจนชนกับรถกระบะอีกคัน แล้วมองพวงแก้มซับสีแดงกับหยาดโลหิตจางๆที่ไหลจากมุมปากเล็ก..อักษรเป็นคนตัวขาว..ขาวจนผมแทบจะลืมไปแล้วว่าเลือดของเขามีสีแดงฉานขนาดไหนถ้าไม่ได้เห็นมันในวันนี้..
“แค่ก..!!” เขาไอออกมานิดหน่อยก่อนจะขยับยิ้มอ่อนๆให้ผม
อักษรไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวระหว่างที่ผมได้แต่ยืนอึ้ง เขาเดินตรงไปหาก้านธูปเพื่อจูงมือน้องให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาเดินไปตรงก๊อกน้ำซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
..เจ็บ..ที่มือ..
..ความเจ็บนั้นมันทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บมากกว่าแค่ไหน.. ผมก้มมองมือตัวเอง..แล้วกำมันแน่นให้รู้สึกเจ็บ คิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองเพิ่งกระทำไปเมื่อครู่..และถ้าหากว่าอักษรไม่เข้ามาขวางซะก่อนละก็...
...เมื่อกี้ผมจะทำอะไร? ...ผมจะ..ต่อยเด็กตัวเล็กๆที่สูงไม่ถึงเอวผมด้วยซ้ำงั้นหรือ? “พี่เทียน!” ก้านธูปร้องเรียกผม น้องดูอารมณ์ดีขึ้นหลังจาก...ถอดเสื้อผ้าทิ้งไปหมดยืนล่อนจ้อนอยู่ตรงนั้น ที่จริงมันก็สมควรจะถอดออกหมดจริงๆนั่นแหละ อักษรยิ้มให้ผมไม่ได้พูดอะไร..แต่ผมก็เห็นแล้วล่ะว่าแก้มของเขาช้ำขึ้นนิดหน่อย..
ผมล้วงกระเป๋า..หยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีผู้หญิงคนใดสักคนหนึ่งเคยให้เอาขึ้นมา แล้วเดินตรงไปชุบน้ำหมาดๆแล้วยื่นให้เขา
เขารับไป "ขอบคุณครับ"
“....ขอโทษ" “คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอก ผมเข้าไปขวางเอง"
..ทำไม..ยิ่งคุยกับเขาผมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเลวขึ้นมานะ..? อีกฝ่ายยังยิ้มให้ผมอยู่ ยิ้มแบบที่เหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์..แต่ผมรู้..อักษรเป็นมนุษย์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่รู้สึกอะไร
“เทียนครับ"
“ครับ?”
“เอ่อ...ผมขอ...เสื้อได้มั้ยครับ?”
เขาชี้มาที่เสื้อยีนส์ตัวหนาของผม..มันไม่ยากเลยที่จะเข้าใจความหมายนั้น..ผมถอดมันออกมา แล้วคลุมให้ก้านธูป..น้องมองหน้าผมแล้วยิ้มแป้น ก่อนจะก้าวเข้ามากอดผมไว้แน่นแล้วตบหลังแปะๆ เหมือนกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้เกิดกับตัวเอง...ก่อนที่เขาจะพูดว่า
“โอ๋ๆ พี่เทียนไม่เป็นไรแล้วนะ" ..จึงเพิ่งรู้ว่า..ผมทำสีหน้าแย่สุดๆออกไปซะแล้ว..
ผมกอดก้านธูปแล้วอุ้มน้องขึ้นมาง่ายๆ ก้านธูปตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน..แต่อีกไม่นานเขาก็จะสูงใหญ่ด้วยเลือดตะวันตกที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดครึ่งหนึ่ง..แบบที่ผมเป็น...
“คุณ...ไหวนะครับ?”
เสียงของอักษรทำให้ผมได้สติ ผมพยักหน้า
“ไหวสิ"
เขายิ้ม..แต่ผมกลับมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดในใจ
“คุณ....” “ครับ?”
“จำทุกเรื่อง...ของทุกคนในโรงเรียนได้หมดใช่มั้ย?” “ใช่ครับ ทำไมหรือ?”
ผมมองหน้าอักษร เหมือนมีสายลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านไประหว่างนั้น..หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ดวงตาใต้แว่นกรอบบางคู่นั้นเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย...เขายังใช้สายตาที่มั่นคงและอ่อนโยนแบบนั้นมองผมแน่วแน่ และมีรอยยิ้มอ่อนๆฉาบอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงขาวซีดนั้นเสมอ..
..แต่นั่นอาจจะเป็นบทละครหนึ่งบท..ที่บังเอิญว่าเขาตีได้แตกละเอียดก็เป็นได้....
“.........คุณรู้เรื่องของผมมากแค่ไหน?” ..ครั้งหนึ่ง..ที่ดวงตาคู่นั้นไหววูบประหลาด..
..และเป็นครั้งที่สองที่เขาหลบตาผมก่อน.. มันเป็นเสี้ยววินาทีที่เหมือนยาวนานเหลือเกินขณะที่ผมเริ่มหายใจไม่ออก เหมือนอากาศรอบด้านแปรสภาพเป็นของเหลวเหนียวหนืดน่าขยะแขยง..เพียงแค่วูบเดียวที่ผมทนที่จะยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้
...วูบเดียวที่ผมก้าวเท้าเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จา
“เทียน!” เขาเรียกชื่อผม วิ่งตามมา
ก้านธูปที่อยู่ในอ้อมแขนผมมองไปทางโน้นทีทางโน้นทีด้วยอาการสับสนงุนงง แต่น้องก็ไม่ได้พูดอะไร
“เทียน ผมขอโทษ" ของเหลวเหนียวหนืดที่อยู่รอบๆตัวเหมือนผมจะเผลอกลืนมันลงไปด้วย..ทำให้ไม่มีแม้แต่แรงจะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปพูดกับเขา ร่างเล็กวิ่งมาจนทันผม
“เทียน คือ...มันเป็นหน้าที่ ผมไม่ได้ตั้งใจ...” เขาพูดต่อไปสลับกับเสียงหอบแรง เมื่อเห็นว่าผมไม่หยุดเขาก็วิ่งนำหน้าผมไป กางแขนยืนตระหง่าน
ผมหยุด เพื่อมองหน้าเขา
อีกฝ่ายหายใจแรงจนไหล่เปราะเล็กกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ แขนที่กางออกก็สั่นสะท้านเหมือนเกรงกลัวอะไรบางอย่าง..แปลกใจที่ผมยังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนเพื่อมองการกระทำของเขา..ใบหน้าของเขา..ที่ไม่รู้จะสรรหาอะไรต่อมิอะไรมาแก้ตัวได้อีก
“ผม...ขอโทษ" ...แต่สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาไม่ใช่ข้ออ้างอะไรเลย...
“ผมขอโทษ"
เขาก้มหน้า
“ผมขอโทษ"
พูดแค่ถ้อยคำเหล่านั้น
“ผมขอโทษ"
..เขา..กำลังทำให้ผมใจอ่อน.. ผมกลั้นลมหายใจ ของเหลวเหนียวหนืดรอบๆกลับกลายเป็นอากาศบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกตาร้อนผ่าวอย่างที่ผมควรจะเป็น..ผมควรจะโกรธเขา..ไล่เขาไปไกลๆได้แล้ว...
......ไปจากชีวิตที่ป่นปี้ของผมสักที... สิ่งที่แย่ที่สุดคือ..การที่ในอกไม่ได้มีความโกรธหรือเกลียดชังเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย...
“...คุณรู้มากแค่ไหน?”
เขาเม้มปาก "คุณคงไม่อยากรู้หรอก..”
ผมขยับยิ้มเยาะ..คงจะรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่ได้พูดจาเชือดเฉือนถากถางตัวเองแบบที่กระทำอยู่
“..มันน่าสมเพชมากใช่มั้ยล่ะ? ใช่ ไม่ว่าใครมองก็คงคิดว่ามันน่าสมเพช น่าประหลาดที่ผมมีชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้...ถ้าผมตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะก็โลกนี้คงสะอาดขึ้นเยอะ.......” “เทียน!!” เขาตะโกนออกมา ดังจนกลบทุกสิ่งทุกอย่างตรงนั้นให้เงียบสงัดลงไปหมด
...และวินาทีต่อมา..หยาดน้ำใสก็ไหลรินออกจากดวงตาคู่นั้น...อย่างเงียบเชียบ...
“อย่า...” เสียงของเขาหนักแน่น..ราวกับเค้นออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ..
“อย่าพูดแบบนั้นอีก...เข้าใจมั้ย?” “คนอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร!!!!” ผมตะโกนลั่นบ้าง อะไรบางอย่างที่อัดอั้นมาทำให้ผมกระทำแบบนั้น...ก้านธูปร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆด้วยความกลัว แต่ผมไม่มีอารมณ์จะใส่ใจด้วยซ้ำ
"คนที่มีครอบครัวดีๆ มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณจะมาเข้าใจอะไร!?!” “แน่สิ ผมจะไปเข้าใจคุณได้ยังไง!?!”
“แล้วคุณมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม!?!”
“ก็ผมรักคุณ!! บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าผมรักคุณ!!!” กึก.. เขาหอบ ฉวยจังหวะนั้นที่ผมยังไม่ทันจะพูดอะไรเพื่อพล่ามยาว
“คุณอาจจะเบื่อที่จะฟังแล้วแต่ผมไม่เคยเบื่อที่จะพูด ถ้าอยากฟังอีกสักกี่ครั้งผมจะพูดให้คุณฟังไปเรื่อยๆ..ว่าที่ผมอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพราะผมสมเพชหรือสงสารคุณ ไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลยสักนิด...นั่นเพราะว่าผมรักคุณ...
รัก...อย่างหมดหัวใจ”
น้ำตาที่ข้างแก้มใสนั่นเหือดแห้งไปแล้วระหว่างที่เราตะโกนเถียงกันอยู่ และคำพูดนั้นก็ทำให้ผมคลายไหล่ที่เกร็งลงช้าๆ อะไรบางอย่างไหลมาจุกอยู่ที่คอทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป
...ได้แต่..ยืนสบตากับอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้ แล้วเอื้อมมือมาประคองมือผมเอาไว้
“เพราะผมไม่ได้มาเพื่อเข้าใจ..” เขายิ้มให้ผม..แก้มข้างหนึ่งบวมช้ำเล็กน้อยเพราะอะไรที่ผมก็รู้อยู่..
“ผมมาเพื่ออยู่เคียงข้างคุณ"TBC======================
ตายล่ะ อัพเร็วไปมั้ย? /สลบ/
นี่เราถนัดแต่งแบบ...คนมีปมหลังสินะ!?! <<เค้าเดาทางได้หมดแล้วววววว
แต่ก็ยังไม่เฉลยหมดเนาะ!! อยากรู้ต้องติดตามกันต่อไป
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นๆค่ะ(จะย้ำทำไม...)
พิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่าความรักมันไม่ต้องการเวลา มันไม่ต้องการกฏเกณฑ์
มันไม่ต้องการอะไรเลย
มันต้องการแค่หัวใจของคนสองคนเท่านั้นเอง!
เหมือนปริศนาและสิ่งที่ทำให้งงมันจะเยอะขึ้นยังไงก็ไม่รู้ 55555
แต่เรื่องเล็กน้อยแค่ไหน..รับรองเคลียร์แน่นอนค่ะ

อดทนอ่านไปก่อนนะ!!
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
กระแสดีมากถ้าเทียบกับแนวของนิยาย 55555
ozaka*
