5th Day : Happy Weekend การที่ไม่ได้พูด ไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกรู้สา
......บางทีอาจจะไม่รู้ว่าสมควรเจ็บมากกว่าก็ได้ “ไปแล้วนะครับ"
“ระวังตัวด้วยนะลูก"
“ครับยาย"
ยกมือไหว้กับคิสกู๊ดบายสองข้ามแก้มแบบที่ทำเป็นปกติ..วัฒธรรมที่ไม่ลืมเลือนหรือจางหายไป..โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศอะไรสักประเทศที่ไม่ใช่ฝรั่งเศสแน่ๆ แต่ยายก็ติดการกระทำนั้นมาซะแล้ว..และมันก็ไม่ได้แย่อะไรนักในสายตาของผม
ผมมองเวลาก่อนจะเดินออกจากบ้าน ที่จริงยังไม่ถึงเวลานัดแต่คิดว่าออกมารอก่อนก็คงไม่ได้เสียหาย..เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในชุมชนที่เปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายแบบนี้แล้วล่ะครับ พวกเขาจะมองผมยังไงก็ช่างผมไม่แคร์แล้ว...ในเมื่อสิ่งที่ครอบครัวผมพยายามทำอยู่มันไม่ส่งผลอะไรเลย..
ทันทีที่ผมเห็นเด็กชายหน้าตาคุ้นเคยเมื่อวานยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็เห็นผม..แล้วรีบวิ่งหายไป
การที่ยายไม่ได้พูดอะไรนั่นหมายถึงเจ้าเด็กแสบพวกนั้นไม่ได้วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่อย่างที่พวกมันขู่ ไม่งั้นแม่มันคงมาหาเรื่องยายผมแล้วล่ะครับ..
ผมไม่ได้บอกยายเรื่องนั้นเพราะไม่อยากให้ยายเป็นห่วง แล้วก็เตี๊ยมกะก้านธูปไว้เรียบร้อยแล้วไม่น่ามีปัญหา น้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ผมพูดอยู่แล้ว..ก้านธูปเป็นเด็กดีในทุนเดิม..เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ยายกับผมเป็นห่วง และเรื่องโดนรังแกผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกแต่น้องไม่พูด อย่างน้อยก็ไม่เคยกลับบ้านมาในสภาพเหม็นกลิ่นฉี่พวกนั้นเลยสักครั้ง...น้องอาจจะยังไม่รู้อะไรเพียงแต่ถ้าเขาโตขึ้น...จะรู้ได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองโดนเหยียดหยามมากแค่ไหน..
...นั่นเป็น...สิ่งที่ผมคิดได้เมื่อเคยเกิดกับตัวเองในครั้งอดีต.... ผมเดินมาจนถึงเกือบหน้ารั้วของแมนชั่นบ้านเอื้ออาทร มันถูกเรียกว่าเวลาออกทำมาหากินในช่วงเช้า..ผู้คนเดินเล่น หรือทำมาค้าขายกันอยู่ด้านหน้าของพื้นที่ส่วนกลาง เด็กๆวิ่งไล่กันหยุดดูผมเหมือนเห็นของแปลก..ก็จริงครับ ผมเป็นของแปลกของคนละแวกนี้อย่างที่พวกเขามองนั่นแหละ
..แต่ยังไม่ทันจะได้คิดตัดพ้ออะไรตัวเองมากกว่านั้น ร่างโปร่งบางที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ริมฟุตบาทก็ทำให้ผมชะงัก
ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“เฮ้!!”
“หวา!!” พลั่กๆๆ!! การที่เขารีบกุลีกุจอลุกขึ้นจนหนังสือและข้าวของต่างๆหล่นกระจายแบบนั้นทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถในการกลั้นขำ แล้วช่วยก้มเก็บหนังสือแย่งเขามาได้ง่ายๆ..แล้วพลิกดูรูปเล่มขณะที่เขากระพริบตาปริบๆใส่
..หนังสืออ่านนอกเวลาภาษาอังกฤษ..อ่านจากชื่อเรื่องประกอบกับคำแนะนำท้ายเล่มพอจับใจความได้ว่าเป็นรวมเรื่องสั้นมุขตลกของชาวอังกฤษที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก.
..แต่ให้ตายสิ.. "...อ่านอะไรได้สมกับเป็นคุณดีนะ"
“ครับ เอ่อ..มันสนุกกว่าที่คุณคิดนะฮะ"
“ก็เคยอ่านบ้างล่ะ แต่ไม่ได้ติด" ผมคืนหนังสือให้เขา "รอนานรึยัง?”
"อ้ออ..! ไม่นานหรอกครับ"
“สักชั่วโมงถึงมั้ย?”
“ประมาณนั้นครับ ผมไม่ทันจับเวลา"
..กูว่าละ.. “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เขายิ้มกว้าง "คุณเคยออกเดทกับคนที่คุณชอบครั้งแรกมั้ยล่ะครับ? ตื่นเต้นประมาณนั้นเลยล่ะ"
ผมกระแอมกระไอ กำลังคิดว่าเลิกพูดเรื่องแบบนี้ดีกว่าก่อนเขาจะหาจังหวะหยอดอะไรขึ้นมาอีก อีกอย่างผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้นด้วย..ดังนั้นคาดคะเนไม่ได้หรอกว่าเขารู้สึกปิติยินดีขนาดไหน
เราออกเดินทางกันด้วยรถเมล์โดยที่มีผมเป็นผู้นำ และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้ตามได้ดีซะเหลือเกิน..ผมหันไปดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าลูกคุณหนูอย่างเขาเคยขึ้นรถเมล์เหมือนชาวบ้านเขามั้ย ปรากฏว่าเขากระทำมันได้ดูเป็นธรรมชาติและปกติมาก..ดูแทบไม่ออกเลยว่าขึ้นรถเมล์ครั้งแรกๆ
เนื่องจากตรงนี้เป็นต้นสาย ที่ว่างในรถมีค่อนข้างมาก..ผมให้เขาเข้าไปนั่งริมหน้าต่างส่วนตัวเองนั่งอยู่ฝั่งทางเดิน
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ?”
“..เดี๋ยวคุณก็รู้"
“คุณไม่คิดจะบอกใบ้อะไรสักหน่อยเลยเหรอ?”
“ก็...” ผมกลอกตา พูดลอยๆ "ก็เรื่องสัตว์เลี้ยงไง ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น"
“นั่นไม่ได้ช่วยให้เป้าหมายกระจ่างขึ้นเลยนะครับ...”
“คุณกลัวพวก..สุนัขมั้ย?”
“ไม่ครับ ไม่มีทางเลย" เขาหัวเราะ "ผมมีลาบาดอร์อยู่ที่บ้าน8ตัว! เชื่อมั้ยว่าพวกมันน่ารักเอามากๆ..เวลาผมกลับบ้านก็จะวิ่งมาวนรอบๆด้วยล่ะ!...ตัวพ่อชื่อถั่วต้ม ตัวแม่ชื่อกุ้ยช่าย แต่ตัวที่สนิทกับผมมากที่สุดชื่อเจ้าไหม้ครับ 8เดือนแล้ว...สีดำสนิททั้งตัวสวยมากเลยล่ะ!!”
อักษรเริ่มพล่ามอีกแล้ว ผมมองแล้วพยักหน้ารับ "งั้นเหรอ..”
“แล้วคุณล่ะครับ?”
“ผมค่อนข้างเกลียดหมาเป็นพิเศษ" “อา...” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
"จริงสินะ...คุณไม่ชอบสัตว์หน้าขน...” “ที่จริงสัตว์อะไรผมก็ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไหร่...”
“แต่คุณชอบนกไม่ใช่เหรอครับ?”
ผมเลือกที่จะไม่ถามเรื่องที่ว่าเขารู้เหี้ยอะไรเกี่ยวกับตัวผมเยอะแยะกันนะ และแน่นอน..เขาก็เม้าท์ต่อ..
“ผมดูคอลเลคชั่นนกพิราบของคุณกี่ครั้งผมร้องไห้ทุกครั้งเลย เหมือนจะถ่ายไปตามเส้นของแม่น้ำเจ้าพระยาใช่มั้ยครับ? ท่าเรือปกติอะไรพวกนั้นเยอะไปหมด...ไม่ว่าใครก็คงสังเกต แต่มีแค่คุณคนเดียวที่สื่อถึงพันธนาการที่เป็นเหมือน..เอิ่ม..กักขังไว้ไม่ให้นกเป็นอิสระทั้งๆที่มีปีกและไม่ได้ขังอยู่ในกรง....”
“....คุณซื้อไว้เหรอ?”
“แน่นอนครับ ผมซื้อทุกเล่มที่มีเรื่องของคุณด้วยซ้ำ.....
อุ๊บ ขอโทษฮะ แต่ผมไม่ใช่สโตรคเกอร์นะ.."
"ไม่เป็นไร" ผมพยักหน้า รู้สึกกระสับกระส่ายนิดหน่อยในอก "ผมไม่ถือ"
เขาชะโงกหน้ามามองผมนาน ก่อนจะยิ้ม
“นั่น..คุณกำลังดีใจอยู่ใช่มั้ยครับ?”
“....ใครว่ากันล่ะ"
ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ เขามองด้วยแววตาเป็นประกายระริกระรี้เมื่อผู้หญิงที่เพิ่งขึ้นมาใหม่โค้งให้ผมแล้วนั่งลงตามมารยาท ก่อนร่างโปร่งเล็กจะยื่นมือมาหาผม
“ถือของให้นะครับ"
“อื้อ"
..หลังจากส่งของให้ พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกตลอดทางด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง..
แต่ผมเริ่มสงสัยแล้วล่ะว่าบางที..เขาอาจจะมีตาหลังก็ได้ ทุกครั้งที่ผมหันไปมองเขา เขาต้องหันมาเพื่อยิ้มกว้างๆให้ผมเหมือนกับเขารู้ตัวว่าถูกผมมอง แล้วก็ผมจะทำอะไรได้นอกจากเบือนสายตาหนีออกมา
พอเราลงจากรถในจุดที่ผมวางแผนเอาไว้ เขาก็รู้ได้แทบจะในทันทีว่าเรากำลังจะไปที่ไหนด้วยการทำปากว่า 'อ้อออ' โดยไม่เปล่งเสียงออกมา และทันใดนั้นเองเขาก็เป็นฝ่ายถามออกมาก่อน
“อะไรครับ?”
“ครับ?”
“คุณ..หัวเราะอะไร?”
“ก็...อืม...”
นี่ตะกี้ผมหัวเราะออกไปงั้นเหรอ? “คุณดูฉลาด"
“ใช่ครับ" เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ผมฉลาด"
“โอเค ผมไม่เถียง...ทุกวันนี้ผมยังประหลาดใจอยู่ว่าทำไมคนที่สอบได้ที่1อย่างคุณถึงยังอยู่ห้องเด็กเส้นอยู่ทั้งๆที่มีโอกาสไปอยู่ห้องทุน...ซึ่ง...คุณภาพทางสายวิทย์ดีกว่า...”
เขาส่ายหน้า “คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ชอบวิทยาศาสตร์"
“อ้าว? แล้วคุณชอบ...การบริหารเหรอ?”
“ที่จริง..ผมไม่ได้ชอบทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งบริหาร..หรือเลขหรอก ผมชอบภาษา"
“ภาษาอังกฤษ...?”
อักษรยิ้มกว้าง "จีน"
“จีนด้วยเหรอ?”
“ฝรั่งเศส"
“...ฝรั่งเศสด้วยน่ะนะ? นี่คุณถนัด4ภาษาเลยเรอะ?”
“แล้วก็สเปนกับเกาหลีได้นิดหน่อย"
“คุณเอาเวลาที่ไหนไปเรียนน่ะ?”
“ก็เวลาว่างทั่วๆไปแหละครับ ฟังเอา..เขียนเอา...อินเตอร์เน็ตมีเยอะแยะ"
ผมไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี
"...จะมีเด็กนักเรียนม.ปลายกี่คนที่พูดได้ขนาดนั้นน่ะ....” “และในโรงเรียนเกษรวิทยาเท่าที่ผมรู้มีถึงสาม...”
“...สาม?”
“ผม"
“อ่าฮะ?”
“พี่สายสิญจน์"
“..คนนั้นผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่"
“สีคราม"
“โอ้" ผมพยักหน้า "มันด้วยเหรอ?”
เขาขมวดคิ้ว "ผมแอบแปลกใจนิดหน่อยที่คุณเรียกทายาทเศรษฐีพันล้านว่า
'มัน'...”
“อา...ผมรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวนิดหน่อย" ผมแก้ตัว "แต่คง..ไม่เท่าคุณหรอกใช่มั้ย?”
คนฟังยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรนอกไปเสียจากปรบมือหนึ่งที..ขณะที่เราสองคนเดินเข้าซอยมาจนถึงหน้าของรั้วกรงเหล็กที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียวเมื่อเทียบกับบรรดาบ้านหลังเล็กๆรอบๆ ฝั่งตรงข้าม 'คอก' เหล่านี้คือพื้นที่ว่างที่ถูกทิ้งร้างจนมีรถเข้าไปจอดระเกะระกะเต็มไปหมด
..ศูนย์รับเลี้ยงสุนัขจรจัด.. ที่จริงผมไม่ค่อยชอบวิธีการจับสุนัขหลายๆตัวมารวมกันเท่าไหร่ ก็อย่างว่าแหละมันเป็นสัตว์หน้าขน..แต่ก็คงดีกว่าปล่อยให้พวกมันเรี่ยราดหรือโดนจับไปทำเป็นลูกชิ้นกระมัง..
“คุณได้บอกรึเปล่าว่าคุณจะมาถ่ายรูป?”
คำถามที่ทำให้ผมสั่นศีรษะ ก่อนจะเปิดประตูเหล็กเข้าไปพร้อมพูดว่า
“เปล่าเลย"
“อ้าว? แล้วเราจะเข้าไปไปดื้อๆอย่างนี้น่ะเหรอครับ?”
ผมยิ้มให้เขา
"....เพราะอย่างนั้นผมเลยพาคุณมาด้วยไง"----------
..คับแคบไปนิด..
อับชื้น..มีกลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไหร่นัก..
นึกไม่ออกจริงๆว่าถ้าจับคนเป็นๆเข้ามาอาศัยรวมกันแบบนี้จะเป็นยังไง..จะรู้สึกท้อแท้หดหู่ห่อเหี่ยวใจเหมือนที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้มั้ย...อา..แต่กลิ่นแบบนี้ถ้าพวกที่คลั่งไคล้สัตว์มากๆก็คงชอบกระมัง...
“คุณเข้าไปทำอะไรในนั้นน่ะ?” เสียงของอักษรที่เพิ่งเจรจาธุระเสร็จดูจะมีแววขำมากกว่าคำว่าฉงน ผมถอนหายใจ
“ทำงานไง"
“แล้ว...เข้าไปนั่งเฉยๆแบบนั้นน่ะนะ?”
“กำลังซึมซับอยู่...พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก"
ผมวางกระเป๋ากล้องไว้ด้านข้าง นั่งเอนหลังพิงกับรั้วเหล็กดัดที่ถูกทำมาอย่างรวกๆก็จริงแต่ก็แข็งแรงมากพอที่ผมจะโถมน้ำหนักลงไปได้ บรรดาสุนัขเรียบร้อยที่ได้รับการยืนยันว่าไม่มีพิษมีภัยรุมกันเข้ามารอบด้าน ผมยกมือกันไว้ด้วยความเคยชิน..ซึ่งข้อดีของการที่มันเป็นหมาคือมันเข้าใจ และทำตัวเหมือนผมเป็นพวกเดียวกับมันในทันที
“น่ารักจัง..”
“อะไร?”
“คุณดูเหมือน...ไม่ใช่คน"
ผมเลิกคิ้ว "บอกผมหน่อยสิว่านั่นมันคำชมยังไง"
“เปล่านะ คือ...ยังไงดีล่ะ...ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน..”
“แล้วคุณบอกพวกเค้าไปว่าไง?”
“อ้ออ..ไม่มีอะไรมากเลยครับบอกไปแค่ว่าคุณอยากจะรับอุปการะน้องหมาที่นี่สักตัว แล้วคุณพูดภาษาไทยไม่ได้...ขอเดินดูสักหน่อยแล้วก็...เม้าท์เรื่องหมาไปเยอะเค้าเลยไว้ใจให้มาเองได้น่ะครับ"
..คิดถูกจริงๆที่พาอีกฝ่ายมา.. มือทั้งสองข้างของผมประคองกล้องเอาไว้ในมือ ขณะที่ทอดสายตามองพิจารณาไปยังหมาแต่ละตัวที่กระทำภารกิจประจำวันของมันไป ตัวไหนตัวเล็กหน่อยก็หมั่นเขี้ยวงับกันบ้าง..แต่ส่วนใหญ่เอาแต่นอนและใช้สายตาน่าสงสารชวนวิงวอนพวกนั้นมองไปที่อักษรที่ทำท่าราวกับอยากจะรับเลี้ยงมันเอาไว้ทั้งหมด
“เทียนครับ"
“ครับ?”
“..ผมคุยได้ใช่มั้ย? เห็นคุณกำลังทำสมาธิ...”
“ไม่เชิงทำสมาธิหรอก...”
“คุณดูตั้งใจ...”
“ก็สมควรนี่นา"
“.....มันเท่มากเลย~” ..เอาละ ผมควรเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเดี๋ยวนี้เลย.. “คุณคิดว่าไง?”
“อะไรยังไงครับ?”
“เกี่ยวกับที่นี่...”
เขาพยักหน้า เท้าแขนลงกับขอบกรงที่อยู่ห่างจากศีรษะผมไปไม่มากนักเพื่อพิจารณาแต่ละจุดเพียงหยาบๆ ก่อนจะถาม
“ผมไม่แปลกใจที่คุณเลือกที่นี่ เพียงแต่...ประหลาดใจว่าคุณคิดได้ยังไง”
“ทำไมล่ะ?”
“มันสมเป็นคุณอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ!”
“แต่คงไม่ชนะหรอก..”
“อ้าว?”
“ธีมของงานเค้าต้องการความสดใส" ผมเปรยเสียงเรียบ "คงไม่ผ่านแม้แต่รอบคัดเลือกด้วยซ้ำ"
“แล้วคุณ....”
“...ถ้าจะต้องถ่ายรูป 'สัตว์เลี้ยง' ในแบบของ 'ผม' ...ก็ต้องเป็นแบบนี้" ผมพูดชัดถ้อยชัดคำ ระหว่างที่พยักเพยิดไปทางบรรดาเจ้าสุนัขมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัว เสียงครางหงิงๆของพวกมันเหล่านั้นทำให้ผมซึ่งไม่ค่อยรักสัตว์เท่าไหร่ยังรู้สึกว่ามันน่าสงสารขึ้นมา..และนั่นเป็นสาเหตุที่ผมมาตรงจุดนี้...เพราะผมไม่คิดจะเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่เพียงเพราะแค่รางวัลจิ๊บจ้อย..
"เจ้าพวกนี้.. 'เคย' เป็นสัตว์เลี้ยงมาแล้วแทบทั้งนั้น...” เสียงที่ผมพูดออกไปไม่ได้เศร้าอะไรเลย
..แต่กลับทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบงันขึ้นมาทันตา ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยเงียบเอาไว้ อีกฝ่ายก็เงียบเหมือนกันด้วยเหตุผลอะไรที่ผมไม่รู้ เราสองคนเงียบ..และทำตัวสงัดจนเหมือนแทบไม่มีตัวตนอยู่ในกรงสุนัขจรจัดที่เลี้ยงรวมไว้แบบนี้ ถัดจากคอกไปไม่มากนักเป็นกรงขังเดี่ยวสำหรับสุนัขที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ละตัวส่งเสียงทักทายพวกผมด้วยไม่ค่อยจะมีใครมาเยี่ยมพวกมันมากนักกระมัง..
“...เลี้ยงเค้าแล้วก็ควรจะรับผิดชอบ...” ..พวกมัน..เคยอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่านี้.. “ถ้าคิดจะเลี้ยงตั้งแต่แรกก็ไม่ควรปล่อยพวกมันไว้อย่างนี้ใช่มั้ย..?” แว่บหนึ่งที่ความรู้สึกบางอย่างไหลเข้ามาเกาะกุมที่หัวใจ ทำให้น้ำเสียงที่ปกติผมจะควบคุมมันได้ตลอดเวลานั้นสั่นขึ้นมาเพียงนิด..แต่ก็เป็นนิดเดียวที่อีกฝ่ายคงจะพอจับสัมผัสนั้นได้
ความเงียบทำให้อักษรลังเล แต่เขาก็เรียกขึ้นมาในที่สุด..
“เทียน...”
“ช่างเถอะ"
ผมบอกปัดคล้ายกับว่ารอให้เขาเรียกอยู่..เพื่อยันยันว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ไม่ได้นำออกมาจากส่วนลึกของหัวใจตัวเอง
“ทำงานดีกว่า"
...ภาพถ่าย...จะแสดงมุมมองของช่างภาพออกมาแม้จะสะท้อนในสิ่งเล็กๆก็ตาม... นั่นเป็น..ความวิจารณ์ในความเป็นจริงของอักษร อัครมณฑา..
ไม่นานเสียงกดชัตเตอร์ก็ดังขึ้นนัดแรกเรียกให้อีกฝ่ายเลิกที่จะชักชวนผมคุยต่อ ที่จริงผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาหรอกครับ..นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีคนอยู่ด้วยตอนต้องทำงานอะไรแบบนี้...และเขาก็ไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญเท่าที่ผมคิด
..สุนัขที่ถูกทอดทิ้ง..
........ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่... แชะ.. ชัตเตอร์อีกครั้งถูกกดขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของเราทั้งคู่ ไม่มีเสียงรถราผ่านไปผ่านมาเลยสักคัน ไม่มีเสียงผู้คนหรือเด็กน้อยโวยวาย ไม่มีแม้กระทั่งสายลมที่พัดผ่านมา..ไม่มีอะไรทำให้บรรยากาศความมืดมนของภาพสั่นคลอนไปได้..ไม่มีเลย..แม้กระทั่งหัวใจในอกที่เต้นรัวขนาดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ภาพที่ได้สดใสขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย..
บางตัวติดเรื้อนบางตัวได้รับแผลจากการถูกรถชน มีส่วนน้อยที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรง..และทุกๆวันก็จะมีคนมารับพวกนั้นไปเลี้ยง..ในขณะที่ 'พวกไม่สมประกอบ' กลับไม่มีใครเหลียวแล..ไม่มีใครอยากจะรับพวกมันไปเป็นภาระ ในบรรดาสุนัขเหล่านั้นมีไม่น้อยทีเดียวที่ดูสูงอายุ..แล้วพวกมันจะทำอะไรได้นอกจากอาศัยจิตใจทำต้องทำเป็นดีของพวกสังคมสงเคราะห์..และดิ้นรนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกันล่ะ..
..ผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย...เป็นความจริงที่ผมไม่ปฏิเสธ.. แต่ต้องยอมรับจริงๆว่าประชากรมากกว่าครึ่งของประเทศยังไม่สามารถดูแลจัดการสิ่งมีชีวิตน้อยๆที่ตัวเอง 'ต้อง' รับผิดชอบได้...สิ่งมีชีวิตน้อยๆพวกนั้นไม่จำกัดแค่เพียงสุนัข แมว สัตว์เลี้ยง..หรืออะไร..
........เด็กทารก...ก็เช่นกัน.......... ปึง!! “...เทียน?”
“เปล่า"
ผมปฏิเสธ ชักเท้าออกมาจากการเตะลูกกรงทดสอบความแข็งแรงของมันอย่างรวดเร็ว
"ไม่มีอะไร"
..คำตอบที่ถ้าอักษร 'รู้' อยู่แล้ว..ผมคงกลายเป็นแค่ไอ้งี่เง่าที่ระบายอารมณ์กับข้าวของ(ที่ไม่ใช่ของๆตัวเอง)แบบนี้แน่ๆ..แต่เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่าต่อให้โวยวายไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา..ทำให้ยังสงบนิ่งอยู่ทีเดิม..
ผมถ่ายรูปต่อไประหว่างที่เดินไปรอบๆคอกกั้น ด้วยส่วนสูงและมุมมองจากเบื้องบนยิ่งทำให้เจ้าหมาพวกนี้ดูต้อยต่ำและด้อยค่าลงไปอีกที่มองผ่านเลนส์ เสียงกดชัดเตอร์ดังเป็นระยะๆแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดไปสู่โลกที่สามหรือมิติที่6 กล้องที่ถืออยู่ในมือมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ผมกดดัน..แต่สิ่งที่ผมมองผ่านเข้าไปก็ยังทำให้ผมเพลิดเพลินได้อยู่
นั่นเป็นความฉงนของการถ่ายรูป ที่ผมยังคงหาคำตอบให้มันไม่ได้ตั้งแต่ที่ได้รับกล้องตัวแรกมา..
แกรก.. ผมได้ยินเสียงประตูคอกเปิดออก ก่อนเพื่อนร่วมทางจะเดินเข้ามาร่วมกันด้วย
เขายิ้มให้ผม เพื่อบอกว่า "พวกนี้น่ารักดีนะครับ"
“งั้นหรือ..”
“ดูตัวนี้สิ" เขาชี้ให้ผมดู ทันทีที่เขายื่นมือออกไปมันก็หงายท้องหยอกล้อ "น่าหมั่นเขี้ยวจริงๆนะ นี่แน่ะๆ!!”
ผมถอนหายใจกับการที่อักษรลงไปปลุกปล้ำกับหมาพวกนั้น จริง..ต่อให้ผมถ่ายภาพพวกมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรักใคร่ชอบพอพวกมันมากขึ้นนะครับ ผมก็ยังมีสติเป็นปกติของตัวเองอยู่
“คุณชอบหมา?”
“ผมก็บอกไปแล้วไงว่าผมรักพวกมันสุดๆไปเลยล่ะ ถ้าที่บ้านไม่มีมีเยอะอยู่แล้วก็คงอยากจะรับไปเลี้ยงสักตัวจริงๆ..”
“...ผม...ไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเลย" ผมบอกเขา มองทุกอย่างผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง "ผมไม่ชอบ แต่ก้านธูปอยากมาก"
“แล้วคุณไม่คิดจะตามใจน้องหน่อยเหรอครับ?”
“เด็กๆตามใจมากแล้วจะเสียคน"
“ไม่ใช่ทุกคนสักหน่อย"
“หมายความว่ายังไง?”
“ตลอดชีวิตของผม..พ่อกับแม่ไม่เคยขัดใจอะไรเลยสักอย่าง"
ผมพ่นลมหายใจออกมาสั้นๆ "ผมไม่แปลกใจนัก คนอย่างคุณน่าจะไม่เคยทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังด้วยซ้ำ..”
“นั่นก็ส่วนนึงครับ"
“คุณแค่จะบอกว่าตัวเองเพอร์เฟ็คเท่านั้นเรอะ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย! ผมไม่ได้เพอร์เฟ็คเลยครับ คนที่เป็นอย่างนั้นจริงๆคุณเองก็รู้จักดีอยู่แล้ว"
“คุณคือเลขานุการคนเก่งของสภานักเรียน" ผมย้ำกับเขา ไม่ได้แฝงน้ำเสียงประชดประชันหรืออะไรออกไป "แค่นั้นก็เป็นเหตุผลมากเพียงพออยู่แล้ว"
"ที่จริง...ผมน่ะไม่ได้ขยันเลย แล้วก็ไม่ได้หัวดีเรียนเก่งหรือเนิร์ดอะไรด้วย”
เขายิ้มอ่อน พยายามอธิบายคำนั้นกับผม..
“...แต่ถ้าการเรียนดีมันทำให้คนที่ผมแคร์มีความสุขผมก็ทำ ถ้าพวกท่านต้องการให้ผมเป็นยังไงผมก็คงยอมทำตามที่พวกท่านเลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือกิจกรรมของโรงเรียนก็ตาม..ตราบเท่าที่พวกท่านมีความสุขน่ะนะ นั่นเป็นเหตุผลที่เวลาผมอยากได้อะไรสักอย่าง...ท่านจะไม่ขัดผมเลยเพราะผมทำเพื่อพวกท่านมาทั้งชีวิตแล้ว"
..ไม่รู้จะเรียกว่าฉลาดที่จะกระทำตัว..หรือจริงใจจนซื่อบริสุทธิ์ดี.. “อ๊ะ แต่ผมรักคุณคนเดียวนะ..” ..เอาเข้าไปสิ.. ผมลดกล้องลงแกล้งทำเป็นดูรูปที่ถ่ายไปได้โดยไม่ใส่ใจคำพูดของเขาเมื่อครู่ น้ำลดทุกวันหินมันยังกร่อน..จะประสาอะไรกับก้อนเนื้อหัวใจที่โคตรจะอ่อนแอของมนุษย์ ยอมรับเลยว่าการที่เขาเอาแต่ปากหวานคอยพูดจาป้อล้อผมแบบนั้นมันต้องมีสักวันที่ผมหวั่นไหวแน่ๆ..
“เค้าว่ากันว่าสัตว์เลี้ยงจะทำให้เด็กเล็กๆมีนิสัยอ่อนโยนขึ้นนะครับ"
เขาดูพยายามจะเกลี้ยกล่อมเต็มที่ แต่ไม่เป็นผลหรอก
“แค่นี้ก้านธูปก็อ่อนโยนพอแล้วล่ะ"
“มันฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบด้วยนะครับ!”
“สัตว์เลี้ยงน่ะดูแลยากจะตาย ข้าวปลาอาหาร..น้ำดื่มดีๆ..อาบน้ำทุกอาทิตย์แปรงขนแทบทุกวัน พาไปเดินเล่นตอนเช้าแล้วไหนจะค่ารักษาพยาบาลอีก..” ผมสาธยาย "บ้านผมไม่พร้อมรับอะไรแบบนั้น...”
การที่อีกฝ่ายเงียบเสียงลงทำให้ผมต้องหันไปมองอีกครั้ง หวังว่าผมคงไม่ได้เผลอพูดจาสะเทือนใจอะไรออกไปหรอกนะ
“พวกมัน...ไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้าของเลยครับ" เขาพูดเสียงเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน จนต้องเพ่งสมาธิเพื่อฟังเขาพูดต่อไป
“...ไม่ใช่ข้าว ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยดีๆบ้านพักอุ่นๆหรืออะไร...” มือเรียวผอมและขาวซีดจนแทบไม่มีสีเลือดนั้นลูบเบาๆที่หน้าท้องสุนัขสีขาวตัวนั้น พวกมันครางหงิงออดอ้อนอย่างน่ารักน่าชังเหมือนเด็กตัวเล็กๆ
“เพียงแค่เจ้าของ...ที่จะอยู่ด้วยกันไปจนกว่าใครจะหมดลมหายใจไปก่อนกัน..เท่านั้นเอง" ..ผมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายพูดคำพูดนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน..
..แต่จากน้ำเสียงนั่นมันทำให้ผมสะเทือนใจชอบกล.. “ความภักดีของมันมากกว่าที่คุณคิดเยอะนะครับ ผมร้องไห้ทุกครั้งเลยที่ดูหนังเกี่ยวกับสุนัข..ส่วนใหญ่ที่สร้างจากเรื่องจริงมันมักทำให้เรารู้สึกอินได้มาก อาจเพราะผมเป็นคนเซนสิทีฟด้วยก็ได้มั้ง....." “ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสดูพวกนั้นเท่าไหร่...”
“...คุณไม่ชอบหมา ผมไม่บังคับให้ดูหรอกน่า!”
..ผมไม่ได้คิดอยากจะดู..
..เพียงแค่รู้สึกว่าถ้าการดูหนังซึ้งๆอะไรแบบนั้นทำให้ผมเข้าถึงโลกสว่างๆของเขาบ้าง..ก็เท่านั้นเอง.. “เฮ้" ผมร้อง กวักมือเรียกเขา
“มานี่สิ" เขาขยับยิ้ม แล้วตอบรับด้วยสิ่งที่ผมพอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้ว..ด้วยเสียงทุ้มหวานระริกระรี้
“...โฮ่ง!”TBC=====================
เทคนิคการอ่านเรื่องนี้ อ่านช้าๆ ค่อยๆคิดตามไปทีละบรรทัดค่ะ 555555555555
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
ozaka*
