6th Day : Photo “ขออนุญาตครับ" ผมถอดรองเท้าหนังเก็บขึ้นชั้นตอนที่เปิดประตูเข้าไปพอดี อาจารย์ประจำห้องยกมือทักทายผมเพียงเล็กน้อยเพราะแกกำลังคุยโทรศัพท์สายในหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ ผมปิดประตูลง..สอดส่ายสายตาหาคอมพิวเตอร์เครื่องประจำแล้วลากเก้าอี้ไปนั่ง
หลังจากเสียบSD cardได้ไม่นาน..ในที่สุด'จารย์เปียก็วางหูโทรศัพท์ลง
“งานใหม่เหรอเทียน?”
“ครับ" ผมตอบโดยไม่ต้องหันไปมอง "เรื่อง 'สัตว์เลี้ยง'...ของนิตยสารในห้องสมุด"
“แล้วไปถ่ายมาแล้ว?”
“เรียบร้อยแล้วครับ"
“เจ๋งนี่"
ที่จริงผมไม่ชอบที่ต้องมานั่งปรับแสงสีตัดแต่งรูปภาพนักหรอกครับ เพราะฉะนั้นที่จะทำก็แค่ปรับระดับความเข้มแสงซะมากกว่า มันอาจจะฟังดูแปลกที่ผมเลือกถ่ายภาพทั้งหมดเป็นโมโนโทนล้วนๆทั้งๆที่เป็นหัวข้อเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง แต่ก็นะ..ตราบใดที่มันยังคงคอนเซ็ปท์ความเป็น 'ตัวผม' อยู่ก็คงไม่เสียหายอะไร..
ผมชนะเลิศการประกวดดังๆอยู่แค่ครั้งเดียวในชีวิต และส่วนใหญ่จะได้รางวัลพิเศษหรือรางวัลชมเชยซะมากกว่า...'จารย์เปีย(ที่ปรึกษา)มักจะปลอบใจผมด้วยคำพูดที่ว่า รูปภาพของผมคือรางวัลที่ใช้ไม่ได้จริง..แต่ประทับใจ และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักจะได้รับคำติชมแบบแปลกๆเสมอกระมัง...
...อย่างตอนที่คุยกับอักษรนั่น...ก็คงจะเรียกว่าคำชมแปลกๆอีกเช่นกัน... ผมเอนหลังพิงพนักพิงไปจนสุดความสามารถของมันขณะเลื่อนเคอร์เซอร์กดไล่ดูรูปถ่ายของตัวเองไปทีละรูป..ผมใช้ได้เพียงแค่12รูปจากทั้งหมด487..เป็นจำนวนที่มีการแข่งขันสูงเอาเรื่องแหะ..
..สุนัข..
..สัตว์หน้าขนที่ผมเกลียดแสนเกลียด.. เกลียดความรัก เกลียดความภักดี และเกลียดความซื่อสัตย์ที่พวกมันดันโง่เอาไปมอบให้กับสิ่งมีชิวิตที่ไม่ได้สูงค่าไปกว่ามันเลยอย่างเช่น..มนุษย์..
'โฮ่ง' ให้ตายสิ..
...อักษร อัครมณฑาเป็นมนุษย์ที่เลียนแบบเสียงของสัตว์ได้ไม่เหมือนเลยสักนิด.. ทำไมผมถึงคิดถึงประโยคตอบรับเมื่อวานของเขาน่ะหรือ..
หนึ่ง..ด้วยมีจำนวนรูปภาพไม่น้อยทีเดียวที่ถ่ายติดเจ้าของร่างผอมเล็กนั่น และผิวขาวจนซีดแบบนั้นก็โดดเด่นออกมาซะเหลือเกินในรูปแบบขาวดำอย่างที่เห็นอยู่นี่...หรือข้อสอง..อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงนั่นของเขาติดอยู่ในหูผมก็เป็นได้..
...สุนัขที่ซื่อสัตย์และภักดีน่ะ ต้องการแค่เจ้านายที่จะอยู่กับมันไปชั่วชีวิตเท่านั้น...
......ชั่วชีวิต... สุนัขตัวหนึ่งเกิดมา..จะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่ปี แล้วก่อนหน้าที่จะเจอเจ้าของที่แท้จริงน่ะใช้เวลาไปกี่ปี แล้วจะเหลือเวลาอีกสักกี่ปีที่จะเก็บเกี่ยวความสุขกันล่ะ? หรือบางที..เจ้าสุนัขพวกนั้นอาจจะหวังแค่ให้ 'ช่วงชีวิต' เพียงช่วงเดียวที่แม้จะแสนสั้นนักเพื่อมีความสุขจนล้นปรี่ก็เป็นได้..
..ผมไม่เข้าใจสุนัขหรอก ผมเป็นมนุษย์..
....มนุษย์ผู้ต่ำต้อยมากพอที่จะหลอกใช้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกมัน... ผมค้างหน้าจอไว้ที่ภาพๆหนึ่ง..
เด็กหนุ่มผิวขาวซีดกับรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และตรงไปตรงมาที่นั่งยองๆลูบศีรษะของเจ้าหมาน้อยที่เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเปล่งประกาย หรืออาจจะเป็นเพราะผมปรับโทนภาพให้มีคอนทราสชัดเจนเกินไปจนแววตาของทั้งคู่ดูราวกับไม่ใช่เพียงภาพถ่าย และโดดเด่นมากพอจะทำให้ผมใจเต้นตูมตาม..
..เสียแต่..นั่นไม่ใช่อารมณ์ของภาพที่ผมต้องการ... “ภาพนี้ดีนี่" เสียงอาจารย์เปียดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมเท้าแขนลงกับพนักพิงของผม..ผมไม่ได้หันไปมอง อาการทักอย่างฉุกละฮุกเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ผมตกใจหรือหลุดออกจากมาดเท่าไหร่
“...เอาภาพนี้ด้วยมั้ย?” ผมสั่นศีรษะแบบไม่ต้องคิด "คงไม่ครับ เค้าเอาภาพสัตว์เลี้ยง"
อาจารย์ท่านไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของผม "ไปถ่ายกับอักษรมาเหรอ?”
“ครับ"
“แปลกนะ ไม่ค่อยเห็นเธอถือกล้องเดินไปไหนมาไหนกับใครสักเท่าไหร่...สนิทกันหรือ?”
ผมพยักหน้าช้าๆ "ก็..ทำนองนั้น..”
..ไม่แปลกใจที่อาจารย์จะรู้จัก ก็เป็นถึงเลขานุกการคนเก่งของสภานักเรียนนี่นา.. ภาพที่เห็นเมื่อครู่จัดว่าเป็นภาพที่ดี ผมครอปบรรดาภาพที่ผ่านการคัดเลือกขั้นที่หนึ่งเก็บไว้ในโฟลเดอร์แรก..ซึ่งกว่ามันจะเสร็จเรียบร้อยก็ทำเอาปวดตาน่าดู..หลายๆครั้งที่ผมเสียเวลาคัดภาพเป็นวันๆและหมดเวลาไปกับการนั่งจ้องพวกมันนิ่งๆเป็นชั่วโมง..และครั้งนี้ก็เช่นกัน..และภาพดังกล่าวนั้นก็ถูกรวมไว้เป็น 'ภาพที่ถูกคัดเลือกมาแล้ว' ทั้งๆที่ผมรู้ดีว่ามันจะไม่ถูกรวมในโฟลเดอร์12รูปสุดท้าย...แน่นอน..
อาจารย์เปียเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้งหนึ่งระหว่างที่ผมนั่งทำงานต่อไป ท่านเป็นอาจารย์ผู้หญิงวัยกลางคนร่างเล็กที่ค่อนข้างกระฉับกระเฉงพอตัว สอนศิลปะ..และแนะแนวให้เด็กๆที่เดินทางมาด้านนี้ซะเยอะ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ
เด็กนักเรียนห้องความสามารถพิเศษไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าเรียนในคาบตราบเท่าที่มีงานนอกทะลักทลายเข้ามา ดังนั้นผมจึงใช้เวลาในช่วงเช้าทั้งหมดจัดการกับเจ้ารูปพวกนี้ได้โดยไม่มีใครมาว่า และห้องพักครูโสตฯของ'จารย์เปียก็ไม่ได้มีเด็กนักเรียนคนอื่นมาใช้มากนัก..เรียกได้ว่าค่อนข้างส่วนตัวเลยล่ะ..
จวบจนกระทั่งเสียงออดหมดเวลาพักกลางวันดังขึ้นนั่นแหละผมถึงจะยอมปล่อยมือออกจากเม้าส์เพื่อยืดแขนบิดขี้เกียจ อาจารย์ลุกหายไปไหนไม่รู้..รู้แต่ว่าไอ้รูปที่ควรจะคัดเนี่ยเหลืออีกเพียง...27รูป..
..และรูปอักษรเมื่อครู่ก็ยังไม่หลุดไปสักที.. ผมเปิดมันดูขึ้นมาอีกครั้ง และเนื่องจากครั้งนี้ไม่มีใครมานั่งจับผิดอยู่กระมังผมเลยใช้เวลาเท้าคางมองมันได้นาน..เนิ่นนานมากพอที่จะถูกดึงเข้าไปอยู่ในภาพ..ที่ราวกับมีชีวิตแบบนั้น..ดวงตาของเขา วิธีการเอื้อมมือไปจับ ปลายนิ้วที่แตะสัมผัสลงบนศีรษะของสุนัขตัวนั้น ดูอ่อนช้อยนุ่มนวล ทั้งท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติโดยไม่เกร็งเลยสักนิด..
...ความอ่อนโยนและบริสุทธิ์...จนจับใจ...
.......ทั้งๆที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการแท้ๆ... “ขออนุญาตครับ" เสียงเปิดประตูดังขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ผมรีบกดปิดด้วยอารามตกใจในอก แต่ก็ไม่ได้ตกใจมากพอที่จะทำให้ผมลนลาน..ก่อนจะหันไปสบตากับดวงตาที่ผมเพิ่งจ้องมันอยู่นานในหน้าจอมอนิเตอร์เมื่อครู่
เขายิ้มกว้าง
“อยู่ที่นี่จริงๆด้วย เมื่อครู่ผมไปหาที่ห้องถึงไม่เจอ" ผมพยักหน้า รู้สึกไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อไปชอบกล..อาจจะเป็นเพราะครั้งแรกที่ผมจ้องรูปของคนจริงๆที่ตั้งใจถ่ายออกมาขนาดนั้น... และคนที่ผมเพิ่งดูรูปไปเมื่อครู่ก็มาปรากฏตรงหน้าเอาดื้อๆ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า..
ทำตัวไม่ถูก.. เขาไม่ได้ทักเรื่องนั้น แต่รีบยกกล่องข้าวในมือให้ดู
“มะกะโรนีอบชีส!" ไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากคำพูดนั้นผมก็เดินตามเขาต่อกๆตามบันไดลงมาเพียงสองชั้น แล้วเลี้ยวเข้าหัวมุมห้องที่อยู่ข้างๆห้องประชุมกรรมการนักเรียน ที่ทำลงไปอาจจะเพราะอาการบิดตัวของกระเพาะที่เรียกร้องให้ผมหาอะไรกินมาตั้งแต่เช้า หรือบางทีมะกะโรนีอบชีสอาจจะเป็นอาหารโปรดโดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำก็เป็นได้..
ห้องเล็กๆที่เหมือนห้องเก็บของถ้ามองจากภายนอกถูกเปิดออก ด้านในไม่ได้เป็นฟังชั่นอย่างที่ผมคิด..ทั้งโต๊ะที่วางอยู่ริมหน้าต่างกับเก้าอี้สามตัว ทั้งตู้เย็นที่อยู่ติดกับตู้เก็บเอกสาร ทั้งไมโครเวฟที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกัน..แสดงให้เห็นถึงการจัดวางที่เกือบจะเรียกได้ว่า 'อยู่อาศัย' ไปซะแล้ว..
อักษรวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทและพัดลมเรียบร้อย
“เดี๋ยวผมอุ่นก่อนนะครับ"
เขาว่าเช่นนั้น ผมจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้า
“...คุณอยู่ที่นี่หรือ?”
“เอ๋?”
“เปล่า..คือ..” ผมไหวไหล่ "ถ้ามีเตียงนอนเนี่ยใช่เลย"
อีกฝ่ายหัวเราะ ดันถาดกระเบื้องเคลือบเข้าไปในไมโครเวฟตอนที่ตอบ
“ก็ใกล้จะได้กลายเป็นห้องส่วนตัวแล้วล่ะครับ เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในนี้ผมเอามาจากบ้าน ไว้อำนวยความสะดวกเวลาที่พวกกรรมการนักเรียนประชุมกันถึงมืดค่ำ จะได้ไม่ต้องออกไปไหน...”
..ช่างเป็น..คนที่เตรียมพร้อมรับมือได้ทุกสถานการณ์จริงๆ.. ผมพยักหน้าโดยไม่ได้หันไปมอง เพราะกำลังพิจารณากับบอร์ดปักหมุดที่จดรายละเอียดสำคัญๆไว้ตามที่ต่างๆ..เวลาประชุมครั้งถัดไป..นัดแนะคุยกับต่างโรงเรียน งานกิจกรรมเล็กๆน้อยๆยิบย่อยจนบางงานผมไม่อยากจำด้วยซ้ำ รายชื่อนักเรียนที่ประพฤติตนจนควรถูกตักเตือนบ้าง..ในนั้นไม่มีผม รอดไป..
..ตารางสอนห้องเด็กทุนม.5..นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าของห้องนี้เป็นใคร..
.....และ...สิ่งที่เหนือความคาดหมายของผมก็คือ... ............ตารางสอนห้องเด็กความสามารถพิเศษในระดับชั้นเดียวกัน.. ผมรู้ว่าผมนิ่งอยู่กับจุดนั้นนานมาพอที่อักษรจะเดินมาดึงแขนเสื้อผมให้ลงไปนั่ง ผมสงสัยจนอยากถามจึงได้เผยอริมฝีปากขึ้น แต่พอหันไปสบกับแก้มที่ขึ้นสีเล็กน้อยนั่นผมก็หุบปากลงทันที
........อักษร 'ชอบ' ผมมากแค่ไหน..
..............บางที............การที่ผมไม่รู้คำตอบอาจจะสบายใจมากกว่า.. “เปปซี่มั้ยครับ?”
ผมกระพริบตาปริบๆ พยักหน้าเออๆออๆไปตามเขา "ได้ๆ"
เขาไม่ได้เดินไปดึงตารางสอนห้องเรียนออกอย่างที่ผมคิด เพียงแค่เดินไปที่ตู้เย็น หยิบแก้วน้ำตักน้ำแข็งใส่แล้วรินเปปซี่เรียบร้อย แล้วยกมือเสิร์ฟให้ผมถึงที่
เขาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม แล้วประสานมือยิ้มหวาน
“ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ?” ..ทำไมผมรู้สึกแปลกๆกับคำถามฟะ.. “ก็..ไม่เท่าไหร่...มันไม่ใช่งานเร่งน่ะเลยทำได้เรื่อยๆ”
“ผมอยากได้จัง ขอผมเอาไปอัดได้มั้ยครับ?”
“ได้สิ" ผมพยักหน้า ยกเปปซี่ขึ้นจิบ "เฉพาะรูปที่ไม่ถูกเลือกนะ..เผื่อเค้าซื้อลิขสิทธิ์"
“งั้นรูปที่เหลือทั้งหมดก็ได้ใช่มั้ยครับ?”
“...จะเอาทั้งหมดเลยเหรอ?”
“อื้อ!”
“สี่ร้อยกว่ารูปน่ะนะ?”
“อื้อ!”
“คุณจะไม่เลือกหน่อยเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ ผมเหมาหมดเลย...คุณจะขายให้ผมเลยก็ได้นะ!”
ผมมองหน้าเขา..ที่มีท่าทางจริงจังสุดฤทธิ์สุดเดช..แล้วจึงรู้สึกว่าไอ้ที่เถียงๆไปทั้งหมดแม่งเปล่าประโยชน์ชะมัด..
ว่าแล้วก็ต้องยกมือปัดปฏิเสธ "ช่างเถอะ เอาไปเลย"
“เย้!”
..ทำไมต้องทำท่าดีใจขนาดนั้นด้วยฟะ.. โชคดีที่เสียงร้องเรียกเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ของไมโครเวฟดังขึ้นช่วยชีวิตผมไว้ได้ก่อน อักษรลุกขึ้นจากการทำให้ผมรู้สึกแปลกๆในอกเพื่อเดินตรงไปเปิดประตูไมโครเวฟออก ซึ่งผมแอบขำเล็กน้อยหลังจากเห็นเขาโก๊ะขนาดที่ว่าเผลอแตะชามกระเบื้องนั่นด้วยมือเปล่า ก่อนจะอุทาน 'อุ' ออกมาแผ่วเบาแล้วสะบัดมือพัลวัน
ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาระหว่างลุกขึ้นเดินไปหา
“ผมทำเอง"
“อ..ครับ" เขาดูตกใจตอนที่ไหล่ของเราชนกัน อย่าว่าแต่เขาเลย..ผมเองก็ตกใจไม่น้อยเชียวล่ะ แต่ก็ทำได้เพียงผละออกมาแล้วหยิบถาดกระเบื้องออกจากไมโครเวฟด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นแบบนิ่งๆไม่กระโตกกระตาก
...การแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่เขาทำน่ะ....ผมทำไม่ได้หรอก... กลิ่นหอมของชีสทำให้ผมสูดจมูกฟุดฟิด แล้วลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
“แม่ครัวบ้านคุณ..ท่าทางจะทำอาหารเก่งนะ?”
“แน่นอนครับ!” อักษรยืดอกอย่างภาคภูมิใจ "ทำอาหารได้ทุกประเภทเชียวล่ะ! ผมเองก็ชอบมากๆ!”
“อือหึ..”
“ถ้าคุณชอบ...จะไปทานที่บ้านผมด้วยก็ได้นะครับ"
“ไม่ล่ะ ขอบคุณนะ"
ผมปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ชั่วชีวิตนี้ผมไปทานอาหารที่บ้านผู้หญิงที่เป็นคุณหนูอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแล้ว..และพบว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องหอบความเพลย์บอยตั้งแต่หัวจรดเท้านี้ออกไปให้พ่อแม่ผู้ปกครองอีกฝ่ายเห็นมากนัก อาจจะถูกยิงดับโดยไม่รู้ตัว..
..ถึงแม้ผมจะมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ปล่อยให้ผมตายอนาถขนาดนั้นหรอก..
.....ทำไมผมถึงมั่นใจ? ตอบให้ก็ได้ว่าไม่รู้เหมือนกัน.. และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่อักษรนั่งเท้าคางมองผมหยิบช้อนส้อมอย่างสบายอารมณ์ ให้ตายสิ..เขาไม่รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารสักหน่อยหรอกหรือ...แล้วทำไมต้องทำอาหารมาชุดเดียวทุกครั้งทั้งๆที่รู้ว่าเวลาแบบนี้มัน...
ผมแกว่งส้อมไปมานิดหน่อย แล้วตัดสินใจถาม
“ไม่ทานด้วยกันเหรอ?”
เขาสั่นศีรษะด้วยรอยยิ้ม "ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย!"
“....จะให้ผมทานลงได้ยังไง คุณจ้องเอาๆอยู่อย่างนี้"
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ อยากเกิดมาน่ามองเองทำไม...” “ห๊ะ?”
“เมื่อกี้เสียงลมพัดนะครับ"
..เขาไปฝึกวิชากวนประสาทมาจากไหน? ไม่สิ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ใช้คำพูดง่ายๆพวกนั้นกวนประสาทผมอยุ่แล้วนี่..
ผมถอนหายใจ รู้สึกเหมือนตัวเองต้องกลับไปใช้มุขเดิม "ทานด้วยกันสิ"
เขาฉีกยิ้มหวาน แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้ผม
“ผมทานอาหารประเภทนี้ไม่ค่อยได้น่ะครับ" ..ทำไมล่ะ?.. ผมเกือบจะถามคำถามงี่เง่านั่นออกไปแล้ว ถ้าเพียงแต่ผมยังสบตากับดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกนั่นต่อไปนานๆล่ะก็ผมคงจะหลุดมาดแน่ๆ ต่อให้เขาเป็นภูมิแพ้หรือกำลังไดเอทนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม..คิดว่าคงไม่ใช่ประเด็นหลัง..เพราะแค่นี้เขาก็ผอมจนเหมือนโดนลมพัดจะปลิวแล้วล่ะ..
ภูมิแพ้อาหารประเภท..ชีส..นมไขมันสูง..? ..ถึงจะไม่ได้พบบ่อยนัก แต่ผมก็ไม่แปลกใจซะทีเดียว..โลกเรามีอีกหลายเรื่องเยอะจะตายไปที่เราไม่คุ้นชิน และการตื่นตระหนกจนเกินไปนอกจากจะดูโอเว่อร์แล้วยังดูเป็นคนโง่กลายๆอีก..
เอาเป็นว่าที่ผมพล่ามไปทั้งหมดเพราะไม่อยากจะถามเขาไปตรงๆล่ะกันว่าเขาเป็นอะไรกันแน่..
..แต่อักษรไม่ใช่คนโง่ และดูเหมือนว่าการมองหน้าผมปราดเดียวจะรู้ได้ว่าผมคิดอะไร ทั้งๆที่ผมไม่ได้แสดงสีหน้าออกไปด้วยซ้ำ..
“ผมไม่ชอบน่ะครับ พวกชีส" ..เคลียร์ยิ่งกว่าเคลียร์..
..เจตนารมณ์ที่ชัดเจนจนเกินไป..ฟังดูตัดบทเหลือเกินจะกล่าว.. ยังไม่ทันที่จะต่อบทสนทนาด้วยคำพูดรับรู้หรืออะไร อีกฝ่ายก็รีบฉวยจังหวะหยอดทันที
“แต่ถ้าคุณป้อนผมจะยอมทานให้ก็ได้นะครับ” ผมเอาส้อมเคาะหัวเขาทันที “มากไป มากไป"
“โอ๊ะ!”
..ลืมตัวแหะ.. คนที่ตื่นตะลึงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวหรอกครับ ผมเองก็ด้วย..ถึงแม้จะใช้พลังมหาศาลในการควบคุมให้ตัวเองไม่แสดงสีหน้าอะไรออกไปก็เถอะ
การถูกอ้อนด้วยอะไรแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก..แต่ไหนแต่ไรตัวผมก็ทำหน้าที่ที่ต้องบริการอยู่แล้ว น่าประหลาดใจตรงที่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปฏิเสธด้วยอากัปกิริยาเสียมารยาทอย่างถึงที่สุดแบบนี้ และผมไม่มีความคิดที่จะขอโทษอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ..แปลกตรงที่อกกลับพองโตขึ้นมาดื้อๆ..ทั้งๆที่รู้ตัวว่าไม่ควรซะอย่างนั้น..
ผมรู้สึกว่าความเงียบเป็นอะไรที่น่าอึดอัด..เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมคิดเช่นนั้น..
..และอักษรก็ดูจะมีความคิดที่ไม่ต่างกันมากนัก.. เขาอมยิ้มหน้าแดง..รอยยิ้มที่ผมอยากยิ้มตาม...เพียงแต่ไม่กล้า..
ก่อนจะเอื้อมมือมาดันถาดกระเบื้องนั้นให้เข้ามาใกล้ผมขึ้นอีกนิดหน่อย
“รีบทานเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นหมดนะ"----------