7th Day : Follow the way of the heart ..ว้าวุ่นใจพิกล..
นั่นเป็น..สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวผมเอง.. ผมเดินเลี่ยงจากเส้นทางสายเดินที่เดินเป็นประจำในทุกเช้าเพื่อขึ้นตัวตึกอาคารรวมซึ่งไม่ใช่ตึกเรียนของผม ถึงแม้ว่ามันจะไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ก็เถอะ...แต่ผมก็ยังเลือกที่จะหอบกระเป๋าเรียนเดินขึ้นบันไดทั้งๆที่ดูราวกับว่ามันไม่มีความหมาย โชคดีที่เวลานี้ยังไม่มีนักเรียนพลุกพล่านในตึกนี้มากนัก..ไม่งั้นถ้าเจอใครทักผมคงทำสีหน้าไม่ถูกแน่ๆว่า 'มาที่นี่ทำไม?'
อาจเพราะเวลามันผ่านไปเร็ว ขาผมยาว หรือความรีบร้อนอะไรก็ตาม..มันก็ทำให้ผมถึงที่หมายได้ในเวลาไม่กี่อึดใจ ประตูห้องๆเดินของเมื่อวานที่เปลี่ยนมาเป็นเวลาเช้าอยู่ตรงหน้าผม..
..ห้องของอักษร อัครมณฑา.. ผมมาที่นี่ทำไม?
นั่นเป็นคำถามที่มันคงดูงี่เง่าเหลือเกินถ้าผมถามตัวเอง..
คำตอบง่ายๆมีเพียงแค่2ประการ อันดับแรกคือ..เมื่อวานผมไม่ได้เจอหน้าเขาตั้งแต่เที่ยง แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอด้วยเพราะมีรายงานสดมาว่าเขากลับไปตั้งแต่บ่ายโดยไม่บอกผมก่อน..ประการต่อมาคือแทนที่เขาจะโทรศัพท์มาหาผมด้วยกลัวว่าผมจะเป็นห่วง..แต่เปล่าเลย..ไม่มีสักมิสคอล..
ที่ผมมาไม่ใช่เพราะผมจะมาถามเอาความจริงหรืออะไรนะครับ..
..ผมแค่มา..เพราะคิดว่าถ้าเขาแม่งจะหายไปทุกบ่าย สู้ผมถ่อมาเจอตั้งแต่เช้าเลยมันน่าจะสะดวกมากกว่า..ซึ่งถามหาเหตุผลอะไรไม่ได้หรอกครับ ผมรู้มันดีอยู่แก่ใจ..แต่...ไม่อยากตอบ..
นายอักษรนั่นเป็นคนฉลาด..
...และ...ใช้วิธีแสนจะง่ายในการปั่นหัวผมเล่น... แอด... เขานอนฟุบอยู่ตรงนั้น...ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป...
ดวงหน้าขาวผ่องเอียงซบลงกับแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะริมหน้าต่างที่เปิดไว้รับแสงแดดและลมเย็นๆในเวลาเช้า ผมไล้สายตาไปตามช่วงหลังโปร่งโก่งงอขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลังกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ทำให้เรือนร่างนั้นยิ่งดู..ผอมบางลงไปอีก...แล้วตัดสินใจปิดประตูลง..
ผมเดินเข้าไปใกล้ได้กลิ่นขนมปังปิ้งกับนมสด อาจจะมีแยมส้มนิดหน่อยจากมีดปาดแยมที่วางอยู่ในจานว่างเปล่า..ใกล้มากพอที่จะนั่งลงบนโต๊ะตัวตรงหน้าเขา แล้วยกมือเกลี่ยผมสีดำสนิทนั้นอย่างลืมตัว..เขาไม่ได้ครางงึมงำหรืออะไร ลมหายใจยังปกติดี..นั่นแปลว่าเขากำลังหลับลึกใช้ได้
...อักษรมาเช้าแบบนี้ทุกวันเลยหรือ? นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะได้คำตอบ..หรือ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้... มันน่าประหลาดตรงที่เพียงแค่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นผมก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว รู้แต่ว่าโล่งใจ..ที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้หายไปไหนอย่างที่ผมสันนิษฐานเอาไว้มั่วๆ..
ผมกลับมามองในห้องแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง..ไล้ดูกระดานปักหมุดไปทีละจุดด้วยจะดูว่ามีอะไรเพิ่มเติมรึเปล่า..
ก่อนจะเห็นกระดาษโพสต์อิทลายหมีสีน้ำตาลปักหมุดอยู่ใกล้ๆกับรูปที่ผมแปะไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน..
'ขอบคุณครับ' ...ตัวอักษรบรรจง..ข้อความเพียงสั้นๆแค่นั้น...กลับทำให้ในอกอุ่นวาบอย่างน่าประหลาด..
และผมรู้สึกรำคาญที่ตัวเองเป็นอย่างนั้นเหลือเกิน....
เสียงเปิดประตูฝั่งที่ติดกับห้องประชุมคณะกรรมการนักเรียนเปิดออก ผมรู้สึกว่าควรจะก้าวออกห่างเว้นระยะจากอักษรสักหน่อย..แต่ก็ไม่ได้ทำ
พี่สายสิญจน์เดินเข้ามาพร้อมเอกสารบางอย่าง และทันทีที่เห็นผม..เขาก็ยิ้มทัก
“อ้าวเทียน"
ผมยิ้มตอบ แล้วพยักหน้าให้โดยไม่พูดอะไร
พี่สิญจน์ชะโงกหน้ามามองอักษรที่นอนอยู่บนโต๊ะที่ผมนั่ง แกไม่ได้ถามอะไร..นั่นหมายความว่าผมไม่จำเป็นต้องพูด เขาก้มมองเอกสารในมืออย่างพิจารณาอยู่เพียงครู่หนึ่ง แล้วยื่นให้ผม
“ถ้าเขาตื่นแล้ว..ฝากให้ทีนะ"
ผมรับมาโดยไม่มอง “...ถ้าเรื่องสำคัญ..ให้ปลุกมั้ยครับ?”
“ไม่ต้องหรอก" อีกฝ่ายยิ้มอ่อน หลุบตาลง "ให้เขาพักผ่อนเยอะๆน่ะดีแล้ว..ษรเหนื่อยมามากพอแล้ว"
การเลิกคิ้วของผมแปลว่าไม่เข้าใจ แต่มันคงยังไม่ชัดเจนพออีกฝ่ายจึงไม่อธิบาย แล้วผมก็เอาแต่คิดตุตะขึ้นไปเองว่างานของเลขานุการคนเก่งของสภานักเรียนท่าจะเยอะและเหนื่อยจริงๆอย่างเขาว่า ขนาดผมไม่ได้ทำเสียงเบาอะไรมากนักคนข้างๆยังไม่มีท่าทางว่าจะตื่นเลยด้วยซ้ำ
พี่สิญจน์โบกมือเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินออกจากห้องกลับไปทางเดิมที่เขามา..
เขาเป็นประธานนักเรียนประเภทที่ว่าถ้าถามหาเมื่อไหร่ ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็จะอยู่ ดังนั้นผมเลยคิดเอาง่ายๆว่าพี่สิญจน์อาจจะมีห้องพักส่วนตัวของเขาแบบเดียวกับอักษรอยู่ที่ใดสักที่ของตึกเรียนที่แสนจะซับซ้อนแบบนี้ก็เป็นได้..
..มันเป็นความเงียบ..เงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาดังชัดเจน..
'..ความเงียบจะไม่น่าอึดอัดเลยถ้าไม่ได้มีใครสักคนหนึ่งอยากจะพูด..' และผมไม่ได้อึดอัด..
เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องพูดอะไรในเมื่ออีกฝ่ายนอนหลับอยู่แบบนี้..
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนิ่งเหม่อลอย..ฟังเสียงเข็มนาฬิกาพวกนั้น สัมผัสถึงจังหวะการหายใจเป็นจังหวะของอีกฝ่าย...อักษรเป็นคนหายใจแรงกว่าที่ผมคิด...แต่เพราะน้อยคนนักแหละที่จะควบคุมจังหวะการหายใจให้เงียบสงบได้ นอกจากคนที่ต้องฝึกสมาธิมาอย่างดีก็เท่านั้น..ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก...
..แต่มันก็ดังเป็นจังหวะ..ที่แน่วแน่มั่นคง..ไม่กระอักกระอ่วน.. ครั้งนั้นผมหลับตาลง แล้วตั้งใจควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็น..จังหวะเดียวกัน...
ทำอะไรอยู่กันนะ..?
ต้องการอะไรกันนะ..? ...ผมช่างเป็นคนปล่อยเวลาให้ผ่านไปได้อย่างไร้ประโยชน์จนถึงที่สุดจริงๆ... เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งผมก็อยากจะก่นด่าตัวเองสักสามหน้ากระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอด ทำไมผมต้องใช้นาทีเงินนาทีทองของตัวเองไปกับการนั่งเฝ้าคนนอนหลับด้วยฟะ...
ผมวางกระดาษแผ่นที่รับมาจากพี่สิญจน์ลงบนโต๊ะ แล้วก้มรื้อกระเป๋ากล้องที่ผมมักจะพกมันไปไหนมาไหนด้วยตลอดไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหนก็ตาม..นี่เป็นหนึ่งในนิสัย..กล้องฟิล์มตัวเก่งที่ผมใช้มันถ่ายรูปเล่นมาตั้งแต่ขึ้นม.1ใหม่ๆอยู่ในมือ จะพูดไปอายุอานามมันก็ไม่มากไม่น้อยแล้ว แถมยังไม่ค่อยได้ใช้ในเวลาทำงาน..แต่ผมก็ยังติดมันอยู่ดี..
ก่อนจะตัดสินใจยกมันขึ้นแนบที่หน้า และหรี่ตามองผ่านเลนส์ขณะทอดมองกลับไปยังคนที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ
...แล้วเสียงรัวชัตเตอร์ก็ดังขึ้น... การกดชัตเตอร์ภาพถ่ายของกล้องชนิดนี้ค้างไว้อาจจะทำให้ฟิล์มรวนและแยกไม่ออกได้ แต่ประสบการณ์มันก็ทำให้ผมสามารถกะจังหวะเว้นช่วงการคลิกนิ้วได้อย่างดี และมันออกจะดีไปสักหน่อยตรงที่..
.....พออีกฝ่ายลืมตาขึ้น....
...ฟิล์มก็หมดม้วนพอดี... ผมประคองกล้องตัวโปรดไว้บนตักแล้วเสมองไปทางอื่น..ระหว่างที่เสียงกรอฟิล์มอัตโนมัติของมันดังระรื่นหู
“ทำอะไรน่ะครับ?”
แน่นอน..อักษรเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เขาได้สติ
“เปล่า"
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง..พยายามกลั้นยิ้มเต็มที่ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่อยู่หรอก
อีกฝ่ายหน้าแดงขึ้นนิดหน่อย แล้วจับได้ทันควัน
“...คุณ...คุณแบลคเมล์ผม!"
“ผมเปล่า"
“โธ่! หลักฐานคามือเลยนะครับเทียน!!”
“ไหนล่ะ?” ผมเปิดหลังกล้อง ดึงฟิล์มม้วนออกมาเก็บใส่กระปุกทรงกระบอกที่เตรียมไว้ "คุณคงไม่ได้เห็นหลักฐานจนกว่าผมจะล้างฟิล์ม...ซึ่งคงไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก"
“คุณอย่าทำให้ผมดีใจจะได้มั้ยเนี่ย...”
“ดีใจอะไร?”
เขายกหลังมือเช็ดจมูก ไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม
ผมขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา แล้วหยิบฟิล์มม้วนใหม่มาใส่ในกล้องรอสำรองไว้ก่อน..จริงอยู่ที่ผมไม่ได้นึกอยากจะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปได้บ่อยนัก ผมต่างกับหลายๆคนที่ชอบถ่ายรูป..ผมไม่สามารถหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายได้โดยปราศจากความตั้งใจในการกดชัตเตอร์..
...ถ้าคุณจับสิ่งนั้นได้...คุณคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงใช้ฟิล์มจนหมดไปเมื่อครู่... “คุณชอบใช้กล้องฟิล์มเหรอครับ?”
เขาถามขึ้น เป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้ว..แล้วพยักหน้าตอบ
..แปลก...ผมคิดว่าเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวผมซะอีก.. “แล้วปกติล้างฟิล์มเองรึเปล่าครับ?”
“ก็ส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นงานจะไม่ค่อยได้ใช้..อีกอย่างมันค่อนข้างใช้เวลา...”
พอผมเงยหน้าขึ้นก็สบกับดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกที่กำลังสนอกสนใจเกินพิกัดคู่นั้นเข้าจังเบอร์ เขาทำหน้าเหมือนกำลังรอให้ผมอธิบายต่อด้วยใจจดจ่อ...
ผมกระแอมกระไอ รู้สึกไม่คุ้นชินกับบท 'พล่าม' มากนัก..
"...ตอนที่ผมล้างฟิล์มเองครั้งแรก...ฟิล์มเสียไปทั้งม้วนเลยล่ะ ค่อนข้างยาก..แต่ก็สนุกดี”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ?”
“...ก็ทำเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย มันเป็น..เอ่อ..งานอดิเรกไปแล้วน่ะ แล้วก็ใช้มาตั้งหลายปีแล้วด้วย.."
อักษรยังคงยิ้ม ผมหลบตาแบบเนียนๆ..ไม่รู้หรอกว่าทำไม
“ผมชอบจังเลยเวลาคุณพูดเรื่องกล้อง"
..ผมขอเลือกที่จะไม่ต่อบทสนทนาก็แล้วกัน.. “ไม่สิ..ไม่ใช่แค่เรื่องกล้องหรอก แค่คิดว่าคุณพูดอะไรที่คุณชอบและคุณอยากพูดให้ผมฟัง แค่นั้นผมก็ดีใจมากแล้วล่ะ" เขาอธิบายโดยไม่สนใจว่าผมจะตั้งใจฟังเขาอยู่รึเปล่า..เหมือนเดิมน่ะแหละ เพียงแค่ครั้งนี้ผมตั้งใจฟังกว่าที่เขาคิด
".. เพราะว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบโดยไม่ฝืนความรู้สึกน่ะ...ผมว่ามันก็น่าฟังทุกเรื่องแหละครับ"
..ที่มันน่าฟังอาจจะเป็นเพราะ..อักษรเป็นนักฟังที่ดีมากกว่าล่ะมั้ง.. ผมไม่อยากนึกชมเขา..แต่ก็อดไม่ได้
“จริงสิ" ผมกระแอม "พี่สิญจน์ฝากไอ้นี่มาให้คุณน่ะ..”
แผ่นกระดาษแผ่นนั้นกำลังจะถูกดันไปให้คนรับที่แท้จริงตอนที่ผมนึกขึ้นได้ แต่นั่นเป็นครั้งแรก..ที่ผมก้มลงมองข้อความในกระดาษที่ดูจะเป็นเอกสารทางการมากกว่าที่ผมคิด
การปราดมองรวดเดียวไม่ได้ทำให้ได้รับรายละเอียดมากนัก..
...แต่ก็ทำให้ผมพอจะจับใจความได้ว่า...
“.......คุณ....จะลาออกจากสภานักเรียนเหรอ?” คำพูดที่ทำให้เขาชะงักเพียงวูบเดียว ก่อนจะยิ้มอ่อน แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปถือไว้ในมือ
“ครับ เอ่อ...จะเรียกว่าหมดวาระก็ได้ฮะ น่าเสียดายนิดหน่อยนะฮะที่ผมคงไม่ใช่เลขานุการคนเก่งของคุณอีกต่อไปแล้ว.."
ท้ายเสียงเขาพูดกึ่งหัวเราะ แต่ผมไม่ได้หัวเราะตาม..ซึ่งนั่นไม่แปลกเท่าไหร่
ผมเงียบลง เงียบนานพอที่จะทำให้รู้ตัวว่าเขาคงไม่พูดแน่ๆถ้าผมไม่ถามว่า...
“ทำไมล่ะ?”
“ผมเหนื่อยน่ะฮะ" เขาสวนขึ้นมาทันที ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆว่าเหมือนเตรียมคำพูดนั้นมาก่อน
“คิดว่าถ้าได้เปิดโอกาสให้คนอื่นมารับหน้าที่นี่บ้างก็คงจะแบ่งปันประสบการณ์ให้ได้ไม่มากก็น้อย งานนี้น่ะไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นก็เป็นได้สักหน่อยนี่ครับ..อ่ะ เลขานุการคนต่อไปของสภานักเรียนคือลัษศรุตนะครับ คุณรู้จักมั้ย?...ห้องเด็กทุนน่ะ?"
ผมพยักหน้าแบบขอไปที พร้อมขมวดคิ้วเป็นสัญญาณเร่งให้เขาอธิบายต่อ
...แต่เขาไม่ได้ทำ... “ยังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอกครับ แต่ทำเรื่องไว้ก่อนเผื่อฉุกเฉิน"
“ฉุกเฉินอะไร?”
อักษรเลิกคิ้วเหมือนตกใจที่ผมสวน "อ้อ ก็หมดไฟทำต่อยังไงล่ะ ไม่เห็นต้องถามเลย...อีกอย่าง..ปีหน้าพี่สายสิญจน์ก็เรียนจบแล้ว คุณคิดว่าใครจะได้เป็นประธานนักเรียนคนต่อไปเหรอครับ?"
“คุณไง" ผมมองหน้าเขา จงใจเจาะเข้าไปในดวงตาที่เหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงคู่นั้นอย่างตั้งใจ
และถึงแม้ว่าพวงแก้มขาวทั้งสองข้างนั้นจะซับสีเลือดจางๆเพราะคำพูดตรงไปตรงมาของผม แต่คำพูดเหล่านั้นผมก็ไม่เคยนึกกระดากเลยที่ได้พูดออกไป..
...จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายหลบตาก่อน..
“คิดได้ยังไงน่ะ! ผมไม่เหมาะหรอก!” อักษรหัวเราะ "แค่นี้ก็เต็มกลืนแล้วล่ะ...ดูสิครับ ทนได้ไม่เท่าไหร่เอง.."
“คุณเป็นเลขานุการของสภานักเรียนมาเกือบ2ปี....นั่นไม่ใช่เพราะคุณอยากเป็นประธานนักเรียนหรอกเหรอ?”
“ผมชอบที่จะทำงานให้พี่สิญจน์ต่างหาก และได้เป็นหนึ่งในทีมซูเปอร์ฮีโร่ก็เท่ไม่หยอกด้วย"
“...คุณไม่ได้อยากเป็นฮีโร่หรอก"
“ผมไม่ได้เป็นหรอกครับ นั่นมันเรื่องสมมติ" อีกฝ่ายยิ้มกว้าง เก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่แฟ้มนั้นอย่างเชื่องช้า "ผมแค่สนุกที่ได้ทำเท่านั้นแหละ..ก็คนเราจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในตู้โทรศัพท์ได้ยังไงกัน"
“แล้วตอนนี้ก็คือหมดสนุกแล้ว...?”
เขาหลุบตาลงทันที
“...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ" ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาตรงหน้าดื้อๆหลังจากสิ้นประโยคนั้น อาจจะเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปว่ามันคือ..กำแพงคอนกรีดสูงชะรูด...ที่จริงมันอาจจะเป็นเพียงเส้นกั้นบางๆหรือแนวชอล์คที่เขียนไม่ให้ผมล้ำเข้าไป ซึ่งผมจะทำอะไรได้นอกจากหันกลับมาจ้องกล้องถ่ายรูปในมือ..แล้วปล่อยเข็มนาฬิกาเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อยๆ..
..ไม่ว่าใครก็มีทั้งนั้น..อาณาเขตของตัวเองน่ะ..
..ผมไม่ใช่คนประเภทที่ว่าจะฉีกมันทิ้งแล้วถลำตัวเข้าไปซะด้วย.. ดังนั้นบทสนทนาเมื่อครู่ของผมอาจจะดูอุกอาจเกินไปหน่อย ผมไม่ใช่คนฉลาดพอที่จะตั้งตัวกับสถานการณ์อะไรต่อมิอะไรได้ทัน..แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร..
แน่นอนว่าอักษรไม่ปล่อยให้พวกเรานั่งเงียบกันได้นานหรอก..ก็ตามสไตล์เขาแหละครับ
“จริงสิครับ! แล้วเรื่อง 'งาน' ของคุณล่ะ..ไปถึงไหนแล้ว?”
ไม่ต้องบอกก็รู้..เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง..
..ซึ่งมันดีที่สุดในเวลานี้แล้วล่ะ..
ผมพยักหน้า หยิบซองรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋า "ก็ยังเลือกไม่เสร็จเลย...ผมคัดมาได้เท่านี้"
“ให้ผมดูได้เหรอครับ?”
“...ไหนคุณบอกจะเอามันทั้งสี่ร้อยกว่ารูปไง?”
“เปล่า..คือ..นี่มันรูปที่คุณคัดมาแล้วไง ผมแบบ..แอบตื่นเต้นอ่ะ"
เขายิ้มกว้างตอนที่รับซองเหล่านั้นไปดูทั้งมือสั่นเทา รอยยิ้มที่ผมดูไม่ออกสักนิดว่าเขายิ้มเพื่อบดบังความรู้สึกอะไรรึเปล่า..ไม่เลยสักนิด จริงใจจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ติดใจอะไรเลยก็คงเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ซ่อนความรู้สึกไว้ใต้ใบหน้าท่าทางพวกนั้นได้อย่างแนบเนียนจนเกินไปแน่ๆ..
ซึ่งในตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นประการแรก..
..อักษร อัครมณฑา..คงเป็นคนสุดท้ายที่จะทำให้ผมคลางแคลงใจ.. ผมละสายตามาจากใบหน้าของเขา แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
....อย่างน้อย...ก็ไม่ใช่ในตอนนี้...----------
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ทำจากวัสดุแบบเดียวกับห้องผมทุกประการ ทั้งอาคารเรียนที่เรียกได้ว่าเกือบจะเหมือนกัน..ทั้งสี..ทั้งการจัดวาง..เพียงแต่บรรยากาศเท่านั้นที่แตกต่างออกไป..
..บรรยากาศเหรอ? บ้าจริง..
...กางเกงลายสก็อตสีแดงนี่ต่างหากที่แตกต่างออกไป.. ภายในห้องเรียนดูเหมือนกับว่ายังไม่เลิก จากเสียงอาจารย์พูดผ่านลำโพงออกมาได้ยินเพียงแว่วๆ..ผนังห้องเรียนของพวกเราถูกทำไว้เพื่อกั้นเสียงอย่างดี แต่ช่างหัววัสดุพวกนั้นไปเถอะ ที่เห็นๆอยู่ตรงหน้านี่หมายถึงบางทีผมอาจจะมาเร็วเกินไปสักหน่อย..ก็นั่นแหละ ผมไม่ได้มีตารางสอนห้องของเราทั้งคู่แบบเขานี่นา..
...จะว่าไป...กลับไปถ่ายเก็บเอาไว้เลยดีมั้ยเนี่ย.. ผมกำลังล้วงกระเป๋าอย่างลังเลใจตอนเดินละออกมาสองก้าว ประตูบานเลื่อนก็เปิดผ่างออกทันควัน
“อ้าวเทียน"
“มาทำไรแถวนี้วะ?”
“ห้องมึงเลิกเร็วชิบ...”
ผมไม่ได้ขาดแคลนเพื่อนขนาดนั้นหรอกครับที่จริง..บางทีพวกเขาอาจจะพยายามหาทางสนทนากับผมมานานมากแล้วก็เป็นได้ นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคมองโลกในแง่บวกของเขาที่ผมติดมาหรืออย่างไรกันนะ..?
การพยักหน้าอึกอักเลิ่กลั่กตอบกลับไปแบบนั้นอาจจะเป็นการตัดบทที่ดีไม่น้อย แต่บรรดาเพื่อนพวกนั้นก็เดินเลยผ่านไปเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะเอาคำตอบ พวกเขาวิ่งไล่เตะกันไปตามทางเดินเหมือนเด็กๆที่ยังไม่รู้จักโต..แต่นั่นแหละ ผมกับพวกเขานั่นอายุเท่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย..
ผมยกมือไหว้อาจารย์ประจำวิชาที่เพิ่งเดินออกมา แกพยักหน้าให้แล้วตะโกนไล่ตามเด็กพวกนั้นไปนิดหน่อย..หลักๆของเรื่องคือการละเมิดกฏโรงเรียนที่พวกเราแหกกันเป็นประจำคือห้ามวิ่งบนอาคาร แต่อย่างว่า..วัยรุ่นน่ะ..ห้ามกันได้ง่ายๆที่ไหน..
การชะโงกหน้าเข้าไปมองในวินาทีถัดไปคงเหมือนเอาหัวไปวางอยู่บนเขียง ผมเลือกที่จะไม่ทำเรื่องโง่ๆที่แสดงให้เห็นความกระตือรือร้นนี้ทันทีที่คิดได้ แล้วกำลังจะเดินย้อนกลับไปที่หัวบันได..เผื่อว่าตอนที่เขาเดินออกมาเราจะแกล้งทำเป็นว่ามัน..บังเอิญเจอกันได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลมาอธิบาย......
“เทียน?” ...ความจริงคือ...ผมคิดเรื่องนั้นได้ช้าไป... ผมถอนหายใจ หันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของผมสีดำสนิทและผิวขาวซีดที่กำลังทำตาโตเหมือนสงสัยในการกระทำของผมเมื่อครู่..เอาเถอะ ผมไม่เหลือหน้าไปแก้ตัวแล้วล่ะ
“ไง"
“โอ้..ไง..” เขายิ้ม
"...ทนคิดถึงผมไม่ได้เชียวเหรอคุณน่ะ?” ..บอกผมทีว่านี่ไม่ใช่การย้อนที่..เจ็บแปลบที่สุด.. รู้สึกตัวอีกทีผมก็ต้องยกมือเสยผมอย่างจนคำพูด ยิ่งสบกับดวงตาผู้ชนะของอีกฝ่ายมันทำให้ผมต้องหันหลังกลับ
“งั้นผมไปล่ะ..”
“เดี๋ยวก่อนสิ! ผมล้อเล่นหรอก...ฮ่าๆๆ"
เขาดึงแขนผมไว้ ผมว่าจะเหลือบสายตาไปมองเพียงอย่างเดียว..แต่สิ่งที่ผมเอะใจจนต้องพูดออกมาก็คือ..
“....ห้องร้อนเหรอ?”
“ครับ?”
“...มือคุณ...ชุ่มเหงื่อเชียว....” “อ้อ" เขาแบดูมือตัวเอง ก่อนจะยกมือข้างนั้นปาดเม็ดเหงื่อจางๆที่ไรผมตัวเอง "คง..นั่งตรงแดดส่องพอดีน่ะครับ"
“..นั่นสินะ..ริมหน้าต่างนี่นา..”
เขาเลิกคิ้ว “นี่คุณแอบดูผมด้วยเหรอ?”
..ทำไมรู้สึกยิ่งพูดยิ่งขุดหลุมให้ตัวเองฟะ.. “เอ่อ...” ผมไม่ถนัดเปลี่ยนเรื่อง แต่สถานการณ์นี้แม่งโคตรบังคับ "...ไปไหนกันมั้ย?”
“สาวหมดแล้วหรอครับเทียน?”
“คุณ..”
“ผมล้อเล่น" อักษรหัวเราะ "รู้มั้ย..ผมดีใจแค่ไหนตอนที่เปิดประตูห้องออกมาแล้วคุณยืนรออยู่น่ะ"
รอยยิ้มของเขาทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบ แล้วถาม "คุณอยากไปไหนมั้ย?”
“ผมสิต้องถามว่าคุณอยากไปไหนรึเปล่า?”
“ผมถามคุณก่อนนะ"
“ผมชอบคุณนะ ผมต้องตามใจคุณสิ"
“...แล้วชอบไม่ชอบมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ"
“งั้นก่อนหรือหลังมันสำคัญด้วยเหรอ"
“อักษร" ผมปรามเขาด้วยการเรียกชื่อ รู้สึกว่ามันประหลาดซะเหลือเกินที่มายืนเถียงเรื่องประหลาดๆแบบนี้ตรงระเบียง
แต่ก่อนที่ผมหรือเขาจะได้พูดอะไรต่อไป เขากลับยืดหลังตัวตรงมองตาผมด้วยแววตาที่มีน้ำใสๆเจืออยู่จางๆ..ก่อนดวงหน้าขาวจะเจือสีเลือดขึ้นมาเพียงนิดหน่อย..ไม่หน่อยหรอก ตั้งแต่ลำคอถึงใบหูเลยทีเดียว..ผมมองเขาก้มหน้าลงเกลี่ยผมทัดหู แล้วหายใจแรงจนแผ่นอกบางใต้เสื้อเชิ้ตนั่นขยับขึ้นลง..
เขายังไม่มีท่าทีจะพูดต่อในสิบวินาทีต่อจากนี้ นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแล้วทัก
“เฮ้”
“ครับ!”
“...เป็นอะไร?”
“คุณ...คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไป..!” คนตรงหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วยกหลังมือปิดหน้า "คุณทำให้คนๆนึงถูกฝูงผีเสื้อกินเนื้อในช่องท้องกัดจนตาย!”
“ผม?” ยิ่งงงหนักล่ะครับ "ผม...ทำอะไร?”
“ผมบอกแล้วไงว่าคุณไม่รู้ตัวหรอก!”
“อะไรล่ะ?”
“...คุณเรียกชื่อผม" “แล้ว?”
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกสะกด
“..ครั้งแรก..” ..คำพูดสั้นๆแบบนั้นทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่า
'ฝูงผีเสื้อกินเนื้อในช่องท้อง' ของเขาทันที..
ผมกลอกตาด้วยไม่รู้ว่าจะโฟกัสไปตรงจุดไหนดีที่ไม่ใช่คนตรงหน้านี่ ก่อนจะยอมเงยขึ้นมาหยุดอยู่ตรงขาแว่นที่ข้างหูของเขา..เอาล่ะ ตอนนี้ผมกำลังมองแว่นเขาไม่ใช่หน้าเขา เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุอะไรที่ผมจะเกิดอาการอึกอักจนพูดไม่ออก อย่างน้อยก็ต้องคายผีเสื้อกินเนื้อออกมาสักตัวสองตัวให้ได้..
“แล้วสรุปคุณอยากไปที่ไหน?” คำถามเดิมเพื่อไม่ให้เขาลืมว่าเราคุยอะไรกันอยู่ ไม่ใช่ว่าผมคิดอย่างอื่นไม่ออกหรอกนะ..
...ซึ่งก็คิดไม่ออกจริงๆน่ะแหละ...
ผมหมุนตัวหันหลัง เดินนำเขาไปตามระเบียงทางเดิน..อีกฝ่ายวิ่งตามมาเดินข้างๆ
“คุณจะพาไปเหรอ?”
“เปล่า เราไปด้วยกัน"
“....คำว่า 'ด้วยกัน' มันกำลังทำให้ผมเคลิ้ม..”
“ด้วยกัน" ผมย้ำ
"ด้วยกัน ด้วยกัน ด้วยกัน ด้วยกัน ด้วยกัน ด้วย....” “เทียน..!!”
“ผมล้อเล่น"
เขาทำท่าเหมือนจะกระชากลิ้นที่ผมแลบออกมาฉีกทึ้ง แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มตามเมื่อเห็นผมยิ้ม..เออ ผมยิ้มผมยอมรับ รู้สึกว่าการได้แกล้งเขาแบบนี้ก็สนุกไม่ใช่เล่น..
อักษรเสียเวลาคิดไม่นานเลยกับคำถามเดิมๆพวกนั้น
“...ถ้าผมบอกว่าอยากไปคุณจะพาผมไปรึเปล่า?”
“ผมบอกแล้วไงว่าเราไปด้วยกัน"
“ใช่ครับ นั่นแหละ..เราไปด้วยกันได้ใช่มั้ย?”
ผมชักสะกิดใจ "ที่ไหนล่ะ?”
“คุณต้องบอกมาก่อนว่าจะให้ผมไป"
“ผมถามว่าที่ไหน?”
“บอกมาก่อนสิ"
ผมมองหน้านิ่ง “นี่ ถ้าคุณไม่บอก.......”
“บอกแล้ว บอกแล้ว! ผมบอกแล้วครับ!” เขายกมือสองข้างทำท่ายอมแพ้แบบเสแสร้งสุดๆ..จนผมอยากจะเอื้อมมือไปผลักศีรษะนั่นสักที..
“ผมอยากไป........โรงเรียนอนุบาล"----------