8th Day : Reasons for.. ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีในความมืดมิด..
..ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านนอก..มันทำให้ผมรู้สึกไม่สู้ดีเอาซะเลย.. หลังจากตั้งสติได้ก็ยันกายลุกขึ้นมานั่งดีๆ ผมใช้เวลาไม่นานในการควานหาปุ่มเปิดโคมไฟที่หัวเตียง..หรี่ตาลงมองนาฬิกาบนผนังห้อง..มันเพิ่งบอกเวลายังไม่ตีสี่ดี..ยังไม่ใช่เวลาที่ยายจะตื่น..และนั่นทำให้ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในบรรดาเสียงแห่งความกระวนกระวายเหล่านั้น..
...และรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล.. ผมกลับเลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม..เพื่อรอให้ประตูห้องเปิดออกด้วยเหตุอะไรบางอย่าง
...แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้น... “.......”
ได้ยินเสียงพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออกนัก แต่เท่าที่รู้คือนั่นเป็นเสียงยาย
ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เพียงแปปเดียว แต่กระแสความตื่นตระหนกอย่างน่าใจหายก็แทรกซึมผ่านมาทุกรูรั่วของห้อง
ผมลุกขึ้นยืนในไม่กี่วินาทีถัดมา เพื่อลากตัวเองที่ยังมีสติไม่เต็มนักเดินไปที่ประตู ทันทีที่ผลักมันออกก็ต้องยกมือปิดตาด้วยแสงไฟจ้าฉับพลัน..มันทำให้รู้สึกมึนตึงไปวูบหนึ่ง
แล้วเสียงยายจะดังขึ้นในเวลาต่อมา..
“ยายทำให้ตื่นเหรอเทียน?” การกระพริบตาปริบๆทำให้แก้วตาปรับแสงได้เร็วขึ้น ผมเห็นยายนั่งอยู่ตรงนั้น..บนเก้าอี้ข้างโต๊ะกินข้าว..ด้วยใบหน้าอิดโรยกว่าตอนก่อนที่ผมจะเข้านอน หรือบางทีผมอาจจะคิดไปเอง..ผู้หญิงตอนตื่นนอนทุกคนคงหน้าตาแบบนี้กันทั้งนั้น..เพียงแต่ผมไม่เคยเห็นใบหน้าแบบนี้จากยาย..มันก็เท่านั้นเอง..
..มีบางอย่างแปลกไป.. ไม่ใช่รอยยิ้มที่มอบให้ผมแบบนั้น เพียงแต่อะไรบางอย่างทำให้ผมต้องถามไปว่า
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เปล่า..เปล่าหรอกจ้ะ" ยายตอบผมทั้งรอยยิ้ม "ไปนอนต่อเถอะไป เราเพิ่งได้นอนเองนี่...”
“ยาย...”
พอเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ ยายก็ก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร
ผมเดินเข้าไปจนถึงโต๊ะกินข้าว เพื่อคุกเข่านั่งเงยหน้ามองอีกฝ่าย..ท่านตัวเล็กลง..หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะผมตัวโตขึ้นจากในอดีตมาก มือบอบบางที่ผมประคองมันขึ้นมาเลยดูจะแตกหักลงไปได้แบบนี้..
“ยายครับ..”
..สิ้นคำทำนบน้ำตาก็ทะลักออกมาทันที.. ยายไม่ได้ร้องไห้สะอื้นเสียงดังหรือโวยวายอะไร ดวงตาพร่ามัวของแกแค่มีน้ำใสๆรินไหลออกมา..ตอนที่เลื่อนมือมาลูบแก้มผมช้าๆด้วยมือสั่นเทาคู่นั้น
“บางที...ยายก็ลืมไปเหมือนกันว่าเทียนของยายโตขนาดนี้แล้ว...” ผมไม่ได้พูดอะไร..คิดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดอะไรขัดยายออกไปในตอนนี้..
“ยายยังจำวันที่เทียนเกิดมาวันแรกได้อยู่เลย..เทียนตัวเล็กแค่นี้เอง...” ท่านยกสองมือขึ้นมาประคองอากาศ..คล้ายกับว่ากำลังย้อนภาพไปไกล "น้ำหนักแค่3กิโลกว่าๆ..ผมยังมีแค่กระจุกเดียวด้วยซ้ำ....เวลาผ่านไปแปปเดียวก็ตัวโตขนาดนี้แล้ว..แถมยังกางปีกบินได้เองแล้วด้วย...”
..เวลาแบบนี้คนปกติต้องพูดอะไรกัน.. ผมนึกไม่ออก ไม่มีแรงแม้แต่จะนึก
ความจริงมันก็สรุปได้เพียงประเด็นเดียว..เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ยายที่เข้มแข็งของผมดูอ่อนแอขนาดนี้ได้ เรื่องนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมีจุกออยู่ที่คอ...แต่ก็ต้องพูดออกไป..
“เรื่อง 'แม่' ใช่มั้ยครับ..?” ยายขยับปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า
“...มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นเหรอ...”
แรกทีเดียวผมคิดว่าอีกฝ่ายจะแกล้งเฉไฉไปเรื่อย..แต่ยายกลับเลื่อนมือมาแตะไหล่ผมไว้
มันทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่อาการรำพึงรำพันเหมือนทุกที ที่นานๆครั้งยายจะลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยอาการกระสับกระส่าย และร้องไห้โดยไม่ให้ผมกับก้านธูปเห็น
“ฟังแล้วตั้งสติไว้นะเทียน" คู่สนทนาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลับมาเป็นยายที่เข้มแข็งสุดๆของผมคนเดิม..แต่นั่นหมายถึงเมื่อครู่ยายรับโทรศัพท์สายสำคัญสุดๆ แหงล่ะ..ถ้าไม่สำคัญจริงใครจะโทรมาในเวลาแบบนี้กันเล่า...
“..ชาร์ล็อตหนีออกจากโรงพยาบาล...เมื่อครู่นี้เอง..”----------
..กลิ่นอับของชั้นหนังสือไม้เก่าๆ..ทำให้รู้สึกผ่อนคลายกว่าที่คิด..
..อย่างน้อยก็ดีกว่าจมปลักอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้เมื่อไหร่.. ผมกำลังพลิกหน้ากระดาษเพื่อไล่สายตาอ่านนิตยสารปักษ์หลังประจำเดือนธันวาคม มีข่าวที่ค่อนข้างหน้าตื่นตากับการรวมตัวกันของช่างกล้องแนวหน้าVsสาวเซ็กซี่รวม30กว่าชีวิตในอัลบั้มบุกป่า..ซึ่งผมขออนุญาตตีความว่าเป็น 'ปลุกใจเสือป่า' อย่างไรก็ดี..การได้อยู่ท่ามกลางสาวเซ็กซี่พวกนั้นก็เป็นความฝันของผู้ชายเกือบทุกคนอยู่แล้ว..แต่ผมก็ไม่ได้อิจฉาอะไรหรอกนะครับ
“FHM...?” ใครสักคนวางหนังสืออีกเล่มหนึ่งตรงหน้าผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตาตื่นใจ
“นี่คุณอ่านนิตยสารอะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย?” ผมไม่ต้องเสียเวลาเดาหรอกว่าใครเป็นคนทักขึ้นมา..แล้วก็ไม่ได้เงยหน้าด้วยซ้ำ
“...มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งน่ะ"
เขายิ้ม "ผมไม่เถียงเรื่องนั้นหรอก"
“อือหึ..”
“วันนี้คุณมาสาย...” “เมื่อเช้ามีเรื่องนิดหน่อย" ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเพียงวูบเดียวแล้วหลุบลง การโพล่งขึ้นไปเหมือนเตรียมคำตอบมาแล้วแบบนั้นช่างดู..ไม่เข้าท่าเอาซะเลย แถมยังให้ความรู้สึกมีพิรุธชะมัด..
และผมไม่ชอบมัน “..น้องก้านธูปไม่สบายเหรอครับ?”
“เปล่า แข็งแรงดี"
“งั้นก็..คงเป็น 'เรื่องอื่น' ..." เสียงนั้นลดลงคล้ายกับว่าคู่สนทนาพูดไม่ออก นั่นทำให้ผมต้องหันควับกลับมามองเขาอีกครั้ง
อักษรยังคงมีรอยยิ้มบางๆทาบอยู่บนหน้า..เพียงแต่ดวงตาใสแจ๋วคล้ายเด็กทารกนั่นกลับก้มลงมองหน้าปกหนังสือในมือโดยที่ไม่สนว่าผมจะมองเขาอยู่หรือเปล่า เขาไม่ได้พูดอะไร..และไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรเร็วๆนี้ด้วย...
...มันทำให้ผมรู้...
.......ความรู้สึกอะไรบางอย่าง...เจ็บแปลบอยู่ในอก... “คุณคิดไปถึงไหนกันน่ะ?”
ผมถามเขา..ด้วยน้ำเสียงที่ออกอารมณ์ฉุนเฉียวไปโดยไม่ตั้งใจ
“ครับ?”
“ผมถามว่าคุณคิดไปถึงไหน?”
“เปล่านี่ครับ" เขาเอียงหน้า "ผมจะคิดอะไรได้"
“อักษร"
“...ได้โปรด อย่าเพิ่งเรียกชื่อผมตอนนี้" ผมถอนหายใจ..แต่ยังไม่ละสายตาไปจากคนตรงหน้า ความรู้สึกผิดบ้าๆเกาะกุมอยู่ที่หัวใจ..จากการที่เห็นเขาแสดง 'สีหน้า' ฝืนๆออกมาจนผมจับสังเกตได้ นี่เป็นความผิดของผมเหรอ? ความผิดที่ทำให้อีกฝ่ายคิดมากไปเองแบบนี้?
..อักษรไม่ใช่คนโง่..แต่ต่อให้เขาฉลาดขนาดไหนก็คงนึกถึงเรื่องอื่นไปไม่ได้..
....และสิ่งที่ผมทำมาตลอดไม่ใช่เครื่องพิสูจน์อะไรเลย...
"......ผมไม่ได้ไปไหน ไม่ใช่เรื่องผู้หญิง" ..เขาไม่พูดอะไร.. “เลิกคิดได้แล้ว"
“ผมไม่ได้คิดอะไรเลยนี่" เขาเถียงควับ "ผมบอกคุณแล้วว่าผมห้ามเรื่องนั้นไม่ได้"
..อยากจะบ้าตาย.. “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ไปกับผู้หญิง"
“คุณจะไปกับใครผมไม่ได้ว่าอะไรนี่...”
“อักษร" ผมปิดนิตยสารที่กางอยู่ตรงหน้าดัง 'ปับ!'
“มองตาผม" เขาลังเล..ก่อนจะค่อยๆช้อนดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมามองตามคำสั่ง ยอมรับว่าเล่นเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจากสายตาแน่วแน่และท่าทางกึ่งเขินอายกึ่งอาจกล้าแบบนั้น..แต่ผมก็ควบคุมมันได้ไม่เลว...
เราสองคนสบตากันอยู่นาน..นานโดยที่ผมรู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ถ้าหากว่าอักษรเป็นคนที่ 'รู้จัก' ผมดีที่สุด..ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆแค่นี้ต้องอธิบายได้แล้ว ผมเป็นเพลย์บอย..ใช่ ผมเป็น และถึงผมจะเจ้าชู้แต่ก็ห่างไกลจากคำว่า 'กะล่อน' มามากโข ผมไม่มานั่งเสียเวลาโกหกใครต่อใครเพื่ออะไรแบบนี้หรอก เพราะฉะนั้นเขาต้องเข้าใจ...
ใช่ ต้องเข้าใจ.. “เทียนครับ"
เจ้าของร่างผอมบางนี่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“ครับ?”
“......คุณเคย...ฆ่าคนด้วยสายตามั้ย?” ผมกระพริบตา เลิกคิ้วไม่เข้าใจ..แต่เขากลับหน้าแดง
“...รับรองได้ว่าผมไม่เขียนไดอิ้งเมสเซสหรอก" ผมจนปัญญาจะโต้ตอบเรื่องอะไรแบบนี้จริงๆให้ตายสิ!
หลังจากโดนหยอดในจังหวะที่โคตรจะ...โคตรจะ...เค้าเรียกว่าอะไรนะ บ้าจริง..สมองผมรวนแบบนี้เพราะอะไรกันวะเนี่ย..สิ่งแรกที่ผมทำคือการหลบตาเขาแล้วตั้งสติ ความรู้สึกร้อนผะผ่าวบนใบหน้าแบบนี้มันไม่ใช่ตัวผมเอาซะเลย..แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมาก ซ้ำยังทำให้เลือดลมสูบฉีดดีใช้ได้...
....แต่นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ประเด็น ผมกระแอมกระไอขัดจังหวะสายตาหวานเยิ้มแบบนั้น เขาเลยรีบปรบมือแปะอย่างรู้ตัว
“โรงเรียนเรามีหนังสือเยอะดีนะครับ ขนาดอะไรที่แบบ...18+ขนาดนี้ยังมีเลย อ๊ะ! บรรณารักษ์ไม่ได้เช็คบัตรประชาชนใช่มั้ยครับ? แต่ถ้าเช็คจริงๆเนี่ยไม่รู้จะเอามาวางทำไมเนอะ ในเมื่อน้อยคนในโรงเรียนจะอ่านได้” เขายิ้มจนตาหยี "แน่ะ! เทียนเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาเหมือนกันนี่นา...”
“...ผมไม่ได้...หยิบมาเพื่อดูสาวๆ"
“เอ๋?”
แทนคำตอบ ผมเลื่อนหน้ากลางของนิตยสารให้เขาดู
“ประกวดภาพถ่าย? โหยยย!! ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะมีของแบบนี้อยู่ในหนังสือประเภทนี้ด้วย! แต่ที่จริงผมก็ไม่ค่อยสนใจหยิบมันขึ้นมาอ่านเท่าไหร่หรอกครับ...นี่เป็นการ 'หางาน' ของคุณเลย ดูถูกไม่ได้จริงๆ...”
ผมขยับยิ้ม บทพล่ามของอักษร อัครมณฑามีอยู่เพียงสาเหตุเดียว..คือการชักแม่น้ำทั้งห้าลงมาเพื่อสรุปความอะไรสักอย่างที่ถึงแม้จะไม่อยากฟัง..แต่ก็อดจะฟังไม่ได้...
กลีบปากบางสีโอรสนั้นขยับขึ้นลงเป็นจังหวะเดียวกับเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความมั่นใจ น่ามองไปจนถึงดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกที่จ้องตรงมาข้างหน้าโดยไม่บิดเบือน อักษรเป็นนักพูดที่ดีพอๆกับนักฟัง นั่นเป็นความสามารถพิเศษที่ค่อนข้างจะน่าประทับใจและไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ได้ มันเป็นข้อยืนยันว่ากว่าเขาจะมา 'ยืน' อยู่ตรงจุดนี้นั้นไม่ง่ายเลย..
......ยืนอยู่ 'ตรงนี้' ก็เช่นกัน... “เทียนครับ?”
ผมเลิกคิ้ว "ครับ?”
อักษรหลุบตาลงต่ำพร้อมแก้มแดงระเรื่อขึ้นนิดๆ
“มองขนาดนั้นผมก็เขินเป็นนะครับ" “อ้าว" ผมยิ้ม "เขินด้วยเหรอ?”
“ใช่สิครับ! คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน!”
“เหมือนจะเคยมีคนสอนผมว่าเวลาคู่สนทนาพูดอะไรอยู่ให้มองเหมือนตั้งใจฟังนะ....”
“..นั่นมันยกเว้นกรณีที่สนทนากับคนที่แอบชอบคุณอยู่ครับ" เขาเถียงทั้งรอยยิ้มอายๆ ก่อนจะยกมือมาทุบป๊อก "อ๊ะ แต่กรณีผมไม่เรียกว่า 'แอบ' แล้วล่ะฮะ ต้องเรียกว่ากำลังพยายาม 'เรียกร้องความสนใจ' อยู่”
“ได้ไปหมดแล้วล่ะ..” “ว่าไงนะครับ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรนี่"
อักษรหลิ่วตาเจ้าเล่ห์
"...แต่ผมบังเอิญได้ยินน่ะ” ..แล้วถามทำไมฟะ.. ผมหลบตาด้วยความรู้สึกอยากยิ้มจนต้องกระแอมกระไอออกมาขัดจังหวะ แล้วดันนิตยสารฉบับเดิมลงไปในตะกร้าหนังสืออ่านแล้วก่อนจะลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าเขาลุกขึ้นตามทันทีโดยไม่รีรอให้ผมสั่งหรืออะไร นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของสุนัข..เอ้ย คนอย่างอดีตเลขานุการคนเก่งที่รู้ดีไปซะทุกเรื่อง..
..ซึ่งคนทั่วไปอาจจะหมั่นไส้ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบตรงจุดนั้นหรอกนะ...
เราเดินออกมากันหน้าหอสมุด ไม่ได้กลิ่นของชั้นหนังสือไม้เก่าๆอีกต่อไปแล้ว..แต่ความว้าวุ่นที่สะสมมาตลอดวันก็ไม่ได้กลับเข้ามาเหมือนก่อนหน้านี้..ช่วงเช้ามืดกับเรื่องแย่ๆเดิมๆที่หนีไม่พ้นสักทีมันก็ยังวนเวียนอยู่ เพียงแต่ผมไม่ทันคิดถึง..
ผมรู้สาเหตุ..แต่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย..
“จะไปไหนน่ะครับ?”
ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นมาจนได้..ผมชนะ
“ชมรม..ผมล้างรูปทิ้งไว้น่ะ"
“เอ๋! ล้างรูปเหรอครับ!” เขาทำตาลุกวาว "ผมดูได้รึเปล่า?”
“ได้สิ ไม่งั้นจะพาไปทำไม"
“ตื่นเต้นจัง..”
“เว่อร์ไป"
“คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ครับๆ คนอย่างผมจะไปเข้าใจอะไรล่ะ"
ผมพูดตัดพ้อด้วยรอยยิ้มที่เบือนออกมาไม่ยอมให้เขาเห็น ก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในตึกตรงหน้าบันได เวลาพักกลางวันอย่างนี้ไม่ได้มีคนอยู่ตามตึกอาคารเรียนมากนัก ส่วนใหญ่จะไปสิงสนามฟุตบอล โรงอาหาร ร้านสหกรณ์ หรือห้องสมุดกันซะมากกว่า
แต่เขากลับเรียกไว้ก่อน "เทียน"
“หืม?”
อักษรกระตุกแขนเสื้อผม แล้วดึงจนเกือบลากไปที่หน้าลิฟท์
แรกทีเดียวผมคิดจะเล่นเกมเหมือนที่เล่นเมื่อครู่ แต่ความฉงนสงสัยจนเก็บไว้ไม่ได้แบบนี้ทำให้ผมต้องยอมแพ้
“ทำอะไรน่ะ?”
เขาไหวไหล่ “ขึ้นลิฟท์ไง"
“แต่แค่3ชั้น....”
“เอาน่า" อีกฝ่ายยืดอกยิ้มหวาน
"ผมมีสิทธิพิเศษ" ผมขมวดคิ้วให้เขา อยากจะถามออกไปเหลือเกินว่าอะไรยังไง..แต่ก็นั่นแหละ เขาชนะตรงที่เขาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม และประตูลิฟท์ก็เปิดออกก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ
ตอนที่ประตูลิฟท์ปิดลงหลังจากที่เราสองคนเดินเข้าไปด้วยกัน มันก็ทำให้ผมรับรู้ถึงความเป็นส่วนตัวที่กล่องเล็กๆแคบๆอย่างนี้กั้นให้..และถ้าจำไม่ผิด..ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้อยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมา ระหว่างที่ผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้แผ่นกั้นอลูมิเนียมนี้เปิดออกเจอหน้าอาจารย์ระหว่างทางเลย..
ผมมองเลขที่อยู่ด้านบนของประตู
...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากให้มันหยุดนิ่ง..ไม่เปลี่ยนไปไหน... ระยะห่างประมาณไม่เกิน1ศอกทั้งๆที่มีที่ว่างเหลืออยู่ในกล่องนี้ค่อนข้างเยอะมันสร้างความตื่นเต้นให้ไม่น้อยทีเดียว อากาศเหมือนจะหายไปหมด...จนผมไม่มีแรงเหลือจะพูด ได้แต่ตระหนักความจริงว่าไอ้ความรู้สึกบ้าๆที่ว่านี่มันสาหัสกว่าที่คิด..
....แต่อาการปั่นป่วนเช่นนี้ก็จบลงเร็วพอๆกับการกระพริบตา.. ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้งในไม่ถึงอึดใจ ผมก้าวขาออกไปด้านหน้าแล้วก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายก้าวออกมาพร้อมกัน เราเงยหน้ามองกัน..แล้วพลันรีบหลบตาโดยอัตโนมัติ
เอาละ สิ่งแรกที่ผมทำต่อจากนี้คือการถอยกลับไปแล้วพยักเพยิดให้เขาออกไปก่อน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งคิดว่าเมื่อครู่เราสองคนรู้สึกแบบเดียวกันหรือ...อะไรก็ช่างมันเถอะ..
ถ้าผมมองไม่ผิดคือเห็นไหล่เปราะบางคลายลงเล็กน้อยหลังจากที่เราสองคนออกจากลิฟท์ นั่นอาจจะมีนัยอะไรบางอย่าง..แต่ผมไม่อยากด่วนสรุปด้วยการคิดไปเอง..
อักษรคงรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่ความเงียบเป็นตัวจุดชนวนมันขึ้นมา..ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น
“ปกติแล้วคุณล้างรูปที่ชมรมตลอดเลยรึเปล่าครับ?”
“เปล่า"
..บ้าจริง..ผมน่าจะเอ่ยประโยคยาวกว่านี้อีกหน่อย.. ผมเกลียดที่ตัวเองคิดแบบนั้น แต่ให้ตายสิ..มันเป็นความจริงที่ว่าผมไม่ได้เป็นนักพูดหรือนักฟังที่ดีเลย
คู่สนทนายิ้ม และหยุดเดินเมื่อเราเดินมาจนถึงหน้าประตู
“ผมศึกษามาพอสมควรครับว่าการล้างรูปเองต้องทำยังไงบ้าง...เห็นว่าต้องใช้ห้องมืดที่ไม่มีแสงด้วยใช่มั้ยครับ? ผมเลยงงมาตลอดเลยว่ามันจะทำอะไรในห้องมืดแบบนั้นได้ก็เลย...”
“ก็...ไม่เชิงหรอก"
..เอาล่ะ ผมว่าผมต้องฝึกพูดยาวๆในเรื่องที่ผมถนัดบ้างแล้ว..ก็อีกฝ่ายอุตส่าห์ยิงมาให้ขนาดนี้แล้วนี่หว่า..
“ที่จริงสมัยนี้ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ห้องมืดหรืออะไรแล้วล่ะเพราะ..เอ่อ..เทคโนโลยีมันก้าวไปไกลแล้ว เพราะมันมีแทงค์รุ่นใหม่ๆเยอะแยะเพียงแต่ผมยังไม่มีปัญญาซื้อรุ่นใหม่มาใช้ที่บ้านน่ะ อย่างที่เห็น..” ผมเดินนำเข้ามาในห้องชมรม..ซึ่งไม่มีใครคนอื่นใช้หรอกครับนอกจากตัวผมเอง "ห้องนี้ไม่ได้มืดอะไรมากเลย และโรงเรียนเองก็มีงบประมาณมากพอที่จะอำนวยเรื่องอย่างนั้น ผมเลยถนัดทำที่นี่มากกว่า...”
“ครับ ผมเห็น"
“อะไรนะ?”
เขายิ้ม ไม่ได้ตอบคำถามนั้น
ผมถอนหายใจ..พอจะเดาได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย..
"อย่าบอกนะว่าห้องส่วนตัวของคุณอยู่ตรงข้ามหน้าต่างบานนี้ไป...?” “เยื้องขึ้นไปหน่อยครับ เห็นหมดเลย..อีกอย่าง...นั่นไม่ใช่ห้องส่วนตัวของผมสักหน่อย"
“ทุกฝีก้าวเลยนะ...”
อีกฝ่ายยืดอก “ไม่มีพลาดแน่นอน!”
..นั่นมันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจขนาดนั้นเลยหรือ?... ผมมุดหัวลอดใต้เส้นเชือกที่ขึงไว้ตากแห้ง..ถึงแม้มันไม่ได้ขึงต่ำมากนักแต่ความเก้งก้างของร่างกายก็ทำให้มันดูงุ่มง่ามเล็กน้อย แต่ผมชินแล้วล่ะ..เพราะถ้าติดสูงกว่านี้อาจารย์เปียที่เป็นคนตัวเล็กมากจะเอื้อมไม่ถึงกันพอดี
อักษรไม่ได้เดินตามมา เขากำลังเพลิดเพลินกับการพิจมองหยดน้ำยาเคมีที่อยู่บนแผ่นฟิล์มสีเข้ม ก่อนจะร้องทัก
“เฮ้ นี่ผมนี่นา"
..อุ๊บส์..ลืมไปว่ามีจากกล้องตัวนั้นด้วย.. ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่มันคงสายเกินไปที่จะแก้ตัว..เมื่อสายตาของอีกฝ่ายจ้องฟิล์มม้วนที่ผมกดชัตเตอร์รัวเมื่อวันก่อนเอาไว้ และนึกโทษตัวเองแทบเป็นแทบตายที่ไม่เก็บ 'หลักฐาน' พวกนั้นให้เรียบร้อย “อ่า..ใช่..."
“ถ้าคิดจะแบลคเมล์ผมด้วยภาพถ่ายตอนหลับล่ะก็คุณพลาดแล้วล่ะครับ"
“ไม่ใช่...”
“ผมล้อเล่นน่ะ" อักษรยิ้มอีกครั้ง
"ผม..ดีใจนะ..” ผมปรือตามองเขา...
..มองตั้งแต่มือคู่นั้นแตะสัมผัสกับภาพถ่ายที่ยังไม่แห้งดี เรื่อยมาจนถึงกลีบปากสีส้มที่ขยับยิ้มเล็กน้อยทุกครั้งที่ดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกใต้แว่นกรอบบางนั่นเคลื่อนมองไปทีละภาพ..ทีละภาพ..ราวกับอยากจะเพ่งลึกลงไปสัมผัสกับอารมณ์หม่นหมองของภาพที่แสดงไว้จนแจ่มแจ้ง..
วูบหนึ่งที่ผมรู้สึกเหมือนสมองว่างเปล่า...
...สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ... "คุณ..."
"หืม?"
เขาเงยหน้าขึ้นมามองทั้งรอยยิ้มบางๆ ให้ผมรู้ว่าเขา 'สนใจ' ในตัวผมเต็มที่
".......เอ่อ....." ผมยกมือเสยผม เสมองไปทางอื่น..รู้สึกกระอักกระอ่วนจนเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมีจุกอยู่ที่คอ..บางทีอาจจะเป็นแค่ผีเสื้อกินเนื้อสักตัวสองตัวที่อุกอาจบินขึ้นมาจากกระเพาะก็เป็นได้..
"...ชอบผม....ตรงไหนหรอ?" ความเงียบปกคลุมอยู่ได้ไม่นาน..ก่อนเขาจะขัดมันด้วยการหัวเราะคิก
...บ้าเอ้ย! เขารู้มั้ยเนี่ยว่ากว่าผมจะถามคำถามนั้นออกมาได้เนี่ยมันคิดนานแค่ไหน...!! "ถามมาได้..." เขาขยับยิ้มกว้างอีกครั้ง แล้วพูดจริงจังชัดเจน
"คุณมีดีอย่างอื่นนอกจากหน้าตาด้วยหรอ?" อืม...
...........ชักอยากเตะแม่งให้คว่ำจริงๆ... ผมเผลอถอนหายใจอย่างโคตรพ่อโคตรแม่จะระอา นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่านับวัน 'อักษร อัครมณฑา' ผู้มีดีกรีเป็นถึงเด็กเนิร์ดชั้นแนวหน้าของโรงเรียนจะ 'กวนประสาท' ขึ้นทุกวัน..
“ผมล้อเล่น! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ!”
“...คุณพลาดแล้วล่ะ...”
“อะไร? ผมพลาดตรงไหน?”
ผมไหวไหล่ "นั่นสิ พลาดตรงไหนกันนะ"
“เทียน!”
“ช่างเหอะ"
“นี่คุณถามจริงจังรึเปล่าครับ?”
“คุณคิดว่าไงล่ะ..”
“ผมขอโทษ...ผมคิดว่าปกติคุณไม่ถามอะไรแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน...ก็เลย..."
“ก็จริง" ผมหยิบไม้บรรทัดขึ้นมาควงเล่น "...แต่คุณเป็นผู้ชาย"
“นั่นเป็นข้อแบ่งแยกหรอครับ?”
“....หนึ่งใน...หลายๆข้อ"
เขายิ้ม แต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรกับคำตอบเมื่อครู่นี้ของผม..ซึ่งก็ดี..ตอนนี้ผมพยายามหาจุดวางสายตาตรงไหนก็ได้ที่ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเขาอยู่
“...ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้ว่าการตกหลุมรักคนอย่างคุณ..ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย" ..คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมกระจ่างขึ้น ซ้ำยังสร้างความงุนงงให้เพิ่มทวีอีกด้วย..
..แต่ถ้าผมยังถามซักไซร้เขามากกว่านี้จะเป็นผมเองเนี่ยแหละที่เสียท่า..
อักษรชอบผมตรงไหน..ชอบมากแค่ไหน..ชอบเพราะอะไร..ชอบมาตั้งแต่ตอนไหน..ใช่..ยอมรับเลยว่าตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำถามเหล่านั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา คำถามที่ไม่เคยคิดมาก่อนสำหรับคนที่ดูถูกตัวเองมาตลอด..
ว่าผมมี 'ดี' อะไรให้เขาชอบ...ขนาดที่ใช้เวลาว่างเกือบทั้งหมดมาขลุกอยู่กับผมขนาดนี้..
กอปรกับความแคลงใจไม่น้อยทีเดียวในเรื่อง 'ความจริงจัง' ของเขา..ถ้าตัดดวงตาดำขลับและใสแจ๋วเหมือนทารกแรกเกิดนั้นทิ้งไป....บางทีสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดอาจจะเพื่อแกล้งผมจากสาเหตุอะไรบางอย่าง..ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยมีความแค้นอะไรกับอีกฝ่าย มันทำให้ผมสับสน..และในขณะเดียวกันด้วยบุคลิกและนิสัยของคนตรงหน้าก็ไม่อาจทำให้ผมตีตัวออกห่างได้เลย..
..อักษรฉลาดเป็นกรด..และเป็นบุคคลที่ประมาทไม่ได้.. ดังนั้นต่อให้ผมตั้งคำถามมากมายขนาดไหนผมก็ไม่อาจหาคำตอบเหล่านั้นได้ด้วยตัวของตัวเองเป็นแน่..ตราบใดที่ทุกอย่างที่เขาทำเขาใช้สมองไตร่ตรองมันก่อนแล้วล่ะก็นะ...
ผมมองเขาระหว่างที่ได้ยินเสียงซ้อมดนตรีจากห้องชมรมดนตรีที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มันดังเบาๆเหมือนเสียงเพลงคลาสสิคที่มีจังหวะเร็วเกินไปหน่อย..แต่ก็ทำให้ภายในห้องนี้ไม่เงียบจนเกินไป..
ถ้า 'คำตอบ' สามารถผุดขึ้นมาจากใบหน้าของคนได้ล่ะก็...ผมอาจจะได้มันเร็วๆนี้..
....เพียงแต่ไม่ใช่... เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมเอียงหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ท่าทางคงจะสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าผมจ้องเขาอยู่...เรามองตากันสักพักก่อนเขาจะยิ้มออกมา..ยิ้มแบบอักษร อัครามณฑา..ที่ทำให้มุมปากผมกระตุกยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้...
และสิ่งที่ผมรู้เพียงประการเดียวตอนนี้..ก็คือความจริงที่ว่า...
....อีกฝ่ายมี 'ดี'