10th Day : ninety-ninth Forever แกรก.. ตอนที่ผมเดินออกมานอกห้องหลังจากแต่งตัวเสร็จถึงได้เห็นยายกำลังนั่งแยกผ้าจะส่งซัก ท่านคงไม่ทันสังเกตเห็นผมหรอก...ในมือที่หยิบจับผ้าใช้แล้วแทบไม่กระดิกด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างที่ไกลออกไป
...และผมพอจะเดาเรื่องนั้นได้ แผ่นหลังของยายที่ผมมองจากจุดนี้ดูบอบบางราวกับจะแตกหักได้ซะเหลือเกิน...ท่านดูตัวเล็กลงไปเยอะทีเดียวนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือน้ำเสียงเนิบๆของผู้สูงอายุต่างชาติที่พูดชัดจนคนไทยด้วยกันเองยังอาย..และความอ่อนโยนทุกครั้งที่เอื้อมมือมาสัมผัสผม...
ยายดีกับพวกเรามาก..ทั้งความรักความอบอุ่นความเอ็นดูซึ่งเราไม่เคยได้รับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์พวกนั้นขึ้น สิ่งที่ยายทำทุกอย่างราวกับต้องการจะชดเชยเวลาเลวร้ายในอดีตให้กับผมและก้านธูป
เคราะห์ดีที่น้องยังเด็กเกินกว่าจะจดจำได้ และตำรวจดีที่ช่วยพวกเราเอาไว้ในคราวนั้นก็สรรหาบ้านใหม่ให้อย่างง่ายดาย เราย้ายมาอยู่ที่นี่..แต่อย่างว่า ข่าวลือหรือคำนินทามันเดินทางได้ไวพอๆกับน้ำที่กระเพื่อมยามมีหินตกใส่ และ 'หิน' ก้อนนี้ท่าทางจะก้อนใหญ่มิใช่น้อย รู้สึกตัวอีกที...สายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาก็แปลกไป..
..ผมไม่ได้แคร์เรื่องนั้นนัก.. และถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมยินยอมพร้อมใจจะให้ทุกคนรู้เรื่องนี้
“มอนิ่งครับยาย" อีกฝ่ายสะดุ้งเพียงเล็กน้อยแล้วหันมามองผมด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ...
เหมือนเคย “มอนิ่งจ้ะเทียน"
ผมอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีก็เพราะ..ปกติแล้วผมก็ไม่ได้พูดมากอะไรอยู่แล้ว จึงได้แต่ทำทีเป็นผูกเนคไทเหมือนไม่สนใจ แต่ก็เหลือบมองอยู่บ่อยๆ
ยายถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้งนั่นน่ะ..
“ยายครับ"
“หืม? มีอะไรเหรอจ้ะ?”
ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ที่ตรงไหนดี
..เอาล่ะ..ใจเย็นๆ.. “แม่เป็นไงบ้างครับ?” ยายเลิกคิ้วเหมือนประหลาดใจเอามากๆ ก่อนจะยิ้มบาง "เมื่อวานเราก็...เจอแล้วนี่?”
“ผมไม่ได้หมายถึง...ลักษณะทางกายภาพ....” เหมือนคำพูดนั้นจะฟังดูตรงตัวไปหน่อย แต่มันก็เคลียร์ดี..ยายสบตาผมคล้ายกับว่าพยายามทำความเข้าใจ และผมหลบตา..ผมโคตรเกลียดที่ตัวเองเอาแต่หนีอยู่แบบนี้...
“...กลับไป..อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วน่ะ" ยายหลุบตาลงแยกเสื้อสีขาวใส่ตะกร้าอีกครั้งหนึ่ง เสียงนั่นไม่ได้สั่นสักนิด "หมอบอกว่าคงจะต้องจับคุมเข้มขึ้น...โชคดีที่ครั้งนี้นอกจากเทียนแล้วไม่มีใครเสียหายอะไร หรือบางทีอาจจะไม่ได้ไปแจ้งความ...”
“ยายเคยไปเยี่ยมแม่มั้ยครับ?”
อีกฝ่ายส่ายหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมเหมือนเคย "เค้าไม่อนุญาตให้เยี่ยมจ้ะ แต่ได้คุยกับหมอของชาร์ล็อตบ้าง"
“ผม...มีเรื่องสงสัยอยู่อย่างนึง" ผมเอ่ยออกไปทั้งๆที่อะไรบางอย่างพยายามห้ามไว้...แต่ความอยากรู้อยากเห็นนี่มันมากกว่านัก ผมไม่คิดว่าคำถามอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับผมในตอนนี้เลย ไม่เลยสักนิด...
คู่สนทนาพยักหน้าให้ผมพูดต่อ ราวกับย้ำความให้ไม่ต้องลังเล
“..แม่..รู้ได้ยังไงว่าผมเรียนที่นั่น?" ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือว่ากระไร แววตาสีฟ้าใสนั่นมีประกายประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่งตอนสิ้นประโยค ผมลดเสียงลงจนเกือบเงียบสนิท..และความเงียบที่เกิดขึ้นนั่นทำให้ผมอึดอัด..
..อึดอัด..ทั้งๆที่ผมไม่ได้อยากจะพูดอะไร.. ผมไม่คิดจะได้รับคำตอบจากคำถามนั้น และนั่นเป็นสัญญาณให้ผมจบการสนทนา..แล้วเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน
“ยายไม่รู้เรื่องนั้นหรอกเทียน"
อีกฝ่ายพูดขึ้น ผมไม่ทันหันไปมอง
“ยายไม่ได้เจอแม่เค้านานแล้ว...ยายเองก็ติดใจเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันจ้ะ"
มันเป็นช่วงเวลานานทีเดียว..กว่าที่ผมจะพยักหน้ารับแล้วก้มลงใส่รองเท้า
“เทียน"
“ครับ?”
“คืนนี้พาน้องไปโบสถ์ได้มั้ยจ้ะ?”
ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง "ได้ครับ"
“เทียน..”
“ครับ?”
ผมยังไม่ได้หันไปเพราะแกล้งทำเป็นสาละวนกับรองเท้าบ้าๆนี่ เพราะผมไม่รู้จะทำตัวยังไงถ้าได้เห็นหน้ายายตอนนี้...ผมไม่ใช่เด็กดี..พูดให้ถูกคือไม่ใช่คนดีเอาซะเลย
“.....เทียนจำเรื่องสมัยเด็กได้ทุกเรื่องรึเปล่า?" “ครับ..."
ตอบรับไปส่งๆด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับประโยคเมื่อครู่นั้น และผมรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะเอาความต่อเช่นกัน
ผมกล่าวลายายทั้งอย่างนั้นแล้วเดินออกจากบ้าน ไม่หันหลังไปเลยสักนิด สาเหตุสารพัดสารเพที่สรรหาขึ้นมาอ้างได้ดีกันไปหมดอยู่ในหัว ไม่ว่าจะเหตุผลข้างๆคูๆอย่างรองเท้ามันใส่ยาก เดี๋ยวจะไม่ทันรอบรถเมล์ หรืออย่างเช่นเหตุผลลึกลงไปหน่อยที่ว่าจะได้เปิดปากระบายความรู้สึกอัดอั้นที่มีอยู่ในใจออกมาด้วยน้ำคำที่ไม่สุภาพเท่าไหร่..
เพื่อปกปิดความจริง...ที่ว่ากลัว...
...กลัว...ว่าจะต้องร้องไห้ออกมา... ..เหตุผล..เป็นเรื่องง่ายเสมอน่ะแหละ..----------
..วันอีฟ.. โรงเรียนเกษรวิทยาเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง รวบรวมเด็กหัวกะทิหรือบ้านรวยหรือมีความสามารถเอาไว้เยอะแยะไปหมด รวมไปถึงบรรดาลูกครึ่งแท้ลูกครึ่งเทียมเดินกันกลาดเกลื่อน ด้วยความที่ภายในโรงเรียนมีเด็กหัวแดงอยู่ไม่น้อย..จึงไม่เคร่งเรื่องกฏระเบียบทรงผมมากนัก และก็นั่นแหละ..คริสเตียนคริสตังเองก็เช่นกัน..
งานฉลองจัดขึ้นในช่วงบ่าย เอาเข้าจริงช่วงเช้าก็ไม่มีใครสนใจจะเรียนอะไรกันนักหรอก มันมีประเพณีประหลาดๆอย่างการทำกล่องของขวัญทำมือขึ้นมากล่องนึง โดยใส่ของสำคัญของเรากับคนที่เรารักเข้าไปข้างใน..หรือเรื่องของการสารภาพรักใต้มิสเซิลโท...แม่งโคตรเป็นประเพณีที่ฮิตมากจนทางสภานักเรียนต้องเอามิสเซิลโทมาห้อยทั้งหมด99จุดเพื่อรองรับกิจกรรมบ้าๆพวกนั้น...
..ตอนที่ผมเดินไปที่โต๊ะ มีจดหมายสอดอยู่ห้าฉบับ..
ฉบับแรก..ของน้องใบเฟิร์น ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะแกเป็นบรรณารักษ์อาสาและผมโคตรจะไปใช้บริการบ่อย โดนหลอกจับมือไปหลายครั้งแล้วทีเดียว..
ฉบับที่สอง..ของน้องขวัญ เอาล่ะรายนี้ผมจำไม่ค่อยได้ จะจำได้ก็แต่น้องเปิ้ลที่อยู่กลุ่มเดียวกันเดินด้วยกันบ่อยๆ ที่จำเปิ้ลได้เพราะหล่อนเป็นแฟนของเจ้าปิงปอง หนึ่งในรักร้ายม.3...ยิ่งนึกยิ่งจำไม่ได้แหะ..
ฉบับที่สาม... ชื่อที่เขียนไว้ทำให้ผมแปลกใจพอสมควร
พี่เทียน ที่ผ่านมาฟ่างคงทำตัวแย่กับพี่เทียนมาก ฟ่างขอโทษนะคะ
ฟ่างอยากคุยกับพี่เทียนอีกครั้ง ไม่อยากให้มันจบค้างคาแบบนี้
หวังว่าพี่เทียนจะมา..และฟ่างจะรอค่ะ
มิสเซิลโท21 หลังบันไดตึกศิลป์ บ่ายสองครึ่ง
ข้าวฟ่าง “โหย ไม่เบานี่หว่าเพื่อน" เสียงไอ้กลอนแขวะดังมาแต่ไกลก่อนมันจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าผม ทำเอาไม่อยากเปิดอีก2ฉบับต่อหน้ามันเลยจริงๆให้ตายเหอะ..
ผมไหวไหล่กลับไป ไม่ได้ตอบอะไร..ส่วนมันก็หยิบ2-3ฉบับออกมาจากใต้โต๊ะแล้วแกะอ่าน
“ต้องปฏิเสธอีกแล้วสิเนี่ย...”
“อืมหึ..” ผมมองหน้ามันแล้วก็คิดอะไรได้
"จริงสิ มึงมีแฟนแล้วนี่หว่า" ที่กำลังกล่าวถึงคือข่าวลือเรื่องแฟน(ฟังดีๆนะครับ แฟน/คนรัก ไม่ใช่กิ๊ก/คู่ขา/คู่นอน) เท่านั้นแหละอีกฝ่ายร้องลั่น
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก" “โอ้ยไอ้สัส ไม่ต้องตะโกนใส่หูกูก็ได้...”
“กูเขิน"
“เขินพ่องดิหน้าตายขนาดนั้น..”
“เอาเหอะน่า แล้วมึงล่ะ? จะเก็บไว้ทั้งหมดเหมือนที่เคยทำป่ะ?”
ผมพับจดหมายข้าวฟ่างเก็บใส่ซองตอนที่ตอบ "ไม่แล้วล่ะ"
กลอนไม่ได้พูดอะไร ผมคิดว่ามันมีเส้นสายและฉลาดมากพอจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างโดยที่ไม่ต้องอธิบาย มันเป็นความเบื่อหน่าย..และยอมรับเลยว่าแรกทีเดียวการได้รับอะไรแบบนี้มันก็สนุกไม่เบา..
...เพียงแต่...ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ... '...คุณมีดีอย่างอื่นนอกจากหน้าตาด้วยเหรอครับ?' .......ทำไมคำพูดของหมอนั่นมันต้องมาหลอกหลอนในเวลาแบบนี้ด้วยฟะ..
ทั้งๆที่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นแท้ๆ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้แหะ..
จริงอยู่ที่เทศกาลแบบนี้ทำให้คู่รักเพิ่มจำนวนขึ้นมาก แต่ในความจริงแล้วพวกเขาก็คบกันได้ไม่นานนักหรอก..มันก็เป็นแค่เทศกาลของคนอยากควงคู่กับคนที่หน้าตาใช่...ยิ่งเกษรวิทยาขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาของผู้เรียนอยู่แล้วด้วย กับอีกประเภทที่มีคติประจำใจว่าอกหักดีกว่ารักไม่เป็น จะว่าไป..จดหมายที่กลอนได้รับก็มาจากทั้งผู้ชายและผู้หญิง...เรื่องของเกย์คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติไปแล้วล่ะมั้งสำหรับสังคมยุคนี้...
มีคนนัดไว้ตอนเที่ยง...
...ให้ตายสิ...ทำไมต้องนัดเวลายุ่งยากด้วยก็ไม่รู้แหะ... ผมถอนหายใจ หันไปมองหน้าต่างของตึกเรียนฝั่งตรงข้าม อักษรไม่อยู่..จึงเหลือทางเลือกเพียงไม่กี่ทางระหว่างโทรศัพท์ไปหาโดยตรงกับเมสเซส และคิดว่าผมจะเลือกอะไรน่ะหรอ..
ไม่ทานข้าวด้วยนะ มีธุระ ข้อความสั้นๆดูหยาบกระด้างไปสักเล็กน้อยตอนที่ผมอ่านทวน แล้วก็ต้องมาด่าตัวเองอีกหลายตลบว่าจะอ่านทวนทำไมถ้าไม่คิดจะแก้มัน หรือพูดให้ถูกก็คือ...ไม่รู้จะแก้เป็นประโยคที่ดูสวยหรูงดงามกว่านี้ยังไงมากกว่า..
เอาน่า...ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น...
...11โมงครึ่ง.. ผมไม่ค่อยเข้าใจตรรกะที่ว่าต้องนัดตัวเลขแปลกๆเผื่อไม่ให้ซ้ำใครจริงๆ พวกหล่อนจะเขียนประมาณ 11.28น. หรืออะไรที่ใกล้เคียงนั่นแหละ แต่ในความคิดผมไม่ว่าจะ28 29 31 หรือ32มันก็สิบเอ็ดโมงครึ่งจริงๆ..ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น
และตอนนี้เองผมยืนอยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทเบอร์17..
บางทีผมอาจจะมาเร็วไป เพราะวันคริสมาสต์ที่โรงเรียนกำลังจะเตรียมจัดงานฉลองแบบนี้แม้กระทั่งอาจารย์เองก็ไม่อยากเข้าสอนเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นห้องเด็กทุนก็ว่าไปอย่าง...ห้องความสามารถพิเศษอย่างผมเปอร์เซ็นการสอนยิ่งต่ำนัก โดยเฉพาะวันแบบนี้ที่หลายคนพาลรับจ็อบทั่วไปหมดจนคนมาเรียนนับนิ้วได้น่ะ...
ในมือผมมีcannonG11ที่ถอยมากเมื่อปีก่อนทั้งๆที่มีข่าวว่าจะออกG12ในไม่ช้านาน...มันเป็นกล้องที่เหมาะกับวันแบบนี้..เล็กๆเบาๆเกาะมืออยู่หมัด ถือว่าถนัดใช้เวลาทั่วไปไม่ใช่งานหลัก....หรือความจริงก็คือผมชอบมันน่ะแหละ
แชะ.. ผมยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ที่มิสเซิลโทของปลอมที่ดูเหมือนของจริงจนน่าประหลาดใจพวงนี้...เลขอารบิค17สีทองต้องแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดกิ่งไม้สร้างลวดลายงดงามจนอดยิ้มไม่ได้
...และไม่นานใครคนหนึ่งก็เรียกผม
“พี่เทียน!” ผมไม่ต้องเดาหรอกว่าเป็นใคร นอกจากคนที่เชิญผมมานั่นแหละ
“ครับ?”
และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเผลอยิ้มเสแสร้งออกไป รอยยิ้มเสแสร้งที่ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวมานับต่อนับแบบนั้นแหละ..ครั้งหนึ่งผมเคยคิดจะแก้นิสัยแบบนี้แต่ก็ดูเหมือนจะ..ไร้ผล
หล่อนมีดวงหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู ผมแสกกลางยาวลงมาถักเปียสองข้างแบบ..ลูกคุณหนูสุดๆ ผมไม่แปลกใจเพราะโรงเรียนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรดาลูกคนรวยมากมายชนิดที่ว่าเดินชนกันอาจจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของเศษตังค์หรืออะไรทำนองนั้นได้ หรือจะให้พิจมองอีกทีหล่อนก็เป็นเพียงอาหมวยน่ารักๆคนหนึ่งเท่านั้น..ผู้หญิงโรงเรียนนี้ถูกฝึกมาให้บริหารความงามเพื่อจะได้ทัดเทียมผู้ชายที่มีชื่อเรื่องหน้าตามาแต่ไหนแต่ไร..
..ไม่ปฏิเสธคนที่เข้ามา..และไม่เคยโหยหาคนที่จากไป.. คติประจำใจของผมทำให้ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ มาตามนัดทั้งที่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรสมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย
“ขวัญเองค่ะ"
อีกฝ่ายแนะนำตัวด้วยท่าทางตะกุกตะกัก เหลือบสายตามองไปด้านหลังถึงได้เจอเพื่อนสาวคนอื่นคอยกรี๊ดเชียร์อยู่ไกลๆ ผมยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่าจะยิ้มไปทำไม..และตอนนี้ผมเกลียดตัวเองที่ต้องทำอย่างนั้นชะมัด..
..ทำไมถึงคิดแบบนั้น..
....นี่มันคือตัวเราเอง...นี่คือสิ่งที่เราเป็นมาตลอดมิใช่หรือ? ความคิดผมกำลังตีกันมั่วโดยพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า คำพูดสำคัญๆที่อีกฝ่ายเพียรพยายามพูดมาก็เหมือนจะทะลุผ่านหูไปดื้อๆ มันไม่ได้ศัพท์ ไม่ได้จับใจ..พูดออกมาจากความรู้สึกล้วนๆโดยไม่มีการกลั่นกรองใดๆทั้งสิ้น ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูสวยหรูไปหมด...
อาจเพราะ...เอ่อ...ผมยอมรับโดยสดุดีตรงนี้เลยว่าผมเองก็หน้าตาดีไม่น้อย เชื้อตะวันตกผมทองตาน้ำข้าวที่ได้รับจากทั้งพ่อทั้งแม่ล้วนๆนั่นทำให้มีผู้หญิงเข้ามาไม่ได้ขาด และสนุกกับความรู้สึกของคนอื่นอย่างตรงไปตรงมาด้วยการกระทำที่โคตรจะหลอกลวงแบบนี้...
ถ้าเพียงแต่ได้รับการสอนเรื่อง 'ความรัก' มาอย่างถูกต้อง..
ถ้าเพียงแต่มีใครสักคนที่ 'รัก' จริงๆจากจุดลึกสุดของหัวใจ.. ..และที่ตอบจบของเส้นความคิดพวกนั้น...คือข้อความแปลกประหลาดก็ดังก้องอยู่ในสมอง..
..ว่านี่.......ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ.. “ขอโทษนะ" ผมพูด...พูดก่อนที่คนตรงหน้าจะทันได้จบประโยคด้วยซ้ำ เจ้าหล่อนชะงักเบิกตาโพลงมองผมราวไม่เชื่อหูตัวเอง ทีมเชียร์พวกนั้นก็เช่นกัน พาลบรรยากาศเงียบกริบลงในทันตา ความงามของต้นมิสเซิลโทดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร..
คำพูดเพียงคำเดียวนั้นเองที่จะเคลียร์คำตอบทุกอย่าง
ผมยืนมองตาอีกฝ่าย..นานจนแน่ใจว่าเธอคงไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นทำอะไรก่อนเป็นแน่ จึงได้ตัดสินใจก้าวเท้าจากไป
ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นมาจากเบื้องหลังที่ผม 'หนี' มา ใครสักคนคงสบถกร่นด่าผมเป็นแน่ว่าถ้าไม่ได้ชอบพอกันแล้วจะมารับหน้าทำไม ผมไม่ใช่คนอย่างสีคราม เจ้าชายของโรงเรียนที่ออกมาพบทุกคนที่นัดในวันนี้เพื่อรักษาน้ำใจและปฏิเสธอย่างสุภาพ และไม่ใช่คนเย็นชาเหมือนพี่ดาวเสาร์ที่ไม่ตอบรับกับใครเลย หรือพี่อิฐที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทศกาลแบบนี้คืออะไร..
..ผมคือผม..
..คือ ทีปพิพัฒน์ คลาไรน์.. และถ้าหากสิ่งที่ผมทำกับผู้หญิงทุกคนเพียงเพราะผมเห็นพวกหล่อนเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกับแม่ แล้วยังคิดจะใช้หน้าตาที่เหมือนคนๆนั้นล่อลวงพวกหล่อนล่ะก็...ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อยู่ไหน ผมยังอายเกินกว่าที่จะเป็นคนกดโทรออกไปก่อน และเมสเซสฉบับนี้ผมไม่คิดว่าเขาจะตอบกลับด้วยซ้ำ..เพียงแค่วูบหนึ่งที่คิดว่าอยากส่ง...ต่อให้เขาไม่ทันเห็นก็เถอะ..
'..คุณรู้มั้ย...ว่าการจะโทรหาคนที่ตัวเองชอบได้มันต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหน..' เพิ่งจะได้รู้ว่าไอ้แค่กดปุ่มสีเขียวๆบนโทรศัพท์มันสร้างความตื่นเต้นให้กระเพาะอาหารได้มากขนาดนี้ก็ตอนนี้แหละ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดใจไป เลยนึกสงสัยอยู่อีกสักครั้งหนึ่งว่าคนที่โทรมาหาผมนั้นเขาหรือเธอ 'กล้า' ที่จะโทรได้ยังไง...
มันนานจนผมกำลังจะตัดใจแล้วขึ้นห้องเรียน ตอนที่ได้รับข้อความตอบกลับที่ว่า
มิสเซิลโทที่99
รีบมานะครับ ^^ ..เทศกาลบ้าๆ กิจกรรมงี่เง่า..
...ให้มันเป็นอย่างนี้อีกสักปีก็คงจะไม่เป็นไร...----------
..แฮ่ก..แฮ่ก.. มันเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งตอนที่ผมวิ่งไปที่โรงอาหาร...เนคไทสีเทาคาดแถบดำสัญลักษณ์ของรักร้ายถูกถอดพาดอยู่บนบ่า เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่หลุดรุ่ยแถมชื้นเหงื่อจนไม่เข้าท่าเอาซะเลย
ผมเจอไอ้จิ๊บตรงร้านขายน้ำพอดี..ถือว่าโชคช่วย
“เมื่อกี้เค้าร้องเพลงกัน 'ไมมึงไม่ไปวะ?”
มันทักผม ก่อนจะทำหน้าเหวอตอนที่ผมคว้าน้ำมันไปกระดกแล้ววางตังค์ใส่มือให้
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น "...มิสเซิลโทมีทั้งหมดเท่าไหร่?”
“...? อะไรนะ?”
“มันมี 'ทั้งหมด' เท่าไหร่?” จิ๊บขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนคิดหนักก่อนจะตอบผม "...99...เค้าลือกันว่าอย่างนั้นนะ?”
“บัดซบ" ผมสบถ "กูเจอ91 95 98”
“เฮ้?” คู่สนทนาท้วง "อย่าบอกนะว่าที่มึงเหงื่ออกซ่กขนาดนี้เพราะมึงหาไอ้99นั่นอยู่น่ะ!?”
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น "รู้มั้ยว่ามันอยู่ที่ไหน?”
“ถามกูแล้วกูจะไปถามใครวะ...อ๊ะ กูเจอละ รอแปป...ล่า! ไอ้ลาล่า!”
เพื่อนสาวคนนี้ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน และนั่นเป็นข้อดีของมันตรงที่ไม่ว่าเราจะถามอะไรมันก็จะใช้พลังทั้งหมดเพื่อหาคำตอบมาให้...นั่นเป็นความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ...
แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนจะโบกกบาลเจ้าแว่นหน้ากลมเกลี้ยงนั่น อีกคนยกมือขอโทษด้วยรอยยิ้มแล้วขอตัวไป
หน้าที่ของผมคือยืนรอมันคาบข่าวมาบอก
“ไอ้ล่าไม่ยอมบอก เห็นว่าเป็น 'ความลับทางราชการ' ...ราชการบ้าอะไรฟะเจ้าเทเลทับบี้เอ้ย!” ..ผมเดาไว้..ไม่ผิดจริงๆ.. อักษรกำลังทำตัวเหมือนเด็ก...เด็กเล่นซ่อนแอบ...หรือการละเล่นที่มีชื่อสวยหรูหน่อยว่าไฮด์แอนด์ซีค
อยู่ไหน? นี่คงจะเป็นข้อความฉบับที่8...หรือบางทีอาจจะ9ก็ได้กระมังตั้งแต่ตอนที่ผมตามหา จนผมคิดว่าผมแทบจะกลายเป็นเซียนพิมพ์ข้อความคำนั้นไปแล้วล่ะ ธรรมดาแล้วมิสเซิลโทจะปรากฏในจุดที่สังเกตเห็นได้ง่ายเพื่อให้สะดวกต่อการทำกิจกรรม แต่เท่าที่ผมเดินหาเนี่ยนับได้ไม่เกิน50ด้วยซ้ำ!
...แล้วไอ้มิสเซิลโทเลข99นี่มันอยู่ที่ไหนกันน่ะ!?! นานแล้วแต่ก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับ ไม่ได้รับมา8-9ฉบับแล้ว ทั้งคำตอบ..ทั้งปริศนา..ทั้งเหี้ยอะไรบ้าบอเริ่มทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ จริงๆแล้วผมเองก็แวะไปที่ห้องเด็กเส้นมาเหมือนกันแต่มันว่างเปล่าแค่มีมิสเซิลโทเบอร์28ห้อยอยู่ นักเรียนทั้งโรงเรียนคงเอนจอยอีตติ้งขนมฟรีกันแบบสุดๆทั้งๆที่ผมยังไม่ได้แตะต้องพุดดิ้ง ไก่งวงหรือเค้กขอนไม้เลยสักคำ..
ช่างมัน...ของหวานไม่ใช่สิ่งที่ถูกกับผมเท่าไหร่อยู่แล้ว...
..และที่นึกมาทั้งหมดไม่ได้เกิดจากความเสียดายแต่อย่างใด อักษรมัวไปทำอะไรอยู่ในเทศกาลรื่นเริงแบบนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด.....
เขา...อยู่ที่ไหนกันแน่? ท่าทางผมคงจะดูอารมณ์เสียพอตัวไอ้จิ๊บถึงได้มองด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้น ก่อนมันจะพูด
“กูไม่ถามล่ะกันว่ามึงหามิสเซิลโทนั่นไปทำไม แต่...รอสักประเดี๋ยวนะ...” มันแสยะยิ้มน่ากลัวขณะหยิบมือถือ วินาทีนั้นเองผมจึงได้เกิดความรู้สึกสำนึกผิดที่ไหว้วานคนอย่าง 'มัน'
แต่ไอ้ครั้นจะห้ามไม่ให้หล่อนกดโทรออกก็ดูเหมือนจะช้าไป...
“ฮัลโหลลล เออยัยโอ แกอยู่ห้องประชาสัมพันธ์ป่ะวะ? หืมมม...เปล่าหรอก ไม่มีอะไรแก คือเราได้ยินข่าวลือแปลกมาเลยว่าจะถามแกเฉยๆอ่ะ เห็นว่าแกน่าจะรู้เรื่องที่สุด..." ไอ้ 'สัส' จิ๊บพูดเสียงแบบนึกคึกสนุกเต็มที่ จนผมรู้สึกอยากจะสะบัดตีนขึ้นมาก่ายหน้าผาก
“อืมม ก็เรื่อง 'รักนิรันดร์ของมิสเซิลโทที่99' อ่ะแก ได้ยินข่าวอะไรมาบ้างป่ะ?" สมองห้องเด็กทุนที่มีไว้ประดับบ่าของมันสำแดงฤทธิ์อีกครั้งหนึ่งในการเสือกเรื่องชาวบ้าน และผมไม่อยากจะนั่งนับนิ้วเลยว่า 'เทศกาลบ้าๆ กิจกรรมงี่เง่า' หลายพันอย่างในโรงเรียนนี้มีต้นเหตุมาจากไอ้จอมกุเรื่องคนนี้สักกี่ร้อย!!
พอจิ๊บวางสายปุ๊บก็มีเสียงประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์ทันที...เนื้อความไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าที่เพื่อนของผมบอกกล่าวออกไป
....เกมการล่ามิสเซิลโทที่99ก็เริ่มขึ้น..บัดเดี๋ยวนั้น...