11th Day : Stalker ..กว่าผมจะตื่นตะวันก็ขึ้นมาถึงกลางหัวแล้ว.. มันเป็นเรื่องยากที่จะลุกออกจากเตียงอุ่นๆในตอนเช้าของวันที่อากาศดีและเป็นวันหยุดแบบนี้ ผมไม่ปฏิเสธความจริงข้อนั้น..ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ชอบใจพวกที่นอนตื่นสายหรืออะไรนักหรอก มันเสียนิสัย แต่ก็นานมากแล้วที่ผมไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจอะไรอย่างเช่นวันนี้..นั่นเป็นข้ออ้างของผมเอง
ยายพาก้านธูปไปโบสถ์ตั้งแต่เช้า ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องตัวเองบ้านก็ไม่มีใคร
..เงียบสงบ..อย่างน่าประหลาด.. ผมเปิดทีวี หวังว่าเสียงของมันจะช่วยทำให้อะไรต่อมิอะไรครึกครื้นขึ้น ผมชักจะเข้าใจยายแล้วล่ะว่าทำไมต้องเปิดทีวีไว้ตลอดทั้งๆที่บางครั้งก็ไม่ได้ดู ความเงียบมันน่าอึดอัดเวลาที่เราอยู่คนเดียว..เช่นวันนี้..
จดหมายในกล่องไปรษณีย์ไม่มีจ่าหน้าถึงผม
กล้องทั้งหมดทุกตัวเองก็เพิ่งผ่านการเช็ดทำความสะอาดไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
การบ้านน่ะหรือ..
ใครเค้าทำกันล่ะ? บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่ไม่กี่อย่าง ผมทานพวกมันอย่างอ้อยอิ่งไปเรื่อย มันไม่มีความรู้สึกว่าต้องเร่งร้อน..ผมไม่ได้เป็นแบบนี้นานแล้ว ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่ต้องทำอะไรมาก่อน เลยหมดเวลาไปกับการนั่งเหม่อและคิดคนเดียวไปเรื่อยตามประสา มันไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่เลว
'ผมรักคุณ' .....
...บัดซบเอ้ย... ..ไม่น่านั่งเหม่อและคิดคนเดียวไปเรื่อยตามประสาเลยจริงๆ..ถ้าหากว่าคำๆนั้นจะผุดขึ้นมาเป็นหัวข้อแรกแล้วล่ะก็ผมควรจะลุกขึ้นไปทำอะไรสักอย่างที่มันมีสาระกว่านี้สิ!
ผมเกลียดตัวเองที่หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ และยิ่งเกลียดที่ความจำตัวเองดีขนาดจำรายละเอียดของฉากนั้นๆได้ทุกเม็ด ทั้งเสียงเกือบกระซิบแหบพร่าที่คล้ายกับว่ากำลังดังมาตามลม มันไม่ได้สื่อถึงความรู้สึกลังเล..เพียงแค่เขินอายจนต้องลดเสียงลงแบบนั้น ทั้งดวงหน้าขึ้นสีที่อมยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาคู่นั้นช้อนมองราวกับเด็กไร้เดียงสาที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ..ให้ตายเถอะ ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ต้องหวั่นไหวกับการกระทำแบบนั้นเหมือนกันหมดนั่นแหละ
...อักษร อัครมณฑา... ไม่เหมือนใคร ไม่ซ้ำใคร และ..
ไม่มีความจำเป็นต้องมีใครเหมือนด้วยซ้ำ คนประหลาดอย่างนั้นมีคนเดียวในโลกก็เกินพอแล้ว
ผมเก็บจานไปล้าง พยายามจะลืมไอ้เรื่องที่คิดเมื่อครู่ไปเสีย..แต่น่าเสียดาย ทำยังไงก็สลัดมันออกจากหัวไม่ได้ ทั้งคำพูดทั้งการกระทำเหล่านั้นยิ่งนึกถึงก็ยิ่งจดจำ...ผมคงจะได้สันนิษฐานว่าตัวเองโดนยาสเน่ห์เข้าแล้วถ้าหากยังไม่หยุดคิดสักที
ให้ตายว่ะครับ...
...ไอ้ความรู้สึก
'อยากเจอ' แบบนี้มันคืออะไร?
เอาล่ะ ผมไม่ต้องการคำตอบ..มันเป็นแค่คำถามเชิงอุปมาที่ผมแกล้งทำเป็นว่ามันไม่สำคัญ แต่คนโง่ที่สุดในโลกก็ยังรู้เลยว่ามันเป็นสัญญาณหมายถึงอะไร ไอ้สัญญาณแบบนี้น่ะมันมีมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย เพียงแต่เราเรียนโรงเรียนเดียวกัน..เพียงแต่ว่าเขาพยายามหาช่วงเวลาและจังหวะทุกครั้งที่ทำได้เพื่อมาหาผมเองโดยไม่ต้องให้ผมบอก
แต่นี่มันวันหยุดสุดสัปดาห์...ต่อให้เขาจะฉลาดเป็นกรดหรือจัดสรรเวลาดีแค่ไหนยังไงเขาก็คงไม่หน้าด้านมาหาผมเองโดยไม่ให้ผมเชิญชวนหรอก เขาสูงค่ากว่านั้น
รู้สึกตัวอีกทีผมก็อาบน้ำแต่งตัว...อยู่ในชุดพร้อมออกจากบ้านเรียบร้อยแล้ว
..ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ? ออกไปข้างนอก เดี๋ยวกลับมาครับ โน้ตที่บรรจงเขียนถูกแปะไว้ที่ตู้เย็น จ่าหน้าถึงยายกับก้านธูปที่จะกลับมาในไม่ช้านานนี้
..ส่วนจุดหมายน่ะ..รู้อยู่แก่ใจดีแล้วล่ะ..----------
รั้วคอนกรีตเปลือยสูงประมาณ3-4เมตรทอดขนานกับพุ่มต้นเข็มออกดอกสีแดงสดยาวเลยไปจนสุดซอย..ต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยแซมให้เห็นระหว่างช่องเปิดของกำแพงคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นสีขาวล้วนโดดเด่นขึ้นจากหมู่บ้านดาษดื่นที่อยู่โดยรอบ จากมุมที่ผมมองลอดเข้าไปเห็นเพียงกิ่งไม้กับโรงจอดรถยี่ห้อหรูเรียงกันอยู่2-3คันและที่ว่างอีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ใช่อสังหาของประชาชนฐานะปานกลางเท่าไหร่..
ผมเคยมาส่งเขาแล้วครั้งหนึ่ง...ครั้งเดียวเมื่อสองวันก่อน แต่เขาให้ผมส่งที่ปากซอยก็พอดังนั้นนี่ก็เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้มายืนหน้าบ้านหลังนี้ และถามว่าผมรู้ได้ยังไงน่ะหรือ? จะต้องให้เดาอะไรอีกในเมื่อชื่อเจ้าบ้านแปะหราอยู่หน้าประตูขนาดนั้น
อิศวร อัครมณฑา ประธานบริษัทนำเข้าและดีไซน์จิวเวลรี่ชั้นนำของเอเชีย รวมไปถึงหุ้นส่วนรองของบริษัทในเครือโยธาการันต์
..เด็กโรงเรียนเราแม่งจะรวยไปไหนวะ? นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถามคำถามนั้นกับตัวเอง และในฐานะประชาชนฐานปีระมิดอย่างผมก็ทำได้แต่ถอนหายใจ แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกเป็นรอบที่ล้าน
'...หมายเลขที่ท่านเรียก..ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...' ..ไปไหนวะ!? กูมาอยู่หน้าบ้านแล้วเนี่ย!! อาจจะหยาบคายไปหน่อยถ้าผมเผลอตะคอกเขาไปแบบนั้น แต่พอมาเจอสถานการณ์ทางตันแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาด้วยวาจาไม่สุภาพ ผมยืนอยู่หน้ากริ่งหน้าบ้านของเขา..แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะกดมันเลยสักนิด
หรือว่ายังไม่ตื่น?
เป็นไปไม่ได้ คนอย่างอักษรดูจะไม่ใช่พวกไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้น..ต่อให้วันนี้เป็นวันเสาร์ก็เถอะ...
...เดี๋ยวนะ.... 'วันเสาร์' อย่างงั้นหรือ? '..ผมมีธุระทุกวันเสาร์น่ะครับ..' ........ชัด...เลย... เมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้วผมยังเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความจำเป็นเลิศอยู่ แต่มาตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วล่ะว่าคนเรามักจะลืมเรื่องสำคัญๆไปเสมอ โดยเฉพาะในเวลาสำคัญน่ะนะ..อย่างเช่นว่าลืมเอาบัตรประชาชนไปผับทั้งๆที่เคยพกอยู่ทุกวัน ลืมใบขับขี่วันที่ตำรวจตั้งด่าน หรือลืมเซฟงานตอนจบทั้งๆที่หมั่นเซฟเป็นระยะ..มนุษย์เราน่าฉงนตรงที่ชอบโง่เอาตอนง่ายๆเนี่ยแหละ
...อย่างเช่นผมในวันนี้..เป็นต้น ผมถอนหายใจมาสามรอบติดโดยที่ยังเอาแต่เงยหน้ามองลอดเข้าไประหว่างซี่กรงประตูรั้ว แล้วตัดสินใจมองไปรอบๆหวังจะหาอะไรทำระหว่างที่รอเขากลับมา...แต่คิดอีกทีการทำอะไรแบบนั้นมันเสียเวลาและไร้ประโยชน์ชะมัด
ภายในบ้านหลังใหญ่ผมได้ยินเสียงสุนัขเห่าออกมาเบาๆ กับเสียงหัวเราะคิกคักนิดหน่อยเลยต้องรีบหลบข้างกำแพง(ซึ่งบอกตรงๆว่าผมไม่รู้ว่าจะหลบไปทำไมด้วยซ้ำ..) อักษรเคยบอกว่าเลี้ยงลาบาดอร์ไว้เจ็ดหรือแปดตัวเนี่ยแหละ อย่างไรก็ตามตัวเลขเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าสปีชี่ส์..และเสียงของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้
ผมกำลังคิดว่าจะหันหนีแล้วเดินออกจากซอยให้รู้แล้วรู้รอด เอาล่ะ..ถ้าจะหนีมันก็ต้องตอนนี้แหละ
แกรก..
“อ้าว พี่...เทียน...?” และเสียงเรียกนั้นก็ทำให้ผมหยุดชะงักลง ก่อนจะหันกลับไปในทันที รุ่นน้องหน้าคุ้นตายืนอยู่ตรงนั้น...พร้อมกับพาฝูงลาบาดอร์ที่ออกมาโลดแล่นบนถนนในซอย เราสบตากัน..ผมยังยืนนิ่งมองตาเขา...ที่เริ่มแสดงอาการบอกบุญไม่รับผิดวิสัยออกมาอย่างชัดเจน
เรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงออกมาจากบ้านหลังนี้ยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างเขาถึงทำหน้าบูดบึ้งได้ ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมกลุ่มก้อนทางอำนาจที่มีชื่อเรียกว่ารักร้าย เราไม่ค่อยได้เปิดบทสนทนาคุยอะไรกันมากนัก หรือให้พูดตามจริงแล้วผมไม่ใช่คนที่จะพูดคุยกับใคร..นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่สนิทกันเลย..
..องศา อัครมณฑา.. บางทีผมก็ลืมไปว่าคนๆนี้มีนามสกุลเดียวกัน..ที่จริง..ก็แค่ไม่ได้มีงานอดิเรกจำชื่อจริงนามสกุลจริงของใครเท่านั้น
อีกฝ่ายก้มหน้าลงไม่ได้ทักทายอะไรเพิ่มเติม แล้วก็ดูจะจดจ่ออยู่กับการให้ขนมเจ้าลาบาดอร์สีน้ำตาลเข้มนั่นด้วยใบหน้าบึ้งตึงซะเหลือเกิน
...ไม่ต้อนรับอย่างชัดเจน... ผมไม่มีเวลาว่างพอมานั่งหาสาเหตุ เพราะแค่คิดว่าจะพูดอะไรออกไปขัดบรรยากาศมันก็ยากมากแล้ว
“ไง" ..สงสัยว่าผมจะคิดน้อยไปหน่อย.. อีกฝ่ายไม่ตอบ ครั้งนี้ผมเริ่มคิดแล้วล่ะว่าเพราะอะไร
“..อักษร..” ผมยิงลูกตรง "อยู่มั้ย?”
“ไม่อยู่" การสวนกลับทันทีแบบนี้ทำให้ผมแทบจะล้มทั้งยืน แต่ก็ยังตีตนวางมาดนิ่งได้เหมือนเดิม
ผมขยับตัวเอามือล้วงกระเป๋า แล้วสอดส่ายสายตาพิจารณาไปรอบๆ..ไม่ว่าจะถนนยามที่แดดส่องลงมาอ่อนๆ..หรือเจ้าหมาที่วิ่งไปรอบๆเป็นขบวน องศาไม่ขยับตัว..เท่าที่ผมรู้มาปกติเด็กคนนี้มักจะพูดมากเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คงมีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้เขาเงียบได้ขนาดนี้ แถมยังทนอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้ได้อีกด้วย
และผมเชื่อว่าเรื่องความอึดทนผมเองก็ไม่แพ้เขาหรอก เล่นมาเล่นไป ใครดีมาดีกลับ..ถ้าร้ายมาก็ไม่มีเหตุจำเป็นต้องดีด้วย ถึงเขาจะไม่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า 'เกลียด' ผมก็เถอะ..
ผมคงไม่ได้ไปแย่งแฟนเขาแน่ๆ..ดังนั้นนั่นไม่ใช่สาเหตุ..
..เหลืออยู่เพียงประการเดียว.. “นายติดพี่เหรอ?” “หุบปากซะถ้าไม่อยากให้ผมต่อยหน้าคุณ!!” คำสวนนั้นผมไม่นึกไม่ฝันมาก่อน มันทำให้ผมเผลอถอยเท้าไปด้านหลังครึ่งก้าว แล้วมองเข้าไปในดวงตาเกรี้ยวกราดที่จ้องเขม็งมาทางผมชัดเจน
“คุณมันเสเพล! ไม่มีความจริงใจ! แค่นั้นก็เป็นเหตุผลที่ผมจะฆ่าคุณได้แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ษรล่ะก็ผมอัดคุณยับตั้งแต่เปิดประตูมาแล้วด้วย!! พี่ษรไม่อยู่ที่นี่...! กลับไปได้แล้ว!!” ผมเพิ่งสังเกตว่ามือคู่นั้นกำหมัดแน่นจนสั่นสะท้านไปถึงไหล่
องศาสูงกว่าอักษรเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาตัวใหญ่กว่าผมเลยสักนิด..แต่คำพูดคำจาชวนตีแบบนั้นคงไม่ได้ออกมาเพราะอารมณ์หรือไม่เคยคิดมาก่อนแน่ๆ ผมมั่นใจได้เลยว่าคนๆนี้คงลอบฆ่าผมได้ถ้าเราอยู่ในหนังสมัยก่อน..แต่คงเพราะอักษรกระมังที่ทำให้เขาต้องอดทนเอาไว้
..ยิ่งคิด..ยิ่งสับสน..
..เกิดคำถามมากมายในสมอง..ตีกันจนหัวไม่แล่น.. แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือสงบอารมณ์และทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา
“อักษร...อยู่ไหนหรือ?”
“...ถ้าแม้แต่ตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน คุณก็ไม่ต้องรู้ไปเลยตลอดชีวิต!” เขาจบบทสนทนาของเราด้วยคำตะคอก พร้อมผิวปากเรียกสุนัขที่แสนจะจงรักภักดีให้วิ่งกลับเข้าบ้าน แล้วปิดประตูกระแทกใส่หน้า ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม..มองลอดผ่านซี่กรงรั้วอัลลอยด์เข้าไปพบกับความว่างเปล่าในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา
ผมถอยหลังมาหนึ่งก้าวก่อนจะกลับหลังหัน มองตรงไปตามทางที่ผมเพิ่งเดินเข้ามาเมื่อชั่วโมงก่อน
ผมลองผิวปากบ้าง และไม่ต้องสงสัยเลย
....ถ้าอักษรมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าก็บ้าแล้ว----------
“...นะ พี่เทียน"
“อืม"
“พี่เทียน!”
“อืม ว่ามาสิธูป"
อีกฝ่ายเอามือเล็กๆทุบท้องผม "พี่เทียนไม่ได้ฟังธูปอยู่เลยต่างหาก"
“พี่ฟังอยู่ ถึงไหนแล้วนะ?"
ผมพูดเอื่อยแล้วกดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ครั้งที่ล้านเห็นจะได้ ก้านธูปดูจะไม่พอใจเท่าไหร่เกี่ยวกับคำตอบนั้น..แต่ก็นะ..ผมไม่มีอารมณ์แม้แต่จะลุกไปง้อแล้วล่ะ
ได้ยินเสียงยายขำออกมานิดหน่อยที่โซฟาตัวข้างๆ พอผมหันไปมอง..ยายก็ยิ้มให้
“ไม่ไปไหนรึเรา?”
“...ไปมาแล้วเมื่อเช้า...มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เปล่าจ้ะ" ท่านหัวเราะหนักกว่าเดิม "แค่นานๆทียายจะได้เห็นเทียนมาเหยียดกายพักผ่อนบ้างน่ะ"
..ก็..วันนี้ไม่มีอะไรทำ.. ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนว่างงานไปจริงๆถ้าไม่ยอมลุกขึ้นมานั่งสักที แล้วเปลี่ยนรีโมทกลับช่องเดิมที่เคยเห็นยายดูละครบ่อยๆก่อนจะลุกไปที่ตู้เย็น อยากจะดื่มอะไรเย็นๆที่ไม่ใช่น้ำเปล่า..น่าเสียดายที่มันไม่มี
“ผมไปเซเว่น ยายเอาอะไรเปล่าครับ?”
“ไม่ล่ะจ้ะ"
ยายตอบแบบนี้ทุกครั้ง และผมก็ซื้อไอศรีมมาฝากยายหนึ่งถ้วยทุกครั้ง
พอเดินไปที่ประตูก็เจอเด็กชายตัวเล็กที่มีศักดิ์เป็นน้องผมกำลังผูกเชือกรองเท้าอยู่ แกกำลังหัดผูก..หรือพูดให้ถูกคือดื้อจัดไม่ยอมให้ผมผูกให้มาร่วมอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะผูกได้เร็วขึ้นกว่าเดิม...อันที่จริงก้านธูปเป็นเด็กที่มีสมาธิสูงนะ และผมก็ค่อนข้างเข้าใจเรื่องที่แกพยายามเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเอง
“จะไปไหนน่ะ?”
ผมถาม อีกฝ่ายมองค้อนควับ
“เมื่อกี้พี่เทียนไม่ฟังธูปจริงๆด้วย!"
“....แล้วจะไปไหนล่ะ?”
“ไปเล่นกับเพื่อน"
“เพื่อนที่ไหน?”
“ข้างล่าง"
“....พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปยุ่งกับเด็กพวกนั้น"
“ไม่ใช่พวกนั้น!” ก้านธูปยิ้มกว้าง "อีกกลุ่มนึง เค้าให้ก้านธูปเป็นหัวหน้าด้วยนะ"
“อ้อ" ผมไม่เชื่อเท่าไหร่หรอกแต่ก็พยักหน้าไป "ที่ไหนล่ะ?”
“ที่เดิม"
“ที่เดิมน่ะมันอยู่ตรงไหน?”
“ที่เดิมไงงง สวนสาธารณะใกล้ๆสะพาน...ตรงน้านน่ะ"
“สะพานไหน?”
“สะพานนั้นไง สะพานอันนั้นน"
“แล้วพี่จะรู้มั้ยล่ะว่ามันอยู่ตรงไหน?”
ก้านธูปมุ่ยหน้าทันที "ธูปไม่รู้จะอธิบายยังไง...อ้อ! สะพานอันนั้นไง สะพานที่พี่เทียนไปช่วยธูปอาทิตย์ที่แล้วไง"
“อ้อ"
ครั้งนี้ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจถ่องแท้
..ความเข้าใจที่หวนคืนมาพร้อมความทรงจำเมื่ออาทิตย์ก่อนชัดเจน ผมยังพูดถูกอยู่ที่ว่าผมมีความจำดี..และมันก็ให้อะไรหลายๆอย่างทั้งเรื่องร้ายเรื่องดีและเรื่องที่ควร...
เข้าใจ... “ธูปไปแล้วนะ!!”
เด็กชายร้องออกมาทั้งๆที่เชือกรองเท้ายังเบี้ยวอยู่ แต่ก็กระโจนไปที่ประตูไวกว่าผมจะคว้าไว้ได้ทันเลยต้องร้องออกไป
“เดี๋ยว! ธูป!”
“ครับ?”
“อาทิตย์ที่แล้ว...ธูปก็ไปเล่นกับเพื่อนแถวนั้นใช่มั้ย?”
“อื้อ" แกหัวเราะ "แต่ไม่ใช่เพื่อนหรอกนะ พี่เทียนบอกเองว่าพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนธูป"
ผมไม่ได้ตอบอะไรเรื่องนั้น และก้านธูปก็จ้องผมเหมือนไม่เข้าใจที่คำถาม..หรือบางทีผมอาจจะทำสีหน้าท่าทางแปลกประหลาดเกินกว่าเด็กห้าขวบจะเข้าใจ อย่างไรก็ดี..ช่วงเวลานี้ผมฉวยแขนไอ้ตัวเล็กไว้ก่อน..และภาวนาให้สมองตัวเองทำงานเร็วมากขึ้น
'..ผมไม่มั่นใจ...แต่มีคนขับรถของผมบอกผมว่าเห็นคนที่เหมือนน้องก้านธูปอยู่แถวๆนี้..' ทุกประโยคของเขา..ผมจำได้ จำได้ดีเลยด้วย
...แถวๆนี้...
คำว่า 'แถวๆนี้' นั่นอาจจะหมายถึงแถวๆเดียวกัน ซึ่งความคิดนั้นมันทำให้ผมพูดออกไปว่า
“รอพี่แปปนึง" “เอ๋?”
ผมไม่ทันมองหน้าก้านธูปหรือยายด้วยซ้ำ แต่ก็ทำแค่สาวขาฉับๆเข้าไปหยิบเสื้อยีนส์ตัวเก่งกับกล้องถ่ายรูป แล้วเดินออกมา
“พี่ไปด้วย"----------
..ที่ก้านธูปบอกว่ายกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม...คือกลุ่มเด็กผู้หญิงเล่นขายของเองน่ะรึ..
ผมอยากจะขำนิดหน่อยตอนที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มองพวกเด็กๆเล่นซุกซนกันในสนามหญ้า..ตอนบ่ายแก่ๆเช่นนี้อากาศกำลังดี แสงแดดไม่แรงและมีลมเย็นพัดตลอดเวลา แต่ไอ้ที่ผมอยากจะค้านพวกเขาสุดพลังที่สุดก็คือเรื่องที่ว่า...ที่นี่...ไม่ใช่สวนสาธารณะที่เปิดให้ใครต่อใครเข้ามาใช้ได้..
...เออ ยอมรับ..มันเป็นสวน.. ...แต่เป็น 'สวนที่อยู่ในโรงพยาบาล' น่ะนะ... แรกทีเดียวผมเอะใจนักว่าใกล้สะพานอรุณอมรินทร์ที่ผมเจอก้านธูปนั้นมันมืดและเฉอะแฉะเกินกว่าจะเจอที่ๆเด็กๆจะวิ่งเล่นกันได้ แต่พอเดินลัดเลาะเลยตัวอาคารเข้ามานิดหน่อยก็เจอสวนเล็กๆที่เป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจของผู้มาใช้บริการอนามัย ที่ค่อนข้างจะมีบรรยากาศดีและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
เด็กๆที่เล่นอยู่ตรงนั้นไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มของก้านธูป แต่มีเด็กแต่งตัวดีๆคนอื่นมาเล่นด้วย ซ้ำยังมีผู้ปกครองนั่งเฝ้านั่งรอกันอยู่เป็นทิวแถว..แหม...ผมไม่อาจจะหาสถานที่ปลอดภัยไปมากกว่าที่นี่ได้เชียวล่ะ
แต่สิ่งที่ผมกำลังเอะใจอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อะไร นอกจากคำๆเดียวที่มีความหมายชอบกลนัก
...ประหลาด... “ธูป"
ผมเรียก อีกฝ่ายหันควับมา
“ฮะพี่เทียน?”
“พี่สอนแล้วใช่มั้ยว่าตะโกนตอบกันมันไม่ดี มานี่"
อีกฝ่ายหน้าจ๋อยเดินมานั่งข้างๆ "ฮะพี่เทียน?”
“ครั้งที่แล้วธูปก็มาเล่นที่นี่หรือ?”
“ครับ"
“อยู่แค่บริเวณนี้หรือ?”
“แล้วก็ไปร้านขนมตรงนั้นด้วย"
“ไม่ได้ออกไปไหนแน่นะ?”
“...ธูปว่าไม่นะ"
“โอเค" ผมพยักหน้า "กลับไปเล่นต่อไป"
..ให้ตายเหอะ ตอนนี้ผมสิรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆชะมัด.. ผมนั่งอยู่นาน..นานมากพอที่คิดได้ว่าตัวเองควรจะลุกขึ้น สัญชาตญาณไม่สู้ดีนี้ทำให้ผมคลางใจ..แทบจะไม่มีสมาธิในการพิจารณาสถานการณ์ที่อยู่โดยรอบ ทางเดินด้านข้างสวนมีนางพยาบาลเดินกันเป็นระยะ..ผู้ชายผู้หญิงที่ดูเหมือนเป็นแพทย์ฝึกหัด..รถเข็นผู้ป่วยบ้าง รถเข็นอุปกรณ์ทางการแพทย์บ้าง และผมก็คิดได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เหมาะกับจะให้เด็กๆมาเล่นกันเลยด้วยซ้ำ
..กลิ่นของโรงพยาบาลมันทำให้รู้สึกแย่
และเป็นสถานที่บ่มเพาะเชื้อโรคโดยแท้จริง.. จะต้องหาเวลาสั่งสอนก้านธูปว่าอย่ามาเล่นที่นี่ แต่จะชักจูงยังไงให้ดูไม่ดุนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
และตอนที่ผมปราดสายตาไปฝั่งตรงข้ามนั่นเองที่ทำให้ต้องสะดุด
..ผู้ชายคนหนึ่งมองตรงมา.. จากตรงนี้ผมมองไม่เห็นหน้าตาเขาชัดเจนนักหรอก แต่อากัปกิริยาที่หลบไปแทบจะในทันทีแบบนั้นมันโคตรจะไม่เนียน
เสื้อโปโลมีปกสีขาว ชายเสื้อเก็บในกางเกงแสลคสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อย..สูงไม่น้อยกว่า170เซนติเมตร..และ...ให้ตายเถอะ ผมมองไม่ทันฟ่ะ เขาเดินไปแล้ว เดินไปเร็วเอามากๆด้วย! พับผ่าเถอะ.....
...แล้วทำไมผมต้องเดินตามด้วยเนี่ย! “พี่เทียน!!”
ก้านธูปตะโกนเรียกผม..ทั้งๆที่ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าตะโกนในที่สาธารณะเพราะมันเสียมารยาท..แต่..
“เดี๋ยวพี่มา!”
..ก็ยังจะเลือกที่จะตะโกนตอบกลับไปทั้งอย่างนั้น โปรดอย่าถาม เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังทำอะไร ผมรู้ดีว่าการทำตามสัญชาตญาณมันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ตอนนี้ผมก็ทำอยู่...ด้วยการเดินเร็วๆไปตลอดทางเดิน ผมหลุดเข้ามาในตึกๆหนึ่งซึ่งผมดูไม่ออกหรอกว่ามันคือตึกอะไร...มองซ้ายมองขวา กระตือรือร้นแบบที่เคยเห็นบ่อยๆในละครหรือหนังแอคชั่นทั่วไปหมด ผมไม่นึกมาก่อนเลยว่าตัวผมเองจะได้มาทำอะไรงี่เง่าแบบนี้...และ....
.......เจอแล้ว...!! เขาไม่เห็นผม และผมเชื่อว่าเขาคงยังไม่เห็นต่อไปในอีกเร็วๆนี้ ผมหยุดเดิน..หันข้างไปแกล้งทำเป็นหยอดเหรียญกดน้ำอัดลม..พร้อมเหลือบสายตามองเขา...เขายืนพิงเสาอยู่ไม่ไกลนัก และมองไปทาง........ห้อง....ตรวจ...
ที่หน้าอกของเขาปักตัวอักษรสีเลือดนก...เขียนชื่อบริษัทที่ผมโคตรคุ้นตา....
บริษัทในเครือของอัครมณฑา... ....ผมเกลียดลางสังหรณ์ตัวเองชะมัด... และเกลียดอีกด้วยที่ตัวเองหยิบน้ำอัดลมขึ้นมาสองกระป๋อง เดินตรงไปหาเขา..ที่เมื่อมองเห็นผมกลับสะดุ้งสุดใจ
“สวัสดี" พร้อมยื่นกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงอันหนึ่งไปตรงหน้า
ผมรู้ว่าการพูดเช่นนั้นมันกวนประสาทพอสมควร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นที่จะไล่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมอีกแล้ว และความจริงที่ผมต้องรู้...ต่อให้ต้องออกมาจากปากของคนที่ไม่ใช่ 'อักษร อัครมณฑา' ตัวเป็นๆก็เถอะ...
“...คนขับรถของอักษรใช่มั้ยครับ?” เขาพูดออกมาจากปากเองว่ามีธุระทุกวันเสาร์..
เสาร์ที่แล้วอักษรเจอก้านธูปที่นี่..
และเสาร์นี้เขาก็มาอีกเช่นกัน.. ...คำว่า 'โรงพยาบาล' ให้ความรู้สึกไม่ดีเสมอนั่นแหละ..====================
สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย ครึ่งตอนเนอะ 55555 #เลวได้อีก
ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากมากค่ะ ยอมรับเลยว่าทำใจเขียนยาก กร๊ากกกก
ใกล้ถึงไคลแมกซ์แล้ว! กลางเรื่องแล้วด้วย! เย้! (สั้นสุดๆเท่าที่เคยเขียนเลยค่ะสำหรับเรื่องนี้..)
เฉลยด้วย ใครจำน้ององศาได้บ้างคะจากปฏิบัติการณ์รักร้ายฯได้บ้างคะ? 555
นั่นแหละ..อืม ไม่รู้จะสปอยอะไร งั้นไม่บอกล่ะกัน กรั่กๆๆ
เซอร์ไพร์สท่าจะดีที่สุด...
'อักษร' เป็นพี่ชายคนโตค่ะ และก็คงเดากันไม่ออกหรอกว่า 'องศา' เป็นน้อง
แต่ก็นะ พวกเราเองก็จะรู้ไปพร้อมๆกับเทียนนี่แหละค่ะ : D
โปรดติดตามครึ่งหลัง ดุเด็ดเผ็ดมันกว่าเดิม(มันใช่แนวเรื่องนี้ที่ไหนล่ะอิบ้าาา)
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ozaka*
