11th Day : Stalker [2/2] “คุณษรให้กระผมดูรูปคุณเทียนบ่อยๆครับ ตัวจริงหล่อกว่าในรูปเยอะเลย!”
“อ้อ งั้นหรือครับ..”
“ขอโทษนะครับที่ไม่สุภาพ...กระผมอยากรู้ว่าคุณเทียนสูง...”
“...187ครับ"
“โอ้วว มิน่าถึงสูงกว่าคนทั่วไปเขา จริงสินะ..คุณเทียนเป็นคนฝรั่งเศสใช่มั้ยครับ?”
“ครับ ใช่"
..เดี๋ยวก่อนนะ..
..ผมว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะ..... ไอ้เรื่องที่จะเค้นความจริงจากคนตรงหน้าน่ะตัดไปได้เลย ผมไม่ได้เป็นคนพูดชักชวนใครเก่ง...และไม่อยากจะคิดเกินเลยไปถึงเรื่องที่ว่าคนจากบ้านอัครมณฑาทุกคนมีทักษะในการกลบเกลื่อนได้อย่างแนบเนียนไปจนถึงคนขับรถ..
ผมยังคงเออ ออห่อหมกต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่มีจังหวะพูด ชายวัยกลางท่านนี้แนะนำตัวว่าเป็นคนขับรถของอักษรจริง แกทำงานให้ตระกูลนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบปี สถานะโสดไม่เคยแต่งงานไม่มีบุตร บ้านเกิดอยู่อุดรธานี ชื่อว่าสมโชค ซึ่งในที่นี่แกบอกให้ผมเรียกว่าลุงโชคได้เลยไม่ถือสา..
...แล้วผมจะไปรู้เรื่องส่วนตัวลุงแกทำซากอะไรวะ? “นี่ไง" ลุงโชคหยิบโทรศัพท์จอสี่สีของแกให้ผมดู สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือรูปของก้านธูป..ที่พอเลื่อนไปเรื่อยๆก็เห็นหลายช็อต..หลายชุดไปรเวท มันทำให้ผมขมวดคิ้ว
"น้องก้านธูปแกมาที่โรงพยาบาลนี้บ่อยๆครับ คุณษรบอกว่าเป็นน้องชายของคุณ..ผมเลยคิดว่าถ่ายเก็บไว้คงไม่เสียหาย"
ถึงจะสับสนแต่ผมก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป..
เจอช่องแล้ว... “คุณเองก็มาที่โรงพยาบาลนี้บ่อยหรือครับ?” “ครับ ทุกวันเสาร์...พาคุณษรท่านมาตรวจ.........
อ๊ะ"
..เบ็ดหลุดซะงั้น.. ลุงโชคถนัดแถ แต่เป็นประเภทเก็บอาการไม่เก่งครับ..เพราะงั้นพอแกเผลอหลุดคำตอบแบบนั้นก็เลยยกมือปิดปาก ผมถือวิสาสะมองหน้าแกตรงๆแบบไม่เกรงใจ หวังจะใช้สายตาที่หลายคนบอกว่าดุนักดุหนาคว้านความลับออกมาให้หมดไส้หมดพุง
“ลุงโชคครับ"
“เอ่อ....คือว่า...”
ยิ่งเห็นแกอ้ำอึ้ง ผมยิ่งหมดความอดทน..แถมมือทั้งสองข้างยังเผลอกำแน่นขึ้นมาอย่างลืมตัว
“...ผมขอล่ะครับ อักษรเป็นอะไรกันแน่" ผมไม่รู้ว่าผมจะก้มหน้าไปทำไม..ทำไมถึงกลายเป็นผมที่หลบตาซะเอง แถมเสียงที่เปล่งออกไปเมื่อครู่ทำไมต้องเบาและสั่นขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้..รู้แค่ว่าตอนนี้ผมคุมตัวเองไม่ค่อยได้เท่าไหร่ หลายอย่างในสมองมันตีกันไปหมด
...มันจะดีแล้วหรือที่ผมจะรู้...
...ผมอยากรู้คำตอบ...หรือกลัวคำตอบกันแน่..? มันเป็นความเงียบที่ทำให้ผมพูดไม่ออก แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็พูดขึ้น
“ลุงพูดเองไม่ได้หรอกครับ...คุณษรสั่งไว้...”
นั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมา ชายตรงหน้ายิ้มให้ผมด้วยความ..อิ่มใจ..
“..คุณษรโชคดีที่รักคุณเทียน" ...นั่นมัน...
…..ต้องกลับกัน...มิใช่หรือ...? ลุงโชคบอกให้ผมตามแกไป ผมไม่รู้ว่าแกจะพาไปที่ไหน..ขนาดตึกนี้คือตึกอะไรผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เราเดินผ่านคนมากมาย..เคาน์เตอร์พยาบาล..ที่นั่งรอหน้าห้องจ่ายยา..ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ..คนเริ่มบางตาลง นั่นหมายถึงคนที่มองผมก็น้อยลงตามไปด้วย รูปลักษณ์ภายนอกผมคือชาวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบ..ซึ่งโดดเด่นขึ้นมาดื้อๆเมื่ออยู่ท่ามกลางคนไทยล้วน
จากสถานที่ที่ดูเก่าๆผู้คนพลุกพล่าน มาถึงชั้นที่เป็นทางเดินสีขาวและห้องหับที่ดูราวกับผ่านการต่อเติมมาจากชั้นล่าง คนตรงหน้าผมทักทายกับนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ และส่งสัญญาณให้ผมไปนั่งรอที่โซฟา
ผมทำตามโดยไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด...โซฟาสีครีมอ่อนที่ยังมีกลิ่นใหม่ๆอยู่ช่างน่านั่งสุดๆในเวลาแบบนี้ มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกาแฟ และผมคิดว่าคงไม่มีอะไรทำไปสักพักใหญ่จึงหยิบมันขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
..มันเป็นชั่ววินาทีที่ผมไม่อยากเงยหน้าจากตัก หรือจากหนังสือพิมพ์ที่ผมกางอยู่เลย..
ความคิดโง่ๆแทรกเข้ามาในหัว...ความคิดที่ว่าผมควรจะปิดหนังสือพิมพ์ฉับแล้วลุกออกไปจากที่ตรงนี้เสีย
ความคิดโง่ๆที่ทำให้ผมรู้ตัวว่า...
ผมกลัวที่จะรู้คำตอบมากแค่ไหน.. เพียงแต่ผมไม่ได้ทำตามความคิดพรรค์นั้น ตัวหนังสือตรงหน้าที่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ..ผมต้องทำสมาธิก่อน ต้องตั้งสติ...ทำทุกอย่างที่จะเรียกให้น้ำเสียงที่จะเอ่ยหรือแววตาเมื่อต้องเงยหน้ากลับไปเป็นเหมือนเดิม
...เป็นทีปพิพัฒน์ คลาไรน์...ที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับอักษร อัครมณฑา “เทียนครับ" เฮือก! ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นสิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือหัวใจที่เต้นโครมคราม ผมใช้เวลานานพอสมควรที่จะเงยหน้าขึ้นมา..เพื่อมองเขา
อักษรยิ้มอ่อนให้ผม เขาดู..ตัวเล็ก..บอบบาง..และดูราวกับจะทรุดตัวลงได้เมื่ออยู่ในชุดสีเขียวอ่อนของคนป่วย...จะว่าไปชุดแบบนี้ก็ทำให้ใครต่อใครดูโทรมกันได้ทั้งนั้น เขาไม่ได้มีขอบตาคล้ำหรือแก้มตอบ ไม่ได้หมดสภาพเหมือนนางเอกยามล้างเครื่องสำอาง..
เขาคืออักษรคนเดิมเพียงแค่เปลี่ยนชุดเท่านั้น ..นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องท่องจำให้ขึ้นใจ เขาขยับตัวนิดหน่อย ก่อนจะพูด
“ขอนั่งนะครับ"
“อ..อืม" ผมตอบรับ พับหนังสือพิมพ์และโยนไว้บนโต๊ะด้วยความเร็วชนิดที่ว่าเห็นแล้วก็รู้เลยว่าลน แต่วินาทีนั้นผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงควบคุมตัวเองไม่ได้
อักษรไม่ได้ทักเรื่องนั้น และผมนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ
เขาไม่ได้สบตาผม มันทำให้ความเงียบเข้าครอบงำอย่างช้าๆ..โซฟาสีครีมตัวใหม่นี่ก็แทบจะกลายสภาพเป็นเก้าอี้หนามแหลมไว้ในทรมานตน ผมกระสับกระส่ายขึ้นมาดื้อๆ...นั่นหมายถึงผมรู้ดีว่าเขาจะไม่พูดอะไรต่อ
“คุณ...เป็นไงบ้าง?” ผมถามเขาออกไป ไม่รู้ว่าพูดแบบนั้นมันจะดีรึเปล่า...แต่ถ้าทิ้งไว้แบบนั้นนอกจากผม..
เขาเองก็คงอึดอัดใจด้วย.. อีกฝ่ายยิ้ม "ก็อย่างที่เห็นแหละครับ"
..คำตอบที่ทำเอาผมพูดต่อไม่ออกเลยทีเดียว.. เข็มนาฬิกาที่ข้างฝามันดังเกินไปรึเปล่านะ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มันเงียบเกินไปรึเปล่านะ..การที่อักษรไม่พูดและไม่สบตามันตีความได้หลายความหมาย แต่โดยรวมๆแล้วผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการมาของผมในเวลานี้มันทำให้เขาหนักใจ ลำบากใจ..แต่เพราะเป็นอักษรถึงได้ไม่ด่า ไม่ไล่ผมออกมา..
ความคิดโง่ๆเกิดขึ้นมาอีกครั้งทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย
..ในเวลาแบบนี้..ผมควรต้องคิดถึงเรื่องที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดมิใช่หรือ?
..ไม่ใช่ทำให้เขาอึดอัดแบบนี้.. ผมกำลังซ้อมยิ้มอยู่ในใจระหว่างรวบรวมความกล้า ไม่ได้..ยิ้มแบบนี้เจ้าชู้เกินไป..ยิ้มแบบนี้เสแสร้งเกินไป..ยิ้มแบบนี้ดูไม่จริงใจ..ยิ้มแบบนี้เหมือนเอือมระอา..ยิ้มแบบนี้เหมือน.....แย่ละ ผมควรจะสวม 'รอยยิ้ม' อันไหนดีกันนะ...
โง่ในเวลาที่ไม่สมควรจะโง่ ไอ้เทียนเอ้ย! “คุณ...เสร็จจากที่นี่กี่โมงหรือ?”
ผมถามออกไปในที่สุด ใช้เวลาไตร่ตรองคำพูดนั้นมาเป็นนาที
“ครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นจนได้ ความตกใจทำให้ผมลืมยิ้มไปสนิท..แต่จะให้ยิ้มมันก็เห็นจะไม่ทันแล้วล่ะ
“..ผมถามว่าเลิกกี่โมง?"
“อา...ประมาณห้าโมงครับ"
“โอเค" ผมมองนาฬิกา "อีกชั่วโมงเดียว"
“.....ทำไมเหรอครับ?”
เขาทำหน้าสงสัยแล้วกระพริบตาปริบๆเหมือนลืมไปหมดแล้วว่าโกรธผมอยู่ ภาพนั้นทำเอาผมอยากจะคว้าเขามากอด แต่ก็ทำเพียงเอื้อมมือไป...แตะแก้มเขาแผ่วเบาแล้วรีบชักออกมา..
“คุณทานอะไรได้บ้าง...ไม่สิ คุณทานอะไรไม่ได้บ้าง?”
“อะไรครับ?”
“ชีส? แล้วอะไรอีก?...ของคอลเลสเตอรอลสูงๆ?”
อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังงงอยู่ แต่ก็พยักหน้ารับ
“เนื้อสัตว์ล่ะ?”
“ทานได้บ้างครับ"
“อาฮะ"
“เทียนครับ"
“ครับ?”
“มี..อะไรรึเปล่า?”
ตอนนั้นผมยิ้ม โดยลืมคิดไปแล้วว่าตัวเองยิ้มแบบไหนออกไปอยู่
“..มื้อเย็นครับ ผมเลี้ยงเอง"----------
..เรื่องที่อักษรไม่อยากให้รู้..ถึงผมรู้ไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา..
พวกคุณคิดแบบนี้กันรึเปล่าครับ..? เสียงคณะดนตรีเร่ที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้บรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา มันเป็นช่วงเวลาที่แสงสีส้มอ่อนสาดกระจายบนท้องฟ้าอันเป็นสัญญาณทักทายยามราตรี ไฟริมทางเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติส่องแสงสีส้มอ่อนสว่างไสวเป็นจุดๆไปตามโต๊ะอาหารนั่งพื้น สะพานแขวนดูเหมือนจะเป็นทิวทัศน์หลักที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้ามาใช้บริการร้านอาหารพื้นบ้านเช่นนี้..
มันเป็นร้านโรแมนติกในวงเงินที่ผมสามารถจ่ายได้ นั่นเป็นปัจจัยหลัก
และการที่คนตรงหน้ามองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจแบบนี้ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า..วันหลัง 'เรา' คงได้มีโอกาสมากันอีก
ผมสั่งอาหารรอไว้ก่อน ขณะที่เขาเดินไปถึงขอบกั้นติดแม่น้ำ..แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ในขอบเขตของสายตาผม แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องฝั่งตรงข้ามค่อยๆติดขึ้นมาทีละดวงเมื่อตะวันคล้อยต่ำ จนในที่สุดบริเวณนี้ก็ตกอยู่ในม่านสีดำของรัตติกาล
เขาดูจะยังโกรธผมอยู่ เพียงแต่เขาพยายามเก็บไม่แสดงออกมา..ซึ่งถ้าไม่ใช่อักษรคงทำไม่ได้ขนาดนี้
แต่ก็นะ...
บรรยากาศแบบนี้เขาคงโกรธได้อีกไม่นานนักหรอก.. ความงามของทิวทัศน์มันอดไม่ได้ที่จะทำให้ผมถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศเอาไว้ ก่อนจะเดินไปใกล้ๆเขา
อักษรหันมามอง แล้วยิ้มให้...การกระทำเช่นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี..
“....ชอบมั้ย?” ผมถามเขา..บางทีเสียงอาจจะอ่อนเกินไปหน่อยกระมัง
“หมายถึงชอบร้านนี้..หรือว่าชอบคุณกันแน่ครับ?”
..เอาล่ะ กลับมาแล้ว..
..คนที่ชอบพูดจาหวานๆที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เถียงไม่ออกแบบนั้นกลับมาแล้ว.. “คุณรู้จักร้านนี้ได้ยังไง?”
เขาถามผมด้วยแววตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารก และรอยยิ้มที่ไม่ต่างกันมากนัก..มันทำให้ผมยิ้มออก
“เคยเดินผ่านน่ะ...ไม่เคยมาหรอก"
“สวยดีนะครับ"
“อื้อ" ผมมองเขา "สวย"
“....คุณหมายถึงร้านหรือตัวผมน่ะ? โน่น ผมให้มองตรงโน้นครับ"
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ใช้งานกล้องถ่ายรูปนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด จริงๆแล้วสมรรถนะของกล้องคอมแพคมันก็ไม่เลวร้ายนัก หรืออาจจะเพราะในเวลาดีๆแบบนี้อะไรๆก็ดูดีไปเสียหมดก็ไม่รู้
หลังจากที่เรายืนดูกันไปพักหนึ่งในความเงียบ อักษรดูมีความสุขโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ผมเองก็ไม่คิดว่าพร้อมจะพูดอะไร ลมเย็นๆของฤดูหนาวก็พัดมา...และผมรู้ว่าสิ่งที่พระเอกในนิยายต้องทำคืออะไร...คืออย่างน้อยก็ต้องถอดเสื้อยีนส์ที่ตัวเองสวมอยู่เพื่อคลุมให้เขา...และพอเอาเข้าจริงๆไอ้การกระทำดั่งว่าก็เสือกชวนเขินมากกว่าที่คิด
อักษรยิ้มให้ เขาไม่ได้แซวอะไรเพียงแค่ห่อตัวอยู่ในเสื้อผม..เลยยิ่งทำให้เขาดูเล็กและบางจนหักได้ขนาดนั้น..
ไม่นานบริกรก็มาเรียกเราเพราะอาหารพร้อมเสิร์ฟแล้ว
“จิ้มจุ่มน่ะ" ผมบอกระหว่างที่เรากำลังเดินไปที่โต๊ะ "เคยทานมั้ย?”
อีกฝ่ายหัวเราะ "ไม่เคยครับ แต่ผมว่ามันคงคล้ายๆชาบู"
“อืม...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง"
“คุณเคยทานเหรอ?”
“ไม่กี่ครั้งครับ แต่..ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรหรอกนะ"
ผมคุกเข่ารอให้เขานั่งเรียบร้อยก่อนถึงจะนั่งตาม รอบตัวไม่ได้มีคนหนุ่มสาวมากมายนัก..ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทที่มากันเป็นคู่ๆ ดังนั้นความสงบที่มีเสียงดนตรีสดขับกล่อมแบบนี้ถึงได้ทวีความโรแมนติกขึ้นไปอีก
พอเขาจับตะเกียบ ผมก็ส่งสายตาบอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ..มันถึงคราวที่ผมต้องบริการบ้างแล้วล่ะ
และเขาก็ทำตัวดีนะ นั่งเรียบร้อยเชียว
“แล้วน้องก้านธูปละครับ?”
“กลับไปแล้วล่ะ ผมไปส่งตอนที่รอคุณน่ะ"
“หวา งี้น้องก้านธูปไม่เสียใจแย่เหรอครับ? ที่ไม่ได้มากินด้วย..."
“ไม่รู้สิ" ผมหลบตา "แค่รู้สึกว่านานๆอยู่กันสองคนก็ไม่เลว"
“...ออกจะบ่อยไป"
..นั่นสิ..ออกจะบ่อยไป.. ผมควรจะเปลี่ยนเรื่อง “คุณชอบกินเนื้ออะไรมากที่สุด? หมู? ไก่? วัว?”
“ฮะๆ เมื่อก่อนผมเป็นคอโคขุนเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้กินปลาเยอะเป็นพิเศษ..ย่อยง่ายดี"
ผมไม่ควรถามต่อ "งั้นกินแต่ปลาไปล่ะกัน"
“ไม่นะ!”
“ล้อเล่นครับ เอ้า นี่หมูนะ"
เขายิ้ม "ขอบคุณครับ"
..จากนั้นเสียงกีต้าโปร่งก็กลายเป็นเสียงไวโอลิน.. ผมและเขาหันไปมองพร้อมกัน เด็กหญิงอายุไม่น่าเกินสิบขวบคนนึงยืนเปิดหมวกอยู่ตรงนั้น..เป็นลีลาและเทคนิคการบรรเลงเพลงที่ทำให้ผมคิดว่าเธอคงเข้าเกษรวิทยาได้ไม่ยาก ท่วงทำนองที่สอดคล้องกับเม้าท์ออร์แกนของชายวัยกลางที่นั่งอยู่ข้างๆ...มันชวนให้ดื่มด่ำน่าลุ่มหลงขึ้นมาง่ายๆ...
คู่ชายหญิงที่นั่งโต๊ะถัดไปหยิบแก้วไวน์ที่พกมาเองเพื่อริน โต๊ะถัดไปมีหมอนอิงส่วนตัว...นี่เป็นสถานที่ที่ให้ความเพลิดเพลินและเป็นส่วนตัวมากกว่าที่ผมคิด...อักษรหลับตา..โยกศีรษะไปตามเสียงเพลงราวกับว่าเคลิบเคลิ้ม..และผมเองก็มองภาพตรงหน้าไม่วางตาเช่นกัน
“...ขอโทษนะที่ไม่มีช่อดอกไม้.." ผมพูด เขาหันมามองผม
“มีแต่วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนกับเสียงไวโอลินเพราะๆ...ไว้แก้ตัวคราวหลังนะ" ดวงตาที่มองตรงมาที่ผมเหมือนจะมีน้ำคลออยู่จางๆ..ก่อนที่เขาจะยกมือทั้งสองข้างเพื่อปิดหน้าตัวเองเอาไว้
“....แค่นี้ก็ประทับใจเกินพอแล้วล่ะครับ"
ผมขมวดคิ้ว "ร้องไห้หรือ?”
“เปล่าครับ ซึ้งจัด"
..จะหมดซึ้งก็เพราะพูดออกมาเนี่ยแหละ.. อย่างไรก็ดี..เขาพยายามใช้หลังมือปาดๆที่ตาแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม
“อย่าบอกนะว่าไวโอลินนั่นคุณจ้างมา?”
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วทำไม?”
“ล้อเล่นน่า บังเอิญใช่มั้ยล่ะ”
ผมยิ้ม “ถึงจะบังเอิญ แต่ก็ดีไม่ใช่เหรอ?”
ดวงตากลมใสคู่นั้นเบือนหลบผม แล้วพึมพำเสียงเบา
“คุณ..ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่เลย...” ผมใช้สายตาตรงไปตรงมาสบตากับเขา ก่อนจะตัดสินใจคีบเนื้อหมูอีกชิ้นใส่จานคนตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่าคนบริเวณนั้นไม่ได้น้อยผมคงจะกล้าพูดประโยคถัดไปด้วยเสียงที่ดังกว่านี้
“...งั้นผมจะไม่ให้คุณตื่นเลยล่ะ เชื่อสิ" เชื่อเถอะว่าเขาได้ยิน...ไม่อย่างนั้นคงไม่พยักหน้ารับหรอกTBC===================
http://www.youtube.com/v/eKMnnoSiiXYเพลงประกอบตอนนี้ค่ะ หลายคนคงเห็นในทวีตเมื่อคืน
อยากให้ฟังกันนะคะ เพราะเลือกนาน 5555555555555555
เหมือนจะสั้น...การแบ่งเป็นครึ่งตอนมันสั้นอย่างงี้นี่เอง
ก-ก็ถ้าไม่แบ่งมันไม่ลุ้นอ่ะ!! ;;[];;!! การทำตอนเป็นวันๆมันช่างโหดแท้...
วันนี้น้องเปิดเทอมแล้วล่ะค่ะ เด็กมัธยมหลายโรงเรียนคงเริ่มเปิดกันแล้วเหมือนกันใช่มั้ย?
มหา'ลัยก็จะเปิดแล้วเหมือนกัน โอ้วก็อด ยังไม่ทันจะพักเบย
แต่สาวออฟฟิศไม่มีปิดเทอมนี่น่าสงสารมากกว่านะคะ /กอดปลอบประโลม/
ตอนนี้ผมยาวรุงรังมากค่ะ..ว่าจะไว้ยาว..ท่าทางต้องไปหั่นออกบ้างซะละ....;_;
ขอบคุณที่ติดตาม
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์
รักคนอ่านจ้า
ozaka*
