12th Night : Love Story แอร์เย็น..บรรยากาศเงียบสงบ..
..สงบจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน..ผมจะรู้สึกตื่นตระหนกได้มากขนาดนั้น.. มือเขาช่างบางเล็ก..และยิ่งจะดูเล็กลงไปอีกเมื่ออยู่ในอุ้งมือทั้งสองข้างของผม และถึงแม้ว่าจะไม่มีแรงบีบมือที่ตอบกลับมาก็ตาม...แต่สัมผัสอบอุ่นของผิวหนังเหล่านั้นทำให้ผมใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย...อย่างน้อยก็รู้สึกยินดีมากกว่าก่อนหน้านี้...ที่ถึงจะพูดว่า 'ยินดี' ได้ไม่เต็มปากนักก็เถอะ
จริงๆแล้วในตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกเลยมากกว่า..
อักษรไม่ได้อยู่ในสภาวะอันตรายเหมือนอย่างที่ผมตกใจ มันก็เป็นแค่อาการเป็นลมพื้นๆ และผมก็ทำได้เต็มที่อย่างมากก็แค่ดูแลเขา...ซึ่ง...เอาเข้าจริงๆผมก็ได้แต่นั่งอยู่ข้างเตียงเท่านั้น...ไม่ต้องบริจาคเลือด ไม่ต้องบริจาคอวัยวะ ไม่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เขาได้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินหรือย้ายไปห้องผู้ป่วนพิเศษVIP ไม่ได้เป็นกำลังสำคัญอย่างที่พระเอกในนิยายต้องทำ..
น่าขำจริง..
..ผมเป็น 'พระเอกในนิยาย' ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? บุรุษพยาบาลคงหาว่าผมบ้าถ้าหัวเราะอยู่คนเดียว ผมเลยเลือกที่จะก้มมองหน้าเจ้าของร่างสลบไสลแล้วยิ้มน้อยๆแทน อย่างน้อยมันก็คงจะดูดีกว่าการกระทำข้างต้นกระมัง
ผิวของเขาขาว..ขาวจนเกือบจะเรียกได้ว่าซีด..
จนหัวใจแทบจะหลุดลงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อรับรู้ว่าตัวเขายังซีดได้มากกว่านี้อีก
แต่อย่างน้อยร่างผอมบางตรงหน้าก็ดูจะแข็งแรงมากขึ้นแล้ว มันไม่ใช่เพียงการคาดเดาของผมหรอกนะ คุณหมอที่รับเคสเค้าพูดมาแบบนั้น...และด้วยเหตุอะไรหลายๆอย่างเขาก็บอกว่าให้ย้ายอักษรกลับไปที่โรงพยาบาลเจ้าของไข้จะดีกว่า อืม..ผมเชื่อคำหมอ ผมไม่ได้จบเฉพาะทางด้านรักษาโรคห่าเหวอะไรพวกนี้ เพราะงั้นตอนนี้เราทั้งคู่ถึงอยู่ในรถพยาบาล..ด้วยใจที่สงบนิ่งพอสมควร
...สงบนิ่ง?
...ใช่แล้ว สงบนิ่ง... ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่นั่งมองสายน้ำเกลือ ผมได้แต่หวังว่าจะมีสักวินาทีที่เขาจะตื่น ลืมตาขึ้นมา..แล้วยิ้มให้ผมแล้วบอกว่า 'ไม่เป็นอะไร' เหมือนที่ปกติเขาทำ...และ...มันน่าเสียดายตรงที่ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น
รถพยาบาลจอดไม่ได้นุ่มนวลเลยครับ...ผมเองก็เคยเห็นมันบ่อยๆตามท้องถนนหรือในจอโทรทัศน์ แต่เพราะเป็นแบบนั้นเราถึงใช้เวลาไม่นานที่จะเดินทางถึงจุดหมาย
“อักษร!”
“พี่/คุณษร!?!” ผมได้ยินเสียงเรียกดังมาจากที่ไกลๆ ตอนนั้นผมกำลังปีนลงจากรถเลยไม่ทันสังเกต แต่พอหันมา...มันเป็นภาพที่น่าประทับใจพอสมควรที่เห็นบรรดาครอบครัวสุดรักวิ่งมาเกาะขอบเตียง ข้างแก้มมีรอบคราบน้ำตาจางๆ และพร่ำเพ้อเรียกชื่ออีกฝ่ายทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร...
ผมคิดว่าควรจะยกมือไหว้สวัสดี แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้ทำเช่นนั้น
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงของอักษรเข้าไปในตัวอาคาร ท่าทางไม่ได้เร่งร้อนแต่ประการใด...ซึ่งถ้าผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลคงตัดเงินเดือนทิ้งให้ขาด
ชายวัยกลางร่างท้วมหันมาหาผมเพื่อพยักหน้าทักทาย ผมจะชักมือขึ้นมาไหว้แต่ก็ไม่ทัน...ท่านหันกลับไปทั้งอย่างนั้นเพื่อเดินตามลูกชายต่อ ฝ่ายมารดาก็เหมือนกัน...แต่เธอยิ้มให้ด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ถ้าผมจะยิ้มกลับ ส่วนนั่น..ลุงโชค แกเป็นคนเดียวที่เดินมาตบหลังผมอย่างเป็นกันเอง...และกำลังจะเอ่ยทักทายตามประสาคนรู้จัก...
“..........เพราะพี่เทียนนั่นแหละ!” ไม่ต้องถามเลยว่าใคร...ผมรู้ดีมาแต่แรกแล้วว่ามันควรจะเกิดอะไรขึ้น
ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย และใช้เวลานานเกินไปเพื่อคิดว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด มันทำให้
'องศา อัครมณฑา' ดูเหมือนจะหงุดหงิดหนักมากขึ้นไปอีก รุ่นน้องของผมยังอยู่ในชุดซ้อมบอล...จริงๆไม่ต้องสันนิษฐานผมก็รู้จากข้อมูลในหัวเองนั่นแหละว่าเขาอยู่ชมรมฟุตบอลของโรงเรียน นั่นหมายความว่าทันทีที่เขาได้รับข่าวร้ายคงจะรีบบึ่งมาให้ทันท่วงทีเป็นแน่ และยิ่งเขายังเป็นคนเดียวที่น้ำตาไหลไม่หยุดแล้วด้วย...
“พี่ษร..พี่ษรเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่เทียน!!” “คุณศา...”
“ผมเกลียดคุณ!! ไปให้พ้นๆหน้าเดี๋ยวนี้เลยนะ...!!” ..ความคิดของผมดูเหมือนจะช้าไป..และเขาก็กางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อจุดประสงค์อย่างที่รู้ๆกัน..
จะพูดอะไรออกไปตอนนี้ก็เห็นจะไม่มีอะไรดีขึ้น ได้แต่ยืนตรงแทบไม่สบตากับอีกฝ่าย และ2-3วินาทีต่อมาผมก็เลือกที่จะเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินผ่านเขามาทั้งอย่างนั้น
แน่นอนว่าองศาเองก็ไม่มีทางปล่อยผมไปง่ายๆ
“...คุณจะไปไหน!?” ผมถอนหายใจ..
ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? “...นี่คุณไม่เข้าใจรึไงว่าที่พี่ษรเป็นแบบนี้ก็เพราะออกไปกับคุณนะ คุณมันไม่รู้อะไรเลย..ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่รึไง!?!” เสียงเหล่านั้นดังอยู่ในหัว สะท้อนไปสะท้อนมา...แต่….
ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? “คุณศา...พอเถอะครับ...”
“ลุงโชคทำไมต้องเข้าข้างพี่เทียนด้วยล่ะ!? พ่อกับแม่ก็เหมือนกัน...ก็รู้ๆกันอยู่ไม่ใช่รึไงว่าทำไมพี่ษรถึงยังไปโรงเรียน ทำไมพี่ษรถึงเป็นแบบนี้...ทำไมวันนี้ถึงได้.....โธ่เว้ย!! นี่มันเป็นบ้าอะไรกันหมด ก็เห็นอยู่ว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน!?” ...ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ผมไม่ทันหันไปมองหน้าองศาด้วยซ้ำ ดูเหมือนเตียงคนไข้จะเคลื่อนห่างออกไปทุกวินาทีที่ผมเสียเวลาอยู่ แต่จะให้ผมสะบัดมืออีกฝ่ายแล้วจากไปมันคงจะไม่ใช่ที ผมต้องทำอะไรสักอย่าง...แต่เอาตามตรง...วินาทีนั้นผมไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่างนอกจากการเดินตามเตียงคนไข้นั้นไปทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ
“พี่ษรบอกชอบพี่เทียนไปแล้วนี่"
...ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ “ผมก็เคยได้ยินชื่อเสียคุณมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้...ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจ?”
...ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ “ความรักบ้าอะไรไม่เห็นเข้าใจเลย มันจะบ้ากันไปหมดแล้ว..!! แล้วนี่ยังจะ...”
“องศา" นั่น...เป็นวินาทีเดียวกับที่รถคนไข้ถูกเข็นเข้าลิฟท์ไป
“ไว้คุยเรื่องนี้กันวันหลัง" ผมยกมือแตะมืออีกฝ่ายที่จับแขนผมไว้แผ่วเบา...มันทำให้ผมรู้ตัวว่ามือข้างนั้นสั่นมากขนาดไหน ทำให้ผมรู้ตัวว่าที่ผมบอกว่าควบคุมอารมณ์ได้ทั้งหมดนั้นมันก็แค่การหลอกตัวเอง หลอกว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไร หลอกว่าอีกฝ่ายยังแข็งแรงดี ยังไหว ยัง......ทั้งๆที่อยากจะต่อยหน้าไอ้หมอเวรตะไลที่โรงพยาบาลที่แล้วข้อหาไม่ยอมตรวจอักษรให้ละเอียดตั้งแต่เมื่อกี้นี้...!!
'อารมณ์' ดังกล่าวทำให้ผมเคลื่อนตัวไปด้านหน้า สาวเท้าต่อไปเหมือนไม่ได้ฟังเสียงกร่นด่าเมื่อครู่ และอาจจะเพราะองศาเองก็รับรู้ถึงความหวั่นไหวทางกายภาพแล้วถึงได้ปล่อยผมออกมาง่ายๆ...
“เดี๋ยว!!” ...จริงๆก็ไม่ง่ายเท่าไหร่... ผมหันกลับมาหาคนเรียก ไม่รู้ตัวว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป...แต่อีกฝ่ายดูท่าทางจะตะลึงไม่มากก็น้อย...
“หรือว่าพี่เทียน...พี่เทียนจะ...................ชอ-......?” ผมไม่ได้รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ไม่ใจเต้นแรง ไม่ได้เกิดอาการเขินอายแต่อย่างใดตอนที่พูดกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ..
“...ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ให้ตายสิ...
ผมนี่หลอกตัวเองเก่งจริงๆ...----------
..กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง..
...ครั้งนี้..ผมยอมรับว่าบรรยากาศมันค่อนข้างน่าอึดอัดพอสมควร ทำไมน่ะหรือ?
เพราะผมกำลังยืนอยู่หน้าห้องเดี่ยวพิเศษระดับVIPสุดหรูตามฐานะของคนไข้นั่นแหละ...ความที่ว่าตระกูลอัครมณฑาร่ำรวยมากดูจะไม่ใช่เรื่องโกหก และผมเองก็เพิ่งเคยได้ขึ้นมาเหยียบที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ในห้องพักผู้ป่วยยังแยกออกเป็นห้องอีกนิดหน่อยคล้ายคอนโดหนึ่งห้องนอนก็มิปาน แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาชื่นชมความอลังการงานสร้างของสถาปัตยกรรมภายในเท่าไหร่เมื่อคุณหมอเจ้าของไข้มา แล้วจึงตัดสินใจเตะตัวเองออกจากห้องโดยไม่ต้องให้ใครมานั่งอธิบาย
เวลาตอนนั้นไม่ค่อยมีพยาบาลหรือหมอเดินไปเดินมาเท่าไหร่ อืม...อย่าว่าแต่หมอหรือพยาบาลเลย ไม่มีคนเลยด้วยซ้ำกระมัง เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงได้น่าอึดอัด...อีกทั้งหลังบานประตูยังมีเสียงพูดคุยดังตลอดเวลา และผมก็ไม่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร...ความหงุดหงิดมันอยู่ที่ว่าผมอยากรู้เนี่ยแหละ
ให้ตายเถอะ...
...บ้าชะมัด.... ผมล้วงกระเป๋ากางเกง พบมือถือหนึ่งเครื่องกับความว่างเปล่า พอเปิดกระเป๋ากล้องดู...จึงได้รู้ว่าตัวเองยังเก็บของรักของหวงชิ้นนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยยืนจัดอยู่แบบนั้น...แล้วก็โทษตัวเองในใจว่าทำไมถึงไม่หยิบบุหรี่มา
อืม...โรงพยาบาลเค้าคงไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่
..ผมลืมข้อนั้นไปสนิทใจ.. ครืดดดดดด............ เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากเบื้องหลัง ผมหันไปมองด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ...คุณหมอหน้ากลมเจ้าของไข้พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงทักทาย ผมยกมือไหว้ตอบพอเป็นพิธี คุณพยาบาลก็เหมือนกัน...แต่รายนี้ยิ้มให้ด้วย ผมไม่สงสัยในการกระทำนั้นเท่าไหร่นักเพราะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรก
อย่างไรก็ดี ผมใช้เวลาเตรียมใจอยู่นานมากกว่าจะสอดสายตาเข้าไปในห้อง
จากจุดนี้ผมไม่เห็นเตียงคนไข้ด้วยซ้ำ ไฟสีส้มอ่อนในห้องรับรองก่อนจะเข้าไปถึงห้องผู้ป่วยทำให้บรรยากาศดูนิ่งงันนัก...ผมคิดว่าผมควรจะสาวเท้าไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อมองเข้าไปให้ถนัด แต่ยังไม่ทันจะกระทำการดังกล่าวลุงโชคก็โผล่ออกมาจากประตูอีกฟาก
ผมอ้าปากจะถามเขา แต่ก็หุบปากฉับทันทีเมื่อเห็นว่า 'ครอบครัว' ของอีกฝ่ายทยอยเดินตามออกมาเช่นกัน
ลุงโชคแกยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไร...แล้วเดินผ่านผมไป
องศาสบตาผมเพียงเล็กน้อย...ทำเสียง 'จิ๊' ในลำคอ...แล้วเดินผ่านผมไป
ผมภาวนาในใจสักสามล้านรอบเห็นจะได้ว่าขอให้ผู้ปกครองทั้งสองนั้นเดินผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน...ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้เป็นแบบนั้นทั้งที่มันเสียมารยาทสิ้นดี...
….ถูกขององศา...
….....ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...ผมเองเนี่ยแหละที่เป็นคน 'ทำร้าย' เขา... “เทียนใช่มั้ยจ้ะ?” เสียงนิ่มนวลเอ่ยขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองทันที...ถึงได้รู้วินาทีนั้นว่าตัวเองก้มหน้าอยู่
รอยยิ้มของอักษรเหมือนคุณแม่มาก มันไม่ทำให้ผมตกตะลึงเท่าไหร่...ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของคนเป็นแม่ลูก ผมก็เป็น...แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน...รอยยิ้มของเธอทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก คุณพ่อของอักษรเองก็ยิ้มให้ผม...ท่านสูงพอๆกับอักษร...มันทำให้ผมเองเนี่ยแหละที่เป็นคนยักษ์ไปในบัดดล
สิ่งแรกที่ผมทำในเวลาต่อมาคือการยกมือไหว้พวกเขาทั้งคู่
แต่เพราะก้อนอะไรบางอย่างมันมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้ผมรู้สึกกระอั่กกระอ่วนนักหากจะพูดอะไรออกไป
และดูเหมือนคุณแม่ท่านจะไม่ได้ติดใจนัก
"เข้าไปเถอะจ้ะ อักษรถามหาแน่ะ" “เอ๊ะ?” คำนั้นหลุดปากออกไปอย่างเสียมิได้
ผมมองหน้าท่านทั้งคู่สลับกันไปมาเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง อักษรถามหาผม? นั่นหมายความว่า..........?
การกระทำผมไปเร็วกว่าสมองแล้วในตอนนั้น ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการกระทำเช่นนี้มันโคตรจะเสียมารยาท...แต่คิดอีกที..ผมคงไม่จำเป็นต้องสร้างภาพเป็นผู้ดีต่อหน้าใคร ดังนั้นผมจึงสาวเท้าฉับๆเข้ามาในห้องโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำลา
เสียงปิดประตูดังแผ่วเบาจากด้านหลัง ผมพุ่งตัวเข้าประตูอีกฟากเหมือนกับว่าเมื่อครู่เป็นคำอนุญาต
และ...
...เขา...นั่งอยู่ตรงนั้น... ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆที่ผมคุ้นเคย...รอยยิ้มที่ทำให้ผมยืนนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงแบบนั้นไม่ไหวติง
ก่อนจะเผยอริมฝีปากเพื่อพูดคำนั้นออกมา
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ เทียน" พระเจ้า....
..พระเจ้า.....
….พระเจ้า...... เข็มวินาทีเหมือนจะวิ่งช้าลงกว่าเดิมมาก รับรู้ได้จากจังหวะการหายใจที่เริ่มช้าลงของผม...ที่ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปทีละข้างด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอล้มทั้งอย่างนั้น ขอบตาผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มือที่ยื่นออกไปแตะที่ข้างแก้มเขาก็ยังสั่นสะท้านกว่าเมื่อครู่ด้วยซ้ำ
“พระเจ้า...” แม้แต่เสียง...ก็ยังแหบพร่า....
ก่อนจะหลับตาลงแล้วแนบหน้าผากสัมผัสกัน ชั่ววินาทีนั้นเหมือนผมแทบจะหยุดหายใจ...ผิวของเขาอุ่น...ช่างอุ่นเหลือเกิน...อุ่นจนผมอยากจะสัมผัสเขาให้เนิ่นนานกว่านี้...
“.....ขอบคุณ...พระเจ้า....” ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนตอนที่สัมผัสเขาอยู่แบบนั้น...เพราะมัวแต่ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการห้ามไม่ให้ตัวเองหลั่งน้ำตาออกมา ผมไม่กล้าลืมตามองเขาด้วยซ้ำ...หากเพียงได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกสักครั้งหนึ่ง...ทำนบความรู้สึกคงจะทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้
...แต่ผมรู้ว่าเขายิ้ม...จากสัมผัสของกล้ามเนื้อที่ข้างแก้ม...
ผมเองก็ยิ้มเหมือนกัน...
เราอยู่แบบนั้นนาน นานมากพอที่ผมจะกลืนความรู้สึกเมื่อครู่ให้หายไปได้ แล้วลืมตาขึ้นมามองเขา
ในระยะประชิด...ที่จมูกแทบจะชนจมูก...
เขามองผมอยู่เหมือนกัน มอง...แล้วก็ยิ้มกว้างมาก
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ เทียน"
เขาพูดเหมือนย้ำ...ย้ำให้ผมรู้
และผมก็เป็นคนผละออกมาจากการกระทำจาบจ้วงแบบนั้นกับเขา แล้วกระแอมกระไอเปลี่ยนท่านั่งข้างเตียงคนไข้ให้เป็นท่าที่อยู่ในระดับพอดีๆ
“ขอบคุณมากนะครับสำหรับวันนี้ ผมมีความสุขมากจริงๆ"
...ให้ตายเถอะ...ผมไม่นึกว่าเขาจะพูดแบบนั้นออกมา... ผมขมวดคิ้ว หันกลับไปมองเขา "ถ้าไม่ไหวทำไมไม่บอกกันก่อน"
“โธ่ เวลาที่มีความสุข..ใครเขาอยากจะหยุดมันกันล่ะครับ"
...น่าจับตีก้นซะให้เข็ด!? ผมกำลังคาดโทษเขาอยู่ในใจ ตอนที่ดุกลับไป
“คุณไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไงตอนเห็นคุณล้มไปแบบนั้น" เขากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลุบตาลงทันควัน แก้มขึ้นสีระเรื่อแบบที่ผมเดาไม่ออกว่าเขาเขินหรือเพราะมันอยู่ในแสงสีส้มกันแน่...แต่เขาไม่ปล่อยให้ผมมองหน้าเขานานนักหรอก...ด้วยการยกมือขึ้นมาเหน็บผมทัดหูแก้เก้อ
“ถ้าผมเป็นโรคหัวใจ ผมคงตายตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วละครับ ฮะๆ"
ผมแม่งไม่ขำ
“.....อย่าพูดว่าตายนะ" คำนั้นทำให้เขาหยุดหัวเราะ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม...มือทั้งสองข้างของเขาเลื่อนมากุมกัน...และผมแอบเห็นว่ามันสั่นนิดๆ...ผมไม่แปลกใจ...แต่ที่น่าประหลาดกว่านั้นคือการที่หัวใจผมเองก็สั่นไหวไม่น้อยเหมือนกัน...
“เทียนครับ" เขาว่า ด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างจากเดิมเลยด้วยซ้ำ
“...มีบางอย่างที่คุณต้องรู้" ...ผมรู้...
รู้ว่า 'วันนี้' ต้องมาถึงเข้าสักวัน....
อักษรคงใช้ความพยายามมากในการควบคุมสติอารมณ์ เขาเป็นคนที่ทำแบบนี้ได้ดีแต่...ไม่ใช่ในเวลาแบบนี้แน่ๆ
“ครับ"
ผมตอบรับสั้นๆ อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่าผมพร้อมที่จะฟังอยู่
ดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกนั้นทอประกายประหลาด...อาจเพราะเขาไม่ได้ใส่แว่นเหมือนที่ผมเห็นเป็นปกติจนชินตา...หรืออาจจะเพราะดวงตาคู่นั้นเจือไปด้วยน้ำใสๆก็ไม่ทราบ เขาเผยอริมฝีปากแห้งผากนั้นขึ้น...แล้วปิดลง...มันกำลังสั่นระริก และผมรู้ดีว่าเขากำลังพยายามในแบบของเขา
หลังจากการเฝ้าคิดมาสองวินาที...ผมก็เอื้อมมือไปจับมือเขาที่อยู่บนตัก
….แต่อีกฝ่ายกลับชักออก แล้วพูดทันที
“..ผมกำลังจะตาย" ...น้ำเย็นวูบหนึ่งสาดเข้ามาที่หน้า... เสียงของเขาไม่มีลังเลเลยแม้เพียงนิด มันเหมือนกับกลั้นใจพูดมันออกมาได้ในที่สุด เขาหอบ..อ้าปากตักตวงอากาศหายใจ ผมรู้ในตอนนั้นว่าเขากำลังจะทนไม่ได้ อะไรบางอย่างบอกให้ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ แต่เขากลับยิ่งเขยิบห่างออกไปเหมือนไม่ต้องการ
ผมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวอีกครั้งหนึ่ง และทำใจให้พอใจกับระยะห่างนั้น
“...ก้อนเนื้อ...ที่...ไม่ค่อย...ดี...เท่าไหร่...” เขาพูดไปด้วยหายใจไปด้วย พร้อมยกมือแตะที่หน้าอก...ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงตำแหน่งไหน เพราะที่ผมสนใจมากกว่าคือการที่เขากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้น้ำใสๆไหลออกมาจากตา
“...มันอยู่มานาน...และ...และ....เอาออกไปไม่ได้ ดังนั้น....” “อักษร..."
“..ผมแปลกใจ...ที่จริงก็...เอะใจมานานแล้ว...ว่าทำไมร่างกายตัวเอง...ถึง...ไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน...” “...อักษร พอเถอะ...”
“...มันเริ่มจาก...เหนื่อย..หายใจไม่..” “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ" คำกล่าวนั้นเสียงดังพอสมควร จนเกือบจะเรียกได้ว่าการตะคอก...เกิดจากความลืมตัว
และมันได้ผล เขาหยุดพูด...แต่ก็ยังไม่หันมามองหน้าผม
…ผมควรจะช็อค...ผมควรจะสิ้นสติ... แต่ในตอนนั้นผมเห็นเพียงแค่การพยายามจะอธิบายของคนๆหนึ่ง การพยายามที่ยากลำบากแสนสาหัส...และผมรู้ดีว่าเขากำลังพูดแบบนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน
“....ผมต้องพูดให้จบ"
เขาตอบกลับมาแบบนั้นด้วยเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ
ผมปฏิเสธ "ไม่”
“ให้..ผมได้พูดเถอะ...”
“ไม่"
การที่ผมยังยืนกรานแบบนั้นทำให้เขาก้มหน้าลงและเงียบ ผมเอื้อมมือไปแตะมือเขา...แรกเขาจะชักหนีเหมือนที่เมื่อครู่ทำ แต่เพราะผมคว้ามือเขาไว้แน่นพอที่จะให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าผมจะไม่มีทางปล่อยแน่
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด แสดงตำแหน่งของตัวเองให้รู้แน่ชัด
อยากจะบังคับให้เขาจ้องมองตรงมา..แต่ก็ไม่กล้า
“ไม่ต้องพูดอะไร...แล้วฟังผมบ้างนะ...” ผมบอกเขา อีกฝ่ายหลับตาลง...ดูท่าจะสุดทนกับการกลั้นน้ำตา
“ผมไม่อยาก..ฟัง...” หนึ่งหยดที่ไหลอาบแก้ม...ทั้งเขาและผม...
“...ทำไมล่ะ...?”
“ได้โปรดเถอะครับเทียน...” สองหยดบนแก้มทั้งสองข้าง
"...ได้โปรดอย่าพูดเลย...” “....ทำไมล่ะ...?”
“ขอร้องละครับ...” มือผอมบางอีกข้างพยายามยกขึ้นมาเช็ดใบหน้าของตัวเองแรงๆ ผมคิดว่ามันแรงไปหน่อย..แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
“...ผม..ไม่อยาก....เสียดาย...เวลาที่เหลืออยู่....” ระหว่างเรามีเพียงเสียงสะอื้น... ผมบีบมือเขาแน่นกว่าเดิม...ด้วยหลากหลายสาเหตุที่ตีพันกัน...
เขากำลังร้องไห้...ร้องไห้ชนิดที่ว่าผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ร้องจนร่างกายเล็กๆนั่นโยนขึ้นมา ร้องจนไหล่เปราะบางนั่นสั่นสะท้าน...และทุกหยดน้ำตาที่ไหลลงมามันทำให้กลางอกผมปวดแปลบ...คล้ายกับว่าจะหยุดหายใจไปพร้อมกับเขา...
“มันเป็นเรื่องปกตินะ....” คำเอ่ยนั้นไม่ได้ดัง แต่ผมรู้ว่าเขาต้องกำลังเงี่ยหูฟังเป็นแน่..
“...ที่ว่า 'ไม่อยากตาย' น่ะ...ไม่ว่าใครก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกันหมด...” นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาบีบมือผมตอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทั้งคราบน้ำตา ผมไม่รู้ว่ายิ้มแบบนั้นออกไปได้ยังไง...ส่วนลึกของหัวใจคงพยายามจะให้กำลังใจทั้งตัวเขา..แล้วก็ตัวผมเอง
มืออีกข้างหนึ่งของผมยกขึ้นปาดน้ำตาให้คนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว และความรู้สึกเอ็นดูก็พุ่งเข้ามาในใจทันทีที่ดวงตาใสแจ๋วเหมือนทารกนั้นมองมา...ซึ่งบางทีมันอาจจะมากกว่านั้น...และมากกว่านั้นมานานแล้ว...
“...มีชีวิตอยู่...ต่อไปเถอะนะ...” อีกครั้งที่มือผอมบางคู่นั้นอยู่ในอุ้งมือทั้งสองข้างของผม ผมก้มหน้าลงมองมัน...ขณะค่อยๆประคองขึ้นมาราวกับถ้าลงมือแรงกว่านี้สักหน่อยมันจะแตกหักเหมือนประติมากรรมแก้ว...
“เพื่อผม...” สัมผัสที่ริมฝีปากกดลงไปบนหลังมือข้างนั้นร้อนผ่าว..หรือมือของเขาเนี่ยแหละที่เย็นเกินไป
มีรสเค็มๆของน้ำตาของผมเอง...ที่ไหลจากแก้มลงมาแตะที่มือของเขาอย่างเสียมิได้...
อักษรไม่ได้ชักมือออกเหมือนที่พยายามฝืนเมื่อครู่ เขาปล่อยให้ผมฝังจมูกลงไปเนิ่นนานราวกับกาลเวลาได้หยุดอยู่ตรงนั้น และผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินรึเปล่า...กับเสียงกระซิบที่เหมือนพูดกับเจ้ามือน้อยๆข้างนี้.......
“....ผมรักคุณ....”TBC=======================
เฮ่ย มีลุ้นเว้ยเฮ่ย
ขอคำแนะนำว่าไปย้อนอ่านกันสักรอบสองรอบก่อนนะคะ เรื่องนี้ดองนานมากจริงๆ 5555
ยุ่งเหยิงมากค่ะชีวิตช่วงนี้ ส่งไฟนอลเสร็จ ก็สอบ สอบเสร็จ ก็ฝึกงานต่อเลย โหย โหด =_=''
ยังไม่จบค่ะ ฝึกงานเสร็จ โต้ชีวิตกับทีสิสในปีหน้า 5555555555 #ชิบหายแล้ว
แต่ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันปายยยยยยยยยยยยยยยยย

ตอนนี้กลายเป็นรุ่นพี่สุดๆในมหา'ลัยแล้วล่ะค่ะ เร็วเหมือนกันนะ...รู้สึกเหมือนเฟรชชี่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้

((หลอกตัวเองอีกแล้วฉัน..............))
แต่อาจจะเพราะหน้าตา(!?)และการแต่งตัว(!?)กระมัง
ทำให้รุ่นน้องต่างคณะหลายๆคนยังเรียกโอว่าน้องๆอยู่

<<<<<นี่เป็นเคล็ดลับ!?
ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เลยยยย ยังอยากเป็นเด็กม.ปลายอยู่ ;;__;; จะย้อนเวลากลับไปก็ไม่ได้ซะละ
เขียนนิยายเด็กวัยรุ่นก็เริ่มบิวท์ยาก...สงสัยเพราะแก่ตัวลง............ "orz
ทอล์คครั้งนี้ไม่พูดถึงเนื้อเรื่องเลยเนอะ กร๊ากกกกกกกกกก
ครั้งนี้มาใหม่ เม้นท์เยอะ อัพเร็ว พุ่งไวปานจรวดค่ะพี่น้องคะ จุ๊บๆๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ozaka*
