15th Day : Secret Relations ..จะบอกว่าตื่นเช้าก็คงจะใช่..
..แต่ถ้าพูดให้ถูกกว่าเดิมก็คือนอนไม่ค่อยหลับเสียมากกว่า.. พ่อกับแม่ของอักษรกลับไปหลังจากที่ผมเอ่ย 'คำขอ' เช่นนั้นไปได้ไม่นานนัก หลังจากโทรบอกยาย...อะไรหลายๆอย่างก็ดูจะเรียบร้อยดี ยายบอกผมว่าจะหาเวลาว่างมาเยี่ยม..และอย่างว่า ผมที่พยายามบอกยายว่า 'เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก' นั่นก็แค่คำโกหก และยายก็รู้เรื่องนั้น ถึงได้ดึงดันจะมาให้ได้แบบนี้
อักษรยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงในขณะที่ผมตัดสินใจลืมตาตื่น โรคนอนไม่หลับในสถานที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ของผมยังแก้ไม่หายสักที...นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักมีปัญหาบ่อยๆเวลาออกค่ายหรืออะไรต่อมิอะไร เดินออกจากห้อง ไปตามการกวักมือเรียกของผู้หญิงบางคน แล้วก็เดินกลับมาในสภาพเหมือนถูกดูดพลังวิญญาณ ก่อนจะผลอยหลับไปแบบฝืนตัวเองสุดๆ...แต่เออ..นี่มันที่โรงพยาบาล จะเดินไปหาใครมันก็ใช่ที่ แถมตอนนี้ผมเองก็ต่างกับเมื่อก่อนแล้วด้วย
บางที..อาจจะเป็นเพราะคนที่นอนร่วมห้องกับผมก็ได้กระมัง... ความรู้สึกในอกมันเต้นโครมครามยังคงค้างจากเมื่อคืน ที่ผมบอกเขาว่าราตรีสวัสดิ์ จูบหน้าผากให้ เดินไปปิดไฟ...และเฝ้าทอดสายตามองร่างเปราะบางนั่นจมลงสู่ห้วงนิทรา....จนกระทั่งตื่นมาในตอนเช้าก็ยังพบว่าอีกฝ่ายสบายดี
...ความสุขในเรื่องง่ายๆแบบนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่า...ตนเองอาการหนักพอสมควรแล้ว...
ผมล้างหน้าล้างตาอยู่ในห้องน้ำตอนที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น คุณหมอเจ้าของไข้และพยาบาลเดินตามเข้ามา ผมยกมือไหว้..เขายิ้ม ยกมือรับไหว้ผม ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย
อักษรลืมตาอยู่ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง มองแสงสีส้มสว่างที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าด้วยดวงตาเป็นประกายสุกใสเหมือนเด็กทารกอีกครั้ง...และสิ่งนั้นเจิดจ้ากว่าโลกทั้งใบด้วยซ้ำ
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
นั่นเป็นคำแรกของหมอ ที่เรียกให้อักษรหันกลับมายกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณหมอ"
คนถูกทักยิ้ม แล้วรับไหว้ "ปวดมั้ยครับ?”
อักษรก้มหน้าลง แวบหนึ่งที่ผมเห็นว่าเขาเหลือบมองผมด้วยสาเหตุบางอย่างหลังจากคำถามนั้น
......และเรื่องนั้นเดาได้ไม่ยากเลย “ผม...ออกไปรอข้างนอกนะครับ" ที่จริง..คำพูดนั้นแค่พอเป็นพิธีเท่านั้นครับ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ฟังผมเท่าไหร่หรอก...เลยเลือกที่จะเดินออกมาแบบให้พวกเขารู้ตัวมากกว่า อักษรคงยังทำใจไม่ได้ที่จะบอกหรืออ้อนผมอะไร...มันค่อนข้างลำบาก และผมยอม ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา...จะมากขนาดไหนก็จะรอ
ผมเดินออกจากห้องนั้น ยืนรออยู่หน้าประตูไม่เกินสิบนาที...พ่อกับแม่ของอักษรก็มาถึง หลังจากทักทายเรียบร้อยผมก็บอกเรื่องหมอ พวกท่านรีบกุลีกุจอเปิดประตูตามเข้าไป
...ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามีเยื่อบางๆกั้นอยู่ระหว่างผมกับคำว่า 'ครอบครัว' … ผมหลับตาลง พยายามถึงที่สุดที่จะไม่เผลอเงี่ยหูฟังบทสนทนาจากภายใน ผมคิดว่าผมควรจะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดี..หรือกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและหอบข้าวของมาเตรียมพำนักที่นี่เลยดี..โอเค จุดเริ่มต้นดูเหมือนจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำต่อมาคือการเดินเข้าลิฟท์ โบกแท๊กซี่ และกลับบ้าน
เมื่อคืนไม่มีอะไรผิดปกติ..
..หรือต้องใช้คำว่า...ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ..มากกว่า.. อักษรนอนหลับก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาหลับสบาย...และผมเองก็ไม่ได้ลืมตามองเขาทั้งคืน ห้องทั้งห้องนั้นเรียกได้ว่ามืดสนิทหลังจากที่ปิดไฟแล้ว แสงไฟจากภายนอกก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันสว่างขึ้นเท่าไหร่นัก เสียงเครื่องปรับอากาศ..เสียงขยับตัวเป็นระยะๆ..และเสียงลมหายใจ...ทุกอย่างพวกนั้นไม่ได้ช่วยบอกอะไรผมได้เลย
ผมมันเป็นคนเฝ้าไข้ที่แย่มาก
มันเป็นความจริงอยู่แล้วที่ว่าอักษรไม่อยากให้ผมกังวล เขาไม่อยากให้ผมเป็นเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วและ...สิ่งที่ผมทำลงไปก็แค่การให้เขาอดทนมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง...
...อดทน...เพื่อไม่ยอมให้ผมเห็นช่วงเวลาที่เขาเจ็บปวด... อยู่เคียงข้าง...บ้าอะไร... คนที่ต้องทนทรมานต่อไป...คือเขาไม่ใช่เหรอ... 'จากนี้...' ถ้อยคำเหล่านั้นหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง...
แต่เสียงที่สะท้อนอยู่ในหูครั้งนี้ทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้น...
'อย่ามาที่นี่อีกเลยนะครับ...' เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้มากพอ...หรือว่าเรายังปรับตัวไม่ได้กันแน่ สิ่งที่ผมทำอยู่มันสร้างความลำบากใจให้กับเขามากขึ้นรึเปล่า หรือบางทีผมควรทำตามที่เขาขอร้อง ผมไม่ควร..จะเหนี่ยวรั้งเขาไว้....
ถ้าเพียงแต่เขายิ้ม...
เพียงแค่เขายิ้ม...และบอกผมว่าไม่เป็นไร.... ผมก็คงจะเชื่อเต็มหัวใจ ถึงแม้จะรู้ดีว่าคำพูดนั้นคือคำโกหกที่แสนบริสุทธิ์ก็ตาม
วูบนั้นที่ใบหน้าของอักษรเมื่อเช้าหวนกลับมาในความทรงจำ ตั้งแต่ใบหน้าเหม่อลอยที่มองออกไปนอกหน้าต่าง จนกระทั่งดวงหน้าขาวที่ก้มงุดเหมือนพยายามจะบอกอะไรสักอย่าง...และดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กทารกนั่นก็ด้วย...ทุกอย่างให้ความนัยที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วที่เขาพยายามกักเก็บเอาไว้....คือ 'ความเจ็บปวด'
ไม่มีทางที่ต่อจากนี้...เรื่องราวของเราทั้งคู่จะหวานหอมเหมือนในนิยาย
รู้อยู่แล้วแท้ๆ...
...แต่... ....ทำใจไม่ได้----------------
“…ช่อดอกไม้ครับ” คำนั้นทำให้หล่อนหันมาหา แล้วจึงค่อยฉีกยิ้มให้ผม "กุหลาบสีขาว..ใช่มั้ยคะ?”
ผมยิ้มตอบ พยักหน้า และยืนรอเหมือนเช่นที่ทำเป็นปกติ
“ซื้อดอกไม้ให้อักษรเหรอจ้ะ?” นั่นเป็นคำถามที่ทำเอาไอ้หัวใจที่พองโตเมื่อครู่ร่วงหล่นลงไปกระแทกตาตุ่ม แล้วกระดอนกลับขึ้นมาแทบจะในทันทีที่ตั้งสติได้ว่า..ยายเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
“..อ...ครับ" สาบานได้ครับ ผมไม่รู้จะตอบรับอะไรนอกจากคำนั้นจริงๆ
ยายยิ้ม และดูเหมือนว่ายายจะรู้อะไรบางอย่างโดยที่ผมไม่ต้องพูด...ส่วนผมก็เก้อสิครับ เล่นเอาไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนต่อ เลยได้แต่พายายไปนั่งรอที่เก้าอี้ การจัดช่อดอกไม้ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้เร็วจนน่าตกใจ...พี่สาวเจ้าของร้านดูท่าจะจัดช่อนี้จนชินมือแล้วล่ะครับ แถมยังมีการเหลือบมองผมแล้วอมยิ้มคล้ายจับผิดอีกด้วย...ให้ตายสิ คนรอบตัวผมเป็นอะไรกันหมดนะ...
หลังจากดอกกุหลาบที่ถูกแต่งช่อด้วยสีขาวล้วน...ขาวบริสุทธิ์อย่างที่ผมตั้งใจไว้...และงดงามจนผมอดที่จะยกขึ้นมาแตะจมูกไม่ได้..เธอหัวเราะเบาๆ ให้ส่วนลดพิเศษด้วยอีกนิดหน่อย กับคำพูดที่ว่า
“หวังว่าคนสำคัญของคุณจะหายเร็วๆนะคะ"
ผมชะงัก แต่เพียงไม่นาน
แล้วพยักหน้าให้หล่อนแทนคำตอบทั้งหมด
...ผมก็หวังเช่นนั้น...เหมือนกัน... ผมเดินนำยายออกจากร้านดอกไม้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเดินข้างๆเยื้องไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย บนทางเดินเดิมๆที่เริ่มเปลี่ยนมาคุ้นเคยช้าๆในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้คนแปลกตาเดินผ่านไปผ่านมาไม่เคยซ้ำกัน ตึกเดิม...ลิฟท์ตัวเดิม...ในขณะที่ยายไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่เดินตามผม มองผม และมอบความเอ็นดูให้ผมผ่านทางสายตา
อักษรเป็นเพื่อนคนแรกที่ผมพามาบ้าน
..หรือจะพูดให้ถูกคือเขาไปของเขาเอง และผมยอมให้เขาเข้าไปในบ้าน...ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปแล้ว
ถ้าการกระทำทั้งหมดคือนิยามของการเป็น 'คนสำคัญ' ล่ะก็....ยายคงจะเข้าใจเรื่องนั้นได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้วุ่นวาย
ลิฟท์แล่นขึ้นมาถึงชั้นเป้าหมาย ผมก้าวออกมา หันกลับไปมองยายที่ก้าวตามออกมาด้วย
เมื่อเช้าผมรีบกลับบ้านมากเกินไปหน่อยจนไม่ทันได้บอกลาอักษร แต่ก็มาภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ..ดังนั้นสิ่งนี้คงจะไม่ใช่ปัญหา...และการที่พายายมาด้วยก็คงจะเป็นหลักฐานให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นว่าผมให้ความสำคัญกับคนๆนั้นมากแค่ไหน อา...แค่คิด...ก็รู้สึกพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าได้แล้วล่ะครับ...
ผมสูดลมหายใจ ก่อนจะค่อยเอื้อมมือไปประคองมือยายเอาไว้ แล้วพาเดินไปตามทาง
พยาบาลคนนั้นจำหน้าผมได้ หล่อนพยักหน้าทักทายผม...ผมทำตอบ และก้าวเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลไปวินาทีเดียวกับที่ประตูห้องของอักษรเปิดออกมา
ผมยกมือไหว้คุณพ่อกับคุณแม่ของอักษรอีกครั้ง ครั้งนี้ทำได้ดีและเป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่าครั้งก่อนหน้านัก
“เอ่อ...คุณพ่อคุณแม่ครับ...นี่ยายผมครับ"
ผมแนะนำพอเป็นพิธีก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง ก็ตามมารยาทน่ะครับ...ผมเห็นว่าคนปกติเขาก็ทำแบบนั้นน่ะแหละ
"ยายครับ...นี่....”
ก่อนที่เสียงของผมจะหายไปในลำคอ...
ใบหน้าของยายทำให้ผมต้องหันกลับไปมองคุณพ่อคุณแม่ของอักษรอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าพวกท่านทั้งหมดทำสีหน้าไม่แตกต่างกันเลยสักนิด...พวกเขาไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไรออกมาเกินพอดีนัก เพียงแค่เงียบไป และมีกระแสอะไรบางอย่างไหลเวียนจนเวลาแทบจะหยุดนิ่ง
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหนักว่าจะพูดอะไรต่อไปดี คนที่ควบคุมได้ก่อนก็ไม่ใช่ใครเลย ยายของผมเองครับ
ท่านก้าวออกมาข้างหน้าจนชิดตัวพวกเขา เอื้อมมือไปกุมมือของคุณแม่คุณพ่ออักษร
แล้วเอ่ยคำนั้นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นความตื้นตันในระดับที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมาจากการเสแสร้งแต่อย่างใด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ คุณอิศวร คุณเกศรา"----------------
คนที่รู้จักยายของผม จะเรียกเธอว่า 'คริส' อืม...ผมขอบอกเลยว่าตัวเองคงเป็นหลานที่ไม่ดีเท่าไหร่ที่ไม่รู้ว่าชื่อของยายมาจาก
'คริสติน' หรือ
'คริสต้า' ...รู้แค่ว่าไม่ชื่อใดก็ชื่อหนึ่งเนี่ยแหละ ท่านมักจะเซ็นใบขออนุญาตผู้ปกครองให้ผมด้วยลายเซ็นยุ่งจนอ่านไม่ออก แต่อย่างที่รู้กัน...ผมเรียกยายว่า 'ยาย' ซึ่งเป็นภาษาไทยแท้แต่โบราณ เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจชื่อของท่านมากนัก
และคุณพ่อคุณแม่ของอักษรเรียกท่านว่า 'คริส'
กับบทสนทนาภาษาต่างชาติที่ทำให้ผมอยากแหวกกระโหลกตัวเองออกมาแล้วหย่อนพจนานุกรมฝรั่งเศส-ไทย ลงไปให้รู้แล้วรู้รอด
...เสียชาติเกิดลูกครึ่งจริงๆให้ตาย... และความจริงที่ว่าผมไม่ใช่ประเภทที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านมันทำให้ผมต้องมานั่งเคาะนิ้ว ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ...
...เรื่องชาวบ้านอะไรกัน...
…...นั่นมัน 'เรื่องของตัวเอง' ชัดๆ ไอ้ทีปพิพัฒน์ประสาทกลับนี่...! สิ่งแรกที่คนปกติทำคือถามออกไปตรงๆว่า 'นี่มันเรื่องอะไร?' และนั่นคือเหตุผลที่ผมเริ่มรับรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยปกตินัก...แถมยังไม่เจ้าเล่ห์มากพอจะคิดหาวิธีให้อีกฝ่ายคายความลับอะไรนั่นออกมา ไม่สิ...ต้องบอกว่าผมแสดงท่าที 'เฉยเมย' ได้เก่งเกินไปแล้ว!
..น่าหงุดหงิดชะมัด..! ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พวกท่านทั้งหลายเปลี่ยนภาษาที่ใช้คุยคืออะไร แต่ก็คงหนีไม่พ้นอะไรเทือกๆที่ว่า 'ไม่อยากให้ผมรู้' พระเจ้า...ผมอายุจะ18ปีอยู่แล้วนะ เลิกทำเหมือนผมสัก6-7ขวบยังไม่รู้ภาษาอะไรหน่อยเลย ไม่สิ..เด็กอายุราวๆนั้นมักจะรับรู้เรื่องได้ดีกว่าที่ผู้ใหญ่คิด เพราะงั้นช่วยกรุณาบอกมาตามตรงทีเถอะ...ไอ้ที่ทำอยู่มันไม่มีประโยชน์เลย
น้ำเสียงรื่นเริงที่คุยกันอยู่ด้านนอกทำให้ผมคิดว่าบทสนทนาพวกนั้นคงไม่จบลงง่ายๆ คงไม่เหมาะนักที่จะมานั่งภาวนากับพระผู้เป็นเจ้า เอาละ..มนุษย์จะมีสมองไว้ทำไมถ้าไม่รู้จักวิเคราะห์ด้วยตัวเอง
..มีอะไรไม่ชอบมาพากลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...ที่พ่อแม่ของอักษรทักเรื่องผม ราวกับเรารู้จักกัน..เพียงแต่ผมจำอะไรไม่ได้
บทสรุปนั้นไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยพับผ่าเถอะ...
...พวกท่านรู้จักกันได้ยังไง? “เทียน?” กึก.. ผมหยุดเคาะนิ้วโดยรู้ตัว และคิดว่าตัวเองคงระบายอารมณ์กับโต๊ะกาแฟนั่นหนักมือเกินไปหน่อย
ร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงกำลังเอียงหน้ามาทางผมพร้อมดวงตาใสแจ๋วนั่นอีกครั้ง เขายิ้ม..และเอ่อ...ผมอยากจะบรรยายไอ้สิ่งที่เต้นตูมๆอยู่ในอกนี่หรอกนะครับเพียงแต่มันคงจะน้ำเน่าไปนิด เขาทำให้ผมนึกคำพูดรับเขาไม่ออก...ผมรู้แค่ว่าตอนที่ผมเข้ามาขณะที่เขานอนอยู่ แต่หลับไปนานแค่ไหนแล้วนะ...ตั้งแต่คุณหมอออกจากห้องเลยรึเปล่า?
คิดไปก็ป่วยการ...เห็นจะต้องพูดอะไรสักอย่างก่อน...
“ขอโทษ...ครับ...เอ่อ...ผมทำให้ตื่นรึเปล่า?”
..พอมานึกย้อนดูแล้ว คำพูดนั้นเห่ยชะมัด ผมต้องปรับปรุงเรื่องการพูดการจาแล้วสิ.. อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ "เปล่าครับ...เอ่อ...”
“ยายผม..” ผมคิดว่าเขาคงหมายถึงเสียงพูดคุยด้านนอกนั่น "มาเยี่ยม...ก็เลย...คุยกับพ่อแม่คุณ"
เขายิ้ม ไม่พูดอะไรอีก
แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ผมพูดต่อ "คุณรู้อะไรรึเปล่า?”
“ครับ?” คนถูกถามทำท่าตกใจมาก เล่นเอาผมตกใจไปด้วย...แต่เขาก็กระแอมกระไอ
"เรื่อง...อะไรเหรอครับ?” ..ผมว่ามันมีอะไรอยู่ในการกระทำนั้นนะ...ไม่เนียนเอาซะเลย... “...ผม..เอ่อ..ถ้าผมจำไม่ผิดคุณ...ภาษาฝรั่งเศส....”
“ครับใช่" เขาพยักหน้า "ค่อนข้าง...ถนัด...”
..เงียบ.. เราสองคนสบตากัน..นาน..เรียกได้ว่าเป็นเกมจ้องตาเลยทีเดียว มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัด...กว่าจะรู้ว่าเวลาผ่านไปสักพักก็เพราะหัวคิ้วที่ปวดตุบๆเพราะเผลอเกร็งมันมากไปหน่อย เห็นชัดเลยว่าการจ้องดุเขาแบบนี้ต่อไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา
ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจ แต่ใครว่าผมจะยอมแพ้กัน
ผมขยับตัว ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ..แน่นอนว่าอีกฝ่ายเองก็มองตามผมไม่ยอมถอย จนในที่สุดผมก็เดินมาจนถึงที่นั่งประจำ คือบนเตียงข้างๆตัวเขานั่นเอง
“อักษร...”
“ครับ..”
..แน่ะ..ยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้อีกนะ.. ผมรู้จักอักษรมาได้ไม่นาน แต่ต้องเรียกเลยว่ารู้จักมากพอที่จะประเมินได้...ว่าอีกฝ่ายจะสรรหาทุกวิธีที่จะทำให้เขาไม่พูดในเรื่องที่ไม่สมควรพูด..เขาฉลาดกว่าผมมาก
...แต่ก็ใช่ว่าไม่มีจุดอ่อน... “อักษร...”
ผมลดเสียงต่ำลง..จนอยู่ในระดับที่เรียกว่าเสียงแหบพร่า จะเรียกว่างัดลีลาทุกเล่มเกวียนออกมาประชันก็ว่าได้
เขายังจ้องตาผมอยู่ตอนที่กระซิบอ้อแอ้
"...แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน...มัน...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่...” ผมยิ้ม "แต่คุณก็ทำบ่อย...ใช่มั้ย?”
และนั่นทำให้เขายิ้มเช่นกัน
“รู้อะไรมั้ยครับเทียน...” อีกฝ่ายว่า เขายังคงยิ้มอยู่..แม้จะหลุบสายตาลงต่ำก็เถอะ
“...เรื่องที่ผมรักคุณ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือพรหมลิขิต...ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย...” ผมเลิกคิ้ว...และซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ในอก
เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มให้ผม...ยิ้มแบบที่ผมแทบลืมข้อข้องใจทั้งหมดพวกนั้นไปเสียให้หมดเพื่อดึงเขาเข้ามากอด หรือทำอะไรก็แล้วแต่ให้เขารับรู้ว่าผมหลงใหลในรอยยิ้มแบบนั้นของเขามากแค่ไหน
...แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่พวกคุณเดาออก...ผมไม่ได้ทำมันออกไป...
…........น่าเสียดายชะมัด... เขาอ้าปากเหมือนจะพูดต่อ นั่นทำให้ผมดึงสติตัวเองกลับมาได้ทันควัน
แต่ยังไม่ทันที่จะมีเสียงออกมา ผู้ปกครองของเราทั้งคู่ก็หยุดบทสนทนาลง...และความเงียบนั้นที่ทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง พวกท่านคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า..แต่ให้ตาย บรรยากาศเช่นนั้นผมกลับยิ้มไม่ออก และปล่อยให้เสียงหัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆไม่เป็นจังหวะ
ผมเงียบ...และกำลังรอฟัง
“เทียนคงรู้จักดีอยู่แล้วล่ะเนอะ แต่ยายไม่เคยแนะนำอย่างเป็นทางการซะที..." ยายพูดก่อน นั่นทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ
ขณะผายมือไปทางคุณพ่อของอักษร...ที่พยักหน้าให้ผมราวกับเราเพิ่งจะได้รู้จักกันครั้งแรก
“คุณอิศวร...เอ่อ...พ่อของหนูอักษร เป็น 'ผู้อุปถัมภ์' ครอบครัวของเราจ้ะ"----------------
ผมหลงคิดว่าเงินสวัสดิการที่ทางรัฐบาลให้คือสิ่งที่สนับสนุนพวกเรามาตลอด
แต่พอคิดให้ลึกลงไปกว่านั้น คือยายของผมไม่ได้ถือสัญชาติไทย...และต่อให้เกษรวิทยาจะอุ้มชูผมแค่ไหนมันก็ไม่มีทางพอต่อค่ากินค่าใช้จ่าย...ทั้งของผม ของยาย และไหนจะของก้านธูปอีก...ที่สำคัญ ผมไม่เคยเห็นยายพูดเรื่องเงินหรือมีสภาพไม่มีอันจะกินทั้งๆที่ยายแก่เกินกว่าจะไปทำงานแล้ว
...ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองโง่ขนาดนั้นก็ตอนนี้เนี่ยแหละ...
จะบอกว่า 'ช็อค' มันก็ใช่...
...ไม่สิ มันไม่ใช่แค่นั้น.... ความตกใจมันจุกอยู่ในอกจนผมพูดอะไรไม่ออกเลยมากกว่า... ผมก้มกราบพวกท่านอย่างเป็นทางการครั้งแรก...มันเป็นครั้งแรกจริงๆ และผมก็ทำมันไปทั้งๆที่สติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วด้วยซ้ำ เพียงแค่ยายบอก และผมขอบคุณพวกท่านด้วยเสียงสั่นเครือแบบที่ไม่เคยพูดมาก่อน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
...อาจจะฟังดูบาป แต่สมองกลับขาวโพลนเกินกว่าจะรับรู้ความจริงใดๆต่อจากนี้ ผมฟังพวกท่านบอกกล่าว ฟังพวกท่านสนทนากัน(ซึ่งครั้งนี้เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย)...รวบรวมสมาธิแค่ไหนก็ดูจะไม่เป็นผล ผมจับใจความได้เพียงคร่าวๆ...คร่าวชนิดที่ว่าหาสาระแทบไม่ได้ ประเด็นสำคัญดูเหมือนจะมีไม่มากนัก
...พ่อของผม....พ่อแท้ๆของผมเนี่ยแหละ.... พ่อที่เป็นคนต่างชาติเต็มตัว อาศัยอยู่ฝรั่งเศสแท้ๆ...สรุปออกมาได้แค่ว่าผมไม่ใช่ 'ลูกครึ่ง' ...ไม่ใช่อย่างแน่นอน และท่านยังมีชีวิตอยู่ แม้จะปฏิเสธที่จะรับผมไปอยู่ด้วยด้วยสาเหตุสำคัญคือท่านมี 'ครอบครัว' แล้ว แต่ก็ฝากฝังผมไว้กับผู้ชายคนนี้...คุณอิศวร อัครมณฑา...หรือก็คือพ่อของอักษร
นั่นแหละที่ผมรวบรวมได้... ที่เหลือมันก็เหมือนคำพูดไหลผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่มีตาข่ายกรองเก็บข้อมูลไว้ในสมองเลยสักนิด
ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ
มันแย่ตรงที่ที่ผมเงียบ..ไม่ใช่เพราะความตื้นตัน
แต่เป็นเพราะความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พระเจ้า...
...นี่มัน...บ้าอะไรกัน... ผมไม่ได้หันไปมองอักษร ที่แน่ๆคือผมตั้งใจว่าจะไม่หันไป...อะไรบางอย่างในอกมันเจ็บ และความปวดร้าวนั้นทำให้ผมมีน้ำใสๆคลออยู่ในตา ดูเผินๆราวกับว่าผมกำลังแสดงความเคารพนับถือพวกท่านทั้งสอง แต่จริงๆ...มันไม่ใช่ และถึงแม้มันจะดูน่าประทับใจมากขนาดไหนแต่ทุกส่วนของร่างกายของผมมันแข่งกันเปล่งเสียงร้องว่า
'ไม่ใช่!!' เพราะกะอีแค่คนที่ให้กำเนิดผมฝากฝังผมไว้กับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ที่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยสักครั้ง
เพราะกะอีแค่เรื่องราวเหล่านี้อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาเหมือนในละครน้ำเน่าบ้าๆที่ผมไม่เคยเข้าใจว่ามันจะซึ้งจัดทำห่าอะไร
เพราะกะอีแค่ความสัมพันธ์ที่เป็นความลับแบบนั้นน่ะ...ความลับที่ทุกคนในที่นี้รู้มาตลอดยกเว้นผม
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมากกว่า 'ไอ้โง่' นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอักษรถึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมดีนัก นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนทั้งคู่ถึงเคยพูดเปรยๆราวกับรู้จักผมมานานแสนนาน นี่เป็นเหตุผลที่ว่าการที่เราได้พบกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยสักนิด นี่เป็นเหตุผลที่เราสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันขนาดนั้น
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเลิกศรัทธาในพรหมลิขิต...
และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันแสนจะมีเหตุจงใจ...
…....แล้วที่อักษรบอกว่า 'ชอบ' ผม...........
…........มันเคยมี 'ความหมาย' อะไรบ้างมั้ย.......... “เทียน..?” คำทักนั้นทำให้ผมดึงสติกลับขึ้นมาได้ จึงสัมผัสถึงความเย็นชื้นที่ข้างแก้ม...พอยกมือแตะ...ถึงได้รู้ว่าสิ่งนี้คือ 'น้ำตา'
...และมันทรมานมากกว่าที่หลายๆคนคิด...
พวกเขามองมาที่ผม ทำสีหน้าประหลาดและตกใจ...ผมใช้แขนเสื้อซับมันเอาไว้รวกๆ ดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น รู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง...แต่ไม่ได้พูด เลยทำได้แค่ยกมือไหว้คุณพ่อคุณแม่ของอักษร...แต่การยกแขนมันช้ากว่าที่เคย ผมกำลังสั่น
..กลางอกบีบตัวแรง...ทั้งๆที่สมองรู้ดีอยู่แล้วว่าไอ้ 'ความเจ็บ' บ้าๆนี่มันมาผิดที่ผิดเวลาเหลือเกิน..
และทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรทำตัวแย่แบบนี้ แต่ก็ยังทำ
ผมเดินจากมา และก่อนที่จะก้าวผ่านธรณีประตู เป็นครั้งหนึ่งที่ผมเบือนหน้ากลับไปมองเขา...เขาคนที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม
อักษรทำหน้ายิ่งกว่าจะร้องไห้ ผมหลับตาลง ไม่อยากเห็นภาพๆนั้น
“....คุณไม่เคยบอกผมเลย....” '...เรื่องที่ผมรักคุณ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือพรหมลิขิต...' หลายครั้งที่อักษรแสดงให้เห็นถึงศักยภาพสมองอันดับหนึ่งนั่น จนผมเดาไม่ถูกเลยว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะสมองสั่งให้ทำหรือแค่ทำตามหัวใจอย่างที่เขาเคยว่า
ความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นจากความจริงที่ผมไม่อาจบิดเบือนได้....
...ว่าทุกคำพูดของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา...
...สิ่งเหล่านั้น...มี 'ความหมาย' กับผมมากแค่ไหน...TBC=====================
ดราม่าอย่างต่อเนื่อง...
ว้ายบอกให้อัพแก้เครียด อินี่ว่าพาลจะเครียดกว่าเดิม ;__;
ชอบปรารถนารักฯตรงที่ว่าในหนึ่งตอน ทั้งหวาน และดราม่า อย่างเท่าเทียมกัน
ไม่มีแบบคลื่นดราม่าโหมกระหน่ำซัดทำนบน้ำตาพังแน่นอน! (มั้ง..)
รสชาดของความรัก..มันก็ขมขื่นแบบนี้แหละ....

ดูตารางเรียนแล้วคิดว่าเทอมนี้จะสบายๆค่ะ แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย
มีเรียนแค่3ตัวเอง..แต่งานหนักชะมัด! กำลังจะจบจากชีวิตการเป็นนักศึกษาแล้ว!
เริ่มรู้สึกตัวเองจะโตค่ะ 5555555 <<ควรโตได้ตั้งนานแล้วล่ะเอ็ง
เจียดเวลาให้กับอะไรหลายๆอย่าง วันๆนึงมีพลังและไฟในการทำงานเต็มไปหมดแต่เวลาไม่ทัน
อดนอนมากๆก็ไม่ดีต่อสุขภาพอีก
พักนี้ทำงานนั่งโต๊ะตลอดค่ะ รู้สึกปวดหลังปวดก้นบ่อยๆ
แม่บอกให้ออกกำลังกายบ้าง ให้แบ่งเวลาไปฟิตเนส
ทีนี้เราก็ทำงานอยู่บ้าน จะให้ออกไปข้างนอกเสียเวลารถติดเป็นชั่วโมงๆมันก็ไม่ใช่ ;v;
นี่เป็นเหตุผลที่คอนโดต้องมีฟิตเนสใช่มั้ยย!! ;;[];;
...กลับมาตายรังที่เดินหน้าบ้านเนี่ยแหละค่ะ....

ฝนตก รักษาสุขภาพกันนะคะ
สำหรับคนที่ทำงานนั่งโต๊ะเหมือนกันก็อย่าลืมออกกำลังกายนะ!!
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ozaka*
