อิมเมจของความใสซื่อบริสุทธิ์...
...และความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
“...สีขาว....” “ครับ?”
“เปล่าหรอก" ผมจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง "...กุหลาบสีขาวน่ะ...ชอบมั้ย?”
เขาพยักหน้า หันไปมองช่อดอกกุหลาบในแจกัน "ผมสงสัยมานานแล้ว...ทำไม...ถึงเป็นกุหลาบสีขาวล่ะครับ?”
ผมอ้าปาก อยากจะตอบไปตามตรง แต่ก็เบี่ยงประเด็น "มัน...เหลือแค่นี้"
“โกหก"
“โกหกอะไร?”
“คุณจงใจเลือกชัดๆ"
“...ถ้าคุณรู้อยู่แล้วคุณจะถามทำไมล่ะ?”
ผมยิ้ม ส่วนเขาเขิน "..คนบ้า"
“อะไรนะ?”
เขาไม่ตอบ ขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นแล้วบ่นอุบราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว "...ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นสักหน่อย"
...ก็นั่นสินะ... ผมยิ้ม กอดเขาไว้อย่างนั้นอีกสักพัก...ในใจน่ะอยากกอดแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย...แต่มันดูจะไม่สมควรเท่าไหร่ จึงจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง และลุกขึ้นมาเพื่อเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย ห่อ 'ของกลาง' ไว้ในทิชชู่อย่างดีแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง ถ้าทิ้งในถังขยะคงเป็นเรื่องแน่ๆ ไว้ต้องออกไปหาที่ทิ้งที่อื่น(...แต่ต่อให้ไม่โดนจับได้ก็เป็นเรื่องใหญ่พอตัวอยู่ดีล่ะวะ...)
เขาปล่อยตัวตามสบายให้ผมใส่เสื้อผ้าให้ ชุดผู้ป่วยใส่ง่ายถอดสะดวก ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพวกหนังAVในโรงพยาบาลขึ้นมานิดหน่อย...แต่ก็นะ ในหนังไม่เห็นว่าเขาจะเขินอะไรกันขนาดนี้เลย
เรามองหน้ากันตอนที่ผมผูกปมเส้นสุดท้าย เขาหลบตาฉับ
..ถึงได้รู้ว่าหัวใจคนเราสามารถเต้นได้แรงขนาดไหน..
ผมยิ้มกับปฏิกิริยาตอบสนองนั้น แตะมือลงบนกลางอกเขา "ปวดมั้ย?”
เขาส่ายหน้า "ไม่ครับ"
“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?”
เขาหน้าแดง "ไม่..ครับ"
“แน่ใจนะ?"
“ค-ครับ"
“....เจ็บ...รึเปล่า?”
อักษรส่ายหน้าแรงๆจนปอยผมด้านหน้าไหว และช้อนตามองผม "คุณไม่ได้ทำถึงขั้นเจ็บสักหน่อย..”
ผมจิ๊ปาก
...มันน่ามั้ยล่ะ... “อักษร"
“ครับ?”
ไม่ต้องรอให้เขารู้ตัว ผมเขยิบเข้าไปจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“.......หลับตา...หน่อยสิครับ" เขาหน้าแดงจนถึงหู แล้วหลับตาลงอย่างที่ผมขอ
...จากนั้นเราถึงค่อยจูบกัน... มันเป็นจูบเบาๆที่เนิ่นนาน ริมฝีปากนั้นก็นุ่มนิ่มจนผมไม่อยากละออกมา อารมณ์เหมือนเครื่องดื่มเบาๆหลังแช่น้ำร้อนกระมัง และมันให้ความรู้สึกดีจนผมอยากจะดันเขาลงไปอีกรอบด้วยซ้ำ
..ถ้าไม่ติดว่าเสียงหัวใจของเราทั้งคู่จะดังขนาดนี้จนเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกฝ่ายล่ะก็นะ...
โชคดีที่ผมเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วองศาถึงเข้ามา แถมยังมีหน้าค้อนมองผมแปลกๆอีก (โชคไม่ช่วยครับ...ก็ใครใช้ให้อักษรหน้าแดงขนาดนั้นกันล่ะ...) ผมแอบนึกสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมองศาหายไปนานจัง บางที..อาจจะเผลอเขามาแล้วรอบหนึ่ง แต่ดันเจอพวกเรากำลัง...ซะก่อนเลยออกไป แต่จากสายตาที่มองมาอย่างจับผิดเช่นนั้น...ข้อสันนิษฐานดังกล่าวตกไปสิ้น แม้องศาจะพูดมากกว่า แต่ผมพนันร้อยทั้งร้อยว่าไร้เดียงสาพอๆกัน
ไม่นานอักษรก็หลับไปตามคาด ผมคิดว่าเขาเหนื่อย...บางทีการทำแบบนั้นลงไปคงเป็นภาระกับร่างกายเขาไม่น้อย..ผมนึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ทำจนสุด...แต่ก็นะ ถึงจะค้างไปหน่อยแต่ก็ดีแล้วล่ะ
ผมหยิบหนังสือมานั่งอ่านเล่นต่อที่มุมห้องแถมยังผิวปากอารมณ์ดี...จนองศาน้องรักของเขานั่นแหละที่เขม่นแล้วเขม่นอีก
“....พี่เทียนทำไรพี่ษร?”
แน่ะ..ปากมันมากครับ ผมเงยหน้าขึ้นกระพริบตา "ทำอะไรล่ะ?”
“....ก็พี่ษรดูอารมณ์ดี"
“แล้ว...ไม่ดีรึไง?”
“ก็ดี! แต่ผมว่ามันแปลกๆ...พี่เทียนก็ด้วย ยิ้มกรุ้มกริ่มอะไรอยู่นั่นล่ะ!"
ผมหุบยิ้มฉับ พลิกหน้าหนังสือ "...แล้วเพื่อนเราคนนั้นน่ะใคร?”
“เพื่อนคนไหน?”
“คนที่รับโทรศัพท์พี่" ผมบรรยาย...แต่จะให้ระบุชัดขนาดไหนคงเป็นไปไม่ได้..เพราะผมทุกอย่างมันยุ่งจนลืมสังเกต "ที่ตัวสูงๆผอมๆน่ะ...ที่มาเมื่อวานด้วย"
อีกฝ่ายมุ่ยหน้า “...ไม่ใช่เรื่องของพี่"
ผมไหวไหล่ "งั้น...นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของศา"
“พี่เทียน!!”
“ชี่ เบาๆสิ...อักษรนอนอยู่นะ"
...ผมเพิ่งรู้ความสนุกของการได้ยียวนคนอื่นครับ มิน่าล่ะเขาถึงทำกันทั้งประเทศ
แต่ก็แลกมาด้วยอาการกระฟัดกระเฟียดของหมอนั่นก็แล้วกันครับ ซึ่งมันทำให้ผมนึกขำอยู่ไม่น้อย และการปั้นหน้าแสดงว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจ 'แกล้ง' มันก็เหนื่อยพอดูล่ะ...ผมพอจะเข้าใจเหตุผลที่องศาเพื่อนเยอะซะแล้ว ถึงจะดื้อแต่ก็น่าเอ็นดู...แล้วถ้าให้มองอีกที...หน้าตาก็ละม้ายคล้ายอักษรตอนถอดแว่นอยู่นิดหน่อย ถือว่าน่ารัก...ถึงนิสัยจะไม่เหมือนกันก็ตาม
“นี่ นี่" ผมว่าคนที่ทนความเงียบไม่ได้ที่สุดก็คือองศาน่ะแหละ ทั้งที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีถึงได้พยายามเรียกร้องความสนใจตลอดแบบนี้..ปากก็บอกว่าเกลียดผมแท้ๆ คงได้แค่นั้นล่ะมั้ง
"หืม..ครับ?”
“พี่เทียนไม่ไปฉลองปีใหม่กับใครบ้างเหรอ?”
ผมเลิกคิ้ว ชี้ไปที่อักษร
องศาหรี่ตา "...หมายถึงกับพวกผู้หญิง"
“อ้อ" ผมไหวไหล่ "พี่ไม่เคยฉลองวันสำคัญกับผู้หญิงคนไหน"
“โกหก!”
..เหมือนกันเด่ะเลย..ให้ตายสิ.. ผมหุบยิ้มไม่ลงจริงๆ “..ถ้าคิดว่าพี่โกหกแล้วจะถามทำไมล่ะครับ?”
คำนั้นทำให้อีกฝ่ายเถียงไม่ออก ผมยกมือปิดปาก...คิดในใจว่าจะต้องพูดจาดีๆกับน้องชายของอักษรรึเปล่านะ? แต่ก็นั่นแหละ..ดูเหมือนจะแก้อะไรไม่ทันแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ
“...มีหลายครั้งที่พี่เทียนทำให้พี่ษรเสียใจ จนบางทีผมอยากจะฆ่าพี่เทียนด้วยซ้ำ"
องศานั่งกอดเข่า พูดเสียงดังให้ผมได้ยิน
“แต่ถ้าทำไปพี่ษรคงเสียใจเรื่องที่มีน้องเป็นฆาตรกร"
ผมเลิกคิ้ว "...เสียใจที่พี่ตายมากกว่าล่ะมั้ง"
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย ทำให้พี่ษรเสียใจแล้วยังไม่สำนึกอีก"
“ครับ ครับ ขอโทษ" ผมยิ้ม องศาเป็นเด็กพูดมากก็จริงตามที่เขาลือมา..แต่ปากเสียเฉพาะกับผมรึเปล่านะ? “...ไว้หลังจากนี้ศาค่อยฆ่าพี่ตามไปก็แล้วกันนะ"
องศาไม่ได้พูดอะไรอีก
ผมก็เหมือนกัน กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ความรู้สึกในใจได้อักษรช่วยไว้...ไม่ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน ทั้งอารมณ์โกรธที่เคยเป็น อารมณ์เกลียดที่เคยรู้สึก หรือแม้กระทั่งความรู้สึกสำนึกเสียใจ ทุกครั้ง...เพียงแค่ได้ยินเขาบอกว่า 'ไม่เป็นไร'...ทุกอย่างก็ดูสวยงามไปเสียหมด
แค่เพียงเขายิ้มอยู่แบบนั้น...
...แค่เพียงเขามีความสุข...ก็แค่นั้น... พ่อกับแม่ของอักษรมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ
พวกท่านหอบของขวัญที่ห่อแล้วมาชุดใหญ่ๆ บอกว่าข้างล่างมีงานเลี้ยงสิ้นปีกัน...ผู้ป่วยและญาติที่ต้องการร่วมงานก็แค่ไปลงชื่อ แถมยังซื้อของขวัญจับฉลากมาให้ทั้งผมทั้งพี่น้องสองคน อักษรดูดีใจมากที่หมออนุญาตให้เขาลงจากเตียง ส่วนองศาก็เอาแต่ถามอย่างกระตือรือร้นว่าของข้างในเป็นอะไร ของข้างในเป็นอะไร...เหมือนเด็ก...ซึ่งมันทำให้อักษรหัวเราะ และเมื่ออักษรหัวเราะ โลกก็สดใสตามไปด้วย...
อ้าว? คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ?
…อย่างน้อยก็ผมคนนึงล่ะ... ผมรับหน้าที่พยุงอักษรลงจากเตียงและเข็นรถเข็นให้..เดินไปตามทางเดินเคียงข้างกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างไงอย่างงั้น...ซึ่งยอมรับว่าลึกๆแล้วผมเองชอบใจไม่น้อยที่ได้อยู่แบบนี้...ลึกๆน่ะนะ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุมากแล้ว แต่ก็มีเด็กตัวเล็กตัวน้อยก็วิ่งร่าไปทั่วงาน ก็คงเป็นบรรดาลูกหลานที่มาฉลองให้กันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะ..เอ่อ..ผมรู้ว่าที่กำลังพยายามอธิบายอยู่มันดูแย่ และมันดูแย่ ผมไม่เถียง...ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือพวกผมก็เช่นกัน...
บุรุษพยาบาลคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นพิธีกรอารมณ์ดีตลอดงาน เล่นมุขเก่าๆให้คุณตาคุณยายทั้งหลายฟัง...ส่วนพวกผมที่ยืนยิ้มอยู่ก็เพราะภาพตรงหน้ามันอบอุ่นเนี่ยแหละ
ผมขออนุญาตถ่ายรูปด้วยกล้องคอมแพคที่บังเอิญพกมาด้วย ประเดิมรูปแรกด้วยครอบครัวอัครมณฑาที่ดูแจ่มใสมากกว่าเมื่อเช้าหรือเมื่อวานมาก...มันทำให้ผมยิ้ม...ข้อดีของกล้องดิจิตอลคือสามารถดูรูปที่ถ่ายไปแล้วซ้ำได้อีกหนโดยไม่ต้องรอลุ้นในฟิล์ม ผมคิดว่ามันสะดวกในเวลาแบบนี้...เวลาที่
เวลา...เหลือน้อยลงไปแบบนี้... ความคิดนั้นทำให้ก้อนขมๆติดอยู่ที่คอ
...แม้จะยาก แต่ผมก็กลืนมันลงไปได้ในที่สุด
ผมเลิกคิดเรื่องนั้น ถือจานอาหารมานั่งยองๆข้างๆเข้า “ษรครับ"
“ครับ? อ...”
“ทานสิ" ผมหัวเราะเมื่อเขาทำหน้าเหวอตอนผมใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกชิ้นพอดีคำมาจ่อปาก จนเผลอแตะลงบนอวัยวะนุ่มๆนั่นไปหน่อยนึง "..หรือจะต้องให้ผมเคี้ยวให้ก่อน"
เขาหน้าแดงแปร๊ด แล้วบ่นอุบ "ลามก"
“อะไรนะ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เบี่ยงประเด็นด้วยการอ้าปากงับไส้กรอกชิ้นนั้นฉับแล้วเคี้ยวแก้มตุ่ย...
พอเขาหันมาสบตากัน ก็หลบตาฉับอย่างจงใจ จนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“อะไรน่ะ?”
“ก็มองทำไมล่ะครับ..”
“มองไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้...แต่...เอ่อ...” คนตัวเล็กยกหลังมือปาดแก้มตัวเองอย่างเก้อเขิน "..คุณเอาใจแบบนี้ผมเขินนะ...”
“แล้วไม่ชอบเหรอ?”
“ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบ...”
ผมยิ้ม "คุณอยากทานอะไรอีกมั้ยครับ?”
อักษรหันมามอง ทำตาเป็นประกาย "พาผมไปที่โต๊ะอาหารหน่อยได้มั้ยครับ?”
..แน่นอน.. ผมไม่ได้พูดคำนั้นออกไป เพียงแค่ลุกขึ้นเดินอ้อมมาด้านหลังเก้าอี้รถเข็นของเขา หันไปพยักหน้าเป็นเชิงขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง พวกท่านยิ้มให้..ท่าทางเหมือนจะบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอก็ได้ ผมเลยเข็นไป
เพราะต้องการบรรยากาศสบายๆเลยจัดเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ตักสะดวก โต๊ะตั้งอยู่ในระดับที่คนนั่งวีลแชร์จะสามารถหยิบกินได้ถนัดทำให้อักษรสนุกกับการตักอาหารมาก...เขาตักเยอะ..และผมรู้หรอกว่าแค่ตัวเขาเองกินไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้นเลยเลือกที่จะไม่ตักเอง และไม่ทักเรื่องนั้นด้วย
พอผมพาเขากลับมา องศาก็หายไป...พ่อกับแม่ของอักษรบอกว่าน้องไปหาเพื่อน ซึ่งผมไม่แปลกใจเท่าไหร่...วันนี้วันสุดท้ายของปี วัยรุ่นก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันบ้าง...แต่พวกท่านไม่ถามผมเรื่องนั้น และผมยินดีที่จะไม่ตอบ
ทุกๆปีในวันสำคัญ..ผมเกลียดงานฉลองหรืออะไรไร้สาระทั้งหมด
ผมไม่ได้โกหกองศา ผมไม่เคยฉลองวันแบบนั้นกับใคร...เพราะผมเคยคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ถ้าในปีถัดไปเราต้องมานั่งพะวงเรื่องเดิมๆ เพราะงั้นสำหรับผม...มันไม่ใช่วันสำคัญ...
ถ้าลืมเรื่องที่วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี
ถ้าลืมเรื่องที่ต้องฉลองกันข้ามคืน
..ผมกลับคิดว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอักษรในตอนนี้...สำคัญกว่าตอนนั้นมาก... “แค่ก! แค่ก!” สิ่งแรกที่ผมทำคือรับจานอาหารที่เกือบจะร่วงลงมาก่อน ถึงค่อยหันไปวางมันไว้บนโต๊ะ แล้วก้มลงนั่งยองๆหน้าอักษรพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว
แต่ก็แค่นั้น เพราะเขาเงยหน้าขึ้นมายิ้ม "แหะๆ ผมคงทานเร็วไปหน่อย...”
ผมยิ้ม ยกมือเช็ดปากให้เขา "ไม่เห็นต้องรีบเลย"
“ก็แหม....”
“ดื่มน้ำก่อนสิครับ" ผมบอก "ไม่ต้องรีบนะ...ถ้ารีบอีก เดี๋ยวผมจะป้อนซะเลย"
เขายิ้มหวาน "งั้นผมจะรีบดื่มเลยล่ะ"
..แหน่ะ..หยอดอีก.. ผมยีศีรษะเขาอย่างหมั่นไส้ เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาสำลัก..แน่นอนว่าผมตกใจ แต่เพราะอะไรไม่รู้ทำให้ผมใจเย็นกว่าที่เคย ซึ่งผมคิดว่าดีแล้ว หากผมแสดงอาการตกใจจนลนลานเกินไปเรื่องราวจะยิ่งแย่ลงกว่านี้..
..ถ้าอยากดูแลเขา..ตัวผมเองเนี่ยแหละที่ต้อง ‘มั่นคง’ มากกว่านี้…
“เทียนยืนเถอะครับ เดี๋ยวเมื่อยนะ"
อักษรบอกผมตอนที่รับจานอาหารใหม่อีกครั้งหนึ่งพร้อมรอยยิ้ม
แน่นอนว่าผมส่ายหน้า "รู้อะไรมั้ย…ที่ผมนั่งแบบเนี้ย เพราะรอให้คุณป้อนอยู่"
เขาหน้าแดงขึ้นทันตา "ไม่เอา เดี๋ยวติด"
“เนื้องอกมันติดกันได้ด้วยเหรอ?” ผมหัวเราะกับข้ออ้างไร้สาระนั่น "งั้นมันคงติดตั้งแต่ตอนที่ผมจูบคุณแล้วล่ะ"
“เทียน!”
..ทำไมอักษรถึงเขินได้ขนาดนี้กันนะ...ทั้งๆที่ปกติเป็นฝ่ายหยอดผมมาตลอดแท้ๆ.. ผมยิ่งหัวเราะกับความคิดนั้นเข้าไปใหญ่ อักษรหันควับกลับไปมองพ่อแม่ของตัวเองแล้วหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ผม แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...ในงานเสียงดังกันจะตาย...พูดเบาแค่นี้ไม่ได้ยินไปถึงหูผู้ปกครองหรอก แน่นอนล่ะ..เรื่องนั้นผ่านการคำนวณมาแล้ว
จากนั้นผมก็เท้าแขนกับที่วางแขนทั้งสองข้างของเก้าอี้ อ้าปากรอ
อีกฝ่ายใช้ส้อมจิ้มแตงกวาขึ้นมา มองผมอีกรอบ
ผมยักคิ้ว
และแตงกวานั้นก็เข้ามาเป็นอาหารในปากผมในเวลาต่อมา..ซึ่งบอกเลยว่าอร่อยกว่าทานเองเป็นไหนๆ
แต่คนตรงหน้ากลับหน้ามุ่ย แล้วบ่นอุบ
“ทำแบบนี้...เดี๋ยวคุณก็โดนคนมองแปลกๆหรอก"
“หืม? แปลกยังไง?”
เขากรอกตา
“....ก็...ผม...คุณ...เราสองคน....” “หืม? ทีเมื่อก่อนคุณไม่เห็นแคร์เรื่องแบบนี้เลย?”
“...ตอนนี้...มันต่างออกไปนิดหน่อย...นะครับ...”
พอดวงตาคู่นั้นมีประกายจริงจังขึ้นมา ผมก็เงียบลง...ไม่ได้โต้ตอบยียวนเหมือนเมื่อครู่ มันยากที่จะฝืนยิ้มต่อไปอยู่ทั้งที่ในใจเราไม่ใช่ เขาจ้องมองผม..ไม่มีท่าทีจะอธิบายต่อ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วในสถานการณ์แบบนี้ สภาวะแบบนี้ และ...ระหว่างเรา...
ผมไม่อยากคิดเรื่องที่ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกนานแค่ไหน...
….ไม่อยากคิด....เรื่องแบบนั้น.... แต่ความจริงมันกลับตอกย้ำลงมาให้เจ็บทุกครั้ง จนสุดท้ายจะลืมเลือนไปก็ไม่ได้
ผมหลุบตาลง ประคองมือของเขาเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง...ผมทำแบบนี้บ่อยครั้งที่เขาหมดสติ ทุกครั้งก็จะอดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันช่างบอบบางได้ขนาดนี้...ทั้งอ้อมแขนที่โอบกอดผมเมื่อกลางวัน หรือรอยยิ้มของเขาที่มอบให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมา
....ทำไม...ทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้พร้อมจะแตกสลายลงทุกเมื่อแบบนี้
"ผมจะอยู่กับคุณ..." ย้ำเจตจำนงที่มีให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ยกมือเล็กๆคู่นั้นขึ้นมาจรดริมฝีปาก
"...ผมจะอยู่กับคุณ อักษร...ผมจะไม่ไปไหน..." อีกฝ่ายบีบมือผมแน่นขึ้นเป็นคำตอบ...คำตอบที่ผมไม่รู้ความหมาย และไม่อยากรับรู้ด้วย
..วันสำคัญวันนี้ในปีถัดไป...ไม่มีค่าอะไรเลย..
.....ไม่มีเลย...จริงๆ....TBC================
เพราะอะไรหลายๆอย่าง จึงขอเกริ่นก่อนว่าตอนหน้าตอนจบแล้วจ้า >///<
สำหรับตอนนี้คิดนานมาก นานมากๆว่าจะให้ออกมาในรูปแบบไหน
ออกมามุ้งมิ้งเกินคาด เลิฟซีนที่คิดว่าจะไม่เขียนก็ได้เขียน
แล้วก็อะไรอีกมากมายจริงๆ 55555 เอาเป็นว่าตอนนี้มันเหนือความคาดหมายสุดๆ
คงเป็นตอนเรียกน้ำตาตอนสุดท้ายแล้ว(นี่เรียกได้จริงมั้ยคะ กรี๊ดดดดดด บิวท์อารมณ์ไหวป่ะะะ

)
ตั้งใจจะให้จบแบบสวยงาม ;v; อยากให้ทุกคนจำสองพระนายคู่นี้ได้นานๆ
อย่างน้อยก็จำอักษร เด็กหนุ่มสุดน่ารักคนนี้ให้ได้นานๆล่ะเนอะ!
มาแอบประกาศนิดนึงนะคะ
ก็เหมือนเคย คือถ้าเรื่องนี้จบแล้วก็คงมีรวมเล่มแน่ๆ
จึงมาถามความสนใจจากทุกฝ่ายไว้ก่อน
แต่ครั้งนี้โอไม่ได้รวมเล่มกับไร้กรอบนะคะ

พิมพ์ด้วยตัวโอเองเนี่ยแหละ! 55555
เพราะชอบเรื่องนี้มากๆๆ เลยอยากให้เป็นเล่มลิมิตเต็ด
(หาซื้อไม่ได้ตามร้านหนังสือนะบอกเลย.........แฮ่!)
ซึ่งกว่าจะทำไอ้โน่นไอ้นี่ไอ้นั่นเสร็จ เปิดให้จองก็คงราวๆสิ้นปีนะคะ ; ;////

ใครอยากได้ก็เอาน้ำลายป้ายไว้ก่อน... #ม่ายช่ายยยยยยย
ยังไงจะมาอัพรายละเอียดให้อีกทีนะคะ ก็ตามได้ในเพจรักร้าย เดอะ ซีรี่ย์ ล่ะกันเนาะ!

ไม่ค่อยแนะนำให้ตามในทวีตเตอร์เพราะโอฟลัดเข้าขั้นสึนามิเลยทีเดียว....

ขอบคุณที่ยังติดตาม
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์
เจอกันตอนหน้าตอนจบน้าา
ozaka*

ปล. จบงานนี้เผชิญศึก XY2 ปะทะเด็กโรงเรียนเกษรวิทยาต่อ กร๊ากกกก ทำเป็นนิยายต่อสู้ดีมั้ยยย
ปล2. แฟนคลับสายสิญจน์น้ำมนต์ รอก่อนน้อ!!