…จักรกฤษณ์ไม่กลับบ้าน…
จอมขวัญถอนหายใจแผ่วขณะเดินวนไปวนมาอยู่บนเรือน
สายมากแล้ว…แต่พี่ชายก็ยังไม่กลับมา เขารู้ว่าจักรกฤษณ์มีเพนท์เฮ้าส์อยู่ใจกลางเมือง และไปนอนที่นั่นบ่อยๆ เรื่องนี้คุณพัชรีและคุณชัยไม่เคยต่อว่าอะไร เพราะเห็นว่าจากเพนท์เฮ้าส์นั่นเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ยิ่งโดยเฉพาะวันธรรมดาที่ต้องไปทำงาน
…แต่…เมื่อคืนเป็นวันเสาร์ และจากบ้านน้ำทิพย์ ก็มาที่เรือนไทยง่ายกว่าจะขับไปถึงเพนท์เฮ้าส์ แต่…จักรกฤษณ์กลับไม่มานอนที่นี่…
…พี่…กำลังหลบหน้าเขาหรือเปล่าหนอ…
“เลิกเดินซะทีได้มั้ย ของขวัญ ลุงปวดหัวไปหมดแล้ว” ลุงชัยที่ใช้วันอาทิตย์แสนสบายในการอ่านหนังสือพิมพ์ยามสายเงยหน้าบอกหลานชายที่เอาแต่เดินวนไปวนมา
“ลุงชัยอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ใช่เหรอ จะปวดหัวเพราะขวัญเดินได้ไงล่ะ” คนหลานเถียงตอบด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งที่กลางเรือนด้วยแต่โดยดี
เสียงฝ่าเท้าและเสียงพูดคุยจุกจิกของคุณพัชรีดังใกล้เข้ามา ทำเอาคนกำลังทำหน้าบูดเพราะพี่ชายไม่กลับเรือนรีบหันมองอย่างมีความหวังว่าอาจเป็นจักรกฤษณ์ที่กลับมา แต่…ทันทีที่ฝ่าเท้าของคนมา เหยียบบันไดขั้นบนสุดจอมขวัญถึงได้รู้ว่า…ไม่ใช่
“อ้าว! คุณอธิป!” คุณชัยเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมาร้องทักพร้อมรอยยิ้ม อธิปยกมือขึ้นไหว้อย่างรู้มารยาท ในขณะที่จอมขวัญยังนั่งอึ้ง เพราะคาดไม่ถึงว่าวันนี้อธิปจะบุกมาถึงบ้าน ทั้งๆที่เมื่อวาน จักรกฤษณ์เพิ่งจะพูดแบบนั้นออกไป
“สวัสดีครับ พอดี ต้นไม้ที่บ้านผมแตกหน่อ เห็นคุณลุงเคยพูดว่าอยากได้พันธุ์นี้ ผมก็เลยแยกมาให้น่ะครับ” เท่านั้น คนรักต้นไม้ก็รีบวางหนังสือพิมพ์แล้วลุกขึ้นเดินมาหาอย่างรวดเร็ว พอรับถุงต้นไม้ไปเปิดดูก็ต้องตาโตด้วยความยินดี
“โอ้! จริงด้วย! ขอบใจนะอธิป แหม! ยังจำคำพูดลุงได้อีก!”
อธิปเพียงแค่ยิ้มบาง เขาไม่พูดอะไรได้แต่เหลือบตาไปมองคนที่นั่งอยู่กลางเรือน จอมขวัญดูหม่นหมองจนเขานึกสงสาร และบอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่วันนี้มาที่นี่
แขกที่มากะทันหันอย่างอธิปไม่พูดอะไรอีก เอาแต่มองไปที่จอมขวัญ สายตาของชายหนุ่มนั้นจับจ้องไปที่หลานของคุณพัชรี ทำเอาสองสามีภรรยาวิมลกิตติต้องเหลือบตามองกัน ยิ่งเห็นอธิปเอาแต่มองจอมขวัญห่างๆ ในขณะที่จอมขวัญก็ไม่กล้าเดินเข้ามาหาอย่างนี้ คุณพัชรีก็ได้แต่ถอนหายใจแผ่วด้วยความอาดูร
…ดูเอาเถอะ รู้สึกดีๆต่อกันแต่แสดงอะไรออกมาไม่ได้เพราะเกรงใจเธอและสามี แล้วอย่างนี้จะให้คุณพัชรีทำใจดำไม่รู้ไม่เห็นอะไรได้ยังไงกัน...เวลาดูละคร คุณพัชรียังลุ้นแล้วลุ้นอีกให้พระนางเข้าหากันบ่อยๆ พอมาถึงชีวิตจริงของหลานชายที่รักต้องมาทำตัวห่างเหินกับ ‘พระเอก’ อย่างนี้ คุณพัชรีจะทำตัวเป็นแค่ ‘คนดูอย่างเดียว’ ก็เห็นจะไม่ได้การ! เธอต้อง ‘ร่วมกำกับ’ ด้วยแล้วล่ะ!
“เอ่อ…คุณ…เอาต้นไม้ไปลงสิ” เธอหันมาบอกสามี หมายจะให้เขาลงจากเรือนไป จะได้เป็นการเปิดโอกาสให้สองหนุ่มได้อยู่กันตามลำพัง
คุณชัยดูเหมือนจะยังงงๆ แต่เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นของภรรยาก็พยักหน้าเออออว่าง่ายแต่โดยดี
“เออ! จริงด้วย! เดี๋ยวลุงขอเอาหน่อไปลงเลยแล้วกันนะ” ชายวัยปลายหันไปบอกอธิป
“ป้าก็จะลงไปเตรียมมื้อกลางวันเหมือนกัน…เอ่อ…ป้ากับลุง…จะขึ้นบนเรือนอีกทีก็…เอ่อ…อีกสักชั่วโมงนึงเลยอ่า…คือ…งานในครัวมันเยอะ! แล้วลุงก็ต้องลงต้นไม้ด้วย…อ่า โตตามสบายเถอะ ของขวัญพาโตเข้าไปนั่งในห้องนอนเปิดแอร์เย็นๆนะลูก ข้างนอกมันร้อน…” คุณพัชรีว่าอย่างนั้นแล้วรุนหลังสามีลงจากเรือนไป ปล่อยให้อธิปและจอมขวัญอยู่ด้วยกัน
เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคนบนเรือนแล้ว อธิปจึงก้าวขาเดินเข้าไปหาคนที่นั่งนิ่งอยู่กลางเรือน แต่พอใกล้จะถึง อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นยืนเสียอย่างนั้น
“เข้าไปคุยกันในห้องเถอะครับ” จอมขวัญเอ่ยปากอย่างเกร็งๆ ต่อให้ป้าพูดว่าจะไม่ขึ้นมาบนเรือนภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ แต่เขาก็ยังไม่สะดวกใจจะพูดคุยกับอธิปกลางบ้านอยู่ดี เข้าไปคุยกันในห้องหับลับตาคนหน่อย จะเบาใจกว่า
ร่างโปร่งเดินนำตรงไปที่ห้องของตนเอง จัดการเปิดเครื่องปรับอากาศ รอให้อีกฝ่ายตามเข้ามา จึงเป็นคนปิดประตู และทันทีที่ประตูปิดลง เสียงทุ้มก็ดังขึ้น
“…เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ” ความห่วงใยที่ส่งมาพร้อมกับคำถามนั้น ทำเอาร่างโปร่งต้องเหลือบตามองก่อนจะได้แต่ก้มหน้าอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า ‘ครับ’
“พี่เองก็เหมือนกัน พี่กังวลว่าของขวัญจะนอนไม่หลับ กังวลว่าของขวัญจะคิดมากแล้วป่วย กังวลว่าของขวัญจะขาดสติอีก พี่กังวลไปหมด วันนี้เลยต้องหาขออ้างทุกอย่างเพื่อจะได้มาที่นี่ อย่างน้อยมาเห็นกับตาว่าของขวัญเดินไปเดินมาได้อย่างนี้ก็ยังพอสบายใจบ้าง”
“พี่โต…” คนฟังได้แต่ครางอย่างคาดไม่ถึงว่าเรื่องของเขาจะทำให้อีกฝ่ายกังวลมากถึงเพียงนี้ อธิปยังยิ้มบาง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งที่ในใจอยากเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ลากปลายนิ้วลงเบาๆกับสันจมูกโด่ง ลงมายังปลายจมูกโค้งสวยและริมฝีปากบาง อยากถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างนี้
…แต่…เขากลัวว่าจอมขวัญจะเกร็ง กลัวว่าจอมขวัญจะระแวงและกังวล ต่อให้ที่นี่เป็นห้องหับลับตาคน แต่อย่างไรเสียก็อยู่ในเรือน แล้วที่ครัวใต้ถุนเรือนก็มีคุณพัชรีเดินไปเดินมาเสียด้วย
…อธิปอยากอดทน อยากอดทนให้มากกว่านี้ แต่จอมขวัญที่อยู่ตรงหน้า กลับทำให้ความอดทนของเขาลดต่ำเหลือเกิน แค่จอมขวัญมายืนอยู่ใกล้ๆ เขาก็อยากกอด อยากให้ความอบอุ่น อยากเป็นที่พึ่งพิงให้แม้อีกฝ่ายจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ตาม…
“พี่…ขอกอดของขวัญได้มั้ย” คนถูกขอเงยหน้ามอง ก่อนจะยิ้มบางแล้วเป็นฝ่ายขยับเข้าไปกอดอธิปเสียเอง จอมขวัญวางหน้าผากลงกับบ่าแข็ง อธิปคือความอบอุ่น คือความมั่นคง แค่กอด…ก็เหมือนความรู้สึกทั้งหลายจะไหลผ่านเข้ามาในร่างของจอมขวัญ
ร่างสูงยกสองแขนขึ้นโอบร่างคนที่กำลังกอดเขาอยู่ แล้วฝังจมูกลงข้างกระหม่อม ความรู้สึกเต็มตื้นพองฟูในใจ ทั้งๆที่ตั้งแต่เมื่อคืนอธิปนอนแทบไม่หลับเพราะเป็นห่วงกลัวจอมขวัญจะกังวลจนไม่สบาย
“พี่รู้ว่าเรื่องของเรามันเป็นไปได้ยาก แต่…ไม่ว่ายังไง…พี่ก็รักของขวัญ” คำรักแผ่วเบาที่ข้างหูนั้น ทำให้หัวใจคนฟังสั่นสะท้าน
อ้อมกอดกระชับกันและกันให้แนบแน่นราวกับจะบอกให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าจะรักษาความรักครั้งนี้ไปด้วยกัน แม้ว่ามันจะยากเพียงใด แม้จะต้องพบเจอกับอุปสรรคอีกมากมายแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไง…พวกเขาจะยังคงรักกัน จะยังมีกันและกัน และเคียงข้างกัน นับจากนี้ไป
หัวใจที่ถูกเติมเต็มด้วยครามรักของจอมขวัญ ทำให้อธิปยอมผละออกห่างเล็กน้อย เลื่อนสองมือขึ้นมาประคองใบหน้าขาวเอาไว้แล้วกวาดสายตามองทั่วโครงหน้าหล่อเหลานั้น เขายิ้มน้อยๆ แล้วใช้ปลายนิ้วบดลงกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นน้อยๆของจอมขวัญ
“เลิกกังวลได้แล้ว พี่อยู่ตรงนี้ยังจะกังวลอะไรอีก”
“ก็…เรื่องพี่จักร…”
“คุณจักรกฤษณ์ต้องการเวลา จะให้เขายอมรับเรื่องของพวกเราทันทีไม่ได้หรอก…”
“ขวัญ…ขวัญแค่กลัว…กลัวจะเป็นแบบ…” จอมขวัญพูดไม่ออก ตอนเขาคบกับน้ำทิพย์ตั้งปีกว่า เวลาตั้งขนาดนั้นยังไม่สามารถช่วยให้คุณรุ่งทิพมองเขาในแง่ดีได้เลย
“คุณจักรกฤษณ์ไม่ใช่น้ารุ่ง” อธิปเอ่ยปาก “…และที่สำคัญ เขารู้จักของขวัญดีที่สุด ความสุขของของขวัญคือเรื่องสำคัญของเขา เพราะฉะนั้น ของขวัญต้องมีความสุขให้มากๆ ถ้าทำสีหน้าอมทุกข์ให้เขาเห็นบ่อยๆ เกิดเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะพี่ทำให้ของขวัญเป็นแบบนี้ พี่แย่แน่” ท้ายประโยคนั้นล้อเลียนคนทำสีหน้าอมทุกข์ด้วยการนวดหัวคิ้วที่ยังไม่คลายของจอมขวัญไปเรื่อย จนร่างโปร่งต้องดึงมืออุ่นลงจากหน้าเขา
“เข้าใจแล้ว ไม่อมทุกข์ก็ได้…”
“ดีมาก” เหมือนผู้ใหญ่ชมเด็กเล็กๆ จอมขวัญนึกขึงกับรอยยิ้มเอ็นดูที่อีกฝ่ายมอบให้เขา ทำอย่างเขาเป็นเด็กน้อยต้องมานั่งเอ็นดูกันอย่างนั้นล่ะ
มือขาวคลายลงจากการโอบกอดร่างสูงใหญ่ทันที ขากำลังจะก้าวถอยหลังออกห่าง แต่อีกฝ่ายกลับรู้ทันเพราะดึงแขนเขาแล้วลากเข้ามาชิดใกล้เช่นเดิมเสียก่อน
“จะรีบไปไหน ป้ารีให้โควตาตั้งชั่วโมงนึงไม่ใช่เหรอ”
“โควตาอะไรชั่วโมงนึง”
“โควตาให้พี่จีบของขวัญตามสะดวก” อธิปพูดแล้วยักคิ้วให้ จากผู้ใหญ่แสนดีแสนอบอุ่นเมื่อครู่นี้กลายเป็นคนขี้แกล้งขึ้นมาถนัด จอมขวัญนึกอยากจิ้มลูกตาร่างสูง แต่ติดที่ว่าอธิปก้มลงมาใกล้จนเขาทำอะไรไม่สะดวกเสียแล้ว
“เดี๋ยว…” ริมฝีปากบางเอ่ยคำสั้นๆ ในระยะที่หน้าของอธิปใกล้กับเขาจนริมฝีปากแทบจะชนกัน
“หื้ม?...” ริมฝีปากหนาส่งเสียงตอบกลับมาเบาๆ ก่อนจะแนบสัมผัสลงมอบความอบอุ่นจนร่างโปร่งสั่นสะท้าน หากแต่ไม่ช้าก็ผละออกไปเล็กน้อย
“นี่ไม่ได้เรียกว่าจีบแล้ว…” ริมฝีปากแดงขยับโต้ตอบแผ่วเบา ขณะที่เจ้าของสบตากับดวงตาคมที่ยังทอดแววหวานมาให้
“นั่นสินะ…เขาต้องเรียกว่าจูบใช่มั้ย” สองมือหนาลากไล้ไปทั่วแผ่นหลัง ทิ้งไอร้อนเอาไว้ทุกจุดที่เคลื่อนผ่าน ขณะที่ริมฝีปากเที่ยวเล็มไล้ริมฝีปากของคนในอ้อมแขน ทั้งดูดดึง ทั้งแนบจูบ แม้แต่ใช้ปลายลิ้นเลียย้ำให้จอมขวัญแทบยืนไม่อยู่
“ไม่รู้…อื้อ…”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่บอกให้…” เสียงทุ้มขาดหายไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่เมื่อถอนจูบออกมา “…แบบเมื่อกี้เขาเรียกว่าจูบนะของขวัญ…จากนี้ไป…ของขวัญจูบกับพี่ได้คนเดียว…”
“อื้ม…” ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากบางอีก เมื่อมันถูกจูบย้ำช้าๆและเต็มแน่นไปด้วยอารมณ์ทุกสัมผัส แขนขาวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งแนบกระชับให้อีกฝ่ายยิ่งใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพื่อให้จูบต่อจากนี้…แนบชิดยิ่งกว่าทุกจูบที่เคยสัมผัสมา
“…จากนี้ไป…พี่โตก็จูบขวัญได้แค่คนเดียวเหมือนกัน”
“แน่นอน”
……………………….
จักรกฤษณ์เลี้ยวรถเข้าบ้านแล้วชะงักไปทั้งตัวเมื่อเห็นรถของอธิปจอดอยู่ในอาณาเขตรั้วบ้านวิมลกิตติเช่นกัน เขารีบดับเครื่องแล้วลงจากรถ กำลังจะถลาขึ้นเรือนแต่เหลือบตาไปเห็นคุณพัชรีผู้เป็นแม่เดินออกมาจากครัวที่อยู่ใต้ถุนเรือนเสียก่อน เลยต้องหยุดปลายเท้าเอาไว้ แล้วยกมือไหว้มารดาก่อนจะเปิดปากถามทันที
“คุณอธิปมาเหรอแม่ เขาอยู่ไหนแล้ว”
“อยู่บนเรือน” จักรกฤษณ์ตั้งท่าจะกระโจนขึ้นเรือน แต่เสียงคุณพัชรีดังขัด
“นั่นแกจะไปไหนจักร”
จักรกฤษณ์ชะงักเท้าอีกครั้ง แล้วหันมามองมารดา
“ขึ้นเรือนสิแม่”
“ไม่ต้องขึ้น”
“ทำไมถึงไม่ให้ขึ้น! ก็!...”
“ฉันบอกว่าไม่ต้องขึ้นก็คือไม่ต้องขึ้น”
“แม่!!!”
“แล้วแกเข้ามานั่งในครัวนี่!!!!” คุณพัชรีว่าก่อนจะชี้นิ้วเข้าไปในครัว
“แม่!!!!”
“รู้ว่าฉันเป็นแม่ก็ทำตามคำสั่งฉัน! ไม่ต้องขึ้นเรือนและเข้ามานั่งในครัว!!” จักรกฤษณ์พูดไม่ออก เขาขมวดคิ้วพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดที่เห็นแม่ตั้งใจขัดเขาเสียขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ขยับตัวตามคำสั่ง คุณพัชรีจึงต้องงัดไม้ตายออกมา
“จักรกฤษณ์ วิมลกิตติ!! คุณพัชรี วิมลกิตติ ‘แม่’ ของแก! สั่งให้แกมานั่งในครัว!!!!” พอคุณพัชรีเอ่ยชื่อแซ่นามสกุลและสถานภาพพร้อมกับชี้เข้าหน้าตัวเอง ลูกชายหัวดื้ออย่างจักรกฤษณ์เลยต้องพ่นลมหายใจแรงๆอีกครั้ง ก่อนจะยอมเดินปึงปังเข้าไปนั่งในครัวแต่ก็ไม่วายบ่นให้มารดาได้ยินชัดเต็มสองรูหู
“จะได้เป็นญาตินางเอกกันอยู่แล้ว ยังจะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่อีก!!!” คุณพัชรีตวัดสายตาฉับมาที่บุตรชายปากร้าย สองมือยกขึ้นท้าวเอวแล้วแหววใส่อย่างเหลืออด
“อ๋อ!!! รู้ตัวเหมือนกันเหรอว่าเป็นแค่ ‘ญาติ’!!! คราวหน้าก็หัดรู้ตัวให้มันเร็วกว่านี้ซะหน่อยนะ! จะได้เลิกไอ้นิสัยชอบตัดสินแทน ‘พระเอกนางเอก’ เขาซะที!!!”
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้า)
ไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นมา คนคุมสอบดุมากกกก มีแจกใบเหลืองใบแดงด้วยอ่ะ!! (ตอนสอบที่เมืองไทยไม่เห็นเคยมีเลย) นึกว่าอยู่ในสนามบอลนะเนี่ย ฮ่าฮ่า (ส่วนผลการสอบ ไม่อยากจะคิดให้เพลีย ผลไม่ต้องออกก็รู้แหละ ว่าไม่ผ่านชัวร์ๆ ถอนหายใจแล้วแต่งนิยายแก้นอยดีกว่า ฮ่าฮ่า)
ส่วนพาร์ทนี้ คะแนนนิยมพี่จักรท่าทางจะลดฮวบฮาบแน่ๆ
เอาหน่าๆ หยวนๆให้พี่จักรหน่อยนะ อย่าไปโกรธแกเลย แกเหมือนคุณพ่อที่ลูกสาวเริ่มปิ๊งหนุ่มอ่ะ เลยเริ่มหวง
ส่วนพาร์ทที่แล้ว สาวกน้องถ้วยฟูตกตะลึงกันไปเล้ยยยย คิดไม่ถึงล่ะซี่ ว่าปวินจะกลับมา กร๊ากๆๆๆ
(แต่ให้มาบ่อยๆไม่ได้นะ ตอนนี้ยังเคลียร์เรื่องวันประกาศอิสรภาพไม่ได้เลย ฮ่าฮ่า )
มีคนถามหางานเก่าๆของบัวด้วย (ขอบคุณมากๆที่สนใจงานเขียนของบัวนะคะ)
ที่ลงในเล้ามี สามเรื่อง
รักนี้…ลิ้นกับฟัน
ตำนานรักดอกไม้
แล้วก็เรื่องจอมร้ายนี่ล่ะค่ะ
ส่วนนอกจากนั้น เป็นฟิคชั่น อยู่ในบล็อกบัวจ้ะ
ในบล็อกมีนิยายอีกสองเรื่อง แต่มันไม่ค่อยวายเท่าไหร่เพราะว่าส่งไปประกวด
ก็เลยไม่ได้เอามาลงในนี้ค่ะ ถ้าสนใจก็เข้าไปอ่านได้ที่นี่
เรื่องยาว 5 ตอนจบ
เรื่องสั้น ตอนเดียวจบ
พาสคือ นามปากกาของบัวค่ะ
เจอกันวันพฤหัสหน้าเช่นเดิม
ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนคิดถึง คนเม้นท์ และกำลังใจจากทุกๆคนนะคะ