รักที่เลือก ......
ผมมองตามหลังพี่ซันที่ค่อยเดินจากไป เจ็บ.....ก็ต้องทน พอซะทีความเครียดแค้นชิงชัง ความเจ็บปวดทั้งหลาย
ลืมมันไปให้หมด ณ ตอนนี้ ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ความอยากอาหารเมื่อสักครู่หายไปหมดแล้ว ทั้งที่ตั้งใจจะไปเติมพลัง
ให้ตัวเองแท้ๆ ถึงจะไปตอนนี้ผมก็คงกินอะไรไม่ลงแล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่ไม่อยากพบปะผู้คน อยากจะหายตัวไปซะจากตรงนี้
สายตานับสิบๆ คู่ที่มองมา ...... ไม่นึกเลยว่าพี่ซันจะกล้า ผู้ชายที่เหย่อหยิ่ง ผู้บริหารระดับสูง ไม่เคยก้มหัวให้ใคร จะคุกเข่าลง
ตรงหน้าผม เพียงแค่ขอร้องให้ผมกลับไป...... แต่......พี่จะทำเพื่ออะไรหล่ะ ผมไม่เข้าใจเลย มันไม่มีเหตุผลอะไร
ที่ทำให้พี่ยอมลดตัวทำเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีได้ขนาดนี้ คอนแทคเลนส์นั่น ....ทำไมถึงยอมใส่ ทั้งที่เมื่อก่อน
แค่เห็นก็จับขว้างทิ้งแล้วแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคอนแทคเลนส์นั่นผมคงจะเชื่อแน่ว่าเป็นพี่ซัน ผมได้แต่ครุ่นคิดวกไปวนมา
หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ ... ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าคนๆ นั้นตองการอะไร
สุดท้ายผมพาหัวใจที่เจ็บร้าว....ตรงดิ่งไปยังห้องทำงาน ขังตัวเองอยู่เงียบๆ มันไม่พร้อมจะเจอใคร ก็เมื่อหัวใจมั่นสั่นคอน
ซะขนาดนี้ ........แข็งใจตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา ไม่ใช่แค่เพื่อผม แต่เพื่อพี่ซันด้วย เราเจ็บกันมามากพอแล้ว
ผมทั้งเหนื่อย ทั้งกลัว และมันก็ควรหยุดซะที งานตรงหน้าวางกองเป็นตั้ง ถึงไม่ใช่งานด่วนมาก แต่ผมก็เลือกที่จะหยิบ
มันมาทำแบบไม่ลืมหูลืมตา เพื่อที่จะเบนความสนใจ ......ไปจากใครบางคนที่ยิ่งกว่าคิดถึงมานาน อยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อสักครู่ ..... เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ รู้เพียงแต่ว่าผมยังเปิดแฟ้มเล่มเดิม ......และค้างอยู่หน้าเดิมแบบนั้น
สายตาเหม่อมองเลื่อนลอย ไม่เห็นแม้จุดหมายปลายทาง ด่ำดิ่งสู่ภวังที่ตัวเองได้สร้างขึ้น
.
.
.
“กริ๊งงงงงงง...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำผมตื่นจากภวัง ค่อยๆ เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ รัชตะวัน พูดสายครับ” ผมกรอกเสียงให้เป็นปกติที่สุด ตอนนี้เป็นเวลางานผมไม่ควรจะคิดเรื่องส่วนตัว
“สวัสดีคุณไนท์ ผมพลรภพูดนะ พรุ่งนี้คุณต้องไปไหนรึเปล่าน่ะ พอดีผมมีเรื่องจะรบกวนคุณสักหน่อย”
“ครับ พรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปไหนครับ ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะให้ผมรับใช้ครับ”
“อืม.... ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ พอดีลูกชายหุ้นส่วนผมเค้าจะจัดงานเลี้ยง ผมเห็นว่าคุณเคยจับงานประเภทนี้มาก่อน
ก็เลยอยากให้ไปช่วย ๆ ดูแลความเรียบร้อยของงานให้หน่อย พรุ่งนี้สักช่วยบ่ายๆ ก็ได้ แค่ไปตรวจดูความเรียบร้อยของงานน่ะ
จริงๆ ก็เป็นแค่งานเลี้ยงภายในคนไม่กี่คนหรอก แต่หลานผมเค้าไม่อยากให้มีข้อผิดพลาด เพราะเชิญผู้ใหญ่มาร่วมงานทั้งนั้น
จริงๆ ก็ตั้งใจไปดูเองอ่ะนะ แต่ว่าดันติดธุรสำคัญซะก่อน และผมก็ไม่ไว้ใจใครมากพอ ก็คงจะต้องเป็นคุณนี่แหล่ะ”
“ได้ครับท่าน ไม่ทราบว่าสถานที่จัดอยู่ที่ไหนครับ แล้วรูปแบบของงานนั้นเป็นแบบไหนไม่ทราบครับท่าน”
“จัดที่โรงแรม xxx ห้องจัดเลี้ยงxxx ส่วนรูปแบบของงานก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูเรียบแต่หรูก็เท่านั้น ยังไงก็ขอบใจมากนะคุณไนท์”
“ด้วยความยินดีครับ ท่านประธาน” ท่านประธานวางสายไปแล้ว ผมสูดหายใจแรงๆ เรียกสติของตัวเองกลับมา
ตะโกนบอกตัวเองในใจ “ทำงานๆ” ก่อนจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ ไปที จนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะมุ่งมั่นทำงานต่อไป
.
.
.
สองทุ่มแล้วพนักงานส่วนใหญ่ทยอยกลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงผมกับพนักงานไม่กี่คน ผมตรงไปยังรถประจำตำแหน่ง
ขับกลับไปที่พัก ปกติผมจะใช้รถบริษัทแค่จันทร์-ศุกร์เท่านั้น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็จะใช้รถสาธารณะ แม้รถคันที่ว่าจะจอดนิ่ง
อยู่ที่บ้านพักก็ตามที ไม่นานนักก็ถึงที่พักผมหยิบอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาเก็บไว้เข้าตู้ไมโครเวฟ สักพักก็นำมารับประทาน
แม้ใจจริงจะไม่อยากแตะมันสักเท่าไหร่ แต่ร่างกายที่ร้องประท้วงอยุ่ตอนนี้คงรับสภาพไม่ไหว ตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง
ผมทานไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทานเพื่อจะให้ร่างกายรับอาหารได้มากที่สุด ทานได้ไม่ถึงสิบคำ ... น้ำตามันก็ไหลออกมาดื้อ
ทั้ง ๆที่อดทนมาได้ทั้งวันแล้วแท้ พอมันไหล....ผมก็ห้ามไม่ไหวซะอย่างนั้น ถึงจะสัญญากับตัวเองไว้แล้ว แต่พอนึกถึงสายตา
คู่นั้นที่มองมาที่ผมอย่างผิดหวัง ดวงตาเศร้าสร้อยราวกับจะร้องไห้ เหมือนๆ หัวใจคนๆ นั้นได้แตกสลายอยู่ตรงนั้น ฝืนยิ้ม
ส่งมาให้ผม ไม่บอกก็รู้........ว่าพี่เจ็บขนาดไหน คุกเข่าทั้งที่.....พี่ไม่เคยแม้จะยอมก้มหัวให้ใคร นึกถึงวันที่ไปส่งพี่ที่สนามบิน
“แกจะไม่ก้มกราบผู้มีพระคุณของแกหน่อยเหรอ ที่อุตส่าห์ส่งแกไปเรียนถึงอเมริกา” พ่อว่า ยกยิ้มที่มุมปากนิด
พี่ซันที่เริ่มต่อต้านและ กระด้างกระเดื่องเพราะได้รู้ความจริงแล้วนั้น จ้องหน้าพ่อผมนิ่ง ...... ไม่มีปฏิกิริยาใด ตอบกลับ
“ถ้าแกไม่ก้มลงกราบแทบเท้าชั้นงามๆ เงินสักแดงชั้นก็จะไม่ให้แกติดตัวไป ว่าไงหล่ะ ถึงแกจะไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน
หรือแม้แต่ค่าที่พัก แต่แกก็จะไม่มีเงินกินข้าวนะรู้ไว้ แต่ถ้าหากแกก้มลงกราบเท้าฉันตอนนี้ เงินก้อนนี้ชั้นจะใจดียกให้แก”
พี่ซันยังยืนนิ่งๆ โดยที่ไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมที่ร้อนใจ เกาะแขนพ่อแน่น ตกใจอย่างคาดไม่ถึงที่พ่อทำอย่างนี้
“พ่อครับ ให้พี่ซันไปเถอะนะ เรามีเงินตั้งเยอะตั้งแยะ พ่อจะหวงทำไม” ผมได้แต่เอ่ยเสียงสั่น เขย่าแขนพ่อให้เห็นใจ
“อย่ายุ่งไม่ใช่เรื่องของแก ชั้นจะดัดนิสัยไอ้คนไม่รู้จักบุญคุณคน” พ่อตวาดลั่น ผมเห็นพี่ซันกัดฟันแน่น ก่อนจะลากกระเป๋า
หันหลังแล้วเดินหนีเข้าไปยังส่วน ตม. ผมรู้แค่ว่าพี่ซันมีเงินติดตัวไม่มาก อาจจะแค่ 2-3 หมื่นบาทไทย แต่นั่นไม่ก็พอที่จะใช้
ชีวิตอยู่ที่อเมริกา สำหรับ 3-4 ปี แน่นอน พี่ซันทำงานพิเศษทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น สำหรับพี่ซันต่อให้ตายก็คง
ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีเรื่องนี้ผมรู้ดี นั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ.....เพราะอะไรพี่ถึงทำแบบนั้น ในเมื่อผมไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย
.
.
.
เช้าอีกวันผมไปทำงานตามปกติ ไปถึงก็ตรงดิ่งเข้าห้องเลยไม่อยากสนใจสายตานับสิบๆ คู่ที่มองมา ผมไม่อยากใส่ใจ
รีบเข้าไปเคลียร์งานที่ยังค้างอยู่ เพราะช่วงบ่ายต้องไปดูงานที่โรงแรมต่อตามที่คุณพลรภท่านขอร้องมา ทำงานไปสักพัก
ยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจอะไร แม้จะมีเรื่องค้างในใจ แต่ผมก็แกล้งลืม ก้มมองนาฬิกา บอกเวลา บ่ายโมงยังไม่ทันแตะเข้าเที่ยง
ด้วยซ้ำ ผมตัดสินใจไปหาอะไรทานข้างนอก เป็นห่วงเรื่องงานที่โรงแรมจะไม่เรียบร้อยด้วย และผมก็ยังไม่อยากเจอะเจอใคร
ในตอนนี้ ตรงดิ่งลงมาที่รถ พนักงานเข้างานเรียบร้อยตรงทางเดินถึงโล่งขนาดนี้ ผมเดินตรงไปเรื่อย กำลังจะเลี้ยวไปยังลาน
จอดรถ ก็ต้องชะงัก...... คุณคมกริชยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงประตูทางออก สายตาที่มองมาที่ผมทั้งดูแคลน และแค้นเคือง
ก็คงจะเป็นเรื่องเมื่อวานนี้ แต่ก็มองอยู่แค่พักหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าราวกับไม่อยากพบอยากเจอผมอีกแล้วในชีวิตนี้
จากนั้นก็ค่อยถอยห่างเดินเลี่ยงไปอีกทาง ผมถอนหายใจพลางโล่งอก 2 เดือนที่ผ่านมาโดนตามทุกฝีก้าว ดีที่ไม่ตามไปถึงที่พัก
ด้วย คุณคมกริชเป็นหลานของผู้จัดการคุณอลงกรณ์ เลยทำให้ทุกคนเกรงใจเพราะท่านเป็นคนที่นับน่าถือตาและเป็นผู้ใหญ่
ใจดีท่านหนึ่งเลยทีเดียว เสียแต่หลานชายออกจะเกเรไปสักหน่อยเท่านั้นเอง ผมตรงดิ่งไปที่รถ ขับออกมาอย่างรวดเร็ว
ตรงดิ่งไปที่โรงแรมดังกล่าว ไม่ถึงชั่วโมงผมก็มาถึงที่หมาย... แต่ก่อนถึงเลยแวะทานอาหารกลางวันตามร้านแถวๆ นั้นดู
อร่อยได้ที่เลยที่เดียว จากนั้นค่อยขับรถไปที่โรงแรม บ่ายสองนิดหน่อยผมรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตรงฟร้อนท์ มีเจ้าหน้าที่ตรงมา
เชิญผมไปตรวจงานที่ห้องจัดเลี้ยง ผมสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ว่าจัดเตรียมสถานที่ไปถึงไหนก็ได้รับคำตอบว่าเรียบร้อยดี
พอผมเปิดประตูเข้ามาก็ต้องอึ้งไปเลย ห้องไม่กว้างมากนักน่าจะเหมาะสำหรับจัดงานเลี้ยง หรือ สัมมนาสำหรับ 10-20 คน
ภายในห้องฉาบด้วยสีเหลืองทองอร่าม ด้านบนเวทีมีจอสีขาวสำหรับฉายภาพ โปรเจคเตอร์ไม่ใหญ่มากนัก
แต่ที่ทำผมตกใจคือ ดอกลิลลี่นับร้อยดอกถูกจัดเรียงอย่างสวยงามทั่วทั้งห้อง ไม่แน่ใจว่าเหมาะหรือเปล่า
ที่ใช้ดอกลิลลี่ แต่แน่นอนผมชอบมาก เพราะมันเป็นดอกไม้ที่ผมชอบที่สุด ในบรรดาอกไม้ทั้งมวล ขาวสะอาด และดูจริงใจ
ผมเดินเข้าไปใกล้มวลหมู่ดอกไม้ เผลอไผลสัมผัสและสูดดมกลิ่นหอมที่ยวลใจ ไล้สายตามองอย่างอ้อยอิ่ง รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
แต่อดแปลกใจไม่ได้ที่คนจัดงานใช้ดอกลิลลี่ ถึงจะจัดได้อย่างสวยงาม แต่ก้านที่ยื่นระโยงระยางนี้ถ้าคนจัดไม่เก่งจริง
ผมว่ามันก็อาจเป็นจุดบอดของงานได้เลยทีเดียวที่สำคัญ คนจัดไม่ได้ตัดมันออกมาแต่ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ กระถางถูกแขวน
เรียงต่อกันเป็นชั้นตรงกลางซุ้ม แล้วยื่นดอกออกมาด้านนอกซุ้มที่เป็นตาข่ายเหล็กห่างๆ จนเป็นพุ่มใหญ่โตสวยงาม
สุดท้ายผมก็หันไปถามเจ้าหน้าที่
“ทำไมต้องใช้ดอกลิลลี่สีขาวด้วยหล่ะครับ”
“เจ้าของงานระบุมาค่ะว่าต้องเป็นดอกลิลลี่เท่านั้น” ผมพยักหน้าเข้าใจ เดินมองรอบห้องทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงาม
แต่ที่แปลกอีกอย่างคือ ทั้งห้องมีโต๊ะวางอยู่เพียงโต๊ะเดียว....... เก้าอี้เพียงตัวเดียว ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
“ทำไมมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้อย่างละตัวหล่ะครับ หรือจะจัดเพิ่มอีกที”
“ไม่ค่ะ แขกของเราวันนี้มีแค่โต๊ะนี้โต๊ะเดียวค่ะ รบกวนคุณไนท์ช่วยตรวจสอบภาพที่จะต้องจัดแสดงในงานด้วยนะคะ
เดี๋ยวพี่ต้องไปทำหน้าที่อื่นต่อต้องขอตัวนะคะ อ้อฯท่างเจ้าของงานย้ำมาว่ายังไงก็ขอให้ตรวจภาพที่ต้องแสดงคืนนี้ให้
ดีๆ นะคะ เพราะจะผิดพลาดไม่ได้ พี่ขอตัวก่อนนะคะคุณไนท์ ยังไงเรื่องนี้พี่คงตองรบกวนคุณไนท์แล้วหล่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่สาวสวยส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินออกไป ผมพยักหน้ารับก่อนที่ประตูห้องจะปิดสนิทลง พร้อมกับแสงไฟที่ถูกหรี่ลง
เพื่อให้พร้อมสำหรับดูภาพในโปรเจคเตอร์ที่กำลังจะฉาย ผมเดินสำรวจมองทั้งห้องอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เพียงตัวเดียว
ในห้อง นึกถึงความประหลาดของเจ้าของงานที่จัดงานแบบแปลก ๆ เก้าอี้ตัวเดียวน่าจะสำหรับคนเพียงคนเดียว แล้วทำไม
ผมจะต้องมานั่งตรวจสอบภาพอะไรที่ว่าในเมื่อผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นภาพอะไร และมีสิ่งผิดพลาดตรงไหน แปลกที่อยู่ดี ๆ
ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องซะงั้น จนต้องถอนหายใจยาวๆ เพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียดที่ว่า มือผมเอื้อมไปกดเปิดการทำงาน
ของเครื่องโปรเจคเตอร์ตรงหน้า แสงค่อย ๆ สาดส่องไปยังจอสีขาวที่อยู่ตรงหน้า สักพักหน้าจอสีมืดก็ปรากฎขึ้น
อ้อ... ผมลืมกดเล่นบนโน๊ตบุคข้าง ๆ น่ะเอง แค่ขยับเม้าก็ปรากฎหน้าจอที่เหมือนเล่นค้างไว้อยู่แล้ว ผมกดมันลงไป
มีเสียงเพลงดังขึ้นมาเบาๆ ทำผมใจเต้นไม่น้อย
http://www.youtube.com/watch?v=DFOfSz5gG5E&feature=relatedมีเพียงความเดียวดาย กับใจเราดวงเดิมๆ
กับฝันวันเก่าๆ กับเหงาที่ไม่จางไป
มีเพียงดวงดารา กับจันทราที่ลอยไป
ที่รักเราอยู่ห่าง อ้างว้างเริ่มเกาะกินใจ
อยู่ไหนไม่เห็นเธอมานานแล้ว คิดถึงกันบ้างไหม
อยากเห็นหน้าเธออีกสักครั้งหนึ่ง
หวั่นไหวทุกครั้งที่ใจคิดถึง มันทนไม่ค่อยไหว
เมื่อมองไปเห็นหน้าเธออยู่บนฟ้านั่น
เมื่อไรหนอที่เธอจะกลับมา คอยนับวันเวลาเธอจะให้อภัย
โกรธนานไปแล้วหรือเธอจะมีรักใหม่ ดีกันอีกครั้งได้ไหมฉันขอโทษ
อยู่ไหนไม่เห็นเธอมานานแล้ว คิดถึงกันบ้างไหม
อยากเห็นหน้าเธออีกสักครั้งหนึ่ง
หวั่นไหวทุกครั้งที่ใจคิดถึง มันทนไม่ค่อยไหว
เมื่อมองไปเห็นหน้าเธออยู่บนฟ้านั่น
เมื่อไรหนอที่เธอจะกลับมา คอยนับวันเวลาเธอจะให้อภัย
โกรธนานไปแล้วหรือเธอจะมีรักใหม่ ดีกันอีกครั้งได้ไหมฉันขอโทษ
โกรธนานไปแล้วหรือเธอจะมีรักใหม่
ดีกันอีกครั้งได้ไหมฉันขอโทษ
ดีกันอีกครั้งได้ไหมฉันขอโทษ
.
.
มีข้อความปรากฎขึ้นช้าๆ
“ช่วยดูจนกว่าจะจบ .....ขอแค่นี้ได้ไหม แค่ช่วยมองเห็น อีกมุมของใครบางคน ที่ไนท์ยังไม่เคยเห็น”
ผมกลืนน้ำลายลงช้าๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรตีบตันที่ลำคอ
“พี่อาจจะเป็นได้แค่สื่อกลาง ระหว่าง คนสองคน”
“อยากเห็น “คนที่พี่รัก” เค้ากลับมารักกัน ”
“ถ้าดูจบแล้ว.....จะตัดสินใจยังไง พี่จะไม่ห้ามเลย ถามแค่ใจตัวเองดูก็พอ”
“ว่าเลือกที่จะรัก หรือ เลือกที่จะจากไป......... ให้หัวใจคอยนำทาง”
ผมอ่านตามข้อความอย่างงุนงง แต่ก็ตัดสินใจที่จะนั่งดูต่อไป เมื่อมาถึงขนาดนี้....จะหนีเพื่ออะไรหล่ะ
14.5.55 Time : 18:00
สักพักภาพใครบางคนที่นั่งกอดเข่าริมระเบียง ดวงตาเหม่อลอย บนใบหน้ามีหยดน้ำตาเลียดใบหน้าคม เหมือนเป็นถาพถ่าย
แบบต่อเนื่อง สองมือกอดแน่นที่ตุ๊กตาเพนกวินสีดำขาว ในภาพชี้ไปที่ตุ๊กตาตัวนั้นว่าคือ ตัวแทนน้องไนท์
ภาพค่อยๆ เล่นต่อเนื่อง เป็นผู้ชายคนเดิมกดจูบที่ริมฝีปากนกเพนกวิ้นตัวเดิมซ้ำ ๆอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมันเป็นของรักนักหนา
ก่อนเอามาแนบอก แล้วเหม่อต่อ ผมกระพริบตาถี่ๆ ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล
ใครคนนั้นนอนกอดตุ๊กตาแน่นที่โซฟาน่าจะหลับสนิท ห้องนี้ผมจำได้ห้องพี่แทน แล้วตุ๊กตาหล่นจากมือ ใครคนนั้นควานหา
แล้วไม่เจอ เลยกลิ้งตัวลงบนพื้น ควานหาตุ๊กตาตัวที่ว่าอีกครั้งจนเจอ แล้วนอนกอดตุ๊กตาอยู่อย่างนั้น
มันเป็นภาพจากกล้องวิดิโอที่ถูกตัดเป็นภาพนิ่งมา ผมนิ่งอึ้งไป......น้ำเหรอ เค้าคนนั้นมีน้ำตา
10.5.55 Time : 17:00
ภาพใครคนนั้น เหม่อลอยที่ริมระเบียง กอดตุ๊กตาเพนกวินไว้แน่น แนบอก เหมือนเดิมไม่มีผิด แตกต่างตรงที่ดวงตาที่
เศร้าราวกับสูญเสียของรักไป สักพัก ภาพใครคนนั้น เมาหลับไม่ได้สติ ในมือยังจับแก้วเหล้าไว้แน่น แต่มืออีกข้างกับกอด
ตุ๊กตาบ้าๆ ตัวนั้น ตุ๊กตาที่พี่ซันซื้อให้วันเกิดผมตอนอายุ 11 ขวบ ผมเม้มริมฝีปากแน่น และแล้วมันก็ร่วงลงไปอีกแล้ว
ใครคนนั้น เอื้อมมือคว้าทั้งที่ไม่มีสติ และแน่นอน เค้ากลิ้งตกจากเก้าอี้ตามเพนกวิ้นไป โชคยังดีที่พื้นเป็นพรม ผมเห็นภาพที่
พี่แทนเข้ามาดู แล้วยกมือชูนิ้วโป้งแทนคำว่าปลอดภัยให้กล้อง แม้จะเป็นภาพที่ตัดมาจากวิดิโอ แม้จะเป็นแค่ภาพนิ่ง...
ทำไมพี่ซันต้องทำบ้าอย่างนั้น ทำไมต้องทำตัวอย่างนั้น ไนท์...ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นสักหน่อย ได้โปรดหยุดทีเถอะ
7.5.55 Time : 12:55
ผู้ชายคนนั้นเขี่ยข้าวในจานไปมา ทั้งที่อาหารยังเหลือเต็มจาน สุดท้ายก็วางช้อนลง เหม่อมองไปข้างนอกอีกครั้ง
แต่ผมเห็นอะไรรู้มั้ย เก้าอี้ผู้บริหาร..... มีเก้าอี้อีกตัววางข้างๆ และบนนั้นมีนกเพนกวินตัวเดิมวางอยู่ มือใครคนนั้น
ลูบหัวเพนกวิ้นตัวที่ว่า ผมพูดไม่ออกเลย .......... พี่ซันดึงเพนกวินตัวเดิมมากอดอีกครั้ง กอดแน่นๆ หยดน้ำตาพราว
อยู่ข้างแก้มนั่น สิ่งที่ผมไม่เคยเห็น พี่ซัน......ไม่เคยร้องไห้สักครั้ง นอกจากวันนั้นวันที่ลุงกับป้าจากไป ผมสงสารเค้าจับใจ
น้ำตาค่อยซึมไหลเลียดอาบแก้มตัวเอง กัดริมฝีปากแน่น ...... ทำไมถึงเจ็บตามไปด้วย
(มีต่อ)