Pretty Boy II
ตอนที่ 18
[Rich talks]
[เลิกงานยังวะ]
“เลิกแล้วอยู่บ้าน เหนื่อยโครตๆเลยวะ” ผมบ่นให้ไอ้เตอร์ฟัง เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ออกไปไหนมาไหนกับมันเลย นอกจากเจอที่มหาลัย ทั้งๆที่ก่อนเกิดเรื่องผมตัวติดกับมันยิ่งกว่าปาท๋องโก๋เสียอีก
[บ้านใคร]
“ถามเหมือนไม่รู้ บ้านพี่ครามไง” มันหัวเราะ แม่งบ้า ตอนนี้นอกจากที่นี่ผมก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว
[เออ ลืมไป ว่าแต่บ้านพี่ครามเขาเปิดโรงฝึกด้วยนิ ชื่ออะไรว่ะ] อะไรของมันว่ะ
“ชื่อ...” แต่ผมก็บอกไป แล้วมันก็วางสายไปเลย โทรมาถามแค่เนี่ย แม่งเอ้ย!
ผมโยนมือถือลงบนเตียงก่อนจะผลิกตัวนอนหงาย เหนื่อยจนไม่รู้สึกอยากขยับตัวเลยสักนิด นี่ผมเพิ่งสอบเสร็จไป เกือบตายแล้วจริงๆ ผมไม่เคยทำตัวมีสาระอย่างนี้มาก่อนเลย เช้าไปเรียน เย็นทำงาน อ่านเอกสาร เข้าประชุม เรียนต่อสู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงอยู่ตามสนามแข่งไม่ก็ตามผับตามบาร์
แต่ชีวิตกลับมีความสุขมากกว่าตอนนั้นอีก ผมผลิกตัวนอนตะแคงอย่างเหนื่อยหน่าย ใช้นิ้วเกาคางลูกหินเล่น สงสัยวันนี้จะเล่นซน กลับมาก็เนื้อตัวผมมอมแมมจนผมต้องจับอาบน้ำด้วยกัน แล้วตอนนี้ก็หลับไปเป็นที่เรียบร้อย แล้วไม่นานผมก็หลับไปด้วยอีกคนจนได้ยินเสียงเคาะประตู
“พี่ริช” เค้กโผล่แต่หัวผ่านกรอบประตูเข้ามา ผมขยี้ตาไล่ความง่วง แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่
“มีอะไรเหรอเค้ก” ผมถามเสียงยานๆ ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
“มีคนมาหา เขาบอกเป็นเพื่อนพี่”
“ใคร” ผมเลิกคิ้ว แต่ก็สงสัยได้ไม่นาน เค้กก็เปิดประตูออกกว้างจนเห็นคนที่มาหาผม
“ว่าไง” มันยกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เค้กขมุบขมิบปากว่าตามสบาย
“มาไงเนี่ย” ผมยังตกใจอยู่ครับ อยู่ดีๆไอ้เตอร์ก็โผล่มา แต่บอกได้เลยว่าผมดีใจมาก มันวางถุงขนมที่โต๊ะในห้องก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนอนลงข้างผม
“เปิดแอร์แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อนอนวะ เดี๋ยวก็ไม่สบาย” มันบ่นผมเมื่อเห็นสภาพของผมที่มีแต่กางเกงขาสั้น
“ขี้เกียจ” ผมตอบไปงั้นๆก่อจะผลิกตัวไปกอดมัน
“เหนื่อยมากเหรอมึง” มันขยับให้ผมกอดมันได้ถนัดมากขึ้น ผมส่งเสียงตอบอู้อี้อยู่กับอกมัน มันลูบหัวผมเบาๆไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเอาผมเคลิ้มจะหลับอีกรอบ
“ตื่นเลยมึง กูมาหาแล้วจะทำหลับเหรอวะ” ไอ้เตอร์กระชากหัวผมเบาๆ แต่ก็เล่นเอาหน้าหงายเหมือนกัน เชี่ยแม่ง! แกล้งคนจะนอน
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูเหนื่อยแค่ไหน มีเวลาให้นอนกะแดกข้าวก็บุญแล้ว” ผมอดไมได้ที่จะบ่นครับ ไอ้พี่ครามมันใช้งานผมหนักจริงๆ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของผมก็เถอะ แต่มันก็หนักไป เยอะไป!
“โอ๋ๆๆ น่าสงสารที่สุด ไหนให้พี่ดูหน่อยสิ ยังหล่อเหมือนเดินหรือเปล่าเนี่ย” มาอีกแล้วครับ โหมดนี้ของมัน =_=
“อื้อ อย่าดิวะ” ผมดันหน้าไอ้เตอร์ออก แม่งจะหอมแก้มผมให้ได้เลย
“อะไร เดี๋ยวนี้หวงตัวกับกูเหรอ” มันจับหน้าผมล็อคแน่น แถมยังถลึงตาใส่ผมอย่างหาเรื่องด้วย อย่าได้คิดว่ามันโกรธผมครับ มันตอแหล ผมเจอมาหมดแล้วทุกรูปแบบนิสัยไอ้เตอร์น่ะ
“เออ กูหวง” ประชดแม่ง
“หึหึ หวงไว้ให้ครับครับน้องชาย” มันยิ้มเจ้าเล่ห์ ประมาณว่ากูรู้กูเห็นทุกเรื่อง ผมอยากเอานิ้วจิ้มตาแม่งสักที
“ไม่ได้ให้ใครโว้ย!” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน แต่มันกลับหัวเราะก่อนจะกดปากหอมที่แก้มผมเน้นๆ
เจ็บโว้ย!!!
“ฟอดดด หื้ม ชื่นใจ ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ” แม่งยิ้งกริ่มเลยครับ ไอ้เตอร์มันโรคจิต ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมหน้ามืดหรือตาบอดถึงได้เอามันมาเป็นเพื่อนแบบทุกวันนี้
“พอใจมึงยัง” ผมถามมันเสียงนิ่ง ไม่ได้โกรธหรอก ชินเสียมากกว่า มันชอบแกล้งผมแบบนี้ทุกที
“ยังเลย จุ๊บทีดิ” ดูมัน ได้คืบจะเอาศอก เห็นยอมหน่อยแล้วแม่งก็เหลิง
“ไม่ได้ ปล่อยกูเลยมึง” ผมถีบที่หน้าแข้งมันไปที
“ฮ่าๆๆ” มันหัวเราะร่าที่แกล้งผมได้ ผมเลยจัดการฟาดมันที่หัวไปอีกที แต่คนโดนกระทำกลับชอบใจ ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ผมลุกขึ้นนั่งแล้วก็ขยี้หัวอย่างรุนแรง
“มาทำไมวะ” ผมถามมัน นี่สิถึงจะเป็นประเด็นสำคัญที่เราควรจะมาสนใจกัน ว่าไอ้เพื่อนหน้าหล่อของผมคนนี้มันมาหาผมทำไม
“ก็แค่อยากมาหามึงเฉยๆ มาไม่ได้ไง”
“เปล่า ก็แค่สงสัย”
“เห็นมึงสบายดีกูก็สบายใจ อีกอย่างหนึ่งกูก็แค่เหงาๆ เดี๋ยวนี้มึงไม่ได้ออกไปเที่ยวกับกูเลย” มันทำหน้างอน โครตจะไม่เข้ากับมันอย่างรุนแรงเลยให้ตายสิ ถ้าเป็นเค้กทำผมคงจะจับมากอดปลอบแล้วล่ะ รายนั้นเวลาอยู่เฉยๆว่าน่ารักแล้ว แต่เวลางอนหรือโกรธนี่จะน่ารักยิ่งกว่าเดิม ไม่แปลกที่พี่ทราฟชอบแกล้งให้เค้กงอนบ่อยๆ ยิ่งเวลาเค้กโดนพี่สองแกล้งนะ พี่ทราฟดูจะชอบใจมากๆ ผมว่าคนบ้านนี้มันแปลก แปลกทั้งบ้าน
แปลก...แต่ก็อบอุ่น
“ช่วงนี้ยุ่งมาก งานก็เยอะ”
“อดทนหน่อยแล้วกัน พี่เขาก็ทำเพื่อมึงทั้งนั้น”
“...” ผมหยุดนิ่งให้กับประโยคนั้น
เพื่อผม...
ไม่รู้ทำไม แต่...มันทำให้ผมใจเต้นแรงเอามากๆ
ถ้าคนๆหนึ่งจะทำอะไร ‘เพื่อ’ ใครสักคน เขาจะใช้เหตุผลอะไรในการทำอะไรให้คนๆนั้น...เชฟทำอาหารให้ลูกค้าเพราะใช้เหตุผลว่ามันเป็นหน้าที่และเงินเดิอนที่จะได้รับ หมอรักษาคนไข้ก็เพราะหน้าที่ พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกคนหนึ่งก็คือหน้าที่ แต่ทั้งหมดนี่ก็แฝงมาด้วยความรัก รักที่จะทำ รักที่จะช่วยเหลือคนอื่น รักเพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
แล้วเขาล่ะ ทำเพื่อผมเพราะอะไร ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยผมขนาดนี้ เพราะบ้านของพ่อแม่ได้ถูกเข้ายึดมาเป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งมันก็ถือว่าชดใช้ความเสียหายที่พ่อแม่ผมโกงไป มันน่าจะหายกันใช่ไหม
แล้วทำไมเขายังช่วยผม ทำไมเขายังให้ผมอยู่ที่นี่ต่อ
...ทำไม
“เป็นไรไป นิ่งเลย แบตหมดหรือไง” ไอ้เตอร์เขย่าตัวผมให้ผมได้สติกลับมา ผมขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาเตอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง เอาจริงๆเลยนะ ตอนนี้ผมสับสนวะ
“เตอร์...” ผมเรียกชื่อเพื่อน ผมดูจะงงไม่น้อยกับอาการแบบนี้ของผมซึ่งจะเป็นเวลาเครียดๆเท่านั้น
“กูสับสนวะ” ผมสารภาพ ผมกับเตอร์ไม่มีอะไรปิดบังกันอยู่แล้ว เรียกได้ว่ารู้แจ้งเห็นชาติกันดีเลยก็ว่าได้
“สับสนอะไรวะ” มันเกาหัว
“ก็...กูคิดว่ากูอาจจะ...”
“อะไรนะ มึงพูดดังๆดิ”
“กูอาจจะชอบพี่คราม”
“...”
“มันแย่วะ” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ได้ยินเสียงไอ้เตอร์ถอนหายใจก่อนที่มันดึงตัวผมเข้าไปกอด
“ไม่มีอะไรแย่หรอกเชื่อกู”
“แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบกู เราเป็นเหมือนศัตรูกัน”
“มึงรู้ได้ไงว่าเขาไม่ชอบมึง” ไอ้เตอร์ย้อน และผมก็คิดตาม แต่มันก็เหมือนจะไปไม่ถึงใจคนๆนั้นอยู่ดี มองยังไงก็มืด ถ้าเขาเป็นคนที่อานออกง่ายมันคงไม่แย่อย่างนี้หรอก กลับกัน เขากลับเป็นฝ่ายที่มองผมได้ทะลุปรุโปร่งจนบางครั้งผมเองยังไม่รู้ตัว
“กูไม่รู้ว่าจะต้องทำไงกับความรู้สึกที่มันขัดแย้งอยู่ในใจ ถ้าเขาไม่ใจดีกับกูบางเวลากูคงไม่ชอบเขา หรือว่ากูจะแค่เผลอไป แบบว่าเขาทำดีเข้าหน่อยก็ดีใจ ใช่แน่ๆ ก็คงคิดไปเอง กูคงไม่ได้ชอบเขาหรอก”
“มึงมันหลอกตัวเองริช” มันดูผมออก และผมก็รู้ แต่ผมกลัว...
“กูควรทำไงดี กูไม่อยากเป็นแบนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้กูอยากให้เขาโหดร้ายแบบเมื่อก่อน กูจะได้เกลียดเขา” ผมถอนหายใจเซ็งๆ
ไอ้เตอร์ดันตัวผมออก ผมจ้องหน้ามัน มันก็จ้องหน้าผม และเป็นผมที่เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ไอ้เตอร์ก่อนจะจูบที่ปากมัน มันเองก็จูบตอบผมเหมือนที่เคยทำ ผมขยับเข้าไปใกล้มันปากขึ้นก่อนจะขึ้นไปนั่งบนตักมัน ไอ้เตอร์โอบเอวผมไว้ก่อนจะกดริมฝีปากบดขยี้ริมฝีปากผมให้แนบแน่นขึ้น มันจะดำเนินต่อไปถ้าหากว่าผมไม่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก
ผมสะดุ้งรีบหันไปก่อนที่จะหน้าซีดเพราะคนที่ยืนพิงกรอบประตูห้องผมคือพี่คราม สีหน้านั่นเหมือนกับวันแรกที่ผมเจอเขาไม่มีผิด
“เอ่อ...” ปากอยากจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่เหมือนจะเสียงหาย ผมก้มหน้างุดทั้งๆที่ยังนั่งอยู่บนตักไอ้เตอร์ จนเป็นมันที่ยกตัวผมลง
“กูกลับก่อนแล้วกัน แล้วจะโทรหา” มันบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งผมให้นั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่คนเดียว ผมค่อยช้อนตาขึ้นมองพี่ครามเหมือนเด็กทำความผิดรอโดนทำโทษ พี่ครามยังจ้องผมนิ่ง แววตาที่เหมือนจะบีบผมให้ตายมันทำให้ผมใจหาย
“ผมไม่ได้ทำอะไรนะ” ไม่รู้อะไรสั่งให้ผมพูดไปแบบนั้น ทั้งๆที่ผมทำ
“มันก็เรื่องของนายไม่ใช่เหรอไง” พูดจบพี่ครามก็ยืนตัวตรงแล้วทำท่าจะเดินหนี ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงวิ่งเข้าไปจับแขนพี่ครามไว้ ไม่รู้ทำไม่ถึงทำแบบนี้ แต่ขาผมมันวิ่งมาเองและมือผมก็รั้งพี่ครามไว้เองโดยที่สมองไม่ได้เป็นตัวสั่งการ แต่มันอาจจะเป็นอวัยวะที่เรียกว่า...หัวใจ
“ปล่อย” น้ำเสียงเย็นขากับท่อนแขนที่แข็งขืนเพราะผมจับอยู่ทำให้ผมรู้สึกแย่
“พี่ฟังผมก่อนนะ ผมกับไอ้เตอร์ เรา...”
“มันก็เรื่องของพวกนาย” พี่ครามพูดแทรก ไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำ
ไม่ พี่ครามกำลังเข้าใจผิด
“ตกลงแล้วไอ้เตอร์เป็นแฟนนาน ไม่ใช่เพื่อนสินะ”
“ไม่ใช่! ผมกลับไอ้เตอร์เป็นแค่เพื่อนกัน! เพื่อนกันเท่านั้น!!” ผมโพล่งขึ้นอย่างรวดเร็วและเสียงดังพอสมควร
“เหอะ เพื่อนเขาจูบกันแบบนั้นหรือไง ฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยทำกับไอ้ทราฟ หรือแม้แต่ไอ้เจที่เป็นเกย์ก็ตาม” คราวนี้พี่ครามหันมาตะคอกใส่ผม สีหน้าดูหงุดหงิด และคนที่ทำให้พี่เขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ใคร ผมเอง
“มัน มันอธิบายยาก แต่ไม่ใช่แน่ๆ ผมไม่ได้เป็นแฟนกับไอ้เตอร์จริงๆนะ พี่ต้องเชื่อผมนะ”
“ทำไมฉันต้องเชื่อนาย ปล่อย” พี่ครามขืนท่อนแขนของตัวเองออก และผมก็รั้งไว้ไม่ได้ด้วย ไวเท่าความคิดก่อนที่พี่ครามจะเดินไป ผมรีบเขย่งเท้าขึ้นจูบพี่คราม มือสองข้างเกาะเข้าที่ไหล่ของพี่ครามแน่น ตัวพี่ครามแข็งก่อนจะดันผมออก แต่ผมไม่ยอมกดจูบพี่ครามแน่นขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาหนึ่งหยด ได้ยินเสียงพี่ครามคำรามในคอเบาๆก่อนจะเป็นฝ่ายที่บดเบียดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของผม
ท่อนแขนแกร่งรัดตัวผมชิดเข้าตัวแน่นก่อนจะดันตัวผมให้เดินถอยหลังกลับเข้าห้อง แรงจูบที่ดึงดันบนริมฝีปากบอกได้เลยว่าพี่ครามอารมณ์เสียขนาดไหน จูบเน้นๆจนผมรู้สึกเจ็บ ลิ้นร้อนๆความเข้ามาในปากผมอย่างจาบจ้วง ไม่มีความอ่อนหวานสักนิด ถึงผมจะจูบกับไอ้เตอร์ แต่ผมกับมันก็ไม่เคยใช้ลิ้นกัน แต่นี่มันไม่ใช่ มันแตกต่างออกไป
ผมยอมให้พี่ครามจูบอยู่แบบนั้น เหมือนเป็นการลงโทษและผมก็ยินดีที่จะถูกทำโทษด้วย แม้จะเจ็บและรู้สึกว่าปากตัวเองเริ่มชา แถมยังได้ลิ้มรสคาวเลือดของตัวเองอีกด้วย แต่จะผิดไหมถ้าผมจะบอกว่าผมรู้สึกดี ดีเอามากๆเลยด้วย
และผมมันบ้า บ้าที่รู้สึกอย่างนี้
“ผมขอโทษ” ผมครางบอกเสียงแผ่วหลังจากพี่ครามถอนจูบออก นั่นทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนเตียง นี่มันอะไรกันวะ ทำไม่ผมไม่รู้สึกตัวเลย
บ้าชิบ!!!
“...” พี่ครามจ้องผมนิ่งและยังอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าคร่อมผมทั้งตัว
“...” จ้องกันแบบนี้ก็ประหม่าเป็นนะเว้ยไอ้พี่คราม!
“...” แต่เขาก็ยังคงจ้องต่อไปเหมือนจะจ้องจนกว่าผมจะยอมปริปากพูดอะไรบางอย่างออกไป และผมก็ต้องเค้นสมองอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้เตอร์ มันก็แค่...จูบ แบบจูบปลอบ จูบเล่นๆ เอาปากแตะปาก แต่ไม่ได้ลึกซึ้งแบบนั้น” ผมว่าหน้าผมแม่งต้องแดงแน่ๆที่พูดสิ่งที่น่าอายออกไป ฮู้ว! ผมคงชอบเขาเต็มเปาแล้วล่ะ ไม่งั้นจะมานั่งอธิบายทำไม ผมโครตจะไม่เข้าใจตัวเองเลยตอนนี้ มันเหมือนเสียการควบคุมตัวเองไป ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจก็ตาม
อันตรายชะมัด
“ใช้ลิ้นด้วยเหรอเปล่า” แต่รู้ไหมว่าคนตรงหน้าบ้ากว่าผมอีก เขาถามบ้าอะไรวะ!!!
“ไม่ได้ใช้! ลุกไปเลย” ผมผลักอกพี่ครามออกแต่เขาก็ปัดมือผมทิ้งเหมือนรำคาญ
“แน่ใจ” ยังจะมีหน้ามาถามอีก เห็นผมเป็นคนชอบโกหกหรือไงวะ
“เออ!” ด้วยความหงุดหงิดก็เลยพูดเสียงกระแทกใส่หน้าพี่ครามซะ แล้วมันทำให้ผมถูกดีดปากกลับมา มันเจ็บนะ!!! แค่เขากัดปากผมก็ระบมพออยู่แล้ว ยังจะมาทำร้ายกันอีก
“ก็ดี อย่าให้มีอีกแล้วกัน” เขาขู่เสียงดุก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง ผมก็ลุกตาม สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังที่ทั้งกว้างแล้วก็หนา มัดกล้ามที่ต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อยืดสีดำทำให้ดูดีอย่างประหลาด
ผมบอกแล้วว่าผมมันบ้า >_<
-----------
-----------
“อยากไปไหนไหม”
ผมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงานหันไปมองคนที่นอนเอกเขนอยู่บนเตียงของผมด้วยความสงสัย วันนี้เป็นวันอาทิตย์และเป็นวันที่คุณสงครามเขาใจดีให้ผมหยุดไม่ต้องทำอะไร จริงๆก็ไม่ใช่หรอก ก็แค่ไม่ต้องออกไปทำงานที่ไหน แต่ก็ต้องมานั่งอ่านเอกสารอยู่ดี แต่ดีที่มันไม่เยอะเท่าไหร่
“ก็อยาก” ผมตอบก่อนจะหันกลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ เฮ้อออ เมื่อไหร่ผมจะเรียนไอ้พวกนี้หมดสักทีนะ ทั้งหุ้นทั้งตัวเลข เศรษฐกิจที่ไหนกำลังมาแรง โอย ผมจะปวดหัวอยู่แล้ว!!!
“มานี่ดิ”
“...”
“ริช บอกให้มานี่ไง”
“เอ๋ ผมทำงานอยู่นะ” ผมตวัดตากลับไปมองอีกรอบ
“ไม่ต้องทำแล้ว มานี่” เขาตบเตียงเรียกผมให้ไปหาโดยมีลูกหินนอนสบายอารมณ์อยู่บนอก ผมพ่นลมหายใจออกจากจมูกก่อนจะถอดแว่นออกแล้วก็ลุกขึ้นไปหาเขาแต่โดยดี
พอผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาก็กระชากแขนผมเข้าหาตัวก่อนจะจูบผม ผมแอบตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายล่วงล้ำแต่โดยดี ผมไม่อยากถามหรอกว่าพี่ครามทำแบบนี้ไปทำไม แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี และก่อนที่มันจะหายไป ผมก็อยากจะตักตวงเอาไว้ให้มากที่สุด
“เมี้ยววว” เสียงร้องของลูกหินดังขัดจังหวะ ผมเลยต้องรีบลุกออกจากตัวพี่ครามเพราะเผลอเบียดตัวเข้าหาอีกฝ่ายจนทับลูกหินเข้า
“เฮ้ออ” พี่ครามถอนหายใจก่อนจะจับเจ้าลูกหินโยนมาให้ผม ผมเลยถลึงตาใส่พี่ครามที่ไม่ยี่หระกับการกระทำของตัวเองเลยสักนิด
“อย่าทำกับมันแรงๆสิพี่” ผมปรามก่อนจะจูบลูกหินซ้ำๆ จมูกกับปากแดงๆนี่น่าฟัดดจริงๆ อ่า ผมรักไอ้ตัวเล็กนี่จริงๆนะ ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้มันโตเลยอ่ะ ตอนตัวเล็กๆมันน่ารักสุดๆไปเลย คิดแล้วก็หมั่นเขี้ยว
“อย่าเอาปากที่จูบกับฉันไปจูบกับแมวแบบนั้นได้ไหม” พี่ครามพูดอย่างหงุดหงิด เหอะ! บ้าบอ
“อย่าบ่นน่า”
“แล้วตกลงอยากไปไหน”
“จะพาไปเหรอ” ผมถามไปงั้นแหละ ไม่หวังหรอกว่าเขาจะใจดีพาไปเที่ยว
“เออ รีบบอกมาได้แล้วว่าจะไปไหน เดี๋ยวก็หมดวันกันพอดี”
“อยากไปตลาดน้ำ”
และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ที่ตลาดน้ำสี่ภาค มันเป็นอะไรที่แปลกๆสุด ไม่แน่ใจว่าผมใช้คำว่าแปลกมากี่คำแล้ว แต่ช่างมันเถอะ อย่างน้อยมันก็เป็นความน่าแปลกที่น่ายินดี
ผู้ชายนิสัยแปลกๆอย่างพี่คราม และความสัมพันธ์แปลกๆระหว่างผมกับเขา ผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ถ้าไอ้เตอร์ไม่ส่งข้อความมาให้ผมแบบนั้น
‘จะทำอะไรก็ทำ เพราะถ้าถามกู บอกได้เลยว่าไอ้พี่นั่นแม่งหึง เพราะฉะนั้น ลงมือซะ!!!’
ผมไม่ค่อยเข้าใจคำว่า ‘ลงมือ’ ของมันหรอกว่าหมายความว่ายังไง แต่เพราะคำนั้นนั่นแหละ ถึงได้ทำให้ผมยอมให้เขากอดจูบแบบนั้น อย่าเพิ่งหาว่าผมใจง่ายเลย ลองมาเป็นผมเถอะแล้วจะรู้
“ร้อนชะมัด นายน่าจะไปเที่ยวบนห้างมากกว่านะ” มาเดินได้ไม่ทันไรคนตัวสูงก็บ่นออกมา
“ไม่เอาหรอก น่าเบื่อ ผมชอบแบบนี้มากกว่า พี่จะไปรอที่รถก็ได้นะ ผมเดินคนเดียวได้” แต่ที่จริงอยากเดินสองคนมากกว่า
“พูดมาก เดินไปเร็วๆ” พี่ครามถลึงตาใส่ผมก่อนจะดันตัวผมให้เดินไปข้างหน้า
ผมแวะแทบจะทุกร้านแล้วก็ได้ของติดไม้ติดมือมาแทบจะทุกร้านเช่นกัน ที่เยอะสุดก็เห็นจะเป็นของกินเนี่ยแหละเพราะความหิว ก็ตอนที่ออกจากบ้านมามันยังไม่มื้อเที่ยงเลย ทำให้ผมกับพี่ครามพลาดมื้อเที่ยงไป ตอนนี้เลยต้องมานั่งที่ร้านอาหารร้านหนึ่งในตลาดน้ำ ผมจัดการสั่งของที่อยากกิน ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ครามที่คุยโทรศัพท์อยู่
“รู้แล้วครับรู้แล้ว เดี๋ยวคราวหลังพี่พามา เค้กอย่างอแงน่า” พี่ครามมองหน้าผมก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้ผมสั่งแทน ผมก็เลยสั่งเพิ่มอีกสองอย่าง
“เดี๋ยวพี่ซื้อของไปฝาก อืมๆ อย่าดื้อล่ะ ถ้าไอ้ทราฟบอกพี่ว่าเค้กดื้อ พี่จะไม่ให้ของฝาก อืม ครับๆ แค่นี้นะ” แล้วพี่ครามก็วางสายก่อนจะไถลมือถือไปบนโต๊ะไม้โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะมีเป็นอะไรไหม
“เป็นไงพี่” ผมถาม
“หึ งอแงเก่งชะมัด ร้องไห้จะมาให้ได้ ไอ้ทราฟก็ติดสอน ไอ้เจกับไอ้สองก็ไม่อยู่บ้าน จะมาได้ไง”
“ที่จริงเราน่าจะพาเค้กมาด้วย” ผมบอก แต่เพราะเป็นอะไรที่ปุบปับมากเลยไม่ได้บอกใคร เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมาเลย
“ช่างเถอะ ไว้ค่อยซื้อของไปง้อ” พี่ครามบอกแบบปรงๆ ผมว่านะ ที่เค้กดื้อแบบและซนแบบนี้ไม่ต้องโทษใครหรอก โทษมันหมดทั้งสี่คนเนี่ยแหละ พี่ทราฟก็เอาใจสุดๆ ไม่พอ พี่ครามนี่ประเคนถึงที่ทุกอย่าง เค้กอยากได้อะไรนี่ไม่เกินวันหรอก ส่วนพี่เจ วันๆเอาแต่คิดว่าจะทำอะไรให้เค้กกินดี ขุนจนเจ้าเด็กน้อยมันจะอ้วนอยู่แล้ว และคนสุดท้าย ถึงพี่สองจะชอบแกล้งเค้ก แต่เวลาได้ของเล่น(?)ใหม่มาก็เอามาให้เค้กดูก่อนตลอด ทำยังกับเป็นเพื่อนกัน
ที่จริงยังมีอีกคนนะ ผมไง...ก็เด็กมันอ้อนอ่ะ ไม่ตามใจไงไหวว่ะครับ
ผมกับพี่ครามเดินเล่นต่อจนเย็น เดินมันทุกซอกทุกมุม เป็นการเที่ยวที่สบายมากๆ สบายตรงที่ไม่มีคนคอยเดินตาม ผมไม่เข้าใจว่าพี่ครามอยู่ได้ยังไงโดยที่มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ผมว่ามันอึดอัด แบบว่าถ้าคุณจะแอบแคะขี้มูก หรือเกาก้นมันก็ทำได้ไม่สะดวก เพราะคนพวกนี้จะมองมาที่เราแบบไม่ให้คลาดสายตา มันเป็นอะไรที่สยองมากนะผมว่า
“อยากได้อะไรอีกไหม” คนที่ทำตัวเป็นป๋าวันนี้ถามเมื่อเราเดินมาถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามา สองไม้สองมือของผมและเขาเต็มไปด้วยของ ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นของฝากเค้ก
“ไม่แล้ว กลับเลยเถอะ” ผมพูดเหนื่อย เหนื่อยเพราะเดินนานและเหนื่อยเพราะร้อน พี่ครามถึงกับต้องถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกเหลือแต่เสื้อกล้าม ส่วนผมมีเสื้อยืดตัวเดียวถอดไม่ได้
พอขับรถออกมาจากตลาดน้ำผมก็ถอดเสื้อยืดออกทันที ร้อนโครตๆ ถ้าโลกยังร้อนแบบนี้ผมว่าคนไทยได้บ้าตายก่อนที่โลกจะแตก
“ทำอะไร” พี่ครามหันมามองผมสลับกลับมองถนน
“มันร้อนอ่ะ” ผมบอก พลางใช้เสื้อเช็ดเหงื่อตามคอแล้วก็หน้าอกไปด้วย หลังผมก็เปียก
“ใส่เสื้อเดี๋ยวนี้” พี่ครามสั่งเสียงดุ แต่ผมไม่ฟัง ก็คนมันร้อนจะให้ทำไงวะ
“ริช ใส่ เสื้อ เดี๋ยว นี้!” พี่ครามสั่งเน้นย้ำทีละคำ ผมเลยต้องเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อตัวใหม่ที่พึ่งซื้อมาใส่แทนอย่างจำใจ
“พี่ขี้บ่นวะ มันร้อน เข้าใจไหม!” อดไม่ได้ครับ ขอสักหน่อยเถอะ
“ถ้ารถมันติดฟิมล์ฉันจะไม่ห้ามสักคำ ทำอะไรคิดหน่อย”
ผมก็นั่งเงียบสิครับ จนรู้สึกได้ว่ารถมันแกว่งผิดปกติ หันไปมองคนขับก็เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ริมฝีปากเข้มจะค่อยๆพูดออกมา คำพูดที่ทำให้ผมถึงกับช็อค
“รถถูกตัดสายเบรค”
“...!!!”
สาบานได้ว่าชีวิตผมไม่เคยต้องกลัวขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมแข่งรถแล้วคว่ำมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยกลัวที่จะต้องตาย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีค่าให้อยู่ไปทำไม ตายไม่ตายก็ไม่มีคนรักไม่มีคนสนใจ แต่วันนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้มันไม่ใช่ เพราะคนที่นั่งข้างๆกัน เขาทำให้ผมไม่อยากตาย เขาทำให้ผมคิดว่าตัวเองจะทำอะไรในวันต่อไป
และเขาเป็นคนที่ผม...รัก
“พี่คราม” ผมเรียกพี่ครามเสียงเบา
“ไม่ต้องกลัว” แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะเบนรถเข้าไหล่ทางก่อนจะดับเครื่อง รถกระตุกนิดหน่อยก่อนจะหยุด ดีที่วันนี้รถไม่เยอะแล้วคนที่ขับก็มีสติพอสมควร
พี่ครามลงจากรถเพื่อไปเช็คสภาพรถ ส่วนตัวผมนั่งอยู่ในรถ เพราะเขาสั่งห้ามไม่ให้ผมลง แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ปัง ปัง ปัง!!!
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับรถที่ขับผ่านไป ผมเห็นตำตาว่ามันทำอะไรก่อนจะรีบจำป้ายทะเบียนรถไว้ให้แม่น ผมเปิดประตูลงไปดูพี่ครามที่ทรุดตัวลงกับอย่างร้อนรน รอยเลือดกลางหลังทำให้ผมมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
“โทรตามใครสักคนที” พี่ครามกัดฟันพูด ผมรีบเปิดประตูรถด้วยท่าทีเงอะๆงะๆก่อนจะกดเบอร์โทรของบอดี้การ์ดสักคน เห็นชื่อใครผมก็กดโทรออกทันที แล้วก็บอกว่าพี่ครามถูกยิงให้รีบมารับพร้อมกับบอกจุดที่กำลังอยู่ในตอนนี้ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมาเร็ว ตอนนี้เราไม่อาจไว้ใจใครได้ ไม่แน่ใจว่าโบกขึ้นรถคันไหนไปแล้วจะไปจะเอ๋กับศัตรูพี่ครามหรือเปล่า
แต่บางทีการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมันจะเป็นการดีที่สุด ไม่อย่างนั้นพี่ครามต้องเสียเลือดมากแน่ๆ และผมคิดว่าผมไม่อาจรอได้อีกสักวินาทีเดียว
ผมกลัวจับใจเลยให้ตายเถอะ!!!
“พี่คราม อดทนไว้นะ เดี๋ยวผมไปตามคนมาช่วย”
ขอร้องเถอะ อย่าให้เขาเป็นอะไรเลย
----------------------------------------------
ง่วงมาก ไม่มีอะไรพูดมากนอกจาก
1. ถ้าเห็นชื่อพี่ปืนโผล่มา อย่าสงสัย ตอนนี้ในหัวริริมีแต่พี่ปืน นี่แก้ไปสี่ที่แล้วนะ ถ้าเจออีกบอกกันด้วยนะตัว

2. ช่วงนี้รับสอนพิเศษ งานเลยมีเพิ่มขึ้น บอกเฉยๆให้รับรู้นะจ๊ะ

บ๊ายบายค่ะ
