♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430479 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0

ตอนที่ 17.2



สัมผัสที่รุมเร้านั้นยังคงต่อเนื่อง คะน้าหอบสั่นไปทั้งร่าง
ความคิดต่างๆ นานาในหัวสมองตีรวนจนจับต้นชนปลายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ถูก
ร่างสูงที่เบียดชิดกระตุ้นให้ร่างกายร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟที่ลุกไหม้
ค่อยๆ ขืนดันมือที่สั่นไหวออกไปแล้วฝืนแรงดัน คะน้าพร่ำเรียกชื่อของอีกคนด้วยเสียงที่พร่าสั่น
หากแต่การเหนี่ยวรั้งนั้นกลับเป็นเสมือนลมที่โหมให้เพลิงร้อนยิ่งลุกโชน

“ย..หยุด ...โปรด ...ได้โปรด”

“ไม่!”

ริมฝีปากยังคงโลมไล้ไปทั่วร่างกาย เบียดซุกไอสัมผัสแนบชิดในวงแขนจนกระชับแน่นกว่าครั้งไหนๆ
ทว่าร่างกายของคะน้ากลับนิ่งสงบราวกับรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ แม้ตุลจะโหมรสสัมผัสที่ร้อนแรงแค่ไหน
หากไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ สุดท้ายก็จำต้องพ่ายจำนน วงแขนที่กระชับแน่นๆ ค่อยๆ คลายตัวออก
พร้อมกับร่างสูงที่ค่อยขยับห่างออกไปด้วยอาการสงบนิ่ง คะน้าเหลือบมองตุลด้วยความรู้สึกมากมายที่ระคนกัน
ทั้งสับสน ทั้งเสียใจ ทั้งความรู้สึกแปลกๆ ต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ

“โทษนะ ผม...” เสียงพูดเบาๆ ของคะน้าทำลายความเงียบที่ราวกับดำดิ่งเนิ่นนานนั้นลง
ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของตุลซึ่งบ่งบอกถึงอาการหัวเสีย

“มันเร็วเกินไป”

“...เข้าใจ”

เสียงตุลแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน รอยยิ้มน้อยๆ กระตุกขึ้นบนมุมปาก
อย่างยากเย็นกว่าทุกครั้ง ตุลยังคงนิ่งเฉย ใบหน้าที่ได้รูปแดงกล่ำไปถึงนัยน์ตา

“ผมไม่รู้ มันไม่ควรเป็นอย่างนี้หรือเปล่า มัน... ไม่รู้สิ
มันไม่ทันตั้งตัว เราสองคนก็เป็นผู้ชาย ...ผม”
คะน้าผ่อนลมหายใจฟืดฟาดด้วยความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามา
เสื้อยืดที่เคยสวมใส่ถูกโยนใส่หน้าขาจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ คะน้ารับมันขึ้นมา
แล้วค่อยๆ หยิบขึ้นสวม ความผิดในใจที่มีต่อตุลยังไม่จางหายไปจากความรู้สึก


“ต่ายรักผมไหม”

“หือ?” คะน้าเงยหน้าขึ้นมามองดูด้วยความแปลกใจ ดวงตาแดงกล่ำคู่นั้นของตุล
มองจ้องด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น ...อ่อนแอ ...อ่อนไหว ...น้อยใจ และเปี่ยมด้วยคำถามมากมาย


“เรารักกันไหม?”

คำถามง่ายๆ ที่ตุลเอ่ยถาม แปลกที่ในเวลาแบบนี้ กลับรู้สึกยากเย็นเกินกว่าจะค้นหาคำตอบที่แท้จริงในใจ
ที่ผ่านมา เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นสั่นคลอนต่อความรู้สึกจนคะน้าก็ไม่แน่ใจ
...ไม่แม้แต่จะเข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ สับสนและลังเลกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย
อยากเชื่อ แต่ก็กลัวจะเสียใจ อยากถาม แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับกับคำตอบได้ไหม
ลงท้ายก็ซื้อเวลาไปวันๆ กับโลกแห่งความฝันที่บอกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ความชะงักสับสนและลังเลนั้น เหมือนจะทำให้ตุลรับรู้ในคำตอบที่เอ่ยถามโดยดุษณี
ร่างสูงพยุงตัวขึ้นแล้วค่อยๆ สวมเสื้อผ้าด้วยอาการสั่นไหว ดวงตาสีแดงกล่ำคู่นั้นที่จ้องมองยังติดตา
แววตาที่ตัดพ้อราวกับของคมแหลมที่บาดไปถึงขั้วหัวใจของคะน้าสร้างความปวดร้าวไม่ต่างกัน


“ไม่ใช่ตุลใช่ไหม”

“ตุล...”

“เป็นตุลไม่ได้ใช่ไหม”

แม้ปากจะอยากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำปฏิเสธต่างๆ นานา หากแต่น้ำหนักในใจกลับหนักอึ้ง
เบื้องหลังของดวงตาที่ตัดพ้อคู่นั้น ภายใต้ท่าทีที่ดูอ่อนโยนเอาใจใส่
แม้แต่รอยยิ้มที่ทำให้แต่ละวันนั้นดูสดใส กลับทำร้ายและสั่นคลอนความเชื่อมั่นทุกๆ วัน
ลงด้วยความลับเหล่านั้นที่คะน้าไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถาม
เสียงถอนหายใจหนักอึ้งของตุลดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงเบือนหน้าไปอีกด้าน
ดวงตาคู่นั้นหงอยเหงาลงและปวดร้าวเหลือเกิน กระนั้น ตุลก็พยายาม
ฝืนยิ้มแบบแกนๆ ให้กับคะน้าที่นั่งอยู่ด้วยอาการสั่นเทา

“สองสามวันมานี้ผมไม่ค่อยมีเวลาให้กันเท่าที่ควรเลย ขอโทษนะ
อยากเร่งสะสางงานต่างๆ เหล่านี้ให้หมด จะได้สบายใจ เพราะผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่นาน”
ตุลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เสียงทุ้มที่เคยอบอุ่นกับเยียบเย็นจนน่าใจหาย

“ต่าย... ผมได้ทุนวิจัยที่เยอรมัน”

แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวดีที่ควรเฉลิมฉลอง หากแต่คะน้า
กลับรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยิน ถ้อยคำแปลกๆ แม้แต่ท่าทางและน้ำเสียง
ที่ดูเฉยชานั้นดูแปลกตาราวกับคนที่ไม่รู้จัก ...ใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“ยินดีด้วยนะตุล” คงมีเท่านี้ที่พอจะทำได้ ...พูดได้เพียงเท่านี้จริงๆ

ตุลหันกลับมายิ้มแทนคำขอบคุณแบบที่เขามักติดเป็นนิสัย แต่เพียงวูบเดียว
รอยยิ้มที่เคยสดใสนั้นก็ทอประกายหม่นลงดังเดิม ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก
แล้วเบือนหน้าไปอีกทางปล่อยให้ความเงียบที่น่าอึดอัดกัดกร่อนความรู้สึก
ของคนทั้งสองอยู่อย่างนั้น ...เนิ่นนาน ก่อนที่เจ้าของห้องจะเริ่มขยับตัวอีกครั้ง

“ระหว่างนั้น...” ตุลชะงักหยุดไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพียงครู่เดียวก็กดใบหน้าลง







“ลองห่างกันสักพักไหม”


เหมือนใบไม้แห้งๆ ที่ร่วงหล่นลงจากที่สูงในพริบตา ความรู้สึกเจ็บแปลบปวดปร่า
ขึ้นมาที่กลางหน้าอกอย่างไม่รู้ตัว ไม่ต่างอะไรกับเศษไบไม้ที่ถูกสายลมพาพัด
หากไม่นั่งอยู่ คะน้าคงเซเหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรงกำลัง ร่างกายมันสั่นเทาราวกับคนป่วยไข้
หัวใจเบาหวิวเหมือนกระดาษบางเบาที่ใกล้ขาด นี่หรือคือความเจ็บปวด
ที่ให้ใครต่อใครต่างพากันเข็ดขยาด ...เป็นแบบนี้สินะ เหมือนกับถูกขยี้ใจจนแหลกเละเลย

คะน้าลุกขึ้นยืนด้วยอาการหอบสั่น มือสองข้างดึงเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว
ทั้งๆ ที่ยังสั่นไหว แม้ลึกๆ ในใจจะยอมรับว่าไม่เชื่อมั่นในตัวของตุลอย่างที่ผ่านมา
แต่ก็สิ่งหนึ่งที่คะน้ามั่นใจ เชื่อมั่นโดยไม่มีข้อสงสัยมาตลอดคือ
ตุลเป็นห่วงและหวังดีกับคะน้ากว่าใครๆ และหากจะต้องทำให้คนที่ดีกับคะน้า
ต้องเจ็บปวด แลกกับเรื่องแค่นี้ มันไม่ได้หนักหนาอะไร



...ยังไง ก็ผู้ชาย แค่นี้มันไม่ตาย

ร่างที่เปล่าเปลือยของคะน้าสวมกอดตุลจากด้านหลัง คนที่ยืนอยู่ผงะไปเล็กน้อย
แล้วยืนมองแน่นิ่ง คะน้าค่อยๆ จูบไล้ตามซอกคอแล้วไล่เรื่อยคลอเคลียไปทั้งใบหน้า
ก่อนที่ดวงตาจะผสานกับแววตาคู่นั้น ...ดวงตาที่เอ่อช้ำและกล่ำแดงกำลังสั่นไหว
ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับดูว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ดวงตาคู่นั้นราวกับหมุดที่ยึดตรึงทุกการเคลื่อนไหวของคะน้าให้สงบนิ่งในเสี้ยววินาที

“หยุด! หยุด!!! พอได้แล้ว!!!”

นับเป็นครั้งแรกที่ตุลใช้น้ำเสียงที่กร้าวแบบนั้นกับคะน้า ท่าทางที่ระคนไปด้วยความโกรธ
แม้จะดูชัดเจน หากแต่เทียบไม่ได้เลยกับแววตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“พอเสียที หยุดฝืน หยุดพยายาม ไม่ต้องฝืนทำอะไรเพื่อผม...เพื่อให้ผมมีความสุข
ถ้าความสุขของผมมันเกิดขึ้นเพราะต่ายต้องฝืนตัวเอง ผมไม่ต้องการ
อย่าผลักให้ผมกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากไปกว่านี้เลย Please...”

“Stop it... I can’t accept a mercy fuck...


I can’t... I just....





can’t...”

ไม่รู้ตัวเองว่าพาร่างกายที่เบาโหวงนั้นกลับมาที่ห้องได้อย่างไร ระยะห่างที่คะน้าเคยหวาดหวั่น
สัญชาตญาณที่บอกว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยนั้นกลับกลายเป็นความจริง
ความพยายามแบบโง่ๆ นั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงอย่างไม่น่าให้อภัย
สีหน้าที่เฉยชากับดวงตาที่แดงกล่ำคู่นั้นยังติดค้างอยู่แม้ในนาทีนี้
เสียงที่เย็นเฉียบและคงความสุภาพอย่างสงวนท่าทีราวกับคนที่ห่างไกลกันนั้น
สร้างความเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ คำพูดซ้ำๆ เหล่านั้นแม้แต่ในเวลานี้ยังดังก้องอยู่ในหู


“อาจจะกระทันหันไปหน่อย อีกไม่กี่วันผมคงเดินทางกับก้อย
มือถือหรืออะไรต่างๆ นานาก็จะคืนให้กับโรงพยาบาลก่อนจะไป
...ห้องนี้ ...ที่นี่ ...อะไรๆ คงปิดตายไปนาน




ตีห้าครึ่ง ใกล้เวลาจะเริ่มต้นวันใหม่ วันพรุ่งนี้อะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง


...ไม่มีตุล

สัมผัสเบาๆ บนหัวไหล่ก่อนจะกลายเป็นอ้อมกอดที่โอบอุ้มทั่วทั้งร่าง
สองมือที่เล็กกว่าบีบรัดทั่วทั้งร่างกายของคะน้าจนแน่นราวกับจะยืนยันว่าที่เล็กๆ แห่งนี้
ยังมีใครสักคนที่รอคอยคะน้าอยู่เสมอ คะน้ายกมือขึ้นแตะเบาๆ บนอ้อมแขนเล็กๆ ที่ทรงพลังนั้น

“เจ๊...”

“กลับมาแล้วเหรอ”

“ผมขอโทษ”

“ไม่เป็นไร”

บางครั้งคำพูดอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารได้ดีที่สุด
บทสนทนาจึงสั้นกระชับจนดูแทบจับใจความไม่ได้
หากแต่ความเข้าใจระหว่างกันและกันกลับเปี่ยมล้น
ผู้เป็นพี่สาวหอมแก้มน้องชายฟอดใหญ่

เหมือนว่าความรักและความห่วงใยทำให้เวลาหยุดนิ่งได้จริงๆ
นานแค่ไหนในสายตาของผักกาด คะน้าก็ยังเป็นเพียงน้องชายตัวเล็กๆ ที่เคยเห็น
เคยวิ่งเล่นซนด้วยกันเมื่อยี่สิบปีก่อนอยู่อย่างนั้น หญิงสาวจึงรักและห่วงใย
น้องชายคนนี้กว่าใครๆ ชิดใกล้และเข้าใจเหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน

ถ้วยโกโก้อุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้าของคะน้า แค่เพียงได้กลิ่นหอมๆ
คะน้าส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับผู้เป็นพี่สาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เจ้ตื่นเร็วจัง ผมทำเสียงดังหรือเปล่า ขอโทษนะ”

“เอาเถอะ เจ้ตื่นแล้วก็แล้วกันแหละ กินๆ เข้าไป จะได้มีแรง”
น้องชายหยิบเอาถ้วยโกโก้ขึ้นดื่มพรวด
ก่อนจะสะดุ้งไปกับความร้อนที่ทำเอาลิ้นเกือบพองจนผักกาดดุ

“ระวังหน่อยสิ เฮ้อ... เราน่ะ รู้ไหมพักนี้แปลกๆ ไปมากนะ ดูหลุดๆ
เหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา” ความเงียบคือคำตอบ
คะน้าก้มหน้านิ่งจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ แน่นอนว่าผู้เป็นพี่สาวย่อมเข้าใจทุกอย่างได้ดี

“ต่าย... เจ้ขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม ...ห่วงแกนะ สองสามวันมานี้แกดูไม่ดีเลย”
คะน้าพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งนิ่ง ผักกาดจึงเริ่มพูดต่อ
“ไม่ใช่แค่แกหรอกนะ ไอ้คนที่มานั่งทำอาหารให้กินทุกวันก็ด้วย”




“ถามจริงๆ เถอะ แกกับทิมทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”



(ต่อด้านล่างอีกครึ่งนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อเลยๆๆๆๆ)



“ถามจริงๆ เถอะ แกกับทิมทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”


คะน้าชะงักไปกับสิ่งที่ผักกาดถามไม่น้อย นิสัยที่ตรงไปตรงมาของผักกาด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คะน้าจะรับมือ เพราะรู้ว่าไม่เคยโกหกผู้เป็นพี่สาวได้สำเร็จ
จึงเป็นเรื่องยากที่จะบิดเบือนอะไร ที่ดีที่สุดก็คือพยายามเรียบเรียงทุกสิ่ง
ในความคิดออกมาให้พี่สาวคนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงมากที่สุดนั่นเอง

“นิดหน่อยน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”

“คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กล่ะมั๊ง เพราะท่าทางของทิมมันไม่ได้เป็นอย่างที่แกพูดเลย
รู้ไหมว่าหลายวันมานี่ สารรูปมันดูแย่มาก ...ดูเหมือนจะแคร์แกมากเลยนะ”

“ไม่น่าจะมีอะไรหรอก เจ้คิดมากไปเองแหละ”
ถึงปากจะพูดปฏิเสธ ไม่ใยดี แต่ข้างในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด
...ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยนับตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทิมจะเป็นยังไงบ้าง


“เจ้คิดมาก...หรือแกคิดน้อยไป”

คำพูดง่ายๆ ของผักกาดทำให้คะน้าชะงักไปแทบทันที
ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของพี่สาว
“ต่าย... รู้ไหมบางทีแกก็จมอยู่กับความคิดอะไรๆ ของแกมากไป
แกเชื่อมั่นในความคิดของแก แล้วแกก็เชื่อว่าอะไรๆ มันเป็นไปอย่างที่แกคิด
แต่มันไม่ใช่ว่าแกจะคิดถูกเสมอ ความเกรงใจ ความกลัวที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่นน่ะ
มันทำร้ายแกอยู่รู้ไหม คิดอะไรอยู่ทำไมไม่พูดออกมา แกรู้ไหมว่ามีใครกี่คนที่ห่วงแก”



“เจ้... ขอโทษนะ”

“คนที่แกควรจะขอโทษน่ะ ไม่ใช่แค่ฉันหรอก รู้อะไรไหม จันทูมันห่วงมากนะ
มันโทรมาบอกว่าพักหลังๆ แกดูเหม่อๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เจ๊เป็ดก็ด้วย
แม่สายใจอะไรนั่นอีก เขาห่วงแก แกทำตัวเป็นคนอมทุกข์ ไม่ร่าเริงเหมือนเคย
รู้ตัวหรือเปล่า” คะน้ารู้สึกชะงักไปทันทีที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านจากปากของพี่สาว

“แกรู้ไหม ที่ทิมมันมานั่งทำอาหารอย่างกับภัตตาคารให้ทุกวันเนี่ย
เพราะมันบอกว่าแกผอมลงไปมาก เพื่อนแกกลัวแกจะป่วยตาย มันอยากให้แกกินอะไรบ้าง”
คะน้ารู้สึกมึนเหมือนโดนค้อนทุบลงที่กลางหัว ไม่เคยรับรู้สิ่งต่างๆ
พวกนี้มาก่อนเลย ...ไม่เคยสะกิดใจ ไม่เคยคิดถึงจริงๆ

“แต่แกก็แบบนี้ ตาของแกมันมองแต่อะไรๆ ที่อยากมอง ไม่เคยเห็นคนอื่นหรอก
แกทำงานแล้วแกก็เพลินลืมกินทุกที อาหารมากมายที่เจ้กินแทนแก
ฟังสรรพคุณอาหารแต่ละจานแล้วปวดหัว วิตามินนั่นบำรุงสมอง
วิตามินนี่ช่วยเรื่องสายตาอะไรของมันไม่รู้ ตั้งแต่วันแรกๆ จนมาถึงวันนี้
มีมาทุกวันไม่เคยขาด ต้องมาฟังมันกำชับว่าอย่าลืมให้แกกินให้ได้ทุกวันๆ ยังไม่พอ
ยังต้องมาโกหกทุกวันอีกว่าแกนั่งกินอาหารจนหมดทุกจาน” ผักกาดหยุดนิ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ


“...ทั้งๆ ที่แกไม่เคยจะกินสักคำ”

คำพูดที่ได้ยินแทบจะพลิกทุกอย่างจนเหมือนโลกหมุนย้อนกลับด้าน
ทุกสิ่งประดังประเดเข้ามาหักลบกลบย้อนความคิดที่ผ่านมาของคะน้าจนหมด
เคยนึกเอะใจกับลักษณะนิสัยของทิม แต่กลับไม่เคยเอะใจในความคิด
ทุกๆ วันคะน้าดำดิ่งอยู่กับอคติบ้าๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาจนทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปแบบนี้

หัวใจที่เบาหวิวจนเหมือนกระดาษที่ปลิดปลิวกลับแห้งโหยโรยแรงยิ่งกว่าเดิม
แม้ว่าจะรู้สึกดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิมทำไป หากแต่เมื่อมองย้อนไปถึง
ความคิดบ้าๆ ของตัวเองแล้ว คะน้าพบแต่เพียงความละอายใจ

“สองสามวันที่ผ่านมานี่ เจ้าเพื่อนเราดูแย่มากนะ เหม่อลอย ดูเหมือนคนไม่มีสติ
ถามอะไรก็ตอบแบบฝืนยิ้มไปเรื่อย บอกว่าทำสิ่งที่ผิดมากๆ กับเราเอาไว้
เป็นความผิดที่ร้ายแรงจนไม่น่าอภัย และทำให้เราเสียใจและผิดหวังมาก
เจ้จะไม่ถามหรอกนะว่าผิดใจกันเรื่องอะไร แต่อยากให้ต่ายดูตัวเองหน่อย
มองดูตัวเองบ้างว่าเราในตอนนี้ทำให้ใครเขาเป็นกังวลแค่ไหน”



“เจ้... ผม...”

“เอาเถอะ ไม่มีใครถือโทษอะไรหรอก ทุกคนแค่เป็นห่วงเราน่ะ ว่าแต่วันนี้
จะไปตลาดไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไป ให้จันทูมันทำไป” คะน้าพยักหน้ารับคำ
ความคิดและความรู้สึกในใจสับสนรวนเร จนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อสบตาของพี่สาวคะน้าก็ชะงักงัน

เป็นอีกครั้งที่คะน้าเป็นได้แค่ไอ้บ้าที่จมอยู่กับตัวเอง เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลย
กับดวงตาที่อิดโรยคู่นั้น มันแห้งผากและกล่ำแดง ผักกาดไม่ได้นอนหลับอย่างที่เขาเข้าใจ
หากแต่ดวงตาคู่นั้นบ่งชัดเจนว่าไม่ได้หลับพักผ่อนมาทั้งคืน ...และอาจจะหลายคืนแล้ว
คืนนี้ ผักกาดคงนั่งรอเขาอยู่ตลอด และเขาเอง ที่ทำให้พี่สาวคนเดียว
ที่เขารักยิ่งกว่าตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้

“เจ้ไม่ได้นอนเลยใช่ไหม เจ้รอผมใช่ไหม” คะน้าถามเสียงสั่น
ผักกาดนั่งนิ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนใบหน้า



“ผม... ขอโทษ”

“น้องรัก พี่คนนี้ไม่เคยคิดโทษอะไรเราเลย ถึงเจ้จะไม่รู้เรื่องราวอะไรมากมายก็เถอะ”
ผักกาดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ที่ผ่อนคลาย

“คนเราเดี๋ยวนี้บางทีก็ใจร้ายเกินไป มองอะไรแต่แค่มุมมองของตัวเราเอง
จะโทษใครก็ไม่ได้ สังคมมันกระด้าง มันบีบให้หลายคนต้องใช้ชีวิตแบบนั้น
ลองคิดดูสิ เราจะด่าใครสักคนว่าแต่งตัวเชยไหม ถ้ารู้ว่านั่นคือเสื้อผ้าชุดแค่ชุดเดียวที่เขามี
จะมองพวกชนใช้แรงงานที่มาเดินห้างในเมืองที่เราเดินทุกวันด้วยท่าทางงกๆ เงินๆ ไหม
ถ้ารู้ว่านั่นคือวันเกิด คือวันพิเศษของเขา จะด่าลุงหรือป้าแก่ๆ
ที่ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นหนุ่มเป็นสาวว่าไม่เจียมสังขารหรือเปล่า
ถ้าเกิดว่าเขากำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อสู้กับมะเร็งระยะสุดท้าย
หรือเราด่าคนที่เดินอ้อยอิ่งขวางทางเดินที่คับแคบของเราไหม
ถ้าได้รู้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอคนนั้นเพิ่งโดนไล่ออกจากงาน”

“เราทุกคนรับรู้แค่ตัวตนของเราเองอย่างดีเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เราไม่เคยรับรู้เลยว่าคนรอบๆ ตัวเราพบเจอกับอะไรมาบ้าง”



“เจ้...”

“เราทุกคน หรือแม้แต่พี่ก็แค่พยายามเรียนรู้โลกในมุมมองอื่นๆ ดู
พยายามเข้าใจโลกที่น้องของพี่พบเห็น และพี่เอง
ก็อยากให้ต่ายน้อยของพี่ลองเรียนรู้โลกของคนอื่นๆ ดูด้วย
โลกใบนี้กว้างใหญ่มากเลยนะ มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกมากมายเลย”

“พี่ครับ” คะน้ายิ้มขึ้นน้อยๆ หากแต่ความรู้สึกนั้นอัดแน่นเต็มเปี่ยม “...ผมรักพี่นะ”
คะน้าลุกขึ้นแล้วเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพี่สาวด้วยความรู้สึกทุกอย่างที่มี
ผักกาดเองก็โอบน้องกลับเต็มวงแขนจนแน่นถ่ายทอดทุกความรู้สึกตอบกลับไปเช่นเดียวกัน

“มีกันแค่สองคน ไม่รักแกจะไปรักใคร” ผักกาดหอมแก้มคะน้าฟอดใหญ่
น้องชายที่ปกติจะเก้อเขินกับอะไรแบบนี้กลับหอมแก้มพี่สาวตัวเองกลับตาม
คะน้าหัวเราะด้วยความเก้อเขิน ผิดกับผักกาดที่เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เคลือบแฝงตกตะกอนในใจ



“ต่าย....”

“ครับ”

“เฮ้อ... ช่างเถอะ เจ้คงเพลียๆ คิดอะไรไปเรื่อย”

“อ้าว”

“ไม่มีอะไรหรอก เราน่ะเพลียไหม ไปพักก่อนเถอะ” ผักกาดวาดฝ่ามือ
แล้วตบลงบนแผ่นหลังของน้องชายเบาๆ ด้วยความห่วงใย
คะน้าผ่อนหายใจหนักๆ วันที่หนักหนาผ่านไปอีกวัน เขารักผักกาด รักป๊า รักแม่
รักกว่าใครๆ เหนื่อยจะล้าแค่ไหนแต่พอถึงบ้านทีไร คะน้าก็รู้สึกหายเหนื่อยทันที

“ขอบคุณนะ” คะน้าฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเอ่อชื้นด้วยความรักและยินดี

“ขอบคุณแกเหมือนกัน หลายครั้ง แกเองก็ดูแลเจ้”

“ปรับความเข้าใจกันซะอะไรที่พอยอมๆ กันได้ แล้วมาก็ให้มันแล้วไป
ตุลก็ด้วย เห็นสองสามวันนี้ดูแปลกๆ ไป ไม่ได้สดใสร่าเริงแบบเดิมๆ
เราสามคนทะเลาะหรือมีเรื่องผิดใจอะไรกันก็พูดกันดีๆ เถอะนะ ยังไงก็... เพื่อนกัน”

“ครับ” คะน้ารับคำของผู้เป็นพี่สาว แต่ในใจก็สะกิดกับปลายเสียงที่ดูสั่นไหวแปลกๆ
ชายหนุ่มขบคิดเรื่องราวมากมายตามข้อคิดของผักกาด
รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่จะต้องทบทวนอีกเยอะแยะ
จึงขอตัวแยกไปที่ห้องเพื่อเตรียมตัวและครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวบางอย่าง
หากแต่เสียงเรียกขานของพี่สาวทำให้ชะงักและหันกลับไปฟัง

“ต่าย... จริงๆ พี่ก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรมากมายกับเรื่องส่วนตัวของต่าย
แต่มีบางอย่าง ...อะไรบางอย่างที่มันติดอยู่ในใจ อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่มีแต่ความหวังดี”
คะน้าหยุดนิ่งและตั้งใจฟัง คาดเดาไม่ถูกว่าผักกาดจะพูดเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“เราสามคน ...พี่หมายถึงต่าย ตุล แล้วก็ทิมมีอะไรกันหรือเปล่า”
ใบหน้าของผักกาดดูเครียดและจริงจังกว่าที่เคยเห็นทุกครั้งจนคะน้ารู้สึกใจไม่ดี

“หมายถึง... ปะ..เป็นแค่เพื่อนกันใช่ไหม ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมต่าย
เพราะถ้ามีอะไรมากกว่านั้น พี่คง...” ผักกาดค่อยๆ เดินมาที่หน้าประตูห้องของคะน้า
หญิงสาวยกมือเกาะที่ขอบประตูเหมือนยึดจับเอาไว้ไม่ไห้ไหวเอน
หากแต่ใบหน้ายังคงฝืนยิ้มอยู่ด้วยความเข้มแข็ง




“..พี่รับไม่ไหว”

คะน้ายืนอึ้ง พอจะปะติดปะต่อและความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ผักกาดรู้สึกกังวลได้ในที่สุด
นานแค่ไหนแล้วที่ผักกาดรับรู้เรื่องราวและเก็บงำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เพราะความไว้ใจ
และเชื่อมั่นในตัวเขา นานแค่ไหนที่ผักกาดต้องทรมานกับคำถามในใจ
มันหนักอึ้งจนสุดท้ายต้องเอ่ยถามออกมา สีหน้าของหญิงสาวที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวบอบบางตัวเล็กๆ แสนธรรมดาคนหนึ่ง
ดวงตาที่เคยฉายกล้าด้วยความมุ่งมั่นกลับระริกไหวด้วยความอ่อนแอ
คะน้ารีบเบือนสายตาออกไปด้านข้าง ไม่อาจทนเห็นภาพที่บีบความรู้สึกตรงหน้าได้
น้ำลายในลำคอตอนนี้เหนียวจนน่ารำคาญ
ระหว่างคำโกหกที่น่าฟังกับความจริงที่น่ารังเกียจ ไม่มีทางไหนที่ดูดีเอาเสียเลย

“ขอได้ไหม อย่าให้มันเกินเลยไปมากกว่าความเป็นเพื่อน”
ผักกาดพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าและดวงตาที่เริ่มเอ่อชื้น
หากแต่รอยยิ้มนั้นยังคงสว่างไสวไปด้วยความหวัง
“เจ้รู้ ไม่มีอะไรหรอก เจ้รู้ว่าต่ายไม่มีทางทำให้ป๊ากับแม่ผิดหวัง ขอโทษนะ เจ้แค่คิดมากไปเอง”

“เจ้ผักกาด...” คะน้าพูดด้วยเสียงที่สั่นไม่แพ้กัน

“ฮ่ะๆๆๆ เจ้คงบ้าไปแล้วแน่ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ผู้ชายเหมือนกันหมด”
ผักกาดขยับเข้ามาใกล้ “ต่ายบอกเจ้สิ ว่าไม่มีอะไร เจ้เชื่อต่าย ต่ายก็รู้”

คะน้าจ้องมองพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ผิดมากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจ
เขาทำผิดต่อตุล ทำผิดต่อทิม และเขาในตอนนี้กำลังจะทำผิดต่อป๊าและแม่
ทำผิดต่อครอบครัว และต่อเจ้ผักกาด คะน้ายืนนิ่ง ในใจแห้งโหยเหมือนกำลังกองทรายที่กำลังป่นปี้




พระเจ้า ...ผมควรทำยังไงดี

สีหน้าที่ระคนไปด้วยความกังวลของผักกาดสร้างความรู้สึกเจ็บปวด
ให้กับคะน้าจนเกินกว่าจะมองได้อย่างเต็มตา ไม่เคยมีสักครั้งที่คะน้ารู้สึกว่า
ตัวเองเป็นคนชั่วที่แสนเลวร้ายไปกว่าที่เป็นในตอนนี้เลย

“ฮ่าๆๆ เจ้นี่แย่จริง พูดเรื่องอะไรออกมา ฮ่ะๆๆ” ผักกาดค่อยๆ ยกมือขึ้นซับน้ำตา
จนปัญญาจะฝืนกลั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ต่อไป กระนั้นหญิงสาวก็ยังพยายาม
อย่างหนักที่จะฝืนยิ้มและหัวเราะให้กับน้องชายเพียงคนเดียว
...คนที่เธอรักกว่าใคร “ฮ่ะๆๆ เจ้เป็นพี่ที่แย่เนอะ ...แย่จริงๆ”

“ผักกาดน่ารักที่สุด” คะน้าโผเข้ากอดผู้เป็นพี่ เพิ่งตระหนักรับรู้ว่าแท้จริงนั้น
ผักกาดเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ร่างบางนั้นสั่นไหวในอ้อมกอด “ผักกาดเป็นพี่ที่ดีที่สุดในโลก”

คะน้าพยายามเก็บความรู้สึกทุกอย่างที่มี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสูง
ให้ของเหลวในดวงตาไหลย้อนกลับลงไปในหัวใจ น้องชายคนนี้จะไม่มีวัน
ทำให้ป๊าและแม่ผิดหวัง จะไม่มีวันทำให้ผักกาดเสียใจ คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึก



“คะน้ารักผักกาดที่สุด ..รักที่สุด! ...ที่สุด!!”

หยดน้ำร้อนผ่าวทิ้งตัวลงบนใบหน้า แปลกที่หยดน้ำเล็กๆ เพียงเท่านั้น
กลับละลายความสับสนในใจของชายหนุ่มไปจนหมดสิ้น
ดวงตาของคะน้าในตอนนี้ กลับเข้มแข็งอย่างประหลาด



บางที นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ คน
...ถ้าผมจะหยุดทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้


คะน้ากระชับวงแขนในมือ บอกกับตัวเองว่านับจากนี้
จะดูแลและปกป้องรอยยิ้มของคนในอ้อมกอดนี้ไว้ไม่ให้ไปไหน



...จะทำให้ผักกาดได้มีฝันที่ดีๆ ทุกคืน




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ไม่รู้ว่าจะเกินคำว่าหน่วงไปแล้วไหมนะ แต่มันจะอารมณ์ประมาณนี้อีกแป๊บเดียวล่ะครับ แหะๆ
ถึงจะหม่นๆ แต่มันก็เข้มข้นนะ (แอบโฆษณาชวนเชื่อ) จะรีบมานะครับ จะได้พ้นๆ ช่วงนี้ไปซะที
ไม่รู้ว่าตอนที่อัพไปเป็นยังไงบ้างครับ รวมๆ คนแต่งแอบชอบนะ โหดนิดๆ กำลังดี 5555
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ทุกๆ ความคิดเห็น ทุกๆ คนที่ล่มหัวจมท้ายไปด้วยกันนะครับ
ช่วงนี้โหดๆ หน่วงๆ ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันนะครับ คนแต่งขาดแคลนกำลังใจ ฮ่าๆๆๆๆ

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
เข้าใจผักกาด แต่ก็สงสารต่าย ต่ายต้องทำไรเพื่อคนอื่นตลอดเลย

zerea

  • บุคคลทั่วไป
เค้ามาล่ะ

เจ้ผักกาดดดด :sad4:
ตุลก็จะไปกับก้อยอีก :z6:

ไม่รู้จะอธิบายยังไง :o12:

ออฟไลน์ Ok_fine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
แรกๆ ฮือออออ สงสารตุล :sad4:

หลังๆมา ฮือออออ สงสารต่าย :o12:

ซักพักก็ พี่ผักกาดดดดดดดด เห้อออออ ทิมไปไหน. รีบๆมาเคลียให้คะน้าด่วนๆเลย

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เอ่อ  ตกลงมันคืออะไรกันแน่น๊อ  เรื่องระหว่างทิมกับตุลก็เป็นอะไรที่งง

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE

ออฟไลน์ arisa_sa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
เจ๊ผักต้องสนับสนุนน้องสิ โอ๊ย หน่วงอะ เศร้าแต่เช้าเลย ทำงานไม่ได้แล้ว แงแง :sad4: :o12: :sad4:

ขอบคุณจ้า   :L1:  :pig4:  :L1: อย่าหักมุกไปกว่านี้เลย  :serius2:

ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
จริงๆเรายังแค้นทิมนะ ถ้าทำเรื่องแบบนั้นเพื่อเอาต่ายคืนจากตุลย์ มันทำลายคนตั้ง 2 คน เผลอๆตอนนี้เป็น 3 แล้ว
แต่ก็นะ . . . . พอมีทางให้ออกก็ไม่อยากจะออกทางนั้น หนักกว่าไม่มีทางออกอีก โฮ่ยยย

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
เกลียดดราม่า แต่ก็ตามอ่านอยู่นั่นแหละ :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Benesmee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
จุดนี้พูดไม่ออกเลย เข้าใจความรู้สึกพี่ผักกาดน่ะ
แต่สงสารคะน้าอ่ะ เมื่อไหร่จะมีความสุขจริงๆ สักที :เฮ้อ:

หน่วงอึนกันต่อไปแต่ชอบเรื่องนี้มาก รอตอนหน้าน่ะคร้า

ออฟไลน์ papa_paolo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
หน่วงงง ต่อไป
แต่ช่างเถอะ สักวันผักกาดจะเข้าใจ
คนมันใช่ ยังมันก็ใช่ แต่จะเป็นใคร  เวลาจะเป็นคนตอบ :L2:


 :pig4:

RGB.__

  • บุคคลทั่วไป
หน่วง  :z3:
ยังสงสัยเรื่องทิมกับตุลอยู่  รักกันผู้ชายมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอกนะผักกาด สักวันคงเข้าใจ  o13

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
พี่ผักกาดน่ารักจังนะ ห่วงใยน้องสุด ๆ แต่คำขอของพี่ผักกาดนี่น่าหนักใจมาก
แล้วเป็นคนที่มีอิทธิพลกับคะน้าที่สุด คะน้าจะตัดสินใจยังไงกันนะ
หรือจะไม่เอาทั้งตุลและทิม ไม่น๊าาาาาา  :z3:

ตุลยอมแพ้แล้วสินะ คงดูออกว่าคะน้าไม่ได้รักตัวเองเลยไปไกล ๆ ดีกว่า
ส่วนทิม โถ พ่อคุณ มาทำกับข้าวให้เจ๊ผักกาดทุกวันนี่ต้องการให้คะน้ากินหรอกเหรอ
อาหารเสริมโน่นนี่ น่ารักจังเลย (ขัดกับบุคลิกโหด ๆ ของฮีมาก ๆ )
คะน้ามีใจให้ทิมมากกว่าตุลนะ

อยากให้คะน้ากับทิมเจอกันอ๊า

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
พี่ผักกาดขา รักน้องก็เข้าใจแต่ทำแบบนี้น้องมันก็ยิ่งตัดสินใจผิดๆสิ
ฮืออ จากที่เห็นทั้งสามคนแย่อยู่แล้ว
มันจะยิ่งแย่เข้าไปอีกสิ
ทำให้พ่อแม่ และพี่เสียใจหรอ
แล้วพี่ไม่ห่วงบ้างหรอว่าน้องจะเสียใจ??

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
ชอบตอนนี้เหมือนกันครับ

มันเหมือนว่าคะน้าได้เริ่มต้นคิดอะไรมากขึ้นจากคำพูดของผักกาด
จริง ๆ จากตอนที่แล้วก็รู้แล้วล่ะว่าคะน้าไม่มีทางให้ตุล เพราะคะน้ารักทิม
แต่ที่ต้องเลือกตุลก็อย่างที่รู้ว่าตุลดีกับเค้า แต่ตอนนี้ก็รู้อีกอย่างว่าเค้าเอาแต่ใจตัวเองด้วย

ชอบประโยคที่ผักกาดพูด เรื่องคิดมากกับคิดน้อยเกินไป
เจอมากับตัว โดนด่าตลอดว่าเราคิดมาก สวนไปเหมือนกันว่า เราคิดมากหรือเธอคิดน้อย
ชีวิตเปลี่ยนนะหลังจากประโยคนี้ เราเองก็ปล่อยวาง เค้าเองก็ใส่ใจมากขึ้น แฮปปี้ ^^

ชอบเรื่องนี้มากมาย

BONE

  • บุคคลทั่วไป
อึดอัดจะตายอยู่แล้ว
อยากให้เรื่องราวคลี่คลายโดยเร็ว
เราชอบคำพูดผักกาดนะ... คะน้ามองแต่สิ่งที่อยากมอง
สิ่งที่ไม่อยากมองแบบทิม... เลยโดนเมินไง
เป็นไงล่ะ คนดีอย่างหมอตุลย์จะหนีไปเมืองนอกแล้วนั่น...

“...ทั้งๆ ที่แกไม่เคยจะกินสักคำ”

กลับมาซบอกพี่เถอะน้องทิม คะน้ามันไม่แยแสเราจริงๆ.. T^T

สงสารคะน้านะที่โดนผักกาดพูดดักทางแบบนี้
เราก็อยากให้ผักกาดเปิดใจเหมือนกัน เพราะผักกาดเป็นคนพูดเอง
"คนเราเดี๋ยวนี้บางทีก็ใจร้ายเกินไป มองอะไรแต่แค่มุมมองของตัวเราเอง"
ผักกาดก็ลองมองในมุมของคะน้าดูบ้างนะ...

ขอบคุณน้า~~
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ปล. โบกป้ายไฟทิม(ผู้ที่เหมือนจะเป็นตัวประกอบไปแล้ว)ต่อไป

ออฟไลน์ beautifuldead

  • wandered lonely as a cloud..
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
เรื่องกำลังดำเนินต่อไป ตุลกำลังเดินหน้าต่อไป
แต่ว่า ไม่เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย นอกจาก ต่ายที่ทำตามคาดหวังของคนอื่น ทำตามใจทุกคนนอกจากตัวเอง...เหมือนเดิม T-T

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เง้อ...ทำไมมันเศร้ายังงี้หนอ
คะน้าคงเครียดน่าดู เหมือนทุกเรื่องรอบตัวบีบรัด
ตุลรู้อยู่แล้วว่าได้ทุนไปตปท.และไปกับหมอก้อยด้วย
แล้วจะมาผูกมัดคะน้าไว้ทำไม เห็นแก่ตัวจริง ๆ แหละ
อุตส่าห์เลือกแล้วยังมาทิ้งกัน
ทีนี้ทำไง จะกลับไปหาทิม ก็ติดเงื่อนไงของผักกาดอีก
มันจะยังมีทางออกไหนอีก

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
ร้องไห้น้ำตาไหลแหมะๆ แบบว่าตอนนี้ทั้งหน่วงทั้งบีบใจมากๆ
สงสารเจ๊ผักกาด สงสารคะน้า สงสารทิม สงสารหมอ
 จะมีทางออกดีๆให้คะน้าหน่อยมั๊ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ davina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
หน่วงหลายตลบเลยพี่น้อง!

แต่ชอบตอนนี้ตรงที่เจ๊ผักกาดสอนน้อง
เราเองก็ตาสว่างขึ้นด้วย
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
 :pig4:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ไม่นึกว่าหวยจะออกที่ "ผักกาด"

MonaLis

  • บุคคลทั่วไป
สงสารตุลลลล
มันใช่เลยอะ.. ใครจะมีความสุขที่ถูกเลือก แต่ไม่ได้ถูกรัก

พี่ผักกาดก็นะ.. จะบอกว่าสงสารก็บอกไม่ถูก
ชีวิตก็ชีวิตคะน้า คนเป็นพี่เป็นน้องมีหน้าที่คอยรับเวลาล้ม คอยให้คำปรึกษาเวลาอีกคนไร้หนทาง
แต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปกะเกณฑ์ชีวิตใครนะ

คนที่มักจะทำเพื่อคนรอบข้างอย่างคะน้าจะเอาไงละทีนี้  :เฮ้อ:

กินมาม่าจนท้องอืดหมดละน้าาา
หวังว่ามาม่าจะหายไปในเร็ววัน  :z3:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
มาม่ารสต้มยำกุ้งห่อนี้  แซ่บถึงใจมากกกก   :sad4:
 น้ำตาหมดแหมะๆเลย  :impress3:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
Merry Christmas ทุกๆ คนนะครับ มาช้าอีกแล้ว แหะๆๆ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์ ทุกกำลังใจที่แวะมาทักทายกันนะครับ
ช่วงนี้ออกแนวหดหู่จริงๆ ...ก็นะ เป็นไปตามเนื้อเรื่องครับ 5555555
ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบลงตอนต่อไปเลยดีกว่า เรามามี Black Christmas กันเถอะพี่น้อง  :sad4:



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ 18




กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยแตะจมูกปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากการหลับใหล
หัวยังหนักอึ้งไปกับฤทธิ์ยาลดไข้ที่ทานไปหลังจากกลับมาจากที่ตลาดแต่ช่วงบ่าย
แขนขาไร้เรี่ยวแรงจากอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เพดานห้องสีขาวในห้องนอนดูหม่นจากม่านที่กรองแสงอาทิตย์
คะน้าขยับปลายแขนตัวเองเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง

ผักกาดไม่ใช่คนที่ทำอาหารใช้เตาอะไรนัก เกือบทั้งหมดของพื้นที่ในตู้เย็น
จึงเต็มไปด้วยอาหารแช่แข็งแทบทุกรสชาติทุกยี่ห้อในท้องตลาด
จึงไม่ต้องสงสัยว่าใครอีกคนคงยืนง่วนอยู่ที่หน้าเตาอาหารที่ร้อนระอุนั่น
คะน้าค่อยๆ ตั้งสติพยุงร่างกายที่เมื่อยล้าออกมายืนอยู่หน้าประตู อีกฝั่งของประตูห้อง
เบื้องหลังของแผ่นไม้หนาไม่กี่นิ้ว ในตอนนี้ทิมคงทำอาหารอร่อยๆ
มากมายแบบเช่นหลายวันที่ผ่านมา ...อาหารที่คะน้าไม่เคยใส่ใจ

ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อวันก่อนจากปากของผักกาดนั้นหนักอึ้ง อยากจะออกไปพูดจาอะไรมากมาย
แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ทั้งคำขอโทษ และทั้งคำขอบคุณ และความรู้สึกในใจอีกมากมาย
ลูกบิดประตูเย็นเฉียบกว่าที่เคย เป็นเวลาหลายนาทีที่คะน้าทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งๆ
แต่การหนี ดูจะไม่ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น ลูกบิดประตูค่อยๆ เคลื่อนตัวทีละนิดอย่างฝืดเคือง

“ขอบคุณนะ มาบ่อยๆ เกรงใจเราจริงๆ” เสียงของผักกาดที่ดังขึ้น
ทำให้คะน้าชะงักนิ่งไปอีกครั้ง โต๊ะอาหารอยู่ห่างจากหน้าห้องของคะน้าเพียงไม่กี่คืบ




...เขาอยู่แค่ตรงนี้

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” แปลกที่คำพูดสั้นๆ ของทิมเรียกรอยยิ้มน้อยๆ
ให้ผุดขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับความสั่นไหวประหลาดในใจคะน้าอย่างไม่รู้ตัว

“รีบหรือเปล่า ทานด้วยกันก่อนสิ เจ้าต่ายกับเจ้กินไม่หมดหรอก เยอะแยะขนาดนี้”
เสียงเงียบที่สักพักตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้บ่งบอกได้ว่าทิม
นั่งลงบนโต๊ะอาหารตามบัญชาการของพี่สาวของเขาเสียแล้ว

เสียงช้อนที่กระทบแผ่วๆ กับจานอาหารเป็นสัญญาณว่ามื้ออาหารได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผักกาดที่ไม่รู้ว่าคะน้ากลับมาจากตลาดตั้งแต่ตอนบ่ายเพราะอาการปวดหัว
ยังคงเอ่ยชมรสชาติอาหารของทิมอยู่ไม่ขาดปาก นานๆ ที่
จะมีเสียงของแขกผู้มาเยือนเอ่ยคำสั้นๆ ว่า “ครับ” แทนคำตอบรับ กระทั่ง...

“เราสองคนนี่คงสนิทกันมากสินะ” เสียงผักกาดดังขึ้นแบบติดตลกนิดๆ ตามประสา
แต่คะน้าพอจะรับรู้ได้ว่าผู้เป็นพี่สาวไม่ได้รู้สึกสนุกสนานอะไรด้วยเลย
“จริงๆ แล้วพี่ก็เกรงใจนะ แวะมาทำให้ทานแบบนี้ทุกๆ วัน
ระวังเอาเถอะ คนอื่นเขาจะคิดว่าเราน่ะไม่ใช่แค่เพื่อนกับเจ้าต่ายมัน”

“ดูทำหน้าเข้า เรานี่นะ ชอบทำหน้านิ่งๆ ดุๆ แบบนี้แหละ
พูดอะไรบ้างก็ได้นะ ตัวจริงเราน่ะมันเป็นอย่างที่เราแสดงออกสักที่ไหน”
เสียงของพี่สาวยังคงพูดต่อไปอย่างเจื้อยแจ้ว เพราะความเป็นพี่น้อง
คะน้าจึงพอจะคาดเดาได้ว่าพักกาดต้องการทำอะไร

“เฮ้ออออ... บอกตรงๆ นะ เจ้เองก็ไม่ค่อยสบายใจ เจ้าต่ายน้องเจ้มันก็เอ๋อๆ แบบนี้
จะไปจีบสาวๆ ที่ไหนก็คงไม่ทันใครเขา เจ้ก็ได้แต่รอให้สาวๆ ที่โอเคๆ มาจีบน้องพี่แทนนั่นล่ะ
เป็นไปได้ก็ไม่ให้ใครของเจ้าต่ายแปลกๆ ไปไหนๆ สนิทอะไรกับเพื่อนแบบเด็กๆ มัธยมแบบนั้น
คนเราเดี๋ยวนี้ก็แปลกนะ ผู้ชายสนิทกับผู้ชาย พออายุมากขึ้น คนจะมองว่าเป็นเกย์เอา”

“ก็บอกตรงๆ ว่าห่วงล่ะ ทิม... เจ้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย”

ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาจากปากของทิม คะน้านึกไม่ออก
ว่าทิมกำลังรู้สึกอย่างไรกับคำพูดที่จู่โจมของผักกาด
แม้กระทั่งจะวางตัวอย่างไรกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เบื้องหน้า

“อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเจ้ต่อต้านความรักอะไรแบบนั้นหรอกนะ เจ้พอเข้าใจ
แต่มันดูไม่มีความมั่นคงอะไรใดๆ เลย ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรที่ยอมรับ
กฎหมายก็ไม่รับรอง และที่สำคัญ สังคมเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้เปิดรับจริงเท่าที่พูดๆ กัน
ในความเป็นจริง ความรักของคนพวกเดียวกัน มันไม่ต่างอะไรกับพลเมืองชั้นสองดีๆ ในสังคมนั่นแหละ”

“ครับ ผมทราบ” เสียงของทิมตอบออกมาเรียบๆ
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของผักกาดดังขึ้นอีกครั้ง ดังพอที่คะน้าจะได้ยิน

“เฮ้ออออ... เจ้ดีใจที่เราเข้าใจเจ้นะ จริงๆ ก็แค่ห่วงเจ้าต่ายมันนั่นแหละ
ว่าแต่เรามีสาวๆ ดีๆ คนไหนน่าสนใจก็แนะนำให้เจ้าต่ายมันบ้างก็แล้วกัน
ถือว่าสงสารมันเถอะนะ” ไม่มีคำตอบจากทิม บทสนทนาดูจะหยุดอยู่แค่นั้น
มีเพียงเสียงช้อนที่กระทบกับจานหรือเสียงวางแก้วน้ำที่นานๆ จะดังมาสักครั้ง




“อันที่จริง...”

“หือ?” เสียงผักกาดดังขึ้นตามมาด้วยความแปลกใจ

“อันที่จริง... มีคนนึงที่ผมคิดว่าเหมาะกว่าใคร
แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ดูไม่ค่อยโอเค” ทิมตอบเรียบๆ ดังเช่นทุกครั้ง

“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนะ ถ้าเป็นคนดี เจ้ว่ามันก็โอเคนะ”
เสียงของผักกาดดูจะให้ความสนใจขึ้นมาทันที “เอ... ว่าแต่ใครเหรอ บอกหน่อยสิ”

“ไว้อะไรๆ ดูลงตัว ผมคงแนะนำให้พี่ผักกาดได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ”

“ดีมาก แบบนี้สิ! รู้ใจเจ้จริงๆ” เสียงผักกาดหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

“ขอบใจนะสำหรับอาหารอร่อยๆ พวกนี้ จากนี้ไป เจ้คงไม่กล้ารบกวนแล้วล่ะ”
เสียงลากเก้าอี้ดังขึ้น “เดี๋ยวเจ้จัดการพวกจานชามนี่เอง
เอาล่ะ ไม่ส่งล่ะนะ ปิดประตูดีๆ ล่ะ โจรเข้ามาได้ แกตาย...ทิม”

“ครับ” เสียงของทิมแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน



คะน้าถอยกรูดกลับไปนั่งนิ่งบนเตียงของตัวเอง  เอาเข้าจริง สิ่งที่ผักกาดพยายามทำ
กลับสร้างความอึดอัดให้กับคะน้าอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คะน้าตั้งใจจะทำ
เพื่อพี่สาวที่เค้ารักมากกว่าใครคนนี้แล้วก็ตาม หากแต่ท่าทีของคนอีกคนที่นั่งอยู่หน้าห้อง
กลับสร้างความรู้สึกหน่วงๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก

คะน้าคาดเดาไม่ถูกว่าทิมหมายถึงใคร และทิมกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
ทิมจะดึงใครลงมาเป็นหมากในเกมบ้าๆ นี่อีก อาจจะเป็นเด็กผู้หญิงที่แสนน่ารักที่เจอในร้านอาหารวันก่อน
หรืออาจจะเป็นใครสักคนที่คะน้าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่ทิมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
เหตุผลที่คนที่ดูจะไม่แคร์อะไรกับใครมากมายแบบทิมทำแบบนี้เพื่ออะไร




เกลียด ...เกลียดอย่างนั้นใช่ไหม

เพราะตุลหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วร่องรอยที่เกิดนั่น... ไม่อยากคิด
และคิดว่าจะลืมๆ มันไป แต่มันก็วนเวียนกลับมาให้คิดทุกครั้ง
...ทุนไปเยอรมัน คะน้าไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์เท่าที่ควร
แต่ถ้าถามถึงเยอรมัน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองนั้นกลับเป็นเรื่องวิศวกรรม
ส่วนที่ทิมมาทำดีอะไรมากมายนั้น...

ไม่! ...คงไม่หรอก! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว อะไรๆ มันคงไม่น้ำเน่าแบบนั้น
แต่ความจริงมันคืออะไร หัวสมองเริ่มหนักอึ้งอีกครั้งพร้อมกับความเจ็บปวดที่กดแน่นลงในใจ
คะน้าทิ้งตัวลงบนเตียงที่อ่อนนุ่ม ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
หากแต่คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ว่าจะหลับหรือจะลืมตา

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงที่คะน้านอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ไปมา
กระนั้น ก็ไม่สามารถค้นหาคำตอบใดๆ ได้ บางทีอาจจะถึงเวลาที่ควรจะทำอะไรสักอย่างเสียที
ถามทิมคงเค้นคำตอบยาก ถามตุลดูจะพอมีความเป็นไปได้มากกว่า
คิดได้แล้ว คะน้าจึงฉวยคว้ากุญแจรถที่อยู่บนโต๊ะแล้วค่อยๆ ย่องออกมา
ไม่ให้ผักกาดได้ยิน และไม่นานนักคะน้าก็มาถึงโรงพยาบาล

ตึกที่สูงตระหง่านของโรงพยาบาลคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บ้างก็เป็นบุคลากรของโรงพยาบาล
บ้างก็เป็นผู้ป่วย ญาติพี่น้องที่แวะเวียนมาเยี่ยมไข้ นามบัตรที่ตุลเคยให้ไว้
ในตอนที่สั่งไอศกรีมไปส่งช่วงงานเลี้ยงทำให้ไม่ยากนักสำหรับคะน้าที่จะตามค้นหา
ศูนย์ออร์โธปิดิกส์ตั้งอยู่บนชั้น 15 บนตึกสูงที่เป็นอาคารหลักของโรงพยาบาล
หากแต่ความที่ไม่คุ้นเคยทำให้คนแปลกที่ยืนเก้ๆ กังๆ กับป้ายบอกทางต่างๆ
ซึ่งดูจะค่อยไม่เข้าใจ ช่วงจังหวะที่มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลผ่านมา คะน้าจึงได้เอ่ยถาม

“ตุล ...ตุลธรน่ะครับ คือผมเป็นเพื่อน”

จงใจเลี่ยงคำว่าหมอเพื่อให้แตกต่างจากคนไข้หรือญาติที่มาถามเรื่องอาการ
อีกทั้งพยายามแสดงถึงความคุ้นเคยอย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทำหน้ายุ่ง
แล้วแจ้งว่าหมอตุลไม่ได้อยู่ในวอร์ด ก่อนจะขอเลี่ยงตัวไป
คะน้าจึงได้แต่ยืนรอและเดินแกร่วไปเรื่อยตามประสา

อยากจะถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน อย่างน้อยก็ก่อนที่ตุลจะจากไป
และอย่างน้อย ขอสักครั้งให้เขาได้เอ่คำขอโทษกับเรื่องที่ผ่านๆ มา
แม้ว่าการห่างกันนั้น ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาพบปะเจอะเจออีกครั้ง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ควรทำ
และต้องทำ ก่อนที่คะน้าจะต้องอยู่กับความคิดบ้าๆ นี้ไปไม่จบสิ้น

ลัดเลาะไปตามทางเดินเรื่อยๆ กระทั่งเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยไวๆ
คะน้าจึงรุดฝีเท้าตามให้ทัน ท่าทางของตุลดูไม่กระชับกระเฉงอย่างที่คุ้นตา
คะน้าลอบมองตามเงียบๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ หากแต่คำขอโทษมากมายที่อยู่ในใจนั้น
เป็นเสมือนความหวังที่จะทำให้ชายหนุ่มที่เคยร่าเริงสดใสคนนั้นกลับมาเป็นเช่นวันวาน
กระทั่งตุลกดวางโทรศัพท์มือถือเมื่อมาถึงที่หน้าห้องๆ หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องพัก

อาจเพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ใช่ช่วงเร่งด่วน บุคลากรต่างๆ ของโรงพยาบาลจึงดูบางตา
ยิ่งในเขตเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่แล้วเรียกว่าแทบจะไม่มีผู้คนผ่านไปมา
คะน้าชั่งใจอยู่สักพักแล้วรุดปลายเท้าตามไป หน้าห้องพักมีป้ายชื่อของตุลกับแพทย์หญิงอีกคน
โดยที่ไม่ต้องคาดเดาว่าชื่อนั้นเป็นของใคร เมื่อเสียงหวานที่แว่วเต็มสองหูนั้น คะน้ายังจดจำได้อย่างไม่เคยลืม

“กาแฟหน่อยไหมคะตุล” มีเสียงลากเก้าอี้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับความเงียบที่น่าอึดอัดเป็นเวลาหลายนาที
จนคะน้าตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีไหมหรือรอให้อะไรๆ เรียบร้อยก่อน
กระทั่งมีเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นแล้วเงียบลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียงแหบพร่าของตุลดังขึ้นเบาๆ

“ผมกำลังทำอะไรอยู่นะก้อย ผมเป็นแค่ไอ้งั่งใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบใดๆ ของหมอก้อยกลับมา
คะน้าพยายามเงี่ยหูฟังมากขึ้น รู้สึกใจไม่ดีกับลางสังหรณ์แปลกๆ ของตัวเอง

“ก้อยไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ตุลทำเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจนะ”

“ผมจะทำอะไรได้ล่ะ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้ว”
เสียงของตุลแฝงไปด้วยความรู้สึกตัดพ้อในที

“กับการโกหกว่าได้รับทุนวิจัยน่ะเหรอ?” เสียงของหมอก้อยสวนกลับขึ้นแทบจะทันที
“ตุล... ทำไมตุลไม่พูดไปตรงๆ พูดตามความเป็นจริงกับสิ่งที่ตุลคิดไว้ในใจ
ทำไมถึงต้องเลือกที่จะโกหกอะไรแบบนั้น ตุลไม่มีทางหนีความจริงได้หรอกนะ”

...โกหก? คืออะไร? หมายความว่าตุลโกหกอะไรกับเขาอย่างนั้นหรือ


...หรือจะหมายถึงเรื่องของทิม?



(มีครึ่งหลังต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ครึ่งหลังครับ)




คะน้าค่อยๆ เลื่อนขยับร่างกายไปตรงกับระนาบของประตู
กระจกใสบานเล็กที่อยู่กึ่งกลางด้านบนเผยให้เห็นแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไป
หากแต่ระยะที่ห่าง ทำให้คะน้าตัดสินใจแง้มประตูบานนั้นเบาๆ เพื่อให้ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

“จะให้พูดอะไรล่ะ พูดว่ารักไอ้เด็กนั่นใช่ไหม ให้ไล่เขาไปจากชีวิตผม
เพราะผมไม่อยากรับความสงสารหรือเวทนาจากใครอย่างนั้นเหรอ
จะให้อวยพรให้เขารักกับมันอย่างมีความสุขเลยไหม” ตุลระบายความรู้สึกปวดร้าว
ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น หากแต่หญิงสาวที่นั่งข้างๆ ยังคงนิ่งสงบไม่สั่นไหว

“แต่ก็ไม่ใช่โกหกกันแบบนี้หรือเปล่า ตุลสละทุนนี้ทั้งๆ ที่ได้จนผู้ใหญ่
พิจารณาให้ก้อยได้รับทุนแทนตุล รู้ไหมว่าอาจารย์เค้าโกรธตุลแค่ไหน
ที่สละทุนโดยให้เหตุผลว่าไม่พร้อม และถ้าเขารู้ความจริงว่าที่ตุลสละทุนวิจัย
ที่มีหมอจากทั่วโลกแย่งกันแบบนี้เพียงเพราะ... ” ก้อยชะงักหยุดเสียงตัวเองไว้แค่นั้น
เจตนาเพื่อปรับโทสะในใจให้สงบลงกว่าสักครู่ “มันก็เรื่องของตุลล่ะนะ
ก้อยก็ไม่สมควรจะไปยุ่งย่าม ยังไงยูฯ ที่โน่นเค้าก็โอเคแล้ว”


“ที่ผมสละทุนเพราะอยากใช้เวลากับคะน้าใช่ไหม”
ตุลเหลียวไปมองร่างเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“นิยามความสุขของคนเรามันแตกต่างกัน ความสุขของบางคน
อาจจะเป็นการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้ตำแหน่งทางวิชาการสูงๆ
มีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่สำหรับผม
ผมต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างกัน ร่วมแบ่งปันความทุกข์ความสุขกันและกันไปเรื่อยๆ”
ตุลเว้นจังหวะด้วยการระบายลมหายใจเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า
“ต่อให้มีเงินทองมากมายล้นฟ้า ต่อให้มีหน้ามีตาในสังคมแค่ไหน
ต่อให้มีความสุขอัดแน่นในใจมากเท่าไหร่”



“อะไรๆ ที่มีมากมาย รู้ไหม?
มันไม่มีความหมายเลย หากไม่มีใครสักคนร่วมแบ่งปัน”


เป็นครั้งแรกในหลายนาทีที่รอยยิ้มบางๆ ของตุลผุดขึ้นบนใบหน้าที่เศร้ามอง
แต่แค่เพียงระยะเวลาๆ สั้นๆ นั้นก็ทำให้หญิงสาวที่นั่งใกล้พลอยยิ้มขึ้นมาด้วย
“แค่อยากให้ตุลรักษาสมดุลย์ในทุกๆ เรื่องในชีวิตให้พอดี”

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป หากแต่ใครคนหนึ่งที่ด้านนอกของบานประตูนั้น
กลับเหมือนทุกอย่างหยุดลง ตุลโกหก ...โกหกอย่างร้ายกาจ

เพื่อผม ...ตุลทิ้งความฝัน เพื่อผม ...ยอมทิ้งสิ่งที่ตัวเองรัก
คนแบบผมมีค่าพอกับใครสักคนขนาดนั้นเลยหรือ?

เจ็บที่ไม่เคยรับรู้อะไรเลย และยิ่งเจ็บเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
กับคนที่ดีกับตัวเองได้มากมากขนาดนั้น ทั้งเรื่องการได้ทุนแล้วสละทุนเพื่อเขา
หรือแม้กระทั่งการกุเรื่องใหญ่โตเพื่อที่จะตีจากเขาไปเพื่ออนาคต
และเหนือสิ่งอื่นใด ...หมอก้อย ผู้หญิงคนนั้น ที่ผ่านมากลับมองเธอด้วยความรู้สึกที่เลวร้ายอย่างนั้น

...และความจริงจากความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ในห้องยังคงพร่างพรู

“หึ... นี่ผมเป็นคนโง่ คนเพ้อเจ้อใช่ไหม ผมมันควายมากที่เลือกทำอะไรแบบนี้
สุดท้ายอะไรๆ มันก็พังไม่เป็นท่า จนผมต้องซมซานกลับไปขอทำวิจัยแล้วก็ใช้ทุนครึ่งหนึ่งของตัวเอง”

“มันผ่านไปแล้วน่ะตุล มันเกิดขึ้นไปแล้ว เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
สิ่งเดียวที่เราพอจะทำได้คือลงมือทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดีที่สุด
เราย้อนกลับแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอดีตไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะรับมือกับวันพรุ่งนี้ด้วยทัศนคติที่ดีได้”
หมอก้อยยิ้มบางๆ หญิงสาวหยิบกาแฟตรงหน้าขึ้นจิบ
ผิดกับคนข้างๆ ที่ได้แต่นั่งบิดถ้วยกาแฟของตัวเองหมุนวนอยู่อย่างนั้น

“ขอบคุณนะก้อย ดูผมสิ ผมในวันนี้ คนที่ใครๆ ชื่นชมนักหนาแล้วไงล่ะ
เห็นไหมว่าไอ้ตุลมันพ่ายแพ้หมดรูปแล้ว” ตุลข่นหัวเราะเสียงขื่นแล้วนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ความรู้สึกต่างๆ ที่อัดแน่นถูกตอบรับด้วยบทสนทนาที่ปราศจากคำพูด

“ก้อย... ใครๆ ก็บอกว่าเราควรจะมีความสุขเมื่อคนที่เรารักมีความสุขไม่ใช่เหรอ
ผมปล่อยเค้าไปแล้ว ให้เค้าไปมีความสุขกับคนที่เขารัก
คนที่เหมาะกับเขา แล้วทำไมผมถึงเจ็บเจียนตายแบบนี้”

“ก้อยเข้าใจตุลนะ เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป” หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ
จิบกาแฟร้อนที่กรุ่นไปด้วยความเข้าใจ ใบหน้าระเรื่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่หรอก ไม่มีใครเข้าใจ ก้อยรู้ไหม ผมไม่ได้อยากเป็นคนเสียสละเลย
ไม่เคยอยากสวมบทพระเอกที่มองคนรักของตัวเองไปมีความสุขกับคนอื่น
ผมอยากเห็นแก่ตัว อยากมีเค้า แต่ผม... ก้อย...”

“ผมขังคนที่เค้าไม่ได้รักผมไว้ไม่ได้”

“ตุล...”

“ความรักคือการให้เหรอ ...ไม่หรอก โกหกทั้งเพ ความรักน่ะคือการเห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุ¬ดต่างหาก
เพราะว่าเรารักไง ...เพราะเรารัก เราจึงอยากให้เขามีความสุข เพราะเวลาที่เขามีความสุขเเล้วเราจะสุขตาม
หมอตุลผู้เสียสละเหรอ... เปล่าเลย เรียกว่าไอ้ตุลจอมทุเรศดีกว่า ก้อยรู้ไหม...
บางทีผมก็คิดว่าความรักมันก็คือการเสียสละที่จอมปลอมที่สุด ผมหลอกลวงทุกคน
หลอกแม้กระทั้งคนที่ผมรัก หลอกได้แม้กระทั่งลึกๆ ในใจของตัวเอง”
แม้ว่าท่าทีของหญิงสาวจะพยายามปลอบประโลมแค่ไหน
หากแต่ความรู้สึกอัดแน่นภายในใจที่ค่อยๆ ระบายออกมานั้นทำให้เธอเลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ
และลอบมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

“ผมมันขี้ขลาดไง ผมมันไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำลา ไม่กล้าที่จะผลักเขาให้ไปจากชีวิต
ไม่กล้าที่จะอวยพรให้เขามีความสุข ผมเลยโกหก ...โกหกชนิดที่เลวร้ายที่สุด มันเจ็บปวดนะ ...มากๆ เลย”
ตุลหันมามองที่ก้อยราวกับจะบอกเล่าทุกเรื่องราวในใจออกมาให้ฟัง ร่างสูงของเราสั่นไหวด้วยความอ่อนแอ

“ลึกๆ แล้วผมรับไม่ได้เลย ลึกๆ แล้วผมอยากอยู่กับเขา อยากใช้เวลาไปด้วยกันกับเขาจนแก่เฒ่า
ลึกๆ แล้วผมอยากให้เขาไม่มีความสุข อยากให้เค้าทรมานกับการไม่มีผม
ให้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ให้เขาทรมานจนเจียนตาย” เสียงของตุลแหบพร่าจนร้าวราน

“จนในที่สุด ...ในที่สุดเขาจะกลับมาหาผม คะน้าจะกลับมาหาผม ไอ้ตุลจอมสร้างภาพ
ว่าไหม? ผมมันก็แค่จอมสร้างภาพ เป็นผู้ร้าย เป็นได้แค่แค่คนดีจอมปลอม”
หมอก้อยเพียงแค่นิ่งสงบแล้วรอให้ทุกๆ ความรู้สึกที่อัดแน่นค่อยๆ คลี่คลาย สักพักเมื่อตุลดูสงบขึ้น
หญิงสาวจึงค่อยๆ ถ่ายเทความรู้สึกห่วงใยออกมาทางคำพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“เชื่อก้อยเถอะตุล การเดินออกไปจากชีวิตเขา บางทีมันก็ง่ายกว่าที่จะฝืนกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิม
ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานกับภาพที่เราไม่อยากเห็น”
ก้อยเอื้อมมือไปลูบหลังที่สั่นไหวของตุลเบาๆ ดวงตาคู่สวยที่นิ่งสงบนั้น
ระริกไหวไปด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นภายใน

“ไม่ต้องเสียใจกับความหวังโง่ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อบอกตัวเองว่าสักวัน
...สักวันหนึ่งน่ะ อีกไม่นานหรอก ทนอีกนิด ...อีกนิดเดียว
...แล้วสักวัน เขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับมารักเรา” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ
ใบหน้าสวยส่ายไหวเบาๆ เหมือนไม่อยากจะยอมรับกับความรู้สึกของตัวเอง



“รู้ไหม? ...มันไม่มีทางเป็นจริง”

ตุลนิ่งเงียบไปพักใหญ่ คำพูดของก้อยฟังดูมีเหตุมีผลมากมาย ...มากมายเกินไปที่เขาจะต้านทาน
“ผมทำไม่ได้ ...ทำไม่ได้” เสียบแหบพร่าเหมือนจะขาดใจ
ตุลสายหน้าของตัวเองไปมา ไม่เห็นด้วย และไม่พร้อมกับสิ่งที่เพิ่งได้รับฟัง

“ทำได้สิ ขึ้นอยู่กับว่าตุลจะทำหรือเปล่า”

หมอก้อยทอดสายตานิ่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทุกวันนี้ เราไม่ได้เจ็บปวดกับรักที่ไม่สมหวังหรอก เราเจ็บปวดกับความหวังต่างหาก
หวังว่าอะไรๆ มันจะกลับมาเหมือนเดิม หวังว่ามันจะไม่เป็นความจริง”

“หยุดมันเถอะตุล อย่าให้ตัวเราเองเจ็บ อย่าให้ตัวเราทรมานไปมากกว่านี้
ก้อยเป็นห่วงตุลนะ เชื่อเถอะ มันไม่สนุกเลย ตัดใจให้ลืมใครสักคนน่ะ
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก มันก็แค่ใช้ชีวิตแบบที่เราเคยเป็นมาไง
ลองคิดดูสิ ทำไมเมื่อก่อนทำไมเราอยู่ได้ แล้วทำไมวันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไป เราจะอยู่ไม่ได้”
หมอก้อยเอื้อมมือไปวางลงบนบ่าของคนที่นั่งข้างๆ แล้วลูบเบาๆ ด้วยความห่วงใย

“อะไรๆ มันเปลี่ยนไป¬แล้ว ยอมรับเถอะ ตัดใจจากเขา มันง่ายกว่าตัดเขาออกจากใจเยอะ
ที่ผ่านมาก็เก็บเป็นความทรงจำดีๆ ก็แล้วกัน”

“อย่าเสียดายอดีต มันไม่ได้อะไร ...มันเจ็บปวดนะ ทุกๆ เช้าต้องสำรวจว่าเราดีพอหรือยัง
ทุกๆ คืนก่อนนอนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะดีขึ้นจากเมื่อวานแล้วหรือเปล่า
ยอมเขาไปหมดทุกอย่างทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะหันมามองไหม ยอมแม้แต่ปรับตัวเองทุกสิ่งทุกอย่าง
เพียงเพื่อที่สักวัน ...สิ่งที่เราเป็น หรืออะไรๆ เรามันจะพอดีกับสายตาของเขา
ตุลรู้ไหม ความจริงในตอนจบ ...มันไม่ได้สวยหรูทุกครั้ง”

“เพราะบางครั้ง มันไม่ใช่เรื่องของมากไปหรือน้อยไป ไม่ใช่เรื่องของดีพอหรือพอดี
เพราะบางครั้ง กับคนบางคน” หญิงสาวเบือนหน้าไปอีกทาง น้ำเสียงเรียบๆ นั้นแหบเบากว่าทุกครั้ง




“ต่อให้เราดีแค่ไหน ...เขาก็ไม่มีวันเอา”

“ก้อยไม่มีวันเข้าใจผมหรอกว่าผมรู้สึกยังไง มันยากแค่ไหน มันเจ็บเท่าไหร่
อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายไปอย่างที่พูดสวยหรูกันแบบนั้นหรอก”
ตุลระบายความรู้สึกที่อัดแน่นในใจออกมาอย่างเต็มที่ หญิงสาวเพียงเงยหน้าขึ้นสบตาช้าๆ
ดวงตาคู่นั้นเหมือนพยายามซุกซ่อนความอ่อนแอที่แสนเจ็บปวดที่แสนสาหัสไว้ภายใน
ก้อยยิ้มน้อยๆ ให้กับตุล เป็นรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดจนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะอึกชา

“เข้าใจสิ” หญิงสาวยิ้มให้น้อยๆ ด้วยความรู้สึกห่วงใยทั้งหมดที่มี แม้ดวงตาที่เอ่อชื้นจะระริกไหว



“เชื่อเถอะตุล ...ก้อยเข้าใจมันดีกว่าใคร”

ตุลดูนิ่งงัน เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงช้าแล้วนั่งนิ่งด้วยความสงบอยู่อย่างนั้น
กระทั่งเสียงทุ้มที่สั่นไหวดังขึ้นเบาๆ




“ผม ...ขอโทษ”

นั่งคือภาพสุดท้ายที่เห็นผ่านจากทางกระจกใสที่บานประตู
คะน้าเอนตัวพิงกำแพงรู้สึกช็อคกับความเป็นจริงเกี่ยวกับทุนวิจัยและความรู้สึกของตุล
แม้กระทั่งความรู้สึกของหมอก้อยที่ไม่เคยมีใครมองเห็น สมองของคะน้าตีรวน
แขนขาสั่นไหวไร้เรี่ยวแรง แทบไม่เชื่อกับหูที่ได้ยิน และสองตาที่ได้เห็นเมื่อสักครู่

หากแต่เสียงฝีเท้าที่ดังแว่วมาจากระยะไกลทำให้คะน้ารีบตั้งสติของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด
ไม่ถูกและไม่ควรที่คนนอกอย่างเขาจะเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่นานนัก
เสียงฝีเท้านั้นก็ค่อยๆ ชะลอลงก่อนจะหยุดนิ่งลงไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ คะน้าเงยหน้าขึ้นมอง

...ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอย่างที่เขาหวั่นใจ
หากแต่เป็นคนที่คะน้าวนเวียนอยู่ในความรู้สึกของคะน้าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

ใบหน้าที่คมคายเป็นสัดส่วนนั้นดูดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทรงผมจัดแต่งง่ายๆ
หากแต่กลับดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด เสื้อเชื้อสีขาวพับแขนแบบลวกๆ
และกางเกงยีนส์พอดีตัวที่ดูกี่ครั้งก็ไม่อยากละสายตา เขาเหมือนเดิม
...เหมือนเดิมทุกอย่าง หากแต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่ดูจะผิดไปกับภาพทุกครั้งที่คะน้าคุ้นเคย

...กุหลาบสีแดงช่อโตที่ส่งกลิ่นหอมในมือคู่นั้น

แววตาสีดำขลับลุกวาวจนดูน่ากลัว และแค่เพียงชั่วพริบตา
มันก็ดูอ่อนลงพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแบบกวนๆ นั้น
ทำไมคะน้าถึงต้องพบต้องเจอกันในที่แบบนี้ ...กับช่อดอกไม้แบบนั้น

...ทิม



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ช้าก่อน อ่านจบ อย่าเพิ่งรุมสหบาทาคนแต่งนะ  :sad4:
ผิดไปแล้วๆๆ ช่วงนี้ ตอนที่เพิ่งลงไปนี้โหดสุดละครับ วางใจได้ แหะๆ
ภาพลักษณ์ของหมอก้อยคงดีขึ้นมาบ้างนะครับ เป็นความตั้งใจของคนแต่งล่ะครับ
เพราะเชื่อว่าคนเราทุกคนคงมีเหตุมีผลของตัวเอง ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดีหรอกเนอะ

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ ข้อเสนอแนะ กำลังใจ และการร่วมเวิ่นเว้อไปด้วยกันนะครับ

Merry Christmas นะครับ รักคนอ่านทุกคนนะ จุ๊บๆ 555555

 :กอด1: :L1: :กอด1: :L1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2012 15:44:09 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
อ้าววววววเฮ่ยยยยยย
อะไรไหงงั้นน
มาจากไหนอีกล่ะเนี่ย ว๊ากกกก
ทิมมาทำอะไร แล้วตุลนี่ตกลงยอมถอยแล้วช่ายม้ายยย
โอ๊ย พันกันยุ่งเหยิงอิรุงตุงนังงงง

กระโดดเกาะแข้งเกาะขาคนแต่ง
ฮือออ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
งงกันต่อไป
ที่งงคือเรื่องระหว่างทิมกับตุลนี่แหละ

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
สะอึก  น้ำตาท่วมจอเลย สมเป็น black  x'-mas
รออ่านตอนต่อไป  แต่ตอนนี้ขอตัวไปร้องไห้ ไม่ไหวเจ็บจิ๊ดดด

ออฟไลน์ Lunatan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตัวละครในเรื่องนี้เห็นแก่ตัวทุกคนทั้งคะน้า ผักกาด ตุล ทิม หมอก้อย
แต่ก็นะเพราะความรักที่แต่ละคนมีมันไม่เหมือนกัน
เห็นแก่ตัวก็เพราะรักอ่ะนะ ไม่รักคงไม่เป็นแบบนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด