♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430423 ครั้ง)

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ชูป้ายไฟทิม กรี๊ดดดดดดดดด
ถึงตอนนี้ยังจะกำกวมสงสัยงงงวยกับความสัมพันธุ์ของสามคนนี้อยู่
แต่ตอนนี้ทิมทำให้เรากรี๊ดดดดดดดดดดดดดด /มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้อ่า/
แต่ยังสงสัยกับหมอตุลอยู่ว่าความสัมพันธุ์ของหมอในวงจรนี้มันคืออะไร

BF-e

  • บุคคลทั่วไป
 :impress2: ต้องอย่างนี้สิทิมมมมมมมม!!!!

ออฟไลน์ warnana001

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ป๊าดดด ยังไงๆทิมก็ดีที่สุดแล้ว!!!!
ไม่ต้องหวานเลี่ยน ไม่ต้องบอกรักมากจนล้น ไม่ต้องมีสรรพนามพิเศษ
แค่ตัวนายที่เป็นตัวนายก็พอแล้ว~ :-[

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
รู้สึกว่ามึงกูนี่ไม่ค่อยเหมาะกับบุคลิกของต่ายกับทิมเลย
สวัสดีปีใหม่ ไม่ได้หายไปไหน ยังรออยู่ค่ะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ค่อนข้างปลื้มเพราะเป็นทิมเอฟซี กรั่กๆ
แต่ยังไงก็เคลียเร่ีองทิมกับตุลมาก่อนนะ

pandaticket

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านจนทันแล้ว > <

ขอบอกตั้งแต่เริ่มอ่านเรื่องนี้

เรารู้สึกมันละมุนละไมมากๆ

ตอนที่ต่ายพรรณนาเกี่ยวกับกระต่าย

เหมือนอ่านนิทานเลย

อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลย

แล้วยิ่งตอนเจ๊ผักกาดพูด

ตอนที่ 17.2 ช่วงที่ตุลกับต่ายเลิกกัน

อ่านแล้วโดนใจอย่างแรง

แต่ก็เครียดกดดันแทนต่าย

เข้าใจสังคมเปิดกว้างก็จริง

แต่มันก็ไม่กว้างพอสำหรับใครอีกหลายๆคน

อ่านแล้ว :a5: :เฮ้อ: o18

กดดันแทนผู้เขียนเลย

ยังไงก็สุ้ๆ นะค่ะ o13

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
มาแล้วครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ
ตอนนี้ ขออนุญาตไม่จัดหน้าแบบสั้นๆ นะ พอดีรีบนิดนึง
อ่านแล้วอาจตาลายหน่อยนะครับ ตัวหนังสือเป็นพรืดเลย
ไม่พล่ามให้เสียเวลา มาอ่านตอนที่ 20 กันเลยครับ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ตอนที่ 20





“แต่ผมรักป๋า รักแม่ และรักพี่ผักกาดที่สุด”

สัมผัสที่แผ่วเบาบนศีรษะของเด็กชายตัวน้อยซึ่งเริ่มโตจนพอรู้ภาษาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ตามมา พาลให้เจ้าตัวทำหน้างงด้วยความไม่เข้าใจ เด็กชายคะน้านั่งมองชายวัยกลางคนที่ตัวเองเรียกว่าป๋าซึ่งกำลังหัวเราะครื้นเครงจนตัวเองรู้สึกเก้อไป ด้านข้างเป็นผักกาดที่สาละวนกับการทานช็อคโกแลตที่เริ่มละลายจนเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้า เด็กชายตัวน้อยจึงหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่ที่เข้าใจและคอยตามใจคะน้ากว่าใครๆ

“มันไม่เหมือนกันครับต่าย สักวัน ต่ายโตขึ้น ต่ายลูกแม่จะเข้าใจครับ แน่ะ อย่าทำหน้ามุ่ยแบบนั้นสิ” หญิงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เหมือนกันยังไงอ่า”

“ป๋าเขาหมายถึงรักแบบแฟนไงครับ” ว่าพลางหันไปส่งตาดุใส่คนที่นั่งระรื่นข้างๆ “คุณนะคุณ มาช่วยกันเลย เอาแต่นั่งหัวเราะลูก” เธอหันไปบิดเอวชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ พร้อมใบหน้าที่เริ่มมุ่ย ดวงตาใสๆ คู่นั้นเหมือนจะถ่ายทอดไปที่ลูกชายกำลังนั่งปั้นหน้าแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน ชายหนุ่มจึงช้อนตัวลูกชายคนเล็กขึ้นนั่งบนตักแล้วเอามะเหงกเขกบนหัวทุยๆ นั้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เด็กชายคะน้ายกสองมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ

“ไม่เหมือนแบบนั้น ป๋าหมายถึงรักอีกแบบ ...แบบนี้ไง” ว่าแล้วก็หอมแก้มหญิงสาวที่นั่งข้างฟอดใหญ่ หญิงสาวค้อนขวับแล้วเขม่นสายตาใส่ด้วยความระอา

“แบบนั้นก็ต่ายรักผักกาดก็ได้” กระต่ายตัวน้อยตั้งท่าจะกระโดดแผล็วไปหาพี่สาวเพื่อจับหอมแก้มเลียนแบบผู้เป็นพ่อ เล่นเอาคุณแม่ต้องรีบอุ้มผักกาดหนีไปที่อื่นเพราะกลัวลูกทั้งสองคนจะเลอะช็อคโกแลตไปตามกัน ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอีกครั้งแล้วกอดลูกชายคนเล็กบนตักแน่น

“เรานี่ร้ายนะ ฮ่าๆ ฟังป๋านะลูก สักวัน ลูกจะได้พบกับคนที่ลูกรู้สึกว่าเขาแตกต่างกว่าใครๆ คนที่ลูกรู้สึกว่าอยากใส่ใจเขาเป็นพิเศษทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนในครอบครัวเรา คนที่ทำให้ลูกทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ แต่ลูกก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆ เขา” ป๊ะป๋าพยายามอธิบายเต็มที่ แม้เด็กชายตัวเล็กจะตั้งใจฟังแค่ไหนหากแต่วัยที่เยาว์ ทำให้คนเป็นลูกนั่งกลับมองตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจ

“ไอ้ซนเอ้ย เราน่ะมันยังเด็ก อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก เอาแบบนี้แล้วกัน สักวัน หากลูกป๋าได้พบกับใครสักคนที่ต่ายรู้สึกอยากนั่งอยู่ข้างๆ กับเขาตลอดเวลาไปทั้งชีวิต คนที่ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่ารวยหรือจน ตัวผอมเป็นกุ้งแห้งหรืออ้วนเป็นหมูอู๊ดๆ แบบเรา” ป๋าเอามือจี้เอวเด็กชายคะน้าจนเจ้าตัวเล็กดิ้นไปมาพร้อมหัวเราะร่วน

“ไม่ว่าอย่าไงไร ลูกก็ยังรู้สึกดีกับเขา คนๆ นั้นที่เขารู้สึกดีๆ กับลูกแบบเดียวกับที่ลูกรู้สึกดีๆ กับเขา คนที่รู้จักและรู้ใจลูกไม่น้อยไปกว่าที่ลูกรู้จักตัวเอง ถึงวันนั้น แล้วลูกป๋าจะเข้าใจ” เด็กชายตัวน้อยทำหน้าขัดใจด้วยความงง แต่ก็ไม่วายที่จะรีบกระโดดลงจากตักไปคว้าดินสอไม้แล้วจดคำพูดทุกคำของป๊ะป๋าลงใส่สมุดบันทึกเอาไว้

“ต่ายเอ้ย สักวันที่ลูกป๋าพบกับใครคนนั้น อย่าลืมพามาให้ป๋ากับแม่ อย่าลืมพามาให้ผักกาดรู้จักนะ”

คะน้ากอดผักกาดที่เพิ่งเดินกลับมาพร้อมกับคุณแม่แนบแน่น แม้จะไม่เข้าใจในคำพูดยาวเหยียด แต่เด็กชายคะน้าก็จดจำคำพูดสุดท้ายของพ่อได้ขึ้นใจดั่งคำสัญญา









“กูรักมึง”

ทิมยืนสงบนิ่ง ผิวเผินเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากจะมีใครสังเกตสักนิดจะพบว่าชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า ผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่ามั่นใจนักหนาและไม่แคร์อะไรบนโลกนี้ ตอนนี้กลับดูแตกต่างไปกว่าทุกครั้ง ผิวขาวละเอียดระเรื่อไปด้วยสีแดงระบายแต่งแต้ม

“ค..คิดว่าไง”

...ไม่เหมือนเลย เรียกได้ว่าแตกต่างกับความรู้สึกที่ได้ยินจากปากของตุลอย่างชัดเจน คราวนั้น มันให้ความรู้สึกดีใจ สบายใจที่เห็นตุลมีความสุข แต่กับทิม ใครก็ได้ช่วยผมทีเถอะ ผมแทบจะบ้า ...นี่สินะความรัก ...เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้วครับป๋า

ความหมายของคำพูดของผู้เป็นพ่อที่เคยค้างคาเมื่อเยาว์วัยที่ไร้เดียงสาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ยิ่งเห็นท่าทีของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจคะน้าก็ยิ่งสั่นไหว คำพูดเรียบๆ ธรรมดาไม่มีพิธีรีตรองสวยหรูใดๆ หากแต่มันกลับสร้างช่วงเวลาที่ทำให้คะน้าทั้งอยากจะกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด และรู้สึกอยากจะร้องไห้ในเวลาเดียวกัน ดีใจกับสิ่งที่เกินกว่าจะคาดคิด แต่ก็เสียใจเมื่อต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงเวลาที่ทุกอย่างดูเหมือนจะสายเกินไป



...รักทิม



...แต่พอแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะหยุดทำร้ายใครๆ ได้แล้ว


คะน้าก้มหน้าลงช้าๆ แล้วยืนนิ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ระบายขึ้นพร้อมความรู้สึกในใจที่เจ็บปวด กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ก็เมื่อร่างของตัวเองก็ถูกรวบเข้าวงแขนของอีกคนที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว อารามตกใจจึงรีบเงยหน้าขึ้น เพียงครู่เดียว แววตาคู่นั้นของทิมก็กลับมาวับวาวอีกครั้ง รอยยิ้มกวนๆ แบบไม่แคร์โลกที่ชวนมอง กลับทำให้คะน้ารู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบใจ คิดว่าได้คำตอบละ” ชายหนุ่มรุ่นน้องยักคิ้วใส่ด้วยความทะเล้น ปล่อยให้คะน้ายืนเหวอไปกับคำพูดของตน

เดี๋ยว!! ตอบอะไร! ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ!?!?

คะน้ายืนตะลึงทำหน้างง หากแต่อีกฝ่ายกลับจู่โจมด้วยคำพูดที่รวดเร็วจนคะน้าตั้งรับไม่ทัน “เลิกทำตัวงี่เง่าได้แล้ว ออกไปกินข้าวกัน แล้วกินให้มันเยอะๆ ด้วย แบบนี้ทุกทีสิ ต้องให้ด่า ต้องให้พูดแรงๆ ใช่ไหม ถึงจะเริ่มรู้ตัว” วงแขนคลายตัวออกพร้อมกับทิมที่ก้าวเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง

“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งพูด เดี๋ยวก่อน! ผมพูดอะไรออกไป ไม่ได้พูดไม่ใช่เหรอ” คะน้ายกมือจับปากตัวเอง ลึกๆ ก็เริ่มไม่มั่นใจว่าเผลอพูดคำนั้นออกไปหรือเปล่า “คุยกันก่อน ยังไม่ชัด” ทิมหันกลับมาถอนหายใจ

“อย่ามาเยอะตอนนี้ได้ไหม?” เล่นเอาคะน้าสะดุ้งเฮือก ไม่คิดว่าจะมีคนพูดแบบนี้กับตัวเอง “ที่ทำๆ อยู่น่ะ คิดบ้างไหม ป่านนี้พี่ผักกาดคงเครียดกับที่น้องชายตัวเองหายตัวมายืนทำเก่งตรงนี้ไปไหนต่อไหนแล้ว” ทิมถอนหายใจเหนื่อยแล้วบ่นงึมงำกับตัวเอง



“ไอ้ดื้อเอ้ย ทำไมกูต้องมารักคนทั้งเซ่อทั้งดื้อแบบนี้วะ”

เล่นเอาทำอะไรไม่ถูก เสียงนั้นแม้แผ่วเบาแต่ก็แว่วดังพอที่คะน้าจะได้ยินทุกถ้อยคำทุกพยางค์ ในเงาที่ทุกสิ่งอาจดูขมุกขมัวใบหน้าที่คมคายนั้นยังดูชัดเจน แม้ในวูบแรกสายตานั้นจะดูดุดัน หากแต่เพียงชั่วครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่อ่อนโยนบนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบเอ็นดู

...แค่เห็นก็รู้สึกแปลบขึ้นมาในใจจนสั่นสะท้านไปหมด จะกี่ทีกี่หน ไม่มีสักครั้งที่คะน้าจะรับมือกับทิมได้เลย แขกผู้มาเยือนหมุนตัวกลับแล้วเดินฉับๆ ไปที่ประตูตั้งท่าจะเปิดออก คะน้ารีบยกมือห้ามทัพอย่างว่องไว

“เดี๋ยวก่อน คุยกันก่อน คำตอบอะไร ไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วจะทำยังไงต่อ..” คะน้าพยายามเน้นคำแต่ให้เสียงเบาที่สุดเพราะไม่อยากให้ผักกาดได้ยิน ในใจเริ่มหวั่นกับสิ่งที่ทิมทัก หากแต่วิศวกรหนุ่มจอมมุทะลุไม่คิดแม้แต่จะสนใจฟังเป็นครั้งที่สอง ร่างสูงเดินตัวปลิวออกจากห้องไปเหมือนไม่ได้ยินอะไร เป็นอีกครั้งที่แผนการทุกอย่างพังครืน นอกจากจะไม่ได้เคลียร์อะไรกันตามที่ใจคิดไว้ ยังกลับกลายเป็นเหมือนตัวเองถูกบีบให้เล่นตามเกมของอีกฝ่ายอย่างมัดมือชก

แม้จะไม่ชอบใจ แต่คะน้าก็รีบเดินตามออกไปสมทบ เป็นอย่างที่ทิมพูดไม่มีผิดเพี้ยน ผักกาดมีสีหน้าที่ไม่สู้ดี อาหารมากมายตรงหน้าไม่ได้พร่องลงแม้แต่น้อย ผิดกับทิมที่นั่งปุ๊บก็ทานข้าวต่ออย่างเอร็ดอร่อย เห็นแบบนั้น คะน้าก็รีบปั้นหน้าตามไปสมทบ

“โห... เจ้รอเหรอ กินเยอะๆ สิ น่ากินออก” คะน้าพยายามปรับเสียงให้ดูคึกครื้น จัดแจงรีบตักกับข้าวใส่จานของผักกาดแล้วคะยั้นคะยอพี่สาวให้ชิม หากแต่ผ่านไปคำสองคำอย่างเนือยๆ ผักกาดก็วางช้อนส้อมลงที่เดิม

“เจ้กินไม่ค่อยลง”

“อาหารไม่ถูกปากหรือครับ หรือให้ผมทำอะไรให้เพิ่มไหม” ทิมถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผักกาดส่ายหน้าช้าๆ แล้วมองจ้องทิมอย่างไม่วางตา ด้วยความที่เป็นพี่สาว คะน้าจึงรู้ดีว่าผักกาดกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“เจ้ก็นึกว่าเมื่อวานเราคุยกันแล้ว คิดว่าทิมจะเข้าใจแล้ว” ผักกาดพูดด้วยเสียงเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “เจ้เป็นคนพูดตรงๆ จะโกรธเจ้ก็ได้นะ แต่เจ้ขอพูดตรงๆ แล้วกัน เชื่อเจ้เถอะ เจ้เป็นห่วงและหวังดีกับพวกเราทุกคนจริงๆ อะไรที่มันยังไม่เกิดก็อย่าให้มันเกิด ทุกสิ่งมันไม่ได้ง่ายไม่ได้สวยหรูแบบที่พวกเราคิดหรอกนะ เราน่ะยังเด็ก ยังไม่เห็นหรอกว่าสังคมนี้ มันไม่ได้มีพื้นที่อะไรมากมายแบบที่พูดๆ กันขนาดนั้น”

คะน้ากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทุกคำพูดนั้น คะน้ารับรู้ดีว่าพี่สาวหมายถึงอะไร สุดท้าย เขาก็ทำให้ผักกาดเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ...สุดท้าย เขาก็ผิดสัญญาที่ตั้งมั่นไว้ว่าจะไม่ทำให้ผักกาดเสียใจ

“ขอโทษครับ” คะน้าเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความสำนึกผิด หากแต่ชายหนุ่มอีกคน...

“ขอบคุณครับ”

คะน้าแทบจะสำลักขึ้นมาทันที ชายหนุ่มรีบหันไปมองต้นเสียง ทิมกำลังยิ้มน้อยๆ แล้วรินน้ำส่งให้หญิงสาวที่อาวุโสกว่าราวกับไม่ใช่เรื่องหนักหนา ผักกาดไม่ได้สนใจกับแก้วน้ำเย็นที่ส่งมาตรงหน้าเท่าไหร่นัก หากแต่กลับพิจารณามองถึงความแตกต่างของเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารอย่างสนใจ ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ทิมแล้วจ้องมองอยู่เนิ่นนาน ความนิ่งของผักกาดดูน่ากลัว

เพราะรู้ดีในความเป็นคนใจนักเลงของพี่สาว แม้จะใจดี ขี้เล่น และเผินๆ อาจดูไม่ต่างกับพี่สาวทั่วไปที่เป็นห่วงเป็นใยคนในครอบครัวราวกับแม่คนที่สอง แต่ผักกาดนั้นเข้มแข็งและเป็นเหมือนผู้หญิงสมัยใหม่ที่เก่งและทันคน บทจะพูดอะไรขึ้นมา บางครั้งก็ตรงเป็นขวานผ่าซากได้อย่างเหลือเชื่อ คะน้าจึงรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“ไม่ต้องเกรงใจกัน พูดมาเถอะ แต่ขอให้พูดความจริงทุกอย่าง” เสียงของผักกาดนิ่งเรียบจนคะน้ารู้สึกกลัว เห็นดังนั้นผู้เป็นน้องชายจึงรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนทุกอย่างจะเลวร้ายลงไป

“เจ้ ขอโทษครับ แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ และจะไม่มีอะไรทั้งนั้น” เขาจะไม่ยอมทำร้ายให้ใครเจ็บปวดอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผักกาด ...แต่ทิมไม่ใช่คนแบบแบบที่คะน้าจะคาดคิดไว้



“ผมเอาจริง”

ดวงตาของทิมมุ่งมั่น ปราศจากความขี้เล่นและยียวนแบบทุกครั้ง ผักกาดมองนิ่งแล้วปล่อยให้ความเงียบปกคลุมบรรยากาศทุกอย่างรอบตัว คะน้าถอนหายใจแล้วก้มหน้าลง ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้อย่างไร




(มีต่อด้านล่างต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อเลยนะ)




“ในที่สุดมันก็เป็นเรื่องจริงสินะ” ผักกาดเงียบไป ทิมพยักหน้ารับราวกับเรื่องปกติซึ่งเป็นเรื่องที่คะน้าไม่สู้จะชอบใจเลย

“เรากำลังจะบอกให้พี่ยอมรับกับเรื่องพวกนี้เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา ให้ยอมรับกับการที่ผู้ชายสองคนจะรักกันแบบนั้นว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องน่ะหรือ”




“มันผิดหรือครับ?”

ทิมถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นและจริงจัง เป็นคำถามง่ายๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ผักกาดจะถึงกับอึ้งไป แม้แต่ตัวคะน้าก็ชะงักไปทันทีที่ได้ยินจนอดตั้งคำถามขึ้นมากับตัวเองไม่ได้



...ผิดอย่างนั้นหรือ?

“ผ...ผิด ...ผิดสิทิม ผิดเพราะมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น ผิดเพราะมันทำให้คนที่รักเราผิดหวังและเสียใจกับเรา ผิดเพราะมันไม่ใช่...”

“ต่ายพอเถอะ” ผักกาดเอื้อมมือไปลูบมือน้องชายเบาๆ แล้วหันไปมองทิมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มันไม่ง่ายหรอกนะทิม เจ้รู้ว่าเราเป็นคนดีใช้ได้ หน้าที่การงานก็ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยพูด แต่ดูก็รู้ว่าเราก็เป็นคนเก่งไม่น้อย แต่แค่นั้นมันไม่พอหรอกนะ ความคาดหวังของคนมันหนักหนา ไม่ผิด ...ไม่ได้แปลว่าถูกจนได้รับการยอมรับเชิดชู สังคมมีคนร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีใครอยากเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างแท้จริงหรอก”

“ความรักที่ไม่มีแม้แต่กฎหมายรับรอง ไม่มีแม้แต่ธรรมเนียมการหมั้นหมายแต่งงานใดในสังคม ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีตัวตน เราจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นได้หรือ เมื่อมันไม่มีอะไรที่ยึดถือได้เลยนอกจากความรักที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นแค่ความพลั้งเผลอชั่วประเดี๋ยวประด๋าวหรือเปล่า ...เจ้รับไม่ไหวหรอก” ทิมไม่ได้พูดถ้อยคำใดๆ ออกมาอีก ชายหนุ่มได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ผักกาดขอตัวและลุกออกไปจากโต๊ะอาหารแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

“ไม่ใช่รับไม่ไหว แต่พี่ผักกาดกลัวว่าคะน้าจะรับไม่ไหวต่างหาก” ผักกาดชะงักแล้วยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู “ผมไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ไหมครับ”

คะน้าเงยหน้าขึ้นมองทิม คนอายุน้อยกว่าในตอนนี้กลับดูเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตกว่าวัยที่ควรเป็น ทิมหันกลับมายิ้มให้น้อยๆ แปลกที่มันกลับทำให้คะน้ารู้สึกใจชื้นขึ้นอย่างประหลาด ผักกาดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สักพักก็เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตูห้องลง เพียงชั่วครู่ๆ คะน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ นับจากนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ดี

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป บ้าชะมัด นายทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก”

“อย่างนั้นเหรอ” ทิมยิ้มน้อยๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กินข้าวต่อเถอะ แล้วเดี๋ยวตอนหัวค่ำก็ยกเข้าไปให้พี่เขาทานซะหน่อย” คะน้าจ้องมองทิมอย่างไม่เชื่อหู อยากจะถามออกไปว่าในเวลาแบบนี้ใครจะไปกินลง หากแต่คนตรงหน้าให้สิ่งที่ชัดเจนได้มากกว่าคำตอบ เมื่อทิมกลับนั่งทานอาหารต่ออย่างหน้าตาเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนคะน้าไม่รู้จะพูดอะไร ซ้ำยังนั่งทานไปขำไปจนคะน้ารู้สึกโมโห

“ขำอะไร”

“...น่าอิจฉานะ การที่มีใครสักคนห่วงใยเราขนาดนี้ พี่ผักกาดห่วงต่ายมากเลยนะ” ทิมวางช้อนส้อมลงแล้วยิ้มน้อยๆ “ต่ายเองก็ห่วงพี่เค้ามากไม่ใช่หรือ”

คำพูดของทิมทำให้คะน้านิ่งไป บ่อยครั้งที่ถ้อยคำประหลาดๆ ของทิมมักให้มุมมองที่แปลกใหม่สำหรับคะน้าอย่างคาดไม่ถึง แม้บางครั้งจะดูเหมือนพูดโดยความคะนอง ไม่คิดอะไร แต่บางครั้งกลับให้ความรู้สึกเหมือนคนที่คิดตรึกตรองมาอย่างถ้อนถี่ หากแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาตามนิสัย ทิมไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่คำพูดแบบไม่มีที่มาที่ไปของเขามักจุดความคิดบางอย่างของคะน้าขึ้นมาเสมอ

ค่ำวันนั้น คะน้าอุ่นอาหารให้ร้อน แล้วยกเข้าไปในห้องนอนของผักกาด ดูเหมือนว่าผู้เป็นพี่สาวกำลังนั่งใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอนที่มีเพียงแสงไฟสลัวบนโต๊ะที่พอให้แสงสว่างเท่านั้น

“เจ้กินอะไรรองท้องสักหน่อยสิ” คะน้าวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเปิดไฟในห้องให้สว่าง ในเวลาแบบนี้ รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของผักกาดนั้นบ่งบอกถึงคำขอบคุณที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยใดๆ ให้มากความได้เป็นอย่างดี ผักกาดตักอาหารขึ้นทานสองสามคำก็เอ่ยชมในรสชาติของอาหารที่ทิมทำเพิ่มไว้ให้ว่ารสชาติดี อาหารมากมายในจานพร่องลงไปเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวก็จิบน้ำเปล่าแล้วรวบช้อนส้อมในจานลง

“เอ้ย เจ้กินน้อยไปแล้วนะ อีกสักหน่อยสิ” คะน้าโวยวายด้วยความเป็นห่วง

“ต่าย ...เราน่ะรักเจ้าลิงแสมเผือกนั่นใช่ไหม?” จู่ๆ ผักกาดก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาคะน้าถึงกับรีบปฏิเสธพัลวัน

“เจ้พูดอะไรเนี่ย ไปสนใจอะไรมันเล่า อย่าคิดมากสิ ผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นให้เจ้ผิดหวังหรอก” คะน้าโวยวายเต็มที่ ผิดกับผักกาดที่ถอนหายใจแล้วระบายรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาเพราะรู้จักนิสัยของน้องชายตัวเองดี

“ถามเราไปก็เท่านั้นสินะ” พี่สาวยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วหันมายิ้มให้น้องชาย “รู้อะไรไหม เจ้ไม่ชอบหน้าไม่ถูกชะตากับเจ้าทิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้วล่ะ ไม่อยากให้เราเข้าใกล้เลย”

“รู้สิ เทียบกับอีกคนแล้ว เจ้ชอบคนแบบเรียบๆ พูดจาสุภาพ ชอบคนที่บุคลิกดูเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน เป็นผู้ใหญ่แบบตุลมากกว่าพวกกวนๆ แบบนี้แน่ๆ แต่ทิมมันก็นิสัยดีนะ ไม่มีอะไรหรอก” คะน้าพยายามอธิบายให้ผักกาดฟังว่าทิมไม่ได้เป็นคนดูเลวร้ายอะไรแบบท่าทางที่ดูไว้ตัวนั่น ผักกาดส่ายหน้าช้าๆ แล้วมองน้องชายด้วยรอยยิ้มที่ห่วงใย




“...เพราะรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกว่าเจ้านั่นจะทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ในสักวัน”

คะน้าเผยอปากขึ้นมาด้วยความประหลาดใจอย่าลืมตัว ...ทุกอย่างจะต้องเป็นแบบนี้ในสักวัน ผักกาดหมายความว่าอย่างไร

“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นคนที่ใช้การได้จริงๆ แน่วแน่ ไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด จิตใจเข้มแข็ง และเป็นคนที่ประเภทที่พุ่งชนกับปัญหาได้อย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้าย มันก็เป็นอย่างที่เจ้คิดเอาไว้จริงๆ” ผักกาดถอนหายใจเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบมือน้องชายเบาๆ “...แล้วเรากับตุลล่ะว่ายังไง”

“เฮ่ย! เจ้!!!!”

“เจ้เห็นว่าเขาจูบเราตอนที่เรานอน”

“เฮ่ยยย!!!” คราวหน้าคะน้าถึงกับอ้าปากหวอ

“ไม่ใช่ว่าเจ้รับอะไรพวกนี้ไม่ได้ แต่เจ้ไม่อยากให้ต่ายเสียใจทีหลัง เท่าที่รู้จัก ตุลเองก็เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง เรื่องแบบนี้มันไม่มีผิดหรือถูกที่ตายตัว มันมีแต่ใช่หรือไม่ใช่กับคนที่เรามองหา บอกไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร แต่มันคงเป็นเรื่องใครเข้ากับใครได้ดีกว่า”

“เฮ่ย!!! เจ้กำลังจะบอกว่าน้องชายตัวเองเป็น... เอ่อ... เป็นเกย์นะ! เจ้... ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะ เจ้...” คะน้าพยายามปฏิเสธเต็มที่ แม้ว่าจะรู้ตัวว่าการโกหกของตัวเองนั้นไม่แนบเนียน แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและสมควร หากว่ามันจะทำให้คนในครอบครัวต้องรู้สึกผิดหวังและเสียใจ หากแต่แววตาคู่นั้นของผักกาดบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คะน้าพร่ำพูดไปแม้แต่น้อย ...ลงท้ายก็เป็นคะน้าเองที่ยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น

“เรากับตุลว่ายังไง”

“ตุลไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ คงอีกนานกว่าจะได้เจอกัน” เมื่อโกหกไม่ได้ ความจริงคือทางออกที่ดีที่สุด คะน้าพยายามเลือกใช้คำกลางๆ ที่ไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธใดๆ

“อืมม... แล้วต่ายจะทำยังไงต่อไป”

“ผมไม่อยากให้เจ้เสียใจ ขอโทษที่ทำให้เจ้ผิดหวัง แต่ทุกอย่างมันจะจบเท่านี้ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้ต้องเครียดแบบนี้อีก” คะน้าพูดออกมาด้วยความรู้สึกอย่างแท้จริง เมื่อผิดก็ควรรู้ที่จะแก้ไขไม่ใช่หรือ

“เจ้รู้ว่าต่ายทำได้จริง แต่ทำเพื่อเจ้ แล้วเราจะมีความสุขจริงๆ เหรอ”

“เจ้มีความสุข ผมก็มีความสุข”

“แล้วถ้าเราไม่มีความสุข เจ้จะมีความสุขได้หรือเปล่าต่าย”






คะน้ายืนนิ่งไป ใบหน้าดูครุ่นคิดอย่างหนักจนผักกาดลอบถอนหายใจ พี่สาวยกมือขึ้นโอบบ่าน้องชายแล้วลูบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอนหัววางลงบนบ่าของคะน้าที่ตัวสูงกว่า “จริงอย่างที่เจ้าทิมพูด อันที่จริง ถึงไม่เหมือนคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้ทำผิดอะไร กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สังคมตั้งขึ้นมันก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ ...ไม่มี ก็ไม่ได้แปลว่าความรักของใครสักคนมันไม่มีความหมาย”

“เจ้อยากให้ต่ายคิดดูดีๆ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะรับเรื่องพวกนี้ได้แบบที่ปากพูดกันหรอกนะ และเจ้คงรับไม่ไหวถ้าน้องของเจ้ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ พวกนั้น ถ้าเป็นไปได้เจ้ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น” ผักกาดถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วเอื้อมมือไปลูบผมน้องชายเบาๆ แล้วยิ้มน้อยๆ

“ทำไงได้ เรามันรู้สึกกับเขาไปแล้ว”

“...เจ้”

“ไม่ได้แปลว่าเจ้รับอะไรพวกนี้ได้ไปเสียทุกอย่างหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้จะไม่มีเหตุผลจนไม่ฟังอะไร จากนี้ไป คิดจะทำอะไร เจ้อยากให้ต่ายคิดถึงผลที่จะตามมา” มือเล็กของผักกาดลูบไล้ไปมาบนผมสั้นๆ ของคะน้าอย่างแผ่วเบาด้วยความรักและห่วงใย



“และไม่ว่าต่ายจะเลือกสิ่งไหน เจ้จะอยู่ตรงนี้และคอยดูแลน้องของเจ้ให้มีความสุขที่สุด”

คะน้าโอบร่างของผักกาดแน่นด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นในใจ ผู้เป็นพี่สาวยิ้มละไมแล้วกอดน้องชายเพียงคนเดียวแนบแน่นด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ไม่ว่าเมื่อไหร่และอีกนานแค่ไหน ความรักและความเข้าใจของครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคะน้าเสมอ






ภาพในอดีตยังคงทับซ้อนกันราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นในเมื่อวันวาน ผิดที่ว่าเด็กหญิงและเด็กชายในวัยเยาว์นั้น บัดนี้เติบโตกลายเป็นหญิงสาวและชายหนุ่มที่สูงใหญ่ หากแต่ความรู้สึกในความทรงจำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

“ต่ายเอ้ย สักวันที่ลูกป๋าพบกับใครคนนั้น อย่าลืมพามาให้ป๋ากับแม่ อย่าลืมพามาให้ผักกาดรู้จักนะ”

แม้จะไม่เข้าใจในคำพูดยาวเหยียดของผู้เป็นพ่อ แต่เด็กชายคะน้าก็จดจำคำพูดทุกคำได้ขึ้นใจดั่งคำสัญญา




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ไม่ได้ลืมเรื่องที่ยังค้างคาใจหลายๆ คนนะครับ แต่ว่ามันจะค่อยๆ เฉลยออกมาทีละนิดนะ
ตอนนี้น่าจะหายอึดอัดลงไปอีกเรื่องสำหรับพี่สาวที่ห่วงใยน้องชาย
คนที่คิดถึงจันทูรออีกแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวจะเชิญมาวาดลวยลายให้หายคิดถึงนะ 5555
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กันตลอดมานะครับ บวกคะแนนคืนให้กับทุกคนนะครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า อีกไม่ช้าไม่นานครับ ก่อนลาไปขอแอบเนียนกอดทุกคนหน่อยนะครับ 555

:กอด1: :กอด1: :กอด1:


แอบหาเรื่องให้ตัวเองด้วยการเขียนเรื่องสั้นแบบไม่กี่ตอนจบอีกเรื่อง
ฝากลิงค์เอาไว้ในอ้อมใจเพื่อนๆ ทุกคนด้วยนะครับ (เน่าซะไม่มี 55555)

♣ เกลียด ♣

ข้าน้อยขอขอบคุณมากครับ  :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2013 00:48:46 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เฮ้อ โล่งใจ
อย่างน้อยก็เหมือนว่าผักกาดจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากกว่าที่คิด
ตอนนี้ก็เป็นแค่เรื่องของคนสามคนแล้วล่ะนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
รักพี่ผักกาดจังพาร์ทนี้ คือพี่ผักกาดมองออกแต่แรกแล้วสินะว่าทิมมาจีบน้องชั้นแน่
มีแต่คะน้าแหละที่มึนอึนไม่ค่อยจะรู้อะไร ที่หวงไปก็เพราะห่วงน้องทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นความสุขของน้องพี่ก็ยอม พี่น้องคู่นี้รักและห่วงใยกันมาก น่ารักมากกกก
ทิมก็เท่ห์มากนะ คือมั่นคงในสิ่งที่คิดและเป็นและเดินหน้าอย่างเดียว
ถ้ารอคะน้าตัดสินใจคงไม่ได้กันน่ะ คะน้าใจดี คิดมาก ห่วงคนอื่นเยอะไปหมด
โอ๊ย พระนางเค้าเข้าใจกันแล้วว่ารักกันจ้า ถึงคะน้าไม่พูดแต่ทิมก็เข้าใจนะ อร๊างงง  :-[
รอตาทิมรุกต่อ

ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ beautifuldead

  • wandered lonely as a cloud..
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ทิมคะน้าชัดเจน แต่ยังไม่เคลียร์เรื่องทิมตุล คืออะไรน้อ รอติดตามมม

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
พี่น้องเข้าใจกันล่ะ

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
ทิม นายแน่มาก ชัดเจนสุดๆ o13 o13

น้องต่ายมีเพื่อนอยู่บนดวงจันทร์แล้วววว :m18:......!!???

พี่ผักกาดทำใจเถอะน้าาา :m8:......สงสารน้อง

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
คนแต่งอย่ามาเนียนกอด คว้าหมับมากอดเลยเหอะ!!
ทิมถูกใจเรามาก ต้องแบบนี้สิไอ้เสือ เขี่ยหมอจืดให้กระเด็นไปเลย
พี่่สาวนี่ห่วงน้องชายเหมือนพ่อตาเลยเนอะ โชคดีที่ลูกเขยแม่งเจ๋ง เอาชนะใจลูกสาวไปแล้ว พ่อตาเลยต้องปล่อยเลยตามเลย
รอติดตามตอนต่อไปจ้ะ >3<

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ค่อยๆกระจ่างไปทีละปมแล้ว แต่กับหมอตุลนิซิ ยังติดใจอยู่น้า

pandaticket

  • บุคคลทั่วไป
โล่งใจ

พี่น้องคู่นี้น่ารัก :กอด1:

เจ๊ผักกาดเยี่ยมมากเลย o13

ตาทิมสู้ๆๆ

ตาตุลแอบไม่เคลียร์


ออฟไลน์ papa_paolo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0


รักผักกาด
รักคนเขียน


สุดท้ายรักคะน้ารักทิม  :L2: :L1: :กอด1:


 :pig4:

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
เจ๊ผักกาดน่ารักซะไม่มี

อย่าปล่อยให้รอนาน เราอยากเคลียร์เรื่อง ทิมตุล มากเลยจ้าาา #คาใจนอนไม่หลับ

MonaLis

  • บุคคลทั่วไป
กราบขอโทษพี่ผักกาดที่เผลอตัวแอบหมั่นไส้ไปติดหน่อยค่ะ -/\-
มาถึงตรงนี้.. ทิม.. นายนี่มัน.. เท่ซะ  :o8:
*ล่องลอย*

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






zerea

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ชอบทิมตอนนี้  เหมือนจะชัดเจนเรื่องคะน้าดี
แต่เรื่องของตุลก็ยังอุบไว้อีก  มีอะไรก็พูดออกมาดิ
คะน้าถามแล้วจะเลี่ยงบาลีทำไมอีก

zayreenza

  • บุคคลทั่วไป
ชอบความคิดของพี่ผักกาดตอนนี้มากๆ คนแต่งใช้คำพูดได้กินใจเราสุดๆเลยค่ะ เป็นคนที่พูดได้จริงมากๆเลย ทำเอาเราเคลิ้มตามไปเลย ฮ่าๆ ตอนนี้พี่ผักกาดเอาใจไปโลด
ปล.พึ่งคอมเมนท์ครั้งแรกค่ะ ขอโทษค่ะที่ก่อนหน้านี้แอบเงาอยู่นาน อิอิ

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
คะน้าอย่าเอาแต่ปฏิเสธอยู่เลย
ยอมรับใจตัวเองแล้วก็กล้าๆหน่อย
พี่ผักกาดยังแมนกว่าอี๊กกกกกกกกกกกกก

 :กอด1:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ก็ยังไม่เคลียร์อยู่ดี  อิอิ

RGB.__

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เห็นนาน นึกว่ายังไม่มา
ทิมมมมม แอร๊ เขิน รุกอีกสิ รุกอีก ชอบๆ  :-[

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ อย่าเพิ่งแปลกใจที่ทำไมมาไวขนาดนี้ 555555555
พอดีมีสต็อคเหลืออยู่จากช่วงก่อนที่แต่งไว้แต่ไม่มีโอกาสได้เข้าเน็ตเลยน่ะครับ
ก่อนอื่นคงต้องขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ความคิดเห็น และกำลังใจนะครับ
ขอบคุณสำหรับเพื่อนใหม่ที่แวะมาทักทายกันด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ
สำหรับตอนที่ 21 นี้ ถือว่าเป็นตอนที่ค่อนข้างยาว แต่เนื้อหาสาระไม่ค่อยจะมี 555
อยากจะเรียกว่าตอนพิเศษด้วยซ้ำ แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นว่าแตกต่างจากตอนปกติตรงไหน
ว่าแล้วก็เลยขอนับรวมเป็นตอนปกติแล้วกันครับ ฟ้าหลังฝน อ่านกันเพลินๆ แล้วกันนะ
และคงจะอยู่ในอารมณ์นี้นานพอสมควรทีเดียว ขอให้อ่านให้สนุกๆ นะครับ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ 21





รกอก รกอก รกอก รกอก รกอก โอ๊ยผู้ชายแบบนี้สอบตก ไม่อยากคบให้มันรกอก แหวะ

เสียงเพลงจากเครื่องเสียงที่ติดกระจายทั่วทั้งตลาดกระหึ่มดังขึ้นยามใกล้ตลาดวาย พร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ลุกขึ้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลง ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะคะน้ามีจิตพิสวาสในเพศเดียวกัน หากแต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นชวนให้นึกปลงสังขารขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก บางครั้ง ชายหนุ่มถึงกับตั้งคำถามตัวเองว่าเป็นเพราะเธอคนนี้หรือเปล่าหนอ ที่ทำให้คะน้านึกชอบคนเพศเดียวกันขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว



รกอก รกอก รกอก รกอก รกอก โอ๊ยผู้ชายแบบนี้สอบตก ไม่อยากคบให้มันรกอก

นับตั้งแต่เริ่มพูดภาษาไทยได้คล่องขึ้น จันทูก็เริ่มฟังเพลงไทยที่คนในตลาดเปิดฟังกันบ่อยๆ และด้วยความที่ลีลาในการเต้นไม่เป็นรองใคร โปรดอย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องของทักษะสเต็ปขั้นเทพ แต่มันคือความกล้าได้ที่ไม่มีอะไรจะเสียของจันทูที่ทำให้สาวพม่านัยน์ตา Korea ผู้นี้เป็นคนนำเต้นกายบริหารที่ลานด้านข้างตลาดเกือบทุกเย็น



เช็ดเช็ดแล้วทิ้ง เช็ดเช็ดเช็ดแล้วต้องทิ้ง เก็บไว้ชิงโชคหรือไง ใช้แล้วต้องทิ้งน่ะซิ
เช็ดเช็ดแล้วทิ้ง เช็ดเสร็จก็ต้องโยนทิ้ง ไม่เก็บเอามาใช้ใหม่ รู้เอาไว้ค่าเธอแค่นี้


จันทูเด้งหน้าเด้งหลังจนพุงกระเพื่อม เสื้อสายเดี่ยวลายงูหลามเลิกขึ้นจนเห็นสะดือจุ่นบนพุงพลุ้ย คะน้านั่งเกาหัวแกรกๆ เพราะไม่รู้จะห้ามปรามยังไง ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเรียงไข่ไก่ใส่แผงราวกับคนไม่รู้จักกัน ผิดกับเจ๊เป็ดแผงข้างๆ ที่นั่งตบมือชอบใจแล้วโยกตัวตามจังหวะเพลงอย่างมันในอารมณ์

“จะว่าไป นังจันทูนี่มันเหมือนดาราอยู่นะ นังนี่มันราศีจับขึ้นทุกวันนะโว้ย”



โพล๊ะ!!!!

เสียงไข่ไก่ในมือคะน้าหล่นแตกทันทีที่สิ้นเสียงเจ๊เป็ด จู่ๆ นิ้วมันก็หมดแรงเอาดื้อ แถมขนแขนก็ลุกซู่อย่างไร้สาเหตุ เห็นทีคงจะเพราะจู่ๆ ก็ได้ยินเรื่องตื่นตระหนกจนเสียขวัญเป็นแน่แท้ ตั้งสติปรับลมหายใจจนกลับมาเป็นปกติ คะน้าก็รีบกวาดเปลือกไข่ไปทิ้งแล้วเช็ดทำความสะอาด เจ้าของแผงค่อยๆ เหลือบสายตาไปมองคนที่หน้าเหมือนดาราตามที่เจ๊เป็ดบอก เห็นจันทูที่หน้าเหลืองไปด้วยแป้งผสมขมิ้นแบบสาวพม่าแถมส่งสายตาเซ็กซี่กลับมาให้ก็ยิ่งรู้สึกขวัญเสียเป็นอย่างยิ่ง

“พี่ญาญ่าหรา” จันทูหมุนตัวแล้วเอามือทำท่าปั๊มอก ก่อนจะเด้งป๊าบๆ ตามจังหวะเพลงเหมือนว่าถูกใจนักหนา



โพล๊ะ!!!!

เสียงไข่ไก่ในมือคะน้าหล่นแตกอีกรอบ ไม่ได้เจตนาแต่เห็นแล้วมือมันสั่นขึ้นมาเอง นึกตำหนิตัวเองที่พักนี้เป็นคนขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น คะน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วก้มหน้าเช็ดพื้นที่เดิมให้สะอาดอีกรอบ ...นี่ก็สองฟองเข้าไปแล้ว

“ไม่ใช่ๆ ชื่ออะไรนะ” เจ๊เป็ดโบกมือปฏิเสธหรา

“อ่อออ... เพ่อั้ม พัชราภาชิมิ๊ยยยยย”



โพล๊ะ!!!!

ยังไม่ทันแห้งก็ซ้ำตรงตำแหน่งเดิมที่เพิ่งเช็ดสะอาดไปแค่เพียงไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา เมื่อฟองที่สามตามมาติดๆ คะน้าจึงตัดสินใจหยุดทุกอย่างก่อนที่จะทุบไข่ไปหมดทั้งแผง

“ใครว๊า มันติดอยู่ที่ปากเนี่ย”

“ชมพู! ชมพู่ อารยา!!!” จะไม่มีฟองที่สี่ และสัญญาว่าไม่แม้แต่จะคิดหันไปมอง คะน้าเลือกที่จะหลับตาแล้วภาวนาจิต พุท-โธ พุท-โธ สักพักก็ได้ยินเสียงเจ๊เป็ดตบเข่าดังฉาดแล้วตะโกนจนลั่นตลาด





“ตุ๊กกี้!!! ใช่ๆ ตุ๊กกี้ ชิงร้อย!!!”

เสียงคนเฮลั่นตลาดราวกับเห็นด้วยโดยมติเอกฉันท์ พ่อค้าแม่ขายที่เริ่มเก็บแผงพร้อมใจกันหยุดมือชั่วคราวแล้วต่างเดินเข้ามาใกล้ๆ ทุกคนชื่นชมว่าจันทูเหมือนดาราคนดัง คะน้าถึงกับมองตาปริบๆ เมื่อเห็นจันทูยิ้มร่าด้วยความภูมิใจ สาวน้อยยิ้มกริ่มแล้วโยกตามจังหวะเพลงพร้อมกับแจกลายเซ็นให้กับลุงๆ ป้าๆ แผงข้างเคียง

“สวยช่าม๊ะเช๊”

“สวยยยยยย... ข้าชอบมาก” เจ๊เป็ดตะโกนเสียงลั่น “ไม่ใช่แค่สวยนะโว้ย สั้นๆ ป้อมๆ ดูแข็งแรง บึกบึน ทะมัดทะแมง เห็นแล้วมันคึกครื้นคึกคักเหมือนเอ็งไม่มีผิดเพี้ยน ถูกใจข้าจริงๆ อีจันทู” แม้จะงงๆ และไม่เข้าใจ แต่ใจความสำคัญอยู่ที่คำว่า ‘สวย’ ที่พ่วงด้วย ‘เห็นแล้วคึก’ จันทูจึงรีบยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

คะน้ายกมือขึ้นกุมขมับแต่ก็เผลอระบายรอยยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ชายหนุ่มไม่ได้เป็นคนที่ค้าขายเก่ง ไม่ถนัดกับงานประเภทนี้มากมาย แต่เขารักที่นี่ไปเสียแล้ว รักตลาด รักคนที่นี่ รักในน้ำใจและมิตรไมตรีที่เอื้ออาทรต่อกันและกันในทุกๆ วัน คะน้ามองสำรวจไปรอบๆ ตัว คิดแล้วก็นึกตลกตัวเอง ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ในกรุงเทพจะยังมีคนคิดอะไรบ้าๆ แบบเขาบ้างหรือเปล่า เพราะสำหรับคะน้าแล้ว ทุกคนที่นี่ เจ๊เป็ด จันทู สายใจ หรือแม้แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนในครอบครัวที่ผูกพันมากกว่าคนที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน หัวเราะเฮฮา ด่าทอกันบ่อยๆ แต่ถึงเวลาก็พึ่งพากันได้เสมอ ...ยิ้มกริ่มอยู่ได้ไม่นาน สายตาก็พาลสะดุดตากับร่างสูงโปร่งที่เด่นมาแต่ไกล แค่เพียงเสี้ยววินาที คะน้าก็จดจำได้แม่นยำ รอยยิ้มของชายหนุ่มก็ค่อยๆ เจื่อนลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

ทางค่อยๆ แหวกออกเองโดยอัตโนมัติพร้อมกับรอยยิ้มของแม่ค้าสาวๆ ที่ส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับผู้ที่มาเยือน แค่เพียงเสื้อยืดสีขาวง่ายๆ กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบธรรมดา ทิมก็ดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูก เสียงซุบซิบจากเหล่าสมาคมแม่บ้านและสาวใช้ที่มักมาเหมาของลดราคาช่วงตลาดใกล้ปิดในรอบบ่าย รวมถึงพ่อค้าแม่ขายว่าดารามาเดินตลาดแว่วดังตลอดเวลา ...กระทั่งทิมมาหยุดยืนอยู่ที่แผงของคะน้าเสียงซุบซิบก็ดูจะโหมขึ้นกว่าทุกที



...เอาเถอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือที่เจ้าของถิ่นจะต้อนรับให้เต็มที่

จันทูเดินส่ายอาดๆ เข้ามาหาทิมแล้วกระพริบตารัวๆ จนคราบแป้งเหลืองๆ ร่อนร่วงลงบนแผง หญิงสาวที่คนในตลาดขนานนามว่ามีหน้าเหมือนดาราเอาแขนเท้าบนแผงแล้วโน้มตัวเข้าใกล้ จันทูยักคิ้วให้หนึ่งทีแล้วกัดริมฝีปากล่างตัวเองเล็กน้อยด้วยท่าท่าเผ็ดร้อนราวกับกินตำปูปลาร้าพริกหนึ่งกำมือมาสดๆ ร้อนๆ ไม่เพียงแต่ทิมที่ยืนงง คะน้าเองก็งง ...คือว่ามันเต็มที่ไปไหมจันทู?

“ม่ายเจอกันนาน คิดเถิง ...ใช่ม๊ะ!?!”

ทิมกระพริบตาถี่แล้วหันไปมองหน้าคะน้าก่อนจะหันกลับมามองหน้าจันทูสลับไปมาราวกับตั้งคำถาม หากแต่คะน้าแกล้งทำเป็นไม่เห็น ทิมเลยหันกลับไปมองที่จันทูแล้วรีบส่ายหน้าน้อยๆ เชิงปฏิเสธ แต่จันทูเป็นผู้เป็น(สเลด)เซเลปของชาวตลาดมีหรือจะไม่เข้าใจในอวัจนภาษานั้น หญิงสาวกระพริบตาให้อีกครั้ง แล้วยกนิ้วชิ้ขึ้นแตะที่ปากของทิม ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ อย่างเย้ายวน

“ไม่ต้อพูดละ ข๊ะใจๆ” ...แต่อีกฝ่ายไม่ขอเข้าใจด้วย ทิมส่ายหน้ารัวๆ ด้วยอาการตื่นๆ

“ใครวะจันทู แฟนเอ็งเหรอ หล่ออย่างกับเทพบุตรดารา” ลุงพ่อค้าแผงข้างๆ รีบยื่นหน้ามาถาม ทิมหันขวับไปมองหน้าลุงแล้วเบิกตาโพลง ...ชายหนุ่มสะบัดหน้าเป็นระวิง

“บร้า... ลุงก้อ... จันทูเปนผู้ยิ๋ง เรื่องแบบเน้ ผู้ยิ๋งพูดม๊ะดี” จันทูยกมือฟาดหน้าอกทิมดังผลั่ก!!! แล้วบิดตัวเขิน หญิงสาวสวมวิญญาณนางเอกละครหลังข่าวที่ตัวเองดูเป็นประจำ “แบบแว่เจอกันแค่ม๊ะกี่คร้างเอง แต่มานก้อเปนเรื่องราวดีๆ อ่าลุง” ว่าแล้วก็เอานิ้วชี้ดึงสายเดี่ยวเสียวจะปริของตัวเองแล้วดีดดังผลั๊วะ! ด้วยความขวยเขิน ...แค่เห็นไกลๆ ไม่ประชิด ขนแขนของคะน้าก็พร้อมใจกันลุกเกรียว

ทิมหน้าตึงแล้วส่งสายตาดุมาที่คะน้า นึกขำก็ขำ นึกสงสารก็สงสาร แต่ดูจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คะน้าจึงลุกขึ้นแล้วเดินมาส่งสายตาดุจันทูให้กลับไปทำงาน ทันใดนั้น จันทูก็สะบัดหน้าพรืดกลับมาจ้องตาคะน้า แล้วยกมือขึ้นทาบกล้ามอกตัวเอง ...อันที่จริง ต้องเรียกว่าหน้าอกสินะ ...ทาบหน้าอกตัวเอง แล้วอ้าปากหวอด้วยความตกใจ

“ขุ่นแพะช่วย!!!! รึแว่... เพ่คะน้าหึง!!!!” จันทูหลับตาแล้วสะบัดหน้าไปด้านข้าง น้ำตาปริ่มรื้นในดวงตา

“จะเมคายเข้าใจม๊ะ แว่เกิดเปนจันทูมานลำบากแค่หนาย” สาวพม่าวัยขบเผาะกวาดตาไปมองทุกคนรอบข้าง “จะให้เลือกยางงาย จะให้ทำยางงาย อยากเกบเธ่อไว้ท้างสองโคน” เจ๊เป็ด ลุงแผงข้างๆ พยักหน้าตามหงึกๆ ลำพังคนที่ตามมาดูทิมก็ไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว แต่คราวนี้คนที่เดินจับจ่ายใช้สอยเริ่มเข้ามามุงมากขึ้นเพราะอยากรู้ว่ามีอะไรกันตามประสาไทยมุง ด้วยความที่เกรงใจทิม และเห็นว่าคงจะไม่ได้ความ คะน้าจึงเดินออกมาจากหลังแผงแล้วคว้าหมับที่แขนของทิม เจ้าถิ่นพาเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกอย่างว่องไว ในขณะที่จันทูยังอินอย่างต่อเนื่อง

“ม่ายต้องแย่งกัน ด้ายทุกโคน” หญิงสาวหลับตาพริ้ม แล้วสะบัดหน้ากลับมา จันทูกางแขนออกกว้างแล้วโผเข้ากอด ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาคนละฟอดใหญ่ๆ จันทูลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าแขนขวากอดกับคุณตาแก่ๆ ที่ยืนตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนด้านซ้ายเป็นสายใจ คู่ปรับตลอดกาลที่ถลนตามองจันทูแล้วอ้าปากค้าง

ทิมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคะน้าที่ลากมือมาด้วยนั้น หยุดตัวตามคนข้างหน้า เจ้าถิ่นมองซ้ายแลขวาเห็นว่าปลอดโปร่งก็ถอนหายใจ ...นี่เขาถึงกับต้องวิ่งหนีจันทูแล้วหรือเนี่ย? ขณะที่ทิมซึ่งดูจะไม่เข้าใจอะไรเลยกำลังนิ่วหน้าเหมือนตั้งคำถาม คะน้าซึ่งพอจะเข้าใจ หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นตอบ

“จำไม่ได้เหรอ” หากแต่ความนิ่งเฉยของทิมดูจะเป็นคำตอบได้ดีว่าเจ้าตัวจำจันทูที่เคยไปส่งไอศกรีมไม่ได้เลย คะน้าจึงได้แต่พูดปัดไปให้จบความ “เฮ้อออ... ผู้ช่วยน่ะ เป็นคนขี้เล่นไปหน่อย อย่าถือสาหาความเลย”

โล่งใจกับการที่ทิมยังคงยืนเฉยไม่ได้พูดอะไร ซึ่งหมายความว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ติดค้างคาใจอะไรกับความห่ามของจันทู

“เค้าเป็นสาวประเภทสองเหรอ” ทิมถามด้วยความสงสัย

“ห๊ะ!?!?!” คะน้าอุทานด้วยความตกใจ

“คนพม่านั่นเป็นสาวประเภทสองเหรอ” เมื่อฟังย้ำอีกรอบจนมั่นใจว่าหูตัวเองไม่ฝาด คะน้าก็หัวเราะก๊ากออกมา แล้วรีบบอกว่าจันทูเป็นผู้หญิงแท้ๆ คราวนี้เป็นทิมที่อุทานด้วยความตกใจเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่คะน้าเพิ่งพูดไป ได้ยินทิมบ่นงึงงำเบาๆ ว่าหน้าโหดฉิบป๋งแล้วเอามือลูบหน้าอกตัวเองไปมา คะน้าก็ได้แต่กลั้นหัวเราะไม่ให้มันมากเกินไป กระทั่งตั้งสติได้ คะน้าจึงเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งไม่ทุกข์ร้อนด้วยความสงสัย

“ว่าแต่ลมอะไรหอบมาเดินตลาดได้ล่ะเนี่ย มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ทิมมองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาคะน้าที่เป็นคนตั้งคำถาม

“พามาที่นี่ทำไม” นอกจากจะไม่สนใจจะตอบคำถามแล้วยังเป็นฝ่ายถามกลับจนคะน้าระอา แต่ก็นั่นแหละ เขาชินซะแล้ว คะน้าส่ายหน้าไหวๆ ไม่รู้จะตอบอะไร ทิมจึงทำหน้าหงุดหงิด ชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ถอนหายใจแล้วเดินไปหลบแดดที่ใต้ร่มไม้เล่นเอาคะน้ายืนเซ็งกับความเป็นคุณชายของทิม เป็นวิศวกรประสาอะไรไม่สู้แดดเอาเสียเลย คะน้าจึงเดินตามทิมไปที่ใต้ร่มไม้ที่ด้านข้างตลาด

“แล้วมีธุระอะไรหรือเปล่าถึงมาที่แผงน่ะ” ทิมหันมามองแล้วส่ายหน้าหนึ่งครั้ง เล่นเอาคะน้างง “อ้าว แล้วเดินมาหาทำไม”

“ชั่วโมงสองชั่วโมง เดินเล่นไปเรื่อยๆ บังเอิญ ...เจอ” คะน้าเหล่มอง เดินเล่นชั่วโมงสองชั่วโมงเนี่ยนะ เป็นคำตอบที่หาสาระไม่ได้เลย แต่กระนั้นก็สะกิดใจคนฟังอย่างประหลาด ...ถ้าไม่นับเหตุการณ์เมื่อวันก่อน แทบจะไม่มีสักครั้งที่ทิมตอบคำถามที่ชวนคุย เกือบทั้งหมดจะเป็นคำถามกลับแบบไม่สนใจคำถามที่ได้ยินสักเท่าไหร่

“ไม่ต้องขายของแล้วหรือ” ลงท้ายก็ป้อนคำถามกวนประสาทกลับทุกที ...บางทีอาจจะเป็นคะน้าที่คิดมากไปเอง

““ของขายจะหมดอยู่แล้ว ตลาดก็ใกล้จะวายแล้ว ป่านนี้จันทูคงเก็บแผงหมดแล้วล่ะ” พ่อค้าหนุ่มตอบไปตามประสา ส่วนทิมก็พยักหน้าส่งเสียงอืมเบาๆ ในลำคอแสดงอาการรับรู้

พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ ฤดูหนาวที่ยังคงร้อนอบอ้าวไม่ต่างอะไรกับฤดูอื่นๆ นั้นดูจะมีสิ่งเดียวที่บอกว่าเป็นหน้าหนาวคือท้องฟ้าจะมืดเร็วกว่าวันธรรมดาทั่วไปเล็กน้อย โชคดีที่วันนี้ลมไม่แรง ไม่อย่างนั้นฝุ่นคงปลิวว่อนเลอะไปทั้งตัว กลิ่นอายอ่อนๆ ของต้นไม้ที่อาบแสงแดดมาทั้งวันโชยเอื่อย คะน้าหันไปมองทิมที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วลอบมองอย่างพิจารณา ความรู้สึกของทิมนับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันจนกระทั่งถึงวันนี้นั้น ดูไม่เปลี่ยนไปเลย อะไรบางอย่างในตัวทิมยังให้ความประทับใจทุกครั้งที่เห็น และมันไม่ได้ลดน้อยลงไปจากการพบเจอ ตรงกันข้ามที่คะน้ากลับได้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ที่น่าสนใจในตัวทิมอยู่เสมอ ทิมเป็นคนฉลาดและเติบโตกว่าวัย วิธีรับมือกับปัญหาของทิมในวันก่อน ไม่ใช่แค่เพียงแต่ผักกาดที่ชื่นชม แต่ทิมทำให้คะน้าอดที่จะทึ่งไม่ได้ ทิมเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนมองข้าม สุขุม และเป็นคนลึกซึ้ง หากแต่บางครั้งก็ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กชายที่ตัวโตขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจ ชอบกวนประสาท และก้าวร้าวในบางที ทิมเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่บางทีกลับดูเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างบอกไม่ถูก แววตาที่มุ่งมั่น ไม่เคยหวั่นไหวคู่นั้น บางครั้ง ...แค่บางครั้ง ...เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที คะน้ากลับมองเห็นความอ่อนแอ เปราะบาง เห็นความเหงาที่ซุกซ่อนอยู่ลึกๆ ภายใน

กลิ่นใบไม้และเปลือกไม้ที่อาบแสงแดดอุ่นๆ ภายใต้เงาที่ร่มรื่นนั้น พาลให้คิดถึงใต้ร่มไม้ที่คะน้าเคยนั่งกับทิมในวันแรกๆ ที่รู้จักกัน ...น้ำส้มคั้นเย็นๆ ...นึกถึงทีไรก็ให้ความรู้สึกที่ดี ผ่านมาเนิ่นนานแม้ว่าเขาจะเข้าใจอุปนิสัยใจคอของทิมมากขึ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง กลับไม่เคยมีสักครั้งที่คะน้าจะคาดเดาความรู้สึกของทิมถูก

ถ้าหากแม้ว่าเขาจะเอะใจในแววตาคู่นี้ที่เอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าตลอดเวลานั้น ถ้าเพียงแต่เปิดใจมองอะไรๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาคงจะมองเห็นเช่นเดียวกับสิ่งที่ผักกาดมองเห็นตลอดมา ทิมก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ร่างสูงโปร่งนั้นยืนนิ่งและทอดสายตามองไปข้างหน้าดั่งเช่นทุกๆ คราที่คะน้ามองเห็น ไม่ค่อยจะมีคำพูดหวานเพราะชวนฟังสักเท่าไหร่ และแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่เคยหันมามอง หรือแม้แต่จะใส่ใจอะไรรอบตัวอย่างที่เห็น

แต่ไม่ว่าอย่างไร ...สิ่งหนึ่งที่ทิมทำเสมอก็คือการอยู่ตำแหน่งตรงนี้ ...ตรงนี้ ...ข้างๆ กับคะน้า

“เลิกงานแล้วหรือ” คะน้าถามขึ้น หากแต่คนที่ยืนข้างๆ มอง แต่ไม่ได้ตอบอะไร “ตลาดกำลังจะวาย ถ้าจะเดินเล่น คงต้องรีบแล้วล่ะ” ว่าแล้วคะน้าก็ทำท่าจะชวนทิมเดินกลับเข้าไปในตลาด วิศวกรหนุ่มกลับส่ายหน้าเล็กๆ แล้วยังคงนิ่งเฉยอยู่ใต้ร่มของเงาไม้ต่อจนคะน้าเริ่มแปลกใจ

“แล้วมาตลาดทำไมล่ะเนี่ย” คะน้าพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง หลายครั้งที่คะน้าก็ยังไม่เข้าใจทิม

อันที่จริง เขาก็ไม่ได้เป็นคนเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์อะไร แต่มันก็ตลกดี หลายเดือนก่อนพี่อ้อยบอกว่าไพ่ The Chariot อาจหมายถึงคนที่ทำอาชีพวิศวกร ไพ่ราชาถ้วย อาจหมายถึงคนที่ทำอาชีพหมอ ทั้งสองคนอาจเข้ามาในชีวิตเขาและทำให้อะไรๆ มันปั่นป่วน หรือแม้แต่ครั้งที่สอง ที่เขาถามว่ามันจะสิ้นสุดอย่างไร พี่อ้อยกลับบอกว่าลึกๆ แล้วนั้น เขาเลือกไปตั้งแต่แรกแล้ว ...เพียงแต่ไม่รู้ตัว



...ไพ่ 6 ถ้วยหมายถึงการมีความรักกับคนที่อายุน้อยกว่า

คะน้าอมยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วขำให้กับความไม่ประสาของตัวเอง ถ้าแม้ว่าเขาพอจะเอะใจ ถ้าแม้ว่าเขาฉลาดพอจะเข้าใจ อะไรๆ มันคงไม่ยุ่งวุ่นวายแบบนี้ และถึงแม้ว่าวันนี้จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงเริ่มจะพอเข้าใจอะไรทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่อะไรๆ มันก็ดูวุ่นวายเกินไป

โชคดีเหลือเกินที่เติบโตมาในครอบครัวของป๋ากับแม่ โชคดีที่มีพี่อย่างเจ้ ทุกๆ คนทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีขนาดไหนที่เติบโตขึ้นมาด้วยความรักและเอาใจใส่แบบนี้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะอยู่กับเจ้ที่กรุงเทพแค่สองคนพี่น้องและต้องห่างกับป๋าและแม่ ...แต่มันดีแค่ไหนที่ในใจพวกเราทุกคนมีกันและกันแบบนี้ แม้ว่าเจ้จะสมัยใหม่พอยอมรับในสิ่งที่หลายๆ คนในสังคมนี้อาจรับไม่ได้ ...แต่ป๋ากับแม่ คะน้าไม่อยากให้ป๋ากับแม่ผิดหวังในตัวของเขาเลย ไม่อยากให้เจ้ต้องรู้สึกผิดกับตัวเองที่ดูแลน้องชายบ้าๆ คนนี้ไม่ดีพอที่ป๋ากับแม่ไว้วางใจ

คนที่เกิดมาคู่กับเราน่ะเหรอ... คะน้าหันไปมองทิมอย่างเต็มตา บางที คนๆ นั้นอาจยืนอยู่ข้างๆ เขานี่ก็ได้ อยู่ใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เจือกับเหงื่อที่ซึมอยู่กลางแผ่นหลัง มือกว้างนั้นห่างกันไม่ถึงเซนติเมตรด้วยซ้ำ นึกอยากจะเอื้อมมือไปกุมกับคนที่ยืนข้างๆ อยากบอกว่าตอนนี้เขาดีใจแค่ไหนที่ในที่สุดก็ได้เรียนรู้คำว่ารักได้อย่างเข้าใจ และดีใจแค่ไหนที่ทิมเองก็ให้ความรู้สึกนั้นกับเขาเช่นกัน

ขอบคุณ ...ขอบคุณจริงๆ





(ยังมีต่อด้านล่างนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ครึ่งหลังครับ)



“ถามก็ไม่ตอบ พิลึก” คะน้ายิ้มน้อยๆ แต่ก็บ่นอุบถึงการปรากฏตัวของทิม แต่ชายหนุ่มเอาแต่นิ่งเฉยไม่ทำอะไรสักอย่าง แถมยังหันมาส่งสายตาหงุดหงิดใส่อีกคำรบ “ว่างมากไปเปล่า อินดี้ใช่ไหม มาติสต์ๆ เท่ๆ ที่ตลาดสดให้สาวๆ กริ๊ดเล่นๆ หรือไงกัน”

“ไม่ถามสักเรื่องจะขาดใจไหม?” ทิมหันมาส่งเสียงดุ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปมหนาบนใบหน้าที่ฉาบไปด้วยระเรื่อสีของแดดยามเย็น

“ก็นะ” คะน้าถอนหายใจพรืด จะว่าไปมันก็เรื่องส่วนตัวของทิม ไม่รู้ว่าตัวเองจะพลั้งเผลอไปก้าวก่ายทำไม เสียงถอนหายใจของคะน้าทำให้ทิมหันกลับมามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนจะเริ่มทำท่าลุกลนประหลาด

“ก็ ...รอ” เสียงพูดราวกับรำพึงกับตัวเองดังแว่วในอากาศที่บางเบา แม้ว่าจะฟังดูชอบกลและค้างคาไม่รู้เรื่อง หากแต่คะน้าตัดใจไม่คิดจะไปก้าวก่ายใดๆ กับเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายให้หงุดหงิดใจอีก ว่าแล้วจึงขอตัวลาจากทิมเพื่อกลับบ้าน

“งั้นขอตัวกลับก่อนนะ” คะน้าหันไปลาแล้วก็เดินดุ่มๆ จากไปโดยไม่คิดจะฟังว่าคนตัวสูงเป็นเสาไฟฟ้าจะโต้ตอบอะไร

ทว่าเสียงฝีเท้าที่ดังกรอบแกรบอยู่เบื้องหลังทำให้คะน้าหันกลับมามอง ดูเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ที่อยู่ๆ ทิมก็เดินตามเขามาหน้าตาเฉย นึกโมโหอยากจะด่าว่าจะมาเพื่อกวนประสาทกันไปถึงไหน แต่นึกแล้วก็ไม่อยากจะสู้รบปรบมืออะไร หลายวันมานี้ เขาเองก็เหนื่อยและหนักมาพอแล้วกับอะไรมากมาย คะน้าอยากจะพักและพยายามไม่สนใจ หากแต่ทิมกลับเร่งฝีเท่าขึ้นมาเดินข้างๆ แล้วเดินคียงกันไปเรื่อยๆ จนจวนจะถึงที่จอดรถ

“อะไรอีกล่ะครับ” คะน้าลอบถอนใจเบาๆ แล้วหันกลับมาด้วยความจำนน ยอมแล้วทุกอย่าง ไม่อยากจะผิดใจอะไรกับใคร ยิ่งลึกๆ นั้นรู้ดีว่าทิมคือคนที่ตัวเองรู้สึกมากมายขนาดนี้ด้วย ยิ่งแล้วใหญ่

“ก็จะกลับบ้านแล้วไม่ใช่หรือไง” ทิมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มออกอาการหงุดหงิดโดยไม่ปิดบัง

“เออ ก็จะกลับเนี่ย” คะน้าถอนหายใจเซ็งๆ นึกหงุดหงิดกับตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปรู้สึกพิสวาสกับคนแบบนี้ได้ยังไง ว่าแล้วก็เดินดุ่ยๆ ไปที่รถตัวเอง แต่แรงรั้งที่ข้อมือเหนี่ยวให้ไม่ไปไหน

“ก็มาสิ” ทิมส่งเสียงด้วยความขัดใจ

“อะไร” คะน้าหันมาตั้งคำถามด้วยความงง นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว ทิมยังจูงมือคะน้าเดินไปอีกทางจนเจ้าตัวบ่นด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ “อะไรเล่า”

“ก็... มารับ” ทิมเงยหน้าแล้วเสมองไปด้านอื่น เสียงทุ้มนั้นเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก ผิดกับมือที่กุมเกาะจนแน่นกระชับราวกับกลัวจะหนีหายไปไหน คะน้ามองมือของอีกคนที่เกาะกุมฝ่ามือของตัวเองแน่น รู้สึกว่าระบบหัวใจของตัวเองจู่ๆ ก็ทำงานหนักขึ้นมาอย่างประหลาด



“...กลับบ้านกัน”




“...แต่”

คะน้าแย้งขึ้นมาด้วยเสียงที่ดูจะแผ่วกว่าทุกครั้ง ไอ้แก่ของเขาจอดอยู่ที่นี่ จะให้ทำยังไง แต่เมื่อเผชิญกับสายตาคู่นั้น ดูเหมือนถ้อยคำมากมายที่อยากแจกแจงก็กลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ เพิ่งรู้ว่าดวงตาคู่นั้นมันเล่นกลได้ สายตาที่มองเห็นนั้นไม่ได้ออกคำสั่งอย่างก้าวร้าวแบบที่เคยคุ้นตา มันดูเป็นแววตาที่ทอแสงอ่อนโยนราวกับจะร้องขอจนคะน้าไม่รู้จะปฏิเสธยังไง




“...กลับกันนะ”


นึกอยากจะตบหัวตัวเองให้คะมำ สัญญาไม่เป็นสัญญาสักครั้ง ตั้งใจอะไรไว้ ไม่รู้ทำไม ถึงเวลาไม่เคยทำได้อย่างที่วาดหวังไว้สักที เครื่องปรับอากาศในรถเมอร์เซเดสเย็นฉ่ำ เบาะหนังสีครีมที่นุ่มราวกับจะดูดซับความเมื่อยล้าจากชีวิตประจำวันไปหมดสิ้น  ทว่าหากปราศจากเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พาหนะคันใหญ่คงเหมือนกับรถที่ไม่มีคนนั่งอยู่ เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งนิ่งๆ และผลัดกันลอบมองอีกฝ่ายไปมา หลายครั้งที่สายตาทั้งคู่มาประสานกันโดยบังเอิญ หากแต่ต่างฝ่ายต่างก็รีบเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ...ทั้งๆ ที่เมื่อวันก่อน ยังเถียงขึ้นมึงขึ้นกูไม่ยอมกันอยู่เลย

“เดี๋ยวจะให้คนมาเอารถให้ เข้าใจไหม” เป็นทิมที่เลือกจะเป็นฝ่ายทำลายกำแพงแห่งความเงียบก่อน คิดแล้วก็หน่ายใจ ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแต่กลับออกคำสั่ง หรือไม่ก็สอนเขาประหนึ่งคะน้าเป็นเด็กน้อยทุกครั้งไป

“ครับ ขอบคุณนะ” แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองก็บ้าจี้รับคำแบบนี้ไปเสียบ่อยครั้ง

“เราน่ะเลิกขับรถได้แล้วรู้ไหม เห็นหรือเปล่าว่ารถมันติดเต็มถนน” ทิมหันไปมองคะน้าราวกับเป็นความผิดที่ทำให้รถติดขัดเต็มท้องถนนได้อย่างหน้าตาเฉย คะน้าถึงกับต้องหันขวับกลับมาจ้องหน้าอุทธรณ์คนที่ขับรถอยู่

“แต่บางที ผมก็ต้องไปทำธุระที่ไหนๆ บ้าง” มันใช่เรื่องไหมที่จู่ๆ ทิมจะมาพิพากษาว่าเป็นความผิดเขาแบบนี้ และที่สำคัญตอนนี้ เขาก็นั่งอยู่บนรถของทิมด้วยซ้ำ

“ก็เอาไว้บอกล่วงหน้าสักวันสองวันแล้วกัน มันน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ แล้ววันไหน ถ้างานผมยังไม่เสร็จก็รอหน่อย” ทิมหันมาแย้งก่อนจะชะงักตัวไปเล็กน้อยเมื่ออีกคนจ้องเขม็ง “ม..มองอะไร กระจกอยู่ข้างหน้า มองทางไปนู้น”

คะน้าอ้าปากค้าง ทิมตีเนียนแล้วยังเกรียนแตกได้อย่างเหลือเชื่อ “แต่ผมไม่ได้ขับรถอยู่นะ”

“ก็ช่วยกันมอง คิดจะเอาเปรียบกันใช่ไหม” ทิมหันมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทิมคิดจะทำอะไรอยู่ แต่หูแดงๆ กับท่าทางแบบนั้น มันก็ยากที่จะอดนึกสนุกไม่ให้ต่อปากกลับไหว

“ก็...”

“เงียบ! ไม่ต้องพูดแล้ว เสียสมาธิ ตกลงตามนี้”

หากแต่คนอายุน้อยกว่านั้นเกรียนกว่าจะคาดคิด ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถึงไหน ทิมก็รีบรวบรัดตัดความจนคะน้าที่ถึงกับค้างเติ่งเพราะไปต่อไม่ถูก ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่รถจะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าในเขตคอนโด

และทันทีที่รถจอดนิ่งสนิท คะน้าก็จ้ำอ้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณทิมให้พอเป็นพิธี พอออกห่างจากทิม กำลังใจก็กลับมาอีกครั้ง ความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นยังคงอยู่ ไม่กี่นาทีในรถเล่นเอาคะน้านึกอยากจะล้มเลิกความตั้งใจเป็นร้อยครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกหวั่นไหว ยิ่งยากกับตัวเองทุกวันที่จะห้ามใจไม่ให้รู้สึกอะไรกับทิม ใจมันสั่นทั้งๆ ที่ทิมไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แต่บทเรียนจากความผิดพลาดกับตุลนั้นมันหนักหนา ยังไงคะน้าก็ยังมีความรู้สึกว่าคงผิดกับตุลมากมาย ถ้าหากไม่กี่วันที่ลดสถานะเหลือแค่ความเป็นเพื่อนแล้วเขาจะกลับมาสดชื่นรื่นเริงกับทิมแบบนี้ ไหนจะสิ่งที่ผักกาดเป็นห่วงอีก คะน้าตั้งมั่น ...นับจากนี้ จะไม่เผลอหวั่นไหวอะไรกับคนเพศเดียวกันอีก ถ้าจะมีแฟนกับเขาสักคน ชายหนุ่มหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นผู้หญิงน่ารักๆ สักคนให้ป๋าและแม่ ให้เจ้ผักกาดได้เบาใจ แต่การจะบรรลุธรรมนั้น ย่อมต้องมีมารผจญ ยิ่งเป็นจอมมารในคราบของคนที่ยืนล็อคกุญแจรถอยู่นั้นยิ่งนักหนา

“รอขึ้นไปด้วยกันเลยสิ วันนี้พี่ผักกาดไปงาน คงกินกันสองคนที่ห้อง”

กินกันสองคนที่ห้อง ...ไม่ได้คิดไปไกลนะ แต่คำพูดบ้าบออะไรจะกำกวมได้ขนาดนั้น แต่เอาไว้ก่อน ประเด็นคือไปสนิทสนมกับเจ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขนาดรู้ว่าจะไปไหนๆ ทั้งที่น้องชายแท้ๆ อย่างคะน้ากลับไม่รู้แม้แต่น้อย ...หรือว่าจะอำ? คะน้าหลิ่วตาด้วยความเคลือบแคลง

“ลองโทรไหม” อาการที่หน้าคงจะออกไม่น้อย คนที่เห็นจึงหยิบโทรศัพท์ตัวเองยื่นมาตรงหน้าจนแทบจะทิ่มลูกตาแบบนั้น ลองถ้าทิมลงทุนทำขนาดนี้แปลว่าคงได้คุยกับผักกาดแล้วจริงๆ คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง อะไรทำให้คนแบบทิมเปิดเผยความรู้สึกตัวเองกับเจ้ได้ขนาดนั้น แล้วอะไรที่ทำให้ผักกาดก็ไปเสวนาพาทีตอบเสียราวกับสนิทสนมมานาน






คะน้ายังนึกแปลกใจที่สุดท้ายก็เดินตามทิมขึ้นมาง่ายๆ ทั้งที่การจะแยกตัวไปซื้ออาหารทานเองแบบที่ผ่านๆ มาก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย เมื่อมาถึงห้อง ทิมก็หายตัวเข้าไปในครัวพร้อมบอกว่าขอเวลาสำหรับทำอาหารจานเดียวง่ายๆ มากินประทังความหิวไปอีกมื้อ คะน้าไม่ได้เดินสำรวจความยิ่งใหญ่ของเพนท์เฮาส์ที่กว้างขวางของทิม หากแต่เลือกจะนั่งลงที่โซฟายาวสีอ่อนในห้องรับแขกซึ่งกรุรอบด้วยชั้นหนังสือขนาดใหญ่แทนผนังกั้น ห้องของทิมก็เช่นกัน ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างกับผู้เป็นเจ้าของเท่าไหร่ แม้ว่าคะน้าจะเคยมาบนนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ขึ้นมา ก็ให้ให้ความรู้สึกประทับใจในความหรูหราตระการ ติดจะทึ่งที่ลำพังแค่ห้องกินข้าวก็ใหญ่กว่าพื้นที่ของมาสเตอร์รูมบวกกับห้องนอนของคะน้าและผักกาดรวมกันเสียแล้ว

เจ้าของห้องโผล่ออกมาอีกครั้งกับอาหารฝรั่งจานโตขนาดทานคนเดียวคงยากจะหมด เพิ่งจะรู้ว่าสำหรับทิมแล้ว สปาเก็ตตี้คาร์โบนาราซอสจัดอยู่ในหมวดของอาหารทำทานง่ายๆ เพื่อประทังชีวิต เพราะเท่าที่คุ้นเลาๆ ดูเหมือนว่าจะต้องแยกเอาเฉพาะไข่แดงล้วนๆ ตีเข้ากับวิปปิงครีม และชีสเพื่อมาทำตัวซอส ซึ่งยังไม่นับรวมกับการผัดเบคอนที่หั่นเป็นชิ้นจิ๋วให้กรอบหอม แต่ก็เอาเถอะ จะบ่นอะไรในเมื่อตัวเองก็ทำไม่เป็น ที่ห้องรับแขก ทิมวางสปาเก็ตตี้จานโตลงตรงหน้าของคะน้า ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องเลือกที่จะทานแบบง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรองจริงๆ จึงเลือกที่จะสำเร็จโทษความหิวบนโต๊ะรับแขกที่นี่ ไม่ใช่บนโต๊ะอาหารแบบที่ควรจะเป็น ทิมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้ววางอุปกรณ์ต่างๆ ช้อนก็มี ส้อมก็มี แม้แต่เกลือหรือพริกไทยดำ ทิมก็ยังอุตส่าห์ยกลงมาวางให้จนครบ แต่มันยังขาด ...มันขาดอะไรไปบางอย่าง



...ทำไมถึงมีแค่จานเดียว?

“เป็นผู้ชาย หัดกินให้ง่ายอยู่ให้ง่าย มีช้อนมีส้อมก็กินไป เครื่องปรุงก็มีให้แล้ว เห็นไหม?” ทิมโวยวายโหวกเหวกเมื่อเห็นคะน้าจ้องมองอาหารจานโตตรงหน้าแล้วหันมาทำตาเขม่น

กินง่ายอยู่ง่ายเหรอ ข้าวเปล่าร้อนๆ กับไข่ดาวหนึ่งฟองก็กินได้ แม้แต่ข้าวคลุกน้ำปลา คะน้าก็ไม่เกี่ยง แต่ไอ้สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าอุดมไปด้วยแฮมและเบคอนสุดหรูนี่มันไปด้วยกันกับการกินง่ายอยู่ง่ายของคุณทิมไหม?

...ไม่ให้กูกินช้อนส้อมเดียวกันไปเลยล่ะ หืมม?

คะน้าหันไปส่งสายตาเขม่นเข่นเขี้ยวใส่ แน่นอนว่าเจ้าตัวทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่แบบทุกครั้ง เห็นส้อมแหลมๆ ในมือแล้วนึกอยากจะหันไปจัดการความเจ้าเล่ห์แทนที่เป็นอาหารหอมกรุ่นตรงหน้า หากแต่กลิ่นหอมๆ ของอาหารฝีมือทิมไม่เคยปรานีใคร แม้แต่เจ้ผักกาดที่อยู่ในอารมณ์หดหู่สุดๆ ยังต้องปราชัย แล้วกระต่ายผู้หิวโหยอย่างคะน้าจะมีอะไรเหลือ ทันทีที่คำแรกเข้าปาก คะน้าก็แทบลืมทุกอย่าง ความรู้สึกที่ว่าอาหารไทยของทิมอร่อยแล้วนั้น เทียบกับฝีมือของทิมในอาหารฝรั่งแล้ว รสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย อาจจูดได้ว่าเทียบชั้นกับร้านอาหารชื่อดังในย่านสุขุมวิทได้ด้วยซ้ำ


...คำแรก ลืมความหิว
...คำที่สอง ลืมรสชาติอาหารกล่องไมโครเวฟที่ฝากท้องประจำ
...คำที่สาม ลืมไปได้เลยร้านอาหารหรูหราไหนๆ ก็ตามที่เคยทานมา
...คำที่สี่ ชักจะลืมในความชิดใกล้ แขนชิดแขน หัวไหล่เบียดหัวไหล่

...และคำต่อๆ ไป ก็ลืมไปหมดแล้วซึ่งปณิธานที่หมายมั่นไว้ในใจ




“คำสุดท้าย แฟนหน้าตาดีเว้ยยย!”

ถึงแม้ว่าจะไม่เคยชนะทิมใสๆ ในสักเรื่อง แต่เรื่องกินคะน้าไม่เคยแพ้ใคร นัดล้างตาจากร้านอาหารฝรั่งเศสนั้นต้องมีเคลียร์ แน่นอนว่าผลเป็นยังไง มันก็เห็นๆ กันอยู่ ...คำสุดท้าย อร่อยกว่าคำไหนๆ คะน้าเอานิ้วโป้งปาดริมฝีปากตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยในชัยชนะ แล้วหันไปยักคิ้วให้กับทิมเป็นการโชว์เหนือ

...อีกฝ่าย ยักคิ้วกลับเช่นกัน แถมยิ้มตาพราวซะปากจะฉีกไปถึงหู





“คำสุดท้ายนั่น...” ทิมยกมือขึ้นตบบ่าคะน้าเบาๆ “ขอบใจมากนะ”


...อึ้ง

...เรียกว่าอึ้ง

...คะน้าอึ้งไปสักห้าวินาทีกว่าจะพอเริ่มจับทางในความนัยนั้นถูก คนอายุมากกว่าเริ่มตีโพยตีพาย นึกย้อนเวลาได้จะไม่เปิดช่องให้ทิมย้อนคืนได้ คิดแล้วก็อยากจะเอานิ้วล้วงคอให้สำรอกคำสุดท้ายนั้นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

“เดี๋ยว! ไม่เคยบอกเลยนะ อย่ามาตู่เว่ย!!!” คะน้าโวยวายออกมาอย่างเสียรู้ ร้อนวาบไปทั้งหน้า รู้สึกทั้งโมโหตัวเอง โมโหทั้งเพทุบายของอีกฝ่าย น่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่พูด ทิมที่ทำท่าจะขโมยตัก ทำไมจู่ๆ กลับกลายเป็นแกว่งส้อมวนเล่นในอากาศแล้วผิวปากเล่นเอาเสียดื้อๆ

“บอกอะไร” คนอายุน้อยกว่าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“บอกว่าเป็นแฟ...” คะน้าชะงักกึก! อีกแล้ว! เกือบไปแล้ว!!! “โว้ยยย! แล้วมึงขอบใจเรื่องอะไรเล่า” ทิมหันมาทำตาดุใส่ “ก็... ก็แล้วพูดจู่ๆ ขอบใจเรื่องอะไรล่ะ หมายถึงอะไร...ครับ” ปลายประโยคเติมขึ้นมาหลังจากเห็นตาดุๆ คู่นั้น คนที่อยู่ตรงหน้าพยักหน้าหงึก

“ขอบใจที่กินจนหมด จะได้เอาจานไปล้างเสียที” ทิมยักคิ้วแล้วยกจานขึ้น รอยยิ้มเล็กๆ แอบกระตุกขึ้นที่มุมปาก ยิ่งมองก็ยิ่งขัดใจ “ว่าแต่คิดว่าอะไรล่ะ ไหนจะพูดว่าอะไร พูดมาให้จบสิ รอฟัง”

เคยมีคนพูดกับคุณมึงไหม ว่าคุณมึงเป็นคนที่กวนประสาทมาก เจ้าเล่ห์สุดๆ  ห่านเอ้ย! มึงไม่ต้องมายิ้มหวานใส่กูเลยนะไอ้ทิม เดี๋ยวมึงจะโดนเหนี่ยว! คะน้ากระฟัดกระเฟียด ทั้งหมดก็ได้แต่คิดในใจ



“ว่าไง?”

“อะไรอีก ไปล้างจานก็ไปล้างไป” โดนคนหงุดงหิดไล่ ทิมก็ส่งยิ้มหวานให้อีกครั้งแล้วเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องครัว คะน้าลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ กระนั้นก็ไม่วายเอามือลูบพุงที่แน่นของตัวเองป้อยๆ อย่างไรก็ตาม มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยมากๆ ในหลายวันที่ผ่านมานี้จริงๆ ...แต่ขอโทษที ไม่มีมิตรแท้ในสนามรบ เสร็จมื้ออาหาร ปณิธานที่หมายมั่นก็กลับคืนมาใหม่

“กลับก่อนนะ ขอบใจมาก” คะน้าส่งเสียงไปทางห้องครัวแล้วเดินไปกดลิฟต์ เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีเสียงปิ๊งก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ขยับเปิดออก คะน้ายิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี รู้ดีว่าทิมคงจะไม่พอใจอยู่ไม่น้อยแน่ๆ ที่จู่ๆ คะน้าก็ชิ่งหนีมาแบบนี้ ม่านเหล็กอลูมิเนียมขัดเงาซึ่งกรุไปด้วยไม้ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดจนแนบแน่นก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวลงสู่เบื้องล่าง คะน้าผิวปากอย่างอารมณ์ดี



...อยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องของตัวเองที่ชั้นสามสิบสองด้วยความสุขใจอย่างเป็นที่สุด เปิดประตูเข้าห้องไปก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผักกาดนั่งอยู่กับกองเอกสารพะเนินที่โต๊ะกินข้าว ด้านข้างมีกล่องอาหารไมโครเวฟจากร้านสะดวกซื้อที่พร่องลงไปครึ่งหนึ่ง ผักกาดเงยหน้าขึ้นมามองน้องชายแล้วเอ่ยทักทาย

“เจ้! กลับมาถึงเมื่อไหร่เนี่ย” ผักกาดเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้างให้กับน้องชาย

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยังน่ะต่าย วันนี้ที่ตลาดวุ่นเหรอ กลับซะดึกเชียว”

“แล้วเจ้ไม่ได้ไปงานกลับบ้านดึกเหรอ”

“เปล่านี่ ถึงแต่เย็นแล้ว เจ้แค่เอางานกลับมาทำที่บ้านเอง”

หญิงสาวก้มหน้าทำงานต่อ หากแต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ดังกว่าทุกครั้งทำให้ผักกาดเงยหน้าขึ้นมามองน้องชายที่เดินหน้าบอกบุญไม่รับซึ่งเพิ่งเดินผ่านไป ไม่บ่อยที่คะน้าจะมีอาการแบบนี้ ...นับครั้งได้ นับได้จริงๆ เพราะน้อยมากๆ ผักกาดลองครุ่นคิดถึงสาเหตุ สักพักก็พอจะเริ่มคาดเดาปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ชนิดที่ว่าไม่ใช่ก็คงจะใกล้เคียง หญิงสาวหัวเราะพรืดออกมาลั่นจนต้องยกมือขึ้นปิดปากแล้วพยายามอดกลั้นจนเป็นยิ้มน้อยๆ ออกมา ผักกาดเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พักความเหนื่อยล้าจากงาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้าต่างบานใส พระจันทร์บนท้องฟ้าสว่างนวลตา ตั้งแต่เด็กจนถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้ คะน้ามักพูดอยู่เสมอว่ามีกระต่ายอยู่บนดวงจันทร์  ...ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าสงสารนะ เพราะมันคงต้องอยู่ตัวเดียว




หญิงสาวจ้องมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าแล้วยิ้มน้อยๆ ...เห็นทีว่า นับจากนี้ กระต่ายตัวน้อยจะไม่ได้เหงาอยู่ตัวเดียวบนดวงจันทร์เอาเสียแล้ว

“ป๋าจ๋า แม่จ๋า ไม่รู้ว่าถ้ารู้ ป๋ากับแม่จะว่ายังไงเหมือนกัน”

ผักกาดวางปากกาในมือ แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินช้าๆ มาเกาะที่ขอบหน้าต่าง แสงสีเหลืองอ่อนซึ่งเกือบจะเป็นวงกลมเต็มวงฉายเด่นไปพร้อมกับแสงดาวที่ดูระยิบระยับงามตา


“หนูว่ามันแปลก ...แต่ก็ดูเข้าท่าดี”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ฮ่าๆๆ เห็นไหมว่าคนแต่งก็ไม่ได้โหดเหี้ยมตลอดเวลานะครับ :-[
สำหรับตอนที่ลงไปคงตาลายเหมือนกัน เห็นแล้วก็ตกใจ เพราะมันค่อนข้างยาว
แต่คิดว่าคงจะอ่านได้แบบไม่อึดอัดอะไร อาจมีอมยิ้มน้อยๆ พอเป็นพิธี
ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยในการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนธรรมด๊า...ธรรมดาแล้วกันเนอะ
+1 ให้กับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอด :-[
และตามธรรมเนียม คนแต่งขอกอดเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนเลยเนอะ 555 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ฮ่าๆ ตลดจันทูช่วงแรกๆ
แต่ตอนนี้แอบหวานหน่อยๆนะเนี่ย
ดีจังเลยน้าาาาาา

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
มาไวแบบนี้น่ารักจริงๆ
ทิมเขินน่าจับจูบมากกกกกกกกกก  ชอบอะ  :z3: :z3:
ต่ายไม่เคยอยุ่คนเดียวบนดวงจันทร์หรอกนะ ทั้งพี่สาว ทั้งหนุ่มๆ ทั้งจันทู อยู่กับต่างทั้งนั้น
ต่ายเป็นคนน่าอิจฉา แอร๊ววว 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด