♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430440 ครั้ง)

ออฟไลน์ davina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
อยากอ่านตอนนี้เวอร์ชั่นทิมบรรยายอ่ะค่ะ ขอรีเควส ><

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ไม่โป๊ไม่เรทมาก   แต่อิโรติกอย่างมากกกกกกกก   :pighaun:
โฮกกกกกก  :m25:

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
เฮื้อกก!! :pighaun:...ฮู้วววว....กว่าจะอ่านจบฉากเรท ขาดอากาศไปหลายวิเลยคร้าาา.....:m25:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
แวะมาพูดคุยกันเสียหน่อยครับ ตอนที่ลงไปเนี่ย จะเรียกว่าอะไรดีนะ 555  :-[
ถามว่าโป๊ไหมก็ไม่ได้โป๊อะไรเท่าไหร่นะ ไม่ได้ไปถึงไหนต่อไหนแบบใครเขาเลย
แต่ถึงไม่โป๊ก็ให้ความรู้สึก erotic มากแบบที่บอกกันจริงๆ ให้ความรู้สึกในเชิงอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกเนอะ
หวังว่าจะไม่ถึงขึ้นโดนพี่โมฯ ทั้งหลายดุเอานะครับ Lucea จะเป็นเด็กดีครับ ขอโทษงามๆ ครับ :call:

ทีนี้ เรื่องของเรื่องคือเคยมีหลายคนบ่นว่าอยากอ่านมุมมองของตัวละครอื่นในเรื่องดูบ้าง
เพราะโดยปกติแล้ว เรื่องนี้จะเล่าผ่านตัวละครแค่ตัวเดียว (One Person One Point of View)
พูดง่ายๆ ก็คือคนแต่งมันกั๊กนั่นเอง แต่ความกั๊กมันก็เป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้แบบหนึ่งนะ
ความที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกว่าจะไม่ลงมุมของตัวละครอื่นให้อ่านแม้แต่น้อย
เพราะคิดว่าถ้ารวมเล่มจะบ้าตั้งหน้าเขียนอีกเล่มเป็นมุมมองของพระเอกแบบแก้กัน

แต่จะว่าไป นิยายเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีคนอ่านมากเท่าไหร่ เราก็อยู่กันแบบเป็นกลุ่มเล็กๆ
ถึงคนอ่านคนคอมเมนต์จะไม่เยอะ แต่มันก็อบอุ่นมากๆ นะ คนเขียนปลื้มมากมาย
เวลาที่เอ่ยปากขออะไรมา คนเขียนบ้าๆ แบบนี้ ตามใจได้ก็ตามใจตลอดนะ 555555
พอไปถามเพื่อนๆ ในเฟซบุค เหมือนว่าก็อยากอ่านกัน งั้นก็สรุปตามนี้ว่า
เอาเป็นว่า จะผิดคำพูดสักหน่อย คือเดี๋ยวจะมีตอนที่เพิ่งลงไปในเวอร์ชั่นทิมให้อ่านดูนะครับ

แต่บอกว่าก่อนว่าภาพลักษณ์ของทิมอาจจะเสียเพราะเรื่องนี้เดินเรื่องด้วยความคิดซะมาก
บุคลิกประเภทที่เรียกกันว่า “ซึน” ถือว่าแพ้ทางอย่างแรง ความขรึมอาจหายไปหมด
แต่ถ้าชอบก็สนุกอีกแบบนะ โชคดีที่ตอนที่เพิ่งอัพเป็นตอนที่ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง
ตัวละครไม่มีฉากแนวเป็นความลับอะไรจนเนื้อเรื่องอาจเสีย ดังนั้นถือว่าผ่านเกณฑ์
แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อการโดนประนามว่านิยายแบ๊วๆ ตอนต้น แล้วกลายเป็นอภิมหามาม่า
ก่อนจะผันตัวมาเป็นแนวอีโรติกแบบจันดาราที่มีปฐมบท ต่อด้วยปัจฉิมบทก็ตาม กร๊ากกกกกกกกกกกก
(แต่ฉากพวกนั้น ขอบ่นหน่อยว่าแต่งยากจริงๆ นะ พิมพ์ไปก็อืมมมมม... 5555555)

เอาล่ะครับ แวะมาพูดคุย+ส่งข่าวเท่านี้ล่ะนะ วันนี้วันพรุ่งนี้ รออ่านตอนพิเศษน่าจะได้ครับ
สำหรับคนที่ไม่ชอบฉากแนวนี้ ไม่ต้องอ่านตอนพิเศษทั้งตอนก็ไม่เสียเนื้อเรื่องครับ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่แวะมาทักทาย เวิ่นเว้อ เพ้อเจ้อไปด้วยกันนะ ปลื้มทุกคนมากมาย จุ๊บๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
จุดพลุเลย เชียร์ทิมมาตั้งแต่ต้นชอบทิมเพราะทิมดูมั่นคง
ไม่ชอบตุล เพราะไม่ชอบคนเจ้าชู้
ตอนนี้คะน้ารู้สึกตื่นเต้น รู้สึกวูบวาบ แปลกใหม่เวลาอยู่กับทิม
กลัวว่าต่อไปถ้าคะน้าหมดความรู้สึกนี้ไปจะยังรักทิมไหม
ถ้าตุลกลับมาคะน้าจะไขว้เขวไหม ทิมจะทำให้คะน้าปักหลักกับตัวเองได้ไหม
แต่คงไม่หรอกเนาะ ตามแม่หมอบอกก็เข้าทางทิมหมดนิ่

ขอบคุณคนแต่งที่ให้ทิมได้คะน้า อิอิ

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
ตื่นมารอ #เร็วไปมั้ย 555

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
กริ้สสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

แม่ยกทิมมาแล้วค่า อ่านตอนนี้แล้วเขินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แล้วก็ดีใจด้วยที่ทิมได้สมหวังซะที อิอิ >///<

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนพิเศษ
Reversal of Chapter 22 : Voice of Tim




การลงเสาเข็มเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันหมายถึงการวางรากฐานของงานโครงสร้างทั้งหมดไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายที่อาจจะตามมา จะโครงการเล็กๆ หรือโครงการใหญ่แบบหลายร้อยล้าน หรืออาจะแตะไปถึงพันล้าน สิ่งสำคัญก็คือพื้นฐานของโครงสร้างที่ต้องมั่นคง


...แต่อยู่ๆ ผมก็นึกอยากจะทิ้งงานที่มีความสำคัญมากขนาดนี้เอาเสียดื้อๆ

อยากจะปล่อยให้พี่เจคอยคุม ไม่ก็ทำอะไรลวกๆ ให้มันเสร็จแบบขอไปที ‘เวลา’ อาจเป็นจุดอ่อนของผมที่แก้ไม่หายสักครั้ง ตอนที่นึกอยากจะทำอะไร ใจมันก็รู้สึกว่าจะต้องทำเดี๋ยวนั้นตอนนั้น ...ทำไงได้ สมาธิผมมันลอยไปใต้ต้นไม้นั่นไปหมดแล้ว แม้จะคอยห้ามตัวเอง แต่ผมก็มักจะเผลอมองไปยังคนที่นั่งทำหน้าเหรอหราแล้วคอยส่งยิ้มให้คนงานที่เดินผ่านไปผ่านมาแทนที่จะมองแปลนในมือผู้ช่วย

...บ้าเอ้ย! แล้วนั่น จะไปยิ้มให้พวกคนงานทำไมวะ จะยิ้มให้คนทุกคนให้ได้เลยใช่ไหม แม่งเอ้ย! พูดไปก็ไม่เคยจะฟัง รู้จักพวกคนงานน้อยไปสิ ไม่ได้ดูเลยว่าพวกนั้นมันคิดไปถึงไหนๆ ตาถึงเยิ้มขนาดนั้น ให้ตายเถอะ! ถึงได้ไม่อยากจะให้มาที่นี่ไง!

“พี่ทิมคะ” เสียงของแนนในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น แต่แรงสะกิดที่ข้อศอกทำให้ทิมหงุดหงิด ชายหนุ่มจึงหันกลับมาฟังอย่างให้มันจบๆ ไป

“พี่ทิมจะดูแปลนนี่อีกไหมคะ ไม่อย่างนั้นแนนจะได้เอาไปเก็บก่อน ต้องหวังพึ่งอีกนานนี่นะ” ...เสียงหัวเราะเบาๆ นี่ก็เหมือนกัน น่ารำคาญ

“ไม่แล้วล่ะครับ”

“งั้นแนนเอาไปเก็บก่อนนะคะ”

“เข้าไปในออฟฟิศใช่ไหม พี่ฝากเอาน้ำเย็นๆ มาให้เพื่อนพี่หน่อยสิ” หญิงสาวชะงักกึกแล้วหันมาทำหน้าสงสัย ทิมชักสีหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“แนนขอพูดอะไรได้ไหมคะ ปกติแนนไม่เห็นพี่ทิมจะสนใจใคร ขนาดวันก่อน คุณวิสุทธิ์ ผู้รับเหมารายใหญ่มา พี่ทิมไม่เห็นจะต้อนรับอะไรให้มากความเลย ...พี่ทิมดูแปลกๆ นะคะ” ทิมหันไปมองคนงานที่ทำงานอยู่ ไม่อยากจะสนใจกับข้อทักท้วงของผู้ช่วยสาว แนนยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาหา หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใย “ดูพี่ทิมไม่มีสมาธิทำงานเลย หรือพี่มีไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าคะ ยังไงแนนก็เป็นผู้ช่วย ถ้าอะไรที่พอช่วยได้แนนก็ยินดีนะคะ”

“ได้สิ พี่ขอน้ำเย็นๆ ให้เพื่อนหน่อย ...พอช่วยพี่ได้ไหมครับ” แนนมีสีหน้าสลดลงไป หญิงสาวรับคำแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในส่วนออฟฟิศ

จริงตามที่แนนพูดนั่นแหละ จะเอาอะไรกับไซด์งานก่อสร้างที่อะไรๆ มันไม่เสร็จดี น้ำเย็นๆ สักขวดที่ดูเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับออฟฟิศปกติ มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเอาเรื่องสำหรับที่นี่ ที่อะไรๆ ก็ไม่พร้อมสักอย่าง เขาถึงไม่เคยดูแลเหล่าผู้รับเหมาไม่ว่าจะรายใหญ่แค่ไหน รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานสายนี้ต่างก็เข้าใจกันอยู่แล้ว

“ห่วงเหรอ?” เสียงทุ้มของพี่เจดังขึ้นแล้วตามมาด้วยลมหายใจที่ผ่อนออกเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม ทิมไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเพียงแต่มองไปที่ใต้ร่มไม้นั้น เจ้าตัวปัญหายังคงส่งยิ้มทักทาย ยกมือไหว้สวัสดีใครต่อใครไปทั่วทั้งๆ ที่ไม่รู้จักมักจี่อะไรด้วยซ้ำ

“เฮ้ย! ไม่ต้องถึงขนาดไปเฝ้ามั๊ง” คำทักท้วงของพี่ที่เคารพทำให้ทิมต้องชะงักเท้าตัวเองไว้แบบนั้น “เชื่อพี่เถอะ ลองได้เห็นหน้าเอ็งตอนนี้ได้วิ่งป่าราบกันหมดล่ะ” ทิมถอนหายใจหนัก ไม่สนุกด้วยกับคำเปรียบเปรยเกินจริง อีกครั้งที่แรงตบบนบ่าเบาๆ เป็นจังหวะของรุ่นพี่ดูจะตักเตือนว่าไม่ให้เขาคิดมากเกินไปกว่าเหตุ

ครู่หนึ่ง แนนเดินออกมาจากส่วนของออฟฟิศพร้อมกับน้ำเย็นขวดหนึ่งในมือ ต้องขอบคุณพี่เจที่กำชับให้เธอไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกับคนที่นั่งเขี่ยดินถอนหญ้าเล่น เหตุผลหลักก็เพื่อจะให้กระต่ายตัวน้อยปลอดภัยขึ้นอีกนิดในฝูงหมาป่าที่กำลังหิวโซ คะน้าไม่เหมือนแนน หญิงสาวแม้ว่าจะมีรูปร่างเล็กและหน้าตาสะสวยจนใครๆ ก็ต้องเหลียวเมื่อเธอเดินผ่าน แต่แนนเว้นระยะห่างจากเหล่าช่าง และเป็นระยะที่ห่างมาก ทั้งยังวางตัวไม่ให้สนิทสนมกับลูกจ้างรายวันที่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหนสักเท่าไหร่



...แล้วดูเจ้ากระต่ายของเขาสิ

ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ลักษณะภายนอกของคะน้า บอกตามตรงว่าดูจะดึงดูดไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้หญิงสวยๆ แบบแนนเลย ถึงไม้จะตัวค่อนข้างสูงแบบผู้ชายทั่วไป แต่ใบหน้าที่ให้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘น่ารัก’ มากกว่าหล่อแบบคำชมเพศชายทั่วไป ทั้งรอยยิ้มและท่าทีที่ติดจะออดอ้อนนิดๆ นี่สิปัญหา

ก็เรียกว่าหมดห่วงไปอีกนิด ให้พอที่จะทำงานตรงหน้าต่อได้อย่างโล่งใจไปอีกหน่อย ทิมเร่งทำงานจนเหล่าช่างตามไม่ทัน บ่อยครั้งที่พี่เจต้องตามมากำชับและเก็บรายละเอียดให้กับการจ่ายงานของวิศวกรรุ่นน้องกระทั่งงานราบรื่นไม่มีปัญหา ไม่นานนักทิมก็พอจะปลีกตัวได้ ชายหนุ่มรีบพุ่งทยานไปใต้เงาไม้ทันที ทิ้งให้เพื่อนร่วมงานที่เป็นรุ่นพี่เท้าเอวมองแบบหน่ายๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาให้ทันกัน

“พี่เจ นี่คะน้า นี่พี่เจ” ทิมหันลวกๆ ไปหาพี่เจแล้วหันไปส่งตาดุให้กับคนที่นั่งอยู่แบบคาดโทษ

“สวัสดีครับ” สาเหตุของความวุ่นวายใจรีบลุกขึ้นยืนแบบไม่รู้สึกรู้สาแล้วทักทายพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แทบจะฉีกไปถึงรูหู ...นี่จะยิ้มแบบนี้ให้คนทั้งโลกเลยใช่ไหม? บ้าชะมัด! ไอ้พี่เจก็เหมือนกัน ยิ้มแป้นเลยนะมึง

“อ้ออออ... คนนี้” เจลากเสียงยาวหวานหูแต่ไม่ทันสุดเสียง ทิมก็เอาศอกกระทุ้งแล้วเขม่นสายตาใส่ ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วทักทายตอบ “สวัสดีครับ”

“พี่เจคะ พี่ทิม มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” แนนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ทิมชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด โชคดีที่ได้พี่เจคอยรองรับความสงสัยของเธอด้วยคำพูดหวานหูชวนฟัง ...น่าเบื่อจริง

“มีอะไร” ทิมเอ่ยถามคะน้าเสียงแข็งแต่เจ้าตัวกลับเขม่นสายตาใส่แล้วทำปากมุบมิบ ...ทีกับคนอื่นล่ะยิ้มแป้น มันน่าไหมล่ะ?!?

“ก็... ไม่มีอะไร” ...เออ สะบัดสะบิ้งใหญ่เข้าไป คิดหรือไงว่าคนอย่างเขาจะสนใจ

ทิมถอนหายใจพรืดใหญ่ แต่เมื่อพิศมอง ภาพของคนตรงหน้ากลับเรียกรอยยิ้มของทิมขึ้นมาได้อย่างประหลาด ทั้งๆ ที่อายุเท่ากับพี่เจ แต่กระต่ายน้อยกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวไหม ว่าชอบทำงอนแบบเด็กๆ แต่พอจะเอาเรื่องเอาราวจริงๆ กลับขวัญดีหนีดีฝ่อ แล้วเป็นฝ่ายทำสายตาออดอ้อนใส่ทุกทีไป ...ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แววตาแบบนั้น ริมฝีปากที่บิดไปมาจนแดงเรื่อ ...มันน่าไหมล่ะ!!!

นึกย้อนไปถึงอุบายของตัวเองเมื่อวันก่อนแล้วก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ คะน้าไม่ใช่คนที่คาดเดาอะไรได้ยาก ตรงไปตรงมาในความรู้สึกเสมอ เจ้าตัวไม่แม้แต่จะคิดปิดบังด้วยซ้ำ ...หรือว่านั่นคือปิดบังแล้ว? อะไรก็ช่าง เอาเถอะ เขาไม่ได้โกหกอะไรเสียหน่อย แค่บิดเบือนความเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าผิดกติกาไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญ เขาก็ขออนุญาตพี่ผักกาดแล้วด้วยซ้ำ

โชคดีที่การไปทำกับข้าวที่บ้านของต่ายทุกวันทำให้ทิมค่อยๆ สนิทกับผักกาดขึ้นมาทีละน้อย เขาชอบผักกาด ถูกใจในอัธยาศัย ชอบความเฉียบคมในความคิด และที่สำคัญคือความที่ใจนักเลงผิดกับผู้หญิงทั่วไป เรียกว่าถูกคอจนถึงขั้นขอเฟซบุค ขอไลน์ แล้วแชทกันบ่อยๆ เลยทีเดียวล่ะ แต่อะไรๆ มันคงจะดีกว่านี้ล่ะนะ ถ้าไม่มีมารผจญแบบไอ้หมอขี้เต๊ะนั่น

“จะกลับบ้านเหรอ รออีกหน่อยได้ไหม”  คะน้านิ่งเงียบ



อืม... ไม่มีคำปฏิเสธให้ถือว่าเข้าใจตรงกันใช่ไหม
...เห็นไหมว่าเขาไม่เคยมัดมือชกใคร ถามก่อนทุกครั้ง


ว่าแล้วทิมก็พลิกตัวหันหลังกลับแล้วยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว วิศวกรหนุ่มเดินดุ่มๆ เข้าบริเวณส่วนงานช่างต่อทันที รีบจัดแจงอะไรทุกอย่างมันเสร็จไวๆ โชคดีที่ดูเหมือนงานผสมจะไม่มีปัญหา ทุกอย่างน่าจะราบรื่นและเสร็จไวกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ถ้าเหลือแค่งานเทที่หัวหน้าช่างน่าจะดูแลได้ ทิมยิ้มอย่างโล่งใจแล้วหันหลังเดินกลับไปใต้เงาไม้ที่ดูเหมือนบทสนทนาจะออกรสชาติ



...ไม่อยู่แป๊บเดียว มีความสุขอะไรนักหนาวะ?

ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จนไม่ค่อยจะสนใจฟังอะไรในบทสนทนาแบบที่ควรเป็น สายตาคมกริบจับจ้องไปที่คนที่เหลือบซ้ายแลขวาแล้วส่งยิ้มน่ารักแบบที่ตัวเองถนัดถนี่ ดวงตาเต็มไปด้วยการตื่นตัวรับรู้และสนใจผู้คนรอบข้างและเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลา



...ประเด็นคือทำไมเขาไม่อยู่ในดวงตาที่วับวาวคู่นั้นเหมือนใครๆ?

เสียงหัวเราะของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มกังวานใส แนนยื่นมือมาเกาะแขนเขาแล้วเขย่าเบาๆ แบบเด็กๆ ที่ร้องขอขนมหวานจากผู้ใหญ่ ทิมยิ้มเล็กน้อยให้กับหญิงสาวตามมารยาท

“พี่ทิมดูพี่เจสิคะ แซวแนนอยู่ได้” แนนประจบออดอ้อน อาจจะเป็นเรื่องเดียวมั๊ง ที่เขามองว่าเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าทนุถนอมดี ดูบอบบาง มาจากครอบครัวที่ดี ถูกอบรมมาดี ไม่ค่อยทันกับคำแซวของพวกวิศวกรหรือช่างที่ติดจะดิบห่าม เห็นแล้วให้ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลเลยล่ะ

หากแต่ในเวลานี้ ทิมไม่ได้สนใจฟังในถ้อยคำอย่างที่ควรจะเป็นสักเท่าไหร่ ในสายตา... อันที่จริงควรเรียกว่าในทุกประสาทสัมผัสที่ตัวเขามีต่างจดจ้องอยู่ที่คะน้าเพียงคนเดียว กระทั่งเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่ได้ฟังใส่ทิมพร้อมใบหน้าที่ระเรื่อแดง ...เอาแล้วไง ช..ชิบหายละ



...น่ารักว่ะ!!!

แต่เดี๋ยวก่อน มันเรื่องอะไรหว่า?!?! และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทิมเริ่มหันกลับมาสนใจว่าหญิงสาวตัวน้อยข้างๆ ตัวว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“บางทีก็อยากมีคนที่เรากลับบ้านด้วยกัน คนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไปเดินเล่นไหนๆ หรือไปนั่งเล่นกันที่บ้าน ...บ้านแนนหรือบ้านแฟนก็ได้น่ะค่ะ เป็นคนที่เข้ากับที่บ้านเราได้ แนนถือเรื่องแบบนี้นะคะ อืม... แล้วก็อาจจะทำอาหารทานกันเอง แนนนั่งทานกันบนพื้นก็ได้ ทานจานเดียวกันก็ได้ ง่ายๆ น่ะค่ะ แนนไม่ชอบอาหารตามร้านน่ะค่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ คงให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยนะคะ”

ไม่บ่อยที่คำพูดของแนนจะจุดรอยยิ้มให้กับทิมขึ้นมา เข้าใจแล้วว่าทำไมกระต่ายตัวน้อยของเขาถึงทำหน้าทำตาแบบนั้น นึกแล้วก็อยากได้ยินนะ ว่าคะน้าคิดยังไงกับเรื่องพวกนี้



...ความลับที่มีเพียงแต่เขาและต่ายเท่านั้นที่รับรู้

ทิมยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองที่มีไรสากช้าๆ จะเรียกว่ารู้สึกจักจี้นิดๆ กับคำพูดพวกนั้นก็คงไม่ปฏิเสธ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป เพียงแค่ย้อนกลับไปคิด เขายังอดนึกแปลกใจทุกครั้งไม่ได้ว่าทำลงไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้มีสารรูปแบบไหน ที่รู้ๆ ก็คือไม่อยากให้คะน้าเห็น แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า เปรียบเป็นมวยก็คงต้องแลกกันคนละหมัด ทำยังไงได้ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ คะน้าจะว่ายังไงนะ ...กับความลับของเรา

คนที่อยู่ในความคิดค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองทิม ดวงตาสุกใสดูหลุกหลิกบนใบหน้าระเรื่อแดงจนเปล่งปลั่ง มือไม้ที่ดูเหมือนจะวางไม่ถูกที่ถูกทางกับความเคอะเขินแบบนั้น



...เฮ้ออออ หลายครั้งแล้วที่เขาต้องถอนหายใจแบบนี้

...นี่เขาหลงเสน่ห์ผู้ชายจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย หลงแบบถอนตัวไม่ขึ้น หลงแบบคนที่งมงายจนเก็บไปเพ้อได้เป็นวันๆ มันแปลกไหมนะ? รู้ทั้งรู้ว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วก็พอจะรู้ว่าลึกๆ แล้วคะน้าก็คงพึงใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อย ...ไม่รู้สิ ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่ชอบให้ใครๆ ได้รู้ว่ากระต่ายน้อยของเขาน่ารักขนาดไหน ยิ่งในเวลานี้ ...รอยยิ้มแบบนั้น ดวงตาคู่นั้น แม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วเรื่องไร้สาระตลอดทั้งวัน ...ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง ...ทั้งหมด

...อยากให้เป็นของเขาเพียงคนเดียว



“กลับกันไหม”

ถึงแม้ว่าพี่เจจะมีแฟนแล้วก็เถอะ และถึงแม้ว่าแนนก็ไม่น่าจะสนใจคนแบบคะน้าก็ตาม แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ ...ของแบบนี้ จ้องมากๆ มันสึกมันหรอได้นะ ...อืม คงเป็นแบบนั้นแหละ ก็เขาคิดแบบนั้นจริงๆ นี่



...หวงเหรอ? เปล่าซะหน่อย

คะน้าลุกขึ้นแผล็วแล้วเอ่ยคำลาซะมากมาย ...ก็ไม่รู้ว่าจะลาอะไรนักหนาเพิ่งเคยเจอกันวันแรกแท้ๆ

“แต่งานยังไม่เสร็จเลยนะคะ ทำไมพี่ทิมต้องไป... เอ่อ... ส่งพี่เค้าด้วย คือแนนเป็นห่วงน่ะค่ะ เกิดโปรเจ็กต์มีปัญหาอะไรขึ้นมา มันจะแย่เอานะคะ” แนนรีบเดินตามมารั้งไว้ พี่เจก็เดินยิ้มมาสมทบ

“ห่วงเจ้าทิมล่ะสิเรา เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน” พี่เจเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ทิมผ่อนหายใจ ล้ากับความเอาใจใส่ของผู้ช่วย เขาไม่ชอบใจนักกับความจุ้นจ้านแต่ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความหวังดี ชายหนุ่มจึงขอบคุณในน้ำใจของแนน แล้วเดินลิ่วจนตัวปลิวนำหน้าคะน้าไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ทันที

ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถกระต่ายของเขาก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง บางทีก็หายใจฟึดฟัดราวกับไม่ชอบใจอะไรบางอย่าง แต่บางทีก็แอบเหลือบมองที่เขาเป็นระยะแล้วทำอ้ำๆ อึ้งๆ จนเขารอเงี่ยหูฟังจนเหนื่อย แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่คนนั่งข้างๆ มอบให้ก็คือความเงียบ ...เข้าใจไหมว่ามันหงุดหงิด!

“อะไร” ลงท้ายก็เป็นเขาอีกแล้วที่ต้องเอ่ยปากถามความ

“ไปพูดอะไรให้เจฟัง” หันมาแล้วทำหน้ามุ่ย คิดว่าน่ารัก?



...เออ ก็น่ารักจริงๆ





เฮ้ออออ... ไม่ไหวแฮะ ท่าทางจะเป็นเอามาก



“พูดอะไร” ทิมหันหน้ากลับไปมองท้องถนนที่คราคร่ำไปด้วยรถยนต์แล้วทำเสียงเข้ม แต่ตัวปัญหายังยื่นหน้าตามมาหลอกหลอน

“ก็ไปเล่าอะไรให้เขาฟังบ้างล่ะ ถึงได้พูดอะไรแปลกๆ ทำท่าอะไรแปลกๆ”

“สนใจนักนะ แคร์มากหรือไง ไหน? มันคุยกันถูกคอเลยใช่ไหม หมดจากไอ้แว่นก็เอาอีกล่ะสิ ชอบนักล่ะ หัวเราะคิกคัก คุยกับคนนั้นคนนี้” ไม่อยากจะยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองว่าไม่พอใจ ...มากด้วย มันน่าโมโหแค่ไหน เพราะดูเหมือนคะน้าจะแคร์ความรู้สึกของคนที่เพิ่งเคยพบเคยคุยกันแค่เพียงไม่กี่นาที มากกว่าเขาที่นั่งเป็นไอ้งั่งอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาทำหน้าคว่ำแล้วบ่นงึมงำเหมือนจะพูดกับตัวเอง

“บ้าอะไรเนี่ย” ...เออ ก็กูบ้าจริงๆ บ้าเพราะใครล่ะ สนุกนักล่ะ ปั่นหัวคนอื่นเนี่ย

“อย่าคิดว่าไม่เห็น”

“ไม่ต้องมาทำโวยกลบเกลื่อน ไม่อย่างนั้นเจจะรู้จักได้ยังไง ไปพูดอะไรไว้บ้าง อย่าบอกนะว่าเรื่องบ้าๆ ที่ทำเอาไว้” นั่นไง เห็นไหม คนบ้าก็ทำแต่เรื่องบ้าๆ ไอ้ทิมเอ้ยยย... อยู่ดีก็ไม่ว่าดี เอาตัวไปเสนอให้เขาด่าเล่น

“นั่งเงียบๆ ไปเลย”

“ก็เงียบตั้งแต่แรกแล้วเปล่า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ” ถ้อยคำเหมือนจะเถียง แต่เจ้าตัวกลับพูดเสียงอ่อนเหมือนจะตัดพ้อแล้วนั่งคอตก

ทิมชะงักงัน ดูเหมือนว่ากระต่ายน้อยของเขาจะผวากับความดิบห่ามซึ่งเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย แต่สาบานเถอะ เขาไม่ใช่คนคิดมากอะไรด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยแคร์อะไรใครมากมาย ผู้หญิงกี่คนที่เวียนวนเข้ามาในชีวิต สวยระดับนางแบบ เป็นลูกคุณหนู โปรไฟล์ดีแค่ไหน เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ ชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้เลือกแบบทิม ต่อให้เป็นเดือนหรือดาวบนฟ้า ถ้าเขาต้องการก็จะสอยลงมาให้จงได้



...แม่งเอ้ย! ทำไมกูถึงรักมึงได้มากขนาดนี้วะ เชรี่ยยยย!

ทิมค่อยๆ เบือนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเขาด้วยท่าทีที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง ทั้งๆ ที่อายุมากกว่า แต่คะน้ากลับมีดวงตาที่ซื่อตรงแบบเด็กชายตัวน้อยๆ ที่อ่อนเดียงสา ความสงสัยในแววตาทำให้ใจของทิมสั่นอย่างประหลาด และแปลกที่เขาเองกลับรู้สึกประหม่าในท่าทางที่ดูไม่ประสาแบบนั้นในทุกครั้งที่ได้เห็น

คะน้าโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วมองด้วยแววตาที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก แย่ไปกว่านั้นที่เสื้อยืดเก่าๆ ซึ่งเจ้าตัวใส่ไปขายของที่ตลาดบ่อยๆ จนคอย้วยกว้าง บัดนี้ มันผิดที่ผิดเวลาเอามากๆ ความโน้มเอียงของน้ำหนักเผยให้เห็นผิวกายที่มันปกปิดไว้ วูบหนึ่งที่ทิมกดสายตามองไปในเสื้อ ความคิดแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง




ถ้าได้กอด ได้สัมผัสมากกว่านี้ ...พี่จะว่ายังไงนะครับ

บ้าเอ้ย! ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่! ทิมสะบัดหน้าไหวๆ แล้วผ่อนลมหายใจหนัก เขารีบหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้า รถราที่มีมากมายไม่ขยับเขยื้อนจนคล้ายที่จอดรถขนาดใหญ่ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดสวิตซ์แอร์แล้วปรับลดอุณหภูมิให้ต่ำลงอีก สายลมเย็นฉ่ำพัดใส่ใบหน้าจนเย็นฉ่ำ หากแต่มันคงไม่อาจพัดความสงสัยที่มีให้หลุดไปจากสมอง ไม่วายที่ชายหนุ่มจะเหลือบมองไปที่คะน้าอีกครั้ง คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังนั่งอยู่ท่าเดิม ใบหน้าระเรื่อแดงด้วยสีฝาดเลือด คะน้าสบสายตาของทิมกลับด้วยแววตาที่ทอดมองมาด้วยความระริกไหว

...อย..อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น ทิมขบเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นจนเจ็บ



หยุด ...หยุดเลย ...หยุดเดี๋ยวนี้!



ไม่อย่างนั้น...





ถ้าไม่อย่างนั้น ผมคงคิดว่า...









...พี่รักผมนะ



ทิมหันหน้ากลับไปมองที่การจราจรตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาภาวนาให้ช่วงเวลาที่ทำให้ใจของเขาเต้นคึกโครมนี้จบลงไวๆ บ้าชะมัด อยู่ๆ ก็คิดเลยเถิดไปไกลถึงเรื่องพรรณ์นั้น อยากรู้ว่าผิวที่เรียบเนียนแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั่นจะให้ความรู้สึกแบบไหน แล้วสีหน้าแบบที่เขารักนั้นจะทำให้เขารักได้มากขึ้นอีกได้ไหมในเวลาแบบนั้น ทิมส่ายหัวหนักๆ อีกครั้ง พยายามอย่างหนักที่จะสลัดความคิดแย่ๆ นี้ออกไป แต่อีกฝ่ายดูจะไม่หยุดที่จะกระตุ้นความคิดให้กระเจิดกระเจิง คะน้าค่อยๆ เอียงใบหน้าตัวเองลงต่ำแล้วช้อนสายตาขึ้นมองมาที่เขา ...บ้า! บ้าไปแล้ว!!!

“อะไร” ทิมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่กระฟัดกระเฟียด ริมฝีปากเม้มแน่นจนตึง ตัวปัญหานั่งมองแบบสั่นๆ เหมือนกล้าๆ กลัวๆ

“ข..ขอ” ...ขออะไรวะ! มาขออะไรตอนนี้!!

“อะไร!” ทิมถามเสียงเข้ม แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนวาบไม่หาย

จู่ๆ คะน้าก็ดันตัวเองขึ้นแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยตึงรั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกที แก้มของทิมก็สัมผัสกับความนุ่มหยุ่น เพียงครู่เดียว เป็นเวลาสั้นๆ ของการสัมผัสแล้วผละจาก ...ไวเกินกว่าจะไหวตัวทัน หากแต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่ลามไล้อยู่ทั่วกระพุ้งแก้มด้านซ้ายยังคลอเคลียอยู่อย่างนั้น ไรผมนิ่มๆ นั้นแตะบนผิวหน้าเขาเบาๆ ใบหน้าของคะน้าไม่ได้ผละออกไปไหน ปลายจมูกยังอยู่ใกล้จนเกือบจะแนบชิด

...เหมือนกับคนที่หมดแรง หัวใจของทิมเต้นแผ่วเบาจนเหมือนสภาวะไร้น้ำหนัก มันเบาหวิว ...หวินจนเหมือนกับตัวเองค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ความเป็นจริงตามกายภาพ ร่างสูงกลับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดของตัวเองลงบนเบาะหนังสีอ่อน แล้วปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลราวกับเป็นของเหลวที่เคลื่อนตัวตามแรงโน้มถ่วงโลก เป็นเรื่องน่าตลกที่ชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำกลับมาสิ้นสภาพด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลราวกับขนนกแบบนี้

ริมฝีปากของคะน้าลากผ่านผิวแก้มเบาๆ แล้วงับบดที่ใบหูที่แดงระเรื่อ ทิมเกร็งลำคอด้วยความรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ความอ่อนนุ่มนั้นขบแล้วบดตัวเบาๆ กระทั่งชายหนุ่มเผลอตัวกระชากเท้าแล้วเหยียบเบรคในจังหวะที่รถเคลื่อนช้าๆ จนคะน้าหรือแม้แต่ตัวเขาเองก็เสียการทรงตัว

“ข..ขอโทษ ...ขอโทษ ม..มะ” ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนยังไม่อาจประมวลผล หากแต่ผิวกายยังจดจำความนุ่มนวลนั้นได้ เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ...มันเป็นเรื่องจริง

“ม..มะ คือ... ตกใจ ม..ไม่เป็นไรใช่ไหม” ให้ตายสิ! นี่เขาพูดอะไรไป น่าอายชะมัด!

ทิมจับมือคะน้าแน่น รู้สึกได้แรงสั่นไหวของข้อมือตัวเองอย่างประหลาด นี่เขากำลังประหม่าให้กับคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นเหรอ คนที่นั่งหลังพวงมาลัยหันมามองหน้าคะน้าที่นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความสงบ มีเพียงหัวไหล่ที่สั่นไหวน้อยๆ พอให้รู้ว่ายังเคลื่อนไหว ทิมออกน้ำหนักที่ฝ่ามือของตัวเองบนพวงมาลัยบีบแน่นจนขึ้นเกร็ง


คำถามคือหากคะน้ามีใจให้กับเขา แล้วทำไมเขาต้องฝืนใจตัวเองเอาไว้ด้วย?

ทันใดนั้น ร่างสูงก็หันไปฉวยคว้าคนที่นั่งก้มหน้าเข้ามากอดจนแน่น เสี้ยววินาทีเดียวกัน ริมฝีปากของเขาก็บดตัวไปบนปากของคะน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก หากแต่สัมผัสที่ตอบกลับนั้นต่างไปจากทุกที ...หลังจากสัมผัสระลอกแรก รอยยิ้มน้อยๆ จุดขึ้นที่มุมปากของทิม ก่อนจะบดตัวซ้ำไปมาอย่างโหยหา

คนมักพูดว่าเวลาแห่งความสุขมักสั้น เห็นท่าจะจริง ...ครู่เดียว เสียงของแตรรถอย่างบ้าคลั่งด้านหลังก็ดึงร่างของทึมให้กลับมามองที่เบื้องหน้า รถมากมายที่ติดอยู่เริ่มขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ชายหนุ่มทุบฝ่ามือลงบนพวงมาลัยรถอย่างขัดใจพร้อมกับลมหายใจที่หอบแรง แต่เมื่อนึกถึงช่วงวินาทีที่เพิ่งผ่านพ้นมา ชายหนุ่มก็หันไปสบตากับคะน้าแล้วยิ้มให้ ...ในหัวใจของทิมนั้นกำลังลิงโลดจนอยากกู่ร้อง

ทุกอย่างนิ่งเงียบจนกระทั่งรถหักเลี้ยวเข้าสู่คอนโดแล้วจอดสนิทในลานจอดรถ คะน้ารีบพาตัวเองออกจากรถของทิม แต่เขาจะไม่ยอมถูกปั่นหัวอีกต่อไปแล้ว กระต่ายน้อยตัวนี้จะต้องเป็นของเขา วงแขนทั้งสองข้างของทิมวาดขึ้นรั้งแน่นเหมือนไม่ให้ไปไหน ปลายจมูกกดลงบนลำคอของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจูบพรมด้วยความแผ่วเบา



“ไปที่ห้องนะครับ”

ทิมกระซิบเบาๆ ข้างใบหูแล้วคลอเคลียริมฝีปากตัวเองไปมาอย่างอ้อยอิ่ง คะน้ายืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าสัมผัสที่แนบแน่นนั้นจะเพียงพอที่จะเหนี่ยวรั้งช่วงเวลาแห่งความสุขกลับคืนมาสู่เขาได้ไหม ไม่รู้ว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมหรือยังที่เขาจะร้องขอโอกาสได้ทำในสิ่งที่รอคอยมานานแสนนาน



“ได้โปรด ผม...”

ทิมโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู ในวงแขนที่กอดกระชับ ฝ่ามือกว้างลูบไล้ไปทั่งร่างกายของคะน้าอย่างทะนุถนอม ชายหนุ่มเคลื่อนใบหน้าให้เข้าใกล้กว่าเดิม ก่อนที่ริมฝีปากที่แดงจัดจากการกัดเม้มจะเอื้อนเอ่นถ้อยคำสั้นๆ ที่หยุดโลกได้ทั้งใบ





“...ผมรักพี่นะครับ”



(มีต่อด้านล่างครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับๆ)



“รักครับ”

ริมฝีปากของชายหนุ่มยกตัวขึ้นสูงทันทีที่ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วที่แหบพร่านั้น ทิมออกแรงดันร่างกายตัวเองไปด้านหน้าเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมของสบู่ผสานกับกลิ่นร่างกายของคนในวงแขนที่เบียดแนบจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เบื้องหน้าเป็นผืนฟ้าสีดำที่แต้มแต่งด้วยแสงไฟระยิบระยับนับร้อยพันของเมืองที่ขวักไขว่เหมือนไม่เคยหลับไหล ราวกับร่างที่เปล่าเปลือยของคนทั้งคู่กำลังล่องลอยอยู่เหนือกลางท้องฟ้า ปลายเท้าคล้ายกับกำลังเหยียบย่างลงบนพรมสีดำที่มีแสงดาวพราวพร่างและดวงจันทร์ที่สว่างไสวเป็นพยาน

...น่าอาย ...น่าทุเรศ หากแต่ในใจของทิมกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกพองฟูฮึกเหิม ...อยากให้ท้องฟ้าที่เขาเคยมองจ้องทุกค่ำคืนด้วยความเดียวดายได้มองเห็น ให้แสงจันทร์ที่สาดแสงเป็นเพื่อนในยามที่เหงาได้รับรู้ ให้โลกทั้งใบมาเป็นพยานให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้



...ใช่ครับ ผมกำลังมีความรัก





...กับคนในอ้อมกอดนี้


เป็นความรักที่อัดแน่นจนเกิดกว่าภาษาใดบนโลกจะอธิบายความรู้สึกได้ มากล้นจนต้องบอกมันผ่านทางการกระทำให้อีกคนได้รับรู้ ในเมื่อเพียงแค่คำพูดมันไม่พออีกต่อไปแล้ว ...ผมหน้าด้าน ไม่รู้จักอายและไม่รู้จักพอ ผมโหยหาและยังต้องการที่จะได้ยินคำนั้นจากปากของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ...บางที อาจเป็นเพราะผมกลัวว่าความฝันตรงหน้านั้น มันจะกลายเป็นเพียงมายาที่จับต้องไม่ได้จริง


“มากไหม?”

คำตอบคือเสียงก่นด่าจากคนในอ้อมกอดซึ่งเรียกรอยยิ้มของผมขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ...ก็จริง บางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ทำอะไรแบบนี้



แต่พี่ครับ ...บอกผมที






“...มากไหม?”

“ม...มาก ...มากครับ”


หัวใจของชายหนุ่มกระเจิดกระเจิงไปกับคำสั้นๆ ที่รอฟังมาเนิ่นนาน ทิมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เบียดแผ่นอกที่ชุ่มเหงื่อเข้ากับแผ่นหลังของคะน้าแล้วฝังปลายจมูกลงไปที่ลำคอ ริมฝีปากบดตัวเป็นจังหวะก่อนจะเคลื่อนขึ้นมากระซิบถ้อยคำแผ่วเบาที่ใบหูของคนในอ้อมแขน



“พี่เป็นของผม ...ของผม ...ของผมคนเดียว”

ทิมกดหัวไหล่ลงและโอบวงแขนรอบคนเบื้องหน้า ...ตักตวงสัมผัสที่หวานหอมนับครั้งไม่ถ้วน คะน้าพยายามถอยหนี คนที่ยืนด้านหน้าขืนตัวเองออกจากกระจกบานใส เม็ดเหงื่อบนร่างกายทิ้งร่องรอยบนผนังที่โปร่งตัวจนมองเห็นทุกอย่าง หากแต่แรงเบียดบดเบื้องหลังนั้นขัดขืนดั่งพันธนาการที่แน่นหนา


“เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ให้มันเห็นไป”

ความรู้สึกในจริงของทิมเตลิดไปพร้อมกับถ้อยคำคำนั้นจนเกินกว่าจะสนใจสิ่งใดรอบๆ ตัวเสียแล้ว เมื่อยิ่งเห็นภาพสะท้อนในกระจกบานใสที่ฉายสีแดงฝาดซึ่งกระจายไปทั่วใบหน้าพร้อมกับร่างกายที่กำลังสะเทิ้นไหว ร่างกายของเขายิ่งร้อนวาบ เม็ดเหงื่อของคะน้าค่อยๆ ซึมออกมาที่ไรผม ทิมจ้องมองหยดน้ำเล็กๆ ที่ค่อยๆ ซึมขึ้นมาบนผิวหน้าจนเกิดเงาสะท้อนที่มันวาว ร่างสูงด้านหลังเอื้อมมือไปปัดไรผมที่ปรกใบหน้าให้เปิดขึ้น ก่อนที่ร่างกายและริมฝีปากนั้นเคลื่อนไหวไปมาเพื่อซับความชื้นชุ่มอย่างนุ่มนวล มีเพียงสิ่งเดียวที่คงหยุดนิ่งกับที่ ...ดวงตาของเขา


“ดูเงาในกระจกสิครับ”

“ไม่เอา”

“...ว่าผมรักพี่ขนาดไหน”


แม้ถ้อยคำจะปฏิเสธหัวชนฝา หากแต่ในเงาสะท้อนที่ฉายบนแผ่นแก้วใสนั้น ทิมกลับเห็นแววตาไหวระริกของคะน้าค่อยๆ เงยขึ้นมามองที่ใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตา ยิ่งเห็นก็ยิ่งยากจะอดใจตัวเองไหว ทิมรีบพลิกตัวของคะน้าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับตนเอง จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องผ่านภาพสะท้อน

พระจันทร์ทอดแสงนวลจนสว่างชัด เป็นครั้งแรกที่ทิมเห็นร่างกายที่เปล่าเปลือยของคะน้าเบื้องหน้าได้อย่างเต็มตา ร่างสูงที่ไล่เลี่ยกับตัวเขาไหวสั่นเล็กน้อยคล้ายสัมผัสกับไอหนาว หากแต่ใบหน้านั้นแดงกล่ำเหมือนผิวยามต้องแดดเผา คะน้ามองจ้องมาที่เขา ลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ และริมฝีปากที่ราวกับมีใครเอาพู่กันจู่สีแดงสดระบายแต้มทำให้ใจของทิมสั่นไหว


“ทิมมม...”


“ครับ”


คนเบื้องหน้าให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ทิมเคยมองจ้อง ผมหมาดชื้นที่ตกลงจนปกใบหน้าดูสีเข้มกว่าทุกครั้ง เช่นเดียวกับดวงตาคู่นั้นที่แปรเป็นสีเข้มลึกล้ำราวกับซุกซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ คะน้าจ้องมองมาที่เขาเหมือนจะทายท้า ริมฝีปากสีแดงจนอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยให้ชวนมอง คะน้าค่อยๆ เบียดดันตัวเองขึ้นมาด้านหน้า ฝ่ามือทั้งสองข้างยกแล้วเสยปัดปอยผมของทิมรวบไปด้านหลังแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้น

ราวกับโลกหมุนย้อนกลับด้านจนเขาทำอะไรไม่ถูก หยาดเหงื่อบนร่างกายของคนทั้งสองผสานผสมจนเป็นแยกแยะไม่ได้ ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างของคะน้าหมุนวนอยู่บนผมที่เปียกชื้นอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาที่ดูลึกลับจนน่าค้นหานั้นมีพลังดึงดูดบางอย่างให้หัวใจของทิมกระตุกสั่น คะน้ามองจ้องทิมด้วยแววตาระริกไหวแล้วเอ่ยถาม


“...จูบได้ไหม?”


“ที่ไหน...”


“...ที่ไหนดี?”


สุดจะทานทน ทิมโหมตัวเข้าหาคะน้าอย่างโหยหา ริมฝีปากบดเบียดไปทั่วร่างกายคนตรงหน้าราวกับจะให้ลุกไหม้ แต่ร่างคนที่สูงไล่เลี่ยกันนั้นกลับผละจาก คะน้าค่อยๆ เอนกายไปด้านหลัง ถ่ายเทน้ำหนักของลำตัวช่วงบนไว้บนผืนกระจกบานใหญ่ น้ำหนักที่ถ่ายเทก่อให้เกิดแสงเงาของกล้ามเนื้อบนแผ่นอกและกล้ามท้องที่นูนตัวขึ้นสูง ลมหายใจของทิมติดขัดจนน่ารำคาญเมื่อดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาราวกับจะเชื้อเชิญ



“แล้ว... ที่ไหนอีก”

...บ้าเอ้ย! นี่จะฆ่ากันให้ขาดใจตายใช่ไหม! วินาทีนั้น หัวใจของทิมราวกับจะลุกเป็นไฟด้วยเชื้อเพลิงในแววตาที่ลึกลับคู่นั้นให้ได้ เขาเบียดร่างของตัวเองเข้าสู่คนตรงหน้าอย่างคนหิวโซ หัวใจกระโจนไปเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ริมฝีปากของทิมพรมลงไปบนเรียวปากสีแดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่ไรฟันสีขาวจะขบที่ริมฝีปากด้านล่าง ...แล้วบดซ้ำลงเบาๆ บนตำแหน่งเดิม


“อื้อออออ...”

หัวใจของทิมหอบสั่นเมื่อได้ยินเสียงอู้อี้เบาๆ ข้างๆ ใบหู แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าเขารู้สึกกับคนตรงหน้าได้มากมายขนาดนี้ มือของคะน้ายกขึ้นมาแล้วค่อยๆ ลูบไปบนร่างกายของเขาอย่างอ้อยอิ่ง ทุกครั้งที่สัมผัสลากผ่าน ทิมรู้สึกเหยียดเกร็งไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ


“ทิมมม...”


“ครับ”


ดวงตาของคะน้าจ้องนิ่งลึกไปในแววตาของเขา ความสลัวทำให้ดวงตาคู่นั้นดูเป็นสีเข้มจนดูลึกล้ำผิดกับทุกครั้งที่ทิมเคยจ้องมอง ...สีกาฬที่ดูราวกับจะซุกซ่อนความลับเอาไว้ข้างใน คะน้าจ้องมองมาที่เขาเหมือนจะทายท้า ริมฝีปากสีแดงจนอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยให้ชวนมอง ทิมหอบสั่นกับภาพที่เห็นตรงหน้า แววตาลามไล้ไปทั่วทั้งร่างกายของอีกคนอย่างอดใจไม่ไหว

แผ่นอกนั้นแผ่กว้างและนูนสูงแทบไม่ต่างอะไรกับเขา หัวไหล่ผายออกรับกับกล้ามเนื้อที่โค้งได้รูปบนต้นแขน ทิมลูบไล้ไปบนแผ่นท้องที่แบนราบ สัมผัสที่เป็นระลอกคลื่นบอกถึงมัดกล้ามที่เกร็งขึ้นจนเรียงตัว ...เร้าความรู้สึกของเขาอย่างประหลาด และเพียงชั่วพริบตา ลมหายใจของทิมก็แทบหยุดนิ่ง เมื่อคะน้าเบียดท่อนล่างของร่างกายเข้าหา แผ่นอกของทิมหอบสั่น ...นี่เขาจะคลั่งตายอยู่แล้ว!


“ทิมมมมมม...”


“ค...ครับบบ”


ทิมยืนนิ่งเกร็งตัวนิ่งราวกับต้องมนตร์ ฝ่ามือที่ลูบไล้นั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นแล้วเหนี่ยวรั้งบนลำคอของเขา คะน้าถ่ายน้ำหนักร่างกายท่อนบนไว้บนตัวของชายหนุ่มที่สูงกว่าแล้วสบตาด้วยใบหน้าที่ระเรื่อแดง ทิมกลืนน้ำลายตัวเองอย่างยากลำบาก ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกกระเจิดกระเจิงได้ถึงขนาดนี้ เนื้อตัวเกร็งไปด้วยน้ำหนักที่ถ่ายเทและความรู้สึกที่อัดแน่นพร้อมจะระเบิดอยู่ภายใน


...อีกฝ่ายก็คงไม่ต่างกัน

คะน้าเบือนหน้าหลบหนี ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำลามไล่ไปกระทั่งถึงลำคอ ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากริมฝีปากที่สะกดสายตานั้น มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ดูเคอะเขิน ทดแทนถ้อยคำที่ปราศจากเสียง ในใจของทิมตอนนี้ โลดแล่นด้วยความฮึกเหิม วงแขนช้อนลงที่ช่วงตัวด้านล่างของคะน้า รัดจนแน่นแล้วยกขึ้น ทิมค่อยๆ เดินช้าๆ กลับเข้าไปด้านใน ร่างกายรับน้ำหนักทั้งตัวของคนที่สูงไล่เลี่ยกันไว้บนบ่าและแขนทั้งสองข้าง ทุกย่างก้าวที่คลานคืบ ริมฝีปากของเขาบดบี้แล้วส่งถ่ายความชุ่มชื้นให้กับสิ่งที่เหมือนกันตรงหน้าจนร้อนดั่งไฟ

เตียงนอนที่หนานุ่มยวบตัวลงด้วยน้ำหนักของคนทั้งสอง ใบหน้าของทิมยังคลอเคลียอยู่ที่เดิมเหมือนไม่อยากผละจาก คะน้ายกมือขึ้นขยุ้มผมตัวเองแผ่วเบาแล้วลากไล้ลงสู่ลำคอ ท่อนขาทั้งสองข้างที่แข็งแรงชันขึ้นแล้วขยับตัวออกจากกันอย่างเชื่องช้า

ความร้อนระอุแผดเผาไปทั้งร่างของจนไหวสะท้าน ภาพที่เห็นทำให้ใจของเขาสั่นอย่างไม่เป็นท่า ทิมโถมตัวเข้าหาอย่างรีบเร่ง กดริมฝีปากตัวเองซับหยาดเหงื่อของคนที่นอนอยู่ไปทั่วทั้งร่าง คะน้าเกร็งคอขึ้นมองจ้อง ฝ่ามือขยุ้มบนผมของเขาด้วยความเหยียดเกร็ง


“ต..ตรงนั้น อย่า....”

ทิมซ้ำลงไปทันทีด้วยสัมผัสที่ร้อนแรงยิ่งขึ้น แปลกที่เขากลับระเริงไปกับความรู้สึกนี้ ร่างกายคะน้าบิดเบี้ยวและเกร็งจนกล้ามเนื้อนูนชัดไปทั้งร่าง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาแบบไม่กระพริบตา ...เขาเองก็หยุดมองแววตาคู่นั้นไม่ได้เช่นกัน


“ทิมมมมม...”



“หื้มมมม...”



“อ..อื้ออออออออออออ...”


แต่แล้วใจของทิมเต้นระส่ำจนแทบบ้า เมื่อใบหน้าของเขาถูกดึงดันขึ้นมาแล้วถูกปรนเปรอด้วยริมฝีปากอย่างเคอะเขิน คะน้าชันตัวขึ้น เสยผมที่เปียกชื้นไปด้านหลังแล้วจ้องมองทิมด้วยแววตาที่เย้ายวนอย่างประหลาด แค่เพียงสัมผัสที่แผ่วเบา ทิมก็ไถลตัวเองลงสู่ฟูกหนาตามความนุ่มนวลที่ถาโถม สัมผัสบางเบาที่พรมพร่าง พริบตากลับกลายเป็นความร้อนแรงดุจเปลวไฟที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้


“โอ๊ะ.......” ทิมร้องเบาๆ ขึ้นพร้อมกับร่างที่ดิ้นพล่าน ...สัมผัสนั้น ทำให้เขาลืมหายใจ



“ต่ายครับ”





“พ..พี่ครับบบ”







“โอ๊ะ..โอะ..โอยยยยยยยย...”


ลมหายใจของทิมหอบสั่น เขารีบดึงร่างของคะน้าขึ้นจูบแล้วพลิกตัวขึ้นด้านบน ชายหนุ่มมองจ้องใบหน้าของคะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน ปลายนิ้วทั้งห้าสางผมที่เหยิงยุ่งของคะน้าไปที่ท้ายทอยแล้วคลอเคลียบนศีรษะอยู่อย่างนั้น เขาจูบที่ปาก แล้วจูบซ้ำอีกครั้ง ...และอีกครั้งอย่างโหยหา ดวงตาของคะน้าแวววาวราวกับแสงของดวงดาวที่เขาเคยมองจ้องทุกค่ำคืน



“พี่ครับ...”

ทิมค่อยๆ โน้มตัวลงจูบอีกครั้งอย่างแผ่วเบาที่หน้าผากแล้วลากริมฝีปากผ่านสันจมูกของคนที่อยู่ด้านล่าง ก่อนที่จะถ่ายทอดทุกความรู้สึกที่มีลงบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ขืนยกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ไออุ่นของลมหายใจพรมพร่างไปทั่วใบหน้าของคะน้า ทิมยิ้ม... และอีกครั้งที่เขาจูบลงไปที่ริมฝีปากนั้นเหมือนไม่อยากไกลห่าง



“พี่... พี่ครับ...”

คะน้ายิ้ม... วงแขนของคนที่อยู่ด้านล่างยกตัวขึ้นแล้วเหนี่ยวรั้งคนที่อยู่สูงกว่าลงไปหา
ในครั้งนี้ เป็นริมฝีปากอิ่มด้วยสีแดงจัดของคะน้าที่ประกบแนบจนแน่นสนิท



...ดูดกลืนทุกถ้อยคำของเขาที่มีจนหายไปหมดสิ้นด้วยรสชาติที่หวานหอม






พระจันทร์ดวงกลมโตค่อยๆ ขยับตัวขึ้นสู่กลางผืนฟ้า
ค่ำคืนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น และคงอีกยาวนานกว่าที่มันจะผ่านไป



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


:o12:  :o12:  :o12:
แก้แล้วแก้อีกเพื่อให้ดู erotic น้อยลง เวอร์ชั่นแรกที่ยังไม่แก้ไขนี่ :sad4:
โอ้ววว... จอร์จ มันยิ่งกว่าเวอร์ชั่นคะน้าหลายเท่านัก 555555555
อ่านแล้วรู้สึกว่าขอปรับให้ลดลงสักหน่อยดีกว่า (ซึ่งก็เป็นแบบที่เห็นล่ะนะ)
แล้วก็ตัดพวกเรียกว่าพี่ทิมออก เพราะคนแต่งก็บ้าๆ บอๆ ไปตามเรื่อง งานนี้ตามใจคนอ่านครับ  :o8:

หลังจากอ่านเวอร์ชั่นนี้จบ ภาพลักษณ์ซึนของทิมคงป่นปี้ไปแน่ๆ
แต่ก็นะ ทำไงได้ อยากอ่านกันดีนัก เป็นไงล่ะ มาดนิ่งๆ ซึนๆ หมดกัน
ตอนหน้าคงเป็นเนื้อเรื่องต่อปกตินะครับ อันนี้นับว่าเป็นตอนพิเศษแล้วกัน
ตอนนี้ เวลาเอามาอ่านประกบคู่กัน คงให้ความรู้สึกที่ดี(มั๊ง)  :impress2:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะครับ + 1 พร้อมแถมกอดแน่นๆ อีกที  :กอด1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เอิ่มมมมมม ฮ่าๆ
ทิมมมมมมมมม โอ๊ยยยย ฮ่าๆ
น่ารักดีออก ไม่เห็นจะป่นปี้อะไรเล๊ยย กร๊ากกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ตายแล้วววววววววว  คะน้าของพี่เป็นแมวยั่วสวาทดี ๆ นี่เอง
แบบนี้ทิมจะไปทนไหวได้ยังงัย  เอ หรือว่าจริง ๆ แล้วทิมมันคิดไปเองเพราะหื่นหว่า

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ทิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม 

อยากร้องเรียก ทิมทิมทิมทิม แบบต่ายบ้าง
โอยยย ไม่ไหวแบ้ววว ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
ที่แท้ทิมก็ ............. กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด

คือว่าเขินมากกกก ต่ายในมุมมองของทิมนี่น่ารักขึ้นเป็นสิบเท่า มุมิเหลือเกิน

(หายใจก่อน ตะกี้กลั้นไว้)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อยากบอกคนเขียนว่าคนอ่านหื่นกว่าทิมเยอะ...คิคิ

ออฟไลน์ warnana001

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คะน้าในมุมมองของทิมนี่ช่าง....อีโรติคมากมาย :pighaun:
อ่านแล้วกรี๊ด สำลักไปหลายรอบ
โอย~ มันช่างน่ารักอะไรอย่างนี้!!! :-[

zerea

  • บุคคลทั่วไป
คะน้าแบบว่า  :m25: สุดๆ  :jul1: ไม่รู้จะใช้คำไหน คนอื่นเค้าพูดกันไปหมดล่ะ--*

คนอ่าน(คนนี้) คิดว่าก็คงไม่หมดมาดหนุ่มซึนหรอก
อย่างเนี๊ยะแหละ  :impress2:

ขอบคุณจ้ะ :impress3: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2013 16:10:09 โดย zerea »

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
โอ๊ย สมใจที่ได้อ่านความคิดของทิม  :mc4: :mc4: :mc4: ขอบคุณมากนะคะ นี่แหละที่อยากรู้
คนซึนคนขรึมไม่ได้จะขรึมไปถึงความคิดนี่เนอะ อ่านเวอร์ทิมแล้วแบบอีโรติกกว่าเวอร์คะน้าไปอีกหลายเท่า
คืออันนี้ไม่โป๊เลยนะ แต่มันเซ็กซี่แอดวานซ์มากกกกกกกกก คะน้าจ๋า ถ้าไม่อยากถูกขังอยู่ห้องก็อย่ายั่ว
อย่ารุกแบบนี้อีก เพราะแค่นี้พระเอกมันก็จะบ้าตายกับความรักความหลงในตัวคะน้าของมันจะแย่แล้วนะ
คือคะน้าอยู่เฉย ๆ ทิมมันก็ว่ายั่วได้นะเออ  พี่ครับ ๆ ๆ แบบพระเอกชั้นทำอะไรไม่ถูก โคตรถูกใจอ่ะ
ชอบพระเอกที่หลงนายเอกมาก ๆ แบบนี้แหละ~~  :-[ :impress2:

คือพระเอกเราควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เมื่อมีคะน้าอยู่ใกล้ ๆ แนะนำว่าไม่ควรจะให้ไปที่ไซต์งานอีก
เพราะมีผลกระทบให้งานเกิดความเสียหายได้ คือวิศวกรใจไม่อยู่กับงานเลยจ้า ทำไปงั้น ๆ
มองไปแต่ใต้ต้นไม้ หาว่าคะน้าไปยิ้มเยอะให้คนโน้นคนนี้อีก ฮุว ก็คนเค้ามนุษย์สัมพันธ์ดีไม่เหมือนเธอนี่เนอะ
หาว่าตาอ้อนด้วย อิอิ มองไปคิดไปคนเดียวเปล่านี่ พระเอกเยอะตล๊อด ชอบตรงที่ำรำคาญเสียงนังน้องแนนนี่แหละ
555 สมใจคนอ่านแท้ นาทีนี้ชะนีหลบไปไกล ๆ จ้า ไม่อยู่ในความสนใจของคุณทิมซักนิดเหมือนลมที่พัดผ่าน
ขนาดพี่เจยังหึงเลยทุกสิ่งอ่ะ สรุปไม่่ให้คะน้ามองใครทั้งสิ้น หวงแท้ ๆ น่ารักอ่ะ ชอบตอนย้วยในรถด้วย
โดยหอมทีหมดแฮงจ้า

อยากอ่านต่ออีกแล้ว เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2:

dewdew

  • บุคคลทั่วไป
กร๊ากกกก หมดกัน ความซึนของน้องทิม คะน้าาา ถ้านางจะร้อนแรงขนาดนี้ๆๆๆ กรี๊ดดด ฟินม๊ากกกก

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
โอ้ววว......ปลื้มค่ะปลื้มมากมาย :m3: :m3: ได้รู้มุมมองคะน้าจากทิมเสียที

น่ารักมากก :o8: เซ็กซี่มากกก :impress2: รักคนเขียนมากกกกกก :กอด1:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ทิมก็เป็นมากนะเนี่ย หลงคะน้าซะหล่ะ

หึงไปหมดเลย มีให้คะน้าเรียกพี่ทิมด้วยนะ 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Usukushii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :impress2: ขออย่างทิมคนดิ

กรี๊ดดดดดดด ไม่ไหวแล้ว ทิมน่ารักอ่ะ

อ่านไปใจเต้นรัว  :-[

 :pig4:

ออฟไลน์ davina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคะน้ายั่ว(แบบไม่รู้ตัว?) รึทิมมโน(แบบหื่นๆ)ไปเอง?
แต่ที่รู้ คือ เลือดหมดตัวแล้วว อร๊ายย
นี่ขนาดคนเขียนลดทอนความอีโรติก(?)แล้วนะ

ปล. อยากอ่านเวอร์ช่ันแรกที่ยังไม่ได้ลดทอนความหื่น เอ้ย ความอีโรติกอ่ะค่า
*อิเจ๊นี่ ได้คืบจะเอาศอก 555*

ออฟไลน์ ♥KïssKïss_KÚRÚ♥

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ทิมหื่น หรือว่า คะน้า ยั่วโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้น่ารักมาก ไม่รู้ทำไมอ่านไปยิ้มไป

รอตอนต่อไปครับ

RGB.__

  • บุคคลทั่วไป
โอยยยยยยยยยย

 :o8:

ทำไมผัดคะน้าจานนี้มันแซ่บขนาดนี้  :o8:
ภาพมุมมองของทิม หมดกัน ภาพลักษณ์  :laugh:
ถ้าจะห่วงน้องต่ายขนาดนี้ แนะนำให้ล่ามโซ่ แล้วจัด โซ่ แส้ กุญแจมือ  :laugh: /ผิดประเด็นตลอด

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
เราชอบแบบแรกที่เล่าผ่านมุมมองของคะน้ามากกว่านะคะ
การที่ทิมให้ต่ายเรียกว่าพี่ทิมมันสะท้อนให้เห็นความรู้สึกในใจที่อยากจะเป็นเจ้าของ คอยดูแลปกป้องน่ะ ^^

MonaLis

  • บุคคลทั่วไป
 :o8:
กร๊ากกกก นี่แหละที่ฉันเฝ้าคอย!!!!
 :กอด1: คนเขียน

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ทำไมเราว่าเวอร์ชั่นนี้ อิโรติกมากกว่าเก่าอีกอ่ะ 555+ :laugh:

แต่คะน้านี่ ร้อนแรง เซ็กซี่ โฮกกกกมากอ่ะ  :z1: :z1:

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่ไหวแล้วอ่านไปก็ทำร้ายตัวเองไป เขินอ่ะ
แบบอีโรติกสุด แต่เราชอบนะบรรยายแบบนี้เร้าอารมณ์สุดๆ -..-

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด(ได้ไงไม่รู้) ไหนๆ ว่างๆ อัพนิยายเลยแล้วกัน กร๊ากกกก

สวัสดีครับ อ่านเวอร์ชั่นทิมไปคงให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปอีกมุมเนอะ
เวอร์ชั่นทิมโป๊กว่าจริงๆ เรื่องของเรื่องก็คือ ตัวทิมมันติดจะหื่นๆ นั่นล่ะ
ต่ายทำอะไรนิดหน่อย พี่ทิมแกจัดมาเต็ม เรื่องมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้
ถ้าไม่ทอนความคิดของทิมออก โดนท่านโมฯ ดุเอาแน่นอน กร๊ากกกกกก...
ถามว่าชอบเวอร์ชั่นไหนมากกว่า คนเขียนชอบฝั่งต่ายมากกว่า มันละเมียดดี

ตอนต่อไป กลับสู่โหมดเวอร์ชั่นปกติเสียที อ่านแล้วอย่าเพิ่งเซ็งกับเนื้อหาแนวนี้นะครับ
จะพูดยังไงดีล่ะนะ ข้าวใหม่ปลามัน มันก็คงอะไรแบบนี้หรือเปล่าครับ 55555
+ 1 ให้กับกำลังใจจากเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ ขอบคุณมากมาย อ่านตอนที่ 23 เลยครับ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ 23



...รู้สึกมึนหัว

ตีห้าครึ่ง... อากาศหนาหนักและเย็นจนร่างที่เปล่าเปลือยรู้สึกหนาว หมอนที่หนุนนอนไม่ได้นุ่มเหมือนทุกวันที่ผ่านมา กระนั้นก็ให้ความรู้สึกอุ่นอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าแขนทั้งสองข้างหนักกว่าที่เคย หรือเป็นเพราะร่างกายตัวเองที่อ่อนล้าเรี่ยวแรง คะน้ายกมือฝ่ามือขึ้นจับที่หน้าผาก ก่อนจะพบว่าท่อนแขนของคนข้างๆ นั้นต่างหมอนที่ใช้นอนหนุนอยู่


เรื่องเมื่อคืน...

จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนวาบ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะสายตาอุ่นๆ ที่จ้องมองอย่างชิดใกล้ กระนั้น สัมผัสแผ่วเบาบนไรผมให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด

“กี่โมงแล้ว”

“นอนต่อเถอะ บอกพี่ผักกาดแล้ว”

คะน้าพยายามฝืนตัวลุกขึ้นแต่เหมือนกับเรี่ยวแรงจะไม่เอื้ออำนวย จังหวะที่พยุงตัวขึ้นทำให้ร่างกายได้รับรู้ถึงความจุกที่ช่วงท้องเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ชายหนุ่มมุ่ยหน้าก่อนทิ้งตัวลงที่เดิมอีกครั้ง ยอมแพ้กับพิษไข้และความหน่วงที่ถาโถม

“แต่ที่ตลาด...”

“อยู่เฉยๆ เถอะ”

แค่แรงกดเบาๆ ที่หัวไหล่ก็ยอมแพ้อย่างง่ายดาย ไม่มีแรงจะสู้ ...ไม่อยากจะอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ ห้านาทีต่อมา ใครบางคนกำลังประคองให้ลุกขึ้นนั่ง เป็นการประคองที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยได้รับ คะน้าพิงหัวบนหมอนหรืออาจจะบนแขนของใครบางคน อย่างไรก็ตาม ...รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย ยาสองเม็ดถูกป้อนเข้าปากด้วยปลายนิ้ว ไม่นานนักแก้วน้ำก็จ่ออยู่ที่ริมฝีปาก เขาจิบน้ำ ปล่อยให้ยาขมๆ ลงสู่ลำคอแล้วผล็อยหลับไป



แปดโมงเช้า... ลมเย็นของเดือนกุมภาพันธ์พัดพาเมฆหม่นมัวปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เหลือเพียงแค่แสงแดดรำไรลอดผ่านก้อนเมฆเพียงเล็กน้อย ไออุ่นสาดแสงทะลุผ่านกระจกโปร่งใสมาไล้เปลือกตาที่หนาหนักของคะน้าให้ตื่นขึ้นจากนิทราอีกครั้ง


...คนข้างๆ ยังอยู่ที่เดิม หลับไหลด้วยความอ่อนล้า

ใบหน้าด้านข้างของทิมเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น หากแต่ความรู้สึกในใจของเขาเองต่างหากที่เปลี่ยนไป แค่เห็น ...เพียงแค่ได้มอง หัวใจก็ไหวสั่นและพองโต คำรักนับครั้งไม่ถ้วนที่กระซิบข้างหูเมื่อคืนยังกึกก้องในหัวสมอง ไม่อยากเชื่อเลย ว่ามันเป็นเรื่องจริง เนิ่นนานก่อนที่ริมฝีปากอิ่มงุ้มตัวขึ้นสูงแล้วเผยอขึ้น

“ไม่เบื่อบ้างหรือไง” ทิมค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วหันมามอง “หื้มมมม...?”

คะน้าพลิกตัวไปอีกทาง หลบสายตาที่ทำให้วางตัวไม่ถูก “ไม่ไปทำงานหรือไง เดี๋ยวสาย”

หลงลืมไปแล้วว่าตัวเองหนุนอยู่บนแขนของคนข้างๆ เพียงแค่ทิมยกกระหวัดขึ้น ตัวของคะน้าก็เหมือนถูกยกหมุนกลับมาสู่อ้อมกอดคนที่นอนใกล้ๆ พริบตา ริมฝีปากจูบลงตรงขมับแทนคำทักทายยามเช้า

“ลาแล้ว”

“แรงควาย”

ไม่ได้อยากพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีไปกว่านี้ คะน้าไม่ชอบรอยยิ้มกับสายตาแบบนั้นเลย มันทำให้ตัวเองรู้สึกเคลิ้มอย่างประหลาด คนข้างๆ หัวเราะร่าแล้วกระชับวงแขนแน่น หน้าผากที่ลดตัวลงมาสัมผัสบนหน้าผากเขาทำหน้าคะน้าอึดอัด

“ไข้ลดแล้วนี่”

“มันเพราะใครล่ะวะ” คะน้าบ่นงึมงำ ทิมหัวเราะร่วน

“เจ็บท้องด้วยเหรอ”

“เออสิ!” ไม่ได้โกรธอะไรแม้แต่น้อย จะว่ายังไงดี ...เขินที่พูดถึงมากกว่า

ทิมยิ้มและลดมือลดมาลูบที่ท้องน้อยของคะน้าเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “ดีขึ้นยัง”

บุคลิกติดจะทนงและกวนโทสะ เผินๆ ทำให้ทิมเหมือนคนกระด้าง ยิ่งนิสัยพูดน้อยต่อยหนัก ดูจะทำให้อะไรๆ ดูสวนทางไปจากความเป็นจริงกับตัวตนของทิมที่ทำให้คะน้าหัวใจสั่นไหวอยู่ในขณะนี้ คะน้าพยักหน้าหงึกๆ ไม่อยากจะตอบเพราะรู้ว่าเสียงของตัวเองคงสั่นไม่น้อย ...พักหลังๆ อยู่ใกล้ทิมทีไร เหมือนจะขาดอากาศหายใจเอาทุกที ทิมกอดแน่น ซุกไซ้ใบหน้าตัวเองอยู่ไม่ห่าง ริมฝีปากจูบพรมไปทั่วเหมือนกับไม่รู้สึกเบื่อหน่าย



ถ้าจูบเปลี่ยนเป็นแสตมป์เซเว่นได้ เมื่อคืน เขาคงแลกเก้าอี้ตัวใหญ่สุดนั่นได้แล้ว!

ทิมยังวนเวียนคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง อาจเพราะเพิ่งสร้างจากพิษไข้ คะน้าถึงพึ่งจะรู้สึกถึกสัมผัสแปลกๆ ใต้ผ้าห่ม พอจะเริ่มเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร หน้าก็ชา คะน้านอนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างฝืดเคือง

...ดูเหมือนว่าทิมจะพอรู้ตัวแล้วว่าเขารู้สึกอะไร เจ้าตัวถึงเบียดเน้นเข้าหา เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของทิมตอนนี้ ฟังแล้วให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย นายพรานเคยบอกว่าถ้าเวลาเข้าป่า เจอหมีให้แกล้งตาย ...อย่าเข้ามานะไอ้หมีบ้า!

คะน้ากลั้นหายใจจนหน้าดำหน้าแดง แต่สัมผัสสากที่ลามไล้ลำคอจนเปียกชุ่มทำให้คะน้าสะดุ้งเฮือก



แปดนาฬิกาสิบเจ็ดนาที... ขีดคำว่าหน้าดำทิ้ง เหลือแค่คำว่าหน้าแดง

“ทะลึ่งว่ะแม่งงงง” คะน้าหันไปแง่งใส่ด้วยใบหน้าที่ร้อนชา ‘อือฮึ’ คือคำตอบรับสั้นๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาของไอ้หื่นที่นอนอยู่ข้างๆ ...แม่ง ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า ในพริบตานั้น ทิมขยุ้มผ้าห่มแล้วโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี

“เห้ยยย! ทำอะไร หนาวนะ”

“นึกว่าร้อน เห็นหน้าแดงๆ ดูสิ เหงื่อออกด้วย”

“หนาว!!!! เล่นอะไรเนี่ย! ทะลึ่งว่ะคนเรา” คะน้าลุกขึ้นแล้วตะกายไปที่ปลายเตียง กวาดมือควานหาผ้าห่มผืนหนาที่หล่นอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ไปไม่ถึงไหนข้อมือก็โดนคว้าไว้แล้วดึงกลับเข้าสู่วงแขน ทิมกระชากอีกมือที่เกาะกุมท่อนล่างออก แววตาเจ้าเล่ห์ดูน่ากลัว เหมือนเป็นกองพิสูจน์หลักฐาน ชายหนุ่มก้มมองท่อนล่างของตัวเองแล้วเหลือบตาไปมองของคะน้า ทิมฉีกยิ้มกว้าง



...สำเนาถูกต้อง

คะน้านั่งนิ่งร้อนวาบไปทั้งหน้า เนื้อตัวชาด้วยความเขินอาย ทิมปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของคะน้า หลักฐานโทนโท่จนไม่รู้จะโต้แย้งไปทำไม นาทีนี้ คะน้าได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่เหลืออะไรจะให้ปกให้ปิดอีกต่อไปแล้ว ...อยากดูนักก็ดูไปเลย แม่งงง

“หนาวน่ะ เลิกเล่นเถอะ เอาผ้าห่มมา”

“หนาวเหรอ” ทิมเลิกคิ้วขึ้นสูง ว่าแล้วก็หยิบรีโมตเครื่องปรับอากาศขึ้นมากดปิดแล้วหันมายิ้มหวาน วงแขนกระหวัดร่างของคะน้าเข้ามาสวมกอด

“หายหนาวยัง ...หื้มมม?”

กอดรัดคะน้าจนแนบแน่น ปลายคางงุ้มกดลงบนหัวไหล่อย่างคลอเคลีย สันจมูกปาดไล้ไปตามลำคอจนคะน้าส่งเสียงอู้อี้เบาๆ อย่างขัดขืน ทิมยิ้มแล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงใจ ฝ่ามือของเจ้าหน้าที่พิเศษกองพิสูจน์หลักฐานค่อยๆ ลดต่ำลงแล้วสัมผัสร่างกายของคะน้า



...ตรวจสอบสำเนาอีกครั้ง -"-

ไม่รู้อะไรเป็นอะไร คะน้าทิ้งน้ำหนักตัวบนร่างคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง หรือไม่ก็บนหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง ใบหน้าที่ร้อนวาบแดงฉานเหมือนถูกแต้มสีเชิดขึ้นด้วยความรู้สึกไหวสะท้าน สองมือพยายามอย่างหนักที่จะดันดึงมือที่ซุกซนของทิมให้ออกห่าง ...แต่หนวดปลาหมึกนี่มันเหนียวชะมัด ...จนปัญญา คนอายุมากกว่าจึงได้แต่ร้องอุทธรณ์

“เมื่อคืนยังไม่หายดีเลยนะเว่ยยย!”

“แปลกแฮะ ร่างกายดันบอกอีกอย่าง” ปลายนิ้วของทิมยกขึ้นแล้วปาดบนลิ้นตัวเอง คนตัวโตลอยหน้าบีบเสียงเป็นเด็กที่ไม่รู้ความ มือไม้ถูกลดตัวลงอีกครั้งเพื่อตามรังควาญคนตรงหน้าในอ้อมกอด

“...นี่ไง มันบอกแบบนี้” คะน้าสะดุ้งเฮือก!

“ก็... พ..เพิ่งกินยาไป เขาบอกว่าให้พักผ่อน ...อื้อออออ” คะน้าบิดหน้าเข้าหาทิม บางทีก็ไม่รู้ว่าเกลียดหรือชอบกับสิ่งที่อีกคนทำ

“แล้วเคยได้ยินไหม? ที่เขาบอกว่า...” ทิมโน้มตัวลงมาจูบเน้นที่ริมฝีปากแล้วส่งยิ้มหวาน




“...หนามยอกให้เอาหนามบ่ง”

ข้อโต้แย้งถูกหยุดไม่ให้ยืดเยื้อเมื่อทิมประกบริมฝีปากเข้าหา ปิดการทำงานของปากอีกคนด้วยปลายลิ้นที่ฉ่ำหวาน คะน้าดันตัวออกอย่างยากลำบาก

...คงเพราะไข้ที่ทำให้ไม่ค่อยมีแรง

...คงใช่

“จะไม่ทำให้เจ็บอีกแล้ว” ทิมกระซิบข้างๆ หู คะน้าก้มหน้าลงช้าๆ แล้วหลับตา





สิบนาฬิกาสี่สิบห้านาที... ทิมนอนหอบเนื้อตัวพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเปียกปอน คะน้าเสยผมที่หมาดชื้นของตัวเองที่ตกลงมาปกใบหน้าของไปด้านหลัง เหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ อย่างเซ็งจิต กระนั้นเจ้าตัวก็ยังมีหน้าหันมาส่งยิ้มหวานแล้วยักคิ้วให้อีกหนึ่งที

“จะทำอะไรอีกล่ะ” คะน้าขมวดคิ้ว ในใจยังนึกหวาดๆ คนที่ยิ้มให้ส่งตาหวานเยิ้มกลับมา

“นั่นสิ ทำอะไรอีกดีน๊า...”

ทิมกวาดแขนขึ้นแล้วพลิกตัวกลับมากอดคะน้าแล้วหอมลงที่แก้มหนึ่งฟอด ก่อนจะพริ้มตาหลับลง แม้จะเห็นจนบ่อยแค่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ ใบหน้าของทิมในระยะใกล้ดูดีจนเขาไม่อยากหยุดสายตา ทิมดูจะพร้อมไปทุกอย่าง หน้าตา รูปร่าง ฐานะ คุณสมบัติอื่นๆ แถมเรื่องอย่างว่าก็... ใบหน้าคะน้าร้อนวาบจนแดงฉาน

เอาเถอะๆๆ คือยังไงล่ะ เอาเป็นว่าคนอะไรมันจะเพอร์เฟ็กต์ไปทุกอย่างแบบนี้วะ หาข้อติยังแทบจะหาไม่เจอ คนบ้าอะไรว๊า... ขนาดเหงื่อซ่กแบบนี้ยังหล่อไม่บันยะบันยัง คะน้าถอนหายใจเฮือก ได้แต่รำพันพร่ำเพ้อกับตัวเอง

คิดดูสิครับ ขนาดไอ้นั่น... คะน้าเหลือบมองลงไปด้านล่าง แล้วค่อยๆ หันมามองที่สำเนาของตัวเอง



แม่งงงงงงง!!! โลกนี้ไม่เห็นยุติธรรม!

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยที่จะสมหวังในความรักกับใครแบบเขา จนเจ้พาไปทำสายตา เริ่มเปลี่ยนแปลงทรงผม ดูแลตัวเองขึ้น ได้พบกับทิม นับตั้งแต่วันแรกกระทั่งถึงนาทีตรงหน้านี้ ทิมดูเหมือนสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับตัวเขาด้วยซ้ำ แถมเมื่อคืนก็ยัง...

ใบหน้าร้อนวาบ ลมหายใจติดขัดจนแน่นหน้าอก คะน้ารีบสลัดหัวตัวเองไล่ความคิดทั้งหมด หันไปเหลือบมองที่ใบหน้าของทิมอีกครั้ง มองนิ่ง ...และนิ่งอยู่อย่างนั้น


...อยู่ๆ ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก

“ท..ทิม” คนที่ถูกเรียกชื่อปรือตาขึ้นด้วยความสงสัย รอยยิ้มน้อยผุดขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า พักหลังๆ ดูทิมจะยิ้มง่ายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“หืมมม?”

“ค..เคยอย่างว่ามาแล้วใช่เปล่า” จู่ๆ คะน้าก็โพล่งถามขึ้นมา ดวงตาของทิมเบิกโพลงกับคำถามที่จู่ๆ ก็ได้ยิน ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามครั้งแล้วเบือนหน้าไปอีกด้าน ฮึ... จงใจหลบสายตาอย่างนั้นสินะ

“อ่า... ก็นะ...” ทิมสูดลมหายใจเข้าลึกจนแผ่นอกขยายตัวกว้างแล้วผ่อนลมหายใจ ชายหนุ่มหันมาหาคะน้าแบบเลี่ยงๆ สายตา “ก็ไม่ได้คบจริงจังอะไรหรอก แค่สนุกๆ กิ๊กๆ กันมั๊ง”

“หวังฟันอย่างเดียวเลยสินะ นายนี่มัน! เฮ้อออ...” คะน้าหันไปส่งตาเขม่น รู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจกับคนข้างๆ ขึ้นมาดื้อๆ ทิมเหลือบมองหวาดๆ เม็ดเหงื่อซึมขึ้นมาบนใบหน้า

“แล้วทำไมต้องหงุดหงิดกับอะไรพวกนี้ด้วยนะ”

“ก็แค่อยากรู้ ไม่ได้หงุดหงิดเว่ย!” ปฏิเสธเสียงเข้ม ไม่ชอบใจที่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูล ย้ำอีกครั้ง ...ไม่มีมูล!

“แต่หน้าดูหงุดหงิดมากนะ” ทิมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ

“ไม่หงุดหงิดเฟ้ย!” ถามอะไรนักหนา บอกว่าไม่หงุดหงิดก็ไม่หงุดหงิดสิ! แต่คนข้างๆ ยังคงมองจ้องไม่วางตา

“โอ้ย โมโหแล้วนะโว้ย” คะน้าทะลึ่งตัวขึ้น แต่ไม่ทันไร ความจุกหน่วงที่ท้องที่ดูว่าจะมากขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เสียเจตนารมย์ คะน้าเซกลับลงมานอนที่เดิมด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมอย่างที่เจ้าตัวคิด ทิมยิ้มแล้วเอามือขยุ้มหัวเบาๆ

“นอนพักก่อนเถอะ เดี๋ยวไปทำอะไรให้กิน” ว่าแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินอาดๆ ออกไป คะน้าถอนหายใจพรืดแล้วมองตาม ...กวนประสาท แถมเดินโทงๆ ได้ไม่หายฟ้า คนอะไรวะเนี่ย


กระนั้น คะน้าก็มองตามจนร่างสูงหายไปจากสายตา

แขนขวายกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ดูเหมือนว่าไอร้อนของไข้จะถูกทดแทนด้วยความหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลที่แทรกเข้ามาในหัว จะอธิบายความรู้สึกนี้ว่ายังไงดีล่ะ ไม่เชิงว่าไม่ชอบใจ อืม... แต่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่กับ... กับอะไรนะ ท่าทางหรือ ก็ไม่ใช่ คำพูดก็ไม่เชิงนะ ไม่หรอก ถ้าอย่างนั้น ไม่ชอบใจอะไรล่ะ



...อดีตอย่างนั้นหรือ?




(มีต่ออีกครึ่งหนึ่งครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับๆๆ)



คะน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำตอบที่ค้นหาไม่เจอ วุ่นวายอยู่สักพักกระทั่งทิมเดินกลับเข้ามาในห้องนอน เสื้อผ้าลำลองสวมใส่อยู่บนเนื้อตัวที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ พร้อมกับโจ๊กหมูใส่ไข่ที่มีควันลอยฉุย เรียกว่ามีครบพร้อมทุกอย่าง



...แต่ใจคอจะให้แก้ผ้าอยู่แบบนี้ทั้งวันให้ได้ใช่ไหม?

“แบบนี้น่ามองกว่า” ...พูดได้หน้าตาเฉย!



เที่ยงตรง... อาหารมื้อแรกของของวันตกถึงท้อง ปรุงโดยทิม เป่าโดยทิม และป้อนโดยทิม ...ทำไมไม่กินเองไปเลยล่ะ บอกว่าจะกินเองก็ไม่ยอม แล้วมันก็เป็นอย่างนี้

คะน้าหันไปมองหน้าคนที่ยื่นช้อนมาพร้อมยิ้มหวานๆ ...จะว่าไปรสชาติก็ดีจริงๆ นึกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือหรูสุดก็น่าจะเป็นข้าวต้ม ในไม่กี่นาที ใครจะไปคิดว่าทิมทำโจ๊กใส่ไข่ที่เนื้อเนียนละเอียด หมูสับนุ่มแบบหมักมาเป็นอย่างดีขนาดนี้ คิดแล้วก็อึ้งๆ ว่าตุ๋นไปได้ยังไง


ทิม... แกเป็นวิศวกรหรือเป็นเชฟวะ?

“อ้ามมมม...” ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ! คะน้าอ้าปากแล้วทานด้วยด้วยความรู้สึกเขินๆ อืม... แต่อร่อยจริงๆ แฮะ ไม่แพ้กับโจ๊กร้านดังๆ ที่คะน้าเคยชิมเลย ที่สำคัญเครื่องเพียบ!

“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ” ทิมถามด้วยความสงสัย อยากจะบอกไปว่า เออสิ ...แต่เรื่องอะไรจะตอบล่ะ คะน้าหลับหูหลับตาทานโจ๊กในช้อนต่อ ไม่สนใจกับคำถามที่คนทำรอฟัง ทิมยกหัวไหล่ขึ้นเล็กน้อย ตักโจ๊กในชามแล้วยกขึ้นเป่าต่อ ทิมยกช้อนขึ้น ความเคยชินทำให้คะน้ามองตามแล้วอ้าปากรอ


...แต่ทิมมันกลับกินเอง!

“อื้ม... ใช้ได้จริงด้วย” ทิมหันมายิ้มหวาน ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไงตอบกลับไป แต่ท่าทีของทิมดูเหมือนจะกระวีกระวาดบริการกว่าเดิม ซึ่งไม่รู้ไปจำมาจากละครหลังข่าวหรืออะไร แต่มันเป็นมื้ออาหารที่ทุลักทุเลและช้าจนน่ารำคาญมากสำหรับคะน้า



เที่ยงครึ่ง... เสียง ‘อ้ามมมมมมมม...’ สุดท้ายก็สิ้นสุดลงพร้อมกับความว่างเปล่าในชาม คะน้าจิบน้ำจากแก้ว แน่นอนว่าเขารีบฉวยคว้าแก้วขึ้นมาดื่มเองก่อนที่ทิมจะจัดแจงประเคนอีก ...ไม่ได้ป่วยจนไม่มีแรงขนาดนั้น

“จะว่าไปแล้ว ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนะ” ร่างสูงยกแขนขึ้นเท้าบนหัวเข่าแล้วชันขึ้นก่อนจะวางใบหน้าตนเองลงบนฝ่ามือแล้วนั่งเอกเขนก ทิมยิ้มแป้นเจ้าเล่ห์

“เซ็กซ์ก็ไม่เคยมีกับคนที่ตัวเองรักเลยนะ หรือกับผู้ชายด้วยกันก็ไม่เคย”

พรวด!!!

คะน้าเผลอพ่นน้ำออกมาด้วยความสำลัก ทิมดูจะไม่สนใจ ตาพริ้มยิ้มละไมเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่แปลกพิศดาร





“แบบนี้ก็เท่ากับว่าหนูต่ายเป็นคนเปิดซิงพี่ทิมเลยน๊าาา...”

พรวด!!! (อีกหน) พร้อมความรู้สึกวาบไปทั้งหน้า



บ่ายโมงครึ่ง... ได้สวมเสื้อผ้ากับเขาเสียที แน่นอนว่าเป็นของคนที่ยืนส่งยิ้มอยู่ข้างๆ ...เคยคิดว่าขรึมนักหนา ทำไมไปๆ มาๆ ดูเหมือนคนติงต๊องไปซะได้ ชุดลำลองของทิมดูเหมือนจะพอดิบพอดีกับตัวคะน้า อาจเพราะรูปร่างที่ไล่เลี่ยกันมั๊ง เสื้อผ้าถึงใส่แทนกันได้เหมือนเป็นเจ้าของเอง ส่วนเจ้าตัว แต่งเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวเกือบเต็มยศ ได้เวลาแยกย้ายไปอะไรๆ เสียที

“มีธุระต้องทำนิดหน่อยน่ะ” ทิมโพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คะน้าหันไปมองแล้วพยักหน้า ...ต้องบอกกันด้วยเหรอ?

“อยากให้รู้” ...เฮ่ย!!! ได้ยินหรือไงเนี่ย!

คะน้าหันไปมองทิมอึ้งๆ ชายหนุ่มยิ้มกลับ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้กวนประสาทแบบที่ผ่านมาตลอดวัน แววตาคู่นั้นทอดมองด้วยความรู้สึกที่ห่วงใย

“ยังจุกท้องอยู่ไหม?” คำถามนั้นทำเอาคะน้างุดหน้าลง

“นิดหน่อย แต่พอไหว ดีขึ้นแล้วน่ะ”

“ขอโทษนะ”

“อื้อ... ไม่เป็นไร”

ความรู้สึกของคะน้ารู้สึกแปลกในใจอย่างบอกไม่ถูก วิธีปฏิบัติตัวของทิมที่มีต่อเขาให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด เหมือนผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก เหมือนผู้ชายที่ดูแลผู้หญิงที่รัก เหมือนคู่รักที่คอยดูแลกันและกัน และไม่ว่ารูปแบบมันจะพ้องหรือคล้ายกับรูปแบบใด ...คะน้ายอมรับว่ามันให้ความรู้สึกที่ดี



“แบบนี้เราต้องฝึกฝีมือกันให้บ่อยขึ้น ว่าไหม” ทิมหันมายักคิ้วให้หนึ่งครั้งแล้วยิ้มหวาน

บ่ายโมงห้าสิบห้านาที... ข้าพเจ้าให้ความคิดทุกอย่างเมื่อกี้เป็นโมฆะ


“ว่าแต่ไปดูทำงานต่อเหรอ” อดห่วงไม่ได้ที่ทิมต้องมาเสียเวลากับเขาไปครึ่งค่อนวัน

“ไม่เชิงหรอก แต่ก็ต้องไป” ทิมหันมายิ้ม

“เหอะ ทางนั้นมีเรื่องสำคัญก็ไม่บอก จริงๆ ไม่เห็นต้องอะไรแบบนี้เลย เกรงใจ” คะน้าถอนหายใจ แต่ทิมยิ้มกว้างแล้วโอบมือขึ้นบนบ่าคะน้าเบาๆ


“เพราะทางนี้ก็สำคัญไง”

ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกที่ชั้นห้องพักของคะน้า ทิมก็โอบหัวไหล่เข้ามากระชับ ริมฝีปากจูบลงที่กระพุ้งแก้มฟอดใหญ่ คะน้าเดินเป๋ออกจากลิฟต์ด้วยความรู้สึกที่ตีรวนไปหมดในหัวสมอง



บ่ายสอง... หัวถึงหมอนอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่พองฟูจนอัดแน่น อิ่มเอมไปทั้งหัวใจจนคะน้ารู้สึกว่าตัวเองเมื่อยแก้มจนทรมาน เตียงนอนหนานุ่มไม่อาจดูดซึมความสุขที่เรี่ยราดจนเกลื่อนกลาดในตอนนี้ ฉากบิดตัวไปมาด้วยความสุขที่เปี่ยมล้นที่เคยเห็นในหนัง ครั้งหนึ่งคะน้าเคยมองว่าเป็นการกระทำที่ไร้สาระ น่าขบขัน และไม่น่าจะเป็นกิริยาอาการใดที่จะเกิดขึ้นจริงกับมนุษย์โลกได้ ...วันนี้ขอถอนคำพูดเหล่านั้นทั้งหมด และไม่นานนัก คะน้าผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวด้วยความมึนจากพิษไข้ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม



หกนาฬิกาสามสิบแปดนาที... ชายหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีไข้หลงเหลือแล้ว แต่อาการหน่วงจุกตรงช่วงท้องยังเสียดทุกครั้งที่ย่างก้าวเดิน สิ่งที่คะน้าพอจะทำได้คือการเดินให้น้อยที่สุดและช้าที่สุด เป็นภาพที่ผิดปกติเล็กน้อยที่คะน้าซึ่งปกติเดินว่อนไปทั้งวันกลับนั่งรากงอกอยู่กับที่เนิ่นนานหลายนาที


...แน่ล่ะ ลุกขึ้นยืนทีมันปล๊าบบบบ...ไปถึงทรวง

กระนั้นก็ต้องเดินไปทำธุระในห้องน้ำบ้าง ทุกข์เบาก็เป็นเรื่องหนักในเวลานี้ คะน้าเดินเอามือจับท้องเกือบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย โชคดีที่โลกนี้มียาแก้ปวด ฤทธิ์ยาจึงบรรเท่าความหน่วงให้เบาบางลงให้เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ครู่หนึ่ง ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างหญิงสาวในชุดทำงาน ส้นสูงแหลมปริ๊ด

“ต่ายยยยยย... เป็นยังไงบ้างน่ะ” จากหน้าประตู ผักกาดวิ่งแล้วโถมมาทั้งตัว บางครั้งคะน้าก็คิดว่าพี่สาวของเขาน่าจะไปได้ดีกับการนักกระโดดไกล จังหวะเทคตัวกระโดดของผักกาด มันดูสมบูรณ์จนไม่มีที่ติ แต่คิดแล้วก็สยองว่าเขาจะแก้ตัวกับเจ้ว่าอะไรดี จะบอกความจริงก็ไม่กล้า เกิดเป็นคะน้านี่มันกลุ้มๆๆๆๆ

“เจ้... คือว่า... คือเมื่อคืน...”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ทิมบอกว่าต่ายท้องเสียหนักมาก ถ่ายหนักทั้งคืนจนลุกไม่ไหว เลยขอให้พักที่ข้างบน เจ้เป็นห่วงเราแทบแย่ จะขึ้นไปหา ก็บอกว่าเราหลับไปแล้ว นี่นะ ไปกินอะไรมาอีท่าไหนเนี่ย” ผักกาดเอามือแต่เผี๊ยะๆ ปากก็รัวคำพูดใส่เป็นชุดจนคะน้าตั้งหลักตอบไม่ถูก แต่...




...หืมมมมม? ท้องเสีย?!?!?!

“ดูเดินเข้าสิ นี่ยังปวดท้องอยู่ใช่ไหม ทานยาแล้วใช่ไหม ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” สารพัดใช่ไหม จนตอบไม่ถูกเลยใช่ไหม เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ก่อนสิคร้าบบบบบ...

“โอ้ย... ต่ายเอ้ยยย... คราวหลังให้เพื่อนเราทำให้กินรู้ไหม แล้วรู้หรือเปล่า ธาตุไม่แข็ง คราวหลังไม่ต้องไปซื้ออาหารที่เค้าหาบขายอีก ทิมมันก็ทำอร่อยขนาดนี้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฝากท้องกับพวกซุเปอร์เอา รองท้องไปก่อน กลับมาให้ทิมทำให้ ไม่งั้นก็ทานร้านที่เราเคยทานน่ะ เลือกที่ไว้ใจได้ ไม่ได้ละ เดี๋ยวเจ้ต้องกำชับทิมซะแล้วล่ะ ไม่ได้เลย ปล่อยไม่ได้แล้วเราน่ะ ทำให้เจ้เป็นห่วง” ผักกาดรัวเป็นชุดแล้วเปิดกระเป๋า คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ใช้เวลาหาชื่อไม่กี่วินาที หญิงสาวก็กดโทรออก

“ทิม!!!! เจ้นะ!” ว่าแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตู สาบานได้ว่าคะน้าได้ยินเสียงแหลมปริ๊ดของผักกาดที่สั่งรัวเป็นสลุด ...ปล่อยให้คะน้ายืนอ้าปากหวออยู่กับที่



สองทุ่มสี่สิบห้า... ในที่สุดคะน้าก็ได้คุยเป็นครั้งแรกกับผักกาดในรอบวัน หลังจากกำชับเรื่องการทานอาหารเป็นการใหญ่โต ผู้เป็นพี่ก็สรรเสริญเยินยอทิมราวกับเป็นเทวดาก็ไม่ปาน

“เป็นคนใช้ได้เลยนะ บอกตรงๆ นะ พักหลังเราน่ะเหลวไหลขึ้นทุกที ทานข้าวก็ไม่เป็นเวลา ตัวจะผอมจนเหลือแต่กระดูกเอา โชคดีที่ทิมพอไว้ใจได้ เจ้กำชับแล้วว่าให้ดูแลต่ายน้องเจ้เป็นอย่างดีเลยล่ะ”



ฝากปลาทูไว้กับแมว ฝากกระต่ายไว้กับหมาป่ายังวางใจได้กว่า ...เชื่อสิ

คะน้าได้แต่มองแล้วทำตาปริบๆ ไม่รู้จะพูดยังไงกับพี่สาว เมื่อที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนที่เจ้ฝากให้ดูแลนั่นล่ะ หลังจากบ่นจนเหนื่อย สักพัก ผักกาดก็หันมาทำท่าจริงจังกับคะน้า

“เอ้อต่าย เจ้ว่าจะพูดกับเราตั้งนานละ บ้านที่ต่ายซังพักน่ะ เจ้ว่าเราขายดีกว่าไหม แล้วมาพักกับเจ้ที่นี่ ต่ายเองอยู่คนเดียว เจ้ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่เลย แถมแต่ละวันก็อยู่ที่ตลาดซะนาน อยู่ติดบ้านก็ไม่เท่าไหร่ ไหนจะมาอยู่ที่นี่อีก ขโมยขโจรมันจะขึ้นเอาสักวัน”

“แต่บ้านนั้น เป็นบ้านเก่าของเรา จะว่าไปมันก็น่าเสียดายนะเจ้”

“มันก็ใช่ แต่บ้านน่ะ เก็บไว้ไม่มีคนอยู่มีแต่จะโทรม ยิ่งนานยิ่งดูแห้ง ยิ่งดูไม่ใช่บ้าน สุดท้ายวันนึงก็ต้องขายอยู่ดี เจ้ก็เป็นผู้หญิง มาอยู่เป็นเพื่อนกับเจ้ที่นี่ก็จะได้ช่วยดูกัน ไหนจะเพื่อนเราก็อยู่ที่นี่กันนี่ ไปไหนก็สะดวกกว่าด้วย”

เหตุผลของผักกาดฟังขึ้นทุกอย่าง แต่มันก็ยากที่คะน้าจะตัดใจ เมื่อบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กมากมาย คิดถึงป๋าคิดถึงแม่ คิดถึงวันเก่าๆ ก็กลับไปอยู่ได้ อีกอย่าง ครั้งหนึ่งก็ป๋า แม่ เจ้ผักกาด หรือแม้แต่ตัวเขาก็อยู่ด้วยกันที่นี่ ผิดกับทุกวันนี้ที่ต่างคนต่างอยู่กันไกลแสนไกล

“เราน่ะ ห่วงใช่ไหม เดี๋ยวเจ้คุยกับที่บ้านให้ ฝากเอเยนต์ขายเอา ต่ายเอาแรงไปพักเถอะ แล้วหลังจากนี้จะกินจะทานอะไรก็ระวังให้ดี เข้าใจไหม”

“อืม... เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” บางครั้งมันก็ดีกว่าจริงๆ อดห่วงบ้านที่นั่นก็ไม่ได้ แต่ที่นี่ก็อดห่วงผักกาดไม่ได้เหมือนกัน ยังไง ผักกาดก็สำคัญกว่าบ้านหลังนั้นแบบเทียบกันไม่ได้เลย

“รถเราก็เหมือนกัน เก่าขนาดนั้น ขายทิ้งไปดีกว่านะ เอาไปปลูกสะระแหน่เจ้ว่ายังไม่คุ้มเลย”

“เจ้... เสียดาย ขับมาตั้งนาน”

“เกิดไปตายขึ้นมากลางทาง มันจะลำบากเอา เจ้จะขายทิ้งล่ะ อันนี้บังคับ ไปออกคันใหม่เอา ถ้าไม่อยากออกก็โน่น ติดรถเจ้าทิมเอา เดินกันถึงขนาดนี้”

ผักกาดมัดมือชกแล้วเดินฉับๆ เข้าห้องไป ลึกๆ คะน้าก็อดเสียดายไม่ได้ที่จะต้องทิ้งอะไรที่ผูกพันกันเหมือนเป็นเพื่อนมานาน จะว่ายังไงดีล่ะ มันก็ยังใช้การได้ทั้งสองอย่าง ตัดใจขายทิ้งนี่มันยากนะ แต่จะว่าไปเหตุผลที่ผักกาดพูดมันก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง ไหนจะคดีที่ก่อเมื่อคืน สุดท้ายก็เป็นคะน้าเองที่เป็นฝ่ายตัดใจ



สี่ทุ่มสิบห้านาที... คะน้ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนอน ความคิดมากมาย และคำพูดที่มากมายไม่แพ้กันอยู่ในหัวสมอง เกือบครึ่งเป็นความสงสัยในเรื่องต่างๆ นานา อาทิเช่น เรื่องที่เจ้ผักกาดโทรไปจัดเต็มจัดหนักกับทิม ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรไปบ้าง อยากรู้ว่าธุระสำคัญที่ไปทำราบรื่นหรือเปล่า ผักกาดบอกว่าวันนี้ทิมติดธุระ คงมาทำอะไรๆ ให้ทานไม่ทัน ไม่เชิงว่าติดรสมืออาหารของทิมไปแล้ว แต่ก็นึกห่วงว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีหรือเปล่า ส่วนที่เหลือก็คงเป็นการพูดคุยถามไถ่ทั่วไป อืม... อยากจะบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วด้วยนั่นล่ะ

โทรศัพท์มือถือกดไล่ชื่อไปมาจนอยู่ที่ชื่อที่คะน้าเคยบันทึกไว้ ‘ทิม’ มองจ้องอยู่เนิ่นนานจนหน้าจอมือถือเข้าสู่ระบบประหยัดพลังงานอัตโนมัติด้วยการปิดหน้าจอ คะน้ากดเปิดใหม่ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีสักครั้งที่จะกล้ากดโทรออก ที่ผ่านมามีแต่ข้อความเท่านั้นที่ได้รับจากทิม ถ้าไม่นับครั้งแรก ข้อความที่เหลือ ...เป็นข้อความที่เขาไม่เคยเปิดอ่านเลย

ถึงอย่างไรก็ผ่านมาจนถึงวันนี้ คะน้ายิ้มให้กับตัวเอง เสียงของทิมจะเป็นยังไงนะ สายตาจับจ้องอยู่ที่ชื่อซึ่งกดเลือกไว้เนิ่นนาน นิ้วโป้งสัมผัสเบาๆ เพื่อโทรออก สัญญาณดังขึ้นเป็นห้วงจังหวะ คะน้าแนบหูกับโทรศัพท์รอกระทั่งสัญญาณขาด ทิมไม่ได้รับสาย



...หรือว่าบางทีอาจจะไม่ได้ยิน?

คิดแล้วก็ลองเสี่ยงกดโทรออกอีกครั้ง เนิ่นนานก็ยังไม่มีการตอบรับจากปลายทางที่กดโทรหา คะน้าเกือบจะกดวางสายกระทั่งมีเสียงตอบรับกลับมา

“ฮัลโหล”

คำทักทายสั้นๆ ที่ทำให้คะน้ารู้สึกเย็นวาบ ไม่รู้ว่าตัวเองหูแว่วหรือได้ยินอะไรไม่นัด ปลายสายส่งเสียแปลกๆ คล้ายกับเสียงหัวเราะก็ไม่เชิง หากแต่ตอนนี้หัวใจคะน้ากลับรู้สึกเบาหวิว เมื่อเสียงนั้นคุ้นเคยจนรู้สึกแปลกหู ไม่เหมือนเสียงของทิม...

“นานแล้วสินะ ...ที่เราไม่ได้คุยกัน”

เสียงทุ้มแบบนั้น คล้ายมาก คล้ายกับ...




...เสียงของตุล



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



o18 อ่านจบตอนแล้วเผลออุทานอะไรขึ้นมากันหรือเปล่าเนี่ย 555555555

ผ่านไปอีกตอนแล้ว ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ทิมที่ยิ้มหวาน คนแต่งก็ยิ้มหวานเหมือนกันนะเออ
คิดว่าเป็นตอนที่ทะลึ่งตึงตังมาก แต่ก็ฮาไปกับภาพที่คิดขึ้นมาในหัว น่าเอ็นดูดี
แต่ไม่นับว่าเป็นฉากเรท NC นะครับ คนแต่งตู่เอาเองว่าเป็นฉากอมยิ้มเขินๆ แนวตลกอารมณ์ดี
ปิดท้ายแบบฉีกแนวจากหลายตอนที่ผ่านมาสักนิด กลัวจะเลี่ยนกับรสหวานแบบติดๆ
เลยจัดมาตัดรสสักนิดสักหน่อยพอเป็นกระษัย (เป็นเหตุผลที่น่ากระโดดถีบมาก 555)
อะไรก็ไม่รู้ ขอตีมึนเนียนกอดเพื่อนๆ ทุกคนส่งท้ายแล้วกัน กร๊ากกกก... :กอด1:

ปล. ทิ้งท้ายด้วยบทสัมภาษณ์พิเศษกับทิมให้อ่านกันเล่นๆ ครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด