♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430489 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครึ่งหลังครับ)




คะน้ามองไปรอบๆ ตัวพยายามมองหาความเป็นไปได้ แม้ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ที่ต่ำกว่าเลขเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวก็ตาม เขาวิ่งไปรอบๆ มองหาประตูใหญ่ก่อนที่จะขึ้นไปที่ส่วนด้านใน วิ่งไปพบเจ้าหน้าที่ต่างๆ พยายามวอนขอเข้าไปข้างในให้ได้ อ้อนวอนและโกหกสารพัดเท่าที่พอจะนึกออก เขาสอบถามเคาน์เตอร์ด้านในว่าเที่ยวบินไปเยอรมันนั้นต้องขึ้นไปประตูไหนอย่างไร โชคดีที่มีเพียงสายการบินเดียวที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต

คะน้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ ผ่านตรวจคนและเครื่องแสกนมากมาย ผ่านบันไดเลื่อนต่างๆ และผู้คนมากมายที่จับจ่ายซื้อของในส่วนปลอดภาษี ผ่านทางทอดยาวหรือทางคดเคี้ยวไปที่น่าปวดหัว เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปวดหน่วงที่ท้องจนเสียด เลยเวลาที่ตุลบอกมานานแล้ว แต่เขาอยากจะเสี่ยงดู

...กระทั่งเห็นร่างสูงที่คุ้นตานั่งนิ่งอยู่คนเดียวที่ชานชลา รอยยิ้มที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคะน้าจำได้เป็นอย่างดี ...มันไม่เคยผิดเพี้ยนไปเลย คะน้ารีบวิ่งกระโผลกกระเผลกไปอย่างไม่รู้สึกอายในสารรูป น้ำตาไหลรื้นออกมาโดยไม่รู้ตัว หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาเช็ดมันแม้แต่นิด


“เหมือนตุลกำลังนั่งรอความฝันลมๆ แล้งๆ ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นจริง”

คนที่นั่งรออยู่ยืนขึ้นแล้วพูดเบาๆ ตุลโผเข้ากอดแนบแน่นราวกับจะจดจำทุกสัมผัสไว้ในความทรงจำ สองมือตระกองกอดสลับกับปาดน้ำตาของคนในอ้อมแขนด้วยสัมผัสที่ทะนุถนอม ดวงตาที่ทอดมองผ่านกรอบกระจกใสสี่เหลี่ยมนั้นชื้นเอ่อคลอไม่ต่างกัน



“...โชคดีจังที่เราได้พบกัน”

“ข..ขอโทษนะตุล ...ขอโทษครับ ผมไม่รู้เลย ...ไม่เคยรู้อะไรเลย” คะน้าพูดด้วยเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยน

“ไม่เป็นไรนะอ้วน ...ไม่เป็นไรจริงๆ ตุลไม่เคยคิดโกรธหรือโทษอะไรอ้วนเลย”

“แต่...” ร่างในอ้อมกอดพยายามเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหวจนฟังแทบไม่รู้เรื่องแต่ก็พูดอะไรต่อไม่ออก ได้แต่สะอึกอยู่แบบนั้น ...เกลียดความรู้สึกของการจากลาเป็นที่สุด

“ช่างมันเถอะ ก็อ้วนคิดว่ามันเป็นข้อความของคนอื่นนี่นา ...จริงไหม?” ตุลลูบผมของคะน้าเบาๆ ด้วยความรักใคร่ สัมผัสนั้นละเอียดอ่อนแบบที่คะน้าคุ้นเคย เจ้าหน้าที่ประจำชานชลามองมาทางชายหนุ่มทั้งสอง เหมือนจะพยายามเร่งเร้าให้ตุลขึ้นเครื่องตามเวลา หากแต่เธอก็ยืนมองอยู่แบบนั้นอยู่กับที่เหมือนกับเข้าใจ บางทีอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดสถานการณ์ประมาณนี้ก็อาจเป็นได้


“รอได้ไหมครับ ...รอตุลกลับมาได้ไหม?”

ตุลเอ่ยกระซิบถามย้ำๆ มือก็ยังช่วยปาดซับน้ำตาของอีกคนอย่างกลัวช้ำ ...คะน้าสะอื้นสะอึกกับคำถามที่ได้ยิน เขาจะตอบกลับความรู้สึกของตุลอย่างไรดี ไม่อยากทำให้ตุลเสียใจ แต่ก็ไม่อยากจะโกหก ยื้อไว้ หรือแม้แต่เพื่อให้รู้สึกดี สุดท้ายก็ทำได้แต่ยืนนิ่งๆ แล้วสะอื้นอยู่แบบนั้น


“ได้ไหมครับ ...รอตุลกลับมาได้ไหม?”

สุดท้ายเจ้าหน้าที่ประจำชานชลาคนนั้นก็เดินมาที่ชายหนุ่มทั้งสองด้วยท่าทีที่นอบน้อม เธอยิ้มอย่างสุภาพแล้วแจ้งว่าได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว

“ขอเวลาผมอีกนิดนะครับ แค่อีกนิดเดียว” ตุลหันกลับไปตอบเจ้าหน้าที่ท่านั้น เธอยิ้มอย่างลำบากใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มร้องขอ ตุลเอ่ยขอบคุณแล้วหันกลับมาที่คะน้าอีกครั้ง



“อ้วนรอตุลได้ไหม ตุลจะรีบกลับมา ...กลับมาให้เร็วที่สุด”

คะน้าเงยหน้าขึ้นมองดวงตาภายใต้กรอบแว่นใสที่เต็มไปด้วยความระริกไหว แววตาของตุลคู่นั้นเว้าวอน ร้องขอ อ่อนแอ เปราะบาง ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง รอยยิ้มของตุลที่เคยดูน่ามองจ้อง แต่ครั้งนี้ มันเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา คะน้าไม่อยากทำลายดวงตาคู่นี้ และไม่อยากทำลายรอยยิ้มนี้เลย

...คำสัญญาที่เคยตั้งไว้กับตัวเอง คำสาบานที่ตั้งมั่นนี้จะต้องคงอยู่ ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ทำลายรอยยิ้มนี้ และจะไม่มีวันทำลายดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังดีคู่นี้เป็นอันขาด




“ตุล ...ขอโทษนะ”

วงแขนที่กอดรัดอยู่ค่อยๆ คลายตัวออกเหมือนจู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงขึ้นมา ตุลมองคะน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ มันระคนไปด้วยความผิดหวัง เสียใจ คะน้าค่อยๆ ถอยตัวเองออกจากตุลช้าๆ เขารู้สึกผิดที่ทำแบบนี้ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ห่างกับตุล แต่เขากับเปิดใจให้กับทิมโดยไม่รู้ตัว ...เขาผิดมาก และทำผิดกับตุลซ้ำแล้วซ้ำเล่า




“ผมคบกับทิมแล้ว ...คบในฐานะคนรัก”

ใบหน้าของตุลดูซีดเผือด แต่เพียงไม่นาน ร่างสูงก็หัวเราะขึ้นแบบฝาดเฝื่อน หยดน้ำเล็กๆ ดูเหมือนจะทิ้งตัวลงมาบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างง่ายดาย กระนั้นตุลก็ยังยิ้ม ...ยิ้มให้กับคะน้าแบบทุกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ดูแตกต่างจากครั้งแรกที่พบกัน คะน้ารู้ดีว่านั่นคือความพยายาม ...ตุลกำลังพยายามทำเหมือนกับมันไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่หัวใจดูจะแหลกสลายป่นปี้ด้วยคนเลวๆ แบบเขาไปแล้ว

“ไม่ทันแล้วสินะ ไม่ทันจริงๆ ช้าไปแล้ว ...ผมช้าไปทุกที” ตุลพูดด้วยรอยยิ้มที่เจื่อนจนดูแห้งโหย หัวเราะด้วยความรู้สึกที่ขมจนอยากสำรอก

“ขอโทษนะครับ ...ผมขอโทษจริงๆ” ดูเหมือนว่าคะน้าจะพูดได้เพียงเท่านี้ แม้ว่าในใจจะอัดแน่นไปด้วยถ้อยคำมากมายก็ตาม

“ผมนั่งรอความฝันลมๆ แล้งๆ ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นจริง” ประโยคเดิมเมื่อได้พบกันถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่ล่องลอยจนดูเหมือนไม่มีน้ำหนัก



“แล้วมันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ...ฝันเฟื่อง ...และไม่มีวันเป็นจริง”

มีเพียงความนิ่งเงียบที่ทิ้งระยะห่างให้สองคนที่ยืนใกล้จนเกือบแนบชิดค่อยๆ ห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่หนาหนักกลายเป็นกำแพงสูงที่ไม่อาจมองเห็น และดูเหมือนว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีวันซึ่งมันทลายลงมา เจ้าหน้าที่สนามบินท่านนั้นเดินมาใกล้ๆ อีกครั้งแล้วส่งสัญญาณให้กับตุล ร่างสูงหันกลับไปพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บ่งบอกถึงความเข้าใจ

“เอาล่ะ ผมคงต้องไปแล้ว ไปทำงานวิจัย ไปทำในสิ่งที่ผมได้เลือกเอง ...ผมเลือกมันเอง” ตุลหันกลับมายิ้มให้กับคะน้า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะฝืนความรู้สึกของตัวเองอย่างหนักกับแต่ละถ้อยคำที่เอ่ยพูดออกมา

“ทานอาหารที่เผ็ดมากๆ ไตจะมีปัญหานะครับ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลดลงมา เวลาที่ทานอิ่มใหม่ๆ อย่าเพิ่งนอน รออีกสักพักนะ สักชั่วโมงก็ยังดี จะได้ไม่มีปัญหากรดไหลย้อน ถ้าเป็นไปได้ เลี่ยงอาหารทอดหรืออาหารมันๆ ด้วยล่ะ มันไม่ดีเลยต่อสุขภาพ” คะน้ายืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ตุลยิ้มน้อยๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบที่หัวของเขาเบาๆ

“อ้วนชอบทานน้ำอัดลม ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้เลิกนะครับ น้ำตาลมันค่อนข้างสูง ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหาย พยายามหันมาดื่มน้ำเปล่า หรือถ้ากระหายมากๆ อยากดื่มน้ำหวานจริงๆ ก็เลี่ยงเป็นน้ำผลไม้แทน” ร่างสูงค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ ราวกับจะให้จดจำบันทึกเอาไว้ให้มั่น ...หากแต่ทุกถ้อยคำกลับนำภาพเก่าๆ ที่เคยจางหายให้ย้อนกลับขึ้นมาในความคิดเหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน คะน้าจดจำคำเหล่านั้นได้แม่นยำ แม้ว่าที่ผ่านมาเขามักจะแชเชือนผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ คล้ายกับไม่เคยใส่ใจหรือมองเห็นในความหมาย

มือกว้างยังลูบบนศีรษะแผ่วเบาราวกับไม่อยากละจาก สัมผัสนั้น อบอุ่นจนคะน้าไม่อาจฝืนตัวเองให้กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก หากแต่ครั้งนี้ ตุลไมได้เอื้อมมือมาเช็ดซับให้ดั่งทุกครั้ง

“อย่าร้องไห้นะครับ ตุลไม่อยู่แล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ รู้ไหม?” คะน้าสะอื้นหนักกว่าเดิมเหมือนกับยั้งตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป

“ที่ผ่านมาตุลไม่เคยจะร้องขอสิ่งใดๆ กับอ้วนสักครั้ง แต่ครั้งนี้สัญญากับตุลได้ไหม ว่าอ้วนจะดูแลตัวเองให้ดี ...ดีให้เหมือนกับที่ตุลดูแล ตุลขอโทษนะที่อยู่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คอยเตือนอ้วนไม่ได้ ขอโทษ... ที่ตุลอาจไม่มีสามารถดูแลอ้วนแบบที่ผ่านมา”

“ตุลล...” คะน้าครางเสียงอู้อี้จนฟังไม่เป็นภาษา น้ำตาไหล

“สัญญากับตุลได้ไหมครับ อย่างน้อยก็ให้ตุลได้สบายใจ”

“สัญญาครับ ...ผมสัญญา!”

“แล้วจะไม่ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยแบบนี้อีก จะมีความสุขที่สุด จะร่าเริง หัวเราะ และจะยิ้มให้เต็มที่ ...ให้มากกว่าเวลาที่อยู่กับตุล ...ทำให้ได้ไหมครับ”

“ครับ ผ..ผม ...ผมสัญญาครับ”

“เท่านี้ล่ะ ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ” ตุลยิ้มแล้วออกน้ำหนักบนฝ่ามือกว้างขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

“ขอบคุณมากนะครับ ...ไอ้น่ารักของตุล”

ตุลปาดความเอ่อชื้นออกจากดวงตา แล้วกระชับแว่นสายตาของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงมองคนตรงหน้าที่พยายามรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ด้วยแววตาอ่อนโยน  ตุลฉีกยิ้มกว้าง ...เป็นรอยยิ้มแบบที่คะน้าชอบมอง มือที่นุ่มนวลลูบไปบนศีรษะคะน้าอีกครั้ง ...ครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป

คะน้ายืนมองแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตาค่อยๆ เล็กลง นับตั้งแต่ขายาวๆ นั้นก้าวเดินออก ไม่มีสักครั้งที่ตุลจะหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ย่างเท้าที่ก้าวเป็นจังหวะเข้มแข็งนั้นสม่ำเสมอและดูปราศจากความลังเล และเมื่อร่างสูงโปร่งนั้นเลี้ยวเข้าไปยังจุดเชื่อมขึ้นสู่ตัวเครื่องบิน คะน้าก็ทรุดตัวลงนั่งที่ชานชลาเหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง เจ้าหน้าที่สนามบินคนนั้นเดินเข้ามาปลอบโยนเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป

คะน้าเดินมาชำระค่าปรับที่จอดรถผิดที่ผิดทาง ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งดูจะพร้อมเอ็ดตะโรทุกเมื่อนั้น กลับเลือกที่จะรับค่าปรับตามหน้าที่เท่านั้นเมื่อเห็นสภาพของเขา คะน้าขับรถกลับคอนโดด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าอธิบาย ชายหนุ่มพยุงร่างที่เหม่อลอยของตัวเองกลับเข้ามาในห้อง ...เหมือนไม่รู้จะทำอะไรดี คะน้านั่งนิ่งอยู่กับที่บนโซฟาที่ว่างเปล่า กดเปิดและปิดโทรทัศน์ตรงหน้าซ้ำๆ ให้ได้ยินเสียงคล้ายกับมีคนอยู่ด้วย เขาแค่อยากมีเพื่อน ...ใครสักคนก็ได้ที่จะพาเขาข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ สักคนที่ทำให้คะน้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว


...ใครสักคนที่ไม่ใช่ทิม

แม้รู้ว่าไม่เหมาะด้วยวัยที่เติบใหญ่ และไม่สมควรด้วยความเป็นชายและหญิงที่แตกต่าง แต่ในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าคงมีเพียงผู้ที่เป็นพี่สาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนได้ในเวลานี้ คะน้าเปิดประตูห้องนอนของผักกาดแล้วมองดูพี่สาวของตนเองที่นอนหลับพักผ่อนจากวันยาวนานที่เหนื่อยล้า

นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งนาฬิกา และคะน้าก็ไม่กล้าที่จะรบกวนใดๆ ชายหนุ่มจึงได้แต่ทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู ปล่อยให้เครื่องปรับอากาศที่ครางหึ่งๆ ปล่อยไอเย็นผ่านร่างกายไป ไม่นานนักก็สะอึ้นไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือเปล่า


...ไม่อยากจะผิดซ้ำๆ อีกแล้ว

ดูเหมือนไม่นานนัก หญิงสาวก็รู้ตัว ผักกาดปรือตามองคะน้าด้วยความงัวเงีย เมื่อสายตาปรับภาพของน้องชายตรงหน้าได้ เธอก็ไม่เกียจคร้านลังเลที่จะลุกขึ้นมาหา ผักกาดย่อกายลงตรงหน้าคะน้าแล้วสวมกอด ไม่แม้แต่จะคิดเอ่ยถามถ้อยคำใดๆ มือน้อยๆ ของผักกาดที่ลูบบนบ่าเบาๆ นั้นเข้มแข็งอย่างประหลาด คะน้ากอดผู้เป็นพี่สาวกลับ หอบสะท้านจนตัวโยน

“เจ้เคยทำอะไรที่รู้สึกว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่พอเวลาผ่านไปแล้วเรากลับรู้สึกลังเลในสิ่งที่เราทำนั่นหรือเปล่า”

“หึ... เคยสิ บ่อยไป”

“เจ้ทำยังไง” คะน้าวางศีรษะลงบนบ่าเล็กๆ ของพี่สาวราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่ไม่รู้จักโต ผักกาดยิ้มน้อยๆ เอื้อมมือลูบบนผมของน้องชายไปมา

“ตั้งแต่เล็กๆ ป๋าเคยบอกเจ้ว่าอย่าตั้งคำถามกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว มันเท่ากับเรากำลังดูถูกตัวเราเอง ...ตัวเราซึ่ง ณ ตอนนั้น ได้พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราพอจะทำได้อย่างเต็มที่ทุกอย่างไปหมดแล้ว” คะน้าค่อยๆ สงบลง คิดทบทวนถ้อยคำที่พี่สาวเอื้อนเอ่ย

“นอนเถอะน้องพี่ เดี๋ยวก็พรุ่งนี้เช้า” ฝ่ามือน้อยๆ ลูบไปมาบนแผ่นหลังที่กว้างใหญ่เหมือนจะปลอบขวัญและให้กำลังใจ


“...พอรู้ตัวอีกทีทุกอย่างในวันนี้ ก็จะเป็นเพียงอดีตวันวาน”

หญิงสาวโคลงหัวของตัวเองไปพิงแอบกับน้องชาย ผ่อนลมหายใจบางๆ พร้อมรอยยิ้ม


“หลับตา คิดถึงสิ่งดีๆ ของวันพรุ่งนี้ที่รอเราอยู่”




“...แล้วลูกของป๋าจะมีฝันดีทุกคืน”



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


:กอด1: ก่อนอื่น ขอกอดเพื่อนๆ ทุกคนที่ติดตามอ่านตอนนี้เลย (ต้องรีบประจบสอพลอไว้ก่อน 5555555)
ไม่รู้ว่ามาม่าชามนี้จะโดนก่นด่าไปอีกกี่กระบุงโกย (อย่างน้อยก็จบมาม่าไปอีกหนึ่งเรื่องล่ะเนอะ ...รึเปล่า?)
แต่คนแต่งชอบช่วงเวลาของพี่น้องคู่นี้จัง เป็นอีกแบบกับอีกสองหน่วยนั่น แต่มันให้ความรู้สึกที่ดีแฮะ

ตอนนี้ เดาว่าไม่น่าจะใช่แบบที่คิดกันไว้เท่าไหร่หรือเปล่าครับ จะมีแอบร้องไห้กันไปบ้างไหมหนอ
(ขอปรบมือให้กับ Rafael ที่จับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ แถมเดาถูกแบบโป๊ะเชะ!) o13
จริงๆ ตอนนี้ต้องยาวกว่านี้ แต่จำใจตัดออกไปตอนหน้าเพราะอารมณ์มันตัดกันเกิ้นนน 555555555

ผ่านไปสำหรับตุลและความจริงบางอย่างที่อาจเปลี่ยนมุมมองของเพื่อนๆ ไปเล็กน้อย (รึเปล่า?)
คนเชียร์มวยรองอยู่คงแอบถูกใจตอนนี้นิดๆ แต่คุณหมอแกโผล่มาแล้วทำท่าว่าจะหายจ้อยซะงั้น
ประเด็นคือหายไปพร้อมกับปัญหาที่ไม่เคลียร์เหมือนเดิม (ต้องโทษไอ่คนเขียนที่จะกั๊กไปหาพระแสง?)
ตอนต่อไปทิมกลับมาวาดลวดลายอีกครั้ง อย่าลืมติดตามกันนะครับ ช่วงนี้อาจอัพไวหน่อย ฮิฮิ

ป.ล. สัมภาษณ์พิเศษตุลอยู่ปลายหน้า 32 นะครับ แนวจืดๆ ชืดๆ แต่บอกอีกที เผื่อมีคนอยากอ่าน 555

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอยย
ถึงจะไม่ใช่แม่ยกตุล แต่ตอนนี้ก็ยอมรับว่า แอบเศร้าใจเล็กๆอยู่้เหมือนกัน
รักมาก แต่ก็ต้องเป้นฝ่ายถอย รักสามเศร้ามันก็เป็นแบบนี้
แต่คะน้าทำถูกแล้วที่เลือกจะบอกความจริง ตัดใจกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้ยืดเยื้อ

เพราะความจริง...เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้...

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
เจ็บจี๊ดแทนตุล หาคนดีๆมาปลอบใจตุลสักคนเถอะ  :sad4:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ยกทิมให้คะน้า แล้วตุลมาทางนี้ มาทางนี้
ฮือออ
จะร้องไห้ไปกับตุลจริงๆนะ โถ่ พอยอดขวัญของเจ้ มานี่มา กะกอดจูบลูบคลำให้หายเศร้า

ออฟไลน์ davina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
เสียน้ำตาให้ความรักของตุล T T

ปล. เจ๊ผักกาดเท่อีกแล้ว ยอดคุณพี่!

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
สงสารตุล ไม่เป็นไรนะ #ลูบหลังให้กำลังใจ

  :o12:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เหมือนทุกอย่างสายไปสำหรับตุล ทั้งที่ได้โอกาสนั้นก่อนแท้ ๆ
ตุลเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน หาคนปลอบใจได้ไม่ยากหรอก
คะน้ากับทิมจะเป็นยังไงต่อ

BONE

  • บุคคลทั่วไป
เราหายไปนาน... กลับมาอีกที...
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด~~
ทิมกินกระต่ายไปแล้วววว วว โอ๊ยยยยย~
มันสุดยอดมาก เราจำได้ว่าฉากจูบครั้งแรกของทิมกับคะน้า
ทำเอาเราหัวใจเต้นแรงเกือบตาย แต่พอมาอ่านฉากทิมกินกระต่าย
มุมแรกไม่เท่าไหร่ พอมามุมของทิมเท่านั้นแหละ...
เลือกรุ๊ปเอทั้งประเทศก็ไม่พอ ส่งทิมมาเก็บศพเราด่วนเลยค่ะ T/////T
เขินเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้หมด...

อ่านตอนล่าสุดแล้ว... แม้ว่าเราจะเป็นแม่ยกทิม แต่เราก็น้ำตาคลอกับตุลย์นะ
สงสาร... ไม่รู้จอธิบายยังไง ตุลย์ได้สิทธิ์ดูแลคะน้าไปก่อน
แต่ตุลย์กลับไม่สามารถดูแลได้ตลอดไป
ตุลย์เป็นคนที่อยู่ข้างๆ คะน้าเสมอเลย เราไม่เคยรู้เลยจริงๆ...
เศร้าให้พอแล้วหยุดนะตุลย์ ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป...

ขอบคุณนะคะ
*ยิ้มหวานให้ทิมอีกที ไม่เสียแรงที่เชียร์มานาน อิอิ*

pandaticket

  • บุคคลทั่วไป
ฮือออออออออ :monkeysad:

สงสารตุลอ่าาาาาา  :sad4:

ตอนที่ตุลถามว่า “อ้วนรอตุลได้ไหม ตุลจะรีบกลับมา ...กลับมาให้เร็วที่สุด”

แบบมันพีคสุดๆอ่ะ ดราม่ามาก :o12:

แต่คะน้าก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าตนได้เป็นแฟนของทิมแล้วก็ปฏิเสธ

แบบเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย  แต่ตุลจะสาหัสกว่านะ (ลำเอียง รักหมอตุล > <)

แล้วต่อไปคะน้าจะทำยังไงต่อไป

จะคบทิมหรือถอยห่าง?

หรือถามสาเหตุที่แท้จริงระหว่างตุลกับทิม?

 :z3: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
 :sad4: :sad4: :sad4:
เป็นอะไรที่หน่วงจิตมากๆ  มันช่างเศร้าแท้ตอนนี้  :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lunatan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
โอ๊ยถึงจะเป็นแม่ยกทิมแต่ก็สงสารตุลอ่ะ
ตอนที่ตุลขอให้คะน้ารอนี่เจ็บจึ้กๆเลย
เพราะยังไงก็คิดว่าคะน้าคงจะตัดให้ขาด
ถึงจะดีที่ไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อก็เถอะ แต่ก็เศร้าอ่ะ :sad4:

hongyia

  • บุคคลทั่วไป
โฮ สงสารหมอตุลอ่ะ ไหนๆ ก็เลือกทิมแล้วต้องรักกันไปตลอดนะ

ออฟไลน์ arisa_sa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
น้ำตาไหลเลย แงแงสงสารตุล หน่วงดีแท้  :m15: :m15: :m15: :m15:

ขอบคุณจ้่า  :L1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ผิดคาดไปอย่างมากเลย

อ่านแล้วสงสารตุลสุดๆ เลยอ่ะ

ยังดีนะที่คะน้าไม่ตอบรับตุลไป

ไม่งั้นคงเจ็บกว่านี้

แต่สามคนไปเลยมั้ย 5555

ออฟไลน์ beautifuldead

  • wandered lonely as a cloud..
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ถ้าตัดสินใจที่จะทำอะไรลงไป ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา
คุณหมอ ไม่ก้าวยาวๆ แล้วจะทันคนอื่นได้อย่างไร
เมืีอตัดสินใจจะไม่เผยตัวแต่แรก มันก็ช้าเกินไปตั้งแต่วินาทีที่ควรได้เปรียบนั้นแล้ว

คอมเม้นได้ใจร้ายกับหมอตุลมากเลยเนอะ55
แต่บางทีถ้าตุลใช้ความกล้าตั้งแต่ตอนแรก คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ละนะ
หมอคงไม่ต้องอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ :p

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
สงสารหมอตุล :monkeysad: รักคะน้ามากจริงๆ

นู๋ต่ายคงเสียใจไม่นาน เพราะมีพี่สาวอย่างผักกาดคอยปลอบ

และให้กำลังใจ ครอบครัวนี้เขาปลูกฝังกันมาดีนะน่ารักจัง :man1: :m1:

      :L1:      :L1:

zerea

  • บุคคลทั่วไป
รักหมอตุล  :impress3:
รักทิมไม่เท่าหมอตุลมาตั้งแต่ตอนที่พี่แกยืนดีดกีตาร์ต้องเพลงล่ะ  :impress2:
คุณ Lucea คราวที่แล้วเค้า  :z6: คุณ
คราวนี้เค้า  :กอด1: :กอด1: สองครั้งก็แล้วกัน
หน่วงแต่เช้า(สาย) เลยวันนี้

สู้ๆ สู้ตายน๊า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2013 10:25:32 โดย zerea »

dewdew

  • บุคคลทั่วไป
ตุลได้โอกาสมากกว่าทิมมาตลอดแต่เป็นตุลเองที่ไม่ชัดเจนไม่มั่นคงมาตลอด

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
สงสารหมอเลย  จะว่าไปทั้งหมอทั้งทิมก็ต่างคนต่าทำคะแนนทั้งคู่นั่นแหละ
แต่คนละแบบกัน  หมอออกแนวรักนะแต่ไม่กล้าแสดงออก
แล้วคะน้าก็เลยไม่รู้เรื่องด้วย  ส่วนทิมก็สู้อุตส่าห์มาทำกับข้าวทุกวัน
เฮ้อ  สงสารหมอจังเลย  มามะมาซบอกพี่ก่อนก็ได้

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
คะน้าโทรไปได้ถูกจังหวะมาก ได้คุยกันหลายเรื่อง ได้เจอกันด้วย ลุ้นจะแย่
แม้จะเจ็บแต่ก็ดีแล้วที่คะน้าพูดแบบนั้น อย่าให้ความหวังกับใครเลย
เพราะคะน้ารักทิมแล้ว หมอตุลน่าสงสารเบา ๆ เรื่องข้อความที่ไม่เคยเปิดอ่าน
แต่ตอนนั้นก็ทำลึกลับนี่นา ที่จริงหมอตุลเป็นคนละเอียดอ่อนและน่ารักมากนะ
กินกันเกือบไม่ลงแน่ะสองคน ชอบความรักของสองพี่น้องมากค่ะ อบอุ่น
เอ๊ะ นี่ตาทิมไปไหน

ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เคลียเรื่องโทรศัพท์ เฮ่ออออออออออออออ
แล้วรอยที่คอ ?? เอ๊ะะะะะะะะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เชื่อขนมกินได้เลยว่า  อ่านตอนนี้ไปแล้วฟังเพลงนี้ไป

บ่อน้ำตาไม่แตก  ไม่น่าจะมี  อิอิ

http://www.youtube.com/v/tQH27-c4nnw


ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืนแต่ดันเผลอหลับไปได้ซะนี่ ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะครับ
บวกคืนๆ ดีใจที่เห็นเพื่อนๆ ที่คุ้นๆ แต่แรกหลายคนกลับมาทักทายกันอีกครั้งนะครับ
ดันมาโผล่เอาช่วงมาม่าเล็กๆ ซะได้ หวังว่าจะไม่ด่ากันนะครับ 555555555

ตอนที่แล้วถ้าใครจำได้แม่นว่าตุลเคยพูดอะไรไว้บ้าง คงมีคนแต่งจนสลดเหมือดเอาแน่นอน
ตอนที่กำลังจะลงนี้เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกอีกแบบ และเป็นตอนที่ยาวมาก
ส่วนหนึ่งเพราะพ่วงเอามาจากตอนที่แล้ว ตอนนี้เลยค่อนข้างยาวหน่อยนะครับ
แต่ถ้าอ่านจบน่าจะให้ความรู้สึกที่ดีในตอนจบนะ งั้นต่อเลยครับกับตอนที่ 25



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ 25



ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยทั่วไปแล้ว คนเราโกหก 4 ครั้งต่อวันหรือราว 1,460 ครั้งต่อปี นั่นเท่ากับมากถึง 87,600 ครั้งในตอนที่เราอายุ 60 ...ไม่น่าเชื่อที่เกือบทั้งหมดของการโกหกมากมายนั้น คือการพูด หรือแสดงออกว่าตัวเราเอง “สบายดี”


...อาจจะจริง

คะน้านั่งเจ่าจุกอยู่ที่แผงในตลาด ผักกาดปลุกเขาให้ตื่นในตอนเช้ามืดแล้วถามเพียงสั้นๆ ว่าไหวหรือเปล่า คำโกหกคำโตคือการยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำทั้งๆ ที่อ่อนล้าไปทั้งกายและใจ เขาตัดสินใจมาทำงานตามปกติ คิดเพียงแค่ว่าบางที งานอาจจะช่วยให้ยุ่งจนลืมอะไรๆ ไปได้เอง

แต่วันนี้ตลาดกลับดูหงอยและเงียบกว่าหลายวันที่ผ่านมา ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม หรือจริงๆ แล้วเป็นที่ตัวคะน้าเองที่มองอะไรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อย นับไม่ถ้วนว่าลำพังแค่วันนี้ตัวเองทำกิริยาซ้ำๆ ที่ว่าไปแล้วกี่ครา ไม่ใช่กำแพงเย็นๆ ที่กั้นระหว่างห้องแบบทุกครั้ง ตอนนี้ตุลคงอยู่เหนือก้อนเมฆพวกนั้น ...ห่างไกลจนเขาเอื้อมไม่ถึง


บางที ชีวิตก็มีเรื่องราวที่ไม่อยากสานต่อ ...แต่ก็หวาดกลัวที่มันจะจบลง

ได้แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหมือนคะน้าจะไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านไปนานแค่ไหน เขาเอาแค่นั่งทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยให้มันผ่านไปอีกวัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นทิมยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า

“มีเรื่องอยากให้ช่วยที” คะน้าเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ ทิมแค่ตอบกลับสั้นๆ ว่าช่วยไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อย แม้อยากจะถามว่าจะไปซื้ออะไรและไปที่ไหน หรือแม้แต่ในเรื่องอื่นที่ยังคงสงสัย แต่ชายหนุ่มนั่งนิ่งจนคะน้าหมดความคิดจะไต่ถามอะไรให้มากความ คะน้าโทรบอกจันทูว่าอาจจะไม่กลับไปตลาดแล้ว ให้ช่วยเก็บแผงให้อีกวัน ปลายสายมีอิดเอื้อนไม่ใช่น้อย แต่ก็ยอมทำแต่โดนดีเมื่อแลกกับนิตยสารซุบซิบดาราที่จะลงแผงวันศุกร์ที่จะถึง

รถเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าสุดหรูใจกลางเมือง คะน้าอดไม่ได้ที่จะดูสารรูปตัวเองในตอนนี้ เสื้อยืดมอซอ กางเกงขาสั้นพอดีเข่า และรองเท้าแตะชนิดจะพังไม่พังแหล่ ยิ่งต้องมาเดินตามคนตรงหน้า ก็ยิ่งเศร้า สภาพของคะน้าแทบไม่ต่างอะไรกับคนรับใช้ที่เดินตามเจ้านายไม่มีผิดเพี้ยน

ทิมพาเข้าร้านเสื้อแบรนด์เนมจากต่างประเทศ พนักงานในร้านเดินมาต้อนรับแล้วมองอยู่ห่างๆ ร่างสูงมองดูเสื้อผ้ามากมายที่แขวนอยู่ตามราว กวาดตามองแล้วหันมามองคะน้าด้วยใบหน้าที่ยังบูดบึ้ง ก่อนจะหันกลับไปเลือกดูเสื้อผ้าเหล่านั้นต่อ คะน้าได้แต่มองอย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองมาอยู่ในสภาพการณ์ต้อยต่ำให้ช้ำใจเล่นไปทำไม สักพักทิมก็เรียกพนักงานขายไปสอบถามอะไรเล็กน้อย หญิงสาวพยักหน้าแล้วหายเข้าไปหลังร้าน ก่อนจะกลับมาหาคะน้าอีกครั้งแล้วเชื้อเชิญ

“ลองให้ดูหน่อย” ทิมหันมาพูดสั้นๆ แล้วหันกลับไปเลือกข้าวของอื่นๆ ในร้านต่อ

แม้อยากจะถามอะไรให้หายสงสัยมากกว่านี้ แต่อะไรก็ดูจะไม่เอื้อนัก คะน้าจึงได้แต่ตามพนักงานคนนั้นไปห้องลองเสื้อที่ดูเหมือนว่าจะมีเสื้อผ้าแขวนเอาไว้แล้ว ชุดที่คะน้าลองเป็นชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ เนื้อผ้าขึ้นวาวดูหรูหรา ตะเข็บเสื้อตัดเย็บอย่างปรานีตเข้าชุดกับกางเกงและเชิ๊ตสีขาวที่ซ้อนอยู่ด้านใน ...ดูดีจนไม่กล้าพลิกดูราคา

ไม่กี่นาทีต่อมาคะน้ายืนมองตัวเองในกระจกด้วยความไม่คุ้นชิน ชุดสูทเหมาะเจาะพอดีกับกับร่างกายจนแอบทึ่ง หากแต่ภาพในกระจกกลับเป็นใครอีกคนที่คะน้าไม่รู้จัก ...ไม่ค่อยเหมือนกับตัวเอง ทิมยืนมองนิ่ง สีหน้าปราศจากคำทักท้วงหรือเอ่ยชม กระนั้นเขาก็เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่บ่งบอกถึงความพึงใจของเจ้าตัวก่อนจะหันหลังกลับ ไม่นานก็ออกจากร้านอย่างรีบเร่งพร้อมกับถุงในมือมากมาย เพิ่งจะดูไม่เหมือนกับคนใช้เป็นครั้งแรกก็ตอนที่ร่างสูงข้างๆ เป็นคนหิ้วถุงเสื้อผ้าทั้งหมดในมือแทนที่จะเป็นเขาหิ้วแบบในละคร

“ซื้อไปทำอะไรเหรอ? แล้วทำไมต้องให้มาลองด้วย น่าจะพอลองเองได้นี่” คะน้าถามด้วยความสงสัย

“ดูเองไม่รู้ อย่าถามมากเลย ยังมีอะไรต้องซื้ออีก”

ทิมพาตัวเองเข้าไปในร้านรองเท้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป เหตุการณ์ทุกอย่างดูจะเหมือนเดิมที่คะน้าทำหน้าที่เป็นหุ่นทดลองตามใจคนตัวสูงที่เจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกอย่าง ...ได้ถุงเพิ่มมาอีกมากมายจนคะน้าแบ่งเอามาช่วยถือ

“ตัดผมเป็นเพื่อนหน่อย”

เหมือนจะเป็นคำร้องขอแต่ทิมเดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดเลื่อนแล้วลัดเลาะตามทางทอดยาวแล้วร้านอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง วางถุงมากมายเสร็จก็ดันคะน้าเข้าไปสระผม ทิมหันไปพูดอะไรบางอย่างกับช่างที่มีกระเป๋าใส่กรรไกรแขวนอยู่ที่เอว แล้วตัวเองก็ทิ้งตัวลงนั่งอยู่เฉยๆ พร้อมกับถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยของแบรนด์เนมมากมาย หนึ่งชั่วโมงถัดมาคะน้ามองตัวเองในกระจกด้วยสายตาแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเคยทำมา

“ขอโทษที่ให้รอนานครับคุณทิม เสร็จแล้วล่ะครับ” ช่างตัดผมพาคะน้ามายืนตรงหน้าชายหนุ่มที่รออยู่ด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง “เยี่ยมมากเลยใช่ไหมครับ ขนาดผมเองยังอดตะลึงไม่ได้เลย” ทิมเงยหน้าขึ้นมองผลงานที่เพิ่งสร้างสรรค์เสร็จ ดวงตาสีเข้มนั้นดูนิ่งค้างไปเนิ่นนาน ...นานจนคนที่ยืนอยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก คะน้ายกฝ่ามือขึ้นจับปอยผมที่ลงมาปกหน้าแล้วปัดป่ายด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ

“เอาผมลงหมดเลย แล้วก็ไม่ได้แสกด้วย รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” หากแต่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ยังมองนิ่งไม่ตอบอะไร จนแม้แต่ช่างตัดผมก็ทำอะไรไม่ถูกกับสีหน้านั้นของทิมจนต้องชวนคุยแก้เก้อ

“คุณทิมอยากให้แก้ตรงไหนอีกหรือเปล่าครับ”

“ไม่ครับ ขอบคุณมาก” ทิมรวบคว้าถุงทั้งหมดขึ้นมาในมือจนพะรุงพะรังแล้วเดินนำหน้าออกไปจากร้านตัดผมทันที คะน้าตกใจรีบควักกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกางเกงขึ้นมาแต่ทางร้านแจ้งว่าคนที่เพิ่งออกจากร้านไปจัดการจนครบทุกอย่างแล้ว ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณแล้วรีบวิ่งตามทิมออกไป

“ไหนว่าให้เป็นเพื่อนตัดผมไง แล้วไม่ตัดเหรอ”

“ไม่” ทิมพูดเสียงเข้ม

“เดี๋ยวๆ แล้วจะรีบไปไหน” คะน้าหอบเมื่อตามมาทันที่รถ

“กลับบ้าน” ทิมตอบสั้นๆ แล้วออกรถทันที ลึกๆ แล้วคะน้ามีคำถามที่สงสัยอยู่มากมาย ในใจตั้งคำถามหลายอย่างกับเสื้อผ้าและข้าวของราคาแพงจำนวนที่ชายหนุ่มควักเงินซื้อไปในวันนี้ ...เสื้อผ้า และข้าวของของผู้ชายขนาดตัวของเขา แต่พอนึกไปถึงอุบายที่เพิ่งจะรู้เมื่อถึงร้านตัดผมก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าทิมกำลังคิดจะทำอะไร ไม่ต้องตั้งคำถามอีกต่อไป ไม่ช้าเจ้าตัวก็เฉลย

“คืนนี้ไปงานเป็นเพื่อนหน่อย” ทิมเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เฮ่ย งานอะไร ไม่ไปหร..” ยังไม่ทันจบประโยคแววตาคู่นั้นที่จ้องมองที่คะน้า ก่อนจะตวัดไปที่ข้าวของมากมายที่ด้านหลังก็ทำให้เสียงถูกดูดหายสนิท อีกครั้งที่คะน้าถูกมัดมือชกอย่างแนบเนียน

“เสื้อผ้านั่น คงไม่ได้หมายความว่า...”

“อือฮึ” เป็นอันว่าปริศนาได้ถูกไขความกระจ่างลงเสียที คะน้ากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ พยายามคำนวนคัวเลขของข้าวของมากมายที่ซื้อไปเท่าที่พอจะคะเนได้แล้วเหงื่อตกอย่างบอกไม่ถูก





ถึงห้องของทิมเวลายังไม่ถึงสี่โมงดีพร้อมกับข้าวของมากมายในมือ เมื่อจัดวางให้เป็นที่เป็นทางแล้วชายหนุ่มก็รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นเตรียมจ่าย แม้รู้ดีว่ายังไงก็ไม่พอกับเงินเรือนแสนที่ทิมควักจ่ายไปวันนี้ อยากจะตะโกนด่าคนเอาแต่ใจที่ใช้เงินแบบไม่คิด แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงเท่าไหร่ ...เอาวะ วันนี้ก็ผ่อนไปก่อนเท่าที่มี

“อะไรที่คิดอยู่ ขอให้หยุดความคิดนั้นซะ”

“ไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องจ่าย ยังไงมันก็เป็นของผม” คะน้าพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ยึดถือกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างมาก คนที่ยืนฟังแย้งกลับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทิมเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าสตางค์ในมือของคะน้าขึ้นมาแล้วโยนทิ้งไปที่โซฟาอย่างไม่ไยดี

“เฮ่ย! ทำอะไรเนี่ย!” คะน้าโวยแล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าหนังในฟีบที่แผ่หราอยู่กลางโซฟา ไม่รู้เลยว่าทิมเดินตามหลังมาในระยะประชิด กระทั่งจังหวะที่เอื้อมเก็บของที่ตกอยู่ก็โดนกดตัวด้วยน้ำหนักทั้งตัวของจอมวางแผนจากด้านหลัง

“เหวออออออออ... อย่าทับได้ไหม มันหนักนะ” ร่างของคะน้าแนบที่กับโซฟาพยายามดันตัวลุกขึ้น แต่คนที่ทับอยู่กลับออกแรงกดทับหัวไหล่เอาไว้แล้วฝังปลายจมูกลงบนลำคอ

“เดี๋ยวต้องไปงานไม่ใช่เหรอไง” เบี่ยงหน้าไปด้านข้าง หวังว่าเหตุผลจะทำให้ตนพ้นจากริมฝีปากที่เริ่มรุกล้ำ แต่ก็ดูเหมือนจะป่วยการเมื่อรอยยิ้มนั้นดูจะแย้มพรายกว่าเดิม

“หนึ่งทุ่ม”

“เฮ่ย แล้วทำไมต้องรีบกลับมาด้วย” คะน้าร้องเสียงหลง มองไม่เห็นความจำเป็นที่ทิมจะต้องไปดึงตัวเขาจากตลาดตั้งแต่บ่ายต้นๆ แล้วรีบเร่งไปทำธุระมากมายขนาดนั้น

“แล้วคิดว่าทำไมล่ะ”

ฟันสีขาวขบลงเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างของคะน้าพร้อมกับฝ่ามือที่ดึงชายเสื้อจนเลิกสูง หัวเข่าและท่อนขาเคลื่อนตัวอย่างซุกซน นอกจากริมฝีปากของทิมแล้ว ปลายนิ้วบนทั้งสองมือฝ่าของคนที่เด็กกว่าก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าของตัวเองลงก่อนจะสำรวจร่างกายของคนตรงหน้าจนเปียกชื้น

“มันน่านัก” ทิมก่นเสียงผ่านไรฟัน ผิดกับอีกคนที่เกร็งตัวขึ้นทันทีกับสัมผัสที่รุมเร้า รู้สึกถึงริมฝีปากที่เน้นเฉพาะจุดบนแผ่นอก อยากจะบิดตัวหนี ความรู้สึกใหม่ก็กลับจู่โจมทันทีจากฝ่ามือด้านล่างจนสะท้าน

“ไม่เอา ตัวเหม็น”

“ให้มันเหม็นไป”

สวนคำตอบขึ้นมาราวกับไม่ต้องเสียเวลามากมายให้ต้องคิด ทิมสบตาของคะน้าแล้วเลียปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาจากด้านล่างช้าๆ รอยยิ้มน้อยๆ ยกขึ้นอย่างน่ามอง ก่อนใบหน้านั้นจะเคลื่อนขยับเข้าใกล้แล้วสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในปากของอีกคนที่อยู่ด้านล่าง คะน้าพยายามขัดขืนในตอนแรก แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ตอบรับกับสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและร้อนแรงในเวลาเดียวกันนั้นแต่โดยดี เมื่อรสจูบนั้นให้ความรู้สึกกำซาบกว่าสัมผัสใดๆ ที่แผ้วผ่านมา






แม้สายน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำร้อนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในชั่วโมงที่ผ่านมา หากแต่ความรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้านั้นกลับยังคงอยู่ไม่จางไปไหน หัวใจของเขายังคงทำงานหนักในพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ถูกออกแบบไว้ให้พอดีกับร่างกายของคนหนึ่งคน

“มา! สระผมให้”

เสียงทุ้มของอีกคนดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาบนศีรษะจนกลายเป็นพรายฟองนุ่มฟู ในพื้นที่แคบๆ ทิมยืนอยู่ในระยะประชิดตัว ผิวกายแทบจะแนบกับผิวกายจนอึดอัด คะน้าได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินสลัก ไม่ชินและไม่คุ้นเคยกับสัมผัสอ่อนโยนที่ไม่เคยจะคาดคิดว่าจะได้รับ ความใกล้ชิด ความดูแลเอาใจใส่ นานวันยิ่งจะทำให้คะน้าซึมซับจนกลายไปเป็นนิสัย ห้ามกี่ครั้งก็ห้ามไม่ไหว จนต้องปล่อยหัวใจของตัวเองทั้งหมดไว้กับคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างหลัง

“คราวหน้า อาบในอ่างกันนะ”

“บ้าใหญ่แล้ว หันไปเร็วๆ”

“ทำไมล่ะ”

“ก..ก็จะสระให้มั่งไง” คะน้าก้มหน้าแล้วยืนนิ่ง ร่างสูงเพียงแค่ยิ้มตอบน้อยๆ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายมากมาย ทิมโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ หอมฟอดลงบนแก้มแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณครับ”






มันเป็นความรู้สึกที่แปลกและน่าจะเป็นภาพที่คะน้าคิดว่าไม่น่ามองเอาเสียเลย กับการที่ผู้ชายสองคนผลัดกันเช็ดผมให้กันและกัน ถ้าใครมาเห็นคงได้อยากสำรอกจนคว้ากระโถนขึ้นมาแทบไม่ทัน ...กระนั้นคะน้ากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ไม่ได้รู้สึกถึงความกระด้างไม่น่ามอง แต่มันเป็นความรู้สึกที่อุ่นในใจ อ่อนโยน และทะนุถนอม

ผมที่สั้นของทิมดูกระด้างแข็ง หากแต่เมื่อสัมผัสดูกลับพบว่ามันนิ่มและละเอียดไม่ต่างกับเส้นไหมชั้นดี และความที่ผมนั้นสั้นกว่า ส่วนมากจึงเป็นคะน้าที่เป็นฝ่ายนั่งอยู่เฉยๆ โดยมีทิมที่ยืนเช็ดและเป่าผมจนแห้งเป็นทรง คะน้าสวมถุงเท้า กางเกง และเสื้อต่างๆ ที่ทิมหยิบส่งให้ ชายหนุ่มอีกคนช่วยจัดแจงต่างๆ ให้มันดูเป็นระเบียบเรียบร้อย คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ หากเขาจะเพิกเฉยและไม่ดูแลอีกฝ่ายอย่างที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตัวเอง คะน้าจึงหยิบเสื้อผ้าส่งให้กับทิมและช่วยดูความเรียบร้อย เมื่อเสร็จสิ้นก็ยืนมองดูชายหนุ่มที่ยืนยักคิ้วให้ตรงหน้า คะน้าตะลึงงันไปเนิ่นานหลายวินาที เมื่อเขาเองก็ไม่เคยเห็นทิมในมาดนี้

ทิมดูดีจนคะน้าไม่เชื่อว่าจะมีใครสักคนที่จะไม่หยุดเหลียวมอง ผมของทิมหวีเรียบเป็นระเบียบผิดกับทุกทีที่จัดแต่งแบบง่ายๆ ด้วยแว็กซ์ หน้าผากเปิดกว้างเผยให้เห็นคิ้วคมๆ ที่ทำให้หน้าของทิมน่ามองทุกครั้ง มีเพียงแววตาคู่นั้นเพียงอย่างเดียวที่ยังดูรั้น ไม่ยอมคนที่ยังคงอยู่และไม่เปลี่ยนไป

ทิมยื่นโบเล็กๆ ที่เป็นลายตารางสีฟ้าอ่อนสลับขาวสำหรับติดคอให้คะน้าเชิงร้องขอ คะน้าจึงช่วยจัดแต่งโบเล็กๆ นั้นให้อยู่เป็นระเบียบแล้วพลิกปกเสื้อลง ...รู้สึกร้อนวาบๆ อยู่บนหน้าแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก


...สุดเขตเกย์แบบกู่ไม่กลับเลยเว้ย ซีนนี้


“หน้าแดงๆ เป็นอะไร”

คะน้าส่ายหัวแล้วเบือนหน้าหลบสายตา รีบจัดแจงผูกกับคอคนที่ยืนยิ้มอยู่เร็วไว ทิมหอมฟอดใหญ่ก่อนจะขอบคุณคะน้าที่ช่วยผูกให้ เขาหยิบโบอีกชิ้นที่หน้าตาเหมือนกัน จะผิดก็เพียงแต่สีที่เป็นสีชมพูอ่อนสลับขาวขึ้นมาแล้วเดินไปด้านหลัง คะน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจ  ...ทำไมต้องเป็นสีชมพูวะ?

ไม่ใช่ไม่ชอบหรือไม่ถูกโฉลก แต่โอกาสจะแต่งตัวแบบนี้แทบจะไม่มี ถ้าเลือกได้ ก็อยากจะดูเท่ห์ด้วยสีเข้มๆ หรือเนคไทสีดำอะไรๆแบบนั้นมากกว่า ...มากกว่าโบน่ารักสีชมพูหวานๆ ซึ่งก็คงได้แต่คิดเมื่อโบน้อยถูกอ้อมมาด้านหน้าแล้วผูกลงบนคอให้กับคะน้าเรียบร้อยแล้ว

ดวงตาของคะน้ากระพริบถี่อย่างไม่แน่ใจ ทั้งเสื้อผ้า ทรงผม และบรรยากาศโดยรวม ดูเหมือนภาพที่เห็นในกระจกนั้นไม่ใช่ภาพสะท้อนของตัวเขา เหมือนกับใครสักคนที่แม้แต่หน้าก็ดูไม่ค่อยจะเหมือน ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนทรงผมเป็นอีกแบบ และจัดแจงแต่งตัวให้พิถีพิถันกว่าเดิมนั้น กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจนไม่เหลือซากแบบนี้

แต่นั่นดูจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้คะน้ารู้สึกชาไปทั้งหน้าจนปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อเทียบกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หากเมื่อพิจารณาดูดีๆ แล้วนั้น นอกจากสีของสูทที่เป็นสีเทาโทนเข้มกว่าเพียงไม่กี่เฉดสี แต่โดยรวมๆ แล้วเสื้อผ้าของทิมดูแทบจะไม่ต่างอะไรกับที่คะน้าสวมใส่เลย แน่ล่ะ เพราะมาจากร้านเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เนื้อผ้าจึงเหมือนกัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือโบเล็กๆ ที่ติดอยู่ใต้ปกเสื้อที่หน้าตาเหมือนกัน แตกต่างกํนก็แค่เพียงเป็นคนละสี



...ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนเป็นเพื่อนกัน!

คะน้าหันไปส่งสายตาทักท้วงกับทิม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่คิดใส่ใจแถมยังเร่งให้ออกไปงาน ทิมบอกว่างานวันนี้เป็นงานเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทคู่ค้าที่ทำสัญญาเป็นตัวแทนขาย แน่นอนว่าเป็นอีกบริษัทที่อยู่ในเครือบริหารของกลุ่มบริษัทเดียวกัน ผู้คนมากมายในงานมีทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย รวมถึงเหล่าบุคคลในสังคม แม้คะน้าจะไม่รู้จักใคร แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนจากหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ไม่น้อย

ทันทีที่เดินเข้างาน ดูเหมือนสายตาของผู้คนที่อยู่ก่อนหน้าจะมองมาแปลกๆ ...แน่ล่ะ ผู้ชายสองคนมาพร้อมกันไม่พอ ยังแต่งตัวคล้ายๆ กันอีก ทิมพาไปกลุ่มเพื่อนที่ยืนปะปนกับผู้คนด้านใน ในนั้นคะน้าจำเจได้ เขาอยู่ในสูทสีดำและเนคไทสีเข้มดูมีเสน่ห์ชวนมอง ...เท่ห์ชะมัดยาด จากหัวข้อสนทนาและคำที่ใช้ทักทายกันที่ค่อนข้างสนิท เขาเดาว่าน่าจะเป็นพวกคนทำงานเป็นวิศวกรกันหมด

แปลกที่ทิมดูไม่คิดจะแนะนำเพื่อนเหล่านั้นให้กับคะน้ารู้จักสักคน แม้แต่เจเอง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะจงใจเบี่ยงเอาตัวกั้นไว้ไม่ให้อยู่ใกล้ เพื่อนแต่ละคนที่พยายามจะเอ่ยทัก พร้อมกับสายตาที่ดูกรุ่มกริ่มประหลาดดูไม่ได้สร้างความสนใจให้ทิมอย่างที่ควร ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองหรือเปล่า ทิมดูจะจ้อกว่าทุกครั้ง เรียกว่าเป็นฝ่ายชวนคุยไม่หยุดก็คงจะว่าได้ ไม่นานนัก ทิมก็พาคะน้าก็ผละจากกลุ่มเพื่อนนั้นออกมา ร่างสูงพาเขาเดินมาหากลุ่มสาวๆ ที่อยู่ด้านในกว่า คะน้ารู้สึกแปลกๆ กับสายตาของพวกเธอที่มองมา หนึ่งในนั้น คะน้าจดำจำได้เป็นอย่างดี แนนกล่าวทักทายทิมแล้วมองที่คะน้าแล้วยิ้มน้อยๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นรอยยิ้มแบบไหนเมื่อในแววตาคู่นั้นเหมือนอัดแน่นด้วยคำถาม

“เพื่อนพี่ทิมเหรอคะ ทำไม... ชุดคล้ายกันเลย” ดูเหมือนว่าเธอจะลืมเขาไปแล้วล่ะมั๊ง

“บังเอิญน่ะ” ทิมหันมายักคิ้วให้คะน้า ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลสั้นๆ แบบที่ชายหนุ่มบอกกับเพื่อนๆ กลุ่มเมื่อครู่เหมือนกัน แนนดูยิ้มแย้มขึ้นมากว่าเมื่อครู่ เธอหันมาสบตาน่ารักกับคะน้าแล้วหันไปมองทิม

“จะไม่แนะนำให้แนนรู้จักกับเพื่อนพี่ทิมหน่อยเหรอคะ แนนเดาว่าต้องเป็นเพื่อนที่เรียนกับพี่ทิมตอนอยู่ต่างประเทศแน่ๆ เลย” หญิงสาวในชุดราตรีสีโอลโรสสบตาคะน้าอย่างน่ารัก แล้วหันมาแนะนำตัวอย่างคล่องแคล่วตามแบบฉบับคนที่คุ้นกับการเข้าสังคม

“แนนค่ะ” ทิมหันมายิ้มให้กับคะน้า แววตาที่ดูเจ้าเล่ห์คู่นั้นราวกับว่าภาคภูมิใจอะไรสักอย่างเสียมากมาย ทิมหันไปฉีกยิ้มให้กับหญิงสาวเสียกว้างขวาง

“แนนเคยเจอแล้วนี่ คะน้าไง” ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่เกินกว่าจะคาดคิดของหญิงสาวไปไกล เมื่อดวงตาคู่นั้นดูจะเบิกกว้างจนซุกซ่อนความตระหนกไม่มิด

“พี่..คะน้า...” หญิงสาวรำพึงขั้นมาอย่างไม่เชื่อตัวเอง สักพักเธอก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะไหวหน้าไปมาราวกับตำหนิในความสะเพร่าเผอเรอด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ

“ตายจริง พี่คะน้าอย่าโกรธแนนเลยนะคะ ช่วงนี้อาจจะวุ่นๆ หน่อยกับการเตรียมงาน บางครั้งจนแนนก็เบลอๆ ไปเหมือนกัน แย่จังที่จำพี่ไม่ได้ แนนหน้าแตกไปหมดแล้ว” เธอสบตาอย่างอ่อนหวาน คะน้าอมยิ้มน้อยๆ มองกี่ครั้งหญิงสาวก็ดูเป็นเหมือนกับเจ้าหญิงตัวเล็กๆ ในเทพนิยาย ร่างบางคอดเอวจนสวยน่ามอง ดวงตาหวานใสเหมือนหยดน้ำที่กลิ้งกลอก แต่ก็ดูดีกับทรงผมที่ทันสมัย

“ว่าแต่ดื่มน้ำอะไรหน่อยไหมคะ” แนนหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้บริกร ก่อนที่เครื่องดื่มมากมายจะมาโผล่โฉมมาให้เลือกสรรตรงหน้า ร่างเล็กกวาดสายตาไปมา ริมฝีปากรั้นแบบคิดไม่ตก “แชมเปญไหมคะ”

“อย่าดีกว่าครับ ผมดื่มไม่เก่งด้วย” คะน้าหันไปยิ้มเขิน เขาไม่ใช่คนที่ดื่มเก่งอะไรมากมาย ออกจะเรียกได้ว่าติดจะแพ้แอลกอฮอล์นิดๆ ด้วยซ้ำ เพราะถ้าดื่มมากๆ ถึงไม่อาเจียน แต่ร่างกายก็จะเป็นผื่นแดงไปทั้งตัว ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในกลุ่มจึงเลือกที่จะหยิบเพียงน้ำอัดลมขึ้นมาจิบแล้วส่งยิ้มให้กับทุกคน

“วันนี้พี่ทิมดูหล่อเป็นพิเศษเลยนะคะ” หญิงสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผิดกับคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ได้แต่ลอบมองทิมสลับกับเขาแล้วยืนขวยเขิน ...ก็น่าอยู่หรอก แต่งตัวอะไรมาแบบนี้ แต่อีกคนนี่สิ ดูจะไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย

“แนน พี่ฝากคะน้าไว้กับเราหน่อยได้ไหม ขอไปคุยธุระอะไรกับพวกไอ้พี่เจหน่อย” หญิงสาวตบปากรับคำพร้อมกับรอยยิ้มน่ารัก ทิมจึงหันมาพูดกับคะน้า ...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหน้าจะโหดไปไหน

“อยู่กับพวกแนนที่นี่ก่อนได้ไหม เดี๋ยวมา” ทันทีที่คะน้าพยักหน้าหงึกๆ ชายหนุ่มก็สาวเท้าไวๆ ตรงกลับเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่จากมาทันที ...ก็แล้วทำไมไม่คุยให้จบก่อนจะเดินมานี่นะ แปลกคน

“พี่คะน้าก็ด้วยนะคะ วันนี้พี่ดูดีมากเลยค่ะ” เสียงหวานๆ ของแนนทำเอาคะน้าสะดุ้งกับคำพูดที่เกิดมาไม่เคยเชื่อว่าจะได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันจากปากของผู้หญิงที่สวยน่ารักและดึงดูดสายตาของหนุ่มๆ แบบแนน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย



“...หล่อจนแนนจำไม่ได้เลย”



(มีต่อด้านล่างครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครึ่งหลังของตอนครับ)





“แนนรู้จักพี่เค้าด้วยเหรอ แนะนำให้เรารู้จักหน่อยสิ” สาวๆ หลายคนดูจะกล้าพูดอะไรมากขึ้นเมื่อไอ้หน้าโหดไม่อยู่ในวงสนทนาแล้ว

“ชื่อพี่คะน้าจ๊ะ เป็นเพื่อนของพี่ทิม” แนนหันมายิ้มให้คะน้าน้อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้เหมือนแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จัก คะน้ายิ้มเขิน ไม่เคยได้อยู่ใกล้กับสาวๆ หน้าตาดีมากมายแบบนี้

“สวัสดีครับ”

“ชื่อพี่คะน้าเหรอคะ ชื่อน่าทานจัง” คะน้าก้มหน้างุด รับไม่ถูกกับคำแซวจากคนที่ไม่คุ้นหน้า ชายหนุ่มจึงได้แต่แจกยิ้มเกลื่อนไปให้กับทุกคน

“ครับ” แนนเอามือมาแตะแขนเขาเบาๆ แล้วเขย่าเหมือนส่งกำลังใจแล้วหันไปดุใส่สาวๆ คะน้าหันกลับไปยิ้มขอบคุณ ถ้าไม่ได้เธอ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

“แล้วพี่คะน้าเรียนวิศวะแบบพี่ทิมหรือเปล่าคะ เดาว่าต้องรู้จักกันที่เยอรมันแน่ๆ”

“เปล่าหรอกครับ ผมเรียนด้านการตลาดมา จบจากที่อเมริกาน่ะครับ คนละฝั่งกันเลย” ดูเหมือนว่าคำตอบของคะน้าจะสร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวไม่น้อย

“แนนไม่เห็นเคยทราบมาก่อนเลย เดี๋ยวแนนก็ได้ปล่อยไก่กันอีกพอดี พี่คะน้าไม่บอกแนนบ้างเลยนะคะ” เธอส่งเสียงเง้างอดน่าเอ็นดู

“ขอโทษครับ ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันแฮะ” แม้เครื่องแต่งกายจะเปลี่ยนแต่บุคลิกคะน้าไม่เคยเปลี่ยน ชายหนุ่มยังคงวางตัวง่ายๆ และยกมือขยี้ท้ายทอยตัวเองเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติทุกครั้งเวลาที่เก้อเขิน

“พี่คะน้าดูน่ารักจังเลยค่ะ ไม่ถือตัวเลย ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของพี่ทิมได้เลยจริงๆ นะ บางทีพี่ทิมก็ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” สาวพูดจ้อแล้วส่งสายตาระยับมาให้ ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำตัดพ้อเล็กๆ สำหรับทิมและเหมือนจะชื่นชมเขาอยู่ในทีหรือเปล่านะ

“ทิมไม่ได้เป็นคนที่ดูน่ากลัวหรอกครับ ตัวจริงเป็นคนที่... เอ่อ... ใจดีมากๆ ด้วยซ้ำ” คะน้าจงใจเลี่ยงคำว่าติงต๊อง และนิสัยเหมือนกับเด็กๆ ออกไปเพื่อที่จะได้ไม่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของทิมในสายตาสาวๆ

“พี่ทิมเป็นคนที่จริงจังกับงานน่ะ งานต้องเป็นงาน ห้ามเล่นเลยล่ะ” โชคดีที่แนนช่วยแก้ต่างให้กับหัวหน้าของเธอ ไม่อย่างนั้นสาวๆ คงไม่หยุดโต้เถียงเป็นแน่ คะน้ายืนเก้ตอบคำถามที่ซักไซ้ประวัติของตัวเองอย่งอึกอัก ดูเหมือนหญิงสาวข้างๆ จะสังเกตุเห็นได้ไม่น้อย สักพักเมื่อได้จังหวะ แนนจึงหันมากระซิบกับคะน้า

“พี่คะน้าอึดอัดไหมคะ เดี๋ยวแนนพาไปนั่งที่เงียบๆ ทานอะไรอร่อยๆ แล้วเดียวแนนจะบอกพี่ทิมให้ตามมาถ้าธุระเสร็จแล้วดีไหมคะ”

“ก็ดีเหมือนกันนะครับ” คะน้าตอบตามความรู้สึกจริงๆ ไม่รู้ว่าทิมจะพามาเป็นเพื่อนทำไม เมื่อในงานก็มีคนที่รู้จักมากมายขนาดนี้ คะน้าต่างหากที่ไม่รู้จักใครสักคน

“เอาล่ะสาวๆ เดี๋ยวขอพาตัวพี่คะน้าไปตักของกินแป๊บนะคะ เสร็จแล้วเดี๋ยวมาจ๊ะ” แนนหันมากระพริบตาเหมือนส่งสัญญาณ คะน้าหันไปขอตัวกับสาวๆ แล้วเดินตามแนนไปที่ไลน์อาหารที่เรียงรายมากมายอยู่ด้านริมห้อง

“ขอบคุณนะครับคุณแนน”

“เพื่อนพี่ทิมก็เหมือนกับพี่ของแนน เรียกแนนเฉยๆ ดีกว่าค่ะ” เธอหันมาส่งยิ้ม ...เป็นยิ้มที่ทำให้คะน้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม “สาวๆ พวกนี้เป็นพวกสาวๆ ในวงสังคมน่ะค่ะ ลูกคนนั้นหลานคนนี้ พี่คะน้าคงพอเดาได้ใช่ไหมคะ ว่าพี่ทิมไม่ได้เป็นคนหน้าตาธรรมดา แถมยังเก่งและรวยแบบนี้ คนชอบก็คงมีเยอะเป็นธรรมดาล่ะค่ะ”

“อ้าว นั่นคือชอบเหรอครับ เห็นบ่นว่าดุๆ บ่นถือตัวกัน” คะน้าฉงนและแปลกใจกับคำพูดของแนน เขาชายหนุ่มกวาดตามองอาหารมากมายตรงหน้า เลือกตักอาหารที่ธรรมดาที่สุดใส่จานเล็กน้อยเหมือนไม่รู้ว่าจะตักอะไร

“ชอบสิคะ พี่คะน้าเป็นเพื่อนสนิทขนาดนี้ก็น่าจะรู้ พี่ทิมเป็นคนเข้าถึงยาก ถ้าไม่มีธุระปะปังอะไรก็ไม่คุยอะไรด้วยหรอกคะ ถามคำตอบคำ หรือไม่ตอบก็มี”

“...ไม่ได้น่ารักแบบพี่คะน้าหรอกค่ะ”

แนนหันมายิ้มให้กับเขา บางทีคะน้าอาจจะคิดมากไป ดูเหมือนว่าวันนี้แนนดูแลเขาดีเป็นพิเศษ บางที อาจจะเพราะว่าทิมฝากไว้ล่ะมั๊ง แนนเดินไปพูดคุยกับริกรที่ยืนอยู่ สักพักก็เดินกลับมาที่คะน้าแล้วส่งยิ้ม เธอแตะที่แผ่นหลังเขาเบาๆ คล้ายกับบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “แนนไปบอกให้พี่เค้าเอาน้ำตามมาให้น่ะคะ แล้วก็บอกให้ไปแจ่งพี่ทิมด้วยว่าเราจะไปไหน”

“นั่นสิครับ แล้วเราจะหลบไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“เป็นห้องที่ทางโรงแรมเปิดกับให้สต๊าฟไว้ใช้เตรียมงานน่ะค่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่แล้วล่ะค่ะ ลงมาหล่อมาสวยอยู่ข้างล่างกันหมดแล้ว”

แนนพาเดินไปที่ห้องว่างที่ไม่ห่างจากพื้นที่บริเวณจัดงานมากนัก เป็นห้องโล่งๆ ที่มีข้าวของมากมายสำหรับเตรียมงานวางไว้กับพื้นตามมุมห้อง ตรงกลางมีเพียงโซฟาขนาดเล็กเอาไว้นั่งเพียงตัวเดียว ไม่ทันได้มองสำรวจมากมาย บริการก็เดินเอาน้ำอัดลมใส่เหยือกขนาดใหญ่มาให้พร้อมกับแก้วสองใบ แนนบอกให้เอาวางไว้ในถาดที่พื้นก่อน

“พี่คะน้าไม่ถือใช่ไหมคะ มันไม่ค่อยจะมีที่วางด้วยสิ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” คะน้ายิ้มให้แนน รู้สึกดีกับความน่ารักและมีน้ำใจของหญิงสาว เธอหันมายิ้มให้แล้วเหลียวซ้ายแลขวาแบบเก้ๆ กังๆ

“เอ่อ... แนนนั่งดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ยืนเอง”

“พี่คะน้านั่งทานเถอะค่ะ เดี๋ยวแนนอยู่เป็นเพื่อน” ไม่บ่อยที่คะน้าจะทำหน้าดุใส่ผู้หญิง กี่ครั้งกี่คราดูเหมือนจะชายหนุ่มจะดูแลและตามใจผู้หญิงตลอด เรียกว่าไม่เคยขัดใจแล้วยังเทคแคร์เป็นอย่างดีด้วยซ้ำ

“จะดีเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้าไม่สู้ดีที่ตัวเองดูจะเป็นตัวปัญหาให้อีกฝ่าย หากแต่ชายหนุ่มผายมือให้กับหญิงสาว เธอจึงเดินมานั่งแต่โดยดี คะน้ามองไปรอบๆ ตัว ไม่ได้รู้สึกหิวอะไร แต่เลือกทานอาหารไปเหมือนฆ่าเวลาเอาเสียมาก แนนค่อยๆ ถอดรองเท้าส้นสูงออกเหลือแค่เท้าเปล่าเปลือยบนพื้นพรม “คงไม่ว่าอะไรใชไหมคะ แนนใส่มาทั้งวันเลยตอนเตรียมงาน ล้าไปหมดทั้งขาแล้ว”

คะน้าพอจะเข้าใจว่าความสูงของส้นรองเท้าที่แหลมปี๊ดนั้นดูจะเป็นปัญหาให้กับสาวๆ แต่ผู้หญิงส่วนมากก็เลือกที่จะสวมใส่มันเพื่อความสวยงาม ยิ่งถ้าต้องยืนเตรียมงาน คอยวิ่งทำอะไรตลอดเวลา ยิ่งเมื่อย แต่จะว่าไปแล้ว... “เอ่อ... ว่าแต่คุณแนนได้ทานอะไรบ้างแล้วหรือยังครับ”

“ก็... ยังเลยล่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหยให้กับคะน้า “พี่คะน้าทานเถอะค่ะ แนนโอเค”

“พี่ไม่ค่อยหิวหรอก ตักมาอย่างนั้นซะมากสิครับ”

คะน้าถอนหายใจแล้วส่ายหน้าหนักๆ ลึกๆ แล้วก็รู้สึกผิดที่แนนคอยเป็นธุระดูแลเทคแคร์เขาจนหญิงสาวต้องอดทานอาหารอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี “น้องแนนทานอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวพี่ออกไปตักมาให้”

“อุ้ย อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนเปล่าๆ พี่คะน้าทานเถอะค่ะ แนนโอเคค่ะ ไม่ค่อยหิวอะไรมาก อุ้ย...” แนนเอามือจับท้อง สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแหยให้กับคะน้า “เอ่อ... พี่คะน้าคงไม่ได้ยินนะคะ”

“ได้ยินอะไรเหรอครับ”

“ท้องร้องน่ะสิคะ ดูสิ แนนขายหน้าแย่เลย” หน้าหวานๆ กลับกลายเป็นหน้ามุ่ยจนคะน้าเผลอหัวเราะขำ หญิงสาวคนนี้ดูเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูเอาเสียจริงๆ

“ไม่ครับ แต่ทานอะไรหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ออกไปตักอะไรมาให้ แนนอยากทานอะไรครับ”

“อะไรก็ได้ค่ะ แต่แนนไม่อยากรบกวนพี่คะน้าหรอก อีกอย่าง แนนก็บอกพี่ทิมไปแล้ว ถ้าพี่ทิมมา แล้วปรากฏว่ามีแต่แนนอยู่ นอกจากมันจะดูไม่ดีแล้ว พี่คะน้าพอจะนึกออกไหมคะว่าแนนจะโดนอะไรบ้าง” ร่างบางขมวดคิ้ว ริมฝีปากรั้นขึ้นเหมือนกังวลจนคิดไม่ตก

“ไม่น่าเป็นอะไรหรอกนะครับ เดี๋ยวรีบไปรีบมาเลย”

“งั้น... แบบนี้ดีไหมคะ เอ่อ... พี่ทิมไม่ค่อยหิวใช่ไหมคะแล้วก็... คงไม่ทานอะไรมากใช่ไหมคะ” คะน้าพยักหน้าไหวๆ “พ..พี่จะถือไหมคะ ถ้าแนนจะแบ่งทานจากจานนั้นเลย” หญิงสาวก้มหน้างุด รวงแง้มระเรื่อเป็นสีแดง

“เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ แต่คือ... พี่ก็ทานไปบ้างแล้วน่ะสิ มันจะดูน่าเกลียดไหมครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ แนนทานได้” หญิงสาวค่อยๆ เดินมาหยิบจานจากในมือของคะน้าอย่างกลัวๆ กล้าๆ แล้วกลับไปนั่งที่โซฟา คะน้ามองด้วยความรู้สึกเกรงใจ อันที่จริงการที่เขาจะไปตักมาให้ใหม่ดูจะไมใช่เรื่องที่ยากเลย “คนที่ทำงานอย่างนี้ต้องทำตัวให้กินง่ายอยู่ง่ายค่ะ บางครั้งไซด์งานอยู่บนเกาะ ไม่ได้มีอะไรหาทานสะดวกสบาย ก็ต้องแบ่งกันทานเอา”

คะน้าค่อยโล่งใจ ดูเหมือนว่าการทำงานจะฝึกให้แนนกินง่ายอยู่ง่ายสมอย่างราคาคุยจริงๆ ร่างบางตักทานจนดูน่าอร่อยแต่สักพักเธอก็ทำหน้ามุ่ย เมื่อหญิงสาวพยายามจัดแจงปีกไก่ทอดในจานอย่างทุกลักทุเลจนคะน้ามองอย่างเอาใจช่วย จนสุดท้าย แนนก็เงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาละห้อย

“พี่คะน้าคะ แนนอยากกินไก่ทอดนี่จัง”

“ครับ” คะน้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำ

“แต่เมื่อกี้แนนเอามือล้วงรองเท้าไปหมดแล้ว คือ... พี่คะน้าป้อนแนนทีนะคะ” คะน้าทำหน้าหวาด จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเขาจะทำอะไรพวกนี้ไม่ได้ คะน้ายินดีและเต็มใจเสมอ หากแต่เกรงในเรื่องความเหมาะสมระหว่างชายกับหญิงที่อาจจะไม่เหมาะ “นะคะๆๆๆๆๆ แนนอยากทานจริงๆ”



...เอาเถอะ ยังไงตัวเขาเองก็ชอบทิมไปแล้ว

คะน้าเดินเข้าไปหยิบปีกไก่ทอดขึ้นมาถือแล้วส่งยิ้มให้กับแนน ร่างเล็กในขณะนี้ดูลิงโลดคล้ายกับเด็กตัวโตๆ เสียมากกว่าจะเป็นหญิงสาวในเวลาทั่วไป ...ความรู้สึกในใจ จู่ๆ เขาก็นึกสนุกอยากแกล้งคนที่ส่งสายตาเว้าวอนมา คะน้าจงใจแกล้งถือไก่แล้วเบี่ยงซ้ายย้ายขวาไม่ให้แนนแทะได้ กระทั่งความอดทนสิ้นสุดจนเธอหน้ามุ่ย คะน้าถึงหยุดนิ่งแล้วส่งให้เธอทานแต่โดยดี

แนนค่อนยื่นหน้ามาหาช้าๆ ดวงตาคู่นั้นที่กลมโตดูวับวาวเหมือนเอาดวงดวงทั้งฟ้ามาอัดแน่นอยู่ด้านใน คะน้ามองจ้องสายตาคู่นั้น มันน่ามองจนเขาไม่อยากละสายตา แต่อะไรบางอย่างบอกว่ามันไม่เหมือนแววตาของเด็กสาวซุกซนที่น่าแกล้งอีกแล้ว และก็ไม่เหมือนกับผู้หญิงทะโมนที่กินง่ายอยู่ง่ายไม่เรื่องมากคนนั้น

ทั้งคู่อยู่ในความเงียบ กระทั่งหญิงสาวอาสาลุกขึ้นมาเทน้ำอัดลมจากเหยือกสูงลงในแก้ว แนนเดินออกไปที่ถาดที่วางอยู่ที่พื้น ย่อตัว แล้วค่อยๆ ก้มลง จังหวะที่ก้มเผยให้เห็นช่วงอกที่โค้งได้รูปราวกับดอกบัวที่เติบโตเต็มที่จนกลีบใบรอเวลาผลิแย้ม คะน้าเบือนหน้าไปอีกด้านแสร้งทำเป็นไม่เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ว่าคะน้าไม่รู้สึกใดๆ กับเรือนร่างของผู้หญิง แต่เขารู้สึกไม่ชอบการฉวยโอกาสจากความผลั้งเผลอ นอกจากจะไม่เป็นการให้เกียรติผู้หญิงแล้ว คะน้านับว่ายังไม่เป็นการให้เกียรติกับตัวเองด้วย ครู่หนึ่งแนนก็เดินมาส่งน้ำอัดลมสีดำที่รินใส่พอดีแก้วให้ คะน้าขอบคุณแล้วยกขึ้นดื่ม รู้สึกว่าน้ำอัดลมหวานกว่าปกติทุกครั้ง

“มันหวานๆ มีกลิ่นแปลกๆ”

“ไม่มีอะไรนี่คะ” แนนยกขึ้นดื่มไปครึ่งแก้วเหมือนกับไม่มีอะไรผิดปกติ คะน้ามองด้วยความแปลกใจ หากแนนไม่รู้สึกในความผิดปกตินั้น บางที อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง คะน้าจึงนั่งจิบเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ โดยมีแนนคอยเติมให้ไม่ขาด ครู่เดียวก็เหมือนเริ่มรู้สึกมึนหัว แต่ความที่เกรงใจแนนที่รบเร้าให้เขาดื่ม ชายหนุ่มก็ยกแก้วตามใจของแนนไม่ขาด กว่ารู้ตัวอีกทีคะน้าก็รู้สึกมึนเต็มที่ เขาพยายามประคับประคองสติของให้ดีจนพอจะเอ่ยประโยคที่ฟังดูเป็นเรื่องเป็นราวได้

“พอดีกว่าครับ มึนๆ ยังไงไม่รู้ มันใส่เหล้าหรือเปล่านะ”

“ไม่นี่คะ แนนให้น้ำอัดลมปกติมานะคะ” แนนหยิบเครื่องดื่มสีดำขึ้นทานรวดเดียวหมดแก้วเหมือนไม่มีอะไร คะน้ามองแล้วจึงคิดว่าบางทีอาจเป็นเขาเองที่เวียนหัวหรือง่วงนอนขึ้นมาประหลาด สติที่ค่อยๆ พร่าเลือนทำให้คะน้าดื่มต่อตามคำรบเร้าของหญิงสาวตัวน้อยที่นั่งข้างๆ

เนิ่นนานจนสัมผัสที่นุ่มนวลกดลงบนต้นแขนจนทำให้คะน้าหันกลับไปมองจ้อง เห็นแนนค่อยๆ เบียดเนินอกของตัวเองเข้าหาอย่างเชื้อเชิญ วงแขนยกขึ้นเกี่ยวก่ายที่ลำคอแล้วโน้มหา ใบหน้าคลอเคลียอยู่ที่แก้มของเขาไม่ห่างไกล

“พี่คะน้าใจร้ายกับแนน ไม่เห็นเคยบอกแนนเลยว่าจบโทจากอเมริกา แถมรสนิยมก็ดีขนาดนี้” นิ้วชี้ของหญิงสาวค่อยๆ ลูบไปบนสาบเสื้อแล้วเลื่อนไปที่โบไทซึ่งรั้งอยู่ใต้ปกเสื้อแล้วค่อยๆ คลายออก

“อึดอัดใช่ไหมคะ แนนคลายออกให้นะคะ” ปลายนิ้วปลดกระดุมออกช้าๆ ทีละเม็ด ...เม็ดแรก ...เม็ดที่สอง ลมหายใจผ่าวร้อนพร่างพรมอยู่บนแผ่นอกของคะน้าพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา

...เม็ดที่สาม

ในความพร่าเลือนของความรู้สึกที่เหมือนริมฝีปากที่เชิญชวนจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ที่คะน้าทีละน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดลงต่ำ แต่มันเลือนลางจนไม่รู้ว่าเป็นเพียงความคิดคำนึงหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เข็มขัดและขอบกางเกงค่อยๆ คลายตัวออก พร้อมกับซิบที่ค่อยๆ ร่นลงช้าๆ จนคะน้ามั่นใจ ...คิดว่ามั่นใจกับสัมผัสที่คลายตัวออกนั้น มือที่ลูบไล้เบาๆ ที่ต้นขาให้ความรู้สึกที่ซาบซ่าน หากแต่ว่ามันแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ...เหมือนไม่ใช่


...ไม่ใช่ทิม

ชาบหนุ่มพยายามอย่างหนักที่จะรวบรวมสติอีกครั้งแล้วเพ่งมองภาพตรงหน้า ภาพที่เห็นดูจะแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย แนนกำลังส่งยิ้มให้กับเขา แววตาที่เคยน่ารักแบบเด็กๆ เปลี่ยนไปจนเขาจำแทบไม่ได้ คะน้าขืนตัวเองขึ้น แม้ในเวลาที่สติสัมปชัญญะเริ่มลดต่ำจนน่าใจหาย หากแต่แรงของผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่ต้องขนข้าวของในตลาดบ่อยๆ แบบคะน้านั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่ออกกำลังกายในยิมทุกวันแต่น้อย แค่เพียงแรงเหวี่ยงเบาๆ ร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะเซไปไกลกว่าที่คะน้าจะคาดคิด

อยากจะขอโทษ แต่ฟังดูคงไม่เป็นภาษา ...อย่างไรก็ตาม เขาต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด คะน้าลุกขึ้นแบบซัดไปเซมา มือซ้านดึงกางเกงที่ร่นลงขึ้นแล้วพยายามยัดๆ ใส่ๆ ให้พอไม่หลุดออกมาอุจาด สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างโยกไหว คะน้าพยายามเปิดประตูออก จนแล้วจนรอดก็หาที่เปิดไม่เจอ เนิ่นนานกว่าที่จะพบว่าต้องบิดประตูออกด้านไหน คะน้าถึงได้ออกแรงกดประตูแง้มออกช้าๆ


...ซึ่งนั่นคือช้าเกินไป

เมื่อแนนที่เสียหลักรุดขึ้นมาถึงตัวเขาแล้ว หญิงสาวเอาตัวเข้าขวางที่หน้าประตูแล้วใช้แผ่นหลังของตัวเองปิดประตูที่เปิดแง้มออก ดันจนมันปิดลงสนิทอีกครั้ง

“พี่คะน้าจะไปไหนเหรอคะ”

มือเล็กๆ ของแนนหลุบลงต่ำแล้วลูบไล้ไปทั่วช่วงล่าง ปลายนิ้วจับที่ซิบแล้วค่อยๆ รูดลงอีกครั้ง คะน้ารีบปัดมือออก ไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยความเลวร้าย เขาฝืนแรงทั้งหมดกับบานประตูที่ลงน้ำหนักตัวของแนนไว้ให้เปิดออกอีกครั้ง ถึงจะทุลักทุเลแต่มันก็สำเร็จ คะน้าก้าวตัวออกจากประตู หากแต่จังหวะนั้นก็ยังคงไม่ทันการ แนนกลับรั้งไว้จนได้

จังหวะเดียวกันนั้น มีพนักงานของโรงแรมเดินผ่าน คะน้าพยายามจะเรียกหรือรั้งไว้ให้ใครสักคนพาเขาให้พ้นจากสถานการณ์นี้เสียที ชายหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกออกไปแบบมึนๆ เมาๆ แต่คนที่พูดอะไรแทบไม่รู้เรื่องแบบคะน้าหรือจะสู้คนที่พูดอะไรทุกอย่างได้ปกติแบบแนน

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“มีเรื่องรบกวนค่ะ คือเห็นว่าไวน์ขาวในงานหมดแล้ว ช่วยรีบดูให้หน่อยได้ไหมคะ เพราะนายชอบไวน์ขาวที่แช่เย็นๆ มากเลย ค่อนข้างซีเรียสน่ะค่ะ” แนนทำหน้าตาจริงจังใส่ พนักงานคนนั้นพยักหน้ารับคำแล้วรีบวิ่งออกไป หญิงสาวยิ้มหวานให้แทนคำขอบคุณ แล้วจึงปิดประตูอีกครั้งก่อนจะหันมาสบตาคนข้างหน้า

“เลิกพยายามแล้วมาสนุกกันเถอะนะคะ มาถึงขนาดนี้แล้ว แนนไม่ถอยหรอกค่ะ”

“มันไม่ดีหรอกแนน อย่าเลย”

“แนนไม่ถือหรอกค่ะ แล้วอะไรที่ว่าไม่ดีล่ะคะ” ร่างบางพูดตอบแบบง่ายๆ แล้วรั้งสายเดี่ยวบนไหล่ให้ลดต่ำลง คะน้าได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกด้าน

“แนนไม่สวยหรือไงคะ ...หรือแนนไม่ดีตรงไหน มีแต่คนอยากได้แนน” เธอถามพร้อมเบียดตัวมาแนบชิด หากแต่คะน้ากลับเบี่ยงตัวหลบด้วยการขยับหนีไปด้านข้าง หญิงสาวจ้องมองเนิ่นนาน แววตาระอุไปด้วยความไม่พอใจ

“...หรือว่าจริงๆ แล้วพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง”

คำถามของแนนทำให้คะน้าไม่รู้จะตอบอะไร ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจนหญิงสาวจับความรู้สึกได้




“เพราะจริงๆ แล้ว พี่เป็นเกย์”

คะน้ารู้สึกเหมือนริมฝีปากของตัวเองแห้งผาก อยากจะบอกปฏิเสธ แต่ความรู้สึกกลับตีย้อนกลับ ในเมื่อความจริงแล้วเขาก็ชอบผู้ชายอย่างที่แนนพูดจริงๆ ชอบทิม ...ไม่สิ เรียกว่ารักเลยจะดีกว่า ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีใครในสังคมยอมรับ แต่อย่างน้อย คะน้าอยากจะยอมรับตัวตนของตนเอง ยอมรับกับความเป็นจริง กับสิ่งที่เขาเป็น

“พี่คงชอบพี่ทิม คิดไม่ซื่อกับพี่ทิมใช่ไหม ...นั่นสินะ ถึงต้องแต่งตัวเลียนแบบ โลกวิปริตไปหมดแล้วสินะ ผู้ชายถึงอยากจะเป็นแฟนผู้ชายด้วยกัน”

ไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของคะน้า เขาเพียงแต่จะเปิดประตูให้ออกแล้วพยายามพาตัวเองที่สติมีเพียงพอจะประคับประคองไม่ให้ล้มลงออกไปจากตรงนั้น แต่แนนพยายามจะตามรั้งให้เขากลับ คะน้าจึงเลี่ยงหนีเท่าที่จะพอเป็นไปได้ สายตาของผู้คนล้วนจับจ้องร่างสูงที่ไหวเซ เบื้องหลังมีหญิงสาวใบหน้าสะสวยที่ตามอยู่ห่างๆ

ในสมองที่พร่าเลือนกลับมีแต่ความสับสนเต็มแน่น คะน้ารู้สึกเหมือนขาตัวเองอ่อนแรง ทางที่ใกล้ดูเหมือนไกล อย่างน้อยเขาก็อยู่ในสายตาของผู้คนแล้ว แนนคงไม่กล้าทำอะไรอีก แต่เขาอยากจะไปข้างหน้าอีกสักนิด หรืออีกสักหน่อยเพื่อที่อย่างน้อยคงง่ายกว่าที่ทิมจะมาเจอ คะน้าคะเนไม่ถูกว่ามีแรงพอขยับตัวไปอีกกี่ก้าว แอลกอฮอล์ที่ผสมในเครื่องดื่มทำเขาอ่อนแรงและง่วงนอนได้อย่างเหลือเชื่อ ท่ามกลางของสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ...เขาเซและทรุดลงในที่สุด

ร่างกายคงปะทะกับพื้นในไม่ช้า เสื้อผ้าราคาแพงที่ทิมซื้อมาคงมีค่าพอจะทำให้เขากลายเป็นตัวตลกชั้นดีให้กับทุกคนในวงสังคมได้บันเทิง ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ หากแต่ใครเลยจะเคยคาดคิด ...คะน้าในตอนนี้ค่อยๆ หมดแรง ...เลือนลางจนจำอะไรแทบไม่ได้เลย





ในความพร่าพรายนั้นเอง คะน้ารู้สึกเหมือนตัวเองกลับหล่นลงบนแผ่นหลังกว้างที่เหมือนรอเขาอยู่ สัมผัสที่คุ้นเคยของวงแขนที่เอื้อมมารั้งน้ำหนักทั้งหมดของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้คะน้ารู้สึกโล่งใจ แขนของคะน้าทั้งสองข้างวางพาดลงบนบ่าคนที่แบกตัวเขาอยู่ราวกับคนที่ใกล้หมดสติ คางเกยลงบนหัวไหล่ที่เขาจดจำมันได้

“ทิมมม...”

“รู้ว่าไม่ถูกกับเหล้าก็ยังไปกิน” เสียงของทิมเข้มแต่คะน้ารู้ดีถึงความเป็นห่วงของเจ้าของแผ่นหลังนั้น เหงื่อที่ชื้นซึมขึ้นผ่านเสื้อเชิ๊ตสีขาว แขนเสื้อที่พับขึ้นจนพอดีข้อศอก และไอเหงื่อบนไหล่ที่ไหวสั่นนั้น แม้หลับตาเขาก็จำมันไม่ดี

“นอนเถอะ ง่วงแล้วใช่ไหม”

“อืมมม...” คะน้ารับคำเบาๆ พริ้มตาหลับลงพร้อมกับรอยยิ้มละไม

ร่างของชายหนุ่มในวัยที่กำลังก้าวสู่ชีวิตผู้ใหญ่เต็มตัวกลับดูคล้ายกับเด็กน้อยที่อยู่บนหลังของพี่ชาย แม้ภาพที่ปรากฏขึ้นจะเรียกทุกสายตาให้หันมองด้วยความแปลกใจในตอนแรก หากแต่ในท้ายที่สุด ความอบอุ่นประหลาดนั้นกลับเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้กับทุกคนที่จ้องมองเช่นกัน

“ทำไมรถของทิมมีสองคัน” คะน้าส่งเสียงึมงำบนหัวไหล่ที่หนุนต่างหมอน

“เพราะเจ้าของรถมันหล่อไง” ทิมตอบสั้นๆ แบบนั้น

“แล้วทำไมทิมมีสองคน” คะน้ายังไม่เลิกพล่าม ดัดเสียงแหลมเป็นเด็กอ้อแอ้ที่ฟังไม่ค่อยเป็นภาษา “นายกำลังคิดอยู่หรือเปล่าบีหนึ่ง ฉันก็กำลังคิดอยู่นะบีสอง” คะน้าสะกิดบ่าของทิมเบาๆ


“...ได้เวลาแปรงฟันแล้ววว คิก... คิก...”

คะน้าหัวเราะร่วนเป็นเด็กๆ แม้ลึกๆ ทิมจะหัวเสีย โกรธ และเป็นห่วงแค่ไหน แต่ลงท้าย ชายหนุ่มที่แบกคนที่หนักไม่แพ้กับตนไว้บนแผ่นหลังก็ได้แต่หัวเราะขำไปตลอดทาง

“เมาแล้วยังซ่า ไอ้บ้าเอ้ย ฮ่ะๆๆ”




ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยทั่วไปแล้ว คนเราโกหก 4 ครั้งต่อวันหรือราว 1,460 ครั้งต่อปี นั่นเท่ากับมากถึง 87,600 ครั้งในตอนที่เราอายุ 60 ...ไม่น่าเชื่อที่เกือบทั้งหมดของการโกหกมากมายนั้นคือการพูดหรือแสดงออกว่าตัวเราเองสบายดี

“น้องทิมจ๋าาาา... เอิ๊กกก... พี่คะน้าไม่เมานะ”




อีกมากกว่าครึ่งของที่เหลือ คือการพูดกับผู้คนมากมายหลังจากดื่มอย่างหนักว่า ‘ไม่เมา’

“เก๊าะบอกแว่ไม่มาววววววววววว...”




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


จะงงกับมุกการ์ตูนก่อนนอนเรื่อง Bananas in Pyjamas ไหมนะ (มันโบราณมาก 55)
เอาเป็นว่าจบไปอีกหนึ่งตอนที่อ่านแล้วอาจมีอาการคันยุบยิบกับสาวน้อยผู้ขึ้นแท่นตัวร้ายใหม่ล่าสุด
จริงๆ มันต้องเด็ดดวงกว่านี้ แต่ตัดออกเพราะแค่นี้ก็ถือว่ายาวจนขี้เกียจอ่านกันไปข้างนึงแล้ว
ทำให้ตัดฉากอะไรออกไปเยอะเหมือนกันเพราะคนแต่งอยากดื้อแพ่งรวบให้เป็นตอนเดียว
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ และกำลังใจ ขอ +1 ให้กับทุกคนนะครับ
และสุดท้ายนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกอดดดดดดดดดด...แน่นๆสักที :กอด1:

ออฟไลน์ พิรุณสีเงิน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ทิมน่ารักนะตอนนี้อ่ะ ฮ่าฮ่า

ส่วนน้องแนนคะ ตอนก่าหน้าแค่รำคาญนะคะ แต่ตอนนี้เริ่มไม่ชอบแล้วสิ  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อย่างนี้ทิมต้องเหน็บติดสะเอวไว้ตลอดเวลาแล้วน้อ
ไม่อยากให้ไปวิสาสะกับกลุ่มเพื่อนชายแล้วเป็นไง ปล่อยไว้กับหญิงใช่ว่าจะปลอดภัย

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
น่ากลัวจริงๆผู้หญิงสมัยนี้ คิดจะมอมเหล้าแล้วข่มขืนกระต่ายน้อยได้ลง
อยู่กับใครก็อันตรายไปหมด เสน่ห์แรงจนน่าปวดหัวจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2013 16:01:04 โดย 2pmui »

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ชะนีแนน ตั้งแต่รู้ว่าต่ายจบเมกาหล่อนก็ระริกระรี้
คันหูทันทีเลยนะ ไม่ไหวๆ ผู้หญิงไทยสมัยนี้
เจ้ยุให้ทิมมี่ทำคิสมาร์กรอบตัว ไม่ก็พกไปด้วยตลอดเวลา
เดี๋ยวโดน...คาบไป
(อินจัด  ขออภัย)

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
ทิมน่ารักจังเลยน้ออ...... :m1: ทั้งหวง ทั้งห่วงพี่!น้องต่าย

นู๋ต่ายซื่อเกิ้นน...... :m19: เกือบโดนหญิงหลอกฟัน

ทิมจะรู้มั๊ยว่านังแนนมันเจ้าเล่ห์ :m16: ขอหน่อยเถอะนังชะนีแนน :beat:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด